อัจฉริยะสมองเพชร 1878-1879

 ตอนที่ 1878 สร้างโอกาส

“ผมเข้าใจแล้ว!”


เห็นฟ่านเฉี่ยวชิงถูกเล่นงานจนถึงจุดที่จังงังไปอย่างสิ้นเชิง บางทีอาจจะลืมชื่อของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตาโตขณะพยักหน้าอย่างตื่นเต้น


เฉี่ยวฉูช่างเป็นคนน่าทึ่งจริงๆ เขามองทะลุถึงแก่นของเรื่องนี้ได้ในทันที


ถ้าเป็นตัวเขา ไม่เพียงแต่การโจมตีจะพลาดเป้า อีกฝ่ายยังอาจใช้โอกาสนี้พลิกสถานการณ์กลับมาเล่นงานเขาได้ด้วย แต่ด้วยการใช้หมัดเพียง 2-3 หมัด หมอนั่นก็หมดสภาพไปอย่างสิ้นเชิง เกิดเป็นผลการต่อสู้ที่ชัดเจน


แม้จะยังต้องใช้อีก 2-3 กระบวนท่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ากันมาก บางทีอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะจบการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ!


“คุณคิดว่าเพียงเพราะเขาถูกเล่นงานที่ใบหน้าอย่างจังติดต่อกันหลายครั้ง จึงไม่มีทางตอบโต้ได้ใช่ไหม?” ฟ่านเฉียวฉู่ตั้งคำถาม


“ฮะ? เกิดเหตุแบบนั้นแล้ว ยังจะกลับมาสู้ได้ด้วยหรือ? ผมเกรงว่าผมไม่รู้จริงๆว่าจะรับมือกับสถานการณ์แบบนั้นอย่างไร” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบอย่างละอายใจ


ถ้าเขาเป็นฟ่านเฉี่ยวฉิง หมัดเหล่านั้นคงเล่นงานเขาจนราบคาบ จิตใจของเขาคงปั่นป่วนจนอาจถึงกับพ่ายแพ้การต่อสู้


จะเล่นงานใครก็ต้องไม่ใช่ที่ใบหน้า…นี่เป็นคำพูดที่รู้กันโดยทั่วไป การที่ใครคนหนึ่งถูกโจมตีเข้าที่ใบหน้าถือเป็นการดูถูกกันอย่างใหญ่หลวง


“สถานการณ์ที่คุณไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรนั้นมักมีโอกาสดีๆอยู่มากมายที่จะพลิกผันเหตุการณ์ได้ ในเมื่อศัตรูเอาแต่โจมตีใบหน้าของเขา พวกนั้นก็น่าจะเปิดจุดอ่อนอื่นๆไว้ อย่างเช่นหน้าอกหรือหว่างขา” จางเซวียนพูด


“เอ่อ…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตาโตเมื่อนึกได้ “จริงด้วย! ในการสู้รบ ศีรษะเป็นพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างดีที่สุด หากจะเล่นงานศีรษะให้โดนจังๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะต้องเข้าใกล้เพื่อเปิดการโจมตี ในช่วงเวลาแบบนี้ การตอบโต้กลับที่จุดอื่นอาจให้ผลที่คาดไม่ถึงได้เลยทีเดียว!”


พลั่ก! ตุ้บ!


ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดกัน ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ยังถูกโจมตีที่ศีรษะต่อไป เขาแทบจะเห็นดาวหมุนอยู่รอบตัว


“คงหวังพึ่งพาเจ้างี่เง่า 2 ตัวนั้นให้ช่วยเราไม่ได้…” เห็นทั้งคู่ยังเมามันกับการถกเถียงหารือ ไม่แสดงอาการว่าอยากช่วยเหลือเขาสักนิด ฟ่านเฉี่ยวชิงปาดน้ำตา


เขาเคยคิดว่าเมื่อทั้งคู่มาถึง ตัวเขาคงปลอดภัย แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก


ซึ่งก็เป็นอย่างที่พูด ตรรกะที่คู่ต่อสู้ใช้เป็นแบบเดียวกัน เจ้าพวกนั้นเมามันกับการเล่นงานใบหน้าของเขา จึงคลายการคุ้มกันบริเวณอื่นลงโดยไม่ได้ตั้งใจ


“เราไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู!” เมื่อต้องเจ็บปวดจากอีกหนึ่งหมัด ฟ่านเฉี่ยวชิงกัดฟันแล้วเตะเสยออกไป


พลั่ก!


เขาเล่นงานหว่างขาของอีกฝ่ายได้ หมอนั่นทรุดตัวลงไปงอหงิกอยู่กับพื้นราวกับกุ้ง


“เราทำสำเร็จหรือนี่?” เมื่อเห็นว่าตัวเองเล่นงานศัตรูคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ฟ่านเฉี่ยวชิงพลันเกิดความมั่นใจขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นถี่รัว


จริงอยู่ว่าเจ้าสองคนนั่นเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจไม่ได้ แต่การวิเคราะห์ของทั้งคู่ถือว่าตรงประเด็น


ขณะที่ปัดป้องการโจมตีของศัตรูอีก 3 คนที่เหลือโดยใช้พลังปราณ ฟ่านเฉี่ยวชิงก็เงี่ยหูฟังการวิเคราะห์นั้นอย่างตั้งใจ


ในเวลานั้น ทั้งคู่ยังคงหารือกันอยู่


“ทั้ง 4 ผนึกกำลังกันอย่างดี และนักรบที่ฟ่านเฉี่ยวชิงเพิ่งเตะไปก็ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม การหมดสภาพไปอย่างกะทันหันของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนในกลุ่มนักรบที่เหลือขณะที่พวกเขาพยายามจะคงสภาพของค่ายกลผนึกกำลังเอาไว้ ถ้าผมเป็นเขา ผมจะใช้เพลงหมัดชิงผิงผนวกกับ แนวคิดเรื่องน้ำไหลของตระกูลของเราเพื่อตัดกำลังของพวกนั้น!”


“การใช้เพลงหมัดชิงผิงผนวกกับแนวคิดน้ำไหลเป็นความคิดที่ดี แต่กุญแจอยู่ที่การเล่นงาน ชายเสื้อคลุมสีเทาซึ่งกุมบทบาทสำคัญในค่ายกลผนึกกำลัง หากเขายังอยู่ ค่ายกลก็ยังคงเป็นอันตราย ไม่ว่ากระบวนท่าของคุณจะว่องไวและยืดหยุ่นขนาดไหน ก็ยากที่จะเอาชนะทั้ง 3 ได้หากพวกเขายังคงผนึกกำลังกันอย่างแน่นหนา”


“คุณพูดถูก ว่าแต่เราจะรับมือกับชายเสื้อคลุมสีเทาคนนั้นอย่างไร?”


“ง่ายนิดเดียว ใช้ย่างก้าวทานตะวันเพื่อถอยหลังไปก่อนจะแทงนิ้วไปทางซ้ายในระยะ 3 นิ้ว ชายเสื้อคลุมสีเทาจะตอบโต้ ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่เราจะเล่นงานเขาได้!”


…..


“เราต้องลองดู!”


ฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ค่อยอยากเชื่อว่ากระบวนท่าแบบนั้นจะล่อลวงให้ชายเสื้อคลุมสีเทาเปิดการโจมตีได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จึงกัดฟันกรอดแล้วสำแดงกระบวนท่าย่างก้าวทานตะวันเพื่อถอยไป 2 เมตร จากนั้นก็ใช้นิ้วของเขาแทนดาบแล้วจ้วงแทงออกไปด้วยพละกำลังหนักหน่วง


ด้วยธรรมชาติของค่ายกลผนึกกำลัง การล่าถอยของฟ่านเฉี่ยวชิงทำให้ทั้ง 3 ต้องบังคับค่ายกลให้พุ่งตรงไปยังทิศทางของเขา ชายเสื้อคลุมสีเทาที่ตรึงกำลังค่ายกลอยู่ลงเอยด้วยการถูกลากตัวไป ทำให้เขาเข้าสู่แนวของการโจมตีโดยใช้นิ้วที่ฟ่านเฉี่ยวชิงสำแดงกระบวนท่าไว้


กระแสดาบฉีปะทะกับตราหยกของชายเสื้อคลุมสีเทาอย่างจัง


ฟึ่บ!


ด้วยสีหน้าที่แทบไม่อยากเชื่อ ชายเสื้อคลุมสีเทาถูกโอบล้อมด้วยการระเบิดของลำแสง ก่อนจะหายวับไป


“ได้ผลหรือนี่?” ฟ่านเฉี่ยวชิงถึงกับผงะ


เขาเคยคิดว่าเจ้าสองคนนั่นแค่พล่ามเรื่องไร้สาระที่ปฏิบัติจริงไม่ได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าข้อเสนอของทั้งคู่ใช้การได้จริง? เมื่อกำจัดศัตรูไปได้ถึง 2 คนอย่างง่ายดาย หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้น


ตอนนี้ ฟ่านเฉี่ยวชิงรู้สึกได้ว่าการหารือที่เคยเกิดขึ้นอย่างเปิดเผยเมื่อครู่ก่อนได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการใช้พลังปราณแล้ว ซึ่งหมายความว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะไม่อาจได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นอีก


ดูเหมือนสองคนนั้นไม่ได้คิดจะทอดทิ้งเขา แต่คาดหวังให้เขาเอาชนะการสู้รบครั้งนี้ให้ได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง


แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสงสัยข้อหนึ่ง เพราะทั้งสองไม่น่าจะแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก แล้วจู่ๆจะมาเสนอรูปแบบการโจมตีที่น่าทึ่งออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร?


เพียงแค่คำชี้แนะนำง่ายๆของทั้งคู่ก็ทำให้เขาได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย


หรือผู้สังเกตการณ์จะมีมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นโดยตรง?


รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาจะมัวคิดมาก ฟ่านเฉี่ยวชิงเงี่ยหูฟังสิ่งที่ทั้งสองพูดกันเพื่อจับใจความอย่างถี่ถ้วน


เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นต่อเนื่อง


“ในเมื่อค่ายกลผนึกกำลังของพวกเขาถูกทำลายแล้ว เราควรพุ่งเป้าการโจมตีไปที่ใครคนหนึ่งเพื่อเล่นงานเขาให้พ่ายแพ้ราบคาบก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายหรือไม่?”


“แน่นอนว่าไม่! แม้อันตรายของค่ายกลผนึกกำลังจะคลี่คลายไปแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอีกต่อไปก็หมายความว่าคู่ต่อสู้อีก 2 คนที่เหลือจะต้องหวาดระแวงคุณมากกว่าเดิม ถ้าคุณโจมตีหนึ่งในนั้น อีกคนก็จะต้องหาโอกาสเล่นงานจุดอ่อนของคุณ สิ่งที่คุณควรทำตอนนี้คือตั้งตัวให้มั่นและให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว!”


“ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว?”


เพราะเขารู้สึกว่าการหารือของสองคนนั้นมีเหตุมีผลดี ก่อนหน้านี้เขาจึงทำตาม แต่ตอนนี้ ฟ่านเฉี่ยวชิงอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้


ต่อให้ไม่มีค่ายกลผนึกกำลัง เขาก็ไม่อาจรับมือกับการโจมตีของคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังทั้งสองคนนั้นได้พร้อมกันได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเล่นงานทั้งคู่ เพราะฉะนั้น เขาควรใช้โอกาสคราวนี้เล่นงานทั้งคู่เสียเลย ถ้ามัวแต่ป้องกันตัวอยู่ ไม่ช้าไม่นาน เรี่ยวแรงของเขาก็คงหมดเกลี้ยง


“เราไม่จำเป็นต้องทำตามที่พวกนั้นพูด เจ้าสองคนนั่นอาจไม่ถูกเสมอไปก็ได้…” เมื่อหวนคิดขึ้นมาว่าทั้งคู่ไม่ยอมเข้ามาช่วยเขา แต่เลือกที่จะยืนดูอยู่ข้างๆ ฟ่านเฉี่ยวชิงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห


เขาคำราม จากนั้นก็เงื้อฝ่ามือขึ้นและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ 1 ใน 2 คนนั้น


ฟ่านเสี่ยวชิงรวบรวมพลังปราณทั้งหมดของเขาเข้าสู่ฝ่ามือ ขณะที่กำลังจะเล่นงานคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความพรั่นพรึงขณะหรี่ตาอย่างตกตะลึง


อยู่ดีๆ เท้าข้างหนึ่งก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าเขา


พลั่ก!


เขาถูกเล่นงานจุดสำคัญ ทำให้กระเด็นไปไกล ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการเตะนั้นแทบทำให้เขาสลบ


“เฉียวฉู่ คุณพูดถูก! เขาพุ่งเป้าการโจมตีไปที่คู่ต่อสู้คนหนึ่ง และนั่นทำให้คู่ต่อสู้อีกคนจับจุดอ่อนของเขาได้!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงอุทานด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าการวิคราะห์ของฟ่านเฉียวฉู่เป็นความจริง


“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเขาตัดสินใจที่จะป้องกันตัวต่อไป ไม่ช้าไม่นาน 2 คนนั้นจะต้องปั่นป่วน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เพิ่งเห็นเพื่อนร่วมทีม 2 คนถูกกำจัดไปหมาดๆ ทั้งยังสูญเสียการรักษาความปลอดภัยจากค่ายกลผนึกกำลังด้วย ในช่วงเวลาแบบนี้ ทั้งคู่จะร้อนอกร้อนใจเกินกว่าจะเล่นงานเขาให้พ่ายแพ้ได้ ถ้าเขารออีกสัก 3 กระบวนท่า ความตื่นตระหนกของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหลายเท่า ทำให้การสำแดงกระบวนท่าใดๆก็ตามของอีกฝ่ายเพื่อจบการต่อสู้มีความเสี่ยงมากกว่าเดิม นั่นจะเป็นโอกาสดีสำหรับการโจมตี…เรื่องนี้ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ฟ่านเฉียวฉู่พูด


“การต่อสู้คือการฉกฉวยเวลาและแสวงหาโอกาส ถ้าไม่มีโอกาสอยู่ในนั้น คุณก็ต้องสร้างมันขึ้นเอง!”


“ใช่ คุณพูดถูก” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น


“การฉกฉวยเวลาและแสวงหาโอกาส…” ฟ่านเฉี่ยวฉิงระงับความเจ็บปวด จากนั้นก็พยายามลุกขึ้นยืนและสร้างเกราะป้องกันตัวอีกครั้ง


เห็นฟ่านเฉี่ยวชิงลุกขึ้นยืนได้ คู่ต่อสู้ทั้ง 2 ชะงักด้วยความประหลาดใจ ความหวาดกลัวและวิตกกังวลฉายชัดอยู่บนสีหน้าของพวกเขา หนึ่งในนั้นพุ่งเข้าใส่และคำรามกร้าว


การออกตัวของเขาอาจดูหุนหันพลันแล่น แต่อันที่จริงเขากำลังพยายามเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่ง


เพราะเข้าใจตรรกะนี้ คราวนี้ฟ่านเฉี่ยวชิงจึงรู้ดีเกินกว่าจะเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม เขารวบรวมพละกำลังและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้คนที่ 2


ในเวลาเดียวกัน คู่ต่อสู้คนที่ 2 ก็รับรู้ได้ถึงจุดอ่อนที่คู่ต่อสู้คนแรกเปิดให้ฟ่านเฉี่ยวชิงเห็น ซึ่งเขาก็ตั้งใจจะเคลื่อนไหวเพื่อปกปิดจุดอ่อนนั้น แต่แล้วก็นึกไม่ถึงว่าฟ่านเฉี่ยวชิงจะไม่ยอมตกหลุมพรางและหันมาโจมตีเขาแทน เขาถูกเล่นงานทันทีจนเลือดพุ่งออกจากจมูก


“ได้ผลนี่!” เห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ฟ่านเฉี่ยวฉิงน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ


เจ้าบ้า 2 คนนั่น…ไม่ได้ทอดทิ้งเขา!


ตอนที่ 1879 แมลงกระจอกงอกง่อยควรหลบไป

“อือ” เห็นฟ่านเฉี่ยวชิงเข้าใจเจตนาเบื้องหลังบทสนทนาของพวกเขา จางเซวียนพยักหน้ารับ


ในเมื่อเขายืมตัวตนของฟ่านเฉี่ยวฉูมาใช้ ก็ควรมอบบางอย่างกลับคืนให้กับเชื้อสายของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อเป็นการชดเชย ด้วยคำชี้แนะธรรมดาทั่วไปที่เขามอบให้อีกฝ่ายและการฝึกนิสัยการตอบโต้ ทั้งสองก็จะยังพัฒนาตัวเองต่อไปได้แม้เขาจะจากไปแล้ว


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


หลังจากเล่นงานคู่ต่อสู้ทั้งสองคนและกำจัดหนึ่งในนั้นไปได้แล้ว ก็เหลืออีกเพียงคนเดียว ซึ่งฟ่านเฉี่ยวชิงก็ใช้เวลาไม่นานในการเล่นงานอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้


หลังจากหักตราหยกของคนเหล่านั้น เขาก็กระทืบเท้าตรงเข้าหาฟ่านเฉี่ยวฉูกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง ตั้งใจจะต่อว่าทั้งคู่ที่เอาแต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลือกที่จะประสานมือและโค้งคำนับให้ “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะเมื่อครู่นี้ของคุณ!”


จางเซวียนโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย


อีกฝ่ายจะสำนึกในบุญคุณของเขาหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาแค่ทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้องเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่คนอย่างเขาเป็นมาตลอด…ยึดมั่นในหลักการ นอบน้อม และถ่อมเนื้อถ่อมตัว


“เมื่อครู่นี้ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน เพียงแค่เฝ้าดู…พวกคุณมองเห็นข้อบกพร่องและหาวิธีการตอบโต้ได้อย่างไร?” ฟ่านเฉี่ยวชิงตั้งคำถามด้วยความสงสัย


เขามีระดับวรยุทธพอๆกันกับฟ่านเฉี่ยวฉูและฟ่านเฉี่ยวเฟิง แต่ทำไมเขาถึงคิดอะไรไม่ออกเลย ขณะที่คำชี้แนะของอีกฝ่ายมีค่าราวกับทองคำ


อย่างกับพวกเขาอ่านใจคนอื่นได้!


“เฉี่ยวฉูเป็นคนสอนผมเรื่องนี้!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบอย่างตื่นเต้น “ในการสู้รบ เราจะต้องสำรวจคู่ต่อสู้อย่างถี่ถ้วนและหาแรงจูงใจของเขาให้ได้ เพื่อคาดเดากระบวนท่าที่อีกฝ่ายจะสำแดงออกมา…”


หลังจากนั้น เขาก็สาธยายอย่างละเอียดยืดยาว


เมื่อฟังจบ ฟ่านเฉี่ยวชิงอัศจรรย์ใจจนพูดไม่ออก


เขาไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน และมันก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำสอนภายในตระกูลของพวกเขาด้วย…แล้วฟ่านเฉี่ยวฉูรู้ทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?


“การฝึกฝนวรยุทธไม่ใช่การหลับหูหลับตาใช้ความพากเพียร ต้องมีการวิเคราะห์และประเมินผลด้วย…” เห็นความข้องใจในดวงตาของฟ่านเฉี่ยวชิง จางเซวียนอธิบาย


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็หันขวับไปด้านข้าง


ฟิ้วววว!


มีลมพัดมาหอบใหญ่ จากนั้นนักรบ 3 กลุ่มก็กรูเข้ามาจากทุกทิศทาง


แต่ละกลุ่มมีสมาชิก 4 คน รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็มีทั้งหมด 12 คน พวกเขามาจากสามทิศทางที่ต่างกันไป สกัดกั้นหนทางหลบหนีของจางเซวียนกับพรรคพวกเอาไว้ทั้งหมด


“คนพวกนี้แหละ…พวกเขาคือผู้ที่กำจัดผู้เข้าแข่งขันมากมายมาตลอดทาง ถ้าเราไม่รวมตัวกันเพื่อเล่นงานพวกเขา ไม่ช้าไม่นานคนเหล่านี้ก็จะกำจัดเราด้วย!” หนึ่งในหัวหน้าทีมคำราม


หัวหน้าทีมคนนี้มีร่างกายสูงใหญ่ น้ำเสียงก้องกังวานราวกับโลหะกระทบกัน


“ฮ่า ผมว่าเราต้องขอบคุณพวกเขานะที่กำจัดผู้เข้าทดสอบไปมากมายแทนเรา!” หัวหน้าทีมอีกคนหนึ่งพูดยิ้มๆ เขาหันไปพูดกับจางเซวียน “เบาได้เบานะสหาย ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าคุณน่ะแข็งแกร่ง แต่ในการต่อสู้แบบนี้ การรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะอยู่เฉยๆน่ะถือว่าจำเป็นมาก!”


“คุณกำลังท้าทายพวกเราหรือ?”


ยังไม่ทันที่ฟ่านเฉี่ยวชิงจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ก้าวออกมาพร้อมส่งรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกคุณทุกคนน่ะรุมเราได้เลย!”


ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา พวกเขากำจัดผู้เข้าทดสอบไปอย่างน้อยก็ 70 คนแล้ว เป็นไปได้ว่าผลการทดสอบของพวกเขาน่าจะอยู่ลำดับต้นๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสะดุดตาทีมอื่นๆ


ถึงอย่างไรมันก็เป็นยุทธวิธีทั่วไปสำหรับนักรบที่อ่อนแอที่จะรวมตัวกันเพื่อกำจัดภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดในการแข่งขัน


ด้วยความสำเร็จสูงส่งของพวกเขา ไม่ช้าไม่นานแต่ละทีมก็จะต้องรวมตัวกันเพื่อพยายามกำจัดพวกเขาออกไปให้พ้นทาง


ซึ่งถ้าพวกนั้นทำสำเร็จ ผลการทดสอบก็จะขยับขึ้นไป ทำให้พวกเขาได้ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่ง


“เฉี่ยวเฟิง…” นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะบุ่มบ่ามถึงขนาดไปยั่วยุ 3 ทีมนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงหน้าเขียวด้วยความพรั่นพรึง


ตรงหน้าพวกเขาคือนักรบถึง 12 คน! หากต้องเผชิญกับกองกำลังมากมายขนาดนี้ พวกเขาคงถูกเล่นงานในชั่วพริบตา กล้ายั่วยุคนเหล่านั้นในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย


รุมเราได้เลยงั้นหรือ? รุมบ้านคุณน่ะสิ!


ผมเพิ่งสู้เสร็จไปหมาดๆ ลืมตาแทบจะไม่ขึ้นอยู่แล้ว ผมคงตายแน่หากต้องสู้กับคน 12 คนตอนนี้!


“คุณอยากสู้กับพวกเราพร้อมๆกันหรือ? เจ้าหนุ่ม, หยิ่งผยองเหลือเกินนะ?” ชายร่างสูงใหญ่คำราม “ในเมื่อคุณเรียกร้อง อย่าหาว่าพวกเราโหดร้ายก็แล้วกัน จัดการ!”


เห็นได้ชัดว่าทั้งกลุ่มเตรียมการกันมาอย่างดีก่อนจะมาเผชิญหน้ากับพวกเขา ขณะที่ชายร่างสูงใหญ่พูด ทั้งกลุ่มก็ย่างสามขุมเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่าจะปิดทางหลบหนีของอีกฝ่ายไว้ได้ทั้งหมด


“เฉี่ยวฉู…”


แม้จะมีข้อเสียเปรียบมากมาย ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ดูไม่กังวลใจแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น เขาหันไปมองฟ่านเฉี่ยวฉู และเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ


จากนั้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็กู่ร้องอย่างลำพองใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้


“เฉี่ยวเฟิง อย่าบุ่มบ่าม!” ฟ่านเฉี่ยวชิงตัวเย็นเฉียบ


พวกนั้นมีกัน 12 คน และไม่มีสักคนที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าพวกเขา การพรวดพราดเข้าไปอย่างนั้นไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย!


“เฉี่ยวฉู เราต้องวางแผนช่วยเฉี่ยวเฟิงแล้วหลบหนีนะ!” ฟ่านเฉี่ยวชิงหันไปเร่งจางเซวียนด้วยความตื่นตระหนก


“หลบหนี? ไม่ต้องหรอก ทำใจร่มๆน่ะแล้วดูว่าเฉี่ยวเฟิงจะทำอะไรได้บ้าง” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า


เขาเพิ่งปรับสภาวะจิตของฟ่านเฉี่ยวเฟิงไปเมื่อครู่ก่อน ถ้ามาสนับสนุนให้หลบหนีตอนนี้ ความมั่นใจที่อีกฝ่ายสั่งสมมามิแหลกสลายไปหมดหรือ?


ในฐานะครูบาอาจารย์ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น!


“แต่พวกเราจะตายกันหมดนะ!”


ฟ่านเฉี่ยวชิงไม่คิดว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะบ้าบิ่นพอๆกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง ขณะที่เขากำลังสับสนวุ่นวายใจว่าควรทำอย่างไร ก็เห็นชายร่างสูงใหญ่คนนั้นพุ่งเข้าปะทะฟ่านเฉี่ยวฉู


ฟึ่บ!


ด้วยการกรีดนิ้วเป็นรูปพัด ชายร่างสูงใหญ่ปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าใส่ศีรษะของฟ่านเฉี่ยวฉู เหมือนกับจะคร่าชีวิตของเขา


หากพิจารณาจากรังสี ชายร่างสูงใหญ่ไม่ต่างอะไรกับนักรบระดับเซียนขั้น 9 ทั่วไป แต่เมื่อเขาขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัด ก็ดูเหมือนว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคือนักรบขั้นกึ่งการพักฟื้นภายใน!


“จบเห่…” ฟ่านเฉี่ยวชิงหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง


เหตุผลที่เขาเล่นงานคู่ต่อสู้ทั้ง 4 ได้ก่อนหน้านี้ก็เพราะคนเหล่านั้นมีระดับวรยุทธต่ำกว่าเขา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถูกซ้อมยับเยิน


แต่เวลานี้ ด้วยพละกำลังอันน่าสะพรึงของชายร่างสูงใหญ่และนักรบอีกมากมายที่จับจ้องอย่างกระหายเลือดอยู่โดยรอบ ก็ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเขาคงจบเห่แล้วจริงๆ…


ด้วยความสิ้นหวัง ฟ่านเฉี่ยวชิงเริ่มคิดว่าเขาควรจะไปนั่งทุกข์ระทมอยู่ที่ไหนหลังจากที่ถูกคัดออกจากการทดสอบ แต่ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฟ่านเฉี่ยวฉูย่นหน้าผากเล็กน้อย และแทนที่จะหลบ เขาก็กลับเงื้อมือขึ้น


พลั่ก!


ก่อนที่พลังจากฝ่ามือของชายร่างสูงใหญ่จะถึงตัวฟ่านเฉี่ยวฉู ฝ่ามือของฟ่านเฉี่ยวฉูก็ตบหน้าอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง


แรงตบนั้นหนักหน่วงเสียจนชายร่างสูงใหญ่หมุนคว้างไป 2 ตลบก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้น


“คุณ…”


ชายร่างสูงใหญ่ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะหน้าถอดสีด้วยความโมโห เขาพุ่งเข้าใส่จางเซวียนอีกครั้ง


ผัวะ!


ฝ่ามือข้างหนึ่งตบผัวะเข้าที่ใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขา เขาหมุนคว้างไป 2 รอบก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง


“แมลงกระจอกงอกง่อยอย่างคุณควรหลบไป! อย่ามาวุ่นวายตรงนี้!” จางเซวียนคำราม


“ผม…”


ชายร่างสูงใหญ่อยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อเรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมาบ้าง แต่เมื่อนึกถึงแรงตบทั้งสองครั้งที่เพิ่งเจอ ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที คำพูดต่างๆนานาติดอยู่ในลำคอ


เขาเป็นแมลงกระจอกงอกง่อยที่ไม่คู่ควรกับการโจมตีของอีกฝ่ายหรือ?


เขาหันไปมองฟ่านเฉี่ยวเฟิง และเห็นชาย 4 คนกองระเกะระกะอยู่กับพื้น แม้ระดับวรยุทธของฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะอ่อนด้อยกว่าเขา แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง กระบวนท่าของอีกฝ่ายจัดว่ารับมือด้วยได้ยากมาก ราวกับเป็นหมาป่าที่กระโจนเข้าสู่ฝูงแกะ ไม่มีใครต้านทานการตอบโต้ของเขาได้เกิน 3 กระบวนท่าเลย!


“อะ-เอาเถอะ ผมจะไปสู้กับเขา…”


ชายร่างสูงใหญ่หันกลับไปพุ่งเข้าใส่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงโดยไม่รีรอ


“….” ฟ่านเฉี่ยวชิงตกตะลึงเสียจนลูกตาแทบจะร่วงลงไปอยู่กับพื้น


ใครบอกเราได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?


เพียงชั่วโมงเดียวที่แยกจากกัน เฉี่ยวฉูกับเฉี่ยวเฟิงพิลึกพิลั่นไปถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? นี่เราฝันไปหรือเปล่า?


ฟ่านเฉี่ยวชิงถึงกับจังงัง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)