ข้ามกาลบันดาลรัก 189-190
ตอนที่ 189 เจ้าคิดจะส่งตัวข้าไปแล้วหรือ
ชีวิตผ่านไปเช่นนี้อีกหลายวัน เรือนแห้งสนิทแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในเมืองซื้อเครื่องเรือนแบบต่างๆ หลายชุดมาจัดวางไว้ในบ้าน แล้วหารือกับเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อ ว่าจะรับหลี่ต้าฉุยและภรรยาและเมิ่งเสียวเถี่ยมาอยู่ที่บ้านด้วย
ทั้งสองไม่มีความเห็นต่าง พูดเพียงว่าหลี่ต้าฉุยและภรรยาคงไม่มา เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าให้เป็นหน้าที่นางเอง
วันนี้หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพาพวกอู๋ต้ามายังบ้านหลี่ต้าฉุย
คนในครอบครัวเหวินเปียวและเหวินหู่เห็นนางเข้ามา กล่าวทักทายนางอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพวกเขา “เรือนที่บ้านข้าแห้งสนิทแล้ว พวกเจ้าเก็บข้าวของย้ายเข้าไปวันนี้เถอะ”
ครอบครัวเหวินเปียว เหวินหู่และเหวินเปียวรวมกันแล้วทั้งหมดสิบสองชีวิต อาศัยอยู่ในเรือนสามห้องที่ค่อนข้างคับแคบของบ้านหลี่ต้าฉุย แม้ว่าจะดีกว่าไม่มีที่อาศัย แต่อย่างไรก็แออัดเกินไป โดยเฉพาะเหวินซง อายุก็ไม่น้อยแล้ว ต้องอาศัยอยู่ในห้องเดียวกับบิดามารดา ไม่สะดวกเป็นอย่างมาก ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ยินดีปรีดา เก็บข้าวของของตัวเองอย่างว่องไว ความจริงข้าวของที่ว่า ก็คือหลังจากที่มาอยู่บ้านเมิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งให้พวกเขา สิ่งอื่นก็ไม่มีแล้ว
หลังจากคนทั้งหมดเก็บของเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวพาคนในครอบครัวไปก่อน ทั้งบอกเขาว่าห้องไหนบ้างที่เตรียมไว้ให้พวกเขา ห้องเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเพียงตกลงแบ่งห้องกันเองก่อนเข้าอยู่ก็ได้แล้ว
เหวินเปียวรับคำด้วยความดีใจ พาคนทั้งครอบครัวไปอย่างชื่นบาน
ลานบ้านของเมิ่งอี้เซวียนเงียบงันฉับพลัน
สองสามีภรรยาชราหลี่หันหน้าสบตากัน ต่างก็เห็นความหมดอาลัยในสายตากันและกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะฮี่ๆ เดินมาตรงหน้าพวกเขา ร้องเรียกเสียงหวาน “ท่านตาหลี่ ท่านยายหลี่”
ทั้งสองรีบร้อนรับคำ ทว่าเสียงกลับไม่ก้องกังวานเท่าใดนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างแก่นแก้ว “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาพวกท่านทั้งสองหน่อย”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยพูดทันควัน “โยวเอ๋อร์มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถิด ขอเพียงพวกเราสองคนทำได้ จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยังคงยิ้มหวานพูดว่า “ท่านพูดเองนะ ท่านจะกลับคำพูดไม่ได้แล้ว”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยก็แย้มยิ้มพูด “เจ้าเด็กทะเล้นคนนี้ มีอะไรก็พูดมาตามตรง ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งวางมาดจะพูดเรื่องใหญ่โต “เช่นนั้นข้าจะพูดจริงๆ แล้ว”
สองสามีภรรยาหลี่เห็นนางมีท่าทีจริงจังขึงขัง นึกว่ามีเรื่องใหญ่อันใด พลันมองนางอย่างประหม่า พยักหน้าพูด “พูดเถอะ”
“ข้าอยากให้พวกท่านย้ายไปอยู่บ้านข้า ข้าจะได้ดูแลพวกท่านได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
สิ้นเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว ความเงียบสงัดครอบคลุมไปทั่วทั้งลานบ้าน
สองสามีภรรยาหลี่ราวกับถูกสะกดตรึงไว้ เผยอปากมองนางอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มมองพวกเขา
อึดใจหนึ่ง หลี่ต้าฉุยถึงได้สติกลับมา ส่ายหน้ารุนแรงราวคลื่นกระทบฝั่ง “ไม่ได้ๆ พวกเราจะย้ายไปไม่ได้”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยก็พยักหน้างุด “พวกเราจะไปไม่ได้”
ปฏิกิริยาของพวกเขาภายใต้การคาดการณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่แล้ว ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่อาทรร้อนใจ ยิ้มตาหยีถาม “เพราะอะไรเล่า?”
หลี่ต้าฉุยริมฝีปากสั่นระริก ครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “โยวเอ๋อร์ ตาหลี่ขอบใจในเจตนาดีของเจ้า แต่พวกเราย้ายไปไม่ได้จริงๆ เจ้ายอมรับปากจะเลี้ยงดูพวกเรายามชรา พวกเราก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว จะให้ย้ายไปสร้างความลำบากให้พวกเจ้าอีกได้อย่างไร”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยพยักหน้าคล้อยตาม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เพราะข้ารับปากจะดูแลพวกท่านยามชรา ข้าถึงให้พวกท่านย้ายไปอยู่บ้านข้าอย่างไรเล่า บ้านข้ามีคนมาก เกิดเรื่องอะไรจะได้ดูแลพวกท่านได้”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยโบกมือ “พวกเรายังมีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่ต้องให้ใครดูแล”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกเย้าพวกเขา “เช่นนั้นพวกท่านก็ย้ายไปดูแลพวกเรา”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยเริ่มน้ำตาซึมขอบตา “เด็กดี ยายรู้ว่าเจ้ามีจิตใจดี คอยคิดแทนพวกเรา แต่พวกเราย้ายไปไม่ได้จริงๆ พวกเราไม่ได้ทำสิ่งใดให้เจ้า จะให้ไปสร้างความยุ่งยากแก่พวกเจ้าอีกได้อย่างไร ในยามที่พวกเราเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว เจ้าเพียงให้ข้าวให้น้ำพวกเรากินก็พอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความรู้สึกฝาดขมขึ้นในใจ ใบหน้ากลับยังยิ้มหวานพูดว่า “ไม่ได้เด็ดขาด ท่านพ่อท่านแม่บอกแล้ว พอพี่ใหญ่ข้าแต่งงาน จะให้พวกท่านช่วยดูแลหลานด้วย”
ดวงตาภรรยาหลี่ต้าฉุยสะท้อนแววยินดี “จะให้พวกเราช่วยดูแลหลาน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ต่อไปพวกเราจะมีการค้าเพิ่มมากขึ้น แต่ละคนจะยุ่งมาก ถึงตอนนั้นจะมีเพียงพวกท่านที่อยู่ว่าง จำต้องรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว”
บุตรชายทั้งสองคนของหลี่ต้าฉุยยังไม่ทันได้แต่งงานก็ตกเขาตายไปเสียก่อนแล้ว ทุกครั้งที่สองสามีภรรยาหลี่เห็นลูกหลานบ้านอื่นเล่นสนุกอยู่ด้านนอก มักจะอดใจจ้องมองไม่ได้ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ภรรยาหลี่ต้าฉุยสะท้อนแววตาปลื้มปริ่ม ร้องเรียก “ตาเฒ่า…”
คำพูดต่อจากนั้นแม้จะไม่ได้พูดออกมา หลี่ต้าฉุยก็เข้าใจความหมายของนาง พลันถอนหายใจยาว “โยวเอ๋อร์เอ๋ย ข้ารู้ว่านี่เป็นวิธีการพูดของเจ้า อยากจะให้พวกเราย้ายไปอยู่อย่างสบายใจ แต่พวกเราจะทำเช่นนั้นไม่ได้ แค่เจ้ายอมรับปากจะเลี้ยงดูพวกเรา พวกเราก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว พวกเราจะไม่ยอมทำเรื่องให้คนในหมู่บ้านมาพูดสาปส่งพวกเราได้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นภรรยาหลี่ต้าฉุยหวั่นไหวแล้ว แต่หลี่ต้าฉุยยังตัดสินใจไม่ได้ จึงใช้ไม้ตาย ชักหน้าเคร่งครึมถามขึ้น “ท่านตาหลี่ ตอนนั้นพวกท่านขายเรือนหลังนี้ให้พวกเราแล้วใช่หรือไม่?”
หลี่ต้าฉุยพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ดังนั้นข้ามีสิทธิ์ขาดในเรือนหลังนี้ ตอนนี้ข้าขอสั่งพวกท่าน ให้ย้ายออกไปจากเรือนนี้ตอนนี้เดี๋ยวนี้ ข้าจะให้คนมาเก็บกวาด ใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น”
หลี่ต้าฉุยตะลึงค้าง แล้วได้สติกลับมา ตื้นตันใจจนพูดไม่ออก “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะให้ตาหลี่พูดอย่างไรดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขายอมอ่อนข้อแล้ว ก็ยิ้มพูดว่า “ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รีบไปเก็บข้าวของ แล้วให้พวกอู๋ต้าช่วยท่านย้ายไป”
สองสามีภรรยาชราหลี่ไม่ลังเลอีกแล้ว กลับเข้าไปเก็บของในห้องตัวเอง ตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเรือนหลังใหม่ มองดูเรือนหลังใหม่ที่กว้างขวางสะอาดสะอ้าน ด้านในมีเครื่องเรือนใหม่เอี่ยม สองสามีภรรยาหลี่ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ตื้นตันใจน้ำตาไหลพรากเป็นสาย
หลังจากจัดการที่พักให้สองสามีภรรยาหลี่เสร็จเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปร้องเรียกเมิ่งชิง พูดกระซิบข้างหูเขาสองสามคำ เด็กน้อยใบหน้าแย้มบาน พูดอย่างดีใจ “พี่สาววางใจ ข้าจะต้องตามท่านพ่อมาให้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เมิ่งชิงรีบก้าวเท้าน้อยๆ วิ่งจากไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้พวกอู๋ต้าตามไป
ไม่รู้ว่าเมิ่งชิงกลับไปพูดว่าอะไร ครึ่งชั่วยามให้หลัง เมิ่งเสียวเถี่ยก็เดินมาพร้อมกับเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวชมเชยเมิ่งชิงด้วยการยกนิ้วโป้งให้เขา เด็กน้อยกระหยิ่มยิ้มย่องใจ ถามอย่างเบิกบาน “พี่สาว ท่านพ่อข้ามาแล้ว จะให้พวกเราอาศัยห้องใดหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเสียวเถี่ยที่ยืนกระสับกระส่ายถือห่อผ้าอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง ชี้เรือนที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นแล้วยิ้มพูดกับเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์อยากอยู่เรือนไหน ก็อยู่เรือนนั้น”
เมิ่งชิงปล่อยมือเมิ่งเสียวเถี่ย วิ่งไปดูเรือนใหม่ทั้งหมดอย่างเหล่านั้นอย่างเริงร่า สุดท้ายชี้เรือนที่อยู่ถัดมาจากสองสามีภรรยาหลี่พูดว่า “ข้าและท่านพ่อจะอยู่ที่นี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากทันควัน “ได้”
เมิ่งชิงยิ้มหน้าบานพลันเข้ามาดึงเมิ่งเสียวเถี่ยให้ไปดูห้อง
นับตั้งแต่ปีที่แล้วที่เมิ่งเสียวเถี่ยถูกเศรษฐีอู๋ซ้อมแล้วโยนทิ้งไว้หน้าประตู พวกอู๋ต้าก็ไม่เคยได้เจอเขาอีก ตอนนี้มาได้เจอเขาแล้ว ต่างดีใจกันยกใหญ่ ต่างมองเมิ่งเชี่ยนโยวตาปริบ หวังว่าพวกเขาจะตามไปด้วยได้
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า คนทั้งหมดยกเท้าเดินตามไป
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มส่ายหน้า เดินเข้าไปในลานเรือนรอง
คนในครอบครัวเหวินเปียวเห็นเรือนรองโอ่อ่ากว้างขวาง ต่างดีอกดีใจ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ต่อไปพวกเราจะอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องมีพิธีรีตองอีก อยู่ให้เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันก็พอ”
คนทั้งหมดรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ปกติแต่ละลานเรือนจะแยกกันทำอาหารของตัวเอง หากต้องการสิ่งใดก็ให้ร้องเรียกพวกเรา พวกเจ้าเพียงทำงานตามที่ข้ามอบหมายให้แน่ละวันก็พอ”
คนทั้งหมดรับคำโดยพร้อมเพรียงอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้ทุกคนไปทำงาน เหลือไว้เพียงเหวินเปียวคนเดียว แล้วถาม “ด้วยสภาพในตอนนี้ของท่านอาสี่ข้า ฝึกวรยุทธ์เช่นไรถึงจะเหมาะสม?”
เหวินเปียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “นายท่านสี่ขาพิการอย่างสมบูรณ์แล้ว บวกกับเมื่อก่อนไม่รู้วรยุทธ์ คิดจะมาเรียนวรยุทธ์ตอนนี้เกรงจะเป็นเรื่องยาก ทว่าหากมีใจมุ่งมั่น ให้ถือว่าเป็นอีกกรณีหนึ่ง ข้าพอจะสอนวรยุทธ์การใช้ฝ่ามือให้เขา อย่างน้อยเมื่อมีอันตรายยังพอคุ้มครองชีวิตได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เรื่องนี้ขอมอบให้ท่านแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขามีวรยุทธ์เก่งกาจ ขอเพียงไม่เหมือนแต่ก่อน เอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นเศษสวะไร้ค่าก็พอ”
เหวินเปียวรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินมายังลานเรือนที่เมิ่งเสียวเถี่ยพักอาศัย
พวกอู๋ต้ากำลังเรียกพี่ใหญ่อย่างนั้น พี่ใหญ่อย่างนี้ เล่าเรื่องช่วงเวลาที่ผ่านมาให้เขาฟัง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้า ทั้งหมดก็ปิดปากสนิท ลุกขึ้นยืนเรียกอย่างนบนอบ “นายหญิง”
เมิ่งเสียวเถี่ยก็ลุกขึ้นตามไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคนโดยรอบ สุดท้ายสายตามาหยุดที่ตัวเมิ่งเสียวเถี่ย พูดว่า “นับแต่วันนี้ไป ท่านจงไปฝึกวรยุทธ์กับพวกเขาด้วย เหวินเปียวจะสอนวรยุทธ์โดยใช้ฝ่ามือให้ท่านตัวต่อตัว หากต่อไปท่านไม่อยากเป็นเศษสวะไร้ค่า ออกไปข้างนอกไม่ต้องถูกคนรังแกอีก ก็ให้กัดฟันยืนหยัดทำให้สำเร็จ”
พอได้ยินว่าตัวเองก็เรียนวรยุทธ์ได้ เมิ่งเสียวเถี่ยแหงนหน้าด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ท่านอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป การฝึกวรยุทธ์เป็นเรื่องยากมาก แต่หากท่านกล้าล้มเลิกกลางคัน ข้าจะไม่สนว่าท่านใช่ท่านอาสี่ข้าหรือไม่ ข้ามีแต่วิธีที่จัดการท่าน”
เมิ่งเสียวเถี่ยตื้นตันใจจนพูดไม่ออก เอาแต่พยักหน้าไม่หยุด
พวกอู๋ต้าที่พอได้ยินว่าต่อไปเมิ่งเสียวเถี่ยก็มาฝึกวรยุทธ์กับพวกเขาได้ ต่างก็ดีอกดีใจ รอจนเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะยกเท้าก้าวออกไปจากประตู พวกเขาก็รีบเฮโลกันเข้ามา พูดกับเมิ่งเสียวเถี่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่ใหญ่ ต่อไปพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมแล้ว”
เมิ่งเสียวเถี่ยก็ตื่นเต้นพยักหน้าหงึกๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินออกไปไม่ไกลได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของพวกเขา รอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏขึ้นข้างมุมปาก
ตอนค่ำ หลังจากเมิ่งอี้เซวียนกลับมา เห็นทุกคนต่างย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหมดแล้ว ก็ขมวดคิ้วขบคิดบางอย่าง
หลังกินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเรียกเมิ่งอี้เซวียนเข้ามาในห้องตัวเองตามเดิม สอนเขาจำแนกสมุนไพร
เมิ่งอี้เซวียนมีอาการใจลอยอย่างชัดเจน สมุนไพรหลายชนิดที่สองวันก่อนอุตส่าห์จำได้แล้ว พอเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา กลับตอบไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหของขึ้น เคาะไปที่กะโหลกศีรษะเขาเต็มแรง “เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังจำไม่ได้ เจ้ามีแต่สมองหมูหรือไร?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ทำเหมือนก่อน กุมศีรษะตัวเอง มองนางอย่างน้อยใจ แหงนหน้ามอง ถามนางอย่างจริงจัง “เจ้าคิดจะส่งตัวข้าไปแล้วหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ นิ่งงัน
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางไม่พูด ยิ่งยืนยันการคาดเดาของตัวเอง กำลังจะเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ใช้กำลังอย่างหนักหน่วงกับเขาอีกครั้ง “ข้าว่าแล้วทำไมสมุนไพรง่ายๆ เจ้าถึงจำไม่ได้ ที่แท้เพราะเจ้าคิดแต่เรื่องไร้สาระพวกนี้ คิดจะให้ข้าส่งตัวเจ้าไป จะบอกให้นะ ไม่มีทางเด็ดขาด ภายหน้าหากเจ้าคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก ข้าจะลงโทษเจ้าจำสมุนไพรวันละห้าชนิด ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่ต้องนอน”
เมิ่งอี้เซวียนปลาบปลื้มยินดี พูดยืนยันอีกครั้งอย่างระวัง “เจ้าจะไม่ส่งตัวข้าไปจริงๆ นะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้กำลังตีเขาอีกครั้ง “ส่งตัวไป ส่งไปไหน? ครอบครัวพวกเราเปลืองแรงกำลังมากเช่นนี้เพื่อเลี้ยงดูเจ้า ยังเฝ้ารอให้เจ้าสอบขุนนางได้ สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์สกุล เจ้าเอาแต่คิดเหลวไหลอะไรอยู่ได้?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่เชื่อ จ้องนางเขม็งแล้วพูดว่า “เจ้ารับประกันกับข้า เจ้าจะไม่ส่งตัวข้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวตีเขาอีกครั้ง “รับประกันเพ้อเจ้ออะไร รีบจำสมุนไพร ถ้าจำไม่ได้คืนวันนี้ไม่ต้องนอน”
เมิ่งอี้เซวียนกุมหัวบวมปูดเท่าหมั่นโถวร้องโอดครวญ “ข้าไม่ต้องจำสมุนไพรพวกนี้แล้วได้หรือไม่”
น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “ไม่ได้!”
สองสามีภรรยาเมิ่งและพวกเมิ่งเสียนได้ยินเสียงร้องโหยหวนกว่าทุกวันของเมิ่งอี้เซวียน ก็ยิ่งให้เวทนาเขา
ตอนที่ 190 เหวินซื่อมาหา
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น หยิบสมุนไพรชนิดหนึ่งขึ้นมาให้เมิ่งอี้เซวียนจำ ความนึกคิดของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปอยู่ที่ตัวเมิ่งอี้เซวียน จ้องมองเขา อยากจะจ้องมองเขาให้ทะลุ ลอบย้อนคิด ตัวเองมีตรงไหนที่บกพร่องไป ทำให้เขามีความคิดเช่นนั้น
เช้าวันถัดมา ตอนกินอาหารเช้า เมิ่งชื่อรู้สึกว่าศีรษะเมิ่งอี้เซวียนใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างติเตียน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้าผากเมิ่งอี้เซวียนที่มีรอยบวมแดง แลบลิ้นปลิ้นตาพูดว่า “พอแล้ว ท่านแม่ ท่านไม่ต้องโมโหแล้ว ต่อไปข้าจะลงมือให้เบากว่านี้พอใจแล้วหรือไม่?”
เมิ่งชื่อพูดอย่างแหนงหน่าย “ไม่ใช่ลงมือเบากว่านี้ แต่อย่าตีเขาอีก เจ้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้อีก เกรงจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงข้ามมาแทน ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบสมุนไพรเข้าไปอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับปากอย่างขอไปที “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่”
เมิ่งชื่อเห็นนางไม่ได้รับคำด้วยความจริงใจ ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไร หรือว่าเกิดเรื่องอะไรที่แม่ไม่รู้เรื่องขึ้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันเล็กน้อย แล้วยิ้มพูด “ไม่มีนะ เหตุใดท่านแม่ถึงถามเช่นนี้?”
เมิ่งชื่อตอบกลับ “แม้เมื่อก่อนเจ้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ไม่เคยบันดาลโทสะรุนแรงเช่นนี้ แม่รู้สึกเหมือนเจ้ามีเรื่องใหญ่อะไรซ่อนไว้ในใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบประหวั่นในใจ ใบหน้ากลับยกยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าจะมีเรื่องใหญ่อันใดปิดบังท่านเล่า”
เมิ่งชื่อมองนางอย่างคลางแคลงใจ พูดยืนยันอีกครั้ง “ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังแม่จริงๆ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหนักแน่น ยิ้มตอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ไม่มีจริงๆ”
เมิ่งชื่อวางใจลง
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก คิดว่าช่วงที่ผ่านมาตนเองใจร้อนเกินไปจริงๆ แม้แต่เมิ่งชื่อก็ยังดูออกว่าตัวเองผิดปกติ ดูท่าจะต้องปรับอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้แล้ว คิดถึงตรงนี้ ก็หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “หากเจ้าไม่อยากเรียนสมุนไพรจริงๆ ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนยิ้มดีใจ ดวงตาขุ่นมัวสะท้อนแววยินดี พยักหน้าอย่างดีอกดีใจไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงตระหนักรู้ว่า ต่อให้เขาฉลาดเพียงใด อย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบปี ตนเองขู่เข่นเขามากเกินไป และเป็นกังวลมากเกินไป บางทีต่อไปเมื่อเขากลับคืนสู่ฐานันดรศักดิ์แล้ว อาจจะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การชิงดีชิงเด่นเหมือนที่ตนเองคิดก็ได้
เมื่อคิดได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ผ่อนลมหายใจ อารมณ์ที่บีบแน่นตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ได้ผ่อนคลายลง
กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนไปเรียนหนังสือ เมิ่งเชี่ยนโยววางก้อนหินในใจลง รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก จึงคิดจะเดินทอดน่องไปดูแปลงมันฝรั่ง เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู รถม้าคันหนึ่งก็แล่นตรงเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตามอง เห็นรถม้าแล่นมาหยุดตรงหน้าตนเอง เพ่งพินิจดู ที่แท้เป็นพนักงานของร้านยาเต๋อเหรินบังคับรถม้าเข้ามา
พนักงานจอดรถม้าจนนิ่งสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะถามเขาว่ามีเรื่องอะไร เหวินซื่อก็เปิดม่านบังรถ ลงมาจากรถม้า เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าประตู พูดขึ้นตามตรง “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีร้อนรนของเขา นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไร จึงพูดว่า “มีเรื่องอะไรเข้าไปพูดในบ้านเถอะ”
เหวินซื่อพยักหน้า เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในบ้าน เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากซักถาม ก็พรวดพราดถาม “ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าใช้ป้ายหยกที่ท่านพี่ฉู่มอบให้เจ้าไปขึ้นเงินที่สำนักการเงินในตำบลใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เหวินซื่อแผดเสียงดังแปดหลอดขึ้นฉับพลัน “แม่เจ้าประคุณเอ๋ย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ให้เจ้าอย่านำป้ายหยกนั้นออกมาใช้ง่ายๆ เจ้าต้องการเงินเท่าใดก็ให้มาบอกกับข้า ข้าจะเอาให้เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ การกระทำของเจ้าครั้งนี้เกือบจะทำให้เมืองหลวงยุ่งเหยิงจนแทบพลิกแผ่นดิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ “ก็แค่ไปขึ้นเงินเท่านั้น เกี่ยวอะไรกับเมืองหลวงด้วย?”
เหวินซื่อยังคงแผดเสียงพูดว่า “ป้ายหยกชิ้นนั้นนอกจากนำไปขึ้นเงินได้แล้ว ยังเกี่ยวพันถึงเรื่องอื่น ตอนนี้ข้ายังพูดรายละเอียดกับเจ้าไม่ได้ สรุปก็คือ ต่อไปเจ้าต้องใช้ป้ายหยกนั้นให้น้อยที่สุด ขาดเหลือเงินก็ให้มาบอกข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก “เมื่อป้ายหยกนั้นใช้การไม่ได้ ตอนนั้นเขาให้ข้าไว้ทำไม? หรือแค่เอาไว้ดูสวยๆ เท่านั้น?”
เหวินซื่อได้ฟังก็โมโห “เจ้าอย่าตีเจตนาดีของคนอื่นผิดได้หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าป้ายหยกชิ้นนั้นสำคัญต่อท่านพี่ฉู่มากเพียงใด? หากไม่เพราะเจ้ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขา เขาไม่มีทางมอบป้ายหยกนี้ให้ใคร”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หยิบป้ายหยกออกมาจากใน**บ วางลงตรงหน้าเหวินซื่อ “เมื่อป้ายหยกนี้สำหรับกับเขามากเช่นนี้ เจ้าช่วยเอาไปคืนให้เขาก็แล้วกัน ไม่ต้องมาเปลืองเวลาพูดดี สุดท้ายข้าไปขึ้นเงินมาห้าหมื่นตำลึง ก็ปวดใจถึงเพียงนี้”
เหวินซื่ออารมณ์ขึ้น “ข้าพูดหรือไงว่าปวดใจกับเงินห้าหมื่นตำลึงนั่น? ข้าบอกว่าเจ้าอยากไปเบิกเงินนั้นเหตุใดถึงไม่บอกก่อน ให้พวกเราได้เตรียมตัว เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่ท่านพี่ฉู่รู้ว่ามีคนนำป้ายหยกนั่นมาแลกเงินอกสั่นพรั่นพรึงเพียงใด? หากไม่เพราะในกองทัพมีเรื่องยุ่ง เกรงว่าในตอนนี้เขาคงมาถึงเมืองชิงซีแล้ว เฮ้อ ทำเขาดีใจเก้ออีกแล้ว”
ถูกเหวินซื่อติเตียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มทนไม่ไหวแล้ว “ตอนที่ท่านแม่ทัพฉู่มอบป้ายหยกให้ข้า ได้บอกข้าว่าไม่ว่าเวลาใดสถานที่ใดล้วนสามารถนำไปขึ้นเงินที่สำนักการเงินได้ แต่ไม่ได้บอกว่าขึ้นเงินแล้วจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร โชคดีที่ตอนขึ้นเงินข้ามีไหวพริบ แต่งหน้าแปลงโฉม ไม่เช่นนั้นไม่แน่ว่าจะนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงแก่ชีวิตได้” พูดถึงตรงนี้ ตัวก็สั่น พูดอย่างหวาดกลัว “เจ้านำป้ายหยกนี้กลับไปเถอะ เพื่อเงินเล็กน้อยแล้วถูกตามฆ่า ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
เหวินซื่อชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วถาม “เจ้าแต่งหน้าแปลงโฉม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
เหวินซื่อโล่งอก “ถึงว่าไม่มีใครตามมาถึงตัวเจ้า นับว่าเจ้าฉลาดมีไหวพริบ” พูดจบถึงนึกขึ้นได้ว่าต่อจากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าอะไร ผ่อนคลายน้ำเสียง ยิ้มพูด “เจ้าวางใจ ไม่มีใครตามฆ่าเจ้าหรอก พวกเขาเพียงแค่ตามหาสิ่งของเท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “เช่นนั้นก็ไม่ได้ ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอก ไม่เคยเจอโลกภายนอก ขี้ขลาดตาขาว ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เกือบจะตกใจตาย เจ้าช่วยนำป้ายหยกนี้ไปคืนให้ท่านแม่ทัพฉู่เถอะ”
เหวินซื่อถูกยั่วเย้าจนขำ “คนที่ฆ่าคนก็ยังไม่หวาดกลัวอย่างเจ้า ยังจะพูดว่าขี้ขลาดตาขาว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “ใครบอกกัน หากให้ข้าไปฆ่าคน ไม่กี่นาทีก็เป็นลมแล้ว”
“เก่งกาจขนาดนั้นเชียว สอนข้าบ้างสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเหวินซื่อเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “ข้าหมายความว่าหากเจ้าให้ข้าไปฆ่าคน ข้าได้เป็นลมทันทีแน่ เข้าใจแล้วหรือไม่”
เหวินซื่อพลันเข้าใจความหมาย รู้ว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเสียเปรียบ รีบพูดเข้าประเด็น “เป็นข้าที่ใจร้อนเกินไป ใช้คำพูดเกรี้ยวกราดกับเจ้าไปบ้าง เจ้าอย่าเอามาใส่ใจ รีบเก็บป้ายหยกไว้ให้ดี หากภายหน้าไม่มีเรื่องอะไร อย่านำออกมาง่ายๆ อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ ถามขึ้น “ป้ายหยกนี้มีความลับอะไรกันแน่ เจ้าต้องบอกข้าวันนี้”
เหวินซื่อยิ้มพูด “ตอนที่ท่านพี่ฉู่มอบป้ายหยกนี้ให้เจ้าได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ “เช่นนั้นเหตุใดถึงมีคนควานหาป้ายหยกชิ้นนี้ไปทั่ว?”
เหวินซื่ออธิบาย “ท่านพี่ฉู่บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ? ป้ายหยกนี้มีเป็นคู่ ป้ายหยกในมือท่านพี่ฉู่ชิ้นนี้ ทุกคนต่างรับรู้ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาได้มอบให้เจ้าแล้ว นึกว่าเป็นอีกชิ้นหนึ่ง ดังนั้นตอนที่เจ้าไปขึ้นเงิน ถึงได้มีคนอกสั่นพรั่นพรึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านโกหกข้า ข้าจะต้องรู้ความลับของป้ายหยกสองชิ้นนี้”
เหวินซื่อยิ้มพูด “ต่อให้ข้ารู้ความลับของป้ายหยกสองชิ้นนี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า อีกทั้งป้ายหยกอีกชิ้นก็ยังหายสาบสูญ สิทธิประโยชน์ของป้ายหยกชิ้นนี้ก็คือเท่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาไม่ยินดีจะพูด ก็ไม่ถามมากอีก เพียงแต่ยืนยันอีกครั้ง “ป้ายหยกชิ้นนี้จะไม่นำพาภัยร้ายมาถึงแก่ชีวิตข้าจริงๆ?”
เหวินซื่อพยักหน้า “ไม่หรอก พวกเขาเพียงแค่ตามหาบางสิ่งเท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บป้ายหยกคืน วางใส่ใน**บ พูดว่า “เจ้าพูดเองนะ หากข้าถูกคนตามฆ่า ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าเป็นคนแรก”
เหวินซื่อลุกขึ้น “เมื่อเรื่องราวประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว ข้าจะรีบกลับไปแจ้งข่าวแก่ท่านพี่ฉู่ บอกเขาตามความจริงทุกอย่าง”
หลังจากส่งเหวินซื่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาขบคิดภายในห้องครู่หนึ่ง แล้วกลับหลังหันเดินไปบ้านใหญ่
เมิ่งต้าจินและภรรยาพาเมิ่งเหรินเมิ่งอี้ไปทำงานที่แปลงมันฝรั่ง ภายในบ้านเงียบสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกนในลานบ้าน “ท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านอยู่บ้านหรือไม่?”
หญิงชราเมิ่งขานรับ “โยวเอ๋อร์เรอะ ข้าและท่านปู่เจ้าอยู่ในบ้านเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในบ้าน
เมิ่งจงจวี่กำลังฝึกเขียนพู่กัน เห็นนางเข้ามาก็วางพู่กันในมือลง ล้างมือไปพลางถามอย่างชื่นบาน “มีเรื่องอะไรถึงมาหาปู่กับย่ารึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่นั่งบนเก้าอี้
หญิงชราเมิ่งดึงเมิ่งเชี่ยนโยวมานั่งข้างกายตัวเอง “มีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าพูดกับท่านอาจารย์แล้ว จะเชิญบุตรชายของเขามาเป็นอาจารย์สอนสถานศึกษา ให้เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ และบุตรชายบุตรสาวของท่านอาสามได้เรียนหนังสือ”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าดีใจ “นี่เป็นเรื่องดี ปู่สนับสนุน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดต่อ “แต่เพราะไม่มีสถานที่เรียนหนังสือ จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้ ที่ข้าเข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากจะหารือกับท่านปู่ พวกท่านพอจะย้ายไปอยู่เรือนหลังใหม่ให้เร็วขึ้นได้หรือไม่ ข้าอยากให้พวกเขามาเรียนหนังสือที่บ้านใหญ่”
เรื่องเกี่ยวพันถึงการศึกษาของหลานๆ เมิ่งจงจวี่ไม่แม้แต่จะคิดก็พยักหน้ารับปาก “ได้ ปู่จะรีบหาวันดีที่ใกล้ที่สุด แล้วย้ายไปทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะรับปากทันควัน กล่าวขอบคุณอย่างเบิกบานใจ “ขอบคุณท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่โบกมือ ลุกขึ้นไปหยิบปฏิทินจันทรคติ พลิกออกดู อีกสามวันให้หลังจะเป็นวันธงชัยสำหรับการย้ายบ้าน จึงกำหนดให้เป็นวันนั้น
หลังจากเมิ่งต้าจินและภรรยาพาลูกๆ กลับมาจากแปลงดิน เมิ่งจงจวี่ก็บอกพวกเขาว่าตนเองตัดสินใจจะย้ายเข้าไปอยู่เรือนหลังใหม่ในอีกสามวันให้หลัง ให้พวกเขารีบจัดเก็บข้าวของ
เมิ่งต้าจินและภรรยาข้องใจเหตุใดเมิ่งจงจวี่ถึงจะย้ายบ้านกะทันหัน แต่การได้ย้ายไปอยู่เรือนหลังใหญ่ที่โอ่อ่ากว้างขวาง พวกเขาเองก็ดีใจเป็นอย่างมาก จึงไม่ถามมากอีก เก็บข้าวของของตัวเองอย่างมีความสุข
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาบ้านก็บอกเมิ่งเอ้ออิ๋นว่าอีกสามวันให้หลังคนที่บ้านใหญ่จะย้ายมาอยู่เรือนหลังใหม่ เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็ให้ดีใจเป็นอย่างมาก พูดทันควันว่าวันนั้นจะต้องฉลองกันให้เต็มที่ สองวันผ่านไป เป็นวันที่แสงแดดสดใสมีลมพัดโชยอ่อน เมิ่งจงจวี่ย้ายเข้ามาเรือนหลังใหม่อย่างเบิกบานอิ่มอกอิ่มใจ
คนในหมู่บ้านเห็นพวกเขาย้ายบ้าน ต่างเข้ามาแสดงความยินดี เมิ่งต้าจินจัดโต๊ะสองสามตัวอย่างครึ้มใจ เชิญหัวหน้าสกุลและคนใกล้ชิดกับครอบครัวเมิ่งมาร่วมรับประทานอาหารอย่างคึกคักครื้นเครง ถือว่าเป็นการย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างเป็นทางการ
พวกเขาย้ายออกไปได้สองวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้พวกอู๋ต้าเข้ามาปัดกวาดบ้านใหญ่ทุกซอกทุกมุม เข้าไปนำเครื่องเรือนที่เก่าผุพังทั้งหมดออกไปโยนทิ้ง เก็บกวาดจนโล่งไปทั้งบ้าน จากนั้นให้คนไปซื้อโต๊ะเก้าอี้จำนวนหนึ่งมาวางด้านใน แล้วสถานศึกษาก็ก่อเกิดขึ้น
ทำทั้งหมดนี้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปหาท่านอาจารย์ บอกว่าจัดตั้งสถานศึกษาเรียบร้อยแล้ว ถามว่าจะให้ใครไปสอนหนังสือเด็กๆ
ท่านอาจารย์บอกว่าให้โจวเสี้ยวไป
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสพูดเรื่องที่อยากให้บุตรชายของเขาสอนหนังสือให้เมิ่งเหรินตัวต่อตัว บอกว่าเมิ่งเหรินมีพื้นฐานดี มีความเป็นไปได้ที่จะสอบขุนนางได้
ท่านอาจารย์ขบคิด แล้วพูดว่า “เดิมข้าคิดจะให้เสี้ยวเอ๋อร์ไปสอนที่สถานศึกษา แล้วให้หลีเอ๋อร์ไปเรียนทำการค้ากับเจ้า เมื่อเจ้ายังมีพี่ชายที่ต้องการการสอนสั่ง เช่นนั้นก็ให้เสี้ยวเอ๋อร์ไปสอนพี่ชายเจ้า ให้หลีเอ๋อร์ไปสอนที่สถานศึกษาเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมยินดี
ท่านอาจารย์ให้บ่าวรับใช้ไปเรียกโจวเสี้ยวและโจวหลี่เข้ามาหารือกำหนดวันเปิดการเรียนการสอนของสถานศึกษา
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่บ้าน ร้องเรียกเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง พูดกับเด็กน้อยทั้งสองคนว่า “พี่สาวเชิญอาจารย์โจวมาสอนที่สถานศึกษาแล้ว นับแต่วันมะรืนเป็นต้นไปให้พวกเจ้าไปเรียนหนังสือกับอาจารย์ที่สถานศึกษา”
เมิ่งเจี๋ยถามขึ้น “แค่พวกเราสองคนหรือ?”
“ไม่ใช่ นอกจากพวกเจ้าสองคนแล้ว ยังมีโก่วตั้นลูกป้าหวัง และฮวาเอ๋อร์และเมิ่งหย่งลูกท่านอาสะใภ้สามด้วย”
ได้ยินว่ามีคนเรียนเยอะ เด็กน้อยทั้งสองไชโยโห่ร้อง “พวกเราจะไปโรงเรียน พวกเราจะไปโรงเรียน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น