อัจฉริยะสมองเพชร 1886-1889

 ตอนที่ 1886 ฟ่านเฉี่ยวฉูผู้เก่งกล้า (2)

“เทคนิคการเคลื่อนไหวแบบนี้…”


หมี่ชวนกับคนอื่นๆหรี่ตาด้วยความตกใจ


พวกเขาดูออกว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช้แค่พละกำลังของนักรบระดับเซียนขั้น 9 ทั่วไป แต่การเคลื่อนไหวของเขาเกินพอที่จะเล่นงานนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ได้ ความเร็วนั้นจัดว่าน่าสะพรึงมาก


สวนจ้งฉิงก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นการโจมตีของเขาพลาดเป้าไปลงที่พื้นดิน


ก่อนหน้านี้ เขาเล่นงานฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ได้เมื่อลดระดับวรยุทธลงไปเป็นขั้นเดียวกันกับสองคนนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ชายผู้ให้คำชี้แนะกับทั้งคู่จะหลบหลีกการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย


จ้งฉิงระบายลมหายใจยาวก่อนจะกระทืบเท้าอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวราวกับพายุหิมะที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่ว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะขยับไปทางไหน ก็พบว่าไม่อาจสลัดจ้งฉิงให้พ้นทางได้ ทำให้เขางุนงงมาก


“นี่คือเทคนิคเฉพาะของผู้เชี่ยวชาญจ้งฉิง, โลกของพายุหิมะ” หมี่ชวนตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งขรึม “อย่าว่าแต่คู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันเลย ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา เขาเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 เลยทีเดียว!”


หมี่ชวนเป็นหนึ่งในนักรบไม่กี่คนที่ศักยภาพของเขาคือพละกำลังที่หนักหน่วงอย่างน่าทึ่ง หากปล่อยพละกำลังเต็มพิกัด เขาจะสามารถเล่นงานทุกอย่างที่ขวางหน้า ดังนั้นเทคนิคการต่อสู้ที่เขาฝึกฝนจึงมักเป็นเทคนิคที่มีธรรมชาติอันเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน


แต่จ้งฉิงนั้นตรงกันข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายเชี่ยวชาญในการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดอ่อน เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับคู่ต่อสู้ โลกของพายุหิมะที่เขากำลังสำแดงอยู่ในเวลานี้สามารถสร้างความสับสนได้อย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่ทำให้การมองเห็นของคู่ต่อสู้พร่าเลือน ถ้าหมี่ชวนอยู่ในตำแหน่งของฟ่านเฉี่ยวฉู ก็รู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือวิ่งหนี


คนอื่นๆพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับคำพูดนั้น พวกเขาพากันย่นหน้าผาก ดูเหมือนกำลังคิดหนักว่าจะหาทางเอาชนะโลกแห่งพายุหิมะอันทรงพลังได้อย่างไร


แต่ไม่ช้า ทุกคนก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


พวกเขาได้ข้อสรุปเหมือนกันหมด


เว้นเสียแต่ว่าวรยุทธของพวกเขาจะเหนือชั้นกว่าจ้งฉิง ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่สามารถทำได้!


เมื่อเกิดความคิดนั้น ทุกคนรีบหันไปมองชายหนุ่มที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 และเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้างงงัน ดูเหมือนชายหนุ่มกำลังจนปัญญาและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร


แต่แล้วร่างของเขาก็กระตุกเมื่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในสมอง เขาก้าวออกมาเล็กน้อย แล้วเข้าสู่ใจกลางรัศมีการโจมตีของจ้งฉิง


น่าประหลาดใจที่แม้เขาจะรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของจ้งฉิงแล้ว แต่ก็ไม่มีการโจมตีใดๆเข้าถึงตัวเขาได้ ด้วยการโบกมือเบาๆ พายุหิมะดูเหมือนจะถูกผลักดันออกไป แล้วรวมตัวกันเป็นลูกบอลหิมะขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว


พลั่ก!


จ้งฉิงถูกเล่นงานจากระยะไกล เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก


เขาพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว!


“เฮ้ย…”


บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ตรงนั้นพากันตาโตด้วยความตกใจ ทุกคนผงะกับสิ่งที่ได้เห็น


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อ พวกเขาเก่งกาจถึงขนาดเอาชนะลูกศิษย์ทีละหลายๆคนพร้อมกันได้แม้จะกดข่มระดับวรยุทธไว้ แต่ชายหนุ่มคนนั้นเล่นงานจ้งฉิงจนพ่ายแพ้ราบคาบ


ทุกคนได้เห็นการดวลตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งกระบวนท่าที่ฟ่านเฉี่ยวฉูสำแดงออกมาดูธรรมดาสามัญมาก แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง กระบวนท่าเหล่านั้นดูจะทำลายปราการป้องกันตัวของจ้งฉิงได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาสิ้นเรี่ยวแรง


ต่อให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งของจ้งฉิง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ดีกว่านั้น


ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้ที่เทคนิคการต่อสู้ของใครคนหนึ่งจะล้ำลึกขนาดนี้ อาจารย์ของฟ่านเฉี่ยวฉูเป็นใครกัน?


ขณะที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญยังจังงังกับสิ่งที่ได้เห็น ฟ่านเฉี่ยวฉูก็จ้องมองฝ่ามือของเขาด้วยสายตาที่แทบไม่อยากเชื่อ


ทั้งหมดที่เขาจำได้ก็คือใครคนหนึ่งเรียกตัวเขาไปตอนที่เขากำลังรออยู่ที่ตีนเขาให้การทดสอบเริ่ม จากนั้นทุกอย่างก็ว่างเปล่า เมื่อเขารู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ที่สำนักแห่งขงจื๊อแล้ว


เขารู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเลยที่จ้งฉิงเล่นงานนักเรียนธรรมดาๆคนหนึ่งแบบนี้ และเขาก็เตรียมใจไว้แล้วที่จะพ่ายแพ้ยับเยิน แต่ความทรงจำส่วนหนึ่งก็หวนกลับมาตอนที่เขากำลังสิ้นหวัง


ความทรงจำนั้นคือภูมิปัญญาส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการต่อสู้


เขาเพียงแค่เคลื่อนไหวไปตามหลักการของเทคนิคการต่อสู้เหล่านั้น และก่อนที่จะทันรู้ตัว ก็เล่นงานจ้งฉิงที่ดูเหมือนจะอยู่ไกลเกินเอื้อมจนพ่ายแพ้ราบคาบ


ขณะที่ฟ่านเฉี่ยวฉูกำลังพยายามทำความเข้าใจเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว


“ผมคือจางเซวียน ผมยืมร่างของคุณมาชั่วขณะหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนบางอย่าง ผมได้มอบเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่บรรจุเอาภูมิปัญญาเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้ไว้เพื่อเป็นการชดใช้ หวังว่าคุณจะตอบแทนด้วยการเก็บตัวตนของผมไว้เป็นความลับ!”


ฟ่านเฉี่ยวฉูจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงเดียวกันกับคนที่เล่นงานเขาจนสลบไปในตอนนั้น


จางเซวียน? ถ้าความทรงจำของเขาทำให้เราเอาชนะได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อ นั่นก็หมายความว่า…เขาเป็นนักปราชญ์โบราณใช่ไหม? ฟ่านเฉี่ยวฉูใจเต้นตึกตัก


อีกฝ่ายสามารถทิ้งเศษเสี้ยวความทรงจำไว้ให้โดยไม่ทำให้ตัวเขาได้รับความบอบช้ำแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่มีแต่นักปราชญ์โบราณผู้คร่ำหวอดเท่านั้นถึงจะทำได้


แม้แต่นักปราชญ์โบราณในตระกูลของเขาก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย เขาจินตนาการไม่ถูกว่าคนที่ชื่อ ‘จางเซวียน’ คนนี้ทรงพลังแค่ไหน


ถ้า ‘จางเซวียน’ คนนี้ปรารถนาจะทำเรื่องชั่วร้าย ก็คงคร่าชีวิตเขาได้เพียงแค่การใช้ความคิดแวบเดียว แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น แถมยังชดเชยให้เขาด้วย เพียงเท่านี้ก็พอจะสรุปได้แล้วว่า ‘จางเซวียน’ คนนี้ไม่ใช่คนจิตใจสกปรก ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยากเข้ามาที่สำนักแห่งขงจื๊อด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ควรจะเก็บไว้เป็นความลับ


อีกอย่าง มีแต่นักปราชญ์โบราณด้วยกันเท่านั้นที่จะคลี่คลายเรื่องราวของนักปราชญ์โบราณด้วยกันได้ ในฐานะนักรบระดับเซียนขั้น 9 ต่อให้เขาพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ


ฟ่านเฉี่ยวฉูรีบซึมซับเศษเสี้ยวของความทรงจำทั้งหมดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในหัวสมองของเขา ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ตรงหน้า “มีใครในหมู่พวกคุณที่ยังอยากทดสอบวรยุทธของผมอีกไหม? ออกตัวมาได้เลย! แต่ถ้าไม่มั่นใจล่ะก็ ผมก็ไม่รังเกียจนะที่จะเผชิญหน้ากับพวกคุณทุกคนพร้อมกันทีเดียว!”


เขาเพิ่งทดลองเทคนิคการต่อสู้ไปเมื่อครู่ และเห็นแล้วว่ามันใช้ได้ผล นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทดสอบความก้าวหน้าของตัวเอง


เห็นความหยิ่งผยองของนักเรียนใหม่ หมี่ชวนกับคนอื่นๆสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะก้าวออกมา


30 อึดใจให้หลัง พวกเขาก็นอนสลบไสลอยู่กับพื้น


ฟ่านเฉี่ยวฉูจับจ้องมือไม้ที่กำลังสั่นเทาของเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ แทบไม่เชื่อว่าปาฏิหาริย์หล่นทับตัวเองแล้ว


ทั้งความปราดเปรื่องและพละกำลังของเขาจัดได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับสมาชิกส่วนใหญ่ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงยากเต็มทีที่เขาจะผ่านการทดสอบ ใครจะรู้ว่าตัวเขาจะไปเข้าตานักปราชญ์โบราณคนหนึ่งและได้รับการถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดที่ทำให้เขาเอาชนะได้แม้แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อ


นี่เป็นความสำเร็จที่เขาไม่เคยกล้าแม้แต่จะนึกฝัน!


แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเทคนิคการต่อสู้ของนักปราชญ์โบราณก็สามารถยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาได้มากแล้ว ฟ่านเฉี่ยวฉูตัวสั่นเมื่อจินตนาการถึงพละกำลังของนักปราชญ์โบราณผู้นั้น


อยากรู้เหลือเกินว่านักปราชญ์โบราณจางเซวียนผู้นี้เป็นใคร…ฟ่านเฉี่ยวฉูเหม่อมองท้องฟ้าที่ไกลออกไปขณะนึกภาพวีรบุรุษร่างสูงใหญ่


ไม่มีคน ‘แซ่จาง’ อยู่ในร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงน่าจะเป็นคนนอก แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีทางที่เขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนักปราชญ์โบราณจางเซวียนคนนี้ เพราะฉะนั้นคิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือเขาได้ร่ำเรียนเทคนิคการต่อสู้จากนักปราชญ์โบราณจางเซวียนแล้ว และเป็นหนี้บุญคุณต่ออีกฝ่าย


นับจากวันนี้ไป คุณจะเป็นอาจารย์เพียงคนเดียวที่ผมให้การยอมรับ จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นของผมได้…ฟ่านเฉี่ยวฉูสาบานในใจ


…..


ฟึ่บ!


ร่างหนึ่งเดินลอยชายอยู่ในสำนักแห่งขงจื๊อ มีฝูงชนมากมายอยู่รายรอบ แต่ไม่มีสักคนที่ดูจะรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา มิติที่อยู่โดยรอบบิดเบี้ยวไป ช่วยปกป้องไม่ให้แสงสาดส่องถึงตัว


ร่างไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน


เป้าหมายของเขาคือเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อโดยไม่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้มากนัก และในเมื่อเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปลอมตัวอีก


ดังนั้น จางเซวียนจึงปล่อยตัวฟ่านเฉี่ยวฉูตั้งแต่มาถึงสำนักแห่งขงจื๊อได้ไม่นาน และแน่นอนว่าไม่ลืมที่จะชดเชยให้อีกฝ่ายอย่างงามด้วย


เพราะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดฉบับเต็มของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมา เขาจึงสามารถปฏิบัติภารกิจยากๆอย่างการถ่ายโอนเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำของเขาให้กับฟ่านเฉี่ยวฉูได้โดยไม่ทำอันตรายอีกฝ่าย


ส่วนฟ่านเฉี่ยวฉูจะได้ประโยชน์แค่ไหนจากเศษเสี้ยวความทรงจำของเขา นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องกังวล เขามอบโอกาสให้ฟ่านเฉี่ยวฉูไปแล้ว หมอนั่นจะรับมันไว้ได้แค่ไหนก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา


แต่ก็นั่นแหละ แม้การถ่ายโอนเศษเสี้ยวของความทรงจำจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการทำให้อีกคนหนึ่งมีพละกำลังมากขึ้น แต่รากฐานของฟ่านเฉี่ยวฉูก็ย่อมไม่มั่นคงเหมือนฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงที่ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาของเขาผ่านการค้นพบด้วยตัวเองและการปฏิบัติจริง


พูดอีกอย่างก็คือ แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของฟ่านเฉี่ยวฉูจะดูเหมือนสูงกว่าฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงในเวลานี้ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ ก็เป็นไปได้ว่าสองคนนั้นน่าจะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่า


สำหรับตัวจางเซวียน แน่นอนว่าเขาจะออกจากอาณาจักรคุนฉื่อทันทีที่ค้นพบความลับของปรมาจารย์ขง


จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆนานาออกจากหัวสมองและเดินหน้า เขาลัดเลาะไปรอบสำนักแห่งขงจื๊อที่มีหน้าตาเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป ก่อนในที่สุดจะมาสะดุดตาเข้ากับห้องๆหนึ่ง


หอบรรพบุรุษนักปราชญ์… ถ้าปรมาจารย์ขงซุกซ่อนความลับบางอย่างไว้ในสำนักแห่งขงจื๊อ ก็น่าจะเป็นที่นี่ จางเซวียนคิด


ที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออาคารหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ปรากฎในสภาปรมาจารย์สาขาไหนๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ มันคือหอบรรพบุรุษนักปราชญ์


ที่อยู่ภายในหอบรรพบุรุษนักปราชญ์คือรูปปั้นของปรมาจารย์ขงและทรัพย์สมบัติของเขา เป็นหอที่มีไว้ให้ทุกคนมาแสดงการคารวะ


ในบรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของสำนักแห่งขงจื๊อ นี่เป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงมากที่สุด


จางเซวียนสูดหายใจลึกก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหอบรรพบุรุษนักปราชญ์


วิ้งงงง!


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถึงเป้าหมาย ลำแสงหนึ่งก็สาดลงมาจากท้องฟ้า ดูเหมือนจะเป็นค่ายกลที่ทะลุผ่านการบิดเบี้ยวของมิติที่จางเซวียนสร้างขึ้นไว้รอบๆตัวเขาได้ มันรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา


ฟึ่บ!


จากนั้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ก็แหวกมิติลงมา มิติโดยรอบพังทลายไปอย่างรวดเร็วเพราะพละกำลังหนักหน่วง อาณาจักรคุนฉื่อทั้งอาณาจักรแทบจะแหลกสลายไปเพราะอานุภาพทำลายล้างของมัน


ตอนที่ 1887 หอบรรพบุรุษนักปราชญ์

จางเซวียนไม่คิดว่าจะถูกพบตัวทั้งๆที่อำพรางตัวเองอย่างมิดชิดแล้ว เขาถอยไปก้าวหนึ่งก่อนจะใช้พลังหมัดผลักดันฝ่ามือนั้นออกไป


ถึงเขาจะยังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็เทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ขณะที่พลังปราณไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณของเขา พละกำลังทำลายล้างก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็วที่ข้อนิ้ว


พลั่ก!


เมื่อหมัดกับฝ่ามือปะทะกัน ร่างของจางเซวียนกระตุกไปเล็กน้อย


เขาประหลาดใจที่พบว่าแรงปะทะจากฝ่ามือไม่ได้อ่อนด้อยกว่าหมัดของเขา มันมีพละกำลังในระดับของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดเช่นกัน


เราจะปล่อยให้ยืดเยื้อไม่ได้…


แรงผลักดันของจางเซวียนในการเข้ามาที่อาณาจักรคุนฉื่อก็เพื่อแกะรอยตามปรมาจารย์ขงหลังจากที่เขาจับตัวเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนมา ไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญหา และเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากอันไม่จำเป็น จึงดีที่สุดหากจางเซวียนจะรีบจบการต่อสู้ครั้งนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อย่างนั้น ทันทีที่เหล่านักปราชญ์โบราณของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์รับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา ทุกอย่างจะยุ่งยากอย่างหนัก


จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ปรากฏ เขารวบรวมพละกำลังเต็มพิกัด จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ฝ่ามือที่อยู่กลางอากาศ


ทั้งๆที่หอกมีพละกำลังอันน่าทึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้มากไปกว่ารอยแยกบางๆในมิติที่อยู่โดยรอบ ดูราวกับเข็มทิ่มแทงเข้าสู่ผิวหนัง หอกนั้นบรรจุพลังงานเอาไว้ภายในจนเต็มเปี่ยม แต่แม้ฝูงชนที่อยู่ใกล้ๆก็ไม่รู้เลยว่านักปราชญ์โบราณ 2 คนกำลังปะทะกันโดยอยู่ห่างจากพวกเขาออกไปเพียง 10 เมตร


พลั่ก!


ด้วยแรงผลักดันหนักหน่วง หอกสวรรค์กระดูกมังกรเล่นงานฝ่ามือได้สำเร็จและผลักดันมันออกไป เมื่อรู้แล้วว่าสู้จางเซวียนไม่ได้ ฝ่ามือนั้นก็ล่าถอยกลับเข้าสู่ค่ายกล


หลังจากเอาชนะอุปสรรคได้สำเร็จ จางเซวียนก็รีบมุ่งหน้าเข้าสู่หอบรรพบุรุษนักปราชญ์


สิ่งแรกที่เตะตาเมื่อเข้าไปในห้องนั้นคือรูปปั้นขนาดใหญ่ของปรมาจารย์ขงที่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง ที่อยู่ด้านหน้าเขาคือนักรบที่สวมชุดทองคำตั้งแต่หัวจรดเท้า นักรบผู้นั้นกำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยเจตนาสังหารที่ยังคงสั่นระริกอยู่ในดวงตา


มีรอยแผลที่ใจกลางฝ่ามือของนักรบ บอกชัดว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่เพิ่งเล่นงานจางเซวียนเมื่อครู่ก่อน


“นี่คือ…นักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง


เขานึกว่าผู้ที่โจมตีเขาก่อนหน้านี้คงเป็นผู้เชี่ยวชาญสักคนจากสำนักแห่งขงจื๊อที่พยายามปกป้องหอบรรพบุรุษนักปราชญ์…แต่กลับกลายเป็นแค่นักรบคนหนึ่งที่แปรสภาพมาจากลายมือ!


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางเซวียนได้พบกับนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ เขาเคยพบ พวกนี้มาแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว


“ไม่น่าเชื่อว่าลายมือจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณขั้น 3…นักรบทองคำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้หรือเปล่า?” จางเซวียนสงสัย


แน่นอนว่าปรมาจารย์ขงคือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยเหยียบย่างเข้ามาในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนี้


แม้แต่ลายมือเพียงตัวเดียวของปรมาจารย์ขงก็ยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับตัวเขา ถ้าหากปรมาจารย์ขงเขียนถ้อยคำเป็นพรืด คงไม่มีอะไรในโลกที่ยับยั้งอีกฝ่ายไว้ได้!


แต่ทันทีที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของจางเซวียน เขาก็รีบส่ายหน้าแล้วสลัดมันออกไป


การจะสร้างนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณขึ้นมาได้สักคนนั้น การพูดง่ายกว่าทำมาก เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการทดสอบทักษะและสภาวะจิตของผู้เขียนลายมือในระดับแรงกล้า แต่ยังต้องการพลังปราณและหยดเลือดเพื่อบ่มเพาะมันด้วย สำหรับความสามารถของจางเซวียนในตอนนี้ เขาทำได้แค่สร้างนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานเท่านั้น และสร้างได้อย่างมากก็เพียง 3 ตัว


อะไรที่นอกเหนือไปจากนั้นถือว่าเกินกำลัง


“แต่ถึงมันจะทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวอักษรตัวหนึ่ง” จางเซวียนพึมพำ


เขาปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณเพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าการต่อสู้เมื่อครู่ก่อนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร เขาหันกลับไปมองนักรบทองคำอีกครั้ง จากนั้นก็กระทืบขาขวาและพุ่งเข้าใส่ จ้วงแทงหอกไปยังทิศทางที่นักรบยืนอยู่


ด้วยความเข้มข้นของพลังปราณที่บริเวณปลายหอก ลูกทรงกลมที่บรรจุพลังงานเอาไว้ก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว


ศิลปะเพลงหอกของจางเซวียนมีความสัมพันธ์กลมกลืนกับโลกใบนี้ แม้จะมีรูปแบบเรียบง่าย แต่ความสามารถรอบด้านคือหัวใจของมัน ทิศทางของหอกที่ไม่อาจคาดเดาได้ทำให้คู่ต่อสู้ป้องกันตัวเองได้ยาก


เพื่อจบการต่อสู้ครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จางเซวียนลุยต่ออย่างไม่ยั้งมือ เขารวบรวมพละกำลังจนเต็มพิกัดและปลดปล่อยพลังที่เกือบจะเทียบเท่ากับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ภายในไม่ถึง 2 อึดใจ นักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณก็แตกสลาย กลายสภาพเป็นตัวอักษรหมึกที่อยู่บนผนังด้านหลังรูปปั้น


‘ลัทธิขงจื๊อ’


เมื่อเห็นว่าตัวอักษรไม่ปล่อยการโจมตีใดๆอีกแล้ว จางเซวียนเดินเข้าหารูปปั้นปรมาจารย์ขงและโค้งคำนับอย่างงามเพื่อแสดงการคารวะ ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ


เป็นไปได้ว่านักรบทองคำเมื่อครู่คือบททดสอบที่ใครก็ตามที่ต้องการเข้าสู่หอบรรพบุรุษนักปราชญ์จะต้องผ่านไปให้ได้ เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว มีแต่ผู้ที่เอาชนะมันได้เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอจะได้สำรวจสถานที่ดังกล่าว


ห้องนั้นว่างเปล่า เว้นเสียแต่รูปปั้นที่อยู่บริเวณใจกลางห้อง


จางเซวียนเดินไปที่ประตูข้าง และเห็นทางเดินทอดยาวออกไปจากตรงนั้น ทางเดินมีขนาดกว้างใหญ่ มีแผ่นหินมากมายนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่สองข้างทาง


“นี่คือ…เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของปรมาจารย์ขงหรือ?” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


แผ่นหินที่ลอยอยู่มีชีวประวัติของปรมาจารย์ขงบันทึกไว้ ประกอบด้วยรายละเอียดทุกอย่างนับตั้งแต่เขาเกิดมา


จางเซวียนจับจ้องแผ่นหินแผ่นหนึ่งที่กำลังลอยอยู่ รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขากำลังล่องลอยทะลุมิติและกาลเวลาเพื่อกลับไปเป็นสักขีพยานต่อชีวิตอันยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ขง


…..


ไม่เหมือนกับความสำเร็จมากมายในชีวิตของเขา ปรมาจารย์ขงไม่ได้เป็นเซียนแต่กำเนิด ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็คือคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง สิ่งเดียวที่พอจะสะดุดตาใครๆก็คือความสนใจอย่างล้ำลึกของตัวเขาที่มีต่อหนังสือ บวกกับไหวพริบที่ฉลาดเฉียบแหลม


แต่แล้วก็มาถึงวันหนึ่งที่ปรมาจารย์ขงก้าวออกจากชีวิตธรรมดาสามัญแบบเดิม ราวกับว่าภูมิปัญญาอย่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขาอย่างปุบปับ ทำให้ระดับวรยุทธพุ่งพรวด ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้น 9, นักรบเหนือมนุษย์ขั้น 9 และแม้แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9!


ในแง่ของความก้าวหน้า ปรมาจารย์ขงไม่ได้ช้าไปกว่าเขาเลย!


ยุคนั้นยังคงเป็นยุคที่เผ่าพันธุ์ปีศาจกุมอำนาจเหนือทวีปแห่งปรมาจารย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้ชีวิต อย่างแร้นแค้นยากลำบาก แต่ตลอดการเจริญเติบโตของเขา ปรมาจารย์ขงไม่เคยหยุดยั้ง เขาต่อสู้ จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้จากเงื้อมมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ในเวลาเดียวกันก็เผยแผ่คำสอนและแนวคิดพร้อมกับรับลูกศิษย์ไปด้วย


ไม่ช้าไม่นาน สภาปรมาจารย์ที่พวกเขารู้จักกันดีในทุกวันนี้ก็ถูกก่อตั้งขึ้น


เมื่อรู้สึกว่าการปรากฏตัวของปรมาจารย์ขงเป็นภัยคุกคาม เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นพยายามลอบโจมตีปรมาจารย์ขงกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา กักขังคนเหล่านั้นไว้ที่เฉินข่ายอยู่หลายเดือน หลายคนคิดว่าปรมาจารย์ขงคงพ่ายแพ้แล้ว แต่ในช่วงเวลาคับขันนั้น เขาได้รังสรรค์มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงขึ้น และฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ สิ่งนั้นปลดปล่อยตัวเขาจากอันตรายที่เผชิญอยู่ และในที่สุดก็สังหารไอ้โหดได้สำเร็จด้วย


ไม่ช้าไม่นาน เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็ถูกผลักดันกลับไป พวกมันต้องติดแหงกอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้มวลมนุษย์เป็นอิสระอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


“เท่าที่เห็น ดูเหมือนการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณของปรมาจารย์ขงจะไม่ใช่แค่การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของเวลาแบบทั่วไป…” จางเซวียนครุ่นคิดขณะติดตามการเดินทางในชีวิตของปรมาจารย์ขงไปเรื่อยๆ


มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงบรรจุเอาความลับของกาลเวลาไว้ จางเซวียนเองเคยเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อมาแล้ว และกระแสของกาลเวลาในมิติลี้ลับแห่งนั้นก็แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง


การฝ่าด่านวรยุทธของนักปราชญ์โบราณหรันชิวมีรากฐานมาจากศิลปะเพลงหอกของเขา ส่วนการฝ่าด่านวรยุทธของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋มาจากความเข้าใจอันล้ำลึกในกฎเกณฑ์แห่งมิติ ที่ผ่านมา จางเซวียนเคยคิดว่าสิ่งที่ทำให้ปรมาจารย์ขงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จคือกฎเกณฑ์ของเวลา แต่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น


ผู้ก่อตั้งตระกูลจางคือบุคคลที่เข้าถึงแก่นสารของกาลเวลาและฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จโดยอาศัยมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นนักรบผู้ทรงพลัง แต่ก็ยังห่างไกลหากจะเปรียบเทียบกับครูบาอาจารย์ของโลก


จางเซวียนเก็บความสงสัยในใจไว้ เขาเดินสำรวจแผ่นหินแผ่นอื่นๆต่อไป


หลังจากถูกขับไล่ไปสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจต่างรู้สึกเสียศักดิ์ศรีและปรารถนาการแก้แค้น พวกมันจึงอัญเชิญเทพเจ้ามาเพื่อหวังจะพลิกผันสถานการณ์ แต่แล้วเทพเจ้าก็กลับถูกปรมาจารย์ขงจับตัวไว้


เมื่อเฝ้าดูมาถึงจุดนี้ จางเซวียนหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย


เป้าหมายของเขาในการมาที่นี่คือค้นหารายละเอียดของการปะทะระหว่างปรมาจารย์ขงกับเทพเจ้าที่ถูกจับตัวไป และคำตอบก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!


ปรมาจารย์ขงนำตัวเทพเจ้าไปจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แล้วพาอีกฝ่ายไปยังดินแดนกันดารห่างไกล


ดินแดนนั้นอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง พลังจิตวิญญาณเบาบาง แทบไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือเมืองให้เห็น


แต่แล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกตัดภาพไป บอกได้ยากว่าเทพเจ้าถูกสังหารไปแล้วหรือไม่ แต่เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในเวลาเดียวกัน ปรมาจารย์ขงก็ดูจะได้รับบาดเจ็บ จึงเลือกที่จะตั้งหลักอยู่ในพื้นที่นั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อเยียวยาตัวเอง


บนแผ่นหินแผ่นสุดท้ายได้บอกรายละเอียดไว้ว่าปรมาจารย์ขงเข้าสู่โลกขนาดย่อมใบหนึ่ง ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง โลกขนาดย่อมใบนั้นน่าจะเป็นอาณาจักรคุนฉื่อที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ตั้งอยู่


“อาณาจักรคุนฉื่อ…หรือว่า…”


จางเซวียนพินิจพิจารณาดินแดนกันดารห่างไกลที่ปรมาจารย์ขงพาตัวเทพเจ้าไปไว้ที่นั่น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน


เขาจดจำดินแดนกันดารห่างไกลแห่งนั้นได้…


ไม่ใช่ที่อื่นใดนอกจากอาณาจักรเทียนเซวียนในปัจจุบัน!


ตอนที่ 1888 พบนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอีกครั้ง

“หรือว่าปรมาจารย์ขงไม่ได้เป็นผู้สร้างอาณาจักรคุนฉื่อ?” จางเซวียนครุ่นคิด


เขารู้ตั้งแต่ก่อนจะมาถึงที่นี่แล้วว่าร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์แยกตัวจากทวีปแห่งปรมาจารย์เข้ามาพำนักในโลกใบย่อมที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้น นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้เห็นอาณาจักรคุนฉื่อหลังจากทำลายฉนวนได้สำเร็จ แต่แผ่นหินที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกเขาว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น


โลกขนาดย่อมใบนี้ดูจะมีอยู่ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่การรังสรรค์ของปรมาจารย์ขง


เรื่องราวของปรมาจารย์ขงหยุดอยู่เท่านี้ เป็นไปได้ไหมว่าอาณาจักรคุนฉื่อจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมิติเบื้องบน?


จางเซวียนขมวดคิ้วและเดินหน้าต่อไป


ที่ปลายสุดทางเดินคือห้องโอ่อ่าหรูหราที่เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ภาพวาดเหล่านั้นแสดงถึงคุณงามความดีมากมายที่ผู้เชี่ยวชาญหลายรุ่นของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้สร้างไว้หลังจากเข้าสู่ โลกขนาดย่อมใบนี้


เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดเดาไว้ ข้าวสาลีแตกยอดถูกบ่มเพาะโดยนักปราชญ์โบราณคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่ออย่างที่จางเซวียนเคยคิด กลับเป็นทายาทคนหนึ่งของเขา ต้องใช้เวลาถึงหลายหมื่นปีกว่าจะปรับปรุงดัดแปลงมันจนกลายเป็นพืชมหัศจรรย์ขนาดนี้ พืชที่ทำให้ แม้แต่คนธรรมดาสามัญมีวรยุทธขั้นจงซรือได้เมื่อมีอายุมากพอ


แน่นอนว่าอานุภาพของมันไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ด้วยการยกระดับสภาวะร่างกายของพวกเขา มันยังทำให้นักรบสามารถพัฒนาวรยุทธได้เร็วกว่าปกติด้วย


หลังจากกวาดสายตาไปทั่วจิตรกรรมฝาผนังที่ติดตั้งอยู่ จางเซวียนยิ่งงุนงงสับสนมากขึ้น


ในภาพเหล่านั้นไม่มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงเลย ดูราวกับว่าปรมาจารย์ขงหายตัวไปจากโลกนี้แล้วอย่างสิ้นเชิงจนไม่หลงเหลือรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว


จางเซวียนเดินไปจนสุดทางและเดินวนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีอะไรให้เห็น


เขาอดถอนหายใจอย่างจนปัญญาไม่ได้


ดูเหมือนการสืบเสาะของเขาจะมาถึงทางตันเสียแล้ว


จางเซวียนส่ายหน้าและกำลังจะออกจากหอบรรพบุรุษนักปราชญ์เพื่อไปสำรวจพื้นที่อื่นๆของสำนักแห่งขงจื๊อ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบหลบเข้าไปที่มุมห้อง พร้อมกันนั้นก็สร้างฉนวนขึ้นมา 12 อันเพื่อปกป้องตัวเอง ทำให้ร่องรอยทั้งหมดของเขาหายไป


ฟึ่บ!


เพียงวินาทีเดียวหลังจากอำพรางตัวสำเร็จ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นกลางอากาศ ผู้คนมากมายกำลังมุ่งหน้ามายังหอบรรพบุรุษนักปราชญ์


จางเซวียนแอบมองจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มนั้นมีใบหน้าคุ้นตาอย่างน่าประหลาด…นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง!


ทั้งกลุ่มที่ตามหลังอีกฝ่ายมาล้วนแต่อยู่ในความทรงจำของเขา ทุกคนมีส่วนร่วมในการเข้าตีวงล้อมอำมาตย์เฉินหย่งเมื่อครั้งอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ


ด้วยความแข็งแกร่งของจางเซวียนในตอนนี้ บวกกับความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขา ตราบใดที่เขาไม่ปลดปล่อยรังสีออกมาหรือตั้งใจสื่อสารกับใคร ก็สามารถอำพรางตัวได้แม้แต่จากสายตาของเหล่านักปราชญ์โบราณ


พวกเขาดูหน้าตาไม่ค่อยดีเลย…


ครั้งแรกที่จางเซวียนได้พบคนเหล่านี้ที่วิหารแห่งขงจื๊อ ทุกคนแผ่รังสีแผดกล้าของนักปราชญ์โบราณออกมา เป็นรังสีที่บีบบังคับให้ใครต่อใครต้องก้มหัวให้กับอำนาจของพวกเขา แต่ตอนนี้ แต่ละคนดูราวกับต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเหี่ยวแห้ง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หน้าตาหรือรังสีที่แผ่ออกมา ก็ดูเหมือนว่าทั้งกำลังวังชาและความสดชื่นมีชีวิตชีวาถูกดูดออกจากร่างไปจนหมดเกลี้ยง


นี่คือบางอย่างที่เขาเคยรู้สึกได้จากจางหงเทียนเมื่อครั้งที่อายุขัยของอีกฝ่ายสิ้นสุด


สงสัยเหลือเกินว่ามีอะไรผิดพลาด…จางเซวียนจ้องมองและครุ่นคิด


จริงอยู่ว่าการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งในครั้งนั้นดุเดือดมาก และหลายๆคนในกลุ่มนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนจางหงเทียน น่าจะเยียวยาตัวเองจนกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมได้หากมีเวลามากพอ


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมทุกคนถึงยังอยู่ในสภาพนี้ทั้งที่เวลาผ่านไปก็หลายเดือนแล้ว?


โดยเฉพาะกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง สีหน้าของเขาบ่งบอกความอ่อนล้า แววตาที่เคยมีชีวิตชีวากลับหมองไป การเคลื่อนไหวก็ออกจะติดขัด ดูราวกับใกล้จบชีวิตเต็มที


“แค่ก! แค่ก!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงไอก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเลือดสุดๆก็ไหลซึมออกจากมุมปากของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง


“เหยียนชิง…” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังมองเขาอย่างเป็นห่วง


“ผมยังไหว…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยกมือขึ้นและตอบอย่างอ่อนระโหย เขารวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายแล้วหันกลับมาพูด “หลังจากคารวะแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ”


“คุณแน่ใจนะว่าอยากทำแบบนี้?”


“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ นี่คือภารกิจที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้รับมอบหมาย พวกเราจะละทิ้งความรับผิดชอบของเราไม่ได้” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบด้วยสีหน้าที่อ่านได้ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่


เขาส่ายหัว จากนั้นก็เดินเข้าหารูปปั้นปรมาจารย์ขงและทรุดตัวลงคุกเข่า นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆรีบทำตาม


“เรียนท่านครูบาอาจารย์ของโลกผู้เก่งกาจ ผมคือทายาทรุ่นที่ 73 ของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, เหยียนชิง ผมได้ทำตามคำสอนของคุณและรักษาภาระหน้าที่มาตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่มีสักวันที่ผมจะละเลย ด้วยการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อ ผมรู้ดีว่าพวกเรามาถึงจุดแตกหักที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเตือนเอาไว้ และถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะทำหน้าที่ในส่วนของเราที่มีต่อโลกใบนี้ เราเต็มใจที่จะสละชีวิตของเราให้กับโลก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณได้ยินเสียงอ้อนวอนของพวกเราจากเบื้องบน ผมขอวิงวอนให้คุณดูแลตระกูลของพวกเราด้วย หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว!”


คำพูดของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงแสนจะเคร่งเครียด ราวกับเขาพร้อมใจรับจุดจบของชีวิต


รูปปั้นปรมาจารย์ขงยืนนิ่งอยู่กับที่ ความเงียบงันอบอวลไปทั่ว


หลังจากอ้อนวอนแล้ว ทั้งกลุ่มก็ลุกขึ้นยืน แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงดูจะอ่อนระโหยกว่าเดิมขณะพูดว่า “ไปกันเถอะ”


“ได้”


ความสิ้นหวังปรากฏในแววตาของเหล่านักปราชญ์โบราณผู้สูงส่งและทรงพลังเหล่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทุกคนตามหลังนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปอย่างเงียบๆ


จุดแตกหัก? สละชีวิตของพวกเขา?


ไม่นานหลังจากบรรดานักปราชญ์ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จากไป จางเซวียนก็ปลดฉนวนที่อยู่รอบตัวออกขณะก้มหน้าลงครุ่นคิด


ภายใต้สถานการณ์ปกติ นักปราชญ์โบราณเหล่านี้ควรจะกลับสู่ภาวะจำศีลแล้ว ทำไมจู่ๆถึงมาเยี่ยมเยียนหอบรรพบุรุษนักปราชญ์และพูดอะไรแบบนั้นออกมา แล้วยังอาการบาดเจ็บของพวกเขาอีกล่ะ?


เรื่องสุดท้ายที่จางเซวียนได้ข่าวมาก็คือพวกเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการซ่อมแซมวิหารแห่งขงจื๊อ หรือว่าจะมีอันตรายบางอย่างในการซ่อมแซมวิหารแห่งขงจื๊อ?


จางเซวียนเก็บงำความสงสัยไว้ จากนั้นก็รีบตามทั้งกลุ่มไป


“หอกสวรรค์กระดูกมังกร ช่วยปกปิดรังสีของผมให้หน่อย”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรรีบแปรสภาพเป็นเข็มขัดที่รัดรอบเอวของจางเซวียน ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนร่างของจางเซวียนจะหดลงเล็กน้อย ไม่มีร่องรอยของรังสีแผ่ออกจากตัวเขา ถึงขนาดที่ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ไม่อาจรับรู้การปรากฏตัวของเขาได้


แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ในปัจจุบันของจางเซวียนจะทัดเทียมกับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามขั้นสุดท้ายเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ดังนั้นการควบคุมพละกำลังของเขาจึงยังคงอ่อนด้อยอยู่ หากปราศจากปราการหลายต่อหลายชั้น ก็ไม่มั่นใจว่าจะเก็บงำรังสีไว้ได้ดีพอที่จะสะกดรอยตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญไปได้โดยไม่ทำให้พวกเขารู้ตัว


แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรได้ดื่มเลือดมังกรและอยู่ห่างอีกเพียงก้าวเดียวจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเสียอีก ด้วยการช่วยเหลือของมัน เป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณเหล่านั้นคงไม่สามารถรับรู้การปรากฏตัวของเขา


เมื่อออกจากหอบรรพบุรุษนักปราชญ์ จางเซวียนเห็นนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงโผขึ้นสู่กลางอากาศและฉีกกระชากมิติออกเพื่อเดินทางไปที่อื่น เขารีบตามไปติดๆ


ครู่ต่อมา พวกเขาก็มาถึงแท่นบูชาที่อยู่กลางสันเขาห่างไกล ท้องฟ้าเบื้องบนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่หมู่เมฆหรือสีฟ้าให้เห็น มันคือความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง


กระแสของมิติที่นี่ช่างรวดเร็วเหลือเกิน จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


หากมองด้วยสายตาของผู้ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมา สถานที่แห่งนี้ดูจะสงบสุขมาก แต่ในฐานะใครคนหนึ่งที่เข้าถึงแก่นสารของมิติแล้ว จางเซวียนรับรู้ได้ว่ากระแสของมิติในพื้นที่นี้ไหลไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในทุกๆวินาที ดูราวกับว่าทั่วทั้งบริเวณนี้อาจพังทลายได้ในไม่ช้า


แต่นั่นยังไม่หมด


เหนือความว่างเปล่าขึ้นไปมีความรู้สึกกระหายเลือดที่ดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าเล่นงานจิตวิญญาณของทุกคน


“เริ่มกันเถอะ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเร่งหลังจากเข้าประจำตำแหน่ง


นักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มที่เหลือพยักหน้ารับและเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณของพวกเขา แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะโดยพายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหัน สองร่างพุ่งตรงเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว


เมื่อรับรู้ได้ถึงแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคน เหล่านักปราชญ์โบราณรีบยับยั้งการกระทำของพวกเขาและหันไปมอง แน่นอนว่าจางเซวียนก็ทำแบบเดียวกัน


ฟึ่บ!


แขกทั้งสองร่อนลงกับพื้น


คนแรกคือสาวน้อยที่ดูจะมีอายุราว 20 ต้นๆ เธอมีเรือนร่างบอบบางอ้อนแอ้นและผมดำสนิทที่ยาวสยายจนถึงเอว ให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนน่าหลงใหล นัยน์ตาของเธอฉายแววกังวลใจล้ำลึกที่บ่งบอกถึงความร้อนรนต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น


อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มอายุราว 20 ต้นๆที่สวมเสื้อคลุมสีเขียว เขายืนอยู่ด้านหลัง จางเซวียนเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นหนึ่งในทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ที่เคยต่อสู้แย่งชิงเครื่องรางลำดับแรกกับจางเซวียนที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว, เหยียนเฉว่!


“คุณสองคนมาทำอะไรที่นี่?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


สาวน้อยก้าวออกมาและตอบว่า “ในฐานะทายาทของปรมาจารย์ขง ฉันจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว?”


ทายาทของปรมาจารย์ขง? จางเซวียนตาโต หรือว่าเธอคือขงซือเหยา?


ตอนที่ 1889 ศพของเหยียนฮุย

เขาเคยได้ยินผู้คนมากมายเอ่ยนาม ‘ขงซือเหยา’ เธอขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ มีความปราดเปรื่องเหนือชั้นเรื่องวรยุทธ ว่ากันว่าเธอไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเขาเลย


มีบางครั้งที่จางเซวียนคิดว่าตัวตนที่แท้จริงของหลัวลั่วชิงคือขงซือเหยา แต่ข้อสันนิษฐานของเขาก็ผิดพลาด


เมื่อเห็นบุคคลที่เขาเคยได้ยินชื่อหลายครั้งหลายหนปรากฏตัวตรงหน้า จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณาเธออย่างถี่ถ้วน


พูดได้เลยว่าเรื่องที่ร่ำลือกันนั้นไม่ได้ปราศจากเหตุผล ไม่เพียงแต่เธอจะมีรูปร่างหน้าตางดงามอย่างไร้ที่ติ ยังแผ่รังสีของความเป็นอมตะตามแบบของเทพเจ้าออกมาด้วย ยากที่ใครสักคนจะละสายตาจากเธอได้


หลัวลั่วชิงมีรังสีสง่างามแก่กล้าที่ทำให้ใครๆไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้เธอเป็นบุคคลที่ยากจะเข้าถึง แต่ขงซือเหยามีรังสีที่ดึงดูดให้ใครต่อใครมอบความไว้วางใจและยอมจำนนให้เธอ มันเป็นรังสีของผู้นำโดยสัญชาตญาณ ผู้คนมากมายเต็มใจจะมอบชีวิตให้เธอบงการ


เหล่าปรมาจารย์ที่ไร้เทียมทานสามารถดึงดูดสายตาของใครๆให้หันมาจับจ้องได้ด้วยรูปลักษณ์ของพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นใครคนหนึ่งเปล่งประกายของคุณสมบัตินั้นอย่างเด่นชัด ดูเหมือนขงซือเหยาจะได้รับการถ่ายทอดสายเลือดของปรมาจารย์ขงมาอย่างแท้จริง จางเซวียนคิด


แน่นอนว่าสายเลือดของปรมาจารย์ขงนั้นย่อมไม่ธรรมดา


ในแง่วรยุทธ ขงซือเหยาเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนจางเซวียน เธอยังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่รังสีในร่างกายของเธอเข้มข้นและหนักแน่นมาก เป็นไปได้ว่าประสิทธิภาพการต่อสู้น่าจะเหนือชั้นกว่านักปราชญ์โบราณโดยทั่วไปแล้ว


นี่เป็นครั้งแรกที่จางเซวียนได้เห็นใครคนหนึ่งที่มีความปราดเปรื่องทัดเทียมกับเขา


“ในเมื่อคุณรู้ว่าตัวเองเป็นทายาทของปรมาจารย์ขง ก็ควรจะรู้ด้วยว่าต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไรบ้าง พวกเรายอมตายได้ แต่คุณจะต้องรักษาชีวิตของตัวเองไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”


“ทายาทของปรมาจารย์ขงไม่เกรงกลัวความตาย!” ขงซือเหยาตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันรับเอาสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของปรมาจารย์ขงไว้ จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการพยุงความมั่นคงของมิติที่นี่ ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันเรื่องนี้อีกแล้ว!”


เห็นขงซือเหยาตัดสินใจแม่นมั่น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว “ซือเหยา คุณอายุยังน้อย ยังมีหนทางยาวไกลรออยู่ข้างหน้า ผมน่ะเป็นแค่โครงกระดูกแก่ๆกองหนึ่งที่กำลังจะหมดอายุขัยเร็วๆนี้ ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องสละชีวิตเพื่อสิ่งนี้เลย เราไม่ควรจะมาต่อรองเรื่องนี้กันด้วย…”


ขณะที่พูด เขาก็โบกมือ


กระแสพลังงานระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน โอบล้อมร่างของขงซือเหยาและสกัดกั้นเธอไว้ในทันที ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


“นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง!”


นึกไม่ถึงว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิง จะทำอะไรแบบนี้ ขงซือเหยาอุทานด้วยความว้าวุ่นใจ ความกังวลและความตื่นตระหนกผสมปนเปกันอยู่ในหัวใจของเธอ ทำให้น้ำตาปริ่มขอบตา


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไม่หวั่นไหวกับทีท่าของขงซือเหยา เขาหันไปสั่งการอย่างเฉียบขาดกับเหยียนเฉว่ “ดูแลเธอให้ดีนะ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของคุณ ก็จะปล่อยให้เกิดอันตรายใดๆขึ้นกับเธอไม่ได้!”


“ได้!” เหยียนเฉว่รับคำอย่างเด็ดเดี่ยว


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหลับตาครู่หนึ่งก่อนจะมองนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆและพยักหน้า “เริ่มกันเถอะ”


ขณะที่เขาพูด รังสีอันเฉียบขาดและทรงพลังก็แผ่ซ่านออกจากร่าง เมื่อได้กำลังสนับสนุนจากนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ รังสีนั้นก็ก่อตัวอย่างรวดเร็วขึ้นเป็นลำแสงขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าสู่ความว่างเปล่า


พายุโหมกระหน่ำดังกึกก้องอยู่ในความว่างเปล่านั้น กระแสพลังงานหนักหน่วงนับไม่ถ้วนฉีกกระชากรอยแยกแห่งมิติ ดูเหมือนพยายามจะตะเกียกตะกายออกไปเพื่อสำแดงความน่าพรั่นพรึงของมันให้โลกรับรู้


นี่คือ…ปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นใช่ไหม?


เมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีนั้น จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะส่ายหัว


ไม่หรอก ไม่ใช่ มันหนักอึ้งยิ่งกว่าปราณสังหารเสียอีก ดูเหมือนกับปรอท ทางเดินพลังปราณของเราคงรับน้ำหนักของมันไม่ไหวแน่หากเราบุ่มบ่ามซึมซับมันเข้าไป…


สีหน้าของจางเซวียนเคร่งขรึมกว่าเดิมเมื่อรับรู้


พลังงานที่อยู่เหนือรอยแยกแห่งมิติมีลักษณะคล้ายคลึงกับปราณสังหาร แต่แปลกประหลาดพิสดารยิ่งกว่า แม้ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ เขาก็ยังไม่กล้าผลีผลามซึมซับมันเข้าสู่ร่างกาย


พลังจิตวิญญาณโดยทั่วไปนั้นเบาหวิวเสียยิ่งกว่าน้ำ ดังนั้นทางเดินพลังปราณจึงสามารถต้านทานกระแสการไหลเวียนของมันได้โดยไม่เกิดการฉีกขาด แต่เรื่องนี้ไม่อาจพูดได้กับปรอทหรืออะไรก็ตามที่คล้ายคลึงกับพลังงานที่อยู่เหนือร่างของเขา แม้จะเป็นของเหลวเหมือนกัน แต่ก็มีโอกาสสูงที่น้ำหนักของมันจะทำลายทางเดินพลังปราณและกัดเซาะร่างกายของเขาจากภายในหากเขากล้าซึมซับมันเข้าไป


พลังงานนี้กำลังพุ่งพล่านอยู่ด้านหลังรอยแยกแห่งมิติ พยายามจะพุ่งเข้าสู่โลกให้ได้ในทุกขณะ


หากมันหลุดลอดผ่านรอยแยกแห่งมิติไปได้ ร่างของนักรบทุกคนของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จะต้องระเบิดเป็นชิ้นๆทันทีที่สัมผัสกับพลังงานนั้น


มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? จางเซวียนพรั่นพรึง


ราวกับว่าเขาเพิ่งค้นพบความลับของโลกอีกใบหนึ่งซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกที่เขาเคยเห็น ถ้าฉนวนไม่อาจสกัดกั้นพลังงานไว้ได้ ก็ย่อมหมายถึงจุดจบของอาณาจักรคุนฉื่อ!


“ยืนหยัดให้มั่นและปัดป้องมันออกไป!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศ ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงเพราะกระแสบรรยากาศที่พลุ่งพล่าน


เขาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยนักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่ม และมีหน้าที่ส่งพลังงานของคนเหล่านี้เข้าสู่ความว่างเปล่า


พายุพัดกระหน่ำโหยหวนอยู่กลางอากาศขณะที่แรงกดดันจากความว่างเปล่าดูจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนท้องฟ้ากำลังจะถล่มใส่พวกเขา


ในเวลานั้น สีหน้าของเหล่านักปราชญ์โบราณก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้นขณะที่ผมสีดำสนิทของพวกเขา กลายเป็นสีขาวโพลน


พวกเขากำลังเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อสมานรอยแยกของมิติ


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ทุกคนดูร่วงโรยไปมากภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน เรื่องของเรื่องก็คือพวกเขาต่างทุ่มเทแรงกายเพื่อรักษาฉนวนที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้


สายฟ้าฟาดกลางอากาศดูจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะบ่งบอกถึงความเกรี้ยวกราดของสวรรค์


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกัดนิ้วแล้วหยดเลือดของเขาเข้าสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่า จากนั้น โลงศพขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางท่ามกลางความว่างเปล่านั้น


การปรากฏขึ้นของโลงศพทำให้รอยแยกของมิติหดตัวเล็กน้อย และพละกำลังคล้ายกับปรอทที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่โลกก็ถอยกลับมาด้วยความหวาดกลัว ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ทุกคนก็ลดลงมาก


โลงศพใบนั้น…จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


การที่มีโลงศพซ่อนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าก็น่าประหลาดพออยู่แล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นสำหรับจางเซวียนก็คือหน้าตาของโลงศพ เขาประหลาดใจที่พบว่ามันเหมือนกับโลงศพที่เขาได้พบก่อนจะเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่ออย่างไม่มีผิดเพี้ยน, โลงศพที่มีศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวอยู่!


โลงนั่นดูเหมือนจะเป็นหัวใจของฉนวน จางเซวียนวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว


โลงใบนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการบรรจุศพ แต่ดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่าทรงพลังบางอย่างที่ใช้เพื่อเสริมกำลังให้ค่ายกลที่ทำหน้าที่สมานรอยแยกกลางอากาศ เพราะพละกำลังของโลงศพนั้น พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทจึงไม่อาจร่วงลงมาจากสวรรค์และสร้างปัญหาได้


เป็นไปได้ว่าน่าจะมีร่างของนักปราชญ์โบราณสักคนที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกันกับนักปราชญ์โบราณหรันชิวอยู่ในโลง… จางเซวียนสันนิษฐาน


ข้อเท็จจริงที่ว่าค่ายกลสามารถป้องกันพลังงานที่มีลักษณะเหมือนปรอทไม่ให้ร่วงหล่นลงมาได้ก็บ่งบอกถึงพละกำลังอันน่าทึ่งของมันแล้ว ด้วยการทำหน้าที่เป็นหัวใจของค่ายกล ใครก็ตามที่อยู่ในโลงนั้นไม่มีทางเป็นคนธรรมดาสามัญไปได้


ฉนวนที่อยู่บริเวณทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่อใช้ร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นหัวใจ และแม้แต่ไอ้โหดซึ่งมีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็ยังทำลายมันไม่ได้ ในเมื่อค่ายกลทรงพลังขนาดนี้ ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในยุคสมัยที่บุคคลนั้นรุ่งเรืองสูงสุด เขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน


ครืนนนนน!


โลงศพที่อยู่กลางอากาศสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เกิดรอยร้าวมากมายบริเวณด้านข้างของมัน


“เปิด!”


พร้อมกันกับการปรากฏของรอยร้าว เส้นเลือดที่ขมับของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงปูดโปน เขารีบปล่อยกระแสเลือดสดๆของตัวเองเข้าสู่รอยร้าวของโลงศพนั้นเพื่อขับเคลื่อนให้มันเปิดออก


แต่เพราะเสียเลือดไปมาก ใบหน้าของเขาจึงซีดเผือดราวกับกระดาษ ทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุดจากการใช้พละกำลังเกินขนาด ผิวพรรณสูญเสียความยืดหยุ่นอย่างรวดเร็ว มันหย่อนยานและเหี่ยวย่น ในชั่วพริบตา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ดูแก่กว่าเดิมไปอีก 10 ปี


บึ้มมมม!


รอยร้าวบนโลงศพขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อสัมผัสกับเลือดของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ไม่ช้าก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ท่ามกลางฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ร่างสูงตระหง่านปรากฏตัวขึ้นจากโลงศพนั้น


เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดการณ์ไว้ มีศพของนักปราชญ์โบราณอยู่ในโลงศพจริงๆ ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมยาวพลิ้วไสว มีสีหน้าราบเรียบที่ให้ความรู้สึกสงบเย็น แม้ร่างของเขาจะถูกเก็บไว้ในโลงศพมาหลายหมื่นปีแล้ว แต่ก็ดูไม่ต่างกับตอนเสียชีวิตใหม่ๆ ไม่มีร่องรอยของการเสื่อมสลายแม้แต่น้อย


หรือว่าคนผู้นี้คือ…


จางเซวียนจ้องมองศพและนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ชื่อคนๆหนึ่งผุดขึ้นในหัวสมองของเขา เขาตัวแข็งทื่อ


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน…เหยียนฮุย?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)