อัจฉริยะสมองเพชร 1880-1885

 ตอนที่ 1880 บังเอิญเหลือเกิน!

ในจัตุรัสที่ตั้งอยู่บริเวณอาณาเขตรอบนอกของภูเขา…


ซั่งอู๋ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างปุบปับก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง เขาเพิ่งถูกส่งทะลุมิติออกมาจากภูเขาด้วยอานุภาพของค่ายกลทะลุมิติ เขามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย ราวกับนึกสงสัยในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง


ซั่งอู๋เป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อชิ่ว อัจฉริยะที่ได้ความปราดเปรื่องจากสวรรค์ เขาต้องเอาชนะเพื่อนร่วมรุ่นมากมายหลายพันคนกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ แต่หลังจากมาได้ไกลขนาดนี้…แม้เขาจะผนึกกำลังกันกับนักรบอีกหลายคนเพื่อเล่นงานใครคนหนึ่งที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่า แต่ก็ยังลงเอยด้วยการถูกกำจัดอย่างง่ายดาย…


ความคิดที่ว่าใครต่อใครจะพากันเยาะเย้ยความล้มเหลวของเขาครั้งนี้หนักอกเสียจนทำให้เขาตัวงอด้วยความอับอายแสนสาหัส


ซั่งอู๋กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน พยายามจะปิดบังใบหน้าแล้วจากไปอย่างเงียบๆ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงตกอกตกใจดังขึ้นกลางอากาศ “ซั่งอู๋ คุณก็ถูกคัดออกเหมือนกันหรือ? ไม่คิดเลยว่าจะพบคุณที่นี่…”


จากนั้นร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา


เมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้ๆ ซั่งอู๋ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะร้องออกมาเช่นกัน “ชือหย่วน คุณมาทำอะไรที่นี่?”


ชือหย่วนเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อชีและเป็นเพื่อนสนิทของเขา ทั้งคู่ทัดเทียมกันในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เสมอกันหลายต่อหลายครั้ง


เพียงเท่านี้ก็น่าอับอายจนเกินทนแล้วที่เขาถูกคัดออกจากการทดสอบอย่างรวดเร็ว แต่ใครจะไปคิดว่าเพื่อนสนิทของเขาจะลงเอยด้วยการถูกคัดออกเร็วกว่าตัวเขาเองเสียอีก!


“เฮ่อ เลิกพูดเรื่องน่าอับอายพวกนี้เสียทีเถอะ! ผมโจมตีใครคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าผมเพื่อหวังจะยกอันดับของตัวเอง แต่ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะส่งผมมาที่นี่ได้…” ชือหย่วนส่ายหน้าอย่างขมขื่นใจ


“คุณก็ถูกกำจัดโดยใครคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าคุณเหมือนกันหรือ?” ซั่งอู๋ชะงักไปขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “หมอนั่นเป็นใคร?”


“แค่พูดถึงก็น่าอับอายแล้ว เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด ช่องว่างของวรยุทธระหว่างเขากับพวกเรานั้นห่างกันมาก…” ชือหย่วนหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย


“เขาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเหมือนกันหรือ? ใครกัน?” ซั่งอู๋ถามซ้ำ


“เขาคือ…ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ…ฟ่านเฉี่ยวเฟิง!” ชือหย่วนตอบอย่างกระอักกระอ่วน


“ใช่เขาจริงๆ! ผมก็ถูกหมอนั่นกำจัดเหมือนกัน!” ซั่งอู๋ตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


“เดี๋ยวก่อน…คุณก็ถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดหรือ?” ชือหย่วนผงะ


“ก็ใช่น่ะสิ ตัวเขาคนเดียวสู้กับพวกเราถึง 12 คน และกำจัดพวกเราเรียบ…” ซั่งอู๋อธิบายอย่างร้อนรน


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงอุทานด้วยความตกใจอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“คุณถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดเหมือนกันหรือ? บังเอิญเหลือเกิน! ผมก็ถูกเขากำจัดเหมือนกัน ตัวเขาคนเดียวเขี่ยพวกเรา 3 คนออกจากการทดสอบได้…”


จากนั้น สุภาพสตรีอีก 4 คนก็เดินเข้ามา


“ช่างบังเอิญเสียจริง พวกเราก็เหมือนกัน!”


ชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งเข้ามาสมทบ


“อ้อ? พวกคุณทุกคนถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดหรือ? พวกเราก็เจอเหมือนกัน เราถูกซ้อมยับเยิน…”


วัยรุ่นอีก 5 คนเดินเข้ามา


“ฮ่า คุณน่ะไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุดหรอกนะ รู้ไหม? เห็นเหยียนอี้เฉี่ยวกับพรรคพวกของเขาที่อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า? ดูเหมือนเขาจะถูกทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคัดออกเหมือนกัน…”


นักรบอีกสองสามคนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา


เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่เผชิญชะตากรรมน่าอนาถแบบเดียวกันล้อมรอบตัวเขา ซั่งอู๋อ้าปากค้าง


เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว แต่ชื่อ ‘ฟ่านเฉี่ยวเฟิง’ ก็นำพาผู้คนกว่า 40 คนมารวมตัวกันแล้ว ที่น่าตกใจก็คือทุกคนล้วนแต่ถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัด


เกิดความผิดพลาดบางอย่างขึ้นหรือเปล่า?


นักรบคนหนึ่งจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียพลังปราณเลยได้อย่างไรหากต้องต่อสู้กับคู่ต่อสู้มากมายขนาดนี้?


“ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ตามผมมา!” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาปลอบซั่งอู๋


ซั่งอู๋จำได้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือโป๋ฉื่อ ซึ่งเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อชู่ จึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตามชายหนุ่มไป


โป๋ฉื่อพาซั่งอู๋ออกจากกลุ่มฝูงชนไปหาชายหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกคัดออกและพูดว่า “ยินดีที่ได้พบคุณ พวกเราถูกทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคัดออกเหมือนกัน ไม่ทราบว่า…”


“บังเอิญอะไรอย่างนั้น! พวกเราก็ถูกทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคัดออก!”


“ผมด้วย”


“ว้าว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ…น่าจะร่วมมือกันได้!”


เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ ในชั่วพริบตาก็มีนักรบมารวมตัวกันหลายสิบคน


จากนั้น โป๋ฉื่อก็พาซั่งอู๋ไปหานักรบอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ก่อนที่จะทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อน “พวกคุณถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดเหมือนกันใช่ไหม? เหมือนพวกเรานั่นแหละ!”


“…” ซั่งอู๋


ตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆว่าจะจัดการกับสถานการณ์แปลกประหลาดนี้อย่างไร


“ทุกคน ฟังพวกเรานะ! เราจะก่อตั้ง ‘สมาคมผู้เข้าทดสอบที่ถูกคัดออกโดยทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ’ มีใครอยากเข้าร่วมกับพวกเราไหม?”เสียงหนึ่งดังขึ้นในหมู่ฝูงชน


“ผมอยากเข้าร่วม!”


“ผมด้วย, ฉันด้วย!”


…..


คำเชิญได้เสียงตอบรับอย่างดี ฝูงชนแสดงอาการเห็นพ้องต้องกัน


“….”


ในตอนนั้นเองที่ซั่งอู๋มีความรู้สึกว่าการที่เขาถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงซึ่งอ่อนด้อยกว่ากำจัดนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย มันแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศ เป็นเครื่องหมายของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างตัวเขากับคนอื่นๆ


…..


“แค่นี้หรือ?”


ฟ่านเฉี่ยวชิงจ้องหน้าฟ่านเฉี่ยวเฟิงที่มีทีท่าไม่รู้สึกรู้สา ราวกับคำว่า ‘ทรงพลัง’ ในความหมายของเขาถูกเปลี่ยนแปลงไป


หากตัวเขาคือคนที่ต้องต่อสู้กับนักรบทั้ง 12 คนนั้น เขาคงไม่มีโอกาสเอาตัวรอด แต่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงที่มีวรยุทธระดับเดียวกันกับเขากลับเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย…


ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา หมอนี่พบเจออะไรถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้?


ส่วนฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ไม่แยแสอาการทึ่งของฟ่านเฉี่ยวชิง เขาเดินไปหาจางเซวียนและถามว่า “คราวนี้…ผมเป็นอย่างไรบ้าง?”


นัยน์ตาของเขาฉายความวิตกกังวลราวกับนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าครูหลังจากลืมส่งการบ้านที่ได้รับมอบหมายระหว่างวันหยุด


“คราวนี้คุณเป็นอย่างไร?” จางเซวียนทำหน้าเบื่อหน่ายขณะโบกมือตัดความรำคาญ “ก็ยังงั้นๆแหละ!”


เขาเบื่อเต็มทีที่จะออกความเห็นเรื่องการสำแดงวรยุทธของฟ่านเฉี่ยวเฟิง


จากคำชี้แนะทั้งหมดที่เขาได้ให้ไปและการสู้รบที่อีกฝ่ายได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง หมอนั่นทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ? โชคดีที่เขาปลอมตัวอยู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องตายเพราะความอับอาย!


ศิษย์สายตรงทุกคนที่ตัวเขา, จางเซวียน ได้สั่งสอนนั้น ลงท้ายต่างก็ได้เป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ที่มี ประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้น แต่เจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่ช่าง…


เมื่อครู่ก่อนนี่เองที่เขายังคิดว่าทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มีความปราดเปรื่องน่าทึ่ง สามารถทำความเข้าใจและซึมซับความรู้ใหม่ๆได้รวดเร็ว แต่แล้วหัวสมองของฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ทำให้เขาขัดใจ หมอนี่ให้ความสำคัญกับเรื่องจุกจิกเบ็ดเตล็ดมากเกินไปจนมองไม่เห็นว่าอะไรที่มีความสำคัญอย่างแท้จริง ทำให้แต่ละกระบวนท่าของเขาขาดจิตวิญญาณ!


“ผม…ผมผิดไปแล้ว! ผมรู้ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ผมทำได้ไม่ดีนัก…” เห็นจางเซวียนผิดหวัง ฟ่านเฉี่ยวเฟิงรีบก้มศีรษะและขอโทษขอโพยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


วีรกรรมน่าทึ่งของเขาล้วนแต่มาจากคำชี้แนะของอีกฝ่ายทั้งนั้น ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะสั่งสอนเขาอีก แล้วเขาจะก้าวหน้าไปกว่านี้ได้อย่างไร?


ในเวลาเดียวกัน ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ทึ้งผมราวกับได้เห็นภาพที่เหลวไหลเลอะเทอะที่สุดอยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจทำความเข้าใจพฤติกรรมของทั้งคู่ได้เลย


“สิ่งนี้ยังสามารถเรียกว่า ‘ทำได้ไม่ดีนัก’ ด้วยหรือ?” จางเซวียนตำหนิ “เอาเถอะ ผมคิดว่าผมควรจะให้เวลาคุณพิจารณาตัวเอง เมื่อครู่นี้น่ะ สำหรับกระบวนท่าที่ 3 ที่คุณสำแดงออกไปหลังจากพุ่งเข้าใส่คนกลุ่มนั้น คุณควรจะใช้เพลงหมัดแขนคู่เพื่อกำจัดชายหนุ่มเสื้อคลุมสีแดง ซึ่งแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย แต่ทำไมคุณถึงหันไปเล่นงานสาวน้อยเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่อยู่ทางขวาแทนล่ะ? รู้หรือเปล่าว่าการตัดสินใจของคุณทำให้สูญเสีย 3 กระบวนท่าไปเต็มๆ ลองนึกถึงเวลาที่คุณสูญเสียไปสิ ถ้าระหว่างนั้นคนกลุ่มนั้นฟื้นตัวได้ทัน คุณคงจะตายก่อนที่จะทันได้รู้ตัวเสียอีก! ส่วนการเตะเมื่อครู่นี้ คุณก็ควรจะหลบ ทำไมถึงรับมัน? พยายามจะแสดงออกว่ามีความสามารถในการป้องกันตัวเอง หรืออยากจะทดสอบความทนทานของร่างกายที่ไม่ได้เรื่องของคุณ…”


จางเซวียนพูดไปของขึ้นไป ลงท้ายเขาก็ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องถึง 8 จุดภายในอึดใจเดียว และทุกจุด ก็ล้วนแต่พุ่งเข้าเป้าอย่างตรงเผง


“ผม…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพูดไม่ออกกับการวิเคราะห์นั้น


เมื่อครู่นี้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนตัวเขาไม่คิดว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะจดจำทุกกระบวนท่าและข้อบกพร่องทุกข้อของเขาได้แจ่มชัดขนาดนี้


ตอนแรก เขาภาคภูมิใจในตัวเองที่สามารถกำจัดนักรบ 12 คนได้พร้อมกันในคราวเดียว แต่คำพูดของฟ่านเฉี่ยวฉูดึงเขากลับสู่ความเป็นจริง เขารู้ตัวดีว่ายังอีกยาวไกลกว่าจะถึงความเป็นสุดยอด การที่เล่นงานผู้อ่อนแอกว่าได้สำเร็จนั้นไม่ได้มีศักดิ์ศรีใดๆเลย!


นอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว นั่นคือวิถีทาง!


“เพียงเท่านี้เฉี่ยวเฟิงก็สู้รบได้เก่งกาจมากแล้ว แต่เฉี่ยวฉูยังชี้ข้อบกพร่องในกระบวนท่าของเขาได้มากมาย ความสามารถในการหยั่งรู้นั้นช่าง…” ฟ่านเฉี่ยวชิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่


ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเข้าใจว่าทำไมฟ่านเฉี่ยวเฟิงจึงพัฒนาตัวเองได้มากขนาดนี้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง…


ต้องยกความดีทุกอย่างให้ฟ่านเฉี่ยวฉู!


“เฉี่ยวฉู คุณสอนผมด้วยได้ไหม? ผมอยากเก่งเหมือนเฉี่ยวเฟิง…” เมื่อทนไม่ไหว ฟ่านเฉี่ยวชิงเดินเข้าไปประสานมือให้จางเซวียนด้วยความจริงใจ ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองทั้งหมดที่เคยมี


ตอนที่ 1881 ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อลู่

จ้งฉิงคือทายาทคนหนึ่งของนักปราชญ์โบราณจื่อลู่ เขาทำหน้าที่ควบคุมการทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อในปีนี้ และเป็นคนเดียวกันกับชายวัยกลางคนที่อ่านกฎกติกาของการทดสอบกลางอากาศเมื่อครู่ก่อนจะเริ่มการทดสอบ


จ้งฉิงไม่ได้ทำแบบเดียวกับอาจารย์คนอื่นๆ เขากลับไปที่ห้องของตัวเองหลังจากเปิดใช้งานค่ายกลรอบภูเขา ไม่ได้อยู่รอกระบวนการคัดออกหรือผลการทดสอบ


มันก็แค่การทดสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียนใหม่ รอดูผลลัพธ์ตอนท้ายสุดก็พอ เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าพอที่เขาจะสนใจ


เขายืนอยู่ข้างโต๊ะตัวหนึ่ง คว้าพู่กันมาจุ่มหมึก จากนั้นก็ตั้งต้นเขียนลงบนกระดาษ กลิ่นหมึกอบอวลไปทั่วห้อง


ลายมือของเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวหนังสือทุกตัวล้วนแต่มีแนวคิดอยู่เบื้องหลัง แค่มองแวบเดียวก็จะรู้สึกได้ถึงภาวะสงบเย็นที่เขาดื่มด่ำอยู่


ฟึ่บ!


ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องอย่างปุบปับ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนกำลังเขียนตัวอักษรอย่างสบายใจ ก็เลิกคิ้วขณะอุทานว่า “พี่จ้ง มัวทำอะไรอยู่ที่นี่? ควรจะไปดูการทดสอบเสียหน่อยนะ มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น…”


ถ้าจางเซวียนอยู่ด้วย ก็จะจดจำผู้ที่เพิ่งเข้ามาในห้องได้อย่างแม่นยำ…หนานกงหยวนเฟิง!


“หยวนเฟิง คุณน่ะตื่นตกใจเกินกว่าเหตุอีกแล้วนะ ผมบอกคุณอยู่เสมอว่าควรจะสงบจิตสงบใจไว้บ้าง แต่คุณก็ไม่ฟัง มันก็แค่การทดสอบของพวกหนุ่มสาว มีอะไรให้ต้องตื่นเต้น? ถ้าคุณไม่พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองล่ะก็ จะไม่มีวันยกระดับวรยุทธไปได้ไกลกว่านี้เลย!”


แม้ยังไม่เงยหน้า จ้งฉิงก็ดูจะรู้ตัวบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมขณะตวัดพู่กันอย่างสง่างามต่อไป


“พี่จ้ง ผมซาบซึ้งในคำแนะนำด้วยความปรารถนาดีของคุณ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวเยือกเย็นนะ การทดสอบแบบคัดออกน่ะกำลังเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว!” หนานกงหยวนเฟิงอุทานอย่างร้อนใจ


“ความวุ่นวายครั้งใหญ่? วุ่นวายแบบไหน?” จ้งฉิงถามเรียบๆขณะยังเขียนตัวอักษรต่อไป


“บรรดาผู้เข้าทดสอบถูกคัดออกเร็วมาก ตอนนี้หายไปเยอะแล้ว ผมเกรงว่าการทดสอบอาจสิ้นสุด ก่อนระยะเวลา 6 ชั่วโมง อีกอย่าง…กลุ่มผู้เข้าทดสอบที่เรามองว่าจะผ่านการทดสอบแน่ๆก็ถูกคัดออกหมด มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายในการทดสอบอาจจะไม่ใช่ผู้เข้าทดสอบ 100 คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้…”


หนานกงหยวนเฟิงอธิบายอย่างเป็นกังวล


เขาอยู่ในเหตุการณ์ จึงเห็นทุกอย่างชัดเจน


แม้แต่อัจฉริยะชั้นยอดอย่างเหยียนอี้เฉี่ยวก็ยังถูกคัดออก ส่วนผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่พวกเขาหมายตาไว้ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า


เหตุผลก็คือคนเหล่านั้นได้ปะทะกับทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ


มาถึงตอนนี้ ก็เป็นที่รู้กันโดยไม่ต้องพูดออกมาว่าใครก็ตามที่พบกับเหล่าทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อจะต้องถูกคัดออกทุกราย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป การทดสอบจะไม่ใช่การประลองความแข็งแกร่งอีกต่อไป แต่เป็นการวัดดวงว่าทำอย่างไรจะหลบเลี่ยงไม่ให้พบเจอกับเหล่าทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อได้จนสิ้นสุดการทดสอบ!


การทดสอบที่เคร่งขรึมจริงจังกลายเป็นเรื่องเล่นๆไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะไม่ให้เขาตื่นตระหนกได้อย่างไร?


“อ้าว? แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ?” จ้งฉิงดูจะไม่ประหลาดใจกับข่าวที่ได้ยิน เขาจุ่มพู่กันลงในหมึกอีกครั้งแล้วเขียนตัวอักษรต่อไปก่อนจะหัวเราะหึๆ “ระดับความชาญฉลาดของเหล่าทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์นั้นไม่ได้เหลื่อมล้ำกันมากนัก สิ่งที่เราต้องทำก็คือบีบจำนวนของพวกเขาให้เหลือเพียง 100 คน ส่วนจะเป็นใครบ้าง เรื่องนั้นเป็นประเด็นรอง ต่อให้ตอนนี้พวกเขาจะทรงพลังสักแค่ไหน แต่ก็จะประสบความสำเร็จมากกว่านี้หลังจากได้เข้าเรียนที่สำนักแห่งขงจื๊อแล้ว”


“ก็ใช่ ผมว่าที่คุณพูดก็ฟังขึ้น…” เห็นความสุขุมเยือกเย็นของจ้งฉิง หนานกงหยวนเฟิงดูจะคลายความกังวลไปเล็กน้อย


ก็จริงที่ว่าพวกเขาสนใจแค่การบีบจำนวนผู้เข้ารับการทดสอบให้เหลือเพียง 100 คน ส่วนคนเหล่านั้นจะเป็นใครนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่


การทดสอบแบบคัดออกอาจไม่ยุติธรรมนัก แต่ในท้ายที่สุด ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดของพละกำลัง ใครที่มีพละกำลังไม่มากพอหรือไม่รู้จักวิธีเอาตัวรอด ก็คงต้องโทษตัวเองเท่านั้น


“ถึงสิ่งที่คุณพูดมาจะฟังขึ้น แต่ผู้เข้าทดสอบส่วนใหญ่ถูกคัดออกเพราะคนเพียงคนเดียวนะ แถมจำนวนผู้ถูกคัดออกก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะจะรวมหัวกันตั้งสมาคมประหลาดอะไรสักอย่างขึ้นมาด้วย…” หนานกงหยวนเฟิงพูด


“พวกเขาถูกกำจัดโดยคนคนเดียว? ใครกัน? เหยียนอี้เฉี่ยว หรือต้วนมู่เฉี่ยว?” จ้งฉิงถาม


“ไม่ใช่น่ะสิ พวกเขาถูกกำจัดโดยทายาทคนหนึ่งของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ” หนานกงหยวนเฟิงตอบ


“ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ?” จ้งฉิงผงะไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ “คุณหมายถึงฟ่านเฉี่ยวฉู ฟ่านเฉี่ยวเฟิง และฟ่านเฉี่ยวชิงใช่ไหม?”


เขาได้อ่านรายชื่อของตระกูลต่างๆแล้ว และจดจำชื่อของผู้เข้าทดสอบทุกคนได้


“ถูกต้อง” หนานกงหยวนเฟิงตอบหนักแน่น


“ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อไม่เคยทำผลงานได้โดดเด่นในการทดสอบเลย การที่พวกเขาก้าวขึ้นเป็นผู้นำของการทดสอบได้บ่งบอกว่าพวกเขาได้หมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งก็ไม่เป็นไรนี่ ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ ทุกคนมีขีดจำกัดของตัวเอง การที่พวกเขาขึ้นมาเป็นผู้นำในตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้นำไปได้จนกระทั่งสิ้นสุดการทดสอบ ในฐานะกรรมการ บทบาทของเราคือเฝ้าดูและประเมิน ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว!” จ้งฉิงตอบอย่างสุขุมขณะเขียนตัวอักษรต่อไป


“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ ผมก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว…” เห็นความเยือกเย็นของจ้งฉิง หนานกงหยวนเฟิงยักไหล่ เขากำลังจะหันหลังกลับแล้วออกจากห้อง ก็พอดีกับที่นึกได้ “อ้อ ผมลืมบอกคุณ หัวหน้าสมาคมผู้เข้าทดสอบที่ถูกคัดออกโดยทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อนั่นน่ะ ดูเหมือน จะเป็นหลานชายของคุณนะ, จ้งจื้อชุน!”


ฟึ่บ!


พู่กันสะบัดหมึกสีดำสนิทลงบนกระดาษสีขาวขณะที่จ้งฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ


เขารู้ว่าหลานชายของเขาเข้าทดสอบด้วย และคิดว่าคงจะเอาตัวรอดไปได้จนถึงสิ้นสุดการทดสอบ แต่แล้วก็กลับกลายมาเป็นหัวหน้าของสมาคมอะไรสักอย่างที่ถูกคัดออก นี่มันบ้าบออะไร?


“รอก่อน คุณกำลังบอกผมว่าจื้อชุนถูกคัดออกหรือ?” แม้จ้งฉิงจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็พยายามรักษาความสุขุมและอดทนอดกลั้นไว้


“ใช่แล้ว เขาภาคภูมิใจมากที่ถูกคัดออกเป็นคนแรกๆ และการที่เขารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมก็หมายความว่าทุกคนย่อมเชื่อฟังคำพูดของเขา!” หนานกงหยวนเฟิงพูด


“เจ้าสารเลว!” จ้งฉิงกำหมัดแน่น


ในตระกูลของเขามีคนงี่เง่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ไม่เพียงแต่จะไม่อับอายที่ถูกคัดออก ยังรู้สึกเป็นเกียรติด้วย…


เขาต้องสั่งสอนบทเรียนเจ้านั่นให้ได้!


“ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป!” จ้งฉิงสูดหายใจลึก พยายามระงับความโมโหก่อนจะส่ายหน้า “ถึงอย่างไรผมก็มีทายาทถึง 8 คนที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ เป็นเพราะผมตามใจจื้อชุนมาตั้งแต่เขายังเล็ก เขาจึงทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรออกไป เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆหรอก…”


“คนอื่นๆ?” หนานกงหยวนเฟิงเงียบกริบ เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “คุณหมายถึง จ้งจื่อเฟิง จ้งจื่ออี้ จ้งจื่อชวน และคนอื่นๆใช่ไหม?”


จ้งฉิงพยักหน้า “พวกนั้นน่าจะไว้ใจได้มากกว่าเจ้างี่เง่าจ้งจื้อชุน…”


“เอ่อ พวกนั้นถูกคัดออกแล้วเหมือนกัน และเป็นกลุ่มแรกที่เข้าร่วมสมาคม ถ้าไม่ใช่เพราะการออกเสียงของพวกเขา จ้งจื้อชุนจะได้เป็นหัวหน้าสมาคมได้อย่างไร?”


เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หนานกงหยวนเฟิงอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ “ผมต้องขอบอกว่าเชื้อสายตระกูลของคุณนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจริงๆ ขณะที่คนอื่นๆเสียอกเสียใจกับความพ่ายแพ้ แต่เหล่าเชื้อสายตระกูลของคุณได้พยายามก่อตั้งสมาคมขึ้น บอกเลยว่าผมยำเกรงกับวิธีการที่พวกเขารับมือกับความพ่ายแพ้ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น…”


ป๊อกกก!


เกิดเสียงหักดังป๊อกขณะที่พู่กันในมือของจ้งฉิงหักเป็นสองท่อน เขาคำรามลั่นด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ราวกับทุ่งหญ้า “เจ้าพวกโง่เง่า ผมจะฆ่าพวกมันให้หมดเดี๋ยวนี้!”


ฟึ่บ!


ร่างของจ้งฉิงหายวับไปจากห้องทันที


เห็นชายที่เพิ่งสุขุมเยือกเย็นอยู่เมื่อครู่เกิดอาการของขึ้น หนานกงหยวนเฟิงเกาหัวและพูดอะไรไม่ออก


ลงท้าย ที่จ้งฉิงบอกให้ทำใจเย็นก็เพราะเรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา พอมีสมาชิกในตระกูลของเขาเข้ามาพัวพัน เขาก็เป็นฟืนเป็นไฟราวกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้…


แต่ก็นั่นแหละ เขาต้องยอมรับว่าฟ่านเฉี่ยวฉู ฟ่านเฉี่ยวเฟิง และฟ่านเฉี่ยวชิงเป็นนักรบที่น่าทึ่ง


สามารถกำจัดผู้เข้าทดสอบทั้ง 8 คนที่มาจากเชื้อสายของตระกูลนักปราชญ์โบราณจื่อลู่ได้พร้อมกันในคราวเดียว ช่างไร้ความปรานีเสียเหลือเกิน!


เท่านั้นยังไม่หมด ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สนใจว่าใครคอยหนุนหลังผู้เข้าทดสอบเหล่านั้นด้วย ใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับพวกเขาจะถูกกำจัดในทันที ราวกับว่าหัวจิตหัวใจของทั้งสามไม่มีคำว่าเมตตาปรานีอยู่เลย


พวกเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนจำนวนมากมายขนาดนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่กลัวว่าใครต่อใครจะทำให้พวกเขาลำบากบ้างหรือเมื่อได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อแล้ว?


ใครก็รู้ว่าแม้สำนักขงจื๊อจะก่อตั้งขึ้นด้วยการลงทุนลงแรงของ 72 นักปราชญ์ และเหล่าทายาทของ 72 นักปราชญ์ก็ล้วนแต่มีส่วนในการบริหารองค์กร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเหลื่อมล้ำของอำนาจระหว่างแต่ละตระกูล


อย่าว่าแต่เรื่องอื่น ลำพังเชื้อสายของนักปราชญ์โบราณจื่อลู่ที่จ้งฉิงเป็นคนหนึ่งในตระกูลนั้นก็มีบทบาทและมีสิทธิ์มีเสียงมากมายในสำนักแห่งขงจื๊อแล้ว เพราะจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ภายใต้สังกัดของพวกเขา


การปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา ตอนนี้อาจดูน่าตื่นเต้น แต่ความซับซ้อนยุ่งเหยิงจะต้องติดตามมาในอีกไม่นาน


แต่ก็นั่นแหละ สามคนนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำผิดพลาด ในอนาคตอันใกล้ สำนักแห่งขงจื๊อคงมีอะไรสนุกๆให้เห็นอีกมากมายแน่!


ตอนที่ 1882 ผ่านการทดสอบ

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


หลังจากเล่นงานและกำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้มากกว่า 12 คนในคราวเดียว ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


เขาเพิ่งตั้งต้นร่ำเรียนจากเฉี่ยวฉูได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่กำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้อย่างน้อย 300 คนแล้ว!


การพัฒนาตัวเองในระดับนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยกล้าฝันถึง เนิ่นนานมาแล้วที่เขาคิดว่าการฝึกฝนวรยุทธคือกระบวนการที่เชื่องช้าแสนสาหัสและต้องอาศัยการเพิ่มพละกำลังทีละน้อย แต่แนวคิดนั้นแตกสลายไปจากสมองของเขาจนหมดสิ้น


แต่ถึงเขาจะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ยังห่างไกลกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง หมอนั่นกำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้อย่างน้อย 700 คน!


ส่วนเฉี่ยวฉูก็เดินไปพร้อมๆกับพวกเขา แต่ไม่ได้ปล่อยการโจมตี แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่พวกเขาทั้งคู่ทำอะไรผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเชือดเฉือนด้วยสายตาและการวิพากษ์วิจารณ์อันเย็นชาอย่างน่าสะพรึง เพราะสิ่งนี้ พวกเขาจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น


“ต้องแบบนี้สิ บ่มเพาะร่างกายของคุณอีกหน่อยและรักษาวรยุทธให้มั่นคง ไม่ช้าก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ…”


หลังจากทั้งสองฝ่าฟันคลื่นของผู้เข้าทดสอบระลอกสุดท้ายได้สำเร็จ จางเซวียนก็พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ


แม้ทั้งคู่จะหัวทื่อไปบ้าง แต่เพราะความอดทนเกินพิกัดของจางเซวียน เขาจึงยกระดับความสามารถของทั้งคู่ได้ไม่น้อย


ต่อให้ผ่านพ้นการทดสอบไปแล้ว พวกเขาก็จะยังคงได้รับประโยชน์จากการยกระดับสภาวะจิตและประสิทธิภาพการต่อสู้ แต่แน่นอนว่าในอนาคตจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น ก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขา


“เหลือผู้เข้าทดสอบอยู่เพียง 100 คนบนภูเขา ผมขอประกาศว่าการทดสอบเสร็จสิ้นก่อนเวลา!”


พร้อมๆกันกับเสียงที่ดังกึกก้อง ฝูงชนรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานที่โอบล้อมพวกเขา พริบตาต่อมา ทุกคนก็ถูกส่งทะลุมิติมายังจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าภูเขา


จางเซวียนมองไปรอบๆ และเห็นว่ามีผู้เข้าทดสอบอยู่ 100 คนพอดีในจัตุรัสนั้น ซึ่งนอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้ว คนอื่นๆที่เหลือดูจะยับเยินเพราะพลังงานอะไรสักอย่างและอยู่ในสภาพไม่น่าดูนัก


แม้ผู้เข้าทดสอบส่วนใหญ่จะดูไม่โดดเด่นอะไร แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเอาตัวรอดมาได้จนสิ้นสุดการทดสอบจากจำนวนผู้เข้าแข่งขันถึง 2000 คน ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องมีวิถีทางอันน่าทึ่ง และที่สำคัญกว่านั้น ยังโชคดีมากอีกด้วยที่ไม่ได้ปะทะกับพวกเขาทั้งสาม!


“อันดับแรกสุด ผมขอแสดงความยินดีกับพวกคุณทุกคนอย่างเป็นทางการที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าเป็นนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊อในปีนี้” จ้งฉิงประกาศอย่างวางมาด


ขณะที่กำลังพูด สายตาของเขาก็จับจ้องที่จางเซวียนกับพรรคพวก ใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย จ้งฉิงอยากรี่เข้าไปซ้อมคนเหล่านั้น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ยับยั้งตัวเองไว้


การที่เหล่าทายาทของเขาถูกคนเหล่านี้กำจัดก็แปลว่าพวกนั้นอ่อนแอ เขาจะไม่ละทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรีเพียงเพื่อทำให้อะไรๆยุ่งยากกว่าเดิม


จ้งฉิงสูดหายใจลึกและพูดต่อ “หลังจากนี้ พวกคุณจะต้องนำตราหยกมาแลกรับแหวนเก็บสมบัติไป ภายในแหวนเก็บสมบัติคือเส้นทางและกรรมวิธีในการเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ รวมทั้งหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในและทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธด้วย พวกคุณมีเวลา 3 วันในการใช้ความสามารถของตัวเองเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อให้ได้ ต่อเมื่อคุณทำสำเร็จเท่านั้น ถึงจะได้เป็นนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊ออย่างเต็มตัว”


“ผมรู้ว่าบททดสอบนี้คงไม่ยากเย็นอะไรสำหรับพวกคุณ แต่ขอให้ผมได้แนะนำสักหน่อย ยิ่งคุณเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะได้พบเจอครูบาอาจารย์ที่ดีขึ้นเท่านั้น คงไม่ต้องบอกนะว่าสิ่งนี้จะช่วยแผ้วถางเส้นทางที่นำไปสู่การพัฒนาวรยุทธของคุณในอนาคต”


ก็เหมือนกับสถาบันการศึกษาอื่นๆ การให้คำชี้แนะในสำนักแห่งขงจื๊อเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ขณะที่ลูกศิษย์มีสิทธิ์เลือกอาจารย์ อาจารย์ก็สามารถเลือกลูกศิษย์ของพวกเขาได้เช่นกัน


จำนวนลูกศิษย์ที่อาจารย์แต่ละคนรับได้นั้นมีจำกัด ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงสำนักแห่งขงจื๊อก่อนย่อมมีโอกาสดีกว่าที่จะได้เข้าหาครูบาอาจารย์ที่พวกเขาต้องการ ในเวลาเดียวกัน ทรัพยากรที่จะได้รับก็แตกต่างออกไปด้วย


“เอาล่ะ คืนตราหยกของคุณได้แล้ว!”


หลังจากพูดจบได้ไม่นาน ตราหยกที่อยู่บนหน้าอกของทุกคนก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ แล้วแหวนเก็บสมบัติ 100 วงก็ลอยเข้าสู่มือของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง


จางเซวียนสวมแหวนอย่างแผ่วเบา ข้าวของที่อยู่ในนั้นปรากฏในหัวสมองของเขา


อย่างที่ได้รับการบอกเล่าไว้ มีเทคนิควรยุทธขั้นการพักฟื้นภายใน แม้จะไม่มีเทคนิควรยุทธทั่วไป ให้นักรบในระดับขั้นนี้ฝึกฝน แต่หนังสือเทคนิควรยุทธที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติก็ชี้ทางที่ชัดเจนให้ การมีหนังสืออยู่ในมือจะช่วยผลักดันให้การฝ่าด่านวรยุทธเป็นไปได้ง่ายขึ้นมาก


นอกเหนือจากหนังสือเทคนิควรยุทธ ก็ยังมียาเม็ดเกรด 9 ที่ได้รับการขัดเกลารูปร่างมาเป็นอย่างดี


ยานี้มีอานุภาพชำระร่างกายและพลังปราณ รวมถึงกระบวนการเร่งศักยภาพของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในด้วย ดังนั้นมันจึงช่วยเพิ่มโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธได้อีกราว 10 เปอร์เซ็นต์


สุดท้ายก็คือตราหยกอีกอันหนึ่ง


จางเซวียนนำตราหยกออกมาแล้วแตะมันเบาๆ แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย


เห็นทีท่าของจางเซวียน ฟ่านเฉี่ยวเฟิงรีบอธิบาย “มีค่ายกลอยู่บนตราหยก ถ้าเราอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ก็จะต้องถอดรหัสค่ายกลให้ได้ก่อน นี่คือหนึ่งในบททดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อ”


“มีบททดสอบแบบนี้ด้วย? แล้วคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลล่ะ จะทำอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


อาจมีผู้เข้าทดสอบบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับค่ายกล การใช้บททดสอบแบบนี้กับพวกเขาจึงออกจะไม่ค่อยยุติธรรม


“ค่ายกลที่อยู่บนตราหยกไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ดังนั้น จะคุ้นเคยกับค่ายกลหรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่าง ความยากอยู่ที่ความยุ่งเหยิงของมัน ผู้นั้นจะต้องควบคุมพลังปราณให้ได้อย่างแม่นยำเพื่อถอดรหัสมันอย่างระมัดระวัง แม้จะเป็นการทดสอบ แต่ก็เป็นเหมือนคำเตือนที่บอกพวกเราว่าเราไม่ควรให้ความสนใจกับการสร้างรากฐานของพลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่การควบคุมมันให้ได้ถูกต้องแม่นยำก็ถือว่าสำคัญมากเช่นกัน” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพูด


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า


วรยุทธของฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ได้พัฒนามากนักนับตั้งแต่เข้ามาในภูเขา แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งคู่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ทำให้พวกเขาเล่นงานคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำได้ก็เพราะทั้งคู่ได้ร่ำเรียนวิธีการควบคุมและปลดปล่อยพละกำลังอย่างมีประสิทธิภาพ


ด้วยการเลือกสรรกระบวนท่าที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดผนวกกับการโจมตีจุดอ่อนใดๆก็ตามอย่างตรงเป้า จึงเป็นธรรมดาที่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งคู่จะเพิ่มสูงขึ้นมาก


จางเซวียนตรวจสอบตราหยกอย่างรวดเร็ว เห็นอักษรจารึกมากมายนับไม่ถ้วนถูกสลักไว้บนนั้น ดูเหมือนเขาจะต้องควบคุมพลังปราณให้ได้แม่นยำสูงสุดเพื่อถอดรหัสอักษรจารึกที่เห็น


แม้ภารกิจนี้จะสร้างความท้าทายไม่น้อยต่อผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ แต่กลับง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากสำหรับเขา จางเซวียนโบกมือเบาๆเหนือตราหยกนั้น


วิ้งงงง!


ฉนวนเปิดออกทันที แล้วรายละเอียดภายในก็ลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา


มันคือตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดเจนของสำนักแห่งขงจื๊อและวิธีการเข้าไปในนั้น


เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดไว้ สำนักแห่งขงจื๊อไม่ได้อยู่แถวนี้ แต่อยู่ที่ใจกลางทะเลทรายซึ่งห่างออกไปราวหมื่นลี้ ในการจะไปถึงที่นั่นได้ เขาจะต้องไปตามเส้นทางพิเศษที่มีบอกไว้บนตราหยก


“เอาล่ะ พวกคุณเริ่มถอดรหัสค่ายกลที่อยู่บนตราหยกได้แล้ว!”


เมื่อเห็นทุกคนนำตราหยกที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติออกมา จ้งฉิงกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะพูดต่อ “ในประวัติศาสตร์ของสำนักแห่งขงจื๊อ สถิติการถอดรหัสฉนวนที่เร็วที่สุดคือ 6 ชั่วโมง ซึ่งในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่เข้าใกล้สถิตินั้นมากที่สุดคือทายาทของปรมาจารย์ขง, ขงซือเหยา โดยใช้เวลา 7 ชั่วโมง จากนั้นก็คือทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, เหยียนเฉว่ ใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับพวกคุณที่เหลือ หากถอดรหัสฉนวนนี้ได้ภายในเวลา 1 วันก็ถือว่าน่าทึ่งแล้ว”


ถึงค่ายกลที่อยู่บนตราหยกจะดูเรียบง่าย แต่มันยุ่งยากกว่าที่เห็น หากปราศจากจิตใจที่สงบและการควบคุมพลังปราณอย่างเฉียบคม ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถอดรหัสสำเร็จ


ต่อให้อัจฉริยะชั้นยอดของสำนักแห่งขงจื๊อก็ยังต้องใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงในการถอดรหัสมัน!


“เอาล่ะ ให้ผมได้แนะนำอะไรพวกคุณสักหน่อย ความรีบร้อนและบุ่มบ่ามจะไม่ช่วยให้คุณได้อะไรขึ้นมา หากคุณปฏิบัติภารกิจนี้ไม่สำเร็จภายในเวลา 3 วัน ถึงจะผ่านการทดสอบมาแล้ว แต่ก็จะไม่ได้การยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊อ” จ้งฉิงเตือนล่วงหน้าก่อนจะโบกมือเบาๆ


ฟึ่บ!


ปราการที่มีหน้าตาเหมือนกระจกเงาปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน


“นี่คือค่ายกลทะลุมิติ ทันทีที่คุณถอดรหัสฉนวนบนตราหยกได้ ก็จะถูกดูดเข้าไปในค่ายกล จากนั้น คุณจะต้องตามรอยเส้นทางที่บันทึกไว้บนตราหยกเพื่อเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ เอาล่ะ ได้เวลาถอดรหัสฉนวนแล้ว ผมอยากรู้เหลือเกินว่าสถิติที่เร็วที่สุดของพวกคุณคือ…” จ้งฉิงพูด


แต่ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นปราการที่มีหน้าตาเหมือนกระจกเงานั้นสั่นสะเทือน


ร่างหนึ่งค่อยๆลอยขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะดำดิ่งเข้าสู่ปราการนั้น


“อะไรกัน? เขา…ถอดรหัสค่ายกลเรียบร้อยแล้วหรือ?”


ทุกอย่างเงียบงันไปเป็นเวลานาน


ตอนที่ 1883 ความสงสัยของจ้งฉิง

“เอ่อ…” จางเซวียนเกาหัวด้วยความลำบากใจ


จริงอยู่ว่าเขาถอดรหัสตราหยกสำเร็จแล้ว แต่ด้วยนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัว ก็คิดว่าจะตั้งหน้าตั้งตารอให้ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงผ่านบททดสอบครั้งนี้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสำนักแห่งขงจื๊อพร้อมกัน โชคร้ายที่เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนำปราการที่มีอานุภาพดึงดูดใครก็ตามที่ถอดรหัสค่ายกลสำเร็จแล้วเข้าไปข้างใน!


ขณะที่ไม่ทันระมัดระวังตัว เขาก็ถูกดูดเข้าไปเสียแล้ว


จางเซวียนเหลียวมองสีหน้าพรั่นพรึงและประหลาดใจมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลัง เขาส่ายหัวอย่างจนปัญญาแล้วรวบรวมความกล้าพูดออกไป “เอาเถอะ…ทุกคนพยายามให้เต็มที่นะ ผมจะล่วงหน้าไปก่อนเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่อีกฝั่งหนึ่ง!”


“ล่วงหน้าไปก่อน? ดูเหมือนเขาจะเข้าถึงเส้นชัยก่อนที่พวกเราจะได้ออกสตาร์ทเสียอีก!”


“ขงซือเหยาใช้เวลา 7 ชั่วโมงเต็ม แต่เขา…นั่นยังไม่ถึงหนึ่งอึดใจเลยใช่ไหม?”


“หรือว่าตราหยกของเขามีอะไรผิดพลาด?”


“คุณคิดมากไปแล้วล่ะ สำนักแห่งขงจื๊อจะทำเรื่องผิดพลาดพื้นๆแบบนี้ได้อย่างไร? พูดก็พูดเถอะ เหลวไหลสิ้นดีที่ใครสักคนถอดรหัสฉนวนได้ภายในเวลาเพียงอึดใจเดียว…เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”


…..


เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่


เมื่อครู่นี้เองที่ผู้เชี่ยวชาญจ้งฉิงบอกไว้ว่าสถิติการถอดรหัสที่เร็วที่สุดคือ 6 ชั่วโมง แต่ชายผู้นี้ทำสำเร็จได้ภายในหนึ่งอึดใจ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่หมายความว่าแม้แต่อัจฉริยะที่ปราดเปรื่องที่สุดตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสำนักแห่งขงจื๊อก็ยังมีความสามารถไม่ถึง 1 ใน 2,000 ของชายหนุ่มหรือ?


ไม่ใช่เฉพาะบรรดาผู้เข้าทดสอบที่ส่งเสียงเซ็งแซ่ แม้แต่จ้งฉิง หนานกงหยวนเฟิง และกรรมการคนอื่นๆก็ปั่นป่วนจนทำอะไรไม่ถูก


พวกเขาเคยคิดว่าคงโชคดีเหลือหลายแล้วหากผู้เข้าทดสอบสักคนไปถึงสำนักแห่งขงจื๊อได้ภายในเวลา 1 วัน ใครจะไปคิดว่าจะมาพบกับปีศาจตนนี้?


“จ้งจื้อชุนกับคนอื่นๆถูกชายผู้นี้กำจัดหรือเปล่า?” จ้งฉิงตั้งคำถาม


“อือ ก็ประมาณนั้นแหละ” หนานกงหยวนเฟิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผู้ที่กำจัดจ้งจื้อชุนกับคนอื่นๆคือฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิง แต่เขาเป็นคนชี้แนะทั้งคู่…”


“คำชี้แนะของเขาทำให้ 2 คนนั้นกำจัดผู้เข้าทดสอบในตระกูลของผมได้ถึง 8 คน…” จ้งฉิงรู้สึกหายใจหายคอไม่ออกขณะพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ได้เห็น


คนอื่นอาจไม่รู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของทายาททั้ง 8 คนของเขา แต่เขารู้ดีว่าคนเหล่านั้นมีพละกำลังที่ไม่อาจสบประมาทได้ หากไม่ถูกฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดเสียก่อน ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นม้ามืด


ทั้ง 8 คนผ่านการทดสอบอันยากลำบากมาเพื่อเข้าสู่การทดสอบครั้งนี้ และต่อให้พวกเขาต้องปะทะกับเหยียนอี้เฉี่ยว ก็มีโอกาสที่จะรอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย แต่สุดท้ายทุกคนก็ลงเอยด้วยการถูกคัดออก


ยิ่งไปกว่านั้น หากชายหนุ่มปล่อยการโจมตีด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะในประวัติศาสตร์ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่เคยขาดแคลนนักรบที่มีพละกำลังมหาศาลราวปีศาจ แต่เขากลับใช้คำชี้แนะของตัวเองผ่านพละกำลังของคนอื่น แม้แต่จ้งฉิงเองก็ไม่อาจทำอะไรแบบนี้ได้!


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาและถามว่า “เราควรยับยั้งเขาไว้สักครู่เพื่อตรวจสอบตราหยกของเขาไหม?”


“ไม่ต้องหรอก การที่เขาถูกดูดเข้าไปในปราการก็หมายความว่าเขามีความสามารถในการถอดรหัสค่ายกลจริงๆ อีกอย่าง ครูบาอาจารย์คนอื่นๆก็กำลังรออยู่ที่อีกฟากหนึ่งของปราการ พวกเขาน่าจะรับรู้ถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในปราการแล้ว สายไปแล้วล่ะที่จะยับยั้งเขาตอนนี้…” จ้งฉิงส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปมองฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง


สายตานั้นเต็มไปด้วยความกังขา


เชื้อสายของตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อมักรั้งท้ายคนอื่นเสมอ…ทำไมจู่ๆพวกเขาถึงไร้เทียมทานขึ้นมาได้?


ด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ จ้งฉิงกระโจนไปปรากฏตัวตรงหน้าฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง เขาโบกมือและพูดว่า “รวมแล้ว คุณทั้งสองกำจัดผู้เข้าทดสอบไปมากกว่าครึ่ง ผมอยากเห็นว่าพวกคุณมีความสามารถเหนือชั้นจริงๆอย่างที่แสดงออกมาในผลลัพธ์ของการทดสอบหรือเปล่า”


ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงประสานมือ “คุณจะให้พวกเราทดสอบพละกำลังของเราอย่างไร?”


ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายของจางเซวียน คงตื่นตระหนกไม่น้อย เห็นชัดว่าจ้งฉิงกำลังสงสัยว่าพวกเขาใช้กลโกง และทุกอย่างจะเลวร้ายถึงขีดสุดหากพวกเขาถูกประกาศว่ามีความผิด


แต่การทดสอบแบบคัดออกเมื่อครู่นี้ทำให้สภาวะจิตของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก พวกเขามีความมั่นอกมั่นใจกว่าเดิม และไม่รู้สึกหวาดผวาแม้เมื่อต้องยืนประจันหน้ากับผู้เชี่ยวชาญ


“ผมมีข้อเสนอง่ายๆ ผมจะลดระดับวรยุทธของผมลงให้เท่ากับคุณ แล้วคุณสองคนก็เข้ามารุมผมพร้อมกันได้เลย ถ้าคุณเอาชนะผมได้ ก็แปลว่าคุณมีความสามารถเหนือชั้นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นของคุณจริงๆ” จ้งฉิงอธิบายอย่างสุขุม


ในฐานะนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ต่อให้เขาลดระดับวรยุทธลง ความสามารถในการหยั่งรู้และประสบการณ์การต่อสู้ก็ยังเหนือชั้นกว่าวัยรุ่นทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต่อให้ทั้งสองจะทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้หากไม่ได้มีความสามารถที่พิเศษอย่างเหนือชั้น


ได้ยินคำนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว “ได้ พวกเรารับคำท้าของคุณ!”


คนอื่นๆรีบเคลียร์พื้นที่ ก่อนที่จ้งฉิงจะลดระดับรังสีของเขาลงไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แม้จะลดระดับลงแล้ว แต่ก็ยังคงแผ่รังสีอันล้ำลึกเกินหยั่งออกมาในแบบที่ทำให้ใครๆไม่กล้าท้าทายอำนาจของเขา


“ผมอนุญาตให้คุณทั้งคู่เปิดการโจมตีก่อน” จ้งฉิงร้องเรียก ส่วนตัวเขายืนนิ่งอยู่กับที่


ถึงอย่างไร เขาก็เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตมาหลายศตวรรษแล้ว ถึงเขาจะท้าทายฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงเข้าสู่การดวลเพื่อไขข้อสงสัยในใจของเขา แต่ก็ไม่มีเจตนาจะเอาเปรียบทั้งคู่


“ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น พวกเราก็จะไม่เกรงใจละนะ!”


ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดและคำราม


ในบรรดาผู้เข้าทดสอบกว่าพันคนที่พวกเขากำจัดไป มีบางคนที่มีวรยุทธสูงกว่าพวกเขาถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ การท้าทายคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังระดับนั้นได้ช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณของการรับรู้อันตรายและการเข้าถึงกระแสของการต่อสู้ ทั้งคู่ดูออกว่าแม้จ้งฉิงจะกดข่มวรยุทธไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้โดยง่าย


ดังนั้นทั้งคู่จึงออกตัวพร้อมกัน


ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงพุ่งออกไป คนหนึ่งเล็งที่หน้าอกของจ้งฉิง ขณะที่อีกคนเล็งแผ่นหลัง


นึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมีความเร็วอย่างน่าทึ่ง อีกทั้งยังตัดสินใจเปิดการโจมตีอย่างเฉียบขาด จ้งฉิงพยักหน้า “ไม่เลว!”


ไม่แปลกใจแล้วที่พวกเขากำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้มากมาย จนถึงขนาดที่แม้แต่ทายาทของเขาก็ยัง เอาชนะไม่ได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งคู่ถือว่าประมาทไม่ได้จริงๆ


อย่าว่าแต่เรื่องอื่น ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่พวกเขาสามารถขจัดความลังเลออกไปได้ก็ถือเป็นวีรกรรมน่าทึ่งแล้ว สิ่งนี้เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่นักรบคนหนึ่งจะมีต่อคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง พวกเขาจะเกิดความลังเลสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง และนี่คือปัญหาที่แม้แต่นักรบชั้นยอดก็ยังต้องเผชิญ


ความลังเลอาจไม่มีผลอะไรมากนักในช่วงแรก แต่สำหรับการต่อสู้อันดุเดือด การเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้เพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงความเป็นหรือความตาย


แต่ถ้านั่นคือทั้งหมดที่ทั้งคู่มี…ก็ยังไม่มากพอจะเอาชนะเขา!


นั่นเป็นเพราะเจตจำนงและการปลดปล่อยกระบวนท่าของทั้งคู่ยังคงอ่อนด้อยในเรื่องความซับซ้อน ราวกับสองคนนั้นมายืนเปลือยกายต่อหน้าเขา


จ้งฉิงทำนายได้เลยว่าในก้าวต่อๆไปทั้งคู่จะทำอะไร ในการเล่นงานคู่ต่อสู้ระดับนี้ เขาต้องการแค่กระบวนท่าดีๆสักกระบวนท่าหนึ่งเท่านั้น


จ้งฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นแล้วกดลงไป ตั้งใจจะเล่นงานทั้งคู่ให้กระเด็นไปพร้อมกัน เพื่อให้รู้ซึ้งถึงช่องว่างระหว่างพวกเขา


แต่ก่อนที่พลังจากฝ่ามือของเขาจะถึงเป้าหมาย ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็พุ่งเข้ามาขนาบข้างเขาอย่างฉับพลัน ด้วยการใช้เรี่ยวแรงหนักหน่วง ทั้งสองปล่อยหมัดซ้ายและหมัดขวาพร้อมกันเข้าที่ใบหน้าของเขาทั้งสองข้าง


“อะไรกัน?” จ้งฉิงหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ


การต่อสู้โดยทั่วไปควรจะเริ่มด้วยการด้วยกระบวนท่ารองเพื่อหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ก่อนจะกระโจนเข้าสู่การโจมตีอย่างเต็มกำลังไม่ใช่หรือ?


เมื่อครู่นี้ทั้งคู่ยังอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอยู่เลย ทำไมถึงเปลี่ยนมาสำแดงกระบวนท่าอย่างฉับพลันแบบนั้น?


อีกอย่าง มันเหมาะสมแล้วหรือที่จะเล่นงานใบหน้าของผู้อาวุโสอย่างเขา?


“ฮึ่มมมม!” จ้งฉิงคำรามแล้วใช้ฝ่ามือปัดป้องพลังจากหมัดของทั้งสอง จากนั้นก็กำลังจะปล่อยการโจมตีเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้ทั้งคู่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เข้าโจมตีหน้าอกและหว่างขา


เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นขาของฟ่านเฉี่ยวชิงปะทะกับหน้าอกของเขา ขณะที่เท้าของฟ่านเฉี่ยวเฟิงเตะเสยที่หว่างขา


“อ๊ากกกกกก!” จ้งฉิงกู่ร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน ก่อนจะกระเด็นไปและร่วงลงไปกองกับพื้น ร่างของเขางอหงิกราวกับกุ้ง


แม้จะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาฝึกฝนกายเนื้อจนแข็งแกร่งอย่างทั่วถึง ดังนั้น จึงยังมีจุดอ่อนตามแบบของผู้ชายทุกคน เจอลูกเตะอย่างจังเข้าไปแบบนั้น ก็ถือว่าบุญโขแล้วที่ไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย!


แต่ถึงอย่างนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ยังประเคนทุกอย่างที่พวกเขามีเพื่อเล่นงานจ้งฉิงต่อไป ราวกับกลัวว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้จะไม่ได้ผล ความเจ็บปวดแสนสาหัสเข้าเล่นงานจ้งฉิงจนเหงื่อแตกทั้งร่าง


จ้งฉิงรีบปลดปล่อยการสกัดกั้นพลังปราณและกลับคืนสู่วรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกก่อนจะเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทั้งคู่อยู่ไม่ห่างออกไป


“ผมทำได้? หรือเขาอ่อนแอจริงๆ?”


“หรือว่าเขาออมมือให้พวกเรา? นั่นคงไม่ใช่พละกำลังที่แท้จริงของผู้เชี่ยวชาญหรอก ใช่ไหม?”


คำพูดเหล่านั้นคือความสงสัยและสับสนอย่างแท้จริงในใจของฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง


ที่ผ่านมา สำนักแห่งขงจื๊อคือเป้าหมายสูงสุดที่พวกเขาวางไว้ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะสามารถเล่นงานผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังของสำนักแห่งขงจื๊อได้ด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว


ราวกับว่าวีรบุรุษที่พวกเขาเทิดทูนบูชามาตั้งแต่ยังเด็กกลับกลายเป็นแค่เรื่องเล่า!


“อ่อนแอ? ออมมือให้?”


จ้งฉิงรู้สึกได้ถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในปาก เขาใจเย็นไม่ไหวอีกต่อไป


ตอนที่ 1884 ฆ้องทองแดง

จ้งฉิงให้ความสำคัญกับการฝึกฝนวรยุทธและสภาวะจิตเสมอ การเขียนอักษรวิจิตรคือศิลปะของการขัดเกลาสมาธิและการควบคุมตัวเอง เขาจึงมักใช้เวลาว่างพร้อมกับพู่กันในมือ จากการทุ่มเทเวลาให้กับศิลปะ งานเขียนอักษรวิจิตรของเขาจึงมีคุณภาพสูงมาก ถึงขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญมากมาย มาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวเพื่อแสวงหาสันติสุขภายในจากผลงานเหล่านั้น


ด้วยนิสัยและสภาวะจิตของจ้งฉิง การทดสอบธรรมดาสามัญของคนหนุ่มสาวไม่ทำให้เขาเกิดความสนใจสักนิด แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ ผู้เข้าทดสอบแปดคนในตระกูลของเขารวมทั้งหลานชายของเขาด้วยถูกคัดออกจากการทดสอบหมดทุกคน เรื่องนี้สั่นคลอนความรู้สึกของเขาเล็กน้อย เขาจึงอยากท้าทายวัยรุ่นทั้งสองเพื่อทดสอบความสามารถของทั้งคู่


แต่ใครจะไปรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงอย่างตัวเขาจะลงเอยด้วยการถูกเหยียดหยามแบบนี้


อ่อนแอ?


อ่อนแอบ้านคุณสิ!


ผมอ่อนแออย่างไร?


จ้งฉิงโมโหเดือด แต่เมื่อนึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ก่อน ก็พบว่าไม่อาจหาถ้อยคำมาหักล้างคำพูดของอีกฝ่ายได้


แม้ชายหนุ่มสองคนนั้นจะไม่ได้ใช้ค่ายกลผนึกกำลัง แต่การร่วมมือกันของทั้งคู่ก็ถือว่าไร้ที่ติ ขนาดตัวเขาเป็นถึงนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็หยิ่งผยองเกินไปจนตกหลุมพรางของทั้งคู่ นำมาซึ่งความพ่ายแพ้


จ้งฉิงกลืนเลือดที่เอ่อขึ้นมาในปากและสูดหายใจลึกก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มทั้งสอง “นี่คือสิ่งที่ฟ่านเฉี่ยวฉูสอนพวกคุณหรือ?”


เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มสองคนนี้มาก่อน แต่ได้อ่านประวัติของทั้งคู่แล้ว จากประวัติที่ปรากฏ ทั้งสองไม่น่าจะเก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้


“ใช่แล้ว” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงพยักหน้ารับ


อันที่จริง ทั้งคู่ก็ออกจะประหลาดใจเล็กน้อยกับผลการดวล พวกเขาคิดว่าผู้เชี่ยวชาญย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากมาก ต่อให้อีกฝ่ายลดระดับวรยุทธแล้วก็ตาม แต่ทันทีที่พวกเขาใช้ภูมิปัญญาในการต่อสู้ตามแบบอย่างของฟ่านเฉี่ยวฉู ทุกอย่างก็จบลงอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันรู้สึกตัว


ราวกับอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ปวกเปียกตัวหนึ่ง!


นั่นก็หมายความว่า ตราบใดที่พวกเขายังคงฝึกฝนทักษะการต่อสู้อย่างหนักหน่วงต่อไป ก็จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบรุ่นเดียวกัน ใช่ไหม?


“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้หรือเปล่าว่าใครถ่ายทอดกระบวนท่าเหล่านี้ให้เขา?” จ้งฉิงตั้งคำถาม


“เขาทำความเข้าใจด้วยตัวเอง” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบ


เขาเคยตั้งคำถามนี้กับฟ่านเฉี่ยวฉูแล้วระหว่างที่การทดสอบดำเนินไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบว่าได้เทคนิคเหล่านี้จากแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน


“เขาทำความเข้าใจด้วยตัวเอง? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ความเก่งกาจของเขาก็ช่าง…” จ้งฉิงตั้งข้อสังเกตก่อนจะหายใจถี่กระชั้น “หยวนเฟิง ระหว่างนี้ผมอยากให้คุณช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ไปก่อน ผมจะเดินทางกลับไปที่สำนักแห่งขงจื๊อเพื่อดูว่าฟ่านเฉี่ยวฉูเลือกใครเป็นอาจารย์ของเขา!”


เมื่อทนความอยากรู้ไว้ไม่ไหว จ้งฉิงรีบหันหลังกลับแล้วจากไป


ไม่ว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะเลือกใครเป็นอาจารย์ เขาก็จะต้องผูกมิตรกับอีกฝ่ายให้ได้ ขอแค่ฟ่านเฉี่ยวฉูไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงได้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์!


…..


จางเซวียนไม่รู้เรื่องที่จ้งฉิงถูกฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงซ้อม เขากำลังอยู่ระหว่างการคลำทางในทะเลทรายตามทิศทางที่ตราหยกบอกไว้


พูดกันตามตรง เขาตั้งใจจะเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ดูเหมือนทั้งโลกจะปฏิเสธความพยายามของเขา!


ด้วยการเป็นคนแรกที่ไปถึงสำนักแห่งขงจื๊อ คงไม่มีทางที่เขาจะกลืนไปกับฝูงชนได้อีก


แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ ตราบใดที่ตัวตนของเขาในฐานะคนนอกยังไม่ถูกเปิดเผย เขาก็สามารถจากไปได้ทันทีที่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่สร้างความอึกทึกวุ่นวายมากนัก


ฟิ้ววววว!


หลังจากบินมาได้ระยะหนึ่ง ลำแสงเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นจากระยะไกล เมื่อบินตรงเข้าหาแสงนั้น จางเซวียนรู้สึกได้ถึงมิติลี้ลับขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่


น่าประหลาดใจที่มิติลี้ลับแห่งนี้มั่นคงยิ่งกว่าอาณาจักรคุนฉื่อเสียอีก ถึงขนาดที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก เทียบได้กับค่ายกลรวบรวมพลังจิตวิญญาณเกรด 9 เลยทีเดียว


ทันทีที่จางเซวียนก้าวเข้าสู่มิติลี้ลับ จุดชีพจรทั้งหมดของเขาก็เปิดออกและซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าไปอย่างรวดเร็ว


มีตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่านตั้งอยู่โดยรอบ พวกมันได้รับการออกแบบตามสไตล์ดั้งเดิม ราวกับสร้างขึ้นตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน


“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือที่หมายของเรา…”


รู้ดีว่ามาถึงสำนักแห่งขงจื๊อแล้ว จางเซวียนเตรียมร่อนลงสู่พื้น แต่ยังไม่ทันจะได้ร่อนลง ก็เห็นลำแสงสาดมายังทิศทางของเขา


แต่ลำแสงนั้นดูไม่มีเจตนาชั่วร้าย มันหยุดลงตรงหน้าจางเซวียน เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริง คือฆ้องทองแดงขนาดมหึมา มันลอยลงมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของจางเซวียนก่อนจะสำแดงพละกำลังมหาศาลใส่เขา ดูเหมือนพยายามจะกีดกันไม่ให้จางเซวียนร่อนลงสู่พื้น


“นี่คือบททดสอบอีกบทหนึ่งหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


สำนักแห่งขงจื๊ออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่ฆ้องทองแดงพยายามผลักดันเขาออกไป เห็นได้ชัดว่ามันคือบางสิ่งที่คล้ายกับบททดสอบที่เขาต้องผ่านไปให้ได้เพื่อให้ได้การยอมรับอย่างเป็นทางการในฐานะนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊อ


แต่นั่นแหละ ผ่านอะไรมาก็มากมายขนาดนี้แล้ว ลำพังแค่ฆ้องทองแดงจะมีความสำคัญอะไร?


จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆนานาออกจากหัวสมอง เขากระทืบเท้าแล้วปล่อยพลังผ่านฝ่าเท้าทั้งสองข้าง


ตึ้งงงง!


เมื่อเจอกับการกระทืบเท้าอันทรงพลังของจางเซวียน ฆ้องทองแดงถูกสอยกระเด็นไป


จางเซวียนยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็ร่อนลงสู่พื้น


…..


ชาวเมืองวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งแถวถัดจากทางเข้าสำนักแห่งขงจื๊อ มีทั้งชายหญิงปะปนกันไป เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกเขาคล้ายกับที่หนานกงหยวนเฟิงสวมใส่ มองแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสถาบัน


“คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันกว่าบรรดาผู้เข้าทดสอบจะมาถึงที่นี่ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าออกจะใจร้อนไปหน่อยที่มาถึงตั้งแต่ตอนนี้?” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งตั้งคำถามพร้อมกับส่งยิ้มที่ยากจะคาดเดาความหมาย


ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งชำเลืองมองเธอ “ผมยอมรับว่าพวกเราออกจะใจร้อนไปสักหน่อย แต่คุณก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ถ้าคุณไม่ใจร้อน ทำไมถึงมาเร็วนักล่ะ?”


“ฉันมาก็เพื่อจะดูว่าในกลุ่มนี้จะมีอัจฉริยะชั้นยอดอยู่บ้างหรือเปล่า…”หญิงวัยกลางคนพึมพำก่อนจะหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง “หมี่ชวน คุณนำฆ้องทองแดงมาที่นี่ทำไม?”


ทุกคนหันมามอง เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับฆ้องทองแดงอันใหญ่ที่เทินไว้เหนือศีรษะของเขา มันกำลังหมุนติ้วและบดบังแสงแดดเจิดจ้าให้ชายวัยกลางคนผู้นั้น


ฆ้องทองแดงคือของล้ำค่าที่หมี่ชวนเพิ่งหลอมขึ้น แต่แทนที่จะอยู่บ้านและศึกษาวัตถุประสงค์ของมันอย่างถี่ถ้วน มันเรื่องอะไรเขาถึงยอมเหน็ดเหนื่อยแบกมันมาด้วย?


“ฮ่าฮ่า คุณก็รู้นี่ว่าความเก่งกาจของผมคือพละกำลัง ผมนำฆ้องทองแดงมาที่นี่เพื่อทดสอบลูกศิษย์ใหม่ของเรา!” หมี่ชวนหัวเราะลั่น


“ทดสอบลูกศิษย์ใหม่?” หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ฆ้องของคุณน่ะหนักมาก คุณคงไม่คิดจะใช้มันทุ่มศีรษะลูกศิษย์ใหม่จนตายหรอกนะ ใช่ไหม?”


“แน่นอนว่าไม่!” หมี่ชวนปฏิเสธพร้อมกับส่งรอยยิ้มมีเลศนัย “แต่ผมสามารถใช้ฆ้องทองแดงผลักดันผู้เข้าทดสอบกลับไปได้ ขอแค่ผู้เข้าทดสอบต้านทานฆ้องทองแดงของผมได้ 10 วินาที พวกเขาก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของผมและรับการถ่ายทอดทักษะของผมไป…”


“10 วินาที? นี่คุณยังไม่ตื่นจากฝันอีกหรือ?”


ได้ยินคำนั้น ทุกคนถอนหายใจเฮือก


ด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งราวปีศาจของหมี่ชวนและความหนักอึ้งแสนสาหัสของฆ้องทองแดง แม้พวกเขาก็ยังลำบากหากจะต้องรับมือกับทั้งสองอย่างพร้อมกัน นับประสาอะไรกับผู้เข้าทดสอบที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 จนถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1!


วิ้งงงงง!


ยังไม่ทันที่พวกเขาจะพูดจบ ก็เกิดเสียงหึ่งเบาๆขึ้นกลางอากาศ พร้อมกับลำแสงเจิดจ้าเป็นประกายที่แผ่ไปทั่วทั้งท้องฟ้า


“ผู้เข้าทดสอบคนหนึ่งมาถึงฉนวนแล้วหรือ? แต่การทดสอบเพิ่งเริ่มได้ไม่นานเองนี่?”


ทุกคนชะงัก


พวกเขาคาดว่าคงต้องเฝ้ารออย่างน้อย 1 วัน แต่ดูเหมือนการรอคอยจะสั้นกว่าที่คิดไว้มาก


“สามารถถอดรหัสค่ายกลได้เร็วขนาดนี้ ผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งไม่น้อย เขาน่าจะเป็นหุ่นทดลองที่ดีสำหรับทดสอบประสิทธิภาพของฆ้องทองแดงของผม!” หมี่ชวนหัวเราะหึๆขณะกระโจนขึ้นไปกลางอากาศ


ฆ้องทองแดงขนาดยักษ์ลอยเข้าหาแสงสว่างที่เจิดจ้าเป็นประกาย บดบังดวงอาทิตย์ทั้งดวงไว้ในชั่วพริบตา


แต่ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย เสียงกึกก้องก็ดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ ฆ้องทองแดงร่วงลงมาทันที


นึกไม่ถึงว่าฆ้องทองแดงจะลอยกลับมาอย่างปุบปับ หมี่ชวนหรี่ตา เขารีบกระโจนขึ้นไปกลางอากาศเพื่อใช้พละกำลังพยุงฆ้องทองแดงไว้ แต่ก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าแรงโน้มถ่วงของโลกกำลังฉุดฆ้องทองแดงกลับสู่พื้น มันเป็นพละกำลังที่หนักหน่วงเกินกว่าตัวเขาจะต้านทานได้!


“เร็วเข้า ช่วยผมที!” หมี่ชวนตวาดก้องอย่างร้อนรนขณะที่ร่างของเขาถูกฉุดลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว


เมื่อรู้แล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆรีบโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อพยุงฆ้องทองแดงไว้ แต่ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับฆ้องทองแดง พละกำลังมหาศาลก็ฉุดพวกเขาอย่างกะทันหันจนร่างกายสั่นสะท้าน ทุกคนกระอักเลือดออกมา


ฟิ้วววววว!


ผู้เชี่ยวชาญทั้งกลุ่มร่วงลงสู่พื้นราวกับก้อนแป้ง


เคร้งงงงง!


สุดท้าย ฆ้องทองแดงก็ร่วงลงมากองกับพื้นพร้อมกับส่งเสียงดังสนั่น บรรดาผู้เชี่ยวชาญถูกทับอยู่ด้านล่าง ฆ้องทองแดงบดบังร่างของพวกเขาไว้มิด


ฟึ่บ!


หลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้น ร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศและเหลียวมองโดยรอบพร้อมกับขมวดคิ้ว


“พวกเขาบอกว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งรอเราอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่เห็นใครเลย?” จางเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาเดินตรงเข้าไปในสำนักแห่งขงจื๊อ


ตอนที่ 1885 ฟ่านเฉี่ยวฉูผู้เก่งกล้า (1)

ดูเหมือนกฎกติกามารยาทที่ระบุไว้บนตราหยกจะไม่เป็นไปตามนั้น


ตราหยกบอกไว้ว่านักเรียนใหม่จะได้การต้อนรับจากอาจารย์กลุ่มหนึ่งเมื่อมาถึงสำนักแห่งขงจื๊อ ในตอนนั้น เขาจะมีสิทธิ์เลือกอาจารย์ของตัวเอง แต่สิ่งที่มาต้อนรับเขาเมื่อเขามาถึงเป็นเพียงฆ้องทองแดงอันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น


“เรามาถึงเร็วเกินไปจนไม่มีใครเตรียมตัวทันหรือ?” จางเซวียนพึมพำ


แต่เขาก็ไม่คิดจะรอ จึงเดินหน้าต่อโดยไม่ลังเล


นี่เป็นครั้งแรกที่จางเซวียนได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ซึ่งตัวเขากำลังมึนงงกับการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์แห่งมิติและระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณ จึงไม่เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกฆ้องทองแดงทับไว้ แถมตอนนั้นเขาก็ไม่ได้กระทืบเท้าด้วยความรุนแรงอะไรมากมาย จึงนึกไม่ถึงว่าจะมีใครบาดเจ็บเพราะการกระทำนั้น


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงมองไม่เห็นผู้เชี่ยวชาญทั้งกลุ่ม


เหมือนช้างตัวหนึ่งที่ย่อมไม่รู้สึกถึงการดิ้นรนกระเสือกกระสนของมดเมื่อเหยียบย่ำลงไปบนตัวมัน!


ฟึ่บ!


ไม่นานหลังจากจางเซวียนหายลับไป จ้งฉิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าฆ้องทองแดง เขาเหลียวมองไปรอบๆด้วยสีหน้างุนงงสงสัย ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างพรั่นพรึง


เขารีบคว้าฆ้องทองแดงแล้วดึงมัน ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะขยับมันออกไปได้


ผู้เชี่ยวชาญทั้งกลุ่มถูกทับจนบี้แบนอยู่กับพื้น ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก


เห็นทุกคนเกือบจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ จ้งฉิงอุทาน “หมี่ชวน มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”


ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้คืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักแห่งขงจื๊อ พวกเขาควรจะได้สำแดงศักยภาพเพื่อดึงดูดใจบรรดานักเรียนใหม่ให้มาเป็นศิษย์ แต่ทำไมถึงลงเอยด้วยการถูกทับจนแบนแต๊ดแต๋อยู่ใต้ฆ้องทองแดงเหมือนปลาตายฝูงหนึ่ง?


“มีใครบางคนเพิ่งถอดรหัสฉนวนได้สำเร็จและเข้ามาที่นี่ใช่ไหม?” หมี่ชวนถามด้วยสีหน้าเหยเกเหมือนจะร้องไห้


“ใช่ เขาคือฟ่านเฉี่ยวฉูจากตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ” จ้งฉิงตอบก่อนจะพลันนึกบางอย่างได้ เขาตาโตด้วยความตกใจ “คุณกำลังจะบอกว่าเขาคือคนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้หรือ? เดี๋ยวก่อน…บอกผมทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่!”


หมี่ชวนตั้งต้นอธิบายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ผมนำฆ้องทองแดงของผมออกมา หวังว่าจะพบใครสักคนที่สามารถต้านทานมันได้เป็นระยะเวลาสิบอึดใจและมาเป็นศิษย์ของผม ดังนั้น เมื่อผมเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ จึงรีบนำฆ้องออกไปขวางทางเขา แต่ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะกระทืบมันอย่างแรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับตึกรามบ้านช่องแถวนี้ ทุกคน จึงทุ่มเทพละกำลังเพื่อยับยั้งมัน แต่…ก็นั่นแหละ คุณคงเห็นผลลัพธ์ด้วยตาตัวเองแล้ว!”


“เขาสอยฆ้องทองแดงกระเด็นไป…ขนาดพวกคุณมากมายรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครยับยั้งเขาได้สักคนเลยหรือ?” จ้งฉิงส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “ว่าแต่…มันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร? ฟ่านเฉี่ยวฉูเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดนะ!”


ฆ้องทองแดงเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่กลับกลายเป็นว่าการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวของฟ่านเฉี่ยวฉูก็ทรงพลังยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญ 12 คนรวมตัวกัน นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณจำนวนมากมายอย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?


“ไม่มีทางที่นักรบระดับเซียนขั้น 9 จะทรงพลังขนาดนั้น” หมี่ชวนตั้งข้อสังเกต “อันที่จริง ต่อให้นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ พละกำลังระดับนี้เป็นของนักปราชญ์โบราณเท่านั้น…”


เหล่านักปราชญ์โบราณมีเรี่ยวแรงมหาศาล ถึงขนาดที่ร่างกายของพวกเขาแทบจะแบกโลกไว้ทั้งใบ เท่าที่ดูจากความเร็วในการเคลื่อนไหวของฟ่านเฉี่ยวฉูเมื่อครู่ก่อน ถ้าร่างกายของเขาแบกรับน้ำหนักของนักปราชญ์โบราณไว้ เขาก็น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียว บางทีเขาอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าการกระทืบเท้าของตัวเองทรงพลังขนาดไหน


แต่ก็นั่นแหละ เรื่องหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือไม่มีทางที่นักรบระดับเซียนขั้น 9 จะมีพละกำลังขนาดนั้น!


ได้ยินคำนั้น จ้งฉิงขมวดคิ้ว “แต่ผมตรวจสอบฟ่านเฉี่ยวฉูแล้ว เขาเป็นสมาชิกในตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อจริงๆ ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับคนอื่นๆก็ยืนยันตัวตนของเขาได้ เขาจึงไม่น่าจะเป็นตัวปลอม อีกอย่าง ถ้านักปราชญ์โบราณบุกพรวดพราดเข้าไปในสำนักแห่งขงจื๊อ ค่ายกลใหญ่ของเราจะทำงาน แล้วเหล่านักปราชญ์โบราณที่อยู่ระหว่างการจำศีลก็จะฟื้นคืนสติขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…”


ไม่ต่างกับเหล่านักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ บรรดานักปราชญ์โบราณของสำนักแห่งขงจื๊อใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาไปกับการจำศีลเช่นกัน ต่อเมื่อมีใครบางคนที่มีพละกำลังทัดเทียมกับพวกเขาบุกเข้าไปเท่านั้น ถึงจะทำให้เหล่านักปราชญ์โบราณฟื้นตื่นจากการหลับไหลอันยาวนานได้


ข้อเท็จจริงที่ว่าทุกอย่างโดยรอบยังคงเงียบสงบก็เกินพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าไม่มีนักปราชญ์โบราณคนไหนผ่านปราการเข้ามาและบุกเข้าไปในพื้นที่


แต่…ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?


“ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของฟ่านเฉี่ยวฉูจะเป็นอะไร ก็รีบหาตัวเขาให้พบแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ!” รู้ดีว่าพวกเขาจะคลี่คลายปัญหาได้ก็ต่อเมื่อพบเจ้าตัวเท่านั้น หมี่ชวนรีบเก็บฆ้องทองแดงของเขาก่อนจะบินตรงไปยังตึกรามบ้านช่องที่รวมกลุ่มกันอยู่


จ้งฉิงกับคนอื่นๆตามไปติดๆ


ไม่ช้า พวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ที่จัตุรัส กำลังเกาหัวด้วยความงุนงง


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟ่านเฉี่ยวฉู


ฟึ่บ!


ทุกคนรีบร่อนลงกับพื้นและเข้าตีวงล้อมฟ่านเฉี่ยวฉูไว้


“พวกคุณคือ…” ฟ่านเฉี่ยวฉูมีสีหน้าสับสน ราวกับจะถามว่า ‘ผมมาทำอะไรที่นี่?’


“ตอนนี้คุณอยู่ที่สำนักแห่งขงจื๊อ คุณผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย ถอดรหัสค่ายกลได้ภายใน 1 อึดใจ แถมเอาชนะพละกำลังของพวกเราทุกคนได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากเข้ามาที่นี่…” ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา “บอกมาซิ คุณเป็นใครกันแน่?”


“ผมอยู่ที่สำนักแห่งขงจื๊อ? ผ่านการทดสอบ…ผมผ่านการทดสอบแล้วหรือ?” ฟ่านเฉี่ยวฉูผงะไป ข้อมูลที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้เขางงหนักกว่าเดิม “แถมผมยังเอาชนะพละกำลังของพวกคุณได้ด้วย? มันหมายความว่าอย่างไร?”


เห็นฟ่านเฉี่ยวฉูทำท่าราวกับสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่งคำราม “อย่ามัวแกล้งโง่อยู่เลย เดี๋ยวดูก็รู้ว่าพละกำลังที่แท้จริงของคุณมีแค่ไหน!”


เขาเคาะนิ้ว แล้วหนังสือเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันเปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยลำแสงออกมา


มันคือหนึ่งในบรรดาทรัพย์สมบัติล้ำค่าของสำนักแห่งขงจื๊อ, คัมภีร์สัจจะ


คัมภีร์นี้ใช้ตรวจสอบสายเลือดและระดับวรยุทธที่แท้จริงของคนๆหนึ่งได้ และไม่มีทางปกปิดหรือหลอกลวงได้เลย มันถูกรังสรรค์ขึ้นผ่านหลักการของดวงตาหยั่งรู้ของนักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง คัมภีร์เล่มนี้สามารถจับผิดการตบตาได้ทุกประเภท


วิ้งงงง!


เมื่อถูกโอบล้อมด้วยลำแสง กระแสพลังปราณของฟ่านเฉี่ยวฉู ความแข็งแกร่งของทางเดินพลังปราณ และทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาก็ถูกแสดงออกมาจนหมดสิ้น แม้แต่สีสันของสายเลือดและระดับวรยุทธก็ถูกเปิดเผยให้ทุกคนเห็นกับตา


“เขามาจากตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อจริงๆ และเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดอย่างแน่นอน!”


ได้ยินคำนั้น ทุกคนยิ่งสับสนงุนงงมากขึ้นอีก


ด้วยการตรวจสอบของคัมภีร์สัจจะ แน่นอนว่าการระบุตัวตนของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาด เขาคือฟ่านเฉี่ยวฉูจริงแท้แน่นอน!


แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดจะเอาชนะพละกำลังของพวกเขาจนถึงขั้นที่ทุกคนไม่อาจตอบโต้เลยได้อย่างไร? นักรบระดับเซียนขั้น 9 คนหนึ่งจะถอดรหัสค่ายกลแล้วเข้ามาที่นี่ได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งอึดใจหรือ? นักรบระดับเซียนขั้น 9 จะให้คำชี้แนะเพื่อนร่วมรุ่นของเขาและทำให้อีกฝ่ายเก่งกาจถึงขนาดกำจัดผู้เข้าทดสอบเป็นพันคนได้อย่างไรกัน?


“ขอผมทดสอบพละกำลังของคุณหน่อย!”


ขณะที่ทุกคนกำลังขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น จ้งฉิงก็ก้าวออกมา คราวนี้เขาลดระดับวรยุทธลงเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน แทนที่จะเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9


เพราะก่อนหน้านี้ แม้แต่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิวก็เล่นงานเขาได้ ในเมื่อฟ่านเฉี่ยวฉูเป็นผู้ให้คำชี้แนะสองคนนั้น การยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งก็น่าจะทำให้ตัวเขาควบคุมพละกำลังของตัวเองได้ดีขึ้น และคงไม่ได้รับบาดเจ็บอีก


ฟิ้วววว!


จ้งฉิงไม่เปิดโอกาสให้ฟ่านเฉี่ยวฉูไหวตัว เขาปล่อยพลังฝ่ามือใส่อีกฝ่ายอย่างหนักหน่วงราวกับพลังของดาวตกและกระแสน้ำเชี่ยวกราก แม้จะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว แต่พลังที่เขาสำแดงออกมาก็ยังทำให้ใครต่อใครหายใจถี่กระชั้นด้วยความระแวง และถอยกรูดไปโดยไม่รู้ตัว


ฟ่านเฉี่ยวฉูหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึงเมื่อเจอกับพลังระดับนี้ เขาตัวสั่นไม่หยุด


ความทรงจำของเขาคือตอนที่ตัวเองอยู่ที่ตีนเขา รอคอยให้การทดสอบเริ่ม แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้แล้ว แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมเพราะผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งถึงกับเปิดการโจมตีเขาโดยไม่บอกไม่กล่าว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


ฟ่านเฉี่ยวฉูรู้ว่าไม่มีเวลาให้ค้นหาคำตอบ เขาถอยกรูดไปอย่างรวดเร็ว


เขาดูออกในทันทีว่าพละกำลังของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับมือไหว หากไม่หลบ ก็อาจถูกเล่นงานจนบี้แบนเป็นเนื้อบดได้


ฟึ่บ!


แต่ยังไม่ทันที่ฟ่านเฉี่ยวฉูจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของเขาก็กระเด็นไป เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็กระเด็นไปไกลถึง 800 เมตร ราวกับถูกส่งทะลุมิติ


บึ้มมมม!


การโจมตีของจ้งฉิงปะทะกับพื้นดิน เกิดเป็นหลุมยุบที่ใจกลางจัตุรัส


นึกไม่ถึงว่าตัวเขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขนาดนั้น ฟ่านเฉี่ยวฉูถึงกับผงะ “มะ-มันเกิดอะไรขึ้น?”


เขายืนโงนเงน และด้วยความที่ทรงตัวได้ไม่มั่นคง จึงล้มลงก้นกระแทกพื้น


เขาเคยคิดว่าจะถอยเพียงก้าวเดียว และภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คงน่าทึ่งเต็มทีหากถอยไปได้ถึง 10 เมตร แต่เขากลับถอยได้จริงถึง 800 เมตรในก้าวเดียว…ทำได้อย่างไรกัน?


เราอยู่ที่ไหน? เราเป็นใคร?


ฟ่านเฉี่ยวฉูงุนงงสงสัย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)