ยอดหญิงสกุลเสิ่น 188.2-189.1
ตอนที่ 188-2 เสนออนุภรรยาอีกครั้ง
ส่วนน้องสี่แซ่เสิ่นเสิ่นเวยที่ถูกสวีโย่วคิดถึงอยู่ก็กำลังแช่น้ำยาอย่างสบายตัว นอกจากวิธีนอกรีตนอกรอยของซู่เหนียงแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ฮูหยินสวี่ยังจ่ายหนักเพื่อเชิญแม่นมอบรมผู้หนึ่งจากวังมาชี้แนะกฎระเบียบนาง แม้ว่าใกล้จะถึงวันพิธีสมรสแล้ว แต่ได้เรียนอะไรหน่อย ก็ยังดีกว่าไม่ได้เรียนเลยมิใช่หรือ
สำหรับการอบรมกฎระเบียบเสิ่นเวยไม่ปฏิเสธแม้แต่นิดเดียว กลับตั้งใจอย่างถึงที่สุด นางรู้ดีว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติตามกฎกติกา เพียงแค่ศึกษากฎระเบียบให้ดีจึงจะออกนอกกฎ ละเลยกฎได้
แม่นมที่มาอบรมกฎระเบียบเสิ่นเวยแซ่มั่ว เป็นคนที่มองดูแล้วดุอย่างยิ่ง แต่หลังจากได้รู้จักแล้วกลับรู้ว่านางเพียงแค่ทำอะไรด้วยความตั้งใจจริง ความจริงแล้วพูดจาก็เป็นมิตรอย่างยิ่ง
ในยุคปัจจุบันการอบรมเลี้ยงดูของเสิ่นเวยยอดเยี่ยมมากนัก บวกกับพื้นฐานการฝึกยุทธ์ของนาง อบรมกฎระเบียบแล้วเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง ท่าทางจำนวนมากแม่นมมั่วสาธิตเพียงแค่รอบเดียว เสิ่นเวยก็สามารถทำตามได้อย่างถูกต้องแม่นยำมาก นี่ทำให้ความประทับใจที่แม่นมมั่วมีต่อนางเพิ่มขึ้นทุกวันๆ
แม่นมมั่วรับใช้ในวังมาสามสิบกว่าปีแล้ว ทั้งยังอบรมบุตรสาวในเมืองหลวงมาไม่น้อย แต่ไม่มีสักคนที่เฉลียวฉลาดเท่าคุณหนูสี่จวนจงอู่โหวเลย ไม่บอบบางไม่หยิ่งผยองอย่างหาได้ยาก ซ้ำยังเคารพตนอีกด้วย มิน่าเล่าถึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากจักรพรรดิให้เป็นจวิ้นจู่
นางเกิดความรู้สึกรักและเอ็นดูขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ การอบรมก็ยิ่งใส่ใจ นอกจากอบรมกฎระเบียบแล้ว ยังนำตำรายาส่วนตัวออกมาช่วยบำรุงร่างกายเสิ่นเวย รักษาผิวพรรณอีกกด้วย เพียงแค่ไม่กี่วัน เสิ่นเวยก็เปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก สีผิวน้ำผึ้งอ่อนที่ถูกแดดเผาจากซีเจียงก็หายไป แทนที่ด้วยสีขาวอมชมพู ผิวอ่อนนุ่มขาวใส ทั้งยังเปล่งประกาย ราวกับกระเบื้องเคลือบสีขาวชั้นดี ผมดกดำทั้งศีรษะยังนุ่มสลวย เมื่อหวีขึ้นข้างบนแล้วปล่อยล้วนแต่ทิ้งตัวลงมา ตอนที่หลีฮวากับเถาจือหวีผมให้เสิ่นเวยก็ต้องระมัดระวัง กลัวว่าจะทำผมร่วงแม้แต่เส้นเดียว
แม้ว่าเสิ่นเวยจะมีความรู้กว้างขวางก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ได้รับการปรนนิบัติมากเกินไปแล้วหรือไม่ สตรีสูงส่งยุคโบราณได้รับการปรนนิบัติเยอะเกินไปแล้ว นางรู้สึกว่านางไม่เคยงดงามเช่นนี้มาก่อน
สาวใช้ที่เห็นกันอยู่ทุกวันเหล่านั้นข้างกายเสิ่นเวยต่างก็รู้สึกว่าคุณหนูของพวกนางสวยขึ้น คนข้างนอกที่ไม่ค่อยได้เจอเสิ่นเวยก็ยิ่งตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของเสิ่นเวย
ฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าวต่างก็ตกใจอย่างถึงที่สุด กิริยาระหว่างการยกมือย่างเท้านั่นงามสง่าเพียงนั้น ประหนึ่งเมฆลอยธารน้ำไหล ทำให้คนรู้สึกชื่นตาชื่นใจ เป็นการถอดรูปแปลงร่างราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
ฮูหยินสวี่ยังดี ลูกสาวสองคนของนางต่างก็ออกเรือนแล้ว อีกทั้งยังได้คู่สมรสที่ไม่เลว หลานสาวโดดเด่นเพียงนี้นางเองก็รู้สึกมีเกียรติ ยิ่งไปกว่านั้นบ้านสามีของเวยเอ่อร์ก็มีอำนาจ ช่วยเหลือจวนโหวได้
ฮูหยินจ้าวทั้งอกทั้งใจเต็มไปด้วยความริษยา นางเองก็เป็นคนที่มีลูกสาว เห็นกับตาว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์ร่ำเรียนกฎระเบียบไม่กี่วันก็เปลี่ยนไปมากเพียงนี้ ในใจนางก็ไม่พอใจแล้ว ซ้ำยังไม่แบ่งบ้าน ในจวนเชิญแม่นมผู้อบรมมา ย่อมต้องให้คุณหนูในเรือนเรียนรู้กฎระเบียบด้วย จะสอนเวยเจี่ยเอ๋อร์แค่คนเดียวได้อย่างไร เซวียนเจี่ยเอ๋อร์ก็อายุสิบสามปีแล้ว ควรจะศึกษากฎระเบียบได้บ้างแล้ว
ฮูหยินสวี่ถูกนางรบเร้าจนหมดหนทาง ทำได้เพียงมาปรึกษากับเสิ่นเวย เหตุใดถึงปรึกษากับเสิ่นเวยเล่า เพราะว่าแม่นมมั่วผู้นี้ไม่ใช่คนที่นางจะเชิญมาได้ แต่เป็นคนที่คุณชายใหญ่สี่ผู้นั้นในจวนจิ้นอ๋องให้คนส่งมา เพียงแค่อ้างชื่อนางก็เท่านั้นเอง
เสิ่นเวยย่อมอนุญาต เป็นพี่น้องกันทั้งหมด นางเองก็ไม่อาจใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปได้ “ขอเพียงแค่แม่นมมั่วอนุญาต ข้าก็ไม่คัดค้าน ข้ากลับอยากเรียนกับน้องๆ คงจะสนุกกว่า”
ฮูหยินจ้าวที่มาพร้อมฮูหยินสวี่ก็ยิ้มแย้มดั่งบุปผาในชั่วขณะ จับมือของเสิ่นเวยเชยชมไม่หยุดปาก “ข้าบอกแล้วว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราไม่ใช่คนใจแคบใจดำเช่นนั้น ป้าสะใภ้รองขอบใจเจ้าจริงๆ หากเซวียนเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราเรียนได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
เสิ่นเวยกล่าวด้วยความจริงใจ “ดูท่านป้าสะใภ้รองพูดเข้า น้องเซวียนก็เป็นน้องสาวข้าไม่ใช่หรือ เป็นพี่น้องกัน จะขอบคุณทำไม เกรงใจไปได้ ข้าว่า ไม่เพียงแต่น้องเซวียน น้องปิงเองก็มาเรียนด้วยกันเลย กฎระเบียบของสตรีเรียนรู้ไว้จึงจะมีอนาคตที่ดี กลับเป็นความสุขที่ท่านกับท่านลุงรองเฝ้ารอมาโดยตลอด”
คำพูดหลายประโยคทำให้ความไม่พอใจเล็กๆ นั้นในใจฮูหยินจ้าวหายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว ในใจฮูหยินสวี่ก็พยักหน้าไม่หยุด เวยเจี่ยเอ๋อร์คล้ายรู้จักพูดขึ้นแล้ว จะดูถูกไม่ได้แล้ว
แม่นมมั่วเองก็ไม่ปฏิเสธ แม้ว่านางจะเป็นคนที่คุณชายใหญ่ผู้นั้นส่งมา แต่ในเมื่อมาทำงานในจวนจงอู่โหวแล้ว ก็ต้องฟังเจ้าของบ้านมิใช่หรือ คุณหนูสี่ก็อนุญาตแล้ว นางจะยืนกรานดื้อรั้นทำให้คนเกลียดชังไปทำไม ยิ่งไปกว่านั้นในใจนางก็วางแผนให้ตัวเอง นางอายุมากแล้ว บ้านเก่าก็ไม่มีญาติมิตรแล้ว ควรหาที่พักพิงยามเกษียณได้แล้ว ผ่านการรู้จักและสังเกตการณ์ในช่วงหลายวันมานี้ คุณหนูสี่ผู้นี้กลับเป็นนายที่ดีอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเสิ่นเซวียนและเสิ่นปิงบ้านสองก็มาอบรมกฎระเบียบที่เรือนเฟิงหวา กระทั่งเสิ่นเย่ว์ที่อายุสิบเอ็ดปีก็มาด้วยเช่นกัน แม้นางจะอายุน้อย แต่คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนในจวนก็มีแค่พวกนางสี่คน คงไม่อาจละเลยนางคนเดียวได้กระมัง
เสิ่นเย่ว์ทั้งตื่นเต้นทั้งซาบซึ้งที่ตนสามารถมาอบรมกฎระเบียบด้วยได้ อี๋เหนียงของนางเป็นคนไร้ประโยชน์ พ่อนางก็ไม่ใส่ใจนาง หากไม่ใช่ว่าพี่สี่เอ่ยปาก ในจวนนี้ก็คงไม่มีใครจำได้ว่ายังมีคุณหนูแปดอยู่ ดังนั้นเมื่อนางเห็นพี่สี่ของนางก็เผยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเด็กสาวหน้าสวยอายุสิบกว่าปียังคงมีพลังทำลายล้างอย่างยิ่ง เสิ่นเวยลูบศีรษะของนางพลางยิ้มตอบ บอกเป็นนัยให้นางสบายใจ
เสิ่นเย่ว์รู้ว่าตนได้รับโอกาสอันหาได้ยาก เสิ่นเซวียนกับเสิ่นปิงอาจจะเป็นเพราะว่าฮูหยินจ้าวกระซิบขอ สรุปแล้ววันแรกที่อบรมกฎระเบียบสามคนนี้ต่างก็ตั้งใจอย่างถึงที่สุด ฝึกตามเงื่อนไขของแม่นมมั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้เหนื่อยก็กัดฟันทน
นี่ทำให้แม่นมมั่วอดพยักหน้าเงียบๆ ไม่ได้ ดูท่าแล้วแม่นางจวนจงอู่โหวยังคงไม่เลวทั้งสิ้น นางยินดีสอนก็อีกเรื่อง แต่หากสอนคุณหนูน้อยที่ขยับหรือไม่ขยับก็บ่นเหนื่อยไม่ยอมเรียน นางก็ไม่ยินดีแล้ว
“เอาล่ะ คุณหนูทั้งหลายเรียนรู้ได้ไม่เลวแล้ว พักหนึ่งเค่อ หลังจากนี้พวกเราจะฝึกต่อ” แม่นมมั่วพูดจบก็เดินไปยังห้องที่กั้นไว้ช้าๆ
เมื่อแม่นมมั่วออกไป เสิ่นเซวียนก็เอนหลังพิงเก้าอี้ทันที “ให้ตายเถอะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
เสิ่นปิงกับเสิ่นเย่ว์ก็ถือโอกาสล้มตัวลงบนพื้น ห้องอบรมกฎแห่งนี้ปูด้วยพรมหนาๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะกระแทก
มีเพียงเสิ่นเวยที่ยังคงยืนตัวตรงอยู่ นางรับชาที่หลีฮวาส่งเข้ามาจิบเบาๆ หลายคราจากนั้นจึงนั่งลงช้าๆ กิริยานั้นสง่างามจนทำให้เสิ่นเซวียนและอีกสองคนตะลึงงันอย่างอดไม่ได้
“พี่สี่ ท่านเก่งจริงๆ แม่นมมั่วสอนท่านก็ทำได้สบายๆ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” เสิ่นเย่ว์กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“ใช่แล้วๆ ข้ารู้สึกว่าขาข้าไม่ใช่ของข้าแล้ว โอ๊ย แขนข้า คงจะไม่หักใช่หรือไม่” เสิ่นเซวียนบ่นอย่างเกินจริง
เสิ่นปิงเองก็นิ่วหน้าเอาแต่นวดขาของตัวเอง
คนที่รู้ก็เข้าใจว่านี่คือการอบรมกฎระเบียบ คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าคุณหนูหลายคนนี้ถูกลงโทษยกใหญ่เสียอีก
เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัย “อยากรู้เคล็ดลับหรือไม่”
“อยาก” ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ได้ตอบทันที แต่ยกแก้วชาดื่มช้าๆ เล่นตัวพอแล้วจึงกล่าวภายใต้การเร่งรัดของพวกนาง “นี่คือข้อดีของการฝึกยุทธ์อย่างไรเล่า พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นศิลปะการต่อสู้เล็กน้อย เส้นเอ็นต่างๆ ในร่างกายก็ยืดเหยียดแล้ว เมื่ออบรมกฎระเบียบย่อมเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกเหนื่อย รู้สึกปวดขาปวดแขน ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าให้ นี่ยังนับว่าดี รอพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจึงจะเป็นความทรมานที่แท้จริง เจ้าจะรู้สึกปวดไปหมดทั้งร่าง”
“ไม่จริงหรอกกระมัง พี่สี่ท่านหลอกพวกเราใช่หรือไม่” เสิ่นเซวียนและอีกสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แววตาต่างก็มีความสงสัย ตอนนี้พวกนางปวดเอวปวดหลังแล้ว ยังจะมีอะไรทรมานได้มากกว่านี้อีก
เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “ข้าจะหลอกพวกเจ้าทำไม นี่พูดมาจากประสบการณ์ล้วนๆ ไม่เชื่อก็กลับไปถามพี่รองน้องสามสิ พวกเขาต่างก็เคยฝึกยุทธ์ รู้ดีที่สุด การอบรมกฎระเบียบกับการฝึกยุทธ์นี้มีหลักการเดียวกัน”
“ไม่ได้ขู่ให้พวกข้ากลัวจริงๆ ใช่หรือไม่” เสิ่นเซวียนถามยืนยันอีกครั้ง
“ที่คุณหนูสี่พูดล้วนเป็นเรื่องจริง นางไม่ได้หลอกพวกเจ้า” เสียงของแม่นมมั่วดังขึ้นจากหน้าประตู
เสิ่นเวยและคนทั้งสามลุกขึ้นยืนทันที กล่าวด้วยความเคารพ “แม่นมมั่ว”
แม่นมมั่วพลางพยักหน้าพลางเดินเข้ามา นางมองเสิ่นเวยแล้วกล่าว “มิน่าเล่าคุณหนูสี่ถึงเรียนรู้เร็วเพียงนี้ ที่แท้แล้วก็มีพื้นฐานยุทธ์นี่เอง” ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดถึงด้านนี้มาก่อนเลย อันที่จริงบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่นางเคยสอนมาก็ไม่มีสักคนที่ฝึกยุทธ์
“พูดเช่นนี้ฝึกยุทธ์ก็ยังคงมีผลดีงั้นหรือ ไม่ใช่ว่ากันว่าฝึกแล้วแขนและขาจะใหญ่กำยำงั้นหรือ” เสิ่นเซวียนเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา อย่างไรเสียแม่นางก็บอกนางเช่นนี้
แม่นมมั่วกล่าว “สตรีหวังจะฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ล้ำลึกให้มากไม่ได้หรือ เพียงแค่เรียนรู้กระบวนท่าต่อสู้เล็กน้อยออกกำลังขาหน่อยก็เท่านั้นเอง พวกเจ้าดูคุณหนูสี่สิ มีตรงไหนดูไม่ดีหรือ ไม่ได้จะบอกว่าฝึกยุทธ์แล้วดี แต่สตรีก็ควรจะออกกำลังหน่อยจึงจะดี หนึ่งก็เพื่อให้ดูดี พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดสตรีที่เต้นรำเป็นเหล่านั้นถึงได้เดินออกมาสวยเพียงนั้น ก็เพราะว่ารูปร่างของพวกนางสูงและตรง”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “สองก็เพื่อทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง สตรีที่ออกกำลังมากๆ มักจะมีร่างกายที่ดีกว่าสตรีที่อยู่ในห้องไม่ขยับ หลังจากนี้พวกเจ้าต้องแต่งเข้าบ้านสามี คลอดบุตรเป็นประตูสู่นรก เหตุใดจวนต่างๆ ในเมืองหลวงของเราถึงได้มีภรรยาคนที่สองรองจากภรรยาคนแรกที่เสียชีวิตมากเพียงนั้น ก็เพราะว่าไม่ผ่านด่านคลอดบุตรด่านนี้ แต่สตรีชาวบ้านในชนบทที่ทำงานตรากตรำในที่ดินทั้งวันกลับมีอัตราการคลอดบุตรยากน้อยอย่างยิ่ง ถูกต้อง เพราะว่าพวกนางทำงานทั้งวันจึงมีร่างกายที่แข็งแรง”
สายตาที่มองแม่นมมั่วของเสิ่นเวยเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา หลักการเหล่านี้นางผู้ซึ่งมาจากยุคปัจจุบันย่อมเข้าใจดี แต่แม่นมมั่วที่เป็นคนในพื้นที่กลับพูดหลักการเช่นนี้ออกมาได้ ทำให้นางต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่จริงๆ
เสิ่นเซวียนกับเสิ่นปิงคล้ายกำลังครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง เสิ่นเซวียนมีน้าเล็กผู้หนึ่งก็คลอดบุตรยากจนเสียชีวิตเช่นกัน นางยังได้ยินแม่นางทอดถอนใจอยู่รางๆ บอกว่าน้าเล็กของนางสุขภาพไม่ดี
แม้ว่าเสิ่นเย่ว์จะไม่เข้าใจความหมายที่แม่นมมั่วพูด แต่นางก็มีสติปัญญาน้อยๆ ของนาง ดูสีหน้าท่าทางของเหล่าพี่สาวก็รู้แล้วว่าคำพูดของแม่นมมั่วมีเหตุผล นางไม่เข้าใจไม่สำคัญ แต่จดจำและปฏิบัติตามก็พอแล้วไม่ใช่หรือ
“คุณหนูทั้งหลายไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก รอกลับไปแช่น้ำร้อน ให้สาวใช้นวดแขนทุบขาก็จะคลายความเหนื่อยล้าไปได้มากอย่างยิ่ง วันที่สองก็จะไม่ทรมานเพียงนั้นแล้ว ผ่านไปหลายวันเข้าร่างกายก็จะปรับตัว สบายยิ่งขึ้น” เสียงของแม่นมมั่วดังขึ้นอีกครั้ง
เสิ่นเซวียนและคนอื่นๆ จึงวางใจลงเล็กน้อย
แม้สีหน้าเสิ่นเวยจะเรียบเฉย แต่ในใจกลับอดถอนหายใจไม่ได้ สติปัญญาของคนโบราณดูถูกไม่ได้จริงๆ ยุคปัจจุบันทุกคนต่างก็รู้ว่าเรียนวิชาพละเสร็จแล้วต้องทุบๆ ขา ทุบให้กล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อยหลังจากออกกำลังกายผ่อนคลายลง แต่แม่นมมั่วกลับอาศัยประสบการณ์ของตนเองสรุปวิธีเช่นนี้ออกมา ทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ
เดิมเสิ่นเวยคิดว่าจะได้เรียนกฎระเบียบความสวยความงาม อยู่อย่างสงบสุขจนกระทั่งนางออกเรือน ไม่คิดว่าในจวนจะเกิดเรื่อง วันคืนที่สุขสบายของนางก็ถูกทำลายลงทันที
ต้นเหตุของเรื่องเป็นเช่นนี้ วันหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าโหวเพิ่งจะออกมาจากเรือน ก็ถูกหญิงชราที่ไม่รู้ว่าวิ่งออกมาจากไหนกอดขาทั้งสองโขกศีรษะร้องขอให้ช่วยชีวิต
นายท่านผู้เฒ่าโหวตกใจ สั่งคนให้ดึงหญิงชราผู้นี้ออก วิเคราะห์อย่างละเอียดอยู่นาน จู่ๆ ก็พบว่านี่คือสาวใช้ที่ออกเรือนพร้อมบุตรสาวของเขามิใช่หรือ นางควรจะอยู่กับบุตรสาวของเขาที่อวิ๋นโจวไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาอยู่ในจวนได้ นางเพิ่งจะร้องขอให้ช่วยชีวิต หรือว่าบุตรสาวของเขาจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
นายท่านผู้เฒ่าโหวมีบุตรสาวหนึ่งคน แน่นอนว่าเป็นบุตรสาวอนุภรรยา มีแม่เดียวกันกับลูกชายคนรองเสิ่นหงอู่ อายุน้อยกว่าบุตรคนที่สามเสิ่นหงเซวียนสองปี สิบแปดปีก่อนแต่งงานกับบัณฑิตระดับมณฑลจากตอนกลางของแคว้นที่มาสอบราชการในเมืองหลวง หลายปีมานี้ตามสามีรับราชการอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด
ตอนที่ 189-1 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่
“นายท่านผู้เฒ่าโหว ท่านรีบไปช่วยคุณหนูเถิด นางกับคุณหนูน้อยถูกบีบบังคับจนแทบจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว” หญิงชราร่ำไห้ตะโกน
ในใจนายท่านผู้เฒ่าโหวตกตะลึง บุตรสาวของเขาถูกใครบีบบังคับจนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ คุณหนูน้อยคือใคร หรือว่าเป็นหลานสาวของเขา จวนจงอู่โหวอำนาจล้นฟ้า เขาก็เพิ่งจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นราชครูของรัชทายาท แม้แต่องค์ชายหลายองค์ของจักรพรรดิยังต้องให้เกียรติเขาหลายส่วน ใครกันที่กล้าบีบบังคับลูกสาวของเขา หรือว่าจะเป็นลูกเขยที่มีฐานะยากจนผู้นั้นของเขา ดวงตาของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็หรี่ลงอย่างอดไม่ได้
“เล่ามาให้ละเอียด เจ้าไม่อยู่รับใช้หย่าเอ๋อร์ที่อวิ๋นโจว วิ่งมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามเสียงต่ำ
หญิงชราผู้นั้นเก็บเสียง ดึงแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “เรียนนายท่านผู้เฒ่าโหว บ่าว บ่าวหนีออกมาเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าหนี ดวงตาของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็หดเล็กอย่างอดไม่ได้ แม้แต่เสิ่นเวยที่รีบตามมาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ ดังนั้นในวันมงคลเช่นนี้ เสิ่นเวยจึงได้ฟังเรื่องเล่าความจริงที่น่ารังเกียจทั้งยังโศกเศร้าเหนือสิ่งอื่นใด
ท่านอาผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวอนุภรรยาผู้นี้ของเสิ่นเวยนามว่าเสิ่นหย่า เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่าโหว ต้องบอกว่าเหล่าไท่จวินไม่ค่อยชอบบุตรอนุภรรยานัก เช่นนั้นนางจึงเพิกเฉยต่อบุตรสาวอนุภรรยาผู้นี้ เสิ่นหย่าเกิดมาแล้วก็เป็นเหมือนอี๋เหนียงของนาง ภายหลังอี๋เหนียงของนางไม่อยู่นางก็ได้รับการดูแลจากคนใช้จนเติบโต เสิ่นหย่าที่โตมากับมือบ่าวรับใช้จึงมีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่สู้คน
ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าโหวยุ่งอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด มีเวลาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของลูกชายสามคนได้ก็ไม่เลวแล้ว ย่อมไม่มีเวลามาสนใจบุตรสาวคนนี้ กว่าเขาจะพบว่าบุตรสาวผู้นี้ถูกเลี้ยงจนบอบบางเกินไป บุตรสาวเขาก็อายุสิบสามสิบสี่ปีแล้ว คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว อีกทั้งลูกผู้ชายเช่นเขาก็ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก บุตรสาวน่ะ ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องกลายเป็นคนของตระกูลอื่น ไม่เหมือนลูกชายที่อยู่ดูแลบ้านตลอด นิสัยอ่อนแอหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากเลือกแต่งงานกับตระกูลที่ต่ำกว่าเล็กน้อย อาศัยจวนโจวอู่โหวเป็นที่พึ่ง บุตรสาวจะยังถูกรังแกอะไรได้อีก
ชั่วพริบตาเสิ่นหย่าก็อายุสิบหกปี มีครั้งหนึ่งที่ออกเรือนไปเป็นแขก ไม่รู้ว่าอย่างไร จู่ๆ ก็ไปรู้จักกับบัณฑิตระดับมณฑลจากตอนกลางของแคว้นที่มาสอบราชการในเมืองหลวงนามว่าเหอจังหมิง เกิดความรู้สึกลึกซึ้ง เปลี่ยนจากนิสัยโอนอ่อนเมื่อในอดีตเป็นยืนกรานโวยวายจะแต่งงานให้ได้
เหล่าไท่จวินย่อมขี้คร้านจะสนใจ ยอมให้บุตรสาวอนุภรรยาเติบโตขึ้นมาอย่างสงบสุขได้นางก็คิดว่าตนเมตตาที่สุดแล้ว เรื่องจึงถูกผลักไปที่นายท่านผู้เฒ่าโหวอย่างเลี่ยงไม่ได้ นายท่านผู้เฒ่าโหวตรวจสอบ ครอบครัวบัณฑิตระดับมณฑลนามว่าเหอจังหมิงผู้นี้มีพี่สาวหนึ่งคนพี่ชายหนึ่งคน อีกทั้งยังแต่งงานแล้วทั้งสิ้น บิดามารดาในครอบครัวต่างก็เป็นชาวนา ทั้งครอบครัวลำบากลำบนกว่าจะส่งเสียเหอจงหมิงบัณฑิตระดับมณฑลผู้นี้ได้
นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ไม่ยินดีอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาเองจะมีฐานะเดิมยากจน ไม่ได้คิดจะให้บุตรสาวแต่งเข้าไปในตระกูลสูงส่ง แต่ตระกูลเหอจังหมิงผู้นี้ก็แย่เกินไปหน่อย ต่อให้จะเป็นเจ้าของที่ดินผืนเล็กก็ยังดี นี่นับได้ว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น บุตรสาวแต่งเข้าไปพลอยจะลำบากไปด้วยมิใช่หรือ
แต่ไม่ว่าอย่างไรบุตรสาวก็โวยวายจะแต่งงานให้ได้ ท่าทางแข็งกร้าวเป็นพิเศษ นายท่านผู้เฒ่าโหวหมดหนทางทำได้เพียงยินยอม เขาปลอบตัวเอง แม้ว่าเหอจังหมิงผู้นี้จะมีสภาพครอบครัวยากจน ฐานะก็ต้อยต่ำ แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนมีความสามารถ มีความรู้ความสามารถแท้จริง ให้สินเดิมบุตรสาวมากหน่อย แล้วค่อยใช้เส้นสายมอบตำแหน่งขุนนางที่ออกไปรับงานข้างนอกให้เขาสักตำแหน่ง บุตรสาวแต่งเข้าไปแล้วน่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้
เช่นนี้ เสิ่นหย่าก็นำเงินก้อนใหญ่แต่งออกเรือนไป แต่งกับลูกชายที่มีสภาพครอบครัวยากจนตระกูลหนึ่ง ส่วนเหอจังหมิงก็อาศัยชื่อลูกเขยจวนจงอู่โหวรับตำแหน่งนายอำเภอแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย สิบกว่าปีนี้วิ่งไปมาอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด
ต่อมาก็เป็นคำร้องของหญิงชราผู้นั้นแล้ว
ที่แท้แล้วตอนที่เสิ่นหย่าเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลเหอ ทุกคนในตระกูลเหอต่างก็ดีต่อนางอย่างยิ่ง บิดามารดาตระกูลเหอก็รู้ตัวดีอย่างยิ่ง รู้ว่าลูกชายของตนสามารถสู่ขอคุณหนูจวนโหวมาเป็นภรรยาได้นับเป็นบุลกุศลของบรรพบุรุษ ดูสิ พอลูกสะใภ้ตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้เข้ามา สถานการณ์ในครอบครัวก็เปลี่ยนไปมากอย่างยิ่ง กินแต่ข้าวปลาอาหารอย่างดี สวมใส่แต่ผ้าไหมทอประณีต ไม่ต้องทำงานในนาซ้ำยังมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ ลูกชายยังได้รับตำแหน่งขุนนางด้วยความรวดเร็ว
นี่ล้วนแต่เป็นคุณงามความดีของลูกสะใภ้ คนทั้งหมดตระกูลเหอนอกจากจะเกรงอกเกรงใจเสิ่นหย่าแล้วยังระมัดระวังตัวเล็กน้อย
เสิ่นหย่าเดิมก็ไม่ได้มีนิสัยดุร้าย อีกทั้งยังเคารพสามีอย่างถึงที่สุด ซ้ำยังได้ยินสามีพูดอยู่บ่อยครั้งว่าบิดามารดาลำบากอย่างไร พี่สาวพี่ชายพยายามให้เขาได้เข้าเรียนอย่างไร เสิ่นหย่าต่างก็ดีต่อบิดามารดาตระกูลเหอและพี่ชายพี่สาวของเหอจังหมิง นอกจากจะออกเงินเลี้ยงครอบครัวแล้ว เครื่องประดับที่มารดาแซ่เหอและพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่สวมอยู่บนศีรษะต่างก็เป็นนางที่มอบให้ พี่ใหญ่ตระกูลเหอบอกว่าว่างงานไม่มีอะไรทำ นางก็มอบร้านค้าสินเดิมของตนให้เขาดูแล
แต่ตามการหมุนเลยของเวลา หนึ่งปีสองปีผ่านไป จิตใจคนจะไม่เปลี่ยนได้อย่างไร มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว พี่ชายใหญ่พี่สาวใหญ่ตระกูลเหอต่างก็มีครอบครัวของตนเอง โดยเฉพาะหลังจากที่เด็กเกิดออกมาตามๆ กัน พวกเขาก็เริ่มมีจิตใจละโมบ มักจะคิดว่าตนส่งเสียน้องชายเรียนหนังสือ คุณงามความดีใหญ่หลวง ตอนนี้น้องชายเป็นขุนนางแล้ว จะไม่ตอบแทนพวกเขาเลยหรือไร
ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าความดีที่ผู้อื่นทำต่อพวกเขาเป็นสิ่งสมควรทำ พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอคิดหาวิธีหาผลประโยชน์จากเสิ่นหย่า วันนี้เสื้อผ้าหลานๆ ของนางเล็กหมดแล้ว พรุ่งนี้วันเกิดหลานสาวนาง มะรืนนี้น้องสาวปิ่นอันนี้ของเจ้าไม่เลวเลยขอข้ายืมใส่สักสองวัน แน่นอนว่ายืมแล้วไม่คืนอีกเลย
ช่วงแรกเริ่ม เสิ่นหย่าปฏิเสธไม่เป็น เพียงแค่พวกนางเอ่ยถึงความลำบากก็ล้วงเงินให้แล้ว แต่สินเดิมของนางเองก็ไม่ใช่กองเงินกองทอง นับวันก็เหนือบ่ากว่าแรง ต่อมาปฏิเสธไปครั้งสองครั้งก็ถูกพี่ชายพี่สะใภ้หาว่าใจแคบไม่เห็นใจผู้อื่น ไม่เพียงแต่ไปร้องทุกข์กับมารดาแซ่เหอ ซ้ำยังไปโวยวายต่อหน้าสามี
เหอจังหมิงอีกด้วย
เหอจังหมิงเป็นคนที่ห่วงศักดิ์ศรี เดิมก็เพราะแต่งงานกับภรรยาตระกูลสูงส่งจึงไม่มีความมั่นใจ ย่อมต้องไม่พอใจเสิ่นหย่าอยู่แล้ว รู้สึกว่านางดูถูกดูแคลนพี่น้องของตน
มารดาแซ่เหอก็ไม่ใช่มารดาแซ่เหออย่างเมื่อก่อนแล้ว ถูกบุตรสาวกับลูกสะใภ้ยุแยง จึงเกิดความไม่พอใจต่อเสิ่นหย่าแล้วเช่นกัน รู้สึกว่าลูกสะใภ้ตระกูลขุนนางผู้นี้สูงส่งเหนือชั้น ดูถูกคนชนบทเช่นพวกเขา ไม่เคารพแม่สามีเช่นนางอย่างยิ่ง บวกกับเสิ่นหย่าแต่งเข้ามาได้สี่ปีแล้วก็ยังไม่มีลูกแม้แต่คนเดียว อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ลูกชายแต่งอนุภรรยา จึงยิ่งทำให้มารดาแซ่เหอไม่พอใจ
เสิ่นหย่าถูกมารดาแซ่เหอเสียดสีประณาม กระทั่งสามีก็ยังตำหนินาง มิหนำซ้ำนางยังเป็นคนที่มีนิสัยโอนอ่อน ทำได้เพียงก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ ไม่เคยตะโกนคัดค้านแม้แต่ประโยคเดียว
ตระกูลเหอเริ่มจะจับนิสัยของนางได้ ก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ร้านค้าที่พี่ใหญ่ตระกูลเหอดูแลก็ได้กำไรแย่ลงทุกปีๆ พี่สะใหญ่พี่ใหญ่ตระกูลเหอก็คิดหาวิธีฉกชิงเครื่องประดับศีรษะของนาง มารดาแซ่เหอ
กระทั่งฉวยโอกาสตอนที่นางท้องยึดสินเดิมของนางไป อ้างว่าจะได้ให้นางเลี้ยงครรภ์อย่างสบายใจ เมื่อนางคลอดแล้วจะคืนให้ทันที
แต่ชั่วพริบตานางคลอดบุตรสาวหนึ่งคนก็ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยถึง ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยถึง ซ้ำยังใช้สินเดิมของนางแต่งอนุภรรยาให้ลูกชาย นางอ้างเช่นนี้ ‘อย่างไรเสียหมิงเอ๋อร์ก็เป็นนายอำเภอ อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว จะได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าให้กำเนิดไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้คนอื่นให้กำเนิดแทน อย่างไรเสียก็เรียกเจ้าว่าแม่เหมือนกัน’
หัวใจของเสิ่นหย่าราวกับตกลงในโพรงน้ำแข็ง ทั้งจิตทั้งใจนางหวังว่าสามีจะปฏิเสธได้ แต่เหอจัง
หมิงกลับรับไว้อย่างยินดี เขาเองก็ไม่พอใจภรรยาอยู่เช่นเดียวกัน
ตอนแรกที่สามารถแต่งคุณหนูจวนโหวได้เขาเกรงกลัวอย่างยิ่ง เผชิญหน้ากับสายตาอิจฉาของผองเพื่อนวัยเดียวกันเขาก็เคยภูมิอกภูมิใจ ภูมิใจที่คนอื่นยังดิ้นรนรอตำแหน่งว่างอยู่ในเมืองหลวง แต่ตอนที่เขาถือเอกสารราชการไปยื่นตำแหน่งกลับได้ตำแหน่งที่สูงที่สุด
ทว่าตามกาลเวลาที่หมุนไป เพื่อนวัยเดียวกันที่เทียบเขาไม่ได้เหล่านั้นต่างก็ทยอยกันเลื่อนตำแหน่ง บ้างก็เลื่อนตำแหน่งถึงเมืองหลวง มีเพียงเขาที่ยังคงเป็นนายอำเภอเล็กๆ อยู่ เขาคิดว่าจวนจงอู่โหวกดเขา หากว่าอาศัยความสามารถของเขาเองก็คงจะเลื่อนขั้นได้นานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่พอใจภรรยายิ่งขึ้น
ความไม่พอใจนี้เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ด้วยการให้กำเนิดของอนุภรรยา หัวใจเขาก็ยิ่งลำเอียง อนุภรรยาผู้นั้นกระทั่งปีนขึ้นหัวเสิ่นหย่าอย่างง่ายดาย อ้อ เหอจังหมิงในตอนนี้มีอนุภรรยาสามคนและสาวใช้ที่เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยาอีกสองคน
ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เสิ่นหย่าผู้น่าสงสารยังไม่ทันได้คลายสุขในการคลอดบุตรสาวก็ตกลงไปในเหวลึกแล้ว ช่วงหลังคลอดสามีก็แต่งอนุภรรยาอย่างทนรอไม่ได้ นางเองก็ห้ามไม่ได้ ยิ่งไม่ได้เห็นหน้าสามี วันทั้งวันก็ร่ำไห้น้ำตานองหน้า แม่สามีก็ยังทรมานนาง ช่วงหลังคลอดกินไม่ได้แม้แต่ไก่ อ้างว่า ‘คลอดเด็กผู้หญิงแล้วยังคิดจะกินดีอีกหรือ สตรีชนบทเช่นพวกเรามีใครบ้างที่ไม่ได้คลอดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ทำงานในนาเหมือนเดิม ไหนเลยจะกินหรูอยู่สบายเช่นนี้’
หญิงชราสาวใช้ข้างกายเสิ่นหย่าต่างก็แค้นเคืองกับความอยุติธรรม แต่นายอ่อนแอลุกยืนไม่ขึ้นบ่าวรับใช้ร้อนใจไปก็เท่านั้น สาวใช้ที่ออกเรือนมาพร้อมกันก็เสนอความคิดเห็นไปไม่น้อย ให้นางเขียนจดหมายเข้าเมืองหลวง แต่เสิ่นหย่ากลับยืนกรานไม่ยอม นางเองก็มีความคิดเป็นของตนเอง นางเป็นบุตรสาวอนุภรรยา แม่ใหญ่นางก็เพียงแค่ทำดีต่อหน้านาง พี่ชายมารดาเดียวกันก็หวังพึ่งไม่ได้ พี่ชายคนอื่นนางก็ไม่ค่อยสนิทนัก ท่านพ่อก็อยู่ไกลถึงซีเจียง ใครจะออกหน้าแทนนางได้
มิหนำซ้ำตอนนั้นนางยังร้องคร่ำครวญขอแต่งงาน ตอนนี้ชีวิตกลายเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่มีหน้าจะไปขอความช่วยเหลือ
เป็นเช่นนี้ เสิ่นหย่าเลี้ยงดูบุตรสาวด้วยความลำบากตรากตรำ บ่าวรับใช้เดิมที่นำไปด้วยก็ถูกขายไปหลายต่อหลายคนแล้ว เหลือเพียงสาวใช้หนึ่งคน แม่นมหนึ่งคนและสาวใช้แรงงานอีกหนึ่งคน
เรือนหลังของเหอจังหมิงถูกอนุภรรยาที่คลอดบุตรชายคนโตผู้นั้นควบคุม เรือนใหญ่ของเสิ่นหย่าเหลือเพียงแต่ชื่อมานานแล้ว นางกระทั่งต้องผันตัวเป็นหญิงเย็บผ้าแลกเงินดำรงชีพ ร้านค้าจำนวนมากในเมืองอวิ๋นโจวต่างก็รู้จักเพียงเถียนอี๋เหนียงแต่กลับไม่รู้จักเสิ่นหย่าฮูหยินเรือนใหญ่ผู้นี้
เสิ่นหย่าถูกขังไว้ในเรือนหลัง ไม่รู้ข่าวข้างนอก ย่อมไม่รู้ว่าพ่อนางคว้าชัยกลับมาจากซีเจียงแล้ว อีกทั้งยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นราชครูของรัชทายาท
ทว่าเหอจังหมิงกลับรู้แล้ว อีกทั้งยังเคยตื่นตระหนก แต่เขาเห็นภรรยายังหดหัวอยู่ในเรือนเงียบๆ เหมือนเช่นเมื่อก่อน ความกล้าหาญจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจ เหอะ ใครๆ ก็บอกว่าบ้านภรรยาเขามีอำนาจ มีอำนาจบ้าอะไร ผ่านไปจะยี่สิบปีแล้ว เขาเปลี่ยนที่มาหลายที่แล้วก็ยังเป็นเพียงนายอำเภอ เขาจะต้องได้รับผลกระทบจากจวนจงอู่โหวเป็นแน่ ถูกศัตรูการเมืองของจวนจงอู่โหวแก้แค้น มิเช่นนั้นด้วยความรู้และความสามารถของเขา คงจะเข้าเมืองหลวงได้นานแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น