ท่านเทพมาแล้ว 189-192

 บทที่ 189 ตระกูลไหนคือผู้ชนะ?

โดย

Ink Stone_Romance

“พวกเจ้าต้องคิดว่าพวกเราจัดฉากหลอกแน่” อวิ๋นเฉี่ยนหันมามองพวกเขา “แต่ข้ายังต้องบอกพวกเจ้า การตายของราชาจื่อเยวี่ย คือเขาอ๋าวเชินเป็นผู้กระทำ! เขาลงมือทำทั้งหมดอย่างเงียบเชียบโดยอาศัยตอนที่พวกเราวางแผนจัดการตระกูลอ๋าว ขณะเดียวกันก็แอบเข้ามาในวังหงส์เพลิง ขโมยกุญแจจันทราหยินที่ปกป้องจื่อเยวี่ยไว้ไป!”


มู่จิ่วรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า “กุญแจจันทราหยินถูกขโมยไปแล้ว?”


สายตาของอวิ๋นเฉี่ยนหยุดอยู่ที่หน้านางอยู่นาน ก่อนพูด “ราชาจื่อเยวี่ยมีหน้าที่สำคัญต้องแบกรับความเป็นตายของตระกูลอวิ๋น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีกุญแจหยางช่วยเขาฟื้นฟูพลังวิญญาณ จึงมีเพียงกุญแจหยินสามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้ การที่อาคารนี้สร้างไว้กลางไหล่เขา เพราะมีประโยชน์ต่อการรวบรวมพลังวิญญาณ เจ้าคิดว่าเราจะเสี่ยงเพื่อโกหกหรือ?”


ตะเกียงที่หัวเตียงไม่ได้สว่างมากนัก เมื่อส่องลงใบหน้านางที่แต่เดิมแต่งแต้มบางๆ อยู่แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทรุดโทรมและไม่สดใส


และยังเผยให้เห็นความชราด้วย…


“พวกเราวางแผนใช้แผนหญิงงามอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อปกป้องให้เขาอยู่อย่างสงบแข็งแรง ช่วยให้เผ่าหงส์เพลิงของข้าดำรงอยู่ตลอดไป”


“แต่พวกเราคิดไม่ถึงว่า อ๋าวเชินเลวร้ายกว่าที่พวกเราคิดมากนัก เขาไม่เพียงตั้งใจกักกุญแจจันทราหยางไว้ไม่ให้ข้า ยังอาศัยตอนวิกฤตมาขโมยของ ทำให้พลังวิญญาณของราชาพวกเราถูกตัดไปหมด ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาทำอะไร แต่ตอนนี้ลองคิดดู ใครควรเป็นคนโดนประณามยิ่งกว่า?”


นางในวันนี้กับนางแต่ก่อนต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากความเกลียดชังในแววตา ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นแล้ว


มู่จิ่วไม่ได้พูด เพราะยังดำดิ่งอยู่ในความตกใจ ไม่คืนสติกลับมา


มารดามันเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกัน…


หลังจากที่เข้าใจว่าอ๋าวเชินเผลอไผลออกนอกลู่นอกทาง และเป็นชายโชคร้ายที่ถูกคนรักหลอก อวิ๋นเฉี่ยนกลับไม่เห็นใจแม้แต่น้อย ปฏิเสธเรื่องทั้งหมด มู่จิ่วไม่กล้าเชื่อเรื่องที่นางพูดทั้งหมดเลย


แต่นางจะละทิ้งเรื่องจริงตรงหน้าได้อย่างไร? พวกเขามาที่ทิวเขาริ้วหยก แท้จริงเป็นอ๋าวเชินยกเรื่องนี้ขึ้นมา และอวิ๋นรองที่อยู่ตรงหน้าก็ตายแล้วจริง ตระกูลอวิ๋นปกป้องอวิ๋นรองให้มีชีวิตราวกับลม จะเอาเขามาป้ายสีอ๋าวเชินได้หรือ? เป้าหมายล่ะ? สิ่งที่ต้องจ่ายล่ะ?


“ในเมื่อตายแล้ว พวกเจ้าทำไมยังไม่นำเขาไปฝัง?”


ตอนมู่จิ่วใจลอย อ๋าวเจียงพูดขึ้น


“อีกไม่นานนักหรอก เพราะอ๋าวเชิน พวกเราตระกูลอวิ๋นใกล้ถึงจุดจบแล้ว”


ในตาของอวิ๋นเฉี่ยนเย็นชา “ข้าพาพวกเจ้ามาเพียงเพราะอยากบอกว่า กุญแจจันทราหยางไม่อยู่ในมือพวกเราตระกูลอวิ๋น แม้แต่กุญแจจันทราหยินที่ปีนั้นอ๋าวเชินมอบให้ เขาก็เอาไปอย่างไร้ยางอาย! วันที่พวกเจ้าไปวันนั้น อาการป่วยของราชาพลันหนักขึ้น และพวกเราหากุญแจจันทราหยินไม่เจอ สุดท้ายข้าถึงคิดได้ คืนนั้นอ๋าวเชินออกมาจากห้องคนเดียว!”


“ตระกูลอวิ๋นของเราแม้จะต่ำช้า แต่เมื่อพูดถึงระดับแล้ว กลับเทียบอ๋าวเชินไม่ได้ถึงหนึ่งในสิบ! ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ข้าพลันเข้าใจว่าที่จริงพวกเราคือคนโง่คนนั้นของอ๋าวเชิน แต่ไหนแต่ไรเขาไม่โง่ พวกเราถูกเขาหลอกจนหัวหมุน!”


ทุกคำของนางแสดงออกถึงความเกลียดชังและพ่ายแพ้ ทำให้มู่จิ่วยากจะนำนางตรงหน้ากับนางในความทรงจำมารวมอยู่ด้วยกันได้


ส่วนอ๋าวเจียงราวกับอึ้งไปแล้ว เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะหักมุมแบบนี้


ความมุ่งมั่นที่คิดจะทำเรื่องเล็กน้อยเพื่อน้องชายต่างมารดา ไม่รู้ว่าตอนนี้ในสมองขัดแย้งกันแล้วหรือไม่


ถึงแม้มู่จิ่วเชื่อคำพูดของอวิ๋นเฉี่ยนสักเจ็ดแปดส่วน แต่กลับยังคงไม่เข้าใจ “เป้าหมายที่เขาทำแบบนี้คืออะไร? เขาเคยยอมรับเองว่ารักเจ้าอย่างลึกซึ้ง ข้าคิดว่าหลายปีขนาดนี้ ความรักที่เขามีต่อเจ้าคงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกกระมัง?”


อวิ๋นเฉี่ยนแหงนหน้าหัวเราะ ก่อนเอ่ย “เจ้าเด็กขนาดนี้ ต้องไม่รู้ว่าผู้ชายบนโลกถึงแม้รักคนคนหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นว่าต้องยินยอมทิ้งภรรยาทิ้งลูก ทิ้งชีวิต ลืมความถูกต้องเพื่อนาง ถึงแม้อ๋าวเชินชอบข้า แต่เจ้าลืมแล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร ตลอดชีวิตเขาไม่เคยได้รับความสำคัญ ภรรยามองเขาราวกับเป็นขยะ ลูกชายลูกสาวก็ไม่สนิทสนมด้วย ทั้งชีวิตเขาอยู่อย่างเดียวดาย”


“คนที่เดียวดายกลัวอะไรมากที่สุด สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือจับของในมือไว้ไม่อยู่ ยิ่งให้ค่า เขายิ่งไม่กล้าไม่ใส่ใจ สองปีนั้นที่ข้าเข้าใกล้เขาตอนแรก เขาลืมตนอย่างแท้จริง แต่ไม่นานเขาก็ระแวงแล้ว อ๋าวเชินคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เขาสืบทิวเขาริ้วหยกหรือ? เขาไม่เพียงสืบข้า ยังจงใจปกปิดเรื่องที่กุญแจจันทรามีสองดอก”


“เขากลัวว่าสิ่งที่จ่ายออกไปจะไร้ค่า แต่บางครั้งเขาก็อดไม่ได้ มอบความรู้สึกให้ ดังนั้นเขามีเพียงอาศัยเรื่องอื่นมารับประกัน ป้องกันไม่ให้ข้าเล่นตุกติกกับเขา หรือป้องกันวันที่ความเหนื่อยยากจะสูญเปล่า สามารถพูดได้ว่า เขากับข้าอยู่ด้วยกันพันกว่าปีนี้ เขาล้วนจ่ายสี่ส่วนเก็บไว้หกส่วนมาตลอด ถึงแม้เขามีใจต่อข้าไม่โกหก กลับพูดไม่ได้ว่าทุ่มเททั้งใจ”


“ตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งรักอย่างระมัดระวังขนาดนี้ ถึงแม้ข้าตั้งใจอยู่เคียงคู่ ก็คิดถอยกลับได้มิใช่หรือ?”


“แต่ข้าไม่นึกเลยว่าตอนนี้เขาจะหักหลังตระกูลอวิ๋น!”


“หลังจากเฉินผิงตาย ข้ารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เขาจึงรู้สึกผิดต่อข้าเป็นพิเศษ บางทีอาจเพราะเรื่องครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สงบ หรือบางทีเขารู้ว่าข้าไม่อาจอยู่กับเขาได้นาน จึงทำให้เขามีความคิดจะเอากุญแจจันทราหยินกลับไป สุดท้าย สำหรับคนแบบเขาแล้ว ของที่จ่ายออกไปสามารถนำกลับมาได้ชิ้นหนึ่ง ก็คือชิ้นหนึ่ง”


สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยดูแคลน เหมือนกับอ๋าวเชินเป็นหญ้าต้นหนึ่งที่มุมกำแพง


อ๋าวเจียงอับอายจนใบหน้าขึ้นสีแดงม่วง สองมือกำแน่นเป็นหมัด ไม่รู้เพราะอ๋าวเชินในคำอธิบายของอวิ๋นเฉี่ยนทำให้เขาอับอาย หรือยอมรับเงียบๆ ว่าพ่อของตนเองเป็นคนแบบนี้จริง


มู่จิ่วกลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นเฉี่ยน ที่จริงนางกับอ๋าวเชินเป็นคนระดับเดียวกัน หากวันนี้คนที่ทำตามแผนสำเร็จคือนาง นางจะยังอยู่กับอ๋าวเชินหรือ? ทุกคนเพียงเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น และล้วนทำเรื่องไม่ดีเหมือนกัน จึงไม่สามารถพูดได้ว่าใครถูกใครผิด


“เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?” นางกอดอกถาม


“เดิมทีตอนแรกข้าเพียงเดาว่าเขาเอากุญแจจันทราหยินไป คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกับดัก แต่ตอนที่ข้าหวนกลับไปคิดเรื่องทั้งหมด ข้าทำตามแผนอยู่ข้างกายเขามานานหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่ยากที่จะมองเบาะแสออก” สายตาอวิ๋นเฉี่ยนสว่างไสว “อีกอย่าง หนทางนี้สำหรับเขาซึ่งเคยมีชื่ออยู่ในเผ่าใหญ่ที่วังมังกรทะเลตะวันออก แท้จริงไม่อาจนับได้ว่ายากจะทำสำเร็จ”


มู่จิ่วขมวดคิ้ว


หวนคิดถึงสิ่งที่ได้ยินได้เห็นทั้งหมดในวังมังกร นางก็แน่ใจนานแล้วว่าอ๋าวเชินไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายขนาดนั้น ในวังมังกรทั้งในและนอกต่างคุ้มกันแน่นหนา รวมถึงสร้างเขตพลังกันน้ำขึ้นเพื่อป้องกันคนเข้ามา วังประจิมไสวถูกจับตามองป้องกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้แสดงออกว่าอ๋าวเชินเป็นคนที่ระมัดระวัง


คนที่ทำอะไรอย่างระแวดระวังจนเป็นนิสัย เขาจะเปลี่ยนความเคยชินเพราะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้หรือ?



บทที่ 190 ทางข้างหน้าพร่าเลือน

โดย

Ink Stone_Romance

แต่คำพูดของอวิ๋นเฉี่ยนทำให้นางมีมุมมองใหม่ต่ออ๋าวเชินผู้บุกสวรรค์มาชิงนางไปจากมือหลิวจวิ้นคนนั้น


นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงค้อมตัวให้อวิ๋นรองบนเตียง ก่อนเดินออกประตูไป


มาถึงตำหนักใหญ่ อวิ๋นชือฉางยังคงนั่งอยู่ เขาเหมือนใจลอย จนผู้ติดตามเข้าไปรายงานข้างหน้า เขาถึงได้หลุบตาลง ยกชาขึ้นมา


“คำตอบของตระกูลอวิ๋น ไม่รู้ว่าใต้เท้ากัวพอใจหรือไม่?”


มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยยามมองมู่จิ่ว แต่ในมุมปากที่ยกขึ้นมีเพียงการเยาะเย้ยและความโกรธที่อัดอั้นอยู่


สำหรับพวกเขาที่ยืนหยัดอยู่พันกว่าปี สุดท้ายจบลงที่ความพ่ายแพ้ ความกระทบกระเทือนนี้มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะประสบได้กระมัง? เทียบกับความโชคร้ายที่ได้รับกะทันหันแล้วยิ่งลำบากกว่า ได้เห็นกับตาว่าเผ่าพันธุ์ของตนเดินไปสู่จุดจบทีละก้าว และพวกเขากลับไม่มีหนทาง หากเผ่าของพวกเขาสูญสิ้นแล้ว บนโลกก็จะไม่มีเผ่าหงส์เพลิงอีกแล้ว


มู่จิ่วไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ เพียงพูดว่า “ที่อยู่ของกุญแจจันทราหยิน พวกเรายังต้องไปยืนยันกับราชามังกรถึงจะได้ แต่ยังมีเรื่องหนึ่ง ขอให้ราชาหงส์พูดตามจริง”


อวิ๋นชือฉางมองมา


นางพูด “ขอถาม องค์หญิงอ๋าวเยวี่ยที่เหยี่ยวพิษปลอมตัวมาขโมยกุญแจจันทราอยู่ไหน?”


“เหยี่ยวพิษอะไร?”


อวิ๋นชือฉางถามก่อนขมวดคิ้วแน่น สบตากับอวิ๋นเฉี่ยนที่เดินกลับเข้ามาด้านหลัง ก่อนพูด “ข้าไม่เคยส่งเหยี่ยวพิษไปวังมังกร ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับอ๋าวเยวี่ย”


มู่จิ่วทำหน้าตึง “มาถึงตอนนี้ คนทั้งสองไม่ต้องปิดต้องบังกันแล้ว? บุญคุณความแค้นของพวกเจ้าเป็นบุญคุณความแค้นกับราชามังกร ไม่เกี่ยวกับอ๋าวเยวี่ย ในเมื่อพูดกระจ่างหมดแล้ว จะไม่รีบนำคนออกมาหน่อยหรือ? เรื่องนี้อ๋าวเจียงแจ้งแก่หน่วยลาดตระเวน ข้าต้องมีอะไรกลับไปรายงาน”


พูดถึงตรงนี้ นางนำน้ำเต้าหยกมาจากอ๋าวเจียง “ในนี้คือเหยี่ยวพิษ หรือยังสงสัยว่าพวกเราพูดให้ร้าย?”


อวิ๋นเฉี่ยนเปิดน้ำเต้านั่นดู จากนั้นมองนางอย่างล้ำลึก “ข้าไม่ได้ยืมมือคนอื่นจริงๆ หากข้าส่งคนเข้าวังมังกรไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ทำไมต้องรอถึงตอนนี้ค่อยลงมือ?”


“ยิ่งไปกว่านั้น เหยี่ยวพิษนี้เป็นสัตว์ดุร้ายโบราณ หรือจะสามารถรับการเรียกใช้ของพวกเราได้? ผิวของเหยี่ยวพิษตัวนี้ค่อยๆ ออกสีเงินแล้ว อย่างน้อยต้องมีพลังบำเพ็ญห้าหมื่นปีขึ้นไป ตระกูลอวิ๋นของข้าหากสามารถบังคับเหยี่ยวพิษตัวนี้ ยังต้องลำบากขนาดนี้หรือ?”


สีหน้าของนางกลับไม่เหมือนพูดโกหก และยังมีเหตุผลอยู่บ้าง


มู่จิ่วมองอ๋าวเจียง เขาพูด “แต่หากไม่ใช่พวกเจ้าส่งมา กุญแจจันทราหยางก็ไม่ได้เอาไป แล้วใครเป็นคนทำกันแน่?”


“กุญแจจันทราหยาง?” สีหน้าอวิ๋นเฉี่ยนแข็งค้าง “เจ้าบอกว่ากุญแจจันทราหยางถูกคนเอาไปแล้ว?!”


“หรือเจ้าอยากพูดว่าเจ้าไม่รู้?” มู่จิ่วจ้องนางนิ่ง


อวิ๋นเฉี่ยนใบหน้าซีดขาว ตั้งแต่นางออกมาจนถึงเมื่อครู่ สีหน้าสงบนิ่งมาตลอด


แต่ตอนนี้เอง บนหน้านางกลับมีความลนลานที่ปิดไม่มิดแม้แต่น้อย “ข้าไม่รู้! ข้าส่งคนแฝงตัวเข้าวังมังกรไปเอากุญแจจันทราหยินไม่ผิดแน่ แต่ในความเป็นจริง ข้ายังไม่รู้ชัดเจนเลยว่ามันอยู่ที่ไหน ข้าเพียงสงสัยว่าเขาซ่อนไว้ในวังประจิมไสว จึงอาศัยโอกาสที่เข้าวังมังกรคราวก่อนไปค้นหากับอวิ๋นซี ครั้งนี้ข้าไม่ได้ลงมือ!”


“มันหายไปได้อย่างไร?!”


นางรีบถาม


พวกเขายังไม่ฝังอวิ๋นรอง เพราะยังหวังว่าจะมีวันหนึ่งสามารถนำกุญแจจันทราหยางมารวบรวมพลังวิญญาณและจิตต้นกำเนิดของเขาอีกครั้ง แต่พวกเขากลับบอกนางว่ากุญแจจันทราหยางหายไปแล้ว!


ความสิ้นหวังค่อยๆ ปรากฏในดวงตานาง ก่อนแพร่กระจายกลายเป็นความสูญสิ้นทีละน้อย


อวิ๋นชือฉางข้างหลังนางทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ เหมือนกับทหารพ่ายที่ข้าศึกบุกเข้าเมืองแล้ว


มู่จิ่วเห็นท่าทางของพวกเขาแบบนี้ ก็หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ


วันนั้นที่วังประจิมไสว ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่สงสัยว่าอ๋าวเชินจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่แม้แต่หญิงในดวงใจของตนยังกลับมาคิดบัญชี แต่ตอนนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว กลับกัน หากคิดๆ ดู ถึงแม้คำพูดทั้งหมดของอวิ๋นเฉี่ยนล้วนเป็นการให้ร้าย เช่นนั้นตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเคยวางแผนลงมือกับอวิ๋นเฉี่ยนมิใช่หรือ?


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางใส่ใจที่สุดมิใช่พวกเขาทั้งสองใครจริงใครหลอก แต่เป็นในเมื่ออวิ๋นเฉี่ยนแสดงออกแล้วว่าเหยี่ยวพิษไม่ใช่พวกเขาส่งเข้าไปแฝงตัว และไม่ได้เอากุญแจจันทราหยางไป แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเหยี่ยวพิษคือใคร? กุญแจจันทราหยางนี้ตกไปอยู่ในมือใครแล้ว?


แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก คิดไม่ถึงว่ายิ่งซับซ้อนขึ้นแล้ว


ชัดเจนว่าตระกูลอวิ๋นไม่มีกำลังและความสามารถควบคุมเหยี่ยวพิษที่เป็นสัตว์ดุร้ายได้ และพวกเขากับทะเลสาบน้ำแข็งมีกำลังไม่ต่างกัน หากกุญแจจันทราหยินยังอยู่ในมือพวกเขา ก็คงไม่ต้องสร้างเรื่องแบบนี้มาหลอกทะเลสาบน้ำแข็ง หากอวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้โกหก อ๋าวเชินโกหกใช้หรือไม่?


“รายงานราชา องค์หญิงรอง มีข่าวจากวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็ง ขอองค์ชายสามรีบกลับวัง!”


ผู้ติดตามที่นอกประตูค้อมศีรษะก้าวเข้ามา ถึงแม้น้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ฝีเท้าที่รวดเร็วนั้นยังทำให้รับรู้ถึงความกังวลหลายส่วน


อ๋าวเจียงสีหน้าเปลี่ยน “พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”


อวิ๋นเฉี่ยนที่ความเจ็บปวดยังไม่จางหายเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ไม่ได้พูดสิ่งใด


มู่จิ่วกลับดูออก ทะเลสาบน้ำแข็งกับทิวเขาริ้วหยกห่างกันหมื่นลี้ แต่ก่อนอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนคิดอยากเจอหน้าก็เจอกันได้ เพื่อลดความเหงาและความคิดถึง แน่นอนว่าต้องมีเส้นทางพิเศษของพวกเขา และเหตุผลที่ตระกูลอวิ๋นยังไม่ทำลายเส้นทางนี้ เกรงว่าคงเหมือนกับตอนที่พวกเขาทำกุญแจจันทราหยินหายแล้วไม่เคยไปโวยวายวังมังกร ยังคงคิดเหลือหนทางไว้เพื่อไปขโมยกุญแจจันทราหยางในวันข้างหน้า


นางลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราขอลา”


พูดจบก็ประสานมือให้อวิ๋นชือฉางด้านหน้า ก่อนลูบหัวอาฝูออกไปกับหยวนจินกับหลัวถ่า


นางยืนอยู่ข้างนอกวังริมทะเลสาบอยู่นาน อ๋าวเจียงถึงได้เดินหนักก้าว เดินเบาก้าวตรงเข้ามา ความโกรธที่ปรากฏก่อนหน้านี้หายไปหมด ในดวงตานอกจากความสับสนก็เป็นความละอายและความอับจน มาถึงตรงหน้ามู่จิ่ว เขาเพียงนิ่งอึ้งเท่านั้น ริมฝีปากทั้งคู่ปิดไม่ได้พูดอะไรออกมา


มู่จิ่วเดาว่าหากเขารู้ว่าผลลัพธ์เป็นแบบนี้ จะต้องไม่ไปหานางแน่


นางถอนหายใจก่อนพูด “ไปวังมังกรเถอะ”


เขาพูดอย่างลังเล “เจ้าไปได้หรือไม่?”


มู่จิ่วตอบ “เรื่องนี้ยังไม่จบมิใช่หรือ ข้าต้องไปฟังว่าพ่อเจ้าพูดอย่างไร”


สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงบ้าง


มู่จิ่วหันไปสั่งหยวนและหลัวทั้งสองคนให้กลับสวรรค์ไปก่อน และส่งกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งไปแจ้งข่าวให้ลู่ยา จากนั้นจึงค่อยปีนขึ้นหลังอาฝูไปวังมังกรกับเขา


ทะเลสาบน้ำแข็งมุ่งไปทางเหนือเจ็ดแปดพันลี้จากประตูสวรรค์แดนใต้ ไปครั้งนี้เทียบกับมาจากสวรรค์แล้วใช้เวลามากกว่า


ยิ่งมุ่งไปทางเหนือฟ้ายิ่งมืด เสียเวลาไปที่ทิวเขาริ้วหยกครึ่งวัน ตอนออกมาจึงไม่เช้าแล้ว


สีหน้าอ๋าวเจียงไม่ดีมาตลอด มู่จิ่วเข้าใจได้ ที่จริงคำอธิบายของอวิ๋นเฉี่ยนเท่ากับเอาเรื่องเก่าของอ๋าวเชินมาเปิดเผยทั้งหมด บวกกับกุญแจจันทราหยางหายไปหรือไม่ตอนนี้ยังไม่ชัด ในฐานะที่เป็นลูกชาย ตัวเขาเองย่อมไม่สบายใจ กระทั่งเป็นไปได้ว่ามีความละอาย ไม่ว่าเขากับอ๋าวเชินมีความรู้สึกแบบพ่อลูกมากแค่ไหน ขอเพียงอ๋าวเชินยังเป็นพ่อของเขาอยู่ ก็ละทิ้งไม่ได้


………………………………………………………



บทที่ 191 จะมีคนตายอีก?

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนถึงเป่ยอี๋ ท้องฟ้ามีดาวสว่างแล้ว ครั้นมาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง พระจันทร์ก็ปรากฏออกมา


อาฝูโอดครวญไม่ยอมเดิน เจ้าตัวน้อยนี้ทั้งวันไม่ได้กลิ่นคาวเนื้อ ก็ไม่ค่อยพอใจแล้ว


มู่จิ่วเปิดปากเขา หยิบเอายาเซียนป้อนให้สองเม็ด เขาถึงได้ยืนขึ้นอย่างกระตือรือร้น


เมื่อถึงทะเลสาบน้ำแข็ง เลี่ยงน้ำเข้าไปข้างใน อ๋าวเจียงที่นำอยู่พลันลดความเร็วลง สุดท้ายหยุดลงที่ปากประตูเขตพลัง


“เป็นอะไรไป?” มู่จิ่วถาม


อ๋าวเจียงขมวดคิ้ว “วันนี้ทหารอารักขามีมากขึ้นมาก”


มู่จิ่วอึ้ง มองซ้ายขวา ดูเหมือนเทียบกับตอนนางอยู่เมื่อก่อนแล้วมากกว่าเล็กน้อย


ไม่มีอะไรทำไมต้องเพิ่มพลอารักขา?


เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?


ยังไม่ทันคืนสติ อ๋าวเจียงเปิดเขตพลังเดินไปข้างในเร็วๆ


มู่จิ่วรีบเดินตามเข้าไปกับอาฝู


เพิ่งเข้าประตูวัง ได้ยินเสียงขุนนางเต่าดังออกมา “ทางทะเลตะวันออกยังไม่มีข่าวหรือ? องค์ชายใหญ่ล่ะ?! องค์หญิงรองล่ะ?! รีบไปหา! เจ้าพวกไร้ประโยชน์!…” คล้อยหลังเสียงด่าทอยังมีเสียงวุ่นวายมากมาย ไม่มีสักเสียงที่ไม่เจือความกลัวและตกใจ แม้แต่กระเรียนเซียนที่ปกติเดินเชื่องช้าสบายๆ อยู่ในลาน ล้วนไม่เห็นแม้แต่เงา!


สามารถพูดได้ว่า ตอนนี้วังมังกรวุ่นวายไปหมด


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?!”


อ๋าวเจียงรีบก้าวเร็วเข้าไป เสียงก็แสดงออกชัดว่าไม่มั่นคง


“ไอหยา องค์ชาย ท่านกลับมาแล้ว!”


ขุนนางเต่าจับแขนเขาพลางปาดน้ำตา “ราชาอาการไม่ดีแล้ว! ท่านไปไหนมา!”


“เขาเป็นอะไร?!”


แม้อ๋าวเจียงเต็มไปด้วยความละอาย สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปมา


มู่จิ่วก็อดไม่ได้ เดินเข้ามา “ราชามังกรอาการไม่ดี?”


หรืออาการป่วยอ๋าวเชินหนักขนาดนั้นจริง? คงไม่บังเอิญขนาดนั้น ทางนั้นอวิ๋นรองเพิ่งตายไป ทางนี้ชีวิตของอ๋าวเชินก็จะรักษาไว้ไม่อยู่?


ขุนนางเต่าเห็นมู่จิ่วแล้วเช่นกัน และยังเห็นเสือขาวข้างเท้านาง จึงรีบยกไหล่ขึ้นประสานมือให้ พูดว่า “ที่แท้ใต้เท้ากัวก็มาด้วย!”


มู่จิ่วถามเขา “ราชามังกรป่วยเป็นอะไร ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”


น้ำตาของขุนนางเต่าพลันไหลลงมาจากสองเบ้า กลับยังคงพูดไม่ออก เพียงยกเสื้อเดินขึ้นไปบนชั้นบันได ส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนเดินตามเข้าไป


ปลายทางที่ไปยังคงเป็นตำหนักคลื่นหยกที่อ๋าวเชินอยู่


พูดตามจริง ก่อนมู่จิ่วก้าวเข้าไปในธรณีประตู นางไม่เชื่ออ๋าวเชินอย่างมาก ตั้งแต่ได้ยินคำพูดของอวิ๋นเฉี่ยน นางสงสัยอ๋าวเชินยิ่งนัก ไม่ใช่แน่ชัด แต่เป็นสงสัย เพราะนางยังหาช่องโหว่ในคำพูดของอวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้ ถึงแม้นางรู้ว่าควรฟังอ๋าวเชินพูด แต่ในใจก็ยอมรับคำของอวิ๋นเฉี่ยน


ดังนั้น เมื่อรวมกับตอนคิดถึงที่อ๋าวเจียงบอกว่าอ๋าวเชินป่วยหนักขนาดไหน นางก็นึกสงสัย หากความเจ้าเล่ห์ของอ๋าวเชินหนักหนาเพียงนั้นจริง ใครจะรู้ว่าการ ‘ป่วย’ ครั้งนี้ของเขายังมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นอีกหรือไม่?


แต่เข้าธรณีประตูไป เห็นความหมดอาลัยในห้อง กลิ่นยาโชยเต็มจมูก อ๋าวเชินที่ทั้งผอมและเหลืองซีดนอนอยู่ในตำหนักบรรทม ความสงสัยที่ลอยอยู่บนใบหน้าพลันกลืนกลับเข้าไปทันที!


อ๋าวเชินเมื่อก่อนน่าเกลียด แต่อย่างน้อยก็รักษาร่างสมบูรณ์กับกำลังอำนาจไว้อย่างดี ดังนั้นเมื่อแต่งเนื้อแต่งตัวจึงยังนับว่าพอไปวัดไปวาได้ แต่เขาตรงหน้านี้ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำว่าน่าเกลียดอีกแล้ว ดวงตากลมที่เคยอิ่มเอิบคู่นั้นผลุบลึกลง แก้มทั้งสองข้างตอบลงไป แบบนี้ยิ่งทำให้ดวงตาโหลลึกกว่าเดิม


“ราชา องค์ชายสามกลับมาแล้ว ยังมีอีก ใต้เท้ากัวแห่งทัพสวรรค์ก็กลับมาด้วย”


ขุนนางเต่าพูดเบาๆ ข้างหูเขา เพราะในห้องเงียบ ดังนั้นมู่จิ่วจึงได้ยิน


อ๋าวเชินเปิดตา หนังตาหรี่แล้วหรี่อีก ถึงค่อยมองไปยังอ๋าวเจียงที่ยืนอยู่ตรงผ้าม่าน ไม่ได้พูดสิ่งใด เขาหันหน้ามองมู่จิ่วที่อยู่ห่างออกไปหน่อย ค่อยขมวดคิ้วก่อนพูด “เจ้าก็มา?”


เสียงแม้จะอ่อนแรง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ไม่ได้หอบ


มู่จิ่วพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเดินไปข้างหน้า “ราชามังกรเป็นอย่างไรบ้าง?”


อ๋าวเชินให้ขุนนางเต่าพยุงตัวขึ้นมา ไม่ตอบนาง กลับพูด “เป็นอ๋าวเจียงพาเจ้ามา?”


อ๋าวเจียงกัดฟันก้มหน้าต่ำลง


มู่จิ่วไกล่เกลี่ยแทนเขา “องค์ชายสามบอกว่าราชามังกรป่วยเล็กน้อย และองค์หญิงอ๋าวเยวี่ยก็ยังคงหาร่องรอยไม่พบ จึงขอให้ข้าใช้ชื่อเจ้าหน้าที่สวรรค์ไปทิวเขาริ้วหยกกับเขาเพื่อหาข้อสรุป องค์ชายกังวลถึงพี่สาวร่วมอุทร ข้าว่าความรู้สึกนี้สามารถเข้าใจได้”


อ๋าวเชินไม่แสดงออกอะไร ไม่นานก็พูด “พวกเจ้าได้ข้อสรุปหรือไม่?”


มู่จิ่วชะงักไปก่อนตอบ “ตระกูลอวิ๋นบอกว่าเหยี่ยวพิษนั่นไม่เกี่ยวกับพวกเขา”


อ๋าวเชินหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย มองไปปลายเตียงไม่พูดจา


มู่จิ่วลูบหัวอาฝูที่นั่งอยู่บนพื้น จากนั้นเอ่ยอีก “มีข่าวหนึ่ง ไม่รู้ว่าราชามังกรรู้หรือไม่ อวิ๋นรองตายแล้ว”


ใบหน้าอ๋าวเชินเกร็งกระตุก สายตาเบนมา “ตายแล้ว?”


มู่จิ่วพยักหน้า “ข้าคิดว่าราชามังกรควรรู้ถึงจะถูก ที่จริงตระกูลอวิ๋นบอกว่าอวิ๋นรองตายเพราะกุญแจจันทราหยินหายไป พวกเราเห็นศพเขาด้วยตาตัวเอง แต่ตระกูลอวิ๋นกลับพูดว่ากุญแจจันทราหยินถูกราชามังกรขโมยไปในคืนที่พวกเราไปทิวเขาริ้วหยกคราวก่อน ตระกูลอวิ๋นยังพูดอีกว่า พวกเราไปที่นั่นเพราะราชามังกรมองขาดถึงความตั้งใจของตระกูลอวิ๋นตั้งแต่แรก จึงซ้อนแผนเสีย”


“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ราชามังกรไม่คิดจะพูดอะไรหรือ?”


สายตาของอ๋าวเชินวาววับขณะมองไปข้างหน้า ในลำคอส่งเสียงไม่ชัดเจนเสียงหนึ่ง ผ่านไปแบบนี้สักครู่ เขาถึงค่อยเบือนหน้ากลับไป สีหน้านั้นดูไม่ชัดว่ากำลังตกใจหรือมีอารมณ์อื่น แต่เขาพิงอยู่อย่างนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับท่อนไม้ที่ถูกห่อไว้ในผ้า


คนที่เฝ้าอยู่ด้านข้างแต่ละคนกลั้นหายใจไร้คำพูด


มู่จิ่วพูดกับขุนนางเต่า “รบกวนท่านช่วยพาอาฝูไปหาอะไรกินหน่อย”


ขุนนางเต่าถึงได้คืนสติจากการนิ่งอึ้ง คิดจะตอบ ก็มองไปยังอ๋าวเชินบนเตียง


อ๋าวเชินยกมือผอมแห้งขึ้นโบก “พวกเจ้าออกไปให้หมด”


ขุนนางเต่ารับคำสั่งไร้เสียง เรียกเหล่าผู้รับใช้ พาอาฝูเดินเรียงกันออกไป


ในตำหนักพลันโล่งขึ้น อ๋าวเชินถอนหายใจ การถอนใจครั้งนี้เคลื่อนพลังลมปราณโดยฉับพลัน เขาจับหน้าอกพลางหอบหายใจรัวเร็ว


อ๋าวเจียงกำหมัดมองเขา ยังคงไม่เดินขึ้นไป


มู่จิ่วเดินไปจับชีพจรเขา ในกระเป๋าเล็กมียารักษาพลังที่ลู่ยาให้ไว้หลายเม็ด จึงป้อนให้เขา


ยานี้มีประสิทธิภาพ ไม่นานอาการหอบของเขาก็หยุด ลมหายใจกลับมาสมดุลทีละน้อย


“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมียาแบบนี้” อ๋าวเชินมองนางอย่างค้นหา พยุงร่างตนเองลุกขึ้นนั่ง “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ไม่ผิด ตระกูลอวิ๋นพูดมาก็ไม่ผิด กุญแจจันทราหยินเป็นข้านำกลับมา”


อ๋าวเจียงกำหมัดทั้งสองแน่นจนสั่นเทา


มู่จิ่วมองเขาคราหนึ่ง ใจกลับไม่ได้ผิดคาดนัก


นางกล่าว “ไม่รู้ว่าแรงจูงใจในการนำกุญแจจันทราหยินกลับมาของท่านคืออะไร? หรือท่านไม่ได้คิดมาก่อนว่าอวิ๋นรองไม่มีมันแล้วจะตาย? หรือคิดไม่ถึงว่าทำแบบนี้ตระกูลอวิ๋นจะมองเป็นศัตรูผู้พรากชีวิต?”


“ทำไมข้าจะไม่ได้คิดมาก่อน? แต่ข้ามีหนทางอะไรอีก? อวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้จริงใจกับข้ามาแต่แรก พันหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาเป้าหมายที่นางเข้าใกล้ข้ามีเพียงเพื่อกุญแจจันทราหยางเท่านั้น ข้าจะปล่อยให้ของของข้าตกไปอยู่ในมือพวกเขาง่ายๆ ได้อย่างไร!”


……………………………………………



บทที่ 192 มีใครไม่ลำบากใจบ้าง?

โดย

Ink Stone_Romance

สายตาของอ๋าวเชินดุร้าย คางที่ขบแน่นทำให้ดูไปแล้วเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น “หรือข้าสละให้นางน้อยไป? ว่ากันว่า เป็นสามีภรรยากันหนึ่งวันผูกพันร้อยวัน นางอยู่กับข้านานขนาดนี้ ย่อมต้องมีความรู้สึกอยู่หลายส่วน อย่างไรก็ตาม นางยินดีละทิ้งไม่สนใจเฉินผิงเพื่ออวิ๋นรอง ข้านำกุญแจจันทราหยินกลับมา ก็เพื่อให้เฉินผิงได้เจอกับชาติภพที่ดีในชีวิตหน้า!”


มุมปากมู่จิ่วที่ยกขึ้นล้วนเป็นยิ้มเยาะ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคนไร้ยางอายเปิดเผยเรื่องไร้ยางอายอย่างไม่ปิดบังแบบนี้


นางพูด “ทำไมเจ้าไม่พูดกับพวกเขาตรงๆ?”


“พูดตรงๆ พวกเขาจะให้หรือ?” อ๋าวเชินหรี่ตา ในดวงตาส่องประกายเย็นชา “อย่ามาพูดเรื่องความตรงไปตรงมาอะไรกับข้า หากไม่มีเรื่องที่นางวางแผนเล่นงานข้าครั้งนี้ ข้าก็ยังให้พวกเขาเก็บกุญแจหยินไว้ได้ แต่ในเมื่อพวกนั้นยังคิดขโมยกุญแจหยางไปจากข้า ข้าจะนั่งมองไม่สนใจได้อย่างไร?”


“เฉินผิงก็เป็นลูกของข้า หากได้กุญแจหยินนั่นกลับมา ดีร้ายข้าก็สามารถสร้างอนาคตแทนเขา กุญแจจันทราหยินเป็นของวังมังกรของข้า ข้านำของของข้ากลับมาก็ไม่นับว่าผิด”


มู่จิ่วไม่คิดจะเถียงกับเขาเรื่องนี้แล้ว


สรุปคือ ตอนคนหน้าไม่อายทำเรื่องไร้ยางอายล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น


นางถามอีก “กุญแจจันทราหยางไปไหนแล้ว?”


“หายไปแล้ว” เขากัดฟัน


มู่จิ่วยิ้มเยาะพูด “ข้าคิดว่าเจ้ากับอวิ๋นเฉี่ยนช่างเป็นคู่ฟ้าประทาน ครุ่นคิดวางแผนเหมือนกัน กุญแจจันทราหยางนี้อยู่กับเจ้ามาตลอด และก่อนเกิดเรื่อง เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่านางวางแผนมาขโมยมัน จะไม่นำมันไปซ่อนที่อื่นได้อย่างไร? ในเมื่อเจ้าแสดงละครมาถึงจุดนี้ คิดดูแล้วความโกรธวันนั้นที่วังประจิมไสวต้องเป็นการแสดงอีกแน่”


“กุญแจจันทราหยางอยู่ในมือเจ้า ถึงตอนนี้เจ้ายังพูดไร้สาระกับข้า?”


“เจ้าสิพูดไร้สาระ!”


อ๋าวเชินตะโกนด้วยความโกรธจัด เลิกผ้าห่มขึ้น แต่กลับโงนเงนลงมาที่พื้นโดยไม่คาดคิด!


“เจ้าคิดว่ามีเพียงตระกูลอวิ๋นเท่านั้นหรือที่มองกุญแจจันทราเป็นของมีค่า? กุญแจจันทราหยางสำหรับข้าก็เป็นของมีค่าสำคัญ! อวิ๋นรองอยากได้มันไปรักษาชีวิต ข้าก็ต้องการมันไว้รักษาชีวิตเช่นกัน!”


“เจ้าต้องการรักษาชีวิต?” มู่จิ่วขมวดคิ้ว “นี่หมายความว่าอย่างไร?”


อ๋าวเชินหน้าเขียวปัด เดินไปตรงหน้านาง ชี้อกตนเองพลางพูด “พวกเจ้าดูสภาพข้าตอนนี้ ก็เพราะกุญแจจันทราหยางไม่อยู่แล้ว! ปีนั้นบิดาข้าส่งต่อกุญแจจันทราให้ก็เพื่อรักษาชีวิตข้าไว้ และอวิ๋นเฉี่ยนกลับอยากได้มันกลับไปช่วยพี่ชายนาง เจ้าว่าข้ารับปากได้หรือ?! ข้าให้ได้หรือ?!”


ลมหายใจมู่จิ่วติดอยู่ที่คอ ไม่รู้ว่าจะสูดเข้าไปหรือพ่นออกดี


ที่แท้อ๋าวก่วงมอบกุญแจจันทราคู่นี้ให้อ๋าวเชินไว้รักษาชีวิต อาการป่วยของอ๋าวเชินมีมานานแล้ว และยังเกี่ยวข้องกับกุญแจจันทรา?


นางมองอ๋าวเจียง อ๋าวเจียงก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผีเช่นกัน เรื่องนี้แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้! ตนเป็นลูกชายแต่ทำจนเขาเป็นแบบนี้ ช่างเกินไปจริงๆ


“เรื่องเป็นมายังไงกันแน่?” นางมองประเมินอ๋าวเชินขึ้นลง


อ๋าวเชินสูดลมหายใจเข้าลึก พูดเสียงต่ำ “ประมาณห้าพันปีก่อน ข้าที่เดินทางอยู่ข้างนอกถูกซุ่มโจมตี ครั้งนั้นข้ากลับมาจากไปเยี่ยมหนานจี๋เซียนเวิง[1] ตอนผ่านทางคุนหลุนตะวันออกเป็นตอนกลางคืนพอดี เดิมทีทุกอย่างก็ดูปกติ แต่ตอนที่ข้าจะข้ามผ่านไป ถึงได้รู้สึกถึงพลังวิญญาณแข็งแกร่งขุมหนึ่งในหุบเขา


“พลังวิญญาณนั้นทั้งแข็งแกร่งและดุร้าย มากมายไม่มีที่สิ้นสุด ระดับความแข็งแกร่งอยู่เหนือข้าไปไกล!”


“ข้าเกรงว่าจะเป็นมารปีศาจมาก่อเรื่อง จึงกดเมฆลงลองตรวจสอบดู แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ พลังวิญญาณที่แพร่กระจายนั้นพลันรวมกันเป็นกลุ่ม พุ่งเข้าโจมตีข้า! กลุ่มพลังวิญญาณเทียบกับที่ตอนกระจายตัวก่อนหน้านี้ยังแข็งแกร่งกว่าสิบเท่า พลังบำเพ็ญแสนปีของข้ากลับหลบไม่พ้นการโจมตีนี้!”


พูดถึงตอนจบ ฝ่ามือเขาก็ตบลงบนมุมโต๊ะ โต๊ะที่สลักจากหยกขาวแตกละเอียดไปมุมหนึ่ง


มู่จิ่วจ้องมองมือเขาที่ซีดขาวเพราะใช้แรงอยู่ชั่วครู่ ก่อนพูด “ภายหลังเจ้ารู้หรือยังว่าทำไมถึงมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งแบบนี้ปรากฏอยู่ในหุบเขา?”


“จนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่แน่ชัด” อ๋าวเชินขมวดคิ้วพูด “หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่ได้ไปคุนหลุนตะวันออกอีก ภายหลังบิดาของข้าไปครั้งหนึ่ง แต่เขาไปคราวนั้นไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย ข้าเพียงจำได้ว่าพลังบำเพ็ญของตนไม่ใช่คู่มือเขา อีกทั้งความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณนั้น จนถึงบัดนี้ข้าก็ไม่เคยพบเห็น”


“แต่ข้าแน่ใจว่าต้องเป็นผู้ที่มีวิชาแข็งแกร่งมาก! เพราะตอนที่เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณโจมตีข้า ทั้งความรวดเร็วและปฏิกิริยาตอบโต้ที่ปราดเปรียว ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน!”


ยังมีเรื่องแบบนี้อีก?


ในใจมู่จิ่วมีความสงสัย


ในโลกมนุษย์ พลังวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ใช่ไม่มี เช่นชิงหลิงคงหมิงปรมารจารย์ต้นกำเนิดทั้งสี่ หากคนที่เขาพบคือหนึ่งในศิษย์พี่น้องของลู่ยากำลังฝึกฝนอยู่ที่นั่นก็ไม่แปลก แต่ที่สำคัญคือพวกลู่ยามีสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าให้เดินเล่นเป็นอิสระ ใช้ทำพื้นที่สงครามก็ยังเหลือเฟือ พวกเขายังต้องไปหาที่แบบนั้นฝึกฝนอีกหรือ?


ทว่าจักรวาลใหญ่แบบนี้ ไม่ว่าเรื่องประหลาดใดก็มี พลังวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นกำเนิดพลังอย่างพวกเขา


ที่จริงปฐมวิญญาณกลายเป็นเทพถึงวันนี้ก็ล้านล้านปีแล้ว ถึงแม้เป็นรุ่นลูกศิษย์หลานศิษย์ของพวกเขาทั้งสี่ คนที่พรสวรรค์ดีก็ไม่ยากที่จะไปถึงขั้นนั้น


นางเอ่ย “ดังนั้นเจ้าเลยได้รับบาดเจ็บ?”


“ไม่เพียงบาดเจ็บ ยังบาดเจ็บหนักมาก” สายตาอ๋าวเชินส่องสว่าง แต่ละคำเหมือนขุดออกมาความทรงจำส่วนลึก “พลังวิญญาณนั้นทำลายจิตต้นกำเนิดข้าโดยตรง เกือบทำให้ข้าวิญญาณหลุดออกจากร่าง คืนนั้นพาหนะของข้านำข้ากลับไปทะเลตะวันออก จากนั้นบิดาข้าเอากุญแจจันทราออกมาปกป้องจิตมังกร จึงช่วยให้ข้าฟื้นมาได้ ภายหลังข้าออกจากวัง พ่อข้าก็ให้กุญแจจันทรานี้แก่ข้า”


มู่จิ่วฟังจบ ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางพูด “ข้าจับชีพจรเจ้าดูได้หรือไม่?”


อ๋าวเชินยื่นมือออกมาอย่างไม่ลังเล มู่จิ่วใช้มือจับลงไปตรวจสอบ เห็นเพียงชีพจรเดี๋ยวเต้นเดี๋ยวหยุด พลังรอบกายสับสนวุ่นวาย มีร่องรอยจิตต้นกำเนิดเสียหายจริง และไม่เพียงเสียหาย แม้แต่จิตมังกรด้านในยังมีรอยปริร้าวลึกถึงสองรอย!


จิตดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์สัตว์เทพสำคัญที่สุด หากมีรอยปริแตกนั่นกระทบถึงชีวิต


อ๋าวเชินพลังบำเพ็ญแสนปี ต่อหน้าพลังวิญญาณที่ว่า แม้แต่จิตต้นกำเนิดยังรักษาไว้ไม่ได้ เพียงคิดก็รู้ว่าตอนนั้นพลังประหลาดนั่นโหดเหี้ยมขนาดไหน!


มู่จิ่วเก็บมือกลับมา ก้มหน้าครุ่นคิด


เสียดายที่ลู่ยาไม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นแล้วบางทีเขาอาจรู้เบาะแสอะไรบ้าง


“ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้!”


อ๋าวเจียงที่ไม่ได้พูดมาตลอด ในที่สุดก็ฝืนพูดออกมาประโยคหนึ่ง ในคำพูดมีทั้งความน้อยใจและโกรธเคือง แต่โกรธมากกว่าน้อยใจ


“นั่นเป็นเพราะปู่เจ้ากังวลว่าเรื่องที่จิตต้นกำเนิดของข้าเสียหายจะแพร่งพรายออกไป แล้วทำให้เกิดเรื่องมากขึ้น เพราะปกติไม่มีใครเลือกคุนหลุนตะวันออกตอนกลางคืนเป็นที่ฝึกฝน หากเป็นคนมีแผนในใจจริง และรู้ว่าข้าเป็นคนไปเห็น แบบนั้นภายหลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าใครก็บอกชัดเจนไม่ได้!”


…………………………………………………………


[1] หนานจี๋เซียนเวิง คือเทพแห่งอายุขัย เชื่อกันว่าบูชาแล้วจะแข็งแรงและมีอายุขัยยืนยาว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)