อัจฉริยะสมองเพชร 1890-1897

 ตอนที่ 1890 ความเก่งกาจของขงซือเหยา

เขาไม่เคยเห็นรูปปั้นของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับนักปราชญ์โบราณชื่อดังคนนี้


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเป็นที่ขึ้นชื่อในฐานะศิษย์สายตรงคนแรกของปรมาจารย์ขง แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะเป็นรองนักปราชญ์โบราณหรันชิว แต่ชื่อเสียงและเกียรติยศนั้นสูงส่งกว่าศิษย์สายตรงคนอื่นๆที่เหลือ นอกจากบุคลิกงามสง่าและความปราดเปรื่องอย่างเหนือชั้นในหลายๆด้าน เขาก็ยังเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือปรมาจารย์ขงในการรังสรรค์มรดกตกทอดของอาชีพมากมายนับไม่ถ้วนจนสำเร็จ และทำการจัดลำดับขั้นของอาชีพเหล่านั้นด้วย


ตรงกันข้ามกับรังสีเฉียบคมของนักปราชญ์โบราณหรันชิว ศพที่อยู่ตรงหน้าเขาดูจะแผ่รังสีที่เหมือนกับมหาสมุทรอันอ่อนโยนที่แบกรับกระแสน้ำจากหลากหลายแห่งและประสานกลมกลืนมันเข้าด้วยกัน เพราะความแข็งแกร่งอันเหนือชั้นนี้ที่ทำให้พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไม่อาจทำลายค่ายกลเพื่อซึมซาบเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้


เป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอาจเป็นนักปราชญ์โบราณเพียงคนเดียวใน 72 นักปราชญ์ ที่ทำได้แบบนี้


อีกอย่าง ข้อเท็จจริงที่ว่าต้องใช้เลือดของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเพื่อกระตุ้นโลงศพให้ทำงานและบ่มเพาะศพที่อยู่ภายในนั้น ก็บ่งบอกชัดแล้วว่าใครอยู่ข้างใน


เริ่มแรกก็ศพนักปราชญ์โบราณหรันชิว มาตอนนี้ก็ศพนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน จางเซวียนครุ่นคิดขณะตัวสั่นเล็กน้อย


นักปราชญ์โบราณทั้งสองคือผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์แม้เวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาน เขาเคยคิดว่าคนเหล่านั้นคงจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปพร้อมกันกับปรมาจารย์ขงแล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะมาพบศพของพวกเขาที่นี่?


“มอบบรรณาการ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตวาดก้องขณะที่ร่างของเขาฉีกขาดออกจากกันราวกับแจกันเซรามิคที่แตกร้าว เลือดทะลักออกจากเส้นเลือดของเขาก่อนจะพุ่งเข้าใส่ศพที่อยู่ตรงหน้า


เมื่อได้รับเลือด อาการแข็งทื่อของศพก็ดูจะลดน้อยลง ดูราวกับศพนั้นพร้อมจะกลับมามีชีวิตได้ทุกขณะ ในเวลาเดียวกัน ค่ายกลก็แข็งแกร่งขึ้นมาก รอยแยกที่เกือบจะระเบิดออกเมื่อครู่ก่อนกลับมั่นคงและสมานตัวเข้าหากัน


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน ดังนั้นเลือดของอีกฝ่ายจึงไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเขา ซึ่งนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงได้พยายามจะใช้เลือดของเขาเพิ่มพูนและรักษาพละกำลังให้กับนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเพื่อพยุงค่ายกลที่ทำหน้าที่สมานรอยแยกไว้


ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เมื่อครู่นี้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดถึงการพลีชีพ


ค่ายกลนี้มาจากบรรพบุรุษของเขา และเลือดของเชื้อสายในตระกูลเท่านั้นที่จะมีประสิทธิภาพมากพอจะพยุงกำลังของค่ายกลไว้ได้อีกครั้ง


แน่นอนว่าเพราะขงซือเหยามีสายเลือดของปรมาจารย์ขง เลือดของเธอจึงย่อมมีอานุภาพอย่างน่าทึ่งต่อศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน บางทีอาจจะเหนือชั้นกว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงด้วยซ้ำ แต่ด้วยความสำคัญของขงซือเหยาที่มีต่อร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ไม่มีทางที่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะยินยอมให้เธอปลิดชีพตัวเอง


“ดูเหมือนทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้ว”


ภายใต้กระแสเลือดที่พลุ่งพล่าน ฉนวนมั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว แรงกดดันจากความว่างเปล่าค่อยๆหายไป นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก


ตัวเขาในเวลานี้สูญเสียเลือดไปเกือบหมดและใกล้หมดความอดทนเต็มที ไม่ช้าไม่นาน พลังชีวิตเสี้ยวสุดท้ายในร่างของเขาก็จะเหือดแห้ง ร่างของเขาคงกลับสู่พื้นดิน กลายเป็นศพไร้ชีวิต


เมื่อรับรู้ความเป็นจริง ขงซือเหยาครุ่นคิดอย่างหมดหวัง น้ำตาปริ่มขอบตาขณะที่ฉนวนยังคงสกัดกั้นเธอไว้ แต่ด้วยพละกำลังของเธอในตอนนี้ เธอไม่มีเรี่ยวแรงพอจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้


ในเวลาเดียวกัน เหยียนเฉว่ก็เบือนหน้า ไม่อยากเห็นความตายของบุคคลที่เขาเคารพมาชั่วชีวิต


ฟึ่บ!


ในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างเริ่มยุ่งเหยิง


ขณะที่ค่ายกลกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆภายใต้กระแสเลือดพลุ่งพล่านของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง รอยร้าวดูเหมือนจะสมานตัวได้หมดในไม่ช้า แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น มือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากรอยแยกที่กำลังสมานตัว ภาพนั้นเหมือนภาพของเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ เหมือนกันกับที่จางเซวียนเคยเห็นก่อนหน้านี้เมื่อครั้งต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหลิง


พลั่ก!


มือนั้นสะบัดข้อมือเบาๆ ร่างของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงทรุดฮวบลงกับพื้น การถ่ายทอดกระแสเลือดหยุดชะงักไป


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


พร้อมกันนั้น บรรดานักปราชญ์โบราณที่คอยเสริมกำลังให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็กระอักเลือดออกมาเพราะแรงตีกลับและทรุดลงไปกองกับพื้น


ผู้เชี่ยวชาญขั้นผู้ทำลายล้างมิติ…จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


แน่นอนว่าเจ้าของมือนั้นแข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าที่เขาเคยใช้หน้าหนังสือสีทองสังหาร


แม้จะไม่มีแท่นบูชาเพื่อสร้างการเชื่อมต่อ แต่มือนั้นก็สามารถทำลายปราการของมิติและฉีกกระชากทางเดินแห่งมิติได้ด้วยพละกำลังมหาศาล


หรือว่าความว่างเปล่านั้นคือเส้นทางนำไปสู่มิติเบื้องบนที่จางเซวียนตามหามาตลอด?


ขณะที่เขากำลังสงสัย มือที่อยู่กลางอากาศนั้นก็กวาดไปมา ทำให้การเสริมกำลังค่ายกลอ่อนแรงไป ค่ายกลเริ่มจะหมดสภาพ


“เราต้องยับยั้งเขาไว้!”


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไม่ทันระมัดระวังตัวกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างปุบปับ เขาคำรามกร้าวก่อนจะโผขึ้นสู่กลางอากาศ ด้วยการสะบัดข้อมือ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจ้วงแทงกระบี่ในมือของเขาเข้าใส่มือนั้น


เขารู้ดีว่าถ้าอยากรักษาค่ายกลไว้ ก็ต้องเล่นงานมือนิรนามนั้นให้ได้ หรือไม่…ทุกอย่างที่พวกเขาทำลงไปจะต้องสูญเปล่า


“ฮึ่มมม!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราดของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง เจ้าของมือนั้นแบมือออกและประกบนิ้วเข้าด้วยกัน


กระบี่ของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถูกสองนิ้วนั้นคีบไว้ ราวกับคีมที่ไม่อาจง้างออกจากกันได้ ไม่ว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะออกแรงฉุดดึงแค่ไหน ก็ไม่สามารถชักกระบี่ของเขาคืน


“เราต้องร่วมมือกันแล้ว!”


รู้ดีถึงความรุนแรงของสถานการณ์ นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆรีบเข้ามา


ด้วยการผนึกพละกำลังกันของพวกเขา รอยแยกมากมายก่อตัวขึ้นรอบๆมิติที่เริ่มขาดความมั่นคง เปลวไฟสีดำหลายลูกร่วงลงมาจากความว่างเปล่า เกิดเป็นภูเขาไฟที่ปะทุไปทั่วบริเวณ


“เหยียนเฉว่ ปล่อยฉัน! ไม่อย่างนั้นพวกเราจะตายกันหมดนะ!” ขงซือเหยาตะโกนใส่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างเธออย่างสิ้นหวัง


“ผม…” เหยียนเฉว่หน้าถอดสีอย่างลังเลขณะพยายามเอาชนะความขัดแย้งในใจ


“คุณมัวลังเลอะไรเล่า? ถ้ายังลังเลอยู่ล่ะก็ มรดกตกทอดหลายหมื่นปีของพวกเราจะหมดไม่มีเหลือ!” ขงซือเหยาคำรามเดือดเมื่อเหยียนเฉว่ยังคงรีรอ


“ก็ได้!” รู้ดีว่าสถานการณ์กำลังคับขัน เหยียนเฉว่รีบเคาะนิ้วลงบนฉนวนที่สกัดกั้นขงซือเหยาไว้และปลดปล่อยเธอ


แม้เหยียนเฉว่จะเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็มีต้นกำเนิดของพละกำลังจากจุดเดียวกันกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง จึงทำลายฉนวนนั้นได้อย่างง่ายดาย


ไม่ช้า ฉนวนที่สกัดกั้นขงซือเหยาไว้ก็สลายตัวไปหมด


“ฮึ่มมม!”


ขงซือเหยาเลิกคิ้วและคำราม ขณะที่พลังงานแรงกล้าก่อตัวขึ้นภายในร่างของเธออย่างรวดเร็ว เธอกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศและชักดาบออกมา จากนั้นก็พุ่งไปด้วยความเร็วแสง


“น่าทึ่งจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้าเมื่อเห็นภาพนั้น


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของขงซือเหยาจัดว่าไร้เทียมทานมากแม้จะอายุยังน้อย ก็เหมือนกับตัวเขา ความแข็งแกร่งของเธอเข้าถึงระดับของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


ดาบที่เธอถืออยู่ในมือนั้นทรงพลังมาก แข็งแกร่งกว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรเสียอีก และเมื่ออยู่ในมือของขงซือเหยา มันก็สามารถสำแดงพละกำลังที่เทียบได้กับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก


แต่ถึงอย่างนั้น กระแสดาบฉีของเธอก็ทำได้เพียงแค่สร้างการปะทุเล็กๆที่มือนั้น


แต่เธอก็ยังคงกวัดแกว่งดาบใส่มือขนาดใหญ่นั้นต่อไปอย่างไม่ลดละ


“เจ้าพวกแมลงสาบทนทายาด!”


เมื่อเห็นว่าแมลงกระจ้อยร่อยจากมิติที่ต่ำต้อยกว่ากล้าเล่นงานเขา เจ้าของมือตวาดก้องอย่างโกรธเกรี้ยวขณะกระดิกนิ้ว


พลั่ก!


ขงซือเหยาถูกพละกำลังหนักหน่วงสอยกระเด็นไป ร่างของเธอกระแทกกับพื้นอย่างแรง เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก


ช่องว่างระหว่างวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดกับขั้นผู้ทำลายล้างมิตินั้นห่างไกลกันมาก ในครั้งนั้น แม้เมื่อตอนที่จางเซวียนผนึกกำลังกันกับนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอีกหลายคน แต่ก็ยังไม่อาจต่อกรกับเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมาได้


ฟึ่บ!


หลังจากสอยขงซือเหยากระเด็นไป มือนั้นก็กระดิกนิ้วอีกครั้ง เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนที่ทำให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆจนปัญญา รอยแยกในมิติที่กำลังขาดความมั่นคงขยายตัวกว้างขึ้น ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งแหวกมันออกมา จากนั้นศีรษะก็โผล่ตามมาด้วย


เหมือนกับเทพเจ้าที่เคยลงมาก่อนหน้านี้ เทพเจ้าองค์นี้ตั้งใจจะใช้กำลังเข้าเล่นงานทวีปแห่งปรมาจารย์!


ตอนที่ 1891 วาจาสิทธิ์

ฟึ่บ!


พร้อมกันกับการปรากฏของศีรษะนั้น พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเริ่มซึมซาบเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติและแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ จางเซวียนรีบปิดกั้นจุดชีพจรทั้งหมดของเขาไว้ ไม่กล้าซึมซับอะไรทั้งนั้น


ก็เหมือนกับปราณสังหาร พลังปราณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเป็นพลังงานชนิดพิเศษที่สามารถทำลายล้างทางเดินพลังปราณของนักรบได้ ทำให้วรยุทธของผู้นั้นตกฮวบ หรือแม้แต่ฉุดเขาเข้าสู่อันตรายใหญ่หลวง


“เราต้องสังหารเขาให้ได้เดี๋ยวนี้!”


เห็นเทพเจ้าพยายามผลักดันศีรษะของตัวเองให้ผ่านรอยแยกออกมา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆหน้าดำคร่ำเครียด พวกเขาคำรามก้อง จากนั้นก็รี่เข้าใส่ร่างที่กำลังปีนป่ายออกจากความว่างเปล่า


พลังงานทุกชนิดที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณทำให้ค่ายกลสั่นสะท้านไม่หยุด มิติถูกฉีกกระชากออกชิ้นแล้วชิ้นเล่า


เพียงแค่กระดิกนิ้ว เทพเจ้าก็สามารถปัดป้องการโจมตีของทุกคนออกไปได้ ในเวลาเดียวกัน ก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งดันตัวเองให้หลุดออกจากรอยแยก ไม่ช้า หัวไหล่ของเขาก็ปรากฏ


สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับการรับมือกับฝูงมด แม้จะต้องปัดป้องการรุมโจมตีของนักปราชญ์โบราณมากมาย แต่เทพเจ้าก็ยังเหลือพละกำลังมากพอที่จะผลักดันตัวเองให้หลุดจากปราการแห่งมิติมาได้


เพียงเท่านั้นก็เห็นชัดแล้วว่าเทพเจ้าองค์นี้แข็งแกร่งกว่าองค์ที่เขาเคยใช้หน้าหนังสือสีทองสังหาร


“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ พวกเรายับยั้งเขาไม่ได้แน่!” ขงซือเหยากัดฟันคำราม


เธอสำแดงกระบวนท่าออกไปแล้วมากมาย จนถึงระดับที่พลังปราณเกือบจะเหือดแห้ง แต่ก็สร้างความบอบช้ำให้อีกฝ่ายไม่ได้สักนิด ขงซือเหยากัดฟัน จากนั้นก็พูดกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ด้วยเสียงดังกึกก้อง “อย่ามัวเสียแรงเล่นงานเขาอยู่เลย ใช้พละกำลังของคุณดึงร่างของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนมาตรงนี้จะดีกว่า!”


“เอ่อ…” ราวกับจะเข้าใจว่าขงซือเหยาคิดอะไร นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ


“นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ไม่มีหนทางอื่นแล้วนะ ถ้าเราเสียเวลามากกว่านี้ล่ะก็ ทุกคนจะต้องตายกันหมด!” ขงซือเหยาตวาด


ถ้าหมอนั่นปีนป่ายออกจากปราการแห่งมิติและลงมาสู่โลกใบนี้ได้สำเร็จ ทุกคนจะตายเรียบ และในเวลาเดียวกัน ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็จะต้องพบกับหายนะรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่ช้าไม่นาน ทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ก็คงพังพินาศ!


หากพวกเขาอยากเอาชนะวิกฤตการณ์ครั้งนี้ให้ได้ ก็จะต้องหาวิธีแก้ไขแทนที่จะเอาชีวิตเข้าแลก!


“แต่…คุณคือทายาทเพียงหนึ่งเดียวของปรมาจารย์ขงที่มีระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดเกินกว่า ‘8’ นะ คุณเป็นอนาคตของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ของเรา” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบอย่างร้อนรน


ถ้าขงซือเหยาลงมือทำในสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ ก็มีโอกาสสูงที่เธอจะต้องเสียชีวิต


ตัวเขาเองแก่มากแล้ว ความตายของเขาไม่สลักสำคัญอะไรกับร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ แต่สาวน้อยคือทายาทของปรมาจารย์ขงที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในช่วงพันปีที่ผ่านมา แถมยังผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึง 3 ครั้ง


ขอแค่เธอมีเวลามากพอ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะกลายเป็นนักรบคนแรกที่สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิตินับตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขงเป็นต้นมา ถ้าเขาปล่อยให้เธอตาย เขาคงไม่อาจสู้หน้าบรรพบุรุษของตัวเองได้แม้จะอยู่ในปรโลก!


“ถ้าหมอนั่นทำสำเร็จ พวกเราตายกันหมดแน่ สายเลือดบริสุทธิ์ของฉันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่เหลือใครอยู่สักคน?” ขงซือเหยาร้องออกมา


เธอสูดหายใจลึกก่อนจะกระอักเลือดออกมากองใหญ่


ฟึ่บ!


ทันทีที่เธอกระอักเลือดกองนั้น มันก็ระเบิดกลายเป็นเปลวไฟที่ลุกโพลงขึ้นกลางอากาศ ในชั่วพริบตา กาลเวลาที่อยู่โดยรอบก็ดูเหมือนจะหยุดชะงักไป แม้แต่เทพเจ้าที่กำลังปีนป่ายออกจากรอยแยกแห่งมิติก็หยุดกึก


ราวกับมีใครสักคนกดปุ่ม ‘หยุด’ เอาไว้


หลังจากที่ขงซือเหยากระอักเลือดกองใหญ่ออกมา ใบหน้าของเธอก็ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม เหงื่อเม็ดโป้งๆผุดขึ้นจากหน้าผากขณะจ้องมองโลงศพที่ลอยอยู่ไม่ห่างออกไปนักและสั่งการ “มานี่”


วิ้งงงง!


ได้ยินคำสั่งนั้น โลงศพค่อยๆลอยเข้าหาขงซือเหยา ท่ามกลางแสงที่เรืองรองอยู่โดยรอบ


“นี่คือ…การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์?” จางเซวียนถึงกับอัศจรรย์ใจ


มันเป็นศักยภาพที่ขงซือเหยาได้รับผ่านทางสายเลือดของเธอ ที่ผ่านมา เขาเคยสงสัยว่า ความสามารถของสายเลือดที่มีอยู่ในตัวทายาทปรมาจารย์ขงคืออะไร ใครจะไปคิดว่ามันคือการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์?


ไม่เรียบง่ายไปหน่อยหรือ?


เมื่อเปรียบเทียบกับการเร่งเวลาของตระกูลจางและฉนวนแห่งมิติของตระกูลหลัว การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ดูจะอ่อนด้อยไป สิ่งนี้ดูไม่สอดคล้องกับพละกำลังอันน่าทึ่งของปรมาจารย์ขงเลย


“แบบนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ…” จางเซวียนขมวดคิ้วขณะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตัก


นี่ไม่ใช่การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ แต่เป็น…”


การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์คือการถ่ายทอดความรู้ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์ของคนคนหนึ่งเพื่อโน้มน้าวใจเหล่านักรบให้ทำตามคำสั่งของเขา ขณะที่หัวใจครูบาอาจารย์ที่จางเซวียนทำความเข้าใจได้สำเร็จนั้นทำให้เขาสามารถออกคำสั่งและร่ายมนต์ใส่บรรดาพืชพรรณและของล้ำค่าได้


พูดอีกอย่างก็คือ การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ใช้ได้ผลกับผู้ที่มีจิตวิญญาณและสามารถฝึกฝนวรยุทธได้เท่านั้น อีกทั้งยังต้องได้รับฟังการบรรยายเรื่องเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมกับเทคนิควรยุทธของตัวเองด้วย ซึ่งเรื่องนี้การพูดง่ายกว่าทำมาก


ยกตัวอย่าง ถ้าจางเซวียนอยากโน้มน้าวจิตใจใครสักคนด้วยการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาก็จะต้องเหนือกว่าอีกฝ่าย อีกทั้งเนื้อหาของการบรรยายก็จะต้องสามารถจุดประกายของแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นในหัวใจของอีกฝ่ายได้ด้วย


แม้ขงซือเหยาจะดูเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่วรยุทธที่แท้จริงของเธอก็เป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเท่านั้น ต่อให้ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเธอเข้าถึงระดับของนักปราชญ์โบราณแล้ว ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสั่งการให้โลงศพและศพที่ไร้ชีวิตทำตามคำสั่งของเธอได้


“นี่มัน…วาจาสิทธิ์!” จางเซวียนตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ


วาจาสิทธิ์คืออานุภาพในการเปลี่ยนคำพูดและคำสั่งของคนๆหนึ่งให้กลายเป็นวาจาสิทธิ์หรือกฎเกณฑ์ของโลก สามารถบงการให้ทุกสิ่งในโลกเชื่อฟังคำสั่งของผู้นั้น หากมองเผินๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ แต่อานุภาพของมันน่าสะพรึงกว่านั้นมาก


เมื่ออยู่ต่อหน้าวาจาสิทธิ์ ทั้งกฎเกณฑ์ของเวลาและกฎเกณฑ์ของมิติล้วนแต่ไร้ความหมาย ต่อให้เขาเปิดใช้สายเลือดตระกูลจาง ทั้งหมดที่สาวน้อยคนนี้ต้องทำก็แค่พึมพำคำว่า ‘หยุด’ แล้วทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็จะหยุดชะงักไปในทันที


นี่ไม่ใช่แค่การควบคุมกาลเวลาหรือมิติ แต่เป็นทุกอณูของโลกใบนี้ การยับยั้งมันได้จะกลายเป็นวาจาสิทธิ์ที่บีบบังคับและผลักดันให้ทุกคนต้องทำตาม


นี่คือความน่าสะพรึงของมัน!


ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งนี้จะเป็นศักยภาพที่ปรมาจารย์ขงได้รับระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ไม่แปลกใจแล้วที่เขามีพละกำลังแข็งแกร่งน่าทึ่งอย่างที่เห็น!


ฟิ้วววว!


พร้อมกันนั้น ขงซือเหยาก็บินตรงเข้าหาโลงศพและเปิดมันออก ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกระเด็นออกมาอย่างรวดเร็วและลอยตัวอยู่กลางอากาศ


แม้สองตาของเขายังคงปิดสนิท แต่กระแสการเคลื่อนไหวของพลังงานที่แผ่ออกจากร่างก็ทำให้ดูราวกับว่ายังมีชีวิต


พลั่ก!


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ขงซือเหยากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม ร่างของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย ราวกับใกล้หมดความอดทนเต็มที


ถึงวาจาสิทธิ์จะทรงพลังแค่ไหน แต่ระดับวรยุทธของเธอยังอ่อนด้อย การใช้กำลังปลุกร่างของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนถือเป็นภาระหนักเกินกำลังที่สร้างความบอบช้ำให้กับรากฐานร่างกายของเธอ


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถอนหายใจลึกและสั่งการ “ผมเอง!”


ฟิ้วววว!


เลือดปริมาณมหาศาลพุ่งออกจากร่างของเขา กระเซ็นเข้าใส่ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน ทำให้รังสีที่ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนแผ่ออกมาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


“คุณคิดว่าจะเอาชนะผมได้เพียงเพราะศพๆเดียวหรือ? ผมคงต้องทำให้พวกคุณเลิกฝันกลางวันเสียที!” เทพเจ้าคำรามขณะปล่อยพลังจากฝ่ามือลงมา


ในตอนนั้น แผงอกของเขาโผล่พ้นปราการแห่งมิติแล้ว ดูเหมือนว่าไม่ช้าไม่นานก็คงได้ลงมายังโลกใบนี้อย่างเต็มตัว


พลังจากฝ่ามือนั้นทำให้มิติที่อยู่โดยรอบถูกบีบอัดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นบางอย่างที่คล้ายกับหลุมดำ


“จัดการเลย!”


เหล่านักปราชญ์โบราณที่เหลือคำรามลั่นและพุ่งเข้าปะทะกับฝ่ามือของเทพเจ้า


ครืนนนน!


แรงกดดันมหาศาลทำให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนที่แผ่ออกไปโดยรอบ ยังไม่ทันที่เหล่านักปราชญ์โบราณจะได้ตอบโต้ เนื้อหนังของพวกเขาก็ถูกถลกออกไปจนเกลี้ยง เหลือไว้เพียงโครงกระดูก


แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ไม่ถอย พวกเขายืนหยัดอยู่กลางอากาศเพื่อยับยั้งพลังจากฝ่ามือไว้ไม่ให้ตรงเข้าเล่นงานนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆได้


ตอนที่ 1892 เขาอยู่ที่นี่!

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


เหล่านักปราชญ์โบราณทรุดลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง เกิดรอยยุบมากมายบนแท่นบูชานั้น


ด้วยระดับวรยุทธของพวกเขา ทุกคนยังไม่เสียชีวิตในทันทีทันใดแม้จะเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว แต่เนื่องจากได้เข้าสู่ภาวะจำศีลมาเนิ่นนาน และยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับเมื่อครั้งต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่ง ดังนั้น หากพวกเขาไม่ได้รับนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณในปริมาณที่มากพอเพื่อเรียกพลังชีวิตกลับคืนมา อายุขัยของพวกเขาจะหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ต้องตาย


พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อยืนหยัดต่อต้านเทพเจ้า!


เราจะปล่อยให้พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ต้องตายที่นี่ไม่ได้…


จนถึงตอนนี้ จางเซวียนก็ยังไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไรเพราะความไม่พอใจหลายอย่างที่เขาเคยมีต่อร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ประกอบกับคิดว่าพวกนั้นน่าจะรับมือกับสถานการณ์ด้วยตัวเองได้ เขากังวลว่าการเสนอหน้าเข้าไปก้าวก่ายอย่างปุบปับมีแต่จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิมถ้านักปราชญ์โบราณเหล่านั้นพากันหันมาหวาดระแวงเขา


แต่นั่นแหละ ตอนนี้ทุกอย่างก็เลวร้ายที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้แล้ว เขาไม่อาจนิ่งเฉยและปล่อยให้เหล่านักปราชญ์โบราณของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ต้องตาย


ถึงจางเซวียนจะรู้สึกว่าการกระทำของคนพวกนี้น่าสงสัย แต่ก็แน่นอนว่าทุกคนกำลังปกป้องมวลมนุษย์ด้วยวิถีทางของตัวเองและได้เสียสละครั้งใหญ่


เขาไม่อาจทนดูคนพวกนี้เสียชีวิตได้!


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังงานและกำลังจะพุ่งเข้าโจมตีเทพเจ้าอย่างเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆขงซือเหยาก็กระอักเลือดออกมาอีกกองหนึ่งก่อนจะออกคำสั่ง “ยืนหยัดไว้และผลักดันเขากลับไป!”


ฟึ่บ!


สิ้นเสียงสั่งการของเธอ รอยแยกมากมายที่อยู่กลางอากาศก็สมานตัวเข้าหากันขณะที่มิติแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


ในเวลาเดียวกัน ตัวเทพเจ้าที่โผล่พ้นปราการแห่งมิติออกมาจนถึงเอวแล้วก็ถอยกลับเข้าไปทันทีทันใดเพราะคำสั่งนั้น ตอนนี้เขาโผล่ออกมาแค่ไหล่


โชคร้ายที่วรยุทธของขงซือเหยาอ่อนด้อยเกินไปเมื่อเทียบกับเทพเจ้า แม้จะใช้ความสามารถของสายเลือดแล้ว เธอก็ยังไม่อาจผลักดันเทพเจ้ากลับสู่มิติเบื้องบนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


“นั่นคือสายเลือดของเขาจริงๆ! เยี่ยมยอด…น่าทึ่งมาก! ด้วยสิ่งนี้ หัวหน้าตระกูลจะต้องยอมรับเราเป็นศิษย์สายตรงของเขา และมอบทรัพยากรให้เราอย่างไม่มีวันจบสิ้น!”


แม้เทพเจ้าเกือบจะถูกขับออกจากโลกใบนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่แสดงความหวาดหวั่นสักนิดต่อเทคนิคของขงซือเหยา นัยน์ตาของเขากลับเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะคลุ้มคลั่ง


ในตอนนั้นเอง ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนก็ดูเหมือนจะได้ซึมซับเลือดในปริมาณที่มากพอ ร่างนั้นค่อยๆลุกขึ้นจากโลงศพ เขากำหมัดแน่นแล้วปล่อยหมัดเข้าใส่เทพเจ้าที่กำลังปีนป่ายออกจากรอยแยกแห่งมิติ


พลั่ก!


หมัดนั้นไร้ซึ่งความสง่างามอย่างสิ้นเชิง แต่พละกำลังของมันน่าทึ่งถึงระดับของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติเลยทีเดียว


“ฮ่า!”


เทพเจ้าไม่แสดงความตื่นตระหนกออกมาแม้ต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังทำลายล้าง เขาคำราม และประกบมือเข้าหากัน


ครืดดดด!


ค่ายกลที่ได้รับการเสริมพลังจากศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนแยกตัวออกจากกันอย่างแรง ทำให้พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทพุ่งตรงเข้าสู่โลก


ด้วยพละกำลังหนักหน่วงนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงล้มลงกระแทกพื้นและขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ ราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่ทับไว้


คนอื่นๆก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่ากันนัก แต่เพราะขงซือเหยาเปิดใช้งานสายเลือดของเธอ จึงยังพอยืนหยัดอยู่ได้ ส่วนเหยียนเฉว่ก็หน้าซีดเผือดขณะที่ผิวหนังฉีกขาดเพราะแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ เผยให้เห็นเนื้อสดๆสีแดงก่ำข้างใน


จางเซวียนก็ได้รับผลกระทบจากพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงนัก ตัวเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักปราชญ์โบราณที่รวมตัวกันอยู่ แถมยังได้ปิดกั้นจุดชีพจรทั้งหมดไว้ล่วงหน้าแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้พลังงานนั้นซึมซาบเข้าสู่ร่าง ความบอบช้ำที่จางเซวียนได้รับจึงไม่หนักหนาสาหัสอะไร


พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!


เทพเจ้าต่อสู้กับศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน แต่ในทุกๆกระบวนท่าที่ล่วงไป พละกำลังของศพก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ พูดอีกอย่างก็คือ เมื่อพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น เทพเจ้าก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


เมื่อถึงกระบวนท่าที่ 8 ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้นดังสนั่นขณะที่ศพถูกสอยกระเด็นกลับเข้าไปอยู่ในโรง


“การแผดเผาสายเลือด!”


ขงซือเหยาคำรามก้องด้วยนัยน์ตาแดงก่ำขณะเริ่มแผดเผาสายเลือดของเธออีกครั้ง แต่คราวนี้ ยังไม่ทันที่เธอจะทำสำเร็จ เทพเจ้าก็คำราม “เก็บเรี่ยวแรงของคุณไว้เถอะ ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ เพียงเพราะผมต้องการให้คุณมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะอดทนกับความดื้อด้านของคุณนะ!”


จากนั้น พลังฝ่ามือก็ถูกปล่อยออกมาจากรอยแยกของมิติ


พลั่ก!


ขงซือเหยาร่วงจากกลางอากาศทันทีเพราะแรงปะทะนั้น


เพราะเกรงว่าทางเดินพลังปราณของเธอจะฉีกขาด เหยียนเฉว่รีบขับเคลื่อนพลังปราณของเขาเพื่อรับตัวเธอไว้


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”


หลังจากเล่นงานศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนและขงซือเหยาจนล่าถอยได้แล้ว เทพเจ้าหัวเราะลั่นขณะดันตัวเองออกจากรอยแยกแห่งมิติจนสำเร็จ เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยประสานมือไว้บนหน้าอก


เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาฝ่าปราการแห่งมิติได้อย่างยากลำบากก็เพราะมีค่ายกลขวางไว้ แต่เมื่อค่ายกลแหลกสลายไปจากแรงปะทะของพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ก็ไม่มีอะไรยับยั้งเขาไว้ได้อีก


“อยากรู้เหลือเกินว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่สร้างสิ่งมีชีวิตทรงพลังขนาดนี้ขึ้นได้ แต่ต้องขอบอกเลยว่าผมผิดหวังมากกับสิ่งที่ได้เห็นที่นี่!” เทพเจ้าคำรามเยาะขณะพุ่งเข้าไปคว้าตัวขงซือเหยา


เหยียนเฉว่รีบเข้ามาดึงขงซือเหยากลับไป แต่ก็ถูกสอยกระเด็นด้วยการกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว เขาทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น กระดูกกระเดี้ยวแหลกสลายเพราะพละกำลังหนักหน่วงนั้น


“คุณน่ะ มากับผม!” เทพเจ้าออกคำสั่ง


ฟึ่บ!


เขาใช้ตาข่ายพลังงานห่อหุ้มตัวร่างขงซือเหยาไว้


“ไม่นะ!”


เห็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของปรมาจารย์ขงที่มีความบริสุทธิ์ของสายเลือดระดับ ‘8’ ตลอดระยะเวลาพันปีที่ผ่านมาถูกจับตัวไป ทุกคนนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างพรั่นพรึง


แต่ด้วยความเหลื่อมล้ำของพละกำลังระหว่างพวกเขากับศัตรู ก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้ ทุกคนพยายามสุดตัวแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล


“อาณาจักรคุนฉื่อที่ปรมาจารย์ขงก่อตั้งจะต้องล่มสลายในช่วงอายุขัยของเราหรือ? เราจะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตัวสั่นอย่างหนักขณะส่ายหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ ไม่พร้อมยอมรับความเป็นจริงที่เห็น


ในครั้งนั้น แม้ปรมาจารย์ขงจะไว้ชีวิตเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพราะความเมตตากรุณา แต่เขาก็พูดไว้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลาที่ผ่านไป เพื่อจะได้เอาชนะภัยคุกคามที่เข้ามาขวางทางได้


แต่เพราะแม้แต่ปรมาจารย์ขงเองก็นึกไม่ถึงว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณจะหายไปจากโลกใบนี้อย่างปุบปับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์พลิกผันไป ในชั่วพริบตา มวลมนุษย์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอีกครั้ง


ถึงพวกเขาจะกำจัดภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจได้สำเร็จ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังไม่อาจกลับสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองได้ดังเดิม


ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนที่วิหารแห่งขงจื๊อจะปรากฏ ก็คงไม่มีใครผ่านปราการแห่งมิติเข้ามาได้ แต่เพราะการล่มสลายของวิหารแห่งขงจื๊อ ค่ายกลที่สกัดกั้นปราการแห่งมิติไว้จึงอ่อนกำลังลงเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ล่วงไป


ต่อให้ตอนนี้พวกเขายืดอายุขัยเพื่อเสริมกำลังให้ปราการ ก็คงช่วยได้เพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น


ทุกอย่างจะแตกต่างจากนี้หรือไม่ถ้าชายผู้นั้นอยู่ที่นี่?


ในตอนนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอดนึกถึงปรมาจารย์ฟ้าประทานที่ชื่อจางเซวียนไม่ได้


เขาอาจอายุยังน้อย แต่ก็สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า


เท่าที่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรู้ จางเซวียนคือผู้สังหารเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมา ระหว่างการประกอบพิธีกรรม…


ถ้าเขาอยู่ที่นี่ จะสังหารเทพเจ้าองค์นี้ได้หรือเปล่า? จะช่วยชีวิตร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จากวิกฤตการณ์ที่จ่อคอหอยพวกเขาอยู่ได้ไหม?


“คิดไปก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย แถมความสัมพันธ์ของพวกเรากับเขาก็ย่ำแย่…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา


นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าคนนอกเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ต่อให้ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีทางที่เขาจะเต็มใจช่วย


แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีเป้าหมายร่วมกันในการปลดปล่อยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้เป็นอิสระจากภัยคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่แนวคิดและค่านิยมที่ต่างกันก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกันหลายครั้ง เกิดเป็นความสัมพันธ์อันร้าวฉาน


“ต่อให้วันนี้เราต้องตาย ก็จะต้องช่วยชีวิตขงซือเหยาให้ได้ เธอคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ เราจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอเด็ดขาด!”


รู้ดีว่าคิดเหลวไหลเลอะเทอะไปก็ไร้ประโยชน์ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้าย หวังจะโจมตีอย่างเด็ดขาดเพื่ออย่างน้อยก็จะได้ยื้อเวลาให้ขงซือเหยาได้หลบหนี แต่ในตอนนั้น ประกายเย็นเยือกก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ


ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ประกายนั้นพุ่งเข้าใส่ลำคอของเทพเจ้า


“เฮ้ย…”


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถึงกับผงะกับการปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง เขารีบเขม้นมอง เห็นร่างสง่างามร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าต่อตา มันเป็นภาพที่เขาจะไม่มีวันลบออกจากใจได้


“นั่นจางเซวียนนี่!”


“เขาอยู่ที่นี่!”


ตอนที่ 1893 ยืมดาบหน่อย

นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงคิดว่าพวกเขาจบเห่แน่ แต่ด้วยความพิลึกพิลั่นขั้นสุด บุคคลที่มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนยุ่งเหยิงกับพวกเขา, จางเซวียน, ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับและตรงเข้าเล่นงานเทพเจ้าโดยปราศจากความลังเล


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจ้องมองศิลปะเพลงหอกอันงดงามอย่างที่ตัวเขาไม่มีวันเข้าถึงได้ในชั่วชีวิตนี้ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างละอายใจ “เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตัวเราจะเป็นได้ เพื่อมวลมนุษย์ ความขัดแย้งส่วนตัวไม่มีความหมายอะไรกับเขา เรามองเขาผิดไป”


เพื่อสวัสดิภาพของมวลมนุษย์ อีกฝ่ายยอมแบกรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวโลก และแกล้งตายเพื่อจะได้ลักลอบเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและขจัดภัยคุกคามจนเบ็ดเสร็จราบคาบ สิ่งนี้บ่งบอกชัดถึงนิสัยและบุคลิกของเขา


บุคคลที่สูงส่งอย่างจางเซวียนจะปล่อยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์คับขันได้อย่างไร?


ขณะที่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกำลังรำพึงรำพันถึงความเข้าใจผิดของตัวเอง ขงซือเหยากับคนอื่นๆก็จังงังกับการโจมตีของจางเซวียน พวกเขาไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาบรรยายความทรงพลังของศิลปะเพลงหอกนั้นได้ มันเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทุกกระบวนท่าลื่นไหลอย่างน่าทึ่ง ในชั่วพริบตานั้น ความเจ็บปวดและความอ่อนล้าของทุกคนดูจะหายวับไป สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือความงดงามของศิลปะเพลงหอก


เทพเจ้าที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก็อึ้งตะลึงไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าจะมีคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในมิติเบื้องล่าง ในช่วงเวลาที่กำลังลังเล หอกนั้นก็มาจ่อที่คอหอยของเขา


ฉึกกกก!


เลือดสดๆทะลักออกมาขณะที่หอกแทงเข้าสู่ผิวหนัง แต่หลังจากเข้าไปได้เพียงนิ้วเดียว จางเซวียนก็รู้สึกเหมือนกำลังจ้วงแทงแผ่นโลหะ ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหนก็ดันหอกเข้าไปไม่ได้ลึกกว่านั้น


“ไม่นึกเลยว่าสภาพแวดล้อมแห้งแล้งทุรกันดารแบบนี้จะสร้างผู้เชี่ยวชาญระดับคุณได้ ไม่เลว, ไม่เลวเลย ผมจะพาคุณไปกับผมด้วย…” เทพเจ้าคำรามและยึดหอกที่ปักลำคอของเขาไว้แน่น


จางเซวียนสะบัดหอกเป็นการโต้ตอบ หอกนั้นแปรสภาพกลายเป็นมังกรสีดำที่รัดร่างของเทพเจ้าไว้อย่างแน่นหนา


เทพเจ้าถึงกับชะงัก เขาจังงังไปครู่หนึ่งก่อนจะโมโหเดือด


ตัวเขาซึ่งเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญจากมิติเบื้องบนจะมาติดกับดักของสิ่งมีชีวิตจากมิติเบื้องล่างได้อย่างไร? นี่มันหยามหน้ากันอย่างแรง!


“คุณรนหาที่เองนะ!”


กล้ามเนื้อของเทพเจ้าปูดโปนขณะที่สำแดงพลังเข้าสู่ท่อนแขนทั้งสองข้าง เขาตั้งใจจะเล่นงาน มังกรสีดำให้ร่วง ก็พอดีกับที่อิฐก้อนมหึมาตกลงมาจากกลางอากาศและกระแทกเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง


พลั่ก!


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนได้หลอมหม้อต้นกำเนิดทองคำให้กลายเป็นของล้ำค่าที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก และตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาปล่อยให้หม้อต้นกำเนิดทองคำซึมซับนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณภายในภาพวาด ซึ่งไม่ช้าไม่นานมันก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ แม้จะยังห่างไกลกับการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ด้วยน้ำหนักมหาศาลของมันและความทนทานอย่างน่าทึ่งของวัสดุที่ใช้ มันก็ยังสามารถสร้างความบอบช้ำให้กับเทพเจ้าได้ด้วยการเล่นงานอีกฝ่ายเข้าที่ศีรษะอย่างจัง


แรงปะทะทำให้เทพเจ้ามึนงงไปครู่หนึ่งขณะที่เสียงโลหะดังกึกก้องอยู่ในหู


ขณะที่เทพเจ้ากำลังโมโหเดือด อิฐก้อนนั้นก็โพล่งออกมา “บอกไว้ให้เข้าใจตรงกันนะ ผมไม่ใช่ก้อนอิฐ แต่เป็นหม้อ ไอ้ที่ตะบันหน้าคุณเมื่อกี้น่ะคือก้นของผม!”


จากนั้น หม้อต้นกำเนิดทองคำก็ไม่ลืมที่จะส่ายก้นของมันไปมาบนใบหน้าของเทพเจ้าเพื่อย้ำประเด็นนั้น


ขงซือเหยากับคนอื่นๆอึ้งตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น


ทำไมผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังระดับนี้ถึงมีของล้ำค่าที่ดูเซอะซะไม่เอาไหน?


แถมเจ้านั่นยังบอกว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองเป็นหม้อ…


บ้าที่สุด รู้ไหมว่าหม้อคืออะไร? คุณน่ะก้อนอิฐชัดๆ!


ไม่มีส่วนไหนของคุณที่ดูเหมือนหม้อเลย!


หรือว่าพวกเราตามแฟชั่นไม่ทัน?


“อ๊ากกกกก!” เมื่อรู้สึกได้ถึงก้นหม้อที่ถูไถอยู่บนใบหน้า เทพเจ้าถึงกับปรี๊ดแตก “ไปให้พ้น!”


บึ้มมมม!


คลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังระเบิดออกจากร่างของเขา ทำให้หม้อต้นกำเนิดทองคำกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรกระเด็นไป หอกสวรรค์กระดูกมังกรรีบแปรสภาพกลับเป็นหอกก่อนจะลอยละลิ่วเข้าสู่มือของจางเซวียน


พลั่ก!


เทพเจ้าที่กำลังโกรธเกรี้ยวปล่อยหมัดเข้าใส่หม้อต้นกำเนิดทองคำ


“ก้นผมมมมม!” หม้อต้นกำเนิดทองคำตะโกนลั่นขณะกลิ้งไปมาอย่างร้อนใจอยู่กับพื้น ราวกับกำลังพยายามรักษาสภาพเดิมของก้นนั้นไว้


“แก ไอ้สารเลว ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะฆ่าแกซะ!”


เทพเจ้าหน้าตาบิดเบี้ยวขณะจ้องหน้าจางเซวียนเขม็ง เขาเงื้อกำปั้นและปล่อยพลังใส่จางเซวียนโดยไม่ลังเล


ส่วนจางเซวียนก็รีบเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจาง เขาหลบไปเป็นระยะทางหลายร้อยเมตรได้ในชั่วพริบตา จากนั้นก็เงื้อหอกขึ้นและพุ่งเข้าใส่เทพเจ้าอีกครั้ง


“แก่นสารของเวลา?”


เห็นวิธีการที่ชายหนุ่มทะลุมิติไปเพื่อหลบหลีกการโจมตีของเขา เทพเจ้าคำรามเยาะ เขาเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะคว้าชายหนุ่มไว้ในกำมือเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แต่แล้วก็เกิดเสียงเคร้งดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ เทพเจ้าเงยหน้า จากนั้นก็หรี่ตาด้วยความหวาดระแวง


ในตอนนั้น อาวุธมากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่ ค้อน หอก…รวมแล้วก็ตกหลายร้อยชิ้น


ฟิ้ววววว!


อาวุธเหล่านั้นพุ่งเข้าโจมตีเทพเจ้าอย่างบ้าคลั่ง


“คุณคิดว่าอาวุธสั่วๆพวกนี้จะทำอันตรายผมได้หรือ?” เทพเจ้าพ่นลมอย่างดูแคลน


ด้วยการชำเลืองเพียงแวบเดียว เขาก็ดูออกว่าอาวุธเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีสักชิ้นที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ อย่าว่าแต่จะเอาชนะเขาเลย ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวด้วยซ้ำที่แทงทะลุผิวหนังของเขาได้!


“นั่นสิ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะใช้พวกมันทำอันตรายคุณเหมือนกัน” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย


เขารวบรวมอาวุธเหล่านี้มาจากบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เขาได้สังหารเมื่อตอนอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ หากนำไปวางขาย ก็ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่ขายได้ราคาดี แต่ก็ไม่แข็งแกร่งพอจะเล่นงานได้แม้แต่นักปราชญ์โบราณทั่วไป นับประสาอะไรกับผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ


“ไม่ได้คิดจะใช้พวกมัน?” เทพเจ้าชะงัก


เขาไม่เข้าใจว่าจางเซวียนคิดอะไรอยู่


ในตอนนั้นเอง เทพเจ้าพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่อยู่ด้านล่าง เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นหอกเล่มเมื่อครู่แปรสภาพเป็นมังกรสีดำที่รัดเขาไว้แน่นอีกครั้งและสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเขาไว้อย่างสิ้นเชิง


“คุณ…” เทพเจ้าคำรามลอดไรฟัน


สุดท้าย การโจมตีของอาวุธพวกนั้นก็เป็นแค่การเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปจากหอก


แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้เขาติดกับ อีกฝ่ายก็ทำอะไรเขาไม่ได้


ขอแค่เขาสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ก็สามารถเป็นอิสระจากพันธนาการนี้ได้อย่างง่ายดาย คงเจ๋งดีที่จะได้เห็นว่ามังกรสีดำตัวนี้จะแปรสภาพได้อีกกี่ครั้งกี่หนก่อนจะแหลกเป็นชิ้นๆ


แม้หอกจะได้รับการบ่มเพาะมาแล้วหลายครั้ง แต่วรยุทธของมันก็ยังอ่อนด้อยกว่าเขา ทุกครั้งที่มันถูกสลัดกระเด็นไป ก็จะได้รับความบอบช้ำสาหัส ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเทพเจ้า เขาดูออกว่าหอกน่าจะทำแบบนี้ได้อย่างมากที่สุดก็อีก 5 ครั้ง


ขณะที่เขากำลังจะสอยหอกให้กระเด็นไปอีกรอบ จู่ๆชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงและพูดว่า “คุณคือขงซือเหยาใช่ไหม? ขอผมยืมดาบของคุณหน่อย”


“ดาบของฉัน?” ขงซือเหยาชะงัก


แต่เพราะรู้ว่าสถานการณ์เร่งด่วนแค่ไหน เธอจึงยื่นดาบให้จางเซวียนโดยไม่ลังเล


เห็นชายหนุ่มตั้งใจจะใช้ดาบของเธอเพื่อการต่อสู้ ขงซือเหยาละล่ำละลัก “ดาบของฉันเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่ตกทอดกันมาในตระกูลขงของเรา ผู้ที่ไม่มีสายเลือดตระกูลขงจะไม่สามารถซึมซับมันได้ ถ้าคุณอยากใช้มันล่ะก็ ฉันให้คุณยืมเลือดของฉันหยดหนึ่งได้นะ…”


ดาบเล่มนี้หลอมโดยหนึ่งในช่างตีเหล็กฝีมือดีที่สุดของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ มันสําเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะมีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว ใครก็ตามที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์พอจะไม่สามารถควบคุมดาบหรือทำให้มันเคลื่อนไหวได้


เธอใช้เวลาเกือบ 3 ปีกว่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดาบและใช้เศษเสี้ยวหนึ่งของประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันได้สำเร็จ


ถ้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอต้องการใช้มัน เขาก็จะต้องมีหยดเลือดของเธอเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำให้ดาบยอมจำนนชั่วคราว


“เราไม่มีเวลาแล้ว!” จางเซวียนตอบขณะสะบัดข้อมืออย่างแรง


เคร้งงงง!


ดาบส่งเสียงกึกก้อง ครู่ต่อมา มันก็โค้งคำนับให้จางเซวียนราวกับสุนัขแสนจงรักภักดีที่เขาเลี้ยงไว้


“คะ-คุณทำให้มันยอมจำนนได้แล้วหรือ?” ขงซือเหยาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ


ตอนที่ 1894 เขาคือจางเซวียน

ด้วยความสามารถของจางเซวียน การทำให้ดาบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกยอมจำนนนั้นง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก หลังจากซึมซับดาบแล้ว เขาก็ชูมันสูงขึ้นกลางอากาศ แล้วฟาดลงไปบนศีรษะของเทพเจ้าที่กำลังติดกับ


เคร้งงงง!


เกิดเสียงเคร้งดังสนั่นขณะประกายไฟแลบออกจากศีรษะของเทพเจ้า ผิวหนังชั้นนอกของอีกฝ่ายร่วงลงกับพื้น


“อ๊ากกกก!”


นัยน์ตาของเทพเจ้าแดงก่ำด้วยแรงโทสะ


ส่วนขงซือเหยาก็นัยน์ตาเบิกโพลงขณะพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “นั่นไม่ใช่วิธีที่คุณควรจะใช้ดาบนะ…”


ความแข็งแกร่งสูงสุดของดาบอยู่ที่ความรวดเร็วของมัน แต่หมอนั่นกลับใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้าง ต่อให้อาวุธชั้นยอดที่สุดก็อาจสูญเปล่าได้ภายใต้การใช้อย่างผิดๆ!


ภายในอึดใจเดียว จางเซวียนก็ฟาดลงไปที่จุดเดิมบนศีรษะของเทพเจ้ามากกว่า 100 ครั้ง ทำให้เกิดรอยแยกบนกระโหลกของอีกฝ่าย รอยแยกนั้นลึกจนแทบจะเห็นถึงมันสมอง


บึ้มมมม!


ด้วยความโมโหเดือดที่ถูกหยามหน้า เทพเจ้าระเบิดพละกำลังทำลายล้างหนักหน่วงออกมาอีกครั้ง แล้วสอยหอกสวรรค์กระดูกมังกรกระเด็นไป เขาหันขวับมาหาจางเซวียน ตั้งใจจะสังหารเจ้าหนุ่มอวดดีที่บังอาจแตะต้องเขา ก็พอดีกับที่อิฐก้อนหนึ่งพุ่งเข้ากระแทกใบหน้าของเขาอีกครั้ง


คราวนี้ อิฐก้อนนั้นจงใจเล่นงานรอยแยกบนศีรษะ ทำให้เลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ


“บ้าเอ๊ย!”


เทพเจ้าแทบเสียสติ


สไตล์การต่อสู้ของหมอนั่นช่างเป็นตัวอย่างชั้นดีของคำว่าชั่วร้ายและการชกใต้เข็มขัด


เราก็เป็นนักรบชั้นยอดกันทั้งคู่ อย่างน้อยก็ควรจะใช้รูปแบบการต่อสู้ที่มีศักดิ์ศรีสักหน่อยไหม?


เราควรจะประลองดาบกันอย่างอาจหาญแทนที่จะมัวใช้ลูกไม้สกปรกทุกวิถีทางราวกับเป็นนักเลงข้างถนน…ภาพลักษณ์ของคุณน่ะป่นปี้หมดแล้ว รู้หรือเปล่า!


เทพเจ้าโกรธจัด เขาสลัดก้อนอิฐออกไปและหันไปจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายหนีไปไกลลิบโดยเปิดใช้งานสายเลือดของตัวเอง


เทพเจ้าตัวสั่นเทิ้มด้วยแรงโทสะ เขาหันไปมองนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆและคำรามก้อง “ในเมื่อคุณอยากเล่นเกมกับผม ผมก็จะเริ่มด้วยการสังหารเจ้าพวกนั้น!”


เขามีเหตุผลบางอย่างที่ต้องการตัวขงซือเหยาแบบเป็นๆ แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ ชีวิตของคนเหล่านั้นไม่มีความหมาย


ฟึ่บ!


เทพเจ้าปล่อยพลังจากฝ่ามือออกไป แต่ยังไม่ทันที่พลังจากฝ่ามือของเขาจะถึงเป้าหมาย หอกเล่มหนึ่งก็เข้าขวางและสกัดกั้นการเคลื่อนไหวนั้นไว้ จางเซวียนยืนประจันหน้ากับเทพเจ้าและกระดิกนิ้วอย่างท้าทาย “เล่นงานผู้อ่อนแอ คุณช่างไร้เทียมทานอะไรอย่างนี้ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าไม่มีทางเลือก เพราะคุณทำอะไรผมไม่ได้!”


ฟิ้ววววว!


จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็ปล่อยอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งเข้าใส่เทพเจ้า


“ลูกไม้ราคาถูกจริงๆ! แต่จะเอาอย่างนั้นก็ได้ ผมเริ่มจากคุณก่อนก็แล้วกัน!” เทพเจ้าพุ่งเข้าใส่จางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ


การเคลื่อนไหวของเขาไม่ว่องไวนัก แต่ทุกย่างก้าวนำมาซึ่งพลังงานหนักหน่วงที่ทำลายมิติโดยรอบ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะก้าวข้ามบริเวณที่เขาเคยผ่านไปแล้วได้


เทพเจ้ายอมรับว่าความว่องไวของเขายังอ่อนด้อยกว่าจางเซวียน แต่ขอแค่เขาทำลายล้างมิติที่อยู่โดยรอบให้แหลกสลายได้ อีกฝ่ายก็ย่อมหมดหนทางหนี!


“เป็นกระบวนท่าที่ไร้รสนิยมสิ้นดี!” จางเซวียนเบะปาก เขาหันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆ “พวกคุณควรใช้โอกาสนี้เยียวยาร่างกายตัวเองนะ ระหว่างนี้ผมจะรับมือกับเขาไปพลางๆก่อน!”


จากนั้นจางเซวียนก็หลบไปอีกครั้ง


เมื่อเทพเจ้าเห็นจางเซวียนหนีไปอีกรอบ เขาก็ชำเลืองมองขงซือเหยา ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้จับตัวเธอให้ได้


แต่ราวกับจะอ่านใจของเขาออก จางเซวียนหันกลับมาอย่างปุบปับและเปิดการโจมตี ทั้งก้อนอิฐ ดาบ และหอกต่างพุ่งเข้าใส่เทพเจ้า เตรียมพร้อมจะทำลายกลยุทธการป้องกันตัวของเขาได้ทุกเมื่อ พร้อมกันนั้น ศพจำนวนมากก็ลอยเข้ามาและระเบิดเป็นชิ้นๆอยู่ตรงหน้า


ในที่สุดเทพเจ้าก็หมดความอดทนและตั้งต้นไล่ล่าจางเซวียนราวกับหมาล่าเนื้อ


ตราบใดที่หมอนั่นยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานเขาคงต้องเป็นบ้าแน่ ดูเหมือนเขาจะต้องกำจัดหมอนั่นให้ได้ก่อน!


บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!


จากนั้น ทั้งคู่ก็ตั้งต้นไล่ล่ากันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ฝ่ายหนีจะหันกลับมาเป็นระยะๆและปล่อยการโจมตีเข้าใส่ก่อนจะหนีไป ทำให้ฝ่ายไล่ล่าโมโหเดือดเป็นทวีคูณ


การสู้รบของทั้งสองทำให้อาณาจักรคุนฉื่อพังทลายไม่มีชิ้นดี


…..


พลั่ก!


หลังจากผู้เชี่ยวชาญอีกคนถูกสอยกระเด็น ฟ่านเฉี่ยวฉูยืนจังก้า เขามองไปรอบๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูราวกับผู้เชี่ยวชาญที่กำลังเหม็นเบื่อโลก “ยังมีใครอยากทดสอบพละกำลังของผมอีกไหม?”


หมี่ชวนกับพรรคพวกเป็นคนแรกๆที่เข้ามาต้อนรับนักเรียนใหม่ จึงมีผู้เชี่ยวชาญอีกบางส่วนที่ยังมาไม่ถึง เมื่อได้ยินว่านักเรียนใหม่ผู้ทรงพลังคนหนึ่งมาถึงสำนักแล้ว พวกเขาก็รีบเดินทางไป ทุกคนลดระดับวรยุทธและท้าทายอีกฝ่ายเข้าสู่การดวล แต่แล้วก็ต้องถอดใจเมื่อพบว่าไม่มีใครสักคนที่เอาตัวรอดจากกระบวนท่าแรกของอีกฝ่ายได้!


ที่สำคัญกว่านั้น ฟ่านเฉี่ยวฉูดูจะขัดเกลาทักษะของเขาได้ดีขึ้นเรื่อยๆจากการต่อสู้แต่ละครั้งที่ผ่านไป ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ถึงตอนนี้ ไม่มีใครที่มีวรยุทธระดับเดียวกันจะเทียบชั้นกับเขาได้แล้ว


อันที่จริง…ต่อให้ผู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นก็ยังสู้เขาไม่ได้


“ไม่จำเป็นหรอก ดวลกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์…” จ้งฉิงส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


ผลการดวลจะชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีพวกเขาสักคนที่เทียบชั้นกับฟ่านเฉี่ยวฉูได้


ฟ่านเฉี่ยวฉูกวาดสายตามองฝูงชนที่อยู่รอบตัวและตั้งคำถาม “ถ้าอย่างนั้น…ผมควรเลือกใครเป็นอาจารย์ของผม?”


ถึงเขาจะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้หมด แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเขาเป็นแค่นักเรียนใหม่ที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 และต้องการคำชี้แนะจากอาจารย์สักคน


“ผมมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะรับตำแหน่งนั้น!”


“ผมไม่คิดว่าผมจะเก่งกาจพอที่จะได้เป็นอาจารย์ของคุณ…”


ฝูงชนที่พ่ายแพ้พากันก้มหน้าด้วยความอับอาย


พวกเขาชื่นชอบยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นที่จะได้รับนักเรียนผู้ทรงพลังสักคนเป็นศิษย์สายตรง แต่ในเมื่อ ตัวเองยังเอาชนะชายหนุ่มไม่ได้ แล้วจะเอาสิทธิ์อะไรไปสั่งสอนเขา?


ทุกคนที่ได้สบตากับฟ่านเฉี่ยวฉูพากันหลบตาอย่างกระอักกระอ่วน เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บริเวณนั้นเงียบงันราวกับหลุมศพ


คิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ สุดท้ายฟ่านเฉี่ยวฉูก็พูดยิ้มๆ “อันที่จริงผมมีท่านอาจารย์คนหนึ่งอยู่ในใจแล้วล่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะขอรับคำชี้แนะของเขาได้หรือเปล่า!”


เมื่อเห็นความหวังที่จะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วน เหล่าผู้เชี่ยวชาญรีบตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร?”


ถึงตอนนี้ พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้ออกจากสถานการณ์อันน่าอับอายนี้เสียที!


“เขาชื่อจางเซวียน แต่อันที่จริง ผมก็ไม่แน่ใจว่านั่นคือชื่อจริงของเขาหรือเปล่า!” ฟ่านเฉี่ยวฉูตอบ


“จางเซวียน? มีใครในสำนักแห่งขงจื๊อที่ใช้แซ่จางด้วยหรือ?” จ้งฉิงสงสัย


ทุกคนที่อยู่ในสำนักแห่งขงจื๊อล้วนมาจากตระกูลและเชื้อสายของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ แล้วจะมี ‘แซ่จาง’ อยู่ได้อย่างไร?


หนานกงหยวนเฟิงเดินเข้ามาอย่างปุบปับแล้วพูดว่า “ชื่อนั้นฟังดูคุ้นหู ผมรู้จักจางเซวียนอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าเรากำลังพูดถึงคนๆเดียวกันหรือไม่”


มีผู้คนไม่มากนักในอาณาจักรคุนฉื่อที่เคยได้ยินชื่อจางเซวียน แต่ชื่อนั้นเป็นชื่อที่โด่งดังในทวีปแห่งปรมาจารย์


“ฮะ?” จ้งฉิงกับฟ่านเฉี่ยวฉูรีบหันมา


“ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ทรงพลังคนหนึ่งจากทวีปแห่งปรมาจารย์และเป็นหัวหน้าตระกูลจาง เหตุผลที่ในครั้งนั้นพวกเราเข้ายึดครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานไม่สำเร็จก็เพราะเขาขัดขวางภารกิจของเรา!” หนานกงหยวนเฟิงพูด


“จางเซวียนคนนั้นหรือ?” จ้งฉิงตาโตเมื่อนึกได้


เหล่าชนชั้นนำของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ต่างได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวิหารแห่งขงจื๊อ จากข้อมูลที่พวกเขาได้มา เกือบทุกอย่างที่พวกเขาหวังว่าจะได้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นผืนผ้าใบสี่ฤดูหรือผลโพธิ์ ก็ล้วนแต่ถูกชายผู้นั้นฉกฉวยไป


“แล้วคุณได้ยินชื่อของเขาได้อย่างไร?” จ้งฉิงจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง


น่าสงสัยเหลือเกินว่าฟ่านเฉี่ยวฉูรู้จักชื่อของจางเซวียนได้อย่างไรทั้งที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อมาชั่วชีวิต เรื่องนี้น่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น


“ผม…” ฟ่านเฉี่ยวฉูตัวแข็งทื่อเมื่อนึกได้ว่าเพิ่งหลุดปากความลับบางอย่างไป


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าจางเซวียนเป็นนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งของสำนักแห่งขงจื๊อ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นใครสักคนที่ใกล้ชิดกับสำนัก แต่กลับตรงกันข้าม อีกฝ่ายไม่ได้มาจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ด้วยซ้ำ


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมจางเซวียนจึงขอยืมตัวตนของเขาเพื่อจะได้เข้ามาที่นี่ ตอนนี้ตัวเขาได้สร้างปัญหาขึ้นแล้ว!


“คุณไม่เคยออกจากอาณาจักรคุนฉื่อเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะเคยได้ยินชื่อของเขา นั่นหมายความว่า…ตอนนี้จางเซวียนอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อใช่ไหม?” จ้งฉิงเลิกคิ้วขณะเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นในหัว


ดูจากการที่ฟ่านเฉี่ยวฉูกับพรรคพวกแข็งแกร่งขึ้นมาก อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขารู้จักชื่อจางเซวียน ข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดที่จ้งฉิงคิดออกในตอนนี้ก็คือ ปรมาจารย์ชื่อดังจากทวีปแห่งปรมาจารย์คนนั้นหาวิธีลักลอบเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อได้แล้ว!


“คือ…”


ฟ่านเฉี่ยวฉูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูด


ครู่หนึ่งให้หลัง เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้ากระจ่างพังทลาย กลายเป็นความว่างเปล่า


ทุกคนรีบเงยหน้ามอง เห็นสองร่างต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ ทุกครั้งที่ทั้งคู่ปะทะกัน ก็จะเกิดความว่างเปล่าที่ขยายตัวออกไปหลายลี้ สายฟ้าฟาดลงมาอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่าโลกนี้คงจะถูกพละกำลังทำลายล้างเล่นงานจนราบคาบไปในไม่ช้า


“คุณเป็นใครกัน?” ชายผู้หนึ่งที่มีเลือดเปรอะเต็มศีรษะตะโกนเสียงลอดไรฟัน


“ท่านปู่ของคุณไง, จางเซวียน!” อีกคนตอบอย่างลิงโลด


“เขาคือจางเซวียนหรือ?”


ทุกคนถึงกับผงะ


ตอนที่ 1895 ผมมีน้องชาย

ไม่มีคำไหนจะบรรยายความตื่นเต้นของฟ่านเฉี่ยวฉูในตอนนั้นได้


เขาเคยคาดเดาว่าจางเซวียนน่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่นึกไม่ถึงว่าจะทรงพลังขนาดนั้นในหมู่นักปราชญ์โบราณด้วยกัน เพราะถ้าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆก็คงไม่มีความจำเป็นต้องขอยืมตัวตนของเขาเพื่อจะได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ


แต่ในเวลานั้น พละกำลังมหาศาลที่จางเซวียนสำแดงออกมาหนักหน่วงเกินกว่าที่สวรรค์จะรับได้ ราวกับเขาลอยตัวอยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ขณะที่ทั้งสองแลกหมัดกันครั้งแล้วครั้งเล่า รอยแยกมากมายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มิติลี้ลับซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักแห่งขงจื๊อเกิดความตึงเครียดอย่างหนัก ราวกับทั้งมิติพร้อมจะพังทลายได้ทุกวินาที


“ขะ-เขาคือจางเซวียน? ในครั้งนั้นคุณต่อสู้กับเขาหรือ?” จ้งฉิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะหันไปมองหนานกงหยวนเฟิง


“ตอนนั้นเขาปลอมตัวเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลัว ใช้ชื่อหลัวเทียนหยา แต่เท่าที่ผมรู้มาหลังจากนั้น แท้ที่จริงแล้วเขาคือจางเซวียน…” หนานกงหยวนเฟิงพยักหน้า อดตัวสั่นไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับพละกำลังอันน่าทึ่งของอีกฝ่าย


ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นชายหนุ่มก็เพิ่งผ่านมาแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น ไม่ใช่หรือ?


มันเรื่องอะไรอีกฝ่ายถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้?


แม้แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ยังมีพละกำลังไม่เท่า ถ้าในครั้งนั้นชายหนุ่มแข็งแกร่งเหมือนอย่างวันนี้ เขาคงถูกสังหารไปแล้วด้วยการกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะปรานีเขาอยู่ไม่น้อย!


ฟึ่บ!


ในช่วงเวลาของความตกตะลึง ทั้งสองฝ่ายก็ฉีกกระชากมิติของสำนักแห่งขงจื๊อและหายวับไป


พริบตาต่อมา ทั้งสองก็มายืนอยู่เหนือสันเขาขนาดใหญ่


ในบริเวณนั้น บรรดาผู้เข้าทดสอบที่เพิ่งผ่านการทดสอบไปกำลังพยายามสุดชีวิตที่จะถอดรหัสค่ายกลบนตราหยกที่พวกเขาได้รับ ก็พอดีกับที่มีเสียงดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ ทุกคนเงยหน้ามอง และได้เห็นภาพที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต


สองผู้เชี่ยวชาญที่ร่างของพวกเขาถูกโอบล้อมด้วยลำแสงกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ทุกกระบวนท่าทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน ราวกับมาถึงจุดจบของโลก


หนึ่งในนั้นมีศีรษะอาบเลือด และสีหน้าคลุ้มคลั่งที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดจากแรงโทสะที่สะสมไว้ภายใน ส่วนอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มสุขุมเยือกเย็น เขาถือดาบไว้มั่นด้วยท่วงท่าสง่างาม


“พวกเขาเป็นนักปราชญ์โบราณหรือ?”


“ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะมีพละกำลังเหนือชั้นไปกว่านักปราชญ์โบราณ!”


“ว่าแต่…ทำไมนักปราชญ์โบราณสองคนถึงสู้กันล่ะ? ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจจะเล่นงานกันถึงตายเลยนะ!”


“ผมก็ไม่รู้ ทั้งคู่คงมีความขัดแย้งอะไรกันสักอย่าง…”


เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นด้านล่าง


บรรดาผู้เข้าทดสอบพากันจับจ้องการต่อสู้อันสง่างามนั้น ทุกคนกำหมัดแน่น นัยน์ตาเปล่งประกายของความอิจฉา


นี่คือสิ่งที่พวกเขาพากเพียรฝึกฝนมาชั่วชีวิต!


นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ทุกคนซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างและแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังปราณ ภารกิจอันยาวนานชั่วชีวิตในการไขว่คว้าพละกำลังอันแข็งแกร่งก็เริ่มต้น


พลังมหาศาลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเรียกได้ว่าเป็นเป้าหมาย ในสายตาของทุกคน มันคือความเป็นสุดยอดของโลกใบนี้


“คุณกล้าทำร้ายท่านอาจารย์ของเราหรือ?”


ในตอนนั้น สองเสียงก็ดังขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่วัยรุ่น 2 คนจะโผขึ้นไป


ลำแสงที่อยู่กลางอากาศเข้มข้นขึ้นทันที


น่าประหลาดใจที่หนึ่งในคู่ต่อสู้ซึ่งมีศีรษะอาบเลือดสามารถยืนหยัดอยู่ได้แม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมกันทีเดียวถึง 3 คน หลังจากแลกหมัดกันไปหลายครั้ง วัยรุ่นทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาเสริมกำลังภายหลังก็ถูกสอยลงไปกระแทกพื้น


“พวกคุณสู้เขาไม่ได้หรอก อย่าเข้ามาอีกนะ ไม่ต้องห่วง ปล่อยเป็นหน้าที่ของผม!” จางเซวียนพูด


พร้อมกันนั้น เขาก็สะบัดข้อมือและกระโจนเข้าสู่รอยแยกของมิติ หายวับไปจากสายตา


“คุณคิดจะไปไหน?” เทพเจ้าไล่ตามจางเซวียนไปทันที ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้


แล้วทั้งสองก็หายวับไป


ถ้าไม่ใช่เพราะรอยแยกของมิติมากมายที่เกิดขึ้นกลางอากาศซึ่งเป็นผลจากการต่อสู้ ทุกคนคงคิดว่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝัน


…..


“คุณบอกว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากอย่างนั้นหรือ?” หัวหน้าหมู่บ้านหินจ้องมองโฉมงามของหมู่บ้าน, ชิวหรู, เขาส่ายหน้า “จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร? ถ้าพวกเขาทรงพลังอย่างที่คุณว่าจริงๆ คุณคิดว่าจะเป็นไปได้หรือที่พวกนั้นจะยังคงทำตัวสุภาพกับพวกเรา และถึงกับ เสนอจ่ายค่าชดเชยให้เราสำหรับความเสียหายที่เกิดในท้องทุ่งด้วย?”


ดูเหมือนหัวจิตหัวใจของโฉมงามของหมู่บ้านน่าจะไม่อยู่กับร่องกับรอยนักนับตั้งแต่เธอกลับจากการเดินทางสั้นๆกับแขกทั้งสาม เพราะทันทีที่กลับมา เธอก็เที่ยวบอกใครต่อใครไปทั่วว่าแขกทั้งสามที่เพิ่งจากไปนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นนักรบระดับเซียน


แน่นอนว่าไม่มีใครในหมู่บ้านหินที่เชื่อเรื่องเหลวไหลแบบนั้น


ไม่มีทางที่นักรบระดับเซียนจะรักษามารยาทกับพวกเขาถึงขนาดยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับความเสียหายที่เกิดขึ้น อีกอย่าง ถ้าคนพวกนั้นเป็นนักรบระดับเซียนจริงๆ ก็คงบินไปถึงเมืองฟ่านแล้วทำไมถึงมัวมาเสียเวลาขี่หลังอสูรวิเศษของชิวหรู?


ในความเห็นของพวกเขา นักรบระดับเซียนคือผู้มีอำนาจและเป็นจอมบงการ คนเหล่านั้นสูงส่งถึงขนาดที่หากไปมีเรื่องด้วยก็อาจถูกลงโทษถึงตาย ไม่มีใครนึกภาพนักรบระดับเซียนที่สุภาพอ่อนโยนออกเลย


“นี่เรื่องจริงนะ ทำไมพวกคุณไม่เชื่อฉัน? ฉันเห็นพวกเขาบินอยู่กลางอากาศโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยเหลือใดๆ เห็นมากับตาเลย พวกเขาบินเร็วมากด้วย!” ชิวหรูอุทานออกมา


น่าท้อใจเหลือเกินที่เห็นทุกคนทำท่าราวกับเธอกำลังโกหกคำโต


เธอแน่ใจว่าเห็นทั้งสามหายวับไปต่อหน้าต่อตา! แม้ตอนแรกจะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ แต่ก็แน่ใจว่าพวกนั้นต้องเป็นนักรบระดับเซียนแน่!


ถ้าเธอรู้เสียก่อนว่าสามคนนี้เป็นนักรบระดับเซียน จะไม่มีวันแสดงทีท่าหยาบคายใส่ คงจะขอคำชี้แนะเรื่องวรยุทธจากพวกเขาอย่างนอบน้อมถ่อมตัว


“ผมรู้ว่าคุณน่ะทะเยอทะยาน แต่นักรบระดับเซียนน่ะมีอยู่เฉพาะในตระกูลใหญ่ๆเท่านั้น คนอย่างเราๆไม่มีโอกาสได้เห็นพวกเขาหรอก…” หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจเฮือกขณะพยายามปลอบโยนชิวหรู


แต่ในตอนนั้น เสียงดังกึกก้องราวกับพายุใหญ่ก็ดังไปทั่ว


ทุกคนรีบเงยหน้า ภาพที่เห็นคือสองร่างที่ถูกโอบล้อมด้วยลำแสง


พวกเขาแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ทุกการปะทะทำให้พื้นผิวของมิติถูกฉีกกระชากจนขาดออกจากกัน รอยแยกดำมืดปรากฏขึ้นโดยรอบ


“นั่น…ใช่ชายหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า?”


เหล่าสมาชิกในหมู่บ้านพากันตาโตด้วยความตกใจเมื่อจำหนึ่งในสองร่างที่อยู่กลางอากาศได้


แน่นอนว่าชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศโดยใช้หอกคือคนๆเดียวกันกับที่พวกเขาได้ต้อนรับเข้าสู่หมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้!


โฉมงามของหมู่บ้านเพิ่งบอกว่าพวกเขาน่าจะเป็นนักรบระดับเซียน และทุกคนก็คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่สิ่งที่ได้เห็นกับตานั้นเหนือชั้นไปกว่าที่นักรบระดับเซียนหรือแม้แต่ระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สักคนจะทำได้!


“ขะ-เขา ที่จริงเขาเป็นนักปราชญ์โบราณ!” หัวหน้าหมู่บ้านโพล่งออกมา รู้สึกปากคอแห้งผาก


แม้พวกเขาจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาสามัญที่ไม่มีความสามารถแม้แต่จะฝึกฝนวรยุทธ แต่ก็พอรับรู้อยู่บ้างถึงระดับวรยุทธที่หลากหลายและความแข็งแกร่งที่นักรบในแต่ละขั้นมี


ต่อให้นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงเกียรติในหมู่ชนชั้นนำของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่อาจเรียกพละกำลังมหาศาลระดับนั้นมาได้ ชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศจะต้องเป็นนักปราชญ์โบราณอย่างแน่นอน และทรงพลังมากด้วย


“ฉันได้เดินทางไปกับนักปราชญ์โบราณ…แต่ไม่เพียงจะไม่สนใจเรียนรู้จากเขา ฉันยัง…ดูถูกเขาด้วยหรือนี่?” ชิวหรู, โฉมงามของหมู่บ้านแทบปล่อยโฮเมื่อรู้ความจริง


ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เธอปรารถนามาตลอดที่จะยกระดับวรยุทธให้สูงกว่านี้ แต่เมื่อโอกาสมาถึง ก็กลับปล่อยให้หลุดมือไปอย่างง่ายดายเพราะความเย่อหยิ่งของตัวเอง


ถึงเธอจะได้การยอมรับอย่างสูงในหมู่บ้าน แต่ก็รู้ดีว่าผู้ที่มีความสามารถระดับเธอไม่มีทางเข้าตานักปราชญ์โบราณคนไหนทั้งนั้น


ในชั่วพริบตา สีหน้าของเธอก็หม่นหมองด้วยความเสียใจ


…..


ในวันนั้น เกือบทุกคนในร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้เป็นสักขีพยานต่อการดวลอันดุเดือดกลางอากาศระหว่างผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดสองคน ภาพของสองร่างนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเขา


ต่อให้อีกหลายหมื่นปีผ่านไป เหตุการณ์นี้ก็จะเป็นตำนานที่ไม่มีวันตาย


ทำไมเราถึงหาที่โล่งๆไม่ได้เลยนะ? จางเซวียนขมวดคิ้ว สีหน้ายุ่งยากใจ


เขาไม่ได้วิ่งพล่านไปทั่วเพื่อโอ้อวดพละกำลังของตัวเอง แต่กำลังพยายามจะหาที่สงบๆสักแห่งเพื่อปลดปล่อยไม้ตายของเขา โลกที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ตั้งอยู่นี้ช่างพลุกพล่านเหลือเกิน!


เขาไม่ชอบเปิดเผยไม้ตายให้ใครๆเห็น แม้จะเป็นพวกเดียวกันก็ตาม


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงได้แต่ถอยไปเรื่อยๆขณะพยายามปัดป้องเทพเจ้าออกไป


ครู่ต่อมา ทั้งสองก็มาถึงสันเขาโล่งแจ้งแห่งหนึ่ง


“ได้เวลาเสียที…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ดูเหมือนในที่สุดความพยายามของเขาก็ส่งผล


เขารีบขว้างธงค่ายกลจำนวนหนึ่งลงไปและปิดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีของเขารั่วไหล


“อ้าว? ไม่หนีแล้วหรือ? คุณคงถอดใจและพร้อมยอมตายแล้วสินะ” เทพเจ้าคำรามเยาะเมื่อเห็นชายหนุ่มล้มเลิกการหลบหนี


เขาไม่ได้ไล่ล่าจางเซวียนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ตลอดการไล่ล่า เขารับรู้ได้ถึงความเก่งกาจของจางเซวียน แต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ขอแค่หมอนั่นหยุดวิ่งหนี


“ถอดใจและพร้อมยอมตาย? คุณจะด่วนสรุปไปหน่อยไหม? เอาเถอะ…พอดีว่าผมมีน้องชายฝาแฝดคนหนึ่ง อยากให้เขาได้พบคุณ…”


จางเซวียนสะบัดข้อมือขณะที่พูดคำนั้น


ฟึ่บ!


ร่างหนึ่งที่หน้าตาเหมือนจางเซวียนเป๊ะปรากฏขึ้นข้างตัวเขา


ตอนที่ 1896 สังหารเทพเจ้า

“น้องชายฝาแฝด?” เห็นการปรากฏตัวของอีกร่างหนึ่งที่มีหน้าตาและรังสีของจิตวิญญาณเหมือนกันเป๊ะกับจางเซวียน เทพเจ้าชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มอย่างรู้ทัน “ตัวโคลนของคุณงั้นสิ ใช่ไหม? ฝีมือดีไม่เบานะ การที่ตัวโคลนมีพละกำลังทัดเทียมกับร่างต้นแบบได้ก็แปลว่าต้องใช้วัสดุล้ำค่าบางชนิด เยี่ยมจริงๆ, ผมจะนำมันไปด้วย!”


มีนักรบจำนวนหนึ่งในมิติเบื้องบนที่สร้างตัวโคลนของตัวเองขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ แต่ส่วนมากตัวโคลนเหล่านั้นจะดูเหมือนหุ่นกระบอกที่มีความเหมือนกับร่างต้นแบบเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก


ส่วนตัวโคลนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขามีจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นั่นหมายความว่าวัสดุที่ใช้รังสรรค์ตัวโคลนจะต้องมีคุณภาพสูงมาก ต่อให้วัดตามมาตรฐานของมิติเบื้องบนก็ตาม หากเขายึดครองทรัพย์สมบัติล้ำค่านี้ไปเป็นของตัวเองและหล่อหลอมให้กลายเป็นตัวโคลนของเขาได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทันที


เทพเจ้านัยน์ตาแดงก่ำ เขาชี้หน้าตัวโคลนและพูดด้วยริมฝีปากสั่นเทา “นับจากวันนี้ไป แกจะต้องเป็นของฉัน…”


บึ้มมมม!


พลังงานแรงกล้าระเบิดเข้าใส่ตัวโคลน แต่ยังไม่ทันจะถึงร่างของอีกฝ่าย การมองเห็นของเทพเจ้าก็พร่าเลือนไป


ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ตัวโคลนก็มายืนประจันหน้าแล้ว และขาข้างหนึ่งก็ตวัดเข้าใส่ใบหน้าของเขา ตัวโคลนตั้งคำถามห้วนๆ “คุณเป็นใครกัน? หน้าอย่างคุณน่ะ คิดหรือว่าจะมีปัญญาทำให้ผมยอมจำนนได้?”


“คุณ…” เทพเจ้าอ้าปากค้าง เขารีบคว้าขาของตัวโคลนไว้เพื่อยับยั้งการโจมตี แต่ขาอีกข้างของตัวโคลนก็ตวัดเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง


พลั่ก!


เทพเจ้าถูกเตะเข้าที่โหนกแก้มจนใบหน้ายุบเข้าไปเพราะแรงปะทะหนักหน่วงนั้น


“อะไรกัน? เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” เทพเจ้าถึงกับจังงัง


ที่จังงังไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับ แต่เป็นเพราะแรงเตะนั้นทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ


บรรดาตัวโคลนที่เขาเคยเห็นมาล้วนแต่อ่อนแอกว่าร่างต้นแบบทั้งสิ้น แต่ทำไมตัวโคลนของชายคนนี้ถึงแข็งแกร่งกว่าร่างต้นแบบ? มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?


ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!


“คุณน่ะหาเรื่องโดยใช่เหตุ ร่างต้นแบบของผมอ่อนแอจะตาย จะมาเทียบชั้นกับผมได้อย่างไร?” ตัวโคลนเยาะหยันขณะพุ่งเข้าเล่นงานเทพเจ้าอีกครั้งโดยตวัดขาเข้าใส่อย่างรวดเร็ว


เพราะจางเซวียนกดข่มระดับวรยุทธของเขาไว้ เขาจึงเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ตัวโคลนนั้นไม่ใช่ ในฐานะของล้ำค่าระดับเทพเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่ตัวโคลนจะต้องกดข่มระดับวรยุทธ เมื่อ 1 เดือนก่อน เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้วโดยใช้นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ ทำให้กลายเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างเต็มตัว


แม้ตอนที่ทั้งสองยังมีวรยุทธขั้นเดียวกัน จางเซวียนก็เทียบชั้นกับตัวโคลนของเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้วรยุทธของเขากับตัวโคลนห่างกันถึง 3 ขั้นเต็มๆ ถ้าจางเซวียนต้องต่อสู้กับตัวโคลนในเวลานี้ ก็ทำได้เพียงใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกรปกป้องตัวเองเท่านั้น


สีหน้าประหลาดใจของเทพเจ้าค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นขณะระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! สวรรค์เมตตาผมแล้ว ตอนนี้ผมยิ่งตั้งใจมุ่งมั่นกว่าเดิมว่าจะต้องครอบครองคุณให้ได้!”


เขากรีดร้องเสียงแหลม จากนั้นก็กระโจนเข้ารับมือกับการโจมตีของตัวโคลน เทพเจ้ารวบรวมพละกำลังทั้งหมดเพื่อจะเล่นงานแสนยานุภาพของตัวโคลนให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็พอดีกับที่มีเงาหนึ่งมืดทะมึนอยู่เหนือร่างของเขา


เทพเจ้ารีบล่าถอยด้วยความหวาดระแวงก่อนจะเงยหน้ามอง มันคือหนังสือเล่มมหึมา จากนั้นฝ่ามือสีดำสนิทก็โผล่ออกมาจากหนังสือและตรงเข้าเล่นงานใบหน้าของเขา


พลั่ก!


การโจมตีครั้งนี้ทำให้เขาหมุนคว้างไป 2 รอบขณะเลือดสาดกระจายไปทั่ว


“นี่มันบ้าบออะไร?”


เทพเจ้าประหลาดใจกับไม้ตายทั้งหมดที่จางเซวียนซุกซ่อนไว้


หมอนี่ยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง? เริ่มแรกก็หอก ดาบ ต่อมาก็ก้อนอิฐ จากนั้นไม่นานก็เป็นตัวโคลน มาถึงตอนนี้…หนังสือเล่มหนึ่งก็เข้าร่วมวงด้วย


ที่สำคัญกว่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานหนักหน่วงอย่างน่าทึ่งที่แผ่ซ่านออกมาจากหนังสือ บางสิ่งที่มีพละกำลังทัดเทียมกับเขาถูกสกัดกั้นไว้ในนั้น!


ฟึ่บ!


ในช่วงเวลาที่เทพเจ้ากำลังประหลาดใจ จางเซวียนก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับหอกในมือซ้ายและดาบในมือขวา เขากวัดแกว่งอาวุธทั้ง 2 ชิ้นด้วยความสอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างน่าทึ่ง ทำให้เทพเจ้าปั่นป่วนไปครู่หนึ่งเพราะการโจมตีที่ผสมผสานกันอย่างพิสดารพันลึกนั้น


ระหว่างนั้น ตัวโคลนกับไอ้โหดก็รี่เข้าเล่นงานเทพเจ้า


พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!


เมื่อเจอกับการโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงไม่นานเทพเจ้าก็ถูกเล่นงานไปหลายร้อยครั้ง แรงปะทะนั้นทำให้กระดูกกระเดี้ยวของเขาแตกสลาย อวัยวะภายในเคลื่อนไปจากจุดเดิม ไม่มีส่วนไหนในร่างกายของเขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ


“ไม่จริง มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้…”


เป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาของการต่อสู้ที่เทพเจ้ารู้สึกหวาดกลัว


เขารีบตรงเข้ามาที่นี่เมื่อรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของปราการแห่งมิติ เพราะคิดว่าน่าจะเสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติล้ำค่าหายากบางอย่างได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายเขาจะต้องมาจนมุมอยู่ในมิติเบื้องล่างแห่งนี้?


ลำพังจางเซวียนคนเดียวก็เป็นคู่ต่อสู้ที่เจ้าเล่ห์เจ้ากลพออยู่แล้ว แต่เขายังต้องรับมือกับผู้เชี่ยวชาญอีก 2 คน ที่มีพละกำลังทัดเทียมกับเขาพร้อมๆกันด้วย แล้วจะเอาชนะได้อย่างไร?


ในส่วนลึกของหัวใจ เทพเจ้ารู้สึกสิ้นหวัง รู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินไปแบบนี้ได้ เขาจำเป็นต้องหลบหนี


ดังนั้น เทพเจ้าจึงรวบรวมพลังงานที่ดูเหมือนกับว่ากำลังจะปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้าย ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสามรีบป้องกันตัว แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือกลลวง เมื่อไม่มีใครเข้าโรมรันพันตูกับเขา เขาก็หันหลังกลับและรีบหนีไป


แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล ทั้งโลกก็มืดมิด เทพเจ้ามีเวลาเพียงแค่เงยหน้ามองก่อนที่อิฐก้อนใหญ่จะโถมเข้าเล่นงานศีรษะของเขาอีกครั้ง


ราวกับหมอนี่ใช้เวลาอยู่กลางอากาศมาตลอด เฝ้ารอโอกาสเหมาะๆที่จะโจมตีศีรษะของเขา!


พลั่ก!


ถึงแรงกระแทกจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับเทพเจ้ามากนัก แต่ก็ทำให้เขามึนงงไปครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่เทพเจ้ากำลังวอกแวกนั้นถือเป็นโอกาส พริบตาต่อมา หอกและดาบอย่างละเล่มก็แทงทะลุหน้าอกของเขา จากนั้นหมัดหนึ่งก็ชกเข้าที่ศีรษะ แล้วมือสีดำอีกข้างก็ควักหัวใจ


แม้เมื่อถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย เทพเจ้าก็ยังคงมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ ราวกับยังทำใจไม่ได้ที่นักรบผู้เก่งกาจเหนือชั้นอย่างเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับฝูงมด ขณะที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดรอดออกจากริมฝีปาก ร่างของเขาก็อ่อนปวกเปียกและร่วงลงมาจากกลางอากาศ


น่าเสียดายถ้าปล่อยให้เลือดเนื้อของผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ต้องร่วงลงไปอยู่กับพื้น จางเซวียนคิดขณะรีบเก็บศพของเทพเจ้าเข้าสู่รังนางพญามด


จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก การต่อสู้สิ้นสุดแล้ว


ถึงอย่างไร ศัตรูที่เขาเผชิญหน้าก็เป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ หากทำอะไรผิดพลาดไปสักนิดในระหว่างการต่อสู้ คงจะถูกเล่นงานถึงตายทันที ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงทุ่มเทสมาธิทั้งหมดของเขาตลอดช่วงระยะเวลานั้น


แต่รางวัลจากการต่อสู้ก็ถือว่าคุ้มค่า แน่นอนว่าเลือดเนื้อและร่างกายของเทพเจ้าจะต้องเป็น ขุมทรัพย์ชั้นดีสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณของเขาในอนาคต


จางเซวียนเก็บตัวโคลนกับไอ้โหดเข้าสู่รังนางพญามด จากนั้นก็หันไปมองสันเขาที่มีแต่ความว่างเปล่า เขาเหม่อมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินทางกลับ


…..


บนแท่นบูชาที่อยู่ใจกลางสันเขา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เขามองรอยแยกแห่งมิติขนาดใหญ่ที่อยู่รอบตัวด้วยสีหน้าเป็นกังวล


ในตอนนั้น ขงซือเหยาก็บินมาสมทบและตั้งคำถาม “นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ชายหนุ่มคนนั้นคือปรมาจารย์ฟ้าประทานที่คุณเคยพูดถึง, จางเซวียน ใช่ไหม?”


เพราะสำแดงความสามารถของสายเลือดด้วยพละกำลังเกินพิกัด สีหน้าของเธอจึงซีดเผือดอย่างน่ากลัว เธอต้องใช้เรี่ยวแรงทุกหยาดหยดที่มีเพื่อให้ยังคงบินได้


“ใช่” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้า


“เขาเป็นคนพิเศษจริงๆ…” ขงซือเหยาพยักหน้าด้วยความยำเกรง


สวรรค์ประทานให้เธอมีสายเลือดอันทรงพลังแต่กำเนิด จึงไม่มีใครเทียบชั้นกับเธอได้ในด้านความปราดเปรื่อง เธอเคยมั่นใจว่าในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ ย่อมไม่มีใครที่แข็งแกร่งกว่าเธออีกแล้ว แต่จากการต่อสู้เมื่อครู่ ก็เห็นได้ชัดว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าเธอมาก


ตั้งแต่ได้ยินชื่อเสียงของจางเซวียน เธอก็อยากพบหน้าและประลองกับเขา เธอคิดว่าหลังจากที่เธอฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณแล้วก็คงจะดวลกับเขาได้ แต่เท่าที่เห็น คงไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นอีก


เพราะแม้จะเปิดใช้งานความสามารถของสายเลือด เธอก็ยังยับยั้งการโจมตีของเทพเจ้าไม่ได้ ส่วนชายหนุ่มกลับต่อสู้กับเทพเจ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ทั้งยังล่ออีกฝ่ายออกไปได้ด้วย เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วถึงช่องว่างในความสามารถของทั้งคู่


“ปฏิเสธไม่ได้ว่าจางเซวียนน่ะเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่เขาก็ยังคงอ่อนด้อยกว่าหากเทียบกับเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน ผมเกรงว่าเขาจะตกอยู่ในอันตราย!” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งเปรยอย่างเป็นห่วง


“ด้วยสภาวะของพวกเราในตอนนี้ เราช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก แค่จะพยุงกำลังของค่ายกลไว้ยังทำไม่ได้เลย…”


ตอนนี้บรรดานักปราชญ์โบราณมีสภาพเป็นแค่โครงกระดูก และอาจเสียชีวิตในไม่ช้าหากปราศจากนิรันดร์กาลนักของนักปราชญ์โบราณที่จะมาฟื้นฟูพลังงานของพวกเขา ในสภาพนี้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำเพื่อช่วยเหลือจางเซวียนได้


เพราะรู้เรื่องนี้ดี นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจึงได้แต่ส่ายหน้า


ถึงเทพเจ้าจะถูกจางเซวียนล่อออกไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอันตรายครั้งนี้จะจบสิ้น ค่ายกลที่มีศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพยุงกำลังไว้เปิดออกแล้ว และพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็กำลังทะลักเข้ามาข้างใน หากพวกเขาไม่รีบสมานรอยแยกให้ไว ทุกชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อจะต้องตายเพราะพลังงานหนักหน่วงนั้น


ชีวิตประชากรทั้งหมดของพวกเขากำลังตกเป็นเดิมพัน!


“โชคดีที่พลังงานนี้ไม่ได้ทะลักเข้ามารวดเร็วนักเพราะน้ำหนักของมัน ซึ่งสิ่งที่ด่วนกว่าสำหรับพวกเราก็คือกำจัดเทพเจ้าให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่เราทำไปจะต้องสูญเปล่า” ขงซือเหยาพูด


ขอแค่พวกเขาปิดกั้นจุดชีพจรไว้ ก็จะสามารถต้านทานพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ตราบใดที่เทพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็จะเหมือนกับมีกิโยตีนที่พร้อมจะฟันคอของพวกเขาให้ขาดได้ในทุกขณะ


“คุณพูดถูก ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต พวกเราก็จะต้องกำจัดเทพเจ้านั่นให้ได้…”


ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ละคนรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายและกำลังจะเคลื่อนตัวไปตามทิศทางที่จางเซวียนหายตัวไป ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่เข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย


เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดปราศจากฝุ่นผง ไม่มีร่องรอยของเลือดหรือบาดแผลบนร่างกาย ราวกับว่าที่เขาจากไปเมื่อครู่ก่อนนั้นไม่ใช่เพื่อไปต่อสู้ แต่ไปพักผ่อนในวันหยุด


ชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นใครอื่นได้นอกจากจางเซวียน?


“คะ-คุณไม่เป็นอะไรหรือ? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเทพเจ้า? คุณ…ฆ่าเขาหรือเปล่า?” ทุกคนถาม อย่างร้อนรน


ตอนที่ 1897 ซ่อมแซมค่ายกล

“ก็อย่างที่พวกคุณเห็นแหละ ผมสบายดี” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ส่วนเรื่องเทพเจ้า พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องเขาอีกแล้ว”


ระหว่างทางที่มา จางเซวียนได้ชำระล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดเพื่อทำตัวให้สดชื่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็เสียเหงื่อไปไม่น้อยระหว่างการต่อสู้ ความรู้สึกของเสื้อผ้าที่แนบติดผิวหนังทำให้เขาออกจะเหนอะหนะไม่สบายตัว


เวลาเดินไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าฝูงชนจะรับรู้เรื่องราวที่ชายหนุ่มกำจัดเทพเจ้าได้สำเร็จ ทุกคนมีสีหน้าที่บ่งบอกความยำเกรง


เอาชนะเทพเจ้าผู้ทรงพลังได้โดยไร้รอยขีดข่วน ชายหนุ่มช่างเก่งกาจจนน่าสะพรึง!


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงสูดหายใจลึกเพื่อบรรเทาความตกตะลึง เขาจ้องมองรอยแยกแห่งมิติที่อยู่โดยรอบก่อนจะหันกลับมามองหน้าจางเซวียนอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ปรมาจารย์จาง ผมเข้าใจว่าคุณมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องค่ายกล จะขอรบกวนให้คุณซ่อมแซมค่ายกลให้พวกเราหน่อยได้ไหม?”


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรู้ดีว่าในเวลานี้ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ขาดความสามารถที่จะซ่อมแซมค่ายกลซึ่งแหลกสลายไปแล้ว แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาน่าจะทำได้


เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นคนนอก…และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เรียกได้ว่าไม่ราบรื่นนัก อีกอย่าง ก็เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่ชายหนุ่มได้ทำคุณงามความดีครั้งใหญ่ด้วยการหลอกล่อเทพเจ้าออกไปและกำจัดอีกฝ่ายได้สำเร็จแม้ตัวเองจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอดละอายใจไม่ได้ที่จะต้องขอความช่วยเหลือจางเซวียนอีกครั้ง


“ไม่มีปัญหา ว่าแต่คุณมีพิมพ์เขียวและกรรมวิธีซ่อมแซมค่ายกลหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นค่ายกลแบบนี้ มันใช้ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเป็นแกนกลางในการสกัดกั้นทางเดินแห่งมิติที่นำไปสู่มิติเบื้องบน ความซับซ้อนของมันเหนือชั้นกว่าค่ายกลไหนๆที่เขาเคยพบ


ต่อให้เป็นตัวเขาก็น่าจะซ่อมแซมมันได้ยากหากปราศจากพิมพ์เขียว


“เรามี” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบขณะยื่นตราหยกอันหนึ่งให้ “ที่อยู่ในนี้คือโครงสร้างของค่ายกล รวมทั้งข้อมูลต่างๆที่บรรพบุรุษหลายชั่วคนของเราบันทึกไว้ระหว่างทำการซ่อมแซมมัน”


จางเซวียนรับตราหยกมาแล้วรีบอ่านรายละเอียด ไม่ช้าก็จดจำค่ายกลทั้งหมดได้ขึ้นใจ


ชื่อของค่ายกลเยิ่นเย้อยืดยาวมาก มันคือค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอย ว่ากันว่าปรมาจารย์ขงสร้างมันขึ้นด้วยตัวเองเพื่อปิดกั้นทางเดินแห่งมิติที่เชื่อมโยงกับมิติเบื้องบน เมื่อค่ายกลเข้าประจำตำแหน่ง ต่อให้นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็ยังทำลายมันได้ยาก


นั่นเขากำลังพยายามจะซ่อมแซมค่ายกลทันทีที่ได้ศึกษามันหรือ? หรือว่า…ความปราดเปรื่องในวิชาชีพรองรับของเขาก็พอๆกันกับเรา? เขาสามารถเชี่ยวชาญศาสตร์ทุกด้านได้ภายในเวลาเพียงครู่เดียวหลังจากได้เรียนรู้มัน เหมือนเราหรือไง? ขงซือเหยาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


เพราะมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของปรมาจารย์ขง ความสามารถของขงซือเหยาในการซึมซับข้อมูลใหม่ๆจึงจัดว่าน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพรองรับหรือเทคนิคการต่อสู้ใดๆ เธอจะทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญมันได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากได้เรียนรู้หลักการของมัน เธอจึงไม่ได้ทุ่มเทเวลามากนักให้กับการขัดเกลาทักษะของตัวเอง


ช่างน่างุนงงที่ชายหนุ่มตอบรับคำขอของพวกเขาอย่างมั่นอกมั่นใจและไม่ลังเลทั้งที่ยังไม่เคยเห็นค่ายกลมาก่อน คงไม่ใช่ว่าเขามีความสามารถแบบเดียวกับเธอหรอกนะ ใช่ไหม?


แต่ต่อให้เขาปราดเปรื่องพอๆกับเรา การศึกษาค่ายกลที่มีความซับซ้อนระดับนี้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันกว่าจะเชี่ยวชาญ แล้วเขาจะทำสำเร็จทันเวลาหรือ? ขงซือเหยาครุ่นคิดอย่างกังวลใจขณะมองพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทซึ่งกำลังพวยพุ่งเข้ามาจากรอยแยกแห่งมิติ


เมื่อหวนนึกถึงความจริงที่ว่าชายหนุ่มเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานคนหนึ่งเหมือนกับปรมาจารย์ขง ก็ไม่น่าประหลาดใจนักที่เขาจะมีความสามารถเหนือชั้นกว่าธรรมดา แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด สิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้สำเร็จก็ย่อมมีขีดจำกัดเช่นกัน


ค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอยนั้นซับซ้อนถึงขนาดที่เธอต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะเข้าใจระบบการทำงานของมันทั้งหมด ต่อให้ชายหนุ่มมีพรสวรรค์มากกว่าและซึมซับข้อมูลใหม่ได้รวดเร็วกว่าเธอเป็น 2 เท่า ก็ไม่น่าจะซ่อมแซมค่ายกลได้ทันเวลา!


พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นเพิ่งลามเข้ามาถึงบริเวณแท่นบูชาที่พวกเขาอยู่ แต่ด้วยอัตราการไหลบ่าระดับนี้ กว่าจะหมดวัน ก็น่าจะกินพื้นที่ราว 1 ใน 3 ของอาณาจักรคุนฉื่อแล้ว ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต่อคุณภาพของพลังจิตวิญญาณ และข้าวสาลีแตกยอดที่พวกเขาลงแรงปลูกด้วยความยากลำบากก็จะตายหมด


ทุกอย่างที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีจะพังราบคาบไม่มีเหลือ


เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พวกเขาซ่อมแซมค่ายกลได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร!


อีกอย่าง ทุกคนก็ยังข้องใจว่าชายหนุ่มจะมีวิธีซ่อมแซมมันหรือไม่ มันเป็นการมองโลกในแง่ดีอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก แต่ก็พูดได้คำเดียวว่าการเอ่ยปากขอร้องอีกฝ่ายถือเป็นเดิมพันตาสุดท้าย


แต่ขณะที่ขงซือเหยายังคงจับจ้องอย่างเป็นกังวล ก็เห็นจางเซวียนยื่นตราหยกคืนให้ จากนั้นเขาก็หันไปมองฝูงชนพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ “ผมจะเริ่มต้นซ่อมแซมแล้วนะ พวกคุณกรุณาถอยไปก่อน”


ได้ยินคำนั้น ขงซือเหยากระพริบตาปริบๆ


เธอยกมือขวาขึ้นมานับนิ้ว…สามอึดใจ…เขาทำความเข้าใจค่ายกลทั้งหมดนั่นได้ภายในเวลาเพียงสามอึดใจหรือ?


ขณะที่ขงซือเหยายังคงจังงัง ชายหนุ่มก็เริ่มต้นเคลื่อนไหว เขากางนิ้วทั้งห้าออกและผลักดันพลังปราณให้พุ่งขึ้นสู่กลางอากาศราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก เกิดเป็นภาพลวงตาของสะพานสีรุ้งมากมายที่ทอดยาวข้ามความว่างเปล่า


จางเซวียนยืนอยู่บริเวณใจกลางสิ่งที่ดูเหมือนสะพานสวรรค์ สีหน้าท่าทางของเขาดูราวกับเป็นผู้ ควบคุมกฎเกณฑ์ของโลก


เขาเคลื่อนไหวนิ้วอย่างแผ่วเบาเพื่อควบคุมสะพานที่เป็นภาพลวงตา ดูคล้ายกับมือบรรเลงบทเพลงปีศาจที่กำลังบรรเลงเพลงสักบทหนึ่ง พร้อมกันกับการเคลื่อนไหวของเขา เสียงลมพัดไพเราะแผ่วเบาก็แว่วมา


นั่นคือ…เสียงจากสวรรค์? ขงซือเหยาตัวสั่น


ตำนานกล่าวไว้ว่าหากใครสักคนเขาถึงขั้นความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบกับสวรรค์ ไม่ว่าคนๆนั้นจะมาจากวิชาชีพไหน เสียงจากสวรรค์ก็จะปรากฏ ชายหนุ่มศึกษาพิมพ์เขียวของค่ายกลแค่สามอึดใจ แต่ไม่เพียงจะทำความเข้าใจค่ายกลได้ครบถ้วน ยังยกระดับมันให้สูงขึ้นได้ด้วย


นี่เธออ่อนด้อยกว่าเขาจริงๆหรือ?


แต่เธอคือทายาทของปรมาจารย์ขงผู้เป็นตำนานนะ มีสายเลือดที่บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครเทียบได้!


ขงซือเหยาขัดอกขัดใจ เธอเฝ้าดูต่อไปและเห็นจางเซวียนเคลื่อนไหวนิ้วเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็ปรากฏภาพติดตา สะพานที่เป็นภาพลวงตานั้นร่ายรำอย่างสง่างามอยู่กลางอากาศ เกิดเป็นภาพงดงาม


เขากำลังเร่งความเร็วหรือ? ไม่กลัวว่าจะผิดพลาดหรือไง? ขงซือเหยาตัวสั่นกับความเร็วในการเคลื่อนไหวของจางเซวียน


ด้วยความซับซ้อนของค่ายกล เธอเคยคิดว่าต่อให้จางเซวียนทำความเข้าใจมันได้ ก็น่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสกัดกั้นกระแสการไหลบ่าของพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ก่อนจะค่อยๆฟื้นฟูพละกำลังของค่ายกลกลับมา ซึ่งทั้งหมดนี้ เธอคาดว่าตลอดกระบวนการน่าจะกินเวลา 1 เดือนเต็มๆ


แต่ในเวลานี้ มือไม้ของจางเซวียนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเสียจนเกือบมองตามไม่ทัน หากเขาทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแต่ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดจะสูญเปล่า เขายังจะต้องเผชิญกับแรงตีกลับอย่างรุนแรงจากค่ายกลด้วย


2-3 อึดใจผ่านไป แต่ไม่เพียงการเคลื่อนไหวของจางเซวียนจะไม่ช้าลง มันกลับเร็วขึ้นอีก


เมื่อไม่อาจอดทนกับความตึงเครียดนั้นได้อีกต่อไป ขงซือเหยาสะบัดข้อมือและนำกระจกเงาออกมาบานหนึ่ง เธอส่องมันตรงไปที่จางเซวียน


กระจกเงานี้คือมรดกตกทอดของครอบครัวที่ส่งต่อกันมาในตระกูลขง เป็นที่รู้จักกันในชื่อกระจกเงาสวรรค์ลึกล้ำ เมื่อนำกระจกมาวิเคราะห์ความเข้มข้นของพลังงานที่แผ่ออกมาจากค่ายกล มันจะสามารถตัดสินได้ว่าการเคลื่อนไหวของผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลคนนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าการเคลื่อนไหวของเขาถูกต้อง ตัวหนังสือคำว่า ‘ถูกต้อง’ ก็จะสะท้อนขึ้นมาในกระจก และลำแสงสีขาวก็จะสว่างเรืองออกจากผิวหน้าของมัน แต่ถ้าไม่ถูกต้อง ตัวหนังสือคำว่า ‘ผิด’ ก็จะปรากฏพร้อมกับลำแสงสีดำ


วิ้งงงงง!


เมื่อสะท้อนร่างของจางเซวียน กระจกเงาสวรรค์ลึกล้ำก็เรืองแสงสีขาวออกมาทันทีขณะที่ตัวหนังสือแถวแล้วแถวเล่าปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของมัน


ถูกต้อง!


ถูกต้อง!


ถูกต้อง!


ขณะที่กระจกเงาสวรรค์ลึกล้ำในมือของเธอเต็มไปด้วยตัวอักษรคำว่า ‘ถูกต้อง’ ผิวหน้าของมันก็เรืองแสงเจิดจ้าออกมาจนแทบจะเหมือนกับพระอาทิตย์ดวงย่อมๆที่ทำให้ทุกคนตาพร่า


เอ่อ…ขงซือเหยาปากสั่นยังไม่อยากเชื่อ


ตลอดชีวิตของเธอ เธอได้เห็นอัจฉริยะมาแล้วมากมาย ซึ่งตัวเธอก็เป็นคนหนึ่ง แต่การเชี่ยวชาญในค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดนี้ได้ภายในเวลาเพียงสามอึดใจและซ่อมมันได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทำอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย…ชายหนุ่มคนนั้นยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?


ฟึ่บ!


ความประหลาดใจของเธอคงอยู่ไม่นานนักก่อนที่นิ้วของชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศจะหยุดการเคลื่อนไหว เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้อย่างวางมาดก่อนจะจ้องเขม็งที่ความว่างเปล่า


“มีอะไร? การซ่อมแซมค่ายกลไม่ควรจะหยุดกลางคันแบบนี้นะ ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด!” ขงซือเหยาตะโกนอย่างร้อนใจ


ค่ายกลไม่ได้ซับซ้อนถึงขนาดนั้น การซ่อมแซมควรจะเสร็จสิ้นในรวดเดียว ไม่อย่างนั้น หากเกิด ช่องว่างหรือการขัดจังหวะขึ้นมา พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็จะลามเข้ามาทำลายทุกอย่างที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้


สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการซ่อมแซมเขื่อน ทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นในคราวเดียว เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้น ความอ่อนด้อยใดๆก็ตามของโครงสร้างจะถูกน้ำที่สะสมไว้ทำลายอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พังทลาย


“ฮะ? ผมไม่ได้หยุดการซ่อมแซมกลางคันนะ” ได้ยินคำถามนั้น จางเซวียนมองขงซือเหยา “ผมซ่อมเสร็จแล้ว!”


“คุณซ่อมเสร็จแล้ว?” ขงซือเหยาผงะ


ร่างของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนยังอยู่กับเธอ และพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็ยังไหลเข้ามาไม่หยุด แบบนี้จะเรียกว่าเสร็จสิ้นการซ่อมแซมแล้วได้อย่างไร?


เห็นความสงสัยของขงซือเหยา จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขามองความว่างเปล่าที่อยู่เหนือศีรษะอีกครั้งและออกคำสั่ง “เปิดใช้งาน!”


ฟิ้วววว!


โลงศพที่อยู่ข้างขงซือเหยาพุ่งขึ้นสู่ความว่างเปล่าและหายวับไป มิติที่อยู่โดยรอบมั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว รอยแยกของมิติทั้งหมดสมานตัวเข้าหากันในทันที ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


ค่ายกลถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบภายใต้คำสั่งของเขา!


วาจาสิทธิ์…นั่นคือศักยภาพของสายเลือดตระกูลขงไม่ใช่หรือ?


ขงซือเหยาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)