กระบี่จงมา 187.2-190
บทที่ 187.2 เหล่าผู้เฒ่าในวันปีใหม่
โดย
ProjectZyphon
พอเข้าประตูมาแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าเมื่ออยู่ในยุทธภพ เวลาจะกุมมือคารวะใคร จำไว้ว่าผู้ชายต้องใช้มือซ้ายทับมือขวา นี่เรียกว่าคารวะแบบมงคล แต่ถ้ากลับกันจะเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามดวงซวยได้ง่ายๆ”
เฉินผิงอันหันขวับมามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ใส่ใจนัก “ความพิถีพิถันพวกนี้ แค่จำไว้ในใจก็พอแล้ว”
ในบ้านมีม้านั่งเล็กอยู่แค่สามตัว เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงรีบลุกขึ้น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่ได้รีบร้อนนั่งลง ยังเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มาเยี่ยมถึงบ้านในวันแรกของปีใหม่ ถ้ามามือเปล่าก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ งั้นก็มอบของเล่นสองชิ้นนี้แล้วกัน”
เขายื่นมือออกมาจึงเห็นว่ากลางฝ่ามือมีแผ่นหยกไร้ตัวอักษรสองชิ้นวางทับซ้อนกันอยู่ แต่สี่มุมของแผ่นหยกกลับสลักลายเมฆาคล้อยที่มีเฉพาะในสกุลซ่งราชวงศ์ต้าหลี “พวกมันมีชื่อว่าป้ายสงบสุขไร้กังวล เวลาปกติสามารถเอามาห้อยไว้ที่เอว ถือว่าพอจะมีประโยชน์สำหรับพวกเจ้าสองคนที่ในอนาคตจะมาอาศัยที่นี่อยู่บ้าง และถ้าจะเดินทางไกล โดยอยู่ในอาณาเขตของต้าหลีก็จะยิ่งสะดวกสบาย”
เด็กชายชุดเขียวอยากได้มาก เพราะเขารู้ถึงความล้ำค่าของวัตถุชิ้นนี้
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่รู้ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ ได้แต่มองไปทางเฉินผิงอัน จะรับหรือไม่ ต้องดูที่ความต้องการของนายท่าน
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้าให้ “รับไว้เถอะ”
หลังจากเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรับมาแล้วก็หันไปโค้งตัวขอบคุณผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มมอบของขวัญพบหน้าเรียบร้อยแล้วก็บอกลาจากไปทันที
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะรั้งอีกฝ่ายไว้อย่างไร จึงได้แต่เดินไปส่งที่หน้าประตูบ้าน
ทางฝ่ายของบ้านเก่าตระกูลเฉา เศรษฐีผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างบ่อน้ำในบ้าน บนปากเพดานที่เปิดโล่งของตัวบ้านมีจิ้งจอกสีแดงตัวหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนเฉาจวิ้นนั้นนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ปรายตามองบรรพบุรุษตระกูลตัวเอง แม้แต่จะเอ่ยทักทายสักคำเขายังคร้านจะทำ
พอผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเดินเข้ามาแล้ว ผู้เฒ่าก็ถามยิ้มๆ “เจ้าสนิทสนมกับเด็กหนุ่มผู้นั้นรึ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มตอบ “ด้วยตบะและฐานะของผู้เฒ่าเฉา ยังต้องลงมือกับเด็กหนุ่มในตรอกทรุดโทรมคนหนึ่งด้วยหรือ?”
เฉาซีหัวเราะฮ่าๆ “ก็แค่จะลงโทษนิดหน่อยเท่านั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยให้ไออัปมงคลล้อมวนอยู่รอบบ้านตลอดทั้งปี ไม่นับเป็นอะไรได้ ต่อให้เป็นแค่คนธรรมดา แต่ถ้าที่มีร่มเงาบรรพบุรุษปกป้องมากหน่อย มีธาตุหยางพลุ่งพล่านสักหน่อยก็ยังรับได้ไหว อีกอย่างเจ้าเองก็ช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นขจัดภัยไปอย่างลับๆ แล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
เรื่องราวบนโลกก็น่าขันเช่นนี้ เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน เซี่ยสือนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา มีชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายทวีปใหญ่ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาดของปรมาจารย์ การที่เขาโดดเด่นขึ้นมาในอุตรกุรุทวีปที่ซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่กลาดเกลื่อน ลัทธิเต๋าเสื่อมโทรมลง มีหวังว่าจะได้กลายเป็นเทพสวรรค์ที่มีน้ำหนักมากพอคนหนึ่ง ต่อให้เป็นนักพรตผู้เป็นศัตรูของเซี่ยสือเองก็ยังเลื่อมใสเขาจากใจจริง กลับมามองเฉาซีผู้มีนิสัยประหลาด ชื่อเสียงฉาวโฉ่มาโดยตลอด ต่างก็พูดกันว่าคนผู้นี้ใจจืดใจดำ ไม่สำนึกบุญคุณคน เพียงแค่มีโชควาสนาดีเยี่ยม ถึงได้เดินขึ้นสู่ที่สูงมาตลอดทางอย่างที่ใครก็ขัดขวางไว้ไม่อยู่
ทว่าตอนนี้เฉาซีเซียนกระบี่ที่เป็นพวกนอกรีตกลับเลือกที่จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับต้าหลี แต่เซี่ยสือกลับทำเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีเกียรตินัก
เฉาจวิ้นลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ พูดว่า “ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ อยู่ในยุทธภพของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาหลายปี ชื่อเสียงโด่งดังมาก ได้รับสมญานามว่าเป็นเจียวหลงแห่งโลกมนุษย์ ข้ารู้สึกว่าการที่เว่ยจิ้นแห่งแจกันสมบัติทวีปมักจะหมกตัวอยู่ในยุทธภพ ไม่ชอบอยู่บนภูเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเลียนแบบเจ้าตอนที่เป็นหนุ่มก็ได้”
มือกระบี่นึกถึงเซียนกระบี่หนุ่มแห่งศาลลมหิมะที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวเหิมคนนั้นแล้วส่ายหน้ายิ้ม “เขาไม่ได้เลียนแบบข้า”
จู่ๆ เฉาซีก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขากระโดดลงไปในบ่อน้ำแห่งขอด พลิกแผ่นหินสีเขียวก้อนหนึ่งขึ้นมาจึงเห็นว่าด้านในซ่อนเหรียญทองแดงธรรมดาที่ขึ้นสนิมไว้หนึ่งเหรียญ เซียนกระบี่พสุธาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปพลันหัวเราะร่าเสียงดัง เก็บเหรียญทองแดงใส่ชายแขนเสื้อ จุ๊ปากพูด “ลางดี ลางดี”
เฉาซีเงยหน้ามองไปทางมือกระบี่หนุ่ม “หากถามข้านะ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่ถูกทุบแตกในปีนั้น ต้าหลีและหลงเฉวียนพวกเจ้าเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ถึงเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา แต่ตอนนั้นต้าหลีก็ชดใช้ไปแล้ว และฝ่ายตรงข้ามก็รับไว้แล้วด้วย ตามหลักแล้วเรื่องนี้ต้องถือว่าหายกัน แต่ตอนนี้คนซื้อกลับผลักดันเรื่องไปหาตัวการเบื้องหลังทีละขั้น สุดท้ายถึงได้ยกพระโพธิสัตว์ใหญ่อย่างเซี่ยสือออกมาข่มขู่ผู้คน เรื่องนี้ทำได้ไม่ดีนัก ไม่ละเอียดรอบคอบมากพอ แต่จริงๆ แล้วมันก็จัดการได้ง่ายมาก ฆ่าเซี่ยสือให้ตายไปซะเลย มีข้า มีเจ้า บวกกับอริยะหร่วนฉง พวกเราสามคนร่วมมือกัน เซี่ยสือไม่เพียงแต่ต้องแพ้ แม้แต่จะหนีก็ยังหนีไม่รอด เซี่ยสือรนหาที่ตายเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้”
มือกระบี่หนุ่มเอ่ยถาม “ต่อให้ฆ่าเซี่ยสือตายได้ แต่ถ้าถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปริแตกแล้วร่วงลงมาจากฟ้าแห่งนี้ต้องถูกทำลายย่อยยับไปด้วย พวกเราต้าหลีจะทำอย่างไร?”
เฉาซีกล่าวอย่างคนยืนพูดไม่ปวดเอว (เปรียบเปรยว่าไม่ใช่เรื่องของตนย่อมไม่เดือดร้อน ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ) “ฆ่าเซี่ยสือไปคนหนึ่ง ได้ผลลัพธ์เฉกเช่นเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ ดีจะตายไป ไม่ด้อยไปกว่าการสร้างหอป๋ายอวี้จิงหลังหนึ่งเลย”
มือกระบี่หนุ่มไม่ต่อคำ
เฉาซียังคงพูดล่อลวงใจคนต่อไป “อีกไม่นานต้าหลีของพวกเจ้าก็จะยกทัพลงใต้แล้วไม่ใช่หรือ? พอฆ่าเซี่ยสือตายแล้ว ก็ลองดูเถอะว่าถึงเวลานั้นพวกตะพาบเฒ่าที่มีขอบเขตสิบและห้าขอบเขตบนในต้าสุยจะเหลืออยู่สักกี่คน? ข้ากล้าเดิมพันเลยว่าไม่มีทางเกินมือเดียว และถ้าข้าเฉาซีเดิมพันแพ้ มีตะพาบเฒ่าเกินมา ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าจัดการกับทุกคนเอง ตกลงไหมล่ะ?”
มือกระบี่หนุ่มกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงกับเซี่ยสือรึ?”
เฉาซีส่ายหน้า “เปล่านี่ ก็แค่เป็นคนบ้านเดียวกันเท่านั้น แถมยังไม่ใช่คนรุ่นเดียวกับข้า ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน บรรพบุรุษของสองตระกูลไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ข้าก็แค่ไม่ชอบใจที่เซี่ยสืออาศัยตบะมารังแกต้าหลี เนรคุณกันเกินไป จะดีจะชั่วเขาก็มีชาติกำเนิดมาจากต้าหลี ไม่นึกถึงบุญคุณที่อบรมเลี้ยงดูก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ยังจะตั้งตนเป็นปรปักษ์กับต้าหลี คนแบบนี้ข้าเฉาซีเกลียดนักล่ะ”
“ผายลมเหม็นโฉ่!”
จิ้งจอกแดงเพลิงที่อยู่บนหลังคาเปิดโปงความจริงด้วยประโยคเดียว แล้วพูดแดกดันต่อว่า “สกุลเฉินผู้มากความรู้ในทักษินาตยทวีปคือหนึ่งในสาขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่สกุลเฉินดั้งเดิมแท้จริงนั้นไม่เคยถูกกับลัทธิเต๋า ฆ่าเซี่ยสือตายไปคนหนึ่งก็ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในใต้หล้า อย่าว่าแต่ยกสตรีสายตรงของสกุลเฉินผู้มากความรู้ให้แต่งงานกับเฉาจวิ้นเลย ต่อให้ตระกูลเดิมในแผ่นดินกลางส่งผู้หญิงอีกคนมาแต่งงานกับเขาเฉาจวิ้นด้วยก็ยังไม่เป็นปัญหา”
“เจ้านี่มันปากคอเราะร้ายจริงๆ” เฉาซีสบถยิ้มๆ แล้วยกมือโบกชายแขนเสื้อ
ร่างของจิ้งจอกเพลิงสีแดงพลันระเบิดดังปัง สลายกลายเป็นเถ้าธุลี
เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลากว่าที่มันจะกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมอย่างสมบูรณ์แบบนานกว่าตอนที่ถูกกระบี่บินของเฉาจวิ้นแยกร่างมากนัก
มันหยิบกระเบื้องขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วขว้างใส่เฉาซีแรงๆ กระเบื้องชิ้นนั้นพุ่งไปดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นมันก็หันหัวเผ่นหนี
เฉาซีรับกระเบื้องไว้เบาๆ โยนขึ้นข้างบน ส่งมันกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
อันที่จริงกระเบื้องชิ้นนั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
จอมยุทธ์สำนักโม่นามว่าสวี่รั่วปฏิเสธข้อเสนอของเฉาซี “เรื่องแบบนี้ ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้เองโดยพลการ”
เฉาซีเหลือกตามองบนใส่ “แล้วใครในต้าหลีของพวกเจ้าที่ตัดสินใจได้ล่ะ?”
สวี่รั่วพูดยิ้มๆ “ฮ่องเต้ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้น ราชครูชุยฉาน สามคนนี้”
เฉาซีพูดเสียงขุ่น “ถ้าอย่างนั้นก็โผล่หัวมาสักคนสิ เจ้าสวี่รั่วมาแค่เพื่อดูละครไม่ยอมลงมือแล้วจะมีความหมายอะไร? ในเมื่อครั้งนี้เซี่ยสือกล้าเดินทางมาเพียงลำพัง แสดงว่าต้องมีที่พึ่ง ถ้าเกิดพวกเราสามคนร่วมมือกันแล้วยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ ปล่อยให้เขาทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ แถมยังหนีกลับไปที่อุตรกุรุทวีปได้ ถึงเวลานั้นแมลงที่น่าสงสารอย่างพวกเราสามคน บวกกับสกุลซ่งต้าหลีของพวกเจ้าต้องจบเห่กันหมดแน่!”
สวี่รั่วพยักหน้ารับ “ต้องมาแน่อยู่แล้ว”
เฉาซีเงียบเสียงลงในบัดดล
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ชอบเอาใจของคนถ่อยมาวัดคุณธรรมของสุภาพชนอยู่แล้ว จึงกลัวมากว่าเมื่อต้าหลีจัดการกับเซี่ยสือแล้วจะหันกลับมาจัดการตนต่ออีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่สกุลซ่งของต้าหลีไม่ใช่สุภาพชน
สุภาพชนที่แท้จริงบางคน คนผู้หนึ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเขาเฉาซีกับเซี่ยสือรวมกันยังตายจนตายไปอีกไม่ได้แล้ว
ตายอยู่ที่นี่
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะโทษว่าราชวงศ์ต้าหลีไม่มีคุณธรรมไม่ได้ แล้วก็โทษฮ่องเต้สกุลซ่งที่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวไม่ได้เช่นกัน
แต่เฉาซีก็ยังรู้สึกว่าเป็นเคราะห์ร้าย เป็นเรื่องอัปมงคลเกินไป
บวกกับตลอดระยะทางที่เดินทางมาที่นี่ได้รับรายงานลับเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี หนึ่งในพูดถึงเรื่องบ้านบรรพบุรุษของเขาพังทรุดและได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม จึงยิ่งทำให้เฉาซีอารมณ์ไม่ค่อยดี
หากไม่เป็นเพราะสกุลเฉินผู้มากความรู้เปิดปากเอง อันที่จริงเขาก็ไม่อยากมาทำตัวเป็นมังกรข้ามแม่น้ำที่นี่
โดยเฉพาะตอนนี้เฉาซียังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าเงื่อนตายที่ผลักดันให้ฉีจิ้งชุนต้องตายอย่างไม่มีทางเลี่ยงนั้นอยู่ที่ไหน นี่จึงทำให้เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนับตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน
ดังนั้นเขาจึงหวังว่าการตายของเซี่ยสือจะสามารถชักนำเงื่อนตายนั้นให้ปรากฎ ถึงเวลานั้นต่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ยังมีสกุลซ่งต้าหลี อริยะหร่วนฉงกับศาลลมหิมะที่อยู่เบื้องหลังเขา รวมไปถึงสกุลเฉินผู้มากความรู้เบื้องหลังตน สกุลเฉินดั้งเดิมในแผ่นดินกลางช่วยกันแบ่งเบาความเสี่ยง
แสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง
ไม่ว่าจะคนบนภูเขาหรือล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
……
บ้านเดิมของเซี่ยสืออยู่ในตรอกเถาเย่ ลูกหลานในตระกูลไม่ถือว่าแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มหนา มาถึงคนรุ่นนี้ตระกูลก็เริ่มตกต่ำลงแล้ว หากไม่เป็นเพราะเด็กหนุ่มคิ้วยาวกลายมาเป็นลูกศิษย์ในนามของหร่วนฉง ก็คงต้องเผชิญกับสภาพการณ์อันน่าสังเวชอย่างการขายบ้านบรรพบุรุษเพื่อต่อชีวิตไปแล้ว
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งเคาะประตู
เป็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู ถามว่า “เจ้าคือ?”
ชายฉกรรจ์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คือบรรพบุรุษของเจ้า”
เด็กสาวหน้าตางามพิสุทธิ์มองดูคล้ายเป็นคนอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วนิสัยกลับเผ็ดร้อน นางตอกกลับอย่างเดือดดาลทันที “วันแรกของปีใหม่ เจ้าเปิดปากก็ด่าคนแบบนี้ได้ยังไง? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหยิบไม้กวาดมาฟาดเจ้า?”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ยังคงเป็นปกติ “เจ้าไปเปิดหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลดู หาเล่มที่สิบเอ็ด บนนั้นจะมีชื่อของคนที่ชื่อเซี่ยสืออยู่ ซึ่งก็คือข้าเอง ตัวอักษร ‘สือ’ เขียนผิดไปนิด”
หนึ่งก้านธูปต่อมา คนทั้งตระกูลเซี่ยก็พากันมาคุกเข่าอยู่บนพื้นนอกศาลบรรพชน
เซี่ยสือไม่สนใจพวกเด็กรุ่นหลังในตระกูลที่ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เขาเปิดประตูเข้าไปในโถงไหว้บรรพชนโดยไม่พูดไม่จา เข้าไปนานประมาณสามก้านธูป
จากนั้นเสียงทุ้มหนักของเขาก็ดังขึ้น “เจ้าคนที่คิ้วยาวกว่าคนปกติผู้นั้นสามารถเข้ามาจุดธูปได้ คนอื่นๆ กลับไปกันให้หมด จะอย่างไรซะแค่พวกบรรพบุรุษเฒ่าเห็นหน้าพวกเจ้า ไม่ต้องให้พวกเจ้าจุดธูป ในอกก็สุมแน่นไปด้วยไฟโทสะแล้ว”
สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่อยู่นอกห้องโถงเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี นางซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลอาบเต็มหน้า รีบคว้าแขนบุตรชายที่นั่งอยู่ข้างกาย อีกมือหนึ่งอุดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกมา
เด็กหนุ่มคิ้วยาวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอมารดาของเขาปล่อยมือก็ลุกขึ้นยืน เดินข้ามธรณีประตูห้องโถงบรรพชนเข้าไปอย่างระมัดระวัง ขยับเข้าใกล้แผ่นหลังของคนผู้นั้นทีละก้าว
……
บนทางเดินม้านอกเมืองเล็ก รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนมาอย่างเชื่องช้า
สารถีคือหลิวอวี้ที่เคยขัดขวางมือกระบี่บางคนบนภูเขาฉีตุน ในห้องโดยสารมีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางสำรวมเหมือนอาจารย์คนหนึ่ง กับเด็กสาวที่เกิดมาก็มีหน้าตาเย็นชาผู้หนึ่งนั่งอยู่
ราชครูชุยฉาน นางกำนัลจื้อกุย
หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าชุยฉานผู้เฒ่า กับหวังจู?
……
ในลานบ้านขนาดเล็ก เด็กชายชุดเขียวเริ่มกุมหัวร้องโอดครวญ
ทำไมคนด้านล่างภูเขาของเมืองเล็กถึงได้น่ารำคาญกันขนาดนี้นะ เพิ่งจะวันแรกของปีใหม่ก็มีตัวละครร้ายกาจสองคนที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกมาเยือน ใช้หัวเข่าใช้ก้นคิดยังรู้เลยว่านั่นคือบุคคลน่ากลัวที่สามารถต่อยตนให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว ในอดีตเด็กชายชุดเขียวมักจะรู้สึกว่าดีๆ ชั่วๆ ตนก็เคยเห็นคลื่นยักษ์เห็นลมพายุมาก่อนแล้ว (เปรียบเปรยว่าเห็นโลกมามาก มีประสบการณ์โชกโชน) ตอนนี้มาอยู่ที่นี่ถึงเพิ่งรู้ว่ามรสุมคลื่นลมที่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้ยังเทียบกับแอ่งน้ำเล็กๆ ในตรอกหนีผิงนอกประตูบ้านไม่ได้เลย
เขาเริ่มรู้สึกนับถือเฉินผิงอันจากใจจริง สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ ไม่ง่ายเลย! คนที่เป็นนายท่านผู้เฒ่าของเขาได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ มิน่าเล่าตอนนั้นข้างกายถึงได้มีลูกศิษย์ที่อำมหิตแบบนั้นติดตามมาด้วย
ดังนั้นเด็กชายชุดเขียวจึงจับมือเฉินผิงอันพลางร้องไห้คร่ำครวญด้วยความรู้สึกจากใจจริง “นายท่าน วันหน้าข้าจะดีต่อท่านให้มากขึ้นอีกนิด”
เฉินผิงอันผลักหัวของเขาออก พูดยิ้มๆ “เจ้านี่มันขี้กลัวจริงๆ ไม่อายบ้างหรือไง”
หางตาของเด็กชายชุดเขียวมองประเมินนังเด็กโง่ใจดำแล้วให้รู้สึกว่าตนทำตัวน่าอายอยู่มากจริงๆ จึงกลับไปนั่งบนเก้าอี้เงียบๆ อย่างขุ่นเคือง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูใจกล้ากว่าเขาอย่างแท้จริง นางเอาแต่จับประคองแผ่นป้ายสงบสุขไร้กังวลที่เรียบลื่นอุ่นมือแผ่นนั้น ชื่นชอบจนวางไม่ลง
แน่นอนว่าคนที่ใจกล้ามากที่สุดยังคงเป็นเฉินผิงอันนายท่านของพวกเขา
เขาหยิบแผ่นไม้ไผ่แต่ละแผ่นที่สลักตัวอักษรเรียบร้อยแล้วออกมาวางบนกำแพงดินเหนียวเล็กเตี้ยที่กั้นระหว่างสองบ้าน แบบนี้คงถือว่าตากตำราไม้ไผ่ได้แล้วกระมัง
—————————–
บทที่ 188.1 กฎระเบียบใหญ่กับเรื่องหยุมหยิม
โดย
ProjectZyphon
เหล่าแผ่นไม้ไผ่นอนนิ่งๆ อยู่บนกำแพงบ้าน ตากแสงแดดอันอบอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิไปพร้อมกับเจ้าของของพวกมัน
จากนั้นแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งก็มาเยือน
ต่งสุ่ยจิง
เขาก็คือเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ตอนนั้นไม่ต้องการติดตามเพื่อนร่วมห้องสามคนอย่างพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปศึกษาต่อที่ต้าสุย ต่งสุ่ยจิ่งเลือกจะอยู่ต่อในเมืองเล็ก ส่วนสือชุนเจีย แม่นางน้อยที่มัดผมแกละสองข้างก็เลือกติดตามคนในตระกูลย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี
ห้าคนสุดท้ายที่อยู่ต่อในโรงเรียนของฉีจิ้งชุนจึงแยกย้ายกันไปอยู่คนละมุมฟ้านับจากนั้น
พอได้พบต่งสุ่ยจิ่ง เฉินผิงอันก็รีบให้เขาเข้ามานั่งในลานบ้าน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกของกินเล่นออกมารับรองแขกอย่างคล่องแคล่ว ต่งสุ่ยจิ่งมีท่าทางระมัดระวังตัวและลำบากใจอยู่เล็กน้อย เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วมานั่งรอรับการลงโทษจากอาจารย์อยู่ในโรงเรียน
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าการที่ต่งสุ่ยจิ่งเลือกจะอยู่ต่อในเมืองเล็กเป็นการเลือกที่ผิด
ระหว่างที่เดินทางไกล มีครั้งหนึ่งเขาถูกหลี่ไหวเด็กขี้ขลาดเรียกให้ไปถ่ายหนักเป็นเพื่อนตอนกลางคืน ได้ฟังหลี่ไหวเล่าให้ฟังถึงชาติกำเนิดของต่งสุ่ยจิ่ง ต่างก็พูดกันว่าที่เขาถูกตั้งชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งนั้นเป็นเพราะตอนที่แม่ของเขาตั้งท้องเขา ได้แบกท้องโตๆ ไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็ก ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ค้อมตัวก็คลอดต่งส่งจิ่งออกมาทันที ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของเพื่อนร่วมโรงเรียน ต่งสุ่ยจิ่งไม่เคยอธิบายอะไร คนอื่นหัวเราะเยาะก็ปล่อยพวกเขาไป
ส่วนเรื่องที่ต่งสุ่ยจิ่งและหลินโส่วอีต่างก็ชอบพี่สาวของหลี่ไหว เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้อย่างชัดเจนดี แต่จะเป็นจริงหรือเท็จนั้น เฉินผิงอันกลับไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก
ซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านข้างๆ เคยพูดมานานแล้วว่า คนในเมืองเล็กที่โตขนาดพวกเขา พวกคุณชายน้อยบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ต่างก็มีสาวใช้ห้องข้างกันมานานแล้ว ที่ตรอกฉีหลงและตรอกซิ่งฮวาก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีแม่สื่อช่วยจับคู่ให้ โตกว่านี้อีกสักปีสองปีก็เป็นพ่อคนได้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องปกติของเมืองเล็ก ส่วนตรอกที่ยากจนและอยู่ในระดับชั้นต่ำสุดอย่างตรอกหนีผิงนี้ ผู้ชายอาจจะอยู่เป็นโสดได้ถึงอายุสามสิบสี่สิบปีเลยทีเดียว
ต่งสุ่ยจิ่งเล่าเรื่องของโรงเรียนใหม่ในเมืองเล็กให้ฟัง เฉินผิงอันก็เล่าเรื่องน่าสนใจระหว่างเดินทางไกลให้เขาฟัง ไม่กล้าพูดเรื่องที่แปลกพิสดารอะไรมากนัก ด้วยกลัวว่าต่งสุ่ยจิ่งจะคิดมาก จะอย่างไรซะเป็นคนซื่อก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขาดไหวพริบเสมอไป
ต่งสุ่ยจิ่งรู้มาว่าในอนาคตเมืองเล็กจะต้องมีจุดพักม้าเป็นของตัวเอง เขาจึงขอที่อยู่ในการส่งจดหมายไปยังสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยมาจากเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มดีใจมาก บอกว่าจะต้องเขียนจดหมายไปให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนให้ได้ เฉินผิงอันลังเลอยู่บ้าง เขารู้ว่าการส่งจดหมายที่จุดพักม้า มักจะเป็นจดหมายที่เขียนถึงคนทางบ้าน อีกทั้งยังต้องใช้เงินมาก ตอนนี้ต่งสุ่ยจิ่งตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะจ่ายไหว แต่สุดท้ายเฉินผิงอันก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เพียงแค่จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบๆ
ต่งสุ่ยจิ่งบอกลาจากไปอย่างอารมณ์ดี
เด็กชายชุดเขียวจุ๊ปากพูด “เจ้าโง่คนนี้นับว่าไม่เลว ข้านึกว่าเขาจะมาขอกินขอดื่มกับนายท่านโดยไม่จ่ายเงินเสียอีก หากเขากล้าเปิดปาก…”
เขาหันไปมองเฉินผิงอันโดยไม่รู้ตัว รีบกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงปากกลับลงท้อง เปลี่ยนคำเสียใหม่ “ข้าก็จะแนะนำเขาดีๆ ต้องอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง บอกว่าคนเราต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
เฉินผิงอันตบศีรษะเด็กชายชุดเขียวยิ้มๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
วันที่สองของเดือนแรก ธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองเล็กคือเริ่มเดินทางไปเยี่ยมญาติ
เฉินผิงอันไม่มีญาติให้ไปเยี่ยมจึงพาเด็กน้อยทั้งสองไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
ภูเขาลั่วพั่วตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขตการปกครองใหญ่หลงเฉวียน บริเวณใกล้เคียงมีภูเขาสามลูกเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เพียงแต่ว่าขนาดล้วนเทียบกับภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ แบ่งออกเป็นภูเขาเที่ยวอวี๋ (ปลากระโดด) เชิงเขาฝูเหยา (ลอยคว้างขึ้นสู่เบื้องบน) และยอดเขาเทียนตู (เมืองสวรรค์) ภูเขาแต่ละแห่งล้วนถูกกองกำลังตระกูลเซียนนอกเหนือจากต้าหลีซื้อเอาไว้สร้างอาคารบ้านเรือนที่มีรูปแบบแตกต่างกันออกไป คืนก่อนวันปีใหม่ของเมื่อปลายปีก่อนยังมีแต่เสียงดังอึกทึกทั้งยามกลางวันและกลางคืน
วันนี้ตอนที่พวกเฉินผิงอันสามคนเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนตู บนยอดเขาถือว่าสงบเงียบลงได้เสียที
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่าน ภูเขาใหญ่แต่ละแห่งมีจวน อาราม ศาลา หอเรือน สวน จุดชมทิวทัศน์บนยอดเขา สะพานยาวที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขาสองลูก ฯลฯ ถูกสร้างขึ้น สิ่งปลูกสร้างหรูหราแปลกตาหลายแห่งผุดผงาดขึ้นมาท่ามกลางป่าเขา ทำให้คนต้องทอดถอนใจกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของพวกมัน
ส่วนการเปิดภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ในนามของเฉินผิงอัน เนื่องจากค่าใช้จ่ายทุกอย่างล้วนมีกรมโยธาธิการต้าหลีเป็นผู้กำหนด บวกกับที่เจ้าของภูเขาท่านนี้ไม่ต้องการให้สร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ เพิ่มเติม ดังนั้นภูเขาที่กว้างขวางจึงค่อนข้างจะเงียบเหงา ขนาดภูเขาลั่วพั่วที่มีเทพภูเขาเฝ้าพิทักษ์ยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น และภูเขาเซียนฉ่าวเลย กลิ่นอายของความวังเวงบนภูเขาทั้งสามลูกทำให้ทุกครั้งที่นักพรตตระกูลต่างๆ ซึ่งรับผิดชอบทำงานในภูเขาบริเวณใกล้เคียงมองมา ต่างก็รู้สึกขบขัน
มีเงินก้อนโตซื้อภูเขา แต่ไม่มีเงินก้อนเล็กเปิดภูเขา ช่างเหลวไหลเกินไปแล้ว
พอพวกเฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ภูเขาของตัวเอง เว่ยป้อก็ปรากฎตัวอย่างลึกลับอีกครั้ง
เฉินผิงอันส่งถุงเล็กใบหนึ่งให้เว่ยป้อ ด้านในบรรจุหินดีงูชั้นเยี่ยมหนึ่งก้อน บอกให้เว่ยป้อช่วยเอาไปมอบให้กับงูดำดุร้ายที่มาจากภูเขาฉีตุนตัวนั้น เว่ยป้อยิ้มรับเงินยาสุ้ยก้อนนี้เอาไว้ บอกว่าจะต้องส่งมอบให้ถึงมือ ไม่มีทางฮุบเก็บไว้เองแน่
เดินขึ้นเขาไปด้วยกัน เฉินผิงอันถามถึงเรื่องโรงเรียนกับเว่ยป้อ แน่นอนว่าเว่ยป้อต้องรู้เรื่องวงในมากกว่าต่งสุ่ยจิ่ง เขาจึงพูดจ้อให้ฟังไม่หยุด ที่แท้โรงเรียนที่สกุลเฉินหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้งนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคน อีกทั้งยังไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ต่อให้เป็นนักโทษผู้ลี้ภัยสกุลหลูที่อายุยังน้อยก็สามารถเข้ามาเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ นี่เท่ากับว่าช่วยชีวิตหลายสิบชีวิตในคราวเดียว หาไม่แล้วเด็กๆ ที่ร่างกายอ่อนแอเหล่านั้นจะรอดผ่านฤดูหนาวอันทรมานของปีที่แล้วไปได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
เมื่อเขตการปกครองหลงเฉวียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน และยังมีตระกูลอีกมากที่ย้ายมาจากเขตการปกครองใกล้เคียง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่ไม่ขาดแคลนคนและเงินทอง จึงมีการทุ่มเงินมหาศาลกว้านซื้อบ้านและที่ดินในเมืองเล็กและบริเวณใกล้เคียงเกิดขึ้น แน่นอนว่าบ้านใหญ่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเยว่คือตัวเลือกอันดับหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่คนเก่าคนแก่ที่อายุอยู่ในแถบตรอกฉีหลง ตรอกซิ่งฮวาจำนวนมากก็ยังพากันย้ายออกไป แทนที่มาด้วยเจ้าของคนใหม่
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี โรงเรียนก็มีนักเรียนแล้วหนึ่งร้อยกว่าคน อาจารย์สอนหนังสือต่างก็เป็นปราชญ์ขงจื๊อมากความรู้ผู้มีชื่อเสียง
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ถามยิ้มๆ “รู้สึกว่าแค่เชือดไก่ทำไมต้องถึงกับใช้มีดฆ่าวัวใช่ไหมล่ะ? เหตุใดพวกบัณฑิตที่เวลาปกติวางมาดใหญ่โตถึงยินดีหันหลังให้บ้านเกิด วิ่งมาทนรับความลำบากที่นี่ อีกทั้งคนที่พวกเขาต้องถ่ายทอดความรู้ให้ยังเป็นแค่เด็กน้อยและเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งด้วย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วถาม “เพราะสกุลเฉินหลงเหว่ยจ่ายเงินไปมาก?”
เว่ยป้อหัวเราะดังสนั่น โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ใช่เรื่องเงินหรอก ในบรรดาอาจารย์มากความรู้พวกนั้นมีนักปราชญ์อยู่สองคน จะเห็นแก่เงินได้อย่างไร พวกเขาน่ะ หวังว่าจะได้เข้ามาในภูเขาพีอวิ๋น เพราะบนภูเขากำลังจะมีสถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่งชื่อว่าสำนักศึกษาหลินลู่ปรากฏขึ้น”
เด็กชายชุดเขียวที่อยู่ข้างๆ ถามแทรก “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น คงไม่ใช่ว่าเป็นคนงานสร้างสำนักศึกษาหลินลู่หรอกนะ?”
“ไป๊ๆๆ เด็กจะไปเล่นที่ไหนก็ไป ข้ากับนายท่านของเจ้าคุยเรื่องของผู้ใหญ่กันอยู่”
เว่ยป้อสะบัดมือทำท่าขับไล่ จากนั้นก็หันมาพูดกับเฉินผิงอันต่อ “อันที่จริงแม้แต่คนตาบอดก็ยังมองออกว่า จุดประสงค์ของต้าหลีนั้นยิ่งใหญ่มาก เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาหลินลู่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เมื่อใดที่ต้าหลียกทัพลงใต้ได้อย่างราบรื่น สกุลเกาต้าสุยถูกฆ่าล้างตระกูล นอกจากสำนักศึกษากวานหูแล้ว รายชื่อหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อแห่งที่สองในแจกันสมบัติทวีปย่อมต้องตกเป็นของสำนักศึกษาหลินลู่”
“ดังนั้นยิ่งได้เข้าไปอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนขั้นกลายเป็น ‘ขุนนางติดตามมังกร’ ติดตามมังกร แอบอิงมังกร ต่างกันแค่คำเดียว แต่กลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว”
“ช่วยไม่ได้ บัณฑิตที่คิดจะแสดงความสามารถ ช่วยบ้านเมืองและประชาราษฎร จำเป็นต้องมีเก้าอี้นั่งอยู่ในราชสำนัก หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากวางแผนรบบนกระดาษ แน่นอนว่าหากเบียดเข้าไปในวงการขุนนางไม่ได้ ถอยหนึ่งก้าว ยามยาก เฝ้ารักษาคุณความดีเฉพาะตน เลือกถ่ายทอดความรู้ อบรมบ่มเพาะชาวบ้าน ชี้นำขนบธรรมเนียมอันดีงามให้กับคนในพื้นที่หนึ่งก็ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับอย่างแรกแล้วย่อมต้องเงียบเหงากว่า”
เว่ยป้อพูดด้วยท่าทางสบายๆ ตอนที่เดินขึ้นภูเขา ชายแขนเสื้อกว้างสองข้างของเขาส่ายไหวไม่หยุด ประหนึ่งก้อนเมฆสีขาวสองก้อนที่ลอยขึ้นสู่ยอดเขา
ทำเอาเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่สะพายหีบหนังสือมองตาไม่กะพริบ นางจินตนาการถึงว่าวันหน้านายท่านของตนก็จะมีบุคลิกที่องอาจโดดเด่นเช่นนี้เหมือนกัน
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “เว่ยป้อ ตอนนี้เจ้าเป็นเทพภูเขาแล้วหรือยัง?”
เว่ยป้อยิ้มอย่างเข้าใจ “เฉินผิงอัน ข้ารอให้เจ้าถามคำถามนี้มาโดยตลอด”
เด็กชายชุดเขียวเบ้ปาก ทำหน้าดูแคลน
เทพภูเขา?
ข้าเองก็มีสหายเป็นเทพวารีที่ควบคุมแม่น้ำใหญ่ทั้งสายเหมือนกัน
เว่ยป้อชี้ไปทางภูเขาพีอวิ๋น “ตอนนี้ข้าเป็นเทพภูเขาของเขาพีอวิ๋นชั่วคราว”
เด็กชายชุดเขียวที่เดินเคียงมากับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบส่ายหน้า ทำท่าทะเล้น
เว่ยป้อพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น อีกไม่นานภูเขาพีอวิ๋นจะได้สิทธิ์แหกกฎเลื่อนขั้นเป็นขุนเขาเหนือของต้าหลี”
เฉินผิงอันหยุดเดิน หันมาถาม “ขุนเขาเหนือ? ไม่ใช่ขุนเขาใต้หรอกหรือ?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ขุนเขาเหนือ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูร้องว้าว สายตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสประทับใจ ทวยเทพแห่งห้าขุนเขา นั่นคือเทพที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาใหญ่ของราชสำนักต้าหลีอีกด้วย
เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลายให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นจึงเดินเร็วๆ ไปหยุดข้างกายเว่ยป้อ เงยหน้ายิ้มอ่อน “เว่ยเซียนซือ เดินเหนื่อยหรือไม่ ต้องการนั่งพักสักหน่อยไหม? ให้ข้าช่วยนายท่านผู้อาวุโสนวดไหล่ทุบขาดีหรือไม่?”
เว่ยป้อยิ้มตาหยี “โอ๊ะโอ ทำไมไม่เถียงข้าฉอดๆ แล้วเล่า?”
เด็กชายชุดเขียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เว่ยเซียนซือ! ท่านคือสหายรักของนายท่านข้า ข้ากับนายท่านก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นพวกเราสองคนก็ถือเป็นเพื่อนกันครึ่งตัว พูดแบบนี้ถูกต้องแล้วหรือไม่ เว่ยเซียนซือ?”
เว่ยป้อยื่นนิ้วไปหยิกแก้มของงูน้ำน้อยตัวนี้ด้วยแรงที่ไม่น้อย “ซุกซน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กชายชุดเขียวแข็งทื่อ ไม่กล้าตอบโต้กลับ
ช่วยไม่ได้ หากเว่ยป้อไม่ได้โกหก ถ้าอย่างนั้นเขาและนายท่านต่างก็ถือว่าพักอาศัยอยู่ใต้ชายคาคนอื่น ต่อให้เฉินผิงอันจะได้ครอบครองภูเขามากแค่ไหน ขอแค่ยังอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ก็ยังต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่ดี ในฐานะของทวยเทพแห่งขุนเขาที่อยู่สูงเหนือผู้ใด แค่จามสักครั้งก็ยังทำให้ภูเขาในขอบเขตสั่นสะเทือนได้ หากคิดจะกักเก็บปราณวิญญาณ ขุดเอารากภูเขา ฯลฯ ก็ล้วนง่ายดายเพียงกวักมือเรียก สามารถทำได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น
เว่ยป้อถามยิ้มๆ “ตรงภูเขาเสินซิ่วเสียงดังมาก ต่อให้เป็นวันนี้ก็ยังไม่หยุดงานเปิดภูเขากลางคัน เฉินผิงอัน เจ้าอยากจะไปดูสักหน่อยไหม น่าสนใจมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรงด้วยความคาดหวัง “ดีสิ ก่อนหน้านี้ก็อยากไปดูมาตลอด”
เว่ยป้อเป่าปากหนึ่งครั้ง เพียงไม่นานก็มีเสียงระลอกหนึ่งดังมาจากบนภูเขา ความเคลื่อนไหวเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายงูดำใหญ่ยักษ์ที่ตรงหน้าท้องมีเส้นสีทองอยู่เส้นหนึ่งก็เลื้อยมาถึง มาปรากฎตัวอยู่ในการมองเห็นของพวกเขา เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็เครียดเกร็งเล็กน้อย เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงเหมือนกัน การเข่นฆ่ากันเองในเผ่าพันธ์เป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง อีกอย่างงูดำตัวนี้ก็มีเขางอกขึ้นมาแล้ว แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในการลงน้ำกลายเป็นเจียว
ในบรรดาเจียวหลงสายเลือดซับซ้อนที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใหญ่ล้วนฝึกบำเพ็ญตนจนมีร่างเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดแปด หรืออาจกลายเป็นปีศาจใหญ่แข็งแกร่งขอบเขตเก้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลายเป็นเจียวได้
เด็กชายชุดเขียวมักจะพร่ำพูดว่าพวกเขาฝึกตนโดยอาศัยพรสวรรค์ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่เกิดจากความขี้เกียจของตัวเขาเองทั้งหมด เพราะอย่างน้อยเขาก็พูดถูกครึ่งหนึ่ง
เว่ยป้อโยนถุงใบนั้นให้งูดำ “เงินยาสุ้ยที่เฉินผิงอันมอบให้เจ้า ไม่ต้องรีบร้อนกลืนลงท้อง เดี๋ยวเจ้าต้องพาพวกเราไปที่ภูเขาเสินซิ่ว”
ดวงตาทั้งคู่ของงูดำนิ่งสงบอย่างมาก ไม่มีแววดิ้นรนหรือคิดจะปฏิเสธ มันค่อยๆ ก้มหัวลงต่ำ แสดงถึงเจตนาอันดีและความอ่อนน้อมเชื่อฟัง
คนทั้งสี่ยืนอยู่บนร่างของงูดำ ข้ามผ่านภูเขาลั่วพั่ว ลงภูเขาไปทางเชิงเขาทิศเหนือ ระหว่างนี้งูดำยังอ้อมผ่านศาลเทพภูเขาอย่างระมัดระวังด้วย
หลังออกจากภูเขาฉีตุนมายังภูเขาลั่วพั่ว งูดำที่มีนิสัยดุร้ายอำมหิตก็สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะมาก
เห็นได้ชัดว่านี่คือคุณความชอบอย่างใหญ่หลวงของเว่ยป้อ
พุ่งขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตลอดทาง เว่ยป้อที่สวมชุดขาวพลิ้วไหวชี้ไปยังกลุ่มคนตรงตีนเขาที่ห่างออกไปพลางยิ้มอธิบาย “นั่นคือพวกลูกศิษย์สำนักโม่ที่เชี่ยวชาญวิชากลไก และยังมีนักพรตนิกายหยินหยางที่เชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ย พวกเขาต่างก็ถูกเชิญมาที่ภูเขาใหญ่ของเขตการปกครองหลงเฉวียน คนสองกลุ่มนี้มักจะปรากฏตัวพร้อมกัน จับคู่กันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เป็นบุคคลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้เวลาเปิดภูเขาก่อตั้งสำนัก หรือสร้างศาลเทพเซียน”
หลังจากนั้นพอมาถึงช่วงกึ่งกลางภูเขา พวกเขาก็มองเห็นคางคกสีเทาตัวใหญ่มหึมาหลายตัว ท้องของพวกมันนูนป่องเป็นสีขาวโพลน กำลังขยับเคลื่อนขึ้นไปบนภูเขาอย่างเชื่องช้า
ที่แท้พวกมันก็คือคางคงกลืนนทีที่ในท้องสามารถบรรจุน้ำในแม่น้ำไว้ได้หลายหมื่นจิน พอไปถึงบนภูเขา พวกมันก็แค่ต้องอ้าปากหันไปทางบ่อน้ำที่ขุดเจาะเสร็จแล้ว น้ำก็จะไหลจากปากของพวกมันเข้าไปในบ่ออย่างเนืองนองต่อเนื่อง
และยังมีคางคกอีกชนิดหนึ่งที่รูปร่างค่อนข้างเล็กซึ่งถูกเรียกว่าคางคกเบิกทาง หนังหน้าท้องของพวกมันยืดหยุ่นเหนียวทนทานอย่างถึงที่สุด ตลอดทางที่ปีนขึ้นมา พวกมันจะใช้หน้าท้องบดขยี้ทางที่ผ่านให้กลายเป็นทางภูเขาราบเรียบกว้างขวาง
แต่กลับไม่เห็นวานรย้ายภูเขาวัยเยาว์หลายตัวที่ราชสำนักต้าหลีเลี้ยงไว้อย่างที่เว่ยป้อพูดถึง
——————————
บทที่ 188.2 กฎระเบียบใหญ่กับเรื่องหยุมหยิม
โดย
ProjectZyphon
จากนั้นก็มาถึงแถบยอดเขาหวงฮวา (ดอกไม้สีเหลือง) พวกเฉินผิงอันเจอกับนักพรตกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังบัญชาการณ์ให้มัลละ (ภาษาสันสกฤต หนึ่งหมายถึงชายผู้มีพละกำลัง สองหมายถึงเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังมาก) โพกผ้าเหลืองร่างสูงสองจั้งหลายตนขุดดิน ย้ายหินยักษ์ เปิดทางบนภูเขา
เดิมทีการสร้างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก็แทบจะหนีไม่พ้นนักพรตพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋า ยันต์แต่ละแผ่นในมือของพวกเขาพอร่วงลงพื้นก็กลายมาเป็นหุ่นเชิด สติปัญญาเปิดกว้าง สามารถรับฟังคำสั่งที่เรียบง่ายและตื้นเขินที่สุดบางส่วนได้ พวกมันจะทำตามคำสั่ง ไม่ต้องพักผ่อนนอนหลับ จนกว่าปราณวิญญาณจะหมดสิ้นถึงจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเถ้ากระดาษกองหนึ่ง
เว่ยป้อพาเฉินผิงอันไปที่ภูเขาอู๋ถง (ต้นอู๋ถง) รอบหนึ่ง ต่อให้แค่มองจากตีนเขาไกลๆ ก็ยังคงให้ความรู้สึกที่ใหญ่โตมโหฬารแก่คนมอง เพราะว่าภูเขาทั้งหมดของเทือกเขาเส้นนี้ล้วนถูกตัดให้ราบเรียบ รอจนงูดำพาพวกเขาเลื้อยขึ้นไปบนพื้นราบที่มีฝุ่นคละคลุ้งแล้วได้ยินคนแนะนำ ถึงได้รู้ว่าในอนาคตรัศมีสี่ห้าลี้รอบพื้นที่ราบแห่งนี้จะกลายมาเป็น ‘ท่าเรือ’ แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าท่าเรือของชาวบ้านล่างภูเขาเอาไว้จอดเรือที่แล่นมาตามน้ำ แต่ท่าเรือของนักพรตบนภูเขา ส่วนใหญ่จะเป็นการแล่นมาตามทะเล ทะเลเมฆ ส่วน ‘เรือใหญ่’ นั้นคือวัตถุแบบใด เว่ยป้อกลับเล่นแง่ไม่ยอมบอก
ผ่านภูเขาอู๋ถงมาได้ก็อยู่ห่างจากภูเขาเสินซิ่วไม่ไกลแล้ว ตรงกลางมีภูเขาเป่าลู่ที่เป็นของเฉินผิงอันกั้นขวาง และภูเขาหนิวเจี่ยว (เขาวัว) ที่นักพรตแคว้นหนันเจี้ยนคนหนึ่งซื้อเอาไว้ ภูเขาหนิวเจี่ยวไม่สูงมาก แต่ตัวภูเขาค่อนข้างหนาใหญ่ จากตีนเขาไปถึงยอดเขามีสิ่งปลูกสร้างหลายหลังสลับสล้างทอดยาว
เว่ยป้อกระโดดลงจากหลังงูดำ บอกให้พวกเฉินผิงอันลงมาด้วย จากนั้นก็สั่งความให้งูดำรออยู่ที่ตีนเขา ห้ามเลื้อยไปไหนมั่วซั่ว
ตรงตีนเขาแขวนป้ายสามตัวอักษรว่า ‘ผ้าห่อบุญ’ (ภาษาจีนคือเปาฝูไจ คือการที่คนสายตาเฉียบแหลม แต่ไม่มีเงินเปิดร้านเป็นของตัวเองเอาผ้าสีฟ้าไปห่อสินค้าตามร้านขายของเก่าต่างๆ แล้วเอาของที่ว่านี้ไปขายต่อ จะเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าผ้าห่อบุญ) ที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับ
เว่ยป้อเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินพลางพูดไปด้วย “สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งโรงรับจำนำ แล้วก็เป็นทั้งร้านขายของเก่า มีครบทุกความมหัศจรรย์ ไม่ว่าอะไรก็ขายได้ ไม่ว่าอะไรก็หาซื้อได้ ขอแค่ตกลงราคากันได้ มือหนึ่งส่งเงินมือหนึ่งส่งของ ผู้ก่อตั้งแรกเริ่มสุดคือผู้ฝึกตนอิสระยากจนคนหนึ่ง เขาได้แต่แบกห่อผ้าที่ใส่ของผุๆ พังๆ กองโตวิ่งวุ่นไปทั่วทิศ เดี๋ยวซื้อเดี๋ยวขาย ได้กำไรจากส่วนต่าง หลังจากกิจการรุ่งโรจน์ก็ถือโอกาสตั้งชื่อเป็นผ้าห่อบุญเสียเลย ภูเขาหนิวเจี่ยวคือหนึ่งในสาขาของร้านพวกเขา ของหายากที่ขายในหอเรือนแต่ละหลังมีหลากหลายชนิด ตอนนี้หอเรือนสร้างเสร็จไปพอสมควรแล้ว เพียงแต่ว่าสินค้ายังขนส่งมาได้แค่ส่วนน้อย น่าจะต้องรอให้ท่าเรือบนภูเขาอู๋ถงสร้างเสร็จเสียก่อนถึงจะขนส่งมาเป็นจำนวนมากได้”
ตลอดทั้งบนยันล่างภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่ว่าจะเป็นคนคุมงานที่กุมอำนาจ หรือผู้ฝึกตนอิสระที่มาท่องเที่ยวเยี่ยมชมที่แห่งนี้ พอเห็นบุรุษชุดขาวผู้เป็นมหาเทพแห่งขุนเขาของต้าหลีท่านนี้ต่างก็แสดงความเคารพนอบน้อม เกรงใจจนแทบจะใกล้เคียงกับการประจบลดตนให้ต่ำต้อย ดังนั้นตลอดทางจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น สตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ท่าทางสง่างามคนหนึ่งของร้านผ้าห่อบุญถึงขั้นเดินออกมานำทาง อธิบายถึงความล้ำค่าของหอเรือนที่เก็บสมบัติแต่ละหลังให้พวกเขาฟังโดยเฉพาะ
เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง ใน ‘หอเรือนแถบหนึ่ง’ มีโถกวีนิพนธ์ที่พิเศษชนิดหนึ่ง สลักบทความคำเขียว (คำอวยพรที่คนลัทธิเต๋าเขียนรายงานแก่สวรรค์เมื่อจัดพิธีกินเจ โดยทั่วไปแล้วจะใช้หมึกสีแดงเขียนลงบนกระดาษที่ทำจากเปลือกเถาวัลย์เขียว) ตามตำราของลัทธิเต๋าเอาไว้ มีทั้งหมดเจ็ดใบ ใบที่สูงก็สูงประมาณครึ่งตัวคน ใบที่ต่ำหน่อยก็ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน ว่ากันว่าด้านในบรรจุน้ำพุเอาไว้ ล้วนเป็นน้ำพุที่เอามาจากบ่อน้ำพุใหญ่ที่มีชื่อเสียงร้อยแห่งในใต้หล้า น้ำพุใสกระจ่างดุจหยก ไหลรินดุจสายรุ้ง เหมาะสมกับการนำมาต้มชารับรองแขกมากที่สุด
“คนเราไม่กินข้าวหนึ่งวันได้ แต่ไม่อาจขาดน้ำได้ถึงหนึ่งวัน น้ำคือแก่นของอาหาร ดังนั้นคำว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามที่พูดกัน การดื่มน้ำจึงเป็นเรื่องแรก”
“ร้านผ้าห่อบุญของพวกเรามีนักพรตคอยไปชั่งน้ำหนักน้ำพุของแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ จะใช้โต่ว (เครื่องตวงข้าวของจีน เป็นรูปสี่เหลี่ยม บางครั้งเป็นรูปกลอม ส่วนมากจะทำด้วยแผ่นไม้หรือแผ่นไม้ไผ่) สี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ทำจากเงินกับตาชั่งขนาดเล็กอันหนึ่งมาใช้ชั่งน้ำหนัก น้ำพุต้องมีครบทั้งสามอย่างคือเบา สะอาดและหวาน ถึงจะเก็บเอามาไว้ในโถคำเขียวเหล่านี้ได้ ไม่กล้าพูดว่าเป็นน้ำทิพย์เลิศรส แต่ก็รับรองได้ว่าเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ น้ำพุทุกจินล้วนไม่ไหลผ่านโลกมนุษย์”
แม้ว่าสตรีที่เป็นสาวสะพรั่งคนนี้จะไม่มีรูปโฉมงามล้ำ แต่เสียงพูดกลับนุ่มนวล ประหนึ่งเสียงน้ำพุไหลริน ไพเราะชวนฟัง
ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะข้ามธรณีประตูเข้ามาใน ‘หอตระการตา’ ก็เห็นฉากกันลมที่เป็นม้วนภาพวาดสูงเท่าตัวคนแถบหนึ่ง ด้านบนวาดโฉมสะคราญสิบสองคน ทุกคนล้วนเป็นหญิงงามที่เลือกมาจากหนึ่งทวีปหรือไม่ก็จากหนึ่งแคว้น เป็นฝีมือการวาดของจิตกรเอกตันชิง ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสาวงามเหล่านี้ต่างก็มีชีวิตชีวาเสมือนจริง บ้างก็ก้มหน้าดีดพิณ ชายแขนเสื้อพลิ้วไหวดุจน้ำไหลริน บ้างก็เท้าแก้มมองจ้องมา บ้างก็ถือพัดไล่จับผีเสื้อ ท่วงท่าเย้ายวนชวนให้คนหวั่นไหว
ทอดสายตามองไปเห็นแต่ความงดงามอันมีเอกลักษณ์แตกต่างเฉพาะตัว สวยเกินคำบรรยาย
และยังมีฉากกันลมที่เป็นสภาพอากาศยี่สิบช่วง หากเป็นช่วงแมลงตื่นจากการจำศีลก็จะเป็นภาพของสายฟ้าแลบปลาบ ช่วงเชงเม้งมีฝนปรอยบางๆ ช่วงจงชิวเป็นจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่กลางนภา ส่องแสงพิสุทธิ์กระจ่างตา
ความคิดอันอัศจรรย์หลากหลายทำให้คนมองอดตบโต๊ะร้องชื่นชมไม่ได้
เพราะมีเว่ยป้ออยู่ด้วย สตรีวัยสาวเต็มตัวจึงพาพวกเฉินผิงอันไปดูสวนวิเศษอันเป็นสถานที่ส่วนตัว ตอนนั้นยังมีนักพรตสำนักเกษตรบ้างหอบบ้างถือดอกไม้ใบหญ้าแปลกตาหลากหลายวุ่นอยู่ในแปลงดิน จัดทำสวนพืชวิเศษประเภทนี้ นอกจากจะสามารถขายดอกไม้ใบหญ้าที่มีชื่อเสียงราคาแพงได้แล้ว ยังสามารถกักเก็บโชคชะตาของแม่น้ำและภูเขาไว้ได้ ขณะเดียวกันก็สวยงามน่ามอง ดังนั้นจึงเป็นที่โปรดปรานของตระกูลเซียนมาโดยตลอด
ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามีเงินอย่างแท้จริง
เอ่ยขอบคุณและบอกลาสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ไม่บอกชื่อแซ่ของตน ลงจากเขาเดินออกจากซุ้มประตูหิน เว่ยป้อก็บอกให้เฉินผิงอันหันไปมองทางภูเขาหนิวเจี่ยว แล้วยื่นมือมาดีดนิ้วตรงหน้าเขาพลางพูดยิ้มๆ “ลองมองใหม่สิ มีอะไรต่างไปจากเดิม”
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปก็ค้นพบว่าตลอดทั้งภูเขาหนิวเจี่ยวถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางไอหมอกสีเขียวอมเทาชั้นหนึ่ง บางครั้งก็มีสายฟ้าสีขาวจ้าเปล่งวูบวาบ
เว่ยป้อจึงพูดอธิบาย “นี่ก็คือค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่เขาเรียกกัน ค่ายกลนี้ของภูเขาหนิวเจี่ยวมาจาก ‘เมฆหมอกแห่งฝันละล่องเหนือหนองน้ำ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพค่ายกลที่มีชื่อเสียง เดิมทีเป็นภาพวาดภูเขาและแม่น้ำของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง ภายหลังถูกคนนำมาอนุมานและปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นภาพค่ายกลภาพหนึ่ง นอกจากจะมีประโยชน์ในการปกป้องภูเขา ต้านทานและโจมตีศัตรูแล้ว ยังมีมีประสิทธิภาพในการจัดวางหินฮวงจุ้ย ป้องกันไออัปมงคลและสิ่งชั่วร้าย เปลี่ยนลมปราณขุ่นมัวให้ใสสะอาด”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ร้ายกาจจริงๆ”
เว่ยป้อพูดยิ้มๆ “รู้สึกว่าตัวเองยากจนขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้รู้สึกว่าจน แต่รู้สึกว่าไม่รวยสักเท่าไหร่”
เว่ยป้อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คนทั้งกลุ่มกลับขึ้นไปบนหลังงูดำ มุ่งหน้าไปยังภูเขาเสินซิ่วอีกครั้ง
เว่ยป้อบอกกับเฉินผิงอันว่า การแลกเปลี่ยนบนภูเขาใช่ว่าจะไม่มีการใช้เงินทองที่แท้จริง แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแค่การบอกจำนวนตัวเลขเท่านั้น เพราะหากทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อ (วัตถุฟางชุ่นคือวัตถุชิ้นเล็กที่เก็บของได้มาก วัตถุจื่อชื่อมีหลักการใช้เหมือนกันแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุฟางชุ่น) ก็ยุ่งยากเกินไป ถ้าสมบัติอาคมชิ้นนี้มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงทอง จะทำอย่างไร? และถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินขาวก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ดังนั้นการซื้อขายของสำนักใหญ่บนภูเขาจึงต้องมี ‘เงิน’ ให้ใช้โดยเฉพาะ
เพียงไม่นานพวกเขาก็สามารถมองเห็นภูเขาเสินซิ่วในระยะประชิด
ภูเขาเสินซิ่วสูงอย่างยิ่ง
หากไม่เป็นเพราะยังมีภูเขาพีอวิ๋นอยู่ ภูเขาลูกนี้ก็คงเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านงดงามมากที่สุด มากพอจะสยบหมู่ภูเขาที่รายล้อมได้
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “แม่นางหร่วนอยู่บนภูเขาหรือไม่?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ไม่อยู่”
ภูเขาเสินซิ่วมีหน้าผาแคบชันอยู่แถบหนึ่ง ตรงตำแหน่งที่ถูกบดบังด้วยทะเลหมอกสลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’
เว้นจากบังคับลมทะยานกลางอากาศ ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณเงยหน้ามอง เกรงว่าก็คงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันได้
เพราะตอนนั้นอาจารย์หร่วนได้ตั้งกฎไว้ว่า หากอยู่ในขอบเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียน ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดก็ห้ามบินกลางอากาศโดยพลการ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่รอบๆ ต้าหลีเจอปัญหากันเยอะมาก หากจะบอกว่าความคับแค้นใจระบือไปทั่วก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด
ตอนนั้นทางทิศเหนือห่างไกลไปจากแจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกกระบี่พากันมุ่งลงใต้อย่างยิ่งใหญ่ ตอนที่บินผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองเล็กก็ยังลดระดับความสูงลงเพื่อแสดงความเป็นมิตร
นอกจากจะแสดงถึงการยอมรับในตัวของช่างหลอมกระบี่หร่วนฉงแล้ว ที่มากกว่านั้นคือเคารพสองคำในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ คำว่ากฎระเบียบ
นี่เป็นการเพิ่มพลานุภาพที่มองไม่เห็นให้กับหร่วนฉงอีกชั้นหนึ่ง ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมายที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัวกลุ่มนั้น มีเซียนกระบี่พสุธาไม่ใช่แค่หนึ่งท่าน แล้วก็ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งฐานะของหร่วนฉงในราชสำนักต้าหลีถึงได้เป็นดั่งเรือลอยสูงเมื่อน้ำขึ้น ความเห็นต่างที่เดิมทีไม่ดังพออยู่แล้วก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง
ในใต้หล้าแห่งนี้ หากบำเพ็ญตนจนกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาได้สำเร็จ แน่นอนว่าสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระเสรี ไม่จำเป็นต้องเคารพมารยาทพิธีการมากมายบนโลกใบนี้
แต่อย่าลืมว่ายังมีสถาบันศึกษาใหญ่สามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อ รวมไปถึงหอพิทักษ์เมืองใหญ่มโหฬารอีกเก้าแห่ง
มารปีศาจแห่งทะเลและขุนเขา เซียนกระบี่ ไม่มีอะไรที่หอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งสยบไม่ได้
กฎที่หร่วนฉงตั้งขึ้นมาเอง ต่อให้เขาจะมาจากศาลลมหิมะ ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แต่ขอแค่เป็นกฎระเบียบที่สอดคล้องกับกฎใหญ่ เหมาะสมกับหลักธรรมแห่งมหามรรคาของลัทธิขงจื๊อ ถ้าเช่นนั้นด้วยพลังการปกครองของลัทธิขงจื๊อก็จะกลับกลายมาช่วยส่งเสริมหร่วนฉง สุดท้ายช่วยให้กฎระเบียบเล็กๆ ของหร่วนฉงกลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่ไม่ต้องบรรยายเป็นคำพูด ทั้งสองฝ่ายต่างเกื้อหนุนกัน สุดท้ายต่างคนก็ต่างได้รับผลประโยชน์
นี่ก็คือกฎระเบียบใหญ่แห่งฟ้าดินที่หลี่เซิ่งเป็นผู้ตั้งไว้ด้วยตัวเอง
มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ แต่กลับมีอยู่ทุกหนแห่ง
เว่ยป้อไม่ได้เดินขึ้นเขา แต่ให้งูดำย้อนกลับไปทางเดิม เขาที่นั่งขัดสมาธิทอดถอนใจกล่าวว่า “ก็เหมือนกับที่นี่ ไม่ว่าจะอยู่บนดินแดนของราชวงศ์ใดก็ตาม จวนตระกูลเซียน สำนักพรรคต่างๆ ที่เมื่อมาอยู่บนภูเขาก็เป็นเจ้าขุนเขา อยู่ในน้ำก็เป็นราชามังกร กษัตริย์บางคนมองมันเป็นแนวป้องกันของราชวงศ์ ฮ่องเต้บางคนก็คิดในใจว่ากองกำลังที่แบ่งแยกดินแดนซึ่งฟังคำสั่งแต่ไม่ปฏิบัติตามนั้น อ๋องต่างแซ่ หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพียงแต่ติดอยู่ที่กองกำลังบนภูเขามีมาก จึงจำต้องแสร้งประณีประนอม ทว่าเมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว การที่ทั้งบนและล่างภูเขาสามารถรักษาสภาพสงบสุขไว้ได้ก็ล้วนเป็นคุณความชอบของหลี่เซิ่งผู้นั้น”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างกายเว่ยป้อ เอ่ยเบาๆ “เรื่องพวกนี้ห่างไกลกับข้าเกินไป”
เว่ยป้อยิ้ม “จะบอกว่าไกลก็ไกล บอกว่าใกล้ก็ใกล้”
เฉินผิงอันหันกลับไปมองภูเขาเสินซิ่ว พูดพึมพำ “แบบนี้เองหรือ”
……
ตรอกหนีผิง เด็กสาวชุดเขียวคนหนึ่งยืนอยู่นอกบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน เห็นภาพประตูบ้านที่ปิดสนิท นางก็มองประเมินกลอนปีใหม่และภาพเทพทวารบาลสองสามครั้งแล้วเตรียมจะหมุนกายกลับบ้านตัวเอง
ทว่ากลับมีสตรีแต่งงานแล้วสามคนเดินเร็วๆ ตรงมา ข้างกายยังลากเด็กอายุสิบกว่าขวบมาด้วยสองคน พอพวกนางเห็นเด็กสาวก็ถามยิ้มๆ “แม่นางซิ่วซิ่วก็มาด้วยหรือ”
หร่วนซิ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ให้ความสนใจ แต่ลึกๆ ในใจนางรู้สึกรำคาญไม่น้อย
เหล่าหญิงชาวบ้านไม่ถือสา แม้พวกนางจะไม่รู้ว่าช่างหร่วนที่ร้านตีเหล็กซึ่งเป็นบิดาของเด็กสาวคือเทพเซียนจากฝ่ายไหน แต่ก็พอจะรู้ถึงความร้ายกาจของช่างหร่วนอยู่บ้าง ข่าวลือเล็กๆ ที่ลึกลับบางส่วนอย่างเช่นท่านนายอำเภอยังต้องนั่งในระดับเดียวกับชายฉกรรจ์คนนั้น ใช่ว่าพวกนางจะไม่เชื่อ แต่ก็ยอมเชื่อแค่ครึ่งเดียว
เพียงแต่ว่าไปที่ร้านทั้งสองในตรอกฉีหลงหลายครั้ง ได้รู้จักกับเด็กสาวมากขึ้น จากความกระวนกระวายเมื่อแรกเริ่มก็เปลี่ยนมาเป็นความสบายใจ ไม่ได้รู้สึกว่านางมีนิสัยร้ายกาจของคุณหนู ก็แค่ไม่ชอบยิ้มเท่านั้น
หร่วนซิ่วอยากจะอดทนไม่พูดอะไรเหมือนเวลาปกติ แต่วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็อดไม่ไหว จึงมองพวกนางแล้วพูดเสียงเย็น “พวกเจ้าไปเอาของที่ร้านมาโดยไม่จ่ายเงินก็ช่างเถอะ ข้าจะไม่บอกเฉินผิงอันก็ได้ และจะช่วยพวกเจ้าคิดไว้ในบัญชีของข้าเอง แต่ทำไมพวกเจ้าถึงยังมาก่อเรื่องที่บ้านเฉินผิงอันอีก?”
“โธ่เอ้ย แม่นางซิ่วซิ่วของข้า เจ้าไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเรากับเสี่ยวผิงอัน หญิงแต่งงานแล้วอย่างพวกเรา ตอนยังสาวสนิทกับแม่ของเขานักล่ะ ดังนั้นหลังจากที่พ่อแม่ของเสี่ยวผิงอันจากไป ไม่พูดเรื่องอื่น เอาแค่พิธีฝังศพสองครั้ง พวกเรามีใครบ้างที่ไม่ออกเงิน ออกแรงช่วยเหลือ? ภายหลังเสี่ยวผิงอันอยู่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว หากไม่ใช่เพื่อนบ้านที่มีน้ำใจอย่างพวกเราคอยช่วยเหลือ เด็กตัวโตแค่นั้นคงหิวตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังกลายเป็นคนร่ำคนรวยอย่างทุกวันนี้ได้อีก…”
“นั่นสิๆ เสี่ยวผิงอันเจอข้ายังต้องเรียกว่าอาซ้อสองเลยนะ ปีนั้นเขามาขอข้าวที่บ้านข้า เนื้อชิ้นโตปลาชิ้นใหญ่ ข้าตัดใจกินไม่ลง ตัดใจให้ลูกข้ากินไม่ลง ล้วนคีบใส่ถ้วยเสี่ยวผิงอันไปหมด บุญคุณนี้ไม่มีค่ามากพอ แต่วันนี้เสี่ยวผิงอันรวยแล้ว ไม่เพียงแต่มีร้านค้าใหญ่ตั้งสองร้าน ได้ยินว่ายังมีภูเขาอีกหลายลูก ข้ามแม่น้ำไปแล้วก็ไม่ควรรื้อสะพานกระมัง? จะไม่นึกถึงความดีของป้าๆ น้าๆ อย่างพวกเราบ้างเลยหรือ? แบบนั้นต้องใจดำขนาดไหนกัน…”
“แม่นางซิ่วซิ่ว พวกเรารู้ว่าเจ้าเป็นคนตระกูลใหญ่ พวกเราเองก็เกรงใจเจ้ามาโดยตลอด เจ้าคงปฏิเสธไม่ได้หรอกกระมัง? แต่แม่นางซิ่วซิ่ว เจ้าไม่รู้ถึงความลำบากของคนยากจนอย่างพวกเราจริงๆ ลูกต้องเรียนหนังสือ งานที่เตาเผามังกรกลับหยุดชะงัก พวกเราลำบากยิ่งนัก อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้จะมาขอเงินหลายพันหลายหมื่นตำลึงจากเสี่ยวผิงอันสักหน่อย นี่ก็วันปีใหม่ไม่ใช่หรือ ขอเงินยาสุ้ยไม่กี่สิบตำลึงให้พวกเด็กๆ จากเสี่ยวผิงอันที่เป็นพี่ชาย แม่นางซิ่วซิ่ว เจ้าลองถามใจตัวเองดู ไม่มีอะไรเกินกว่าเหตุไม่ใช่หรือ?”
หร่วนซิ่วตอกกลับไปตรงๆ สีหน้าเย็นชา “ข้ารู้สึกว่าเกินกว่าเหตุอย่างมาก”
บรรยากาศในตรอกเล็กเปลี่ยนมาเป็นกระอักกระอ่วนทันควัน
สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งตบขาตัวเองฉาดใหญ่ “แม่นางซิ่วซิ่ว จะพูดแบบนี้ไม่ถูก คราวก่อนหลังจากที่เสี่ยวผิงอันไปจากเมืองเล็ก แม่นางซิ่วซิ่ววานให้คนเอาของขวัญขอบคุณมามอบให้พวกเรา พวกเราก็ขอพูดกันตรงๆ ใช่ เรารับของไปก็จริง แต่ของเล่นพวกนั้นแลกเงินมาไม่ได้นี่นา คนยากจนไม่มีเงินซื้อข้าว เปิดฝาหม้อก็ไม่มีข้าวให้กิน จะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ก็ช่างเถอะ แต่เด็กๆ ยังเล็กแค่นี้ แม่นางซิ่วซิ่ว เจ้าดูสิ แขนข้างนี้ของลูกชายข้าไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวผิงอันในอดีตเลย เจ้าจะทนมองได้อย่างไร?”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับสีหน้านิ่งตึง “ข้าทนมองได้”
เหล่าสตรีแต่งงานแล้วพากันอึ้งงันเป็นไก่ไม้
แต่แล้วสตรีคนหนึ่งคืนสติ พูดเสียงเบา “พวกเราอย่าไปพูดกับนาง ไปหาเฉินผิงอันกันเถอะ หากเขากล้าทำตัวขี้เหนียว พวกเราก็จะประณามเขา ดูสิว่าเขายังจะต้องการชื่อเสียงอยู่อีกไหม”
สตรีแต่งงานแล้วสองคนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย วิธีนี้ต้องได้ผลแน่นอน คนผู้หนึ่งกดเสียงหัวเราะแผ่วต่ำหน้าบานเป็นกระด้ง “เฉินผิงอันกลัวคนอื่นพูดถึงพ่อแม่เขาในทางที่ไม่ดีมากที่สุด วิธีนี้ได้ผลที่สุด”
“ไสหัวไป!”
หร่วนซิ่วชี้นิ้วไปทางปลายฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิง กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่อย่างนั้นข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย”
—————————-
บทที่ 189.1 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ
โดย
ProjectZyphon
น้ำเสียงแก่ชราดังมาจากด้านหลังของหร่วนซิ่ว “จะตีพวกนางตายไปทำไม ไม่รังเกียจว่ามือจะสกปรกรึ?”
เหล่าสตรีแต่งงานแล้วที่เพิ่งเคยเห็นแม่นางซิ่วซิ่วโมโหเป็นครั้งแรกก็ตกใจไม่น้อย แต่พอพวกนางมองเห็นโฉมหน้าของผู้เฒ่าคนนั้นก็พากันถอนหายใจโล่งอก จะอย่างไรซะก็เป็นใบหน้าของคนที่ชาวบ้านในเมืองเล็กคุ้นเคยเป็นอย่างดี หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนรวยหรือคนจนก็ต้องเคยไปมาหาสู่ หรือไม่ก็เคยพูดคุยกับผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางมาก่อน เพราะต่อให้พญายมราชจะมารับตัวคน ก็ต้องถามเหล่าแพทย์ในร้านยาตระกูลหยางก่อนว่ายินยอมหรือไม่ เพียงแต่ว่าเก็บเงินแพงไปหน่อย คนจึงไม่ค่อยชอบนัก
หร่วนซิ่วหันไปมองผู้เฒ่า ไม่ได้พูดอะไร
หยางเหล่าโถวสูบยาคำใหญ่ มองพวกสตรีปากยื่นปากยาวที่อาจไม่ถึงขั้นใจดำอำมหิต แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจเมตตาก็ยังห่างไกลนัก ตอนยังเล็กเฉินผิงอันมีชีวิตยากลำบาก ขาดทั้งพ่อและแม่ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เพื่อนบ้านที่ยื่นมือมาช่วยเหลือมีไม่น้อยจริงๆ เพราะอย่างไรซะพ่อแม่ของเฉินผิงอันก็เป็นคนดี ใจคนก็เป็นแค่เนื้อก้อนหนึ่ง อย่างมารดากู้ช่าน และพวกผู้เฒ่าอีกหลายคนที่ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วต่างก็มักจะพาเด็กชายไปกินข้าวที่บ้านตัวเองบ่อยๆ หากเป็นช่วงอากาศหนาวเหน็บก็มักจะเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มาให้ แม้จะต้องปะชุนเพิ่ม แต่ดีๆ ชั่วๆ ก็ช่วยต่อชีวิตให้เด็กชายมาได้
เพียงแต่จุดที่ทำให้คนหวนกลับมานึกถึงเรื่องราวต่างๆ ก็อยู่ตรงนี้ ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจไปแล้ว หลังจบเรื่องก็ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทน เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มได้ดิบได้ดีก็รู้สึกยินดีด้วยจากใจจริง จึงเอาไปเล่าให้เด็กรุ่นหลังของครอบครัวตัวเองฟังว่าคนดีต้องได้ดี บอกว่าเห็นไหม สวรรค์ลืมตาแล้ว วันนี้บุตรชายของสองสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นถึงได้รับโชควาสนาตอบแทน
และนี่ก็ทำให้พวกเขามีความคาดหวังต่อชีวิตมากขึ้น คิดอยากให้วันหน้าตระกูลตัวเองโชคดีแบบนี้บ้าง
กลับเป็นพวกคนที่ตอนนั้นไม่ได้ช่วยออกเงินหรือออกแรงที่พูดจาแดกดันไม่หยุดปาก หลังจากที่เด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงเกิดร่ำรวยเป็นเศรษฐี ก็พยายามเรียกร้องเป็นสิงโตอ้าปากสวาปามอย่างสุดชีวิต แต่ละคนยกตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยเหลือคนยาก ยกตัวอย่างเช่นสามคนตรงหน้านี้ที่มักจะไปกินไปหยิบของในร้านตรอกฉีหลงมาโดยไม่จ่ายเงินเป็นประจำ แถมยังพาคนที่บ้านไปด้วย เด็กสาวหร่วนซิ่วอดทนข่มกลั้น ด้วยไม่อยากให้เฉินผิงอันถูกคนเอาไปนินทาลับหลัง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้บัญชีของร้านเกิดข้อผิดพลาดจึงได้แต่เอาเงินของตัวเองเติมเข้าไปในช่องโหว่ จำนวนนั้นไม่ถือว่ามาก นับรวมตลอดทั้งปีก็ประมาณสี่ห้าร้อยตำลึงเงิน
ทว่าหากเอาเงินก้อนนี้มาใช้กับคนระดับชาวบ้านที่มีชีวิตยากจนข้นแค้น ปีๆ หนึ่งได้จับเศษเงินแค่ไม่กี่ก้อนอย่างคนในตรอกหนีผิงหรือตรอกซิ่งฮวา ก็เรียกว่าไม่น้อยเลยจริงๆ
หยางเหล่าโถวมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ไม่ได้พาลูกมาด้วยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไปบอกกับบุรุษของเจ้าที่ทำงานในที่ว่าการอำเภอว่า ถ้าเขายังกล้าเอาคนไปนินทาลับหลังอีกแม้แต่คำเดียว คนกระทำ สวรรค์กำลังมอง เรื่องชั่วช้าที่ชอบทำบ่อยๆ ควรหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ระวังวันหน้ามีลูกชาย ลูกชายจะไม่พกความเป็นชายมาไว้สืบสกุล ถึงเวลาเกิดหายนะขึ้นมา ใครก็ช่วยไม่ได้”
สตรีผู้นั้นรีบพูดเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง “หยางเหล่าโถว ท่านพูดอะไรน่ะ? ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ”
ผู้เฒ่าพ่นควันสีเทาลอยคลุ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดประโยคที่พวกเจ้าฟังเข้าใจก็แล้วกัน วันหน้าไปซื้อยาที่ร้าน คิดเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัว หากเป็นโรคร้ายแรงถึงตาย หมอที่ร้านตระกูลหยางจะไม่ไปที่บ้านพวกเจ้าสามคน พวกเจ้าก็เตรียมโลงรอไว้ได้เลย”
เหล่าสตรีแต่งงานแล้วตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด
หยางเหล่าโถวปรายตามองเด็กชายผู้มีหน้าตาเกลี้ยงเกลาใสซื่อ ฐานกระดูกแข็งแรงที่ยืนอยู่ด้านหลังมารดาของเขาด้วยท่าทางขลาดกลัว แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “น่าเสียดาย ให้เงินแม่เจ้าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นางก็ตัดขาดเส้นทางแห่งความเป็นอมตะของเจ้าทันที วันหน้าเจ้าไม่อาจหยัดยืนอยู่ในภูเขาทางทิศตะวันตกนี้ได้แล้ว ยามที่จากบ้านเกิดไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก จงนึกถึงประโยคที่ข้าพูดในวันนี้ให้มาก”
ผู้เฒ่าพูดจบก็เดินจากไปทันที “แม่นางซิ่วซิ่ว หากหลังจากนี้พวกนางยังไม่ยอมไสหัวไปอีก เจ้าก็ตีพวกนางให้ตายจริงๆ ได้เลย เพราะถือว่าสมเหตุสมผลสอดคล้องกับกฎเกณฑ์แล้ว ไม่ว่าใครก็หาข้อตำหนิเจ้าไม่ได้ พอพวกนางตายแล้วก็ไม่ต้องเก็บศพ แค่โยนออกไปนอกตรอกหนีผิงก็พอ หากรู้สึกว่ามือสกปรกก็ไปล้างมือที่ลำคลองหลงซวี”
ก่อนหน้านี้หร่วนซิ่วก็มีความรู้สึกที่ไม่เลวต่อหยางเหล่าโถว แต่ก็ไม่เรียกว่าดีอะไรนัก เพราะนางรู้สึกว่าเหมือนมีเมฆหมอกบดบังทำให้มองแก่นแท้ของอีกฝ่ายไม่ออก ดังนั้นจึงรู้สึกกริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความรู้สึกดีกลับเพิ่มทบทวี จึงยิ้มตอบ “ครั้งหน้าข้ากับเฉินผิงอันจะไปสวัสดีปีใหม่ที่ร้าน”
หยางเหล่าโถวอืมรับพลางพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ ผู้เฒ่าเดินอยู่ในตรอก ผ่านบ้านเก่าโทรมหลังแล้วหลังเล่า บ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหมือนบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาที่ทรุดโทรมไม่มีคนอยู่อาศัย แต่บ้านที่สุดท้ายแล้วเป็นดั่งไม้เหี่ยวแห้งได้เจอฤดูใบไม้ผลิอย่างบ้านตระกูลเฉากลับมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วลูกหลานในตระกูลจะกระจัดกระจายกันไป ควันธูปขาดสาย แต่ละตระกูลนึกจะล่มจมก็ล่มจมไปเลย
พอผู้เฒ่านึกถึงภรรยาปากร้ายแสบสันต์ของหลี่เอ้อร์ แล้วหันมาเห็นแม่นางน้อยที่รู้มารยาทเข้าใจเหตุผลแบบหร่วนซิ่ว อารมณ์ก็ให้ซับซ้อน ทั้งดีและเลวปะปนกัน
ในเมืองเล็กแห่งนี้เกรงว่าคงมีสตรีโง่ไร้ไหวพริบผู้นั้นคนเดียวที่มีความสามารถ และมีความกล้ามากพอจะเถียงผู้เฒ่าฉอดๆ ที่สำคัญคือผู้เฒ่ายังด่าสู้นางไม่ได้
มีครั้งหนึ่งผู้เฒ่าถูกนางที่มายืนดักอยู่หน้าประตูด่าซะไม่เหลือชิ้นดี เพราะทนไม่ไหวจริงๆ จึงบอกให้หลี่เอ้อร์จัดการกับภรรยาตัวเองที่ปากคอเราะร้ายเสียบ้าง ผลคือหลี่เอ้อร์เงียบไปนานกว่าจะตอบด้วยประโยคระยำที่ทำให้ไฟโทสะของหยางเหล่าโถวพุ่งสูงสามจั้ง ‘อาจารย์ หากท่านโกรธจริงๆ ก็ตีข้าเถอะ แต่อย่าตีโดนหน้านะ ไม่อย่างนั้นพอข้ากลับไปบ้านแล้วเมียเห็นเข้า นางต้องกลับมาด่าท่านอีกแน่ๆ’
หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่บุตรสาวของหลี่เอ้อร์ หยางเหล่าโถวก็อยากจะตบให้สตรีผู้นั้นเละเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ
สตรีแต่งงานแล้วสามคนที่ยืนในตรอกไม่กล้าอยู่ต่ออีก มาอย่างฮึกเหิม กลับอย่างห่อเหี่ยว ตอนออกจากตรอกยังหันมาทะเลาะกันเอง ต่างฝ่ายต่างโทษอีกฝ่าย สบถด่าทอ ผลักๆ ดันๆ กันเอง
ตอนที่มารดาแผดเสียงด่ากับคนอื่น เด็กคนที่หยางเหล่าโถวพูดด้วยมีสีหน้านิ่งสนิทตลอดเวลา เด็กชายหันกลับไปมองในตรอกแคบลึกด้วยความรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนว่าได้สูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญมากไป จะให้ยกตัวอย่างก็คงเหมือนสตรีทำอาหารแต่ลืมใส่เกลือ คนตัดต้นไม้ขึ้นภูเขาแต่ลืมเอามีดผ่าฟืนไป
หลังจากสตรีกลุ่มนั้นเผ่นแนบไปแล้ว หร่วนซิ่วก็ค้นพบว่าเทพทวารบาลสีสันสดใสสององค์หน้าประตูบ้านเฉินผิงอันสูญเสียปราณวิญญาณที่แท้จริงไป
นี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เพราะต่อให้จะเป็นเทพทวารบาลกระดาษธรรมดาซึ่งซื้อมาจากตลาด ขอแค่เทพทวารบาลที่ถูกวาดยังไม่หายไปจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา ร่างทองคำยังอยู่ ควันธูปยังอยู่ ก็จะต้องมีปราณวิญญาณส่วนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณอันน้อยนิดนี้จะถูกลมฝนพัดพาหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจต้านทานความชั่วร้ายไออัปมงคลได้นานนัก ดังนั้นการที่ทุกๆ ปีใหม่ต้องมีการเปลี่ยนภาพเทพทวารบาล เหตุผลจึงไม่ได้เรียบง่ายแค่เพราะต้องการเพิ่มความเป็นมงคลในวันปีใหม่อย่างเดียวเท่านั้น
แต่ภาพวาดของปราชญ์บุ๋นบู๊สององค์ที่หร่วนซิ่วเห็นอยู่ตอนนี้คือภาพผู้สร้างสกุลหยวนและเฉา สองสกุลใหญ่อันเป็นเสาเอกของราชวงศ์ต้าหลี ปัจจุบันทั้งสองตระกูลต่างเจริญรุ่งเรือง ควันธูปลอยขโมงไม่ขาดสาย ตามหลักแล้วเพิ่งจะเอาภาพมาติด ปราณวิญญาณก็ไม่ควรหายไปเร็วขนาดนี้ หร่วนซิ่วขมวดคิ้วเดินขึ้นหน้า ยื่นฝ่ามือไปปัดผ่านบนกระดาษสีหยาบระคายมือเบาๆ เพียงไม่นานบนกระดาษก็มีแสงสีทองไหลริน เปี่ยมไปด้วยปณิธานแห่งความซื่อตรง เพียงแต่ว่าสายตาของคนธรรมดาไม่อาจมองเห็น
ทำทุกอย่างนี้เสร็จเด็กสาวชุดเขียวถึงได้จากมาอย่างพึงพอใจ ส่วนสภาพของเทพทวารบาลหน้าประตูบ้านซ่งจี๋ซินที่อยู่ติดกันจะเป็นอย่างไร นางไม่แม้แต่จะปรายตามอง
นางเดินเนิบช้าไปตลอดทางจนถึงตรอกของบ้านหลิวเสี้ยนหยาง ผิวปากหนึ่งครั้ง เพียงไม่นานหมาบ้านตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาอย่างลิงโลด มันเข้ามาวิ่งวนพัวพันอยู่รอบกายเด็กสาว นางยิ้มแล้วโยนโอสถสีแดงเพลิงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเม็ดหนึ่งให้มัน หมาแก่กลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหางเดินตามหลังเด็กสาวผู้มัดผมหางม้า ฝีเท้าของมันเบาและไวแต่ไร้เสียง
หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมาและไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์
แม้จะชอบพูดกันว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น อาจโมโหจนตายได้ แต่หากผู้ฝึกลมปราณมาเห็นภาพนี้ก็ต้องพูดว่า หากเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับหมาตัวหนึ่ง คงทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ
ไม่ได้เจอกับคนที่อยากเจอ เดิมทีหร่วนซิ่วยังรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางกลับเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ดูเอาเถอะ สิ่งที่เขาต้องการให้ตนดูแล ไม่ว่าจะเป็นไก่เล้านั้นหรือหมาตัวนี้ นางก็ล้วนดูแลได้เป็นอย่างดี
เด็กสาวชุดเขียวเดินอยู่บนถนนปูแผ่นหินสีเขียว ผมยาวดำขลับรวบมัดด้วยเชือกสีเขียวเป็นผมหางม้า ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล แต่ทัศนียภาพของที่แห่งนี้งดงามเป็นเอกลักษณ์
……
หลังส่งเฉินผิงอันกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อก็หายตัวไปอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่ได้ย้อนกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋น แต่ตรงดิ่งไปที่ยอดเขาลั่วพั่ว ในสายตาของเขามองเห็นศาลเทพภูเขาที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าแห่งหนึ่ง ลานหน้าศาลกว้างขวาง ปูด้วยหินประหลาดหรูหราที่มีคุณสมบัติคล้ายหยกขาว คล้ายเหล็กชั้นเยี่ยม รูปปั้นร่างทองในศาลสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เปิดให้ชาวบ้านเข้ามากราบไหว้อย่างเป็นทางการ
ชายแขนเสื้อกว้างของเว่ยป้อพลิ้วไหวดุจสายน้ำ เขาเดินไปด้านหน้าอย่างสง่างาม หลังจากได้ยินข่าวการมาเยือนของเขา รองเจ้ากรมโยธาธิการของต้าหลีคนหนึ่งที่ร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นก็เร่งรุดมาทักทาย เว่ยป้อเห็นว่าใบหน้าขุนนางน้ำดีของต้าหลีเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นิ้วมือทั้งสิบมีแต่แผลผุพองก็สาวเท้าเดินเล่นพลางสอบถามความคืบหน้าของงานก่อสร้างจากเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทว่าในใจกลับอดปลงอนิจจังไม่ได้ สกุลซ่งต้าหลีสามารถเปลี่ยนจากแคว้นเล็กๆ ใต้ปกครองของราชวงศ์สกุลหลู เดินทีละก้าวจนผงาดเป็นผู้พิชิตแถบทิศเหนือได้ ย่อมไม่ใช่แค่อาศัยโชควาสนาที่เป็นมายาล่องลอยอย่างเดียวเท่านั้น
รองเจ้ากรมไม่ได้เดินเข้าไปในศาลเทพภูเขา เขาหยุดอยู่แค่นอกธรณีประตูเท่านั้น พอส่งให้เว่ยป้อเดินเข้าไปข้างในเพียงลำพังแล้ว ขุนนางผู้นี้ก็รีบก้าวเร็วๆ จากไปทันที เพราะต้องควบคุมงานก่อสร้างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กใหญ่ก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด
ในวงการขุนนางของต้าหลี คำว่าสองแขนเสื้อมีแต่ลมเย็น ชีวิตอิสระเสรีดุจเทพเซียน มีใช้บรรยายขุนนางฝ่ายกรมพิธีการที่มีฐานะสูงศักดิ์
คำว่ากินเนื้อชิ้นโต ชักมีดฆ่าคนว่องไว ควบม้าเหล็กทลายค่ายกลบุกเบิกดินแดน คือการพูดถึงชาวบู๊กรมกลาโหม
กินดินกินฝุ่น ดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ พูดถึงขุนนางกรมโยธาธิการ
แต่ในฐานะรองเจ้ากรมที่กุมอำนาจแท้จริงอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง กลับลงมือทำงานอย่างมานะบากบั่นขนาดนี้ นับว่าเป็นภาพที่ราชวงศ์อื่นยากจะจินตนาการได้ถึง
เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อเบาๆ ประตูใหญ่ของศาลก็ปิดลง ในศาลเทพภูเขามีกลิ่นหอมเย็นจากเนื้อไม้ชั้นเยี่ยมโชยกรุ่นพาให้ใจคนสงบ
ศีรษะที่ทำมาจากทองแท้ของรูปปั้นเทพภูเขาลั่วพั่วซึ่งตั้งบูชาไว้ในห้องโถงใหญ่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
บุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดขงจื๊อปรากฏกายลอยพลิ้วออกมาจากรูปปั้น ใบหน้าเหนือลำคอขึ้นไปมีแสงสีทองอ่อนจางรางๆ แต่ไม่สะดุดตาเท่ารูปปั้น
เทพภูเขาท่านนี้ก็คือซ่งอวี้จาง
เขาก็คืออดีตผู้ตรวจการงานเครื่องปั้นของหลงเฉวียน ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กมายี่สิบกว่าปี ซ่งจี๋ซินเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิงเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรนอกสมรสของเขา สะพานแบบคานที่แขวนป้ายด้านหน้าว่า ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ แห่งนั้นก็เป็นซ่งอวี้จางที่ควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเอง สุดท้ายซ่งอวี้จางไปจากที่นี่ กลับไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง และช่วงเวลาที่กลับคืนมายังเมืองหลงเฉวียนอีกครั้งก็ได้ถูกเหนียงเนียงผู้นั้นของต้าหลีส่งคนมาหักคอ เก็บศีรษะใส่กล่องไว้อย่างลับๆ ฆ่าคนปิดปาก เลิกโม่แป้งฆ่าลา ก็เป็นเช่นนี้เอง
ซ่งอวี้จางรู้เรื่องภายในที่ฉาวโฉ่ของสกุลซ่งต้าหลีมากเกินไป อันที่จริงเขาก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน ตอนที่เดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนั้น ขุนนางฝ่ายบุ๋นต้าหลีที่คู่ควรกับคำว่าซื่อสัตย์ภักดีผู้นี้ถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าตนอาจตายเฉียบพลันระหว่างเดินทาง ผู้มีใจจงรักภักดี ยอมตายอย่างกล้าหาญก็เป็นเช่นนี้เอง
ดังนั้นหวังอี้ฝู่ แม่ทัพใหญ่แห่งสกุลหลูผู้สิ้นชาติที่ถูกเหนียงเนียงต้าหลีส่งมาฆ่าคนปิดปาก ถึงได้พูดประโยคสรุปที่ออกมาจากใจจริงว่า
‘ที่แท้บัณฑิตก็มีหัวที่ยอดเยี่ยมนี่เอง’
ในฐานะเทพภูเขาลั่วพั่ว ซ่งอวี้จางต้องคารวะทวยเทพขุนเขาเหนือในอนาคตที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เทพน้อยคารวะท่านเทพใหญ่”
เว่ยป้อหลุดหัวเราะ ขยับเท้าเบี่ยงกายหลบ โบกมือพูด “ท่านซ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ซ่งอวี้จางหันตัวคารวะตามไป “กฎระเบียบเป็นเช่นนี้ ไม่มีข้อยกเว้น”
เว่ยป้อจึงได้แต่รับการคารวะนี้อย่างเต็มพิธีการ แล้วกล่าวด้วยความจนใจ “บัณฑิตอย่างพวกเจ้านี่โง่จริงๆ จะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็เป็นเหมือนกันหมด”
ซ่งอวี้จางยืดตัวขึ้นตรง ยิ้มกว้างเปิดเผย
เว่ยป้อถามยิ้มๆ “คนของกรมพิธีการและสำนักโหราศาสตร์ได้บอกกับเจ้าเรื่องที่เทพภูเขาต้องให้ความสนใจหรือไม่?”
ซ่งอวี้จางพูดเยาะตัวเอง “พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรมาก หลังจากเสร็จพิธีแต่งตั้งเทพก็รีบร้อนลงจากภูเขาไป ไม่เหมือนเห็นข้าเป็นเทพภูเขา แต่เหมือนเห็นเป็นเทพแห่งโรคระบาดเสียมากกว่า คงต้องขอรบกวนให้ท่านเทพแห่งขุนเขาเหนือช่วยไขความกระจ่างแก่เทพน้อยแล้ว”
เว่ยป้อผงกศีรษะรับ บอกให้ซ่งอวี้จางมายืนข้างกายตน จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง ไอหมอกผุดพุ่งขึ้นมาในห้องโถงใหญ่แล้วแผ่ปกคลุมไปรอบด้าน
เพียงไม่นานบนพื้นดินก็มีภาพพื้นที่โดยรอบภูเขาลั่วพั่วทั้งหมดปรากฏขึ้น ไม่แยกน้ำและภูเขาออกจากกัน แม้ว่าเทพภูเขาจะมีหน้าที่ปกครองแค่ในภูเขาอย่างเดียวเท่านั้น แต่หากเป็นลำธารที่มีต้นกำเนิดมาจากบนภูเขาหรือเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านตีนเขา เทพภูเขาก็มีสิทธิ์การดูแลในระดับที่แตกต่างกันออกไป เทพแห่งน้ำในโลก โดยเฉพาะพ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลองที่มีระดับชั้นต่ำ มักจะเสพสุขได้ไม่มากเท่าเทพภูเขา ฝ่ายแรกจำเป็นต้องเป็นฝ่ายตีสนิทกระชับความสัมพันธ์กับฝ่ายหลังก็ด้วยสาเหตุนี้
เว่ยป้อชี้ไปยังศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนยอดเขาลั่วพั่วที่เห็นจากภาพบนพื้น “คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน อันที่จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างพวกเราไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนัก ก็แค่นอนเสวยสุข กินควันธูปอยู่ในตำราผู้สร้างคุณูปการเท่านั้น ไม่ต้องฝึกบำเพ็ญกำลัง ไม่ต้องบำเพ็ญจิตใจ แค่สั่งสมกุศลธรรมไปทีละนิด ช่วยราชสำนักรักษาโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่แถบหนึ่งไว้ก็พอ เมื่อเปรียบเทียบกับสิบปีก่อนหน้านี้แล้ว ภัยธรรมชาติหรือภัยจากมนุษย์ที่เกิดขึ้นในเขตการปกครองมีเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง ประชาการมีมากขึ้นหรือถดถอย มีคนที่สอบติดเป็นจิ้นซื่อหรือไม่ มีนักพรตย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่หรือไม่ แน่นอนว่าหากมีลางมงคลอะไรปรากฏขึ้นก็ยิ่งดีเข้าไปอีก นี่ก็คือคุณความชอบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือผลงานของเหล่าขุนนาง”
ซ่งอวี้จางเคยเป็นขุนนางมาก่อน เมื่อเว่ยป้อยกเรื่องในวงการขุนนางมาเปรียบเทียบกับเรื่องขององค์เทพ เพียงไม่นานซ่งอวี้จางก็กระจ่างแจ้ง เข้าใจได้ในทันที
เว่ยป้อพูดยิ้มๆ “สรุปก็คือความชอบและความผิดพลาดทั้งหมดล้วนถูกบันทึกไว้ในบัญชีที่ว่าการของราชสำนักอย่างชัดเจน แค่มองปราดเดียวก็เข้าใจ อย่าคิดว่าเป็นเทพภูเขาแล้วก็แค่ต้องมาทักทายข้าคนเดียวเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วคนที่เจ้าต้องให้ความสนใจยังคงเป็นราชสำนักต้าหลี ศาลเทพภูเขาทั้งหมดสามแห่งในเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าได้ครอบครองตำหนักใหญ่บนภูเขาพีอวิ๋น เจ้าอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่สร้างไว้ทางแถบทิศเหนือ หากเป็นพื้นที่แห่งอื่น น้อยนักที่จะมีศาลเทพภูเขามากเท่านี้ ดังนั้นที่นี่จึงเรียกว่าโจ๊กน้อยพระมาก วันหน้าเจ้าต้องปวดหัวมาก เพราะต้องช่วงชิงควันธูปจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าไม่มีทางแข่งกับข้าได้…”
ซ่งอวี้จางพูดหยอก “ข้าหรือจะกล้า นั่นเท่ากับล่วงเกินผู้ใหญ่ เมื่อก่อนตอนมีชีวิตอยู่ยังบอกตัวเองได้ว่าจะไปกลัวกะผีอะไร อย่างมากก็แค่ลาออกไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ตาย แต่ตอนนี้จะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะแค่คิดจะตายก็ยังยาก”
—–
บทที่ 189.2 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ
โดย
ProjectZyphon
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซ่งอวี้จางก็คารวะขออภัยอีกครั้ง ถ้อยคำที่เอ่ยแฝงไว้ด้วยความขบขัน “ท่านมหาเทพแห่งขุนเขาให้เกียรติมาเยือนภูเขาลั่วพั่วหลายครั้ง เทพน้อยไม่เคยกล้าเผยตัวด้วยหวาดเกรงท่าน ควรเป็นเทพน้อยที่ต้องไปเยี่ยมเยียนท่านที่ภูเขาพีอวิ๋นถึงจะถูก”
จะอย่างไรก็เคยเป็นขุนนางระดับล่างที่ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองเล็กมาหลายปี อีกทั้งยังชอบทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง มักจะไปขลุกอยู่ในเตาเผามังกรสามสิบกว่าแห่งตลอดทั้งปี มาดความเป็นขุนนางบนร่างซ่งอวี้จางจึงถูกเกลาให้ราบเรียบนานแล้ว อย่าว่าแต่มุขตลกขบขันเลย แม้แต่คำพูดหยาบคายต่ำช้า เขาก็ยังรู้ไม่น้อย
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “ดีนักนะ ท่านซ่งปรับตัวจากวงการหนึ่งไปเข้าอีกวงการหนึ่งได้รวดเร็วปานนี้ นับว่าหัวไวยิ่ง”
ซ่งอวี้จางถามยิ้มๆ “ท่านที่อยู่ทิศเหนือคือ?”
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ขนาดพระพุทธรูปยังต้องแย่งชิงก้านธูปเลย แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างพวกเขาที่ต้องอาศัยควันธูปเพื่อดำรงชีพ
กลอุบายอ้อมค้อม คนที่ทำตัวเป็นแมลงวันซอกซอนเข้าโพรงโน้นเจาะโพรงนี้ ไม่ได้น้อยไปกว่าวงการขุนนางในโลกมนุษย์เลย
เว่ยป้อคิดแล้วก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายสักเท่าไหร่ ตอนมีชีวิตอยู่เป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่มีคุณความชอบในการรบอย่างสูง อารมณ์ร้ายมาก แต่ได้ยินมาว่าเขาสนิทกับสองท่านที่อยู่ในหอเหวินชางและศาลอู่เซิ่งมาก”
ซ่งอวี้จางพูดอย่างสนุกสนาน “ขุนนางจะเป็นกันแบบนี้ไม่ได้ ไม่คาระเทพที่แท้จริง ดันไปคารวะเทพนอกรีต เข้าผิดศาล จุดธูปผิดที่ กาลภาคหน้าย่อมต้องลำบากแน่”
เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ ยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ประโยคนี้พูดได้สาแก่ใจข้านัก”
เว่ยป้อขยับนิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกก็ขยับสูงตามไปด้วย สุดท้ายเผยให้เห็นภาพมุมหนึ่งอย่างชัดเจน
บนผิวลำธารมีคนผูกเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้ ปลายเชือกสองด้านผูกอยู่บนต้นไม้สองต้น ขวดเล็กใบหนึ่งที่เปิดฝาจุกถูกผูกไว้กลางเชือก
ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่บนฝั่ง เด็กหญิงสวมชุดกระโปรงชมพูคอยกระโดดเบาๆ แกว่งเชือกให้ขยับ ขวดที่อยู่บนผิวน้ำก็แกว่งตามไปด้วย
เว่ยป้ออธิบาย “นี่ก็คือขวดเร่าเหลียงคุณภาพดีใบหนึ่ง พวกมันสามารถกักเก็บเสียงที่งดงามมากมายในโลก ขวดที่เห็นอยู่ตอนนี้จำเป็นต้องมีคนคอยแกว่งเชือกให้เบาๆ จึงจะช่วยให้ขวดน้อยดูดซับเสียงน้ำได้ดียิ่งขึ้น หากไม่ทำเช่นนี้จะต้องเสียเวลานานมากกว่าจะเก็บเสียงไว้ได้เต็มขวด”
ซ่งอวี้จางถาม “เป็นขวดของเฉินผิงอันเจ้าของภูเขา?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว เจ้าคิดยังไงกับเฉินผิงอัน?”
ซ่งอวี้จางตอบอย่างไม่ลังเล “เพราะซ่งจี๋ซิน…เพราะความเกี่ยวข้องกับองค์ชาย ข้าจึงรู้เรื่องระหว่างการเติบโตของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน ดังนั้นความประทับใจที่มีต่อเขาจึงดีมาก ได้มาเป็นเทพภูเขาลั่วพั่ว สำหรับข้าแล้วจึงนับว่าไม่เลวเลย”
เว่ยป้อหันขวับมามองเทพภูเขาผู้ปกครองพื้นที่แถบนี้ เป็นครั้งแรกที่เรียกซ่งอวี้จางว่าใต้เท้าซ่ง จากนั้นก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่า เจ้าไม่เคยคิดถึงสถานการณ์หนึ่ง นั่นคือต้าหลีต้องการให้เจ้าจับตามองเฉินผิงอัน และไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะบอกให้เจ้าทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองก็ได้”
ซ่งอวี้จางยิ้มสง่างาม “ต้องเดาได้อยู่แล้ว ต้าหลีของข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพราะเรื่องนี้ เพื่อสร้างสะพานแบบคานแห่งนั้นมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์ต้าหลีต้าตายไปตั้งเท่าไหร่ เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้อยู่แล้ว ดังนั้นในเมื่อวันนี้ชะตาชีวิตของเฉินผิงอันพลิกกลับ โชควาสนายิ่งใหญ่มาเยือน จะไม่ให้ต้าหลีของข้าป้องกันเหตุไม่คาดฝันเลยได้อย่างไร?”
ต้าหลีของข้า!
เมื่อมีชีวิตอยู่ภาคภูมิใจในสิ่งนี้ ตายไปแล้วก็ยังไม่เปลี่ยน นี่กระมังที่เรียกว่าถึงตายก็ไม่สำนึก?
เว่ยป้อเงียบไปนาน เรียกไอหมอกเหล่านั้นกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อประหนึ่งม้วนตลบฝูงนกกลับคืนรัง ซ่งอวี้จางถึงขนาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความลิงโลดร่าเริงของพวกมัน
เว่ยป้อคลี่ยิ้ม “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
แล้วเว่ยป้อก็หายตัวไป
เหลือซ่งอวี้จางอยู่ในศาลเทพภูเขาเพียงลำพัง เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง หรือว่าตนไม่เหมาะจะเป็นขุนนางจริงๆ ถึงได้พบเจอแต่อุปสรรค ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ล้วนเป็นเช่นนี้
เว่ยป้อเทพเซียนชุดขาวพาเด็กหนุ่มเฉินผิงอันสำรวจตรวจตราไปรอบทิศ ความหมายในการกระทำนี้ ใครบ้างที่ไม่เข้าใจ?
ซ่งอวี้จางย่อมรู้ดี รูปปั้นในศาลเทพภูเขาทางทิศเหนือก็รู้ดีเช่นกัน กองกำลังตระกูลเซียนทั้งหมดที่ซื้อภูเขาไว้ มีใครบ้างที่ไม่อยู่มานานจนกลายเป็นยอดคน แน่ล่ะว่าพวกเขายิ่งรู้ชัดอยู่แก่ใจ
เว่ยป้อจงใจพาเด็กหนุ่มเดินไปทั่วภูเขาใหญ่แต่ละลูก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการบอกความจริงข้อหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันมีข้าเว่ยป้อคุ้มครอง พวกเจ้าที่เป็นคนนอก ไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไร ขอแค่หวังจะมาขอข้าวกินในถิ่นข้าถ้วยหนึ่ง ก็ควรต้องชั่งน้ำหนักของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือองค์ใหม่ดูสักหน่อย เพราะเขาเว่ยป้อไม่ใช่เทพแห่งภูเขาทั่วไป ในอนาคตมีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่มีพละกำลัง ถิ่นฐานและอำนาจมากที่สุดของพื้นที่ครึ่งหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปนับจากทิศเหนือของสำนักศึกษากวานหูขึ้นมา เพียงหนึ่งเดียว!
……
เพิ่งจะผ่านปีใหม่มาได้สามวันก็เริ่มมีคนออกจากบ้านเดินทางท่องเที่ยวแล้ว
ในกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตกของเมืองเล็ก ชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊อกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเหมือนเด็กรับใช้ ต่างคนต่างถือไม้เท้าไม้ไผ่ไว้ในมือ พากันเดินขึ้นเขาลงห้วย มุ่งหน้ามาทางภูเขาลั่วพั่ว
บัณฑิตสะพายหีบหนังสือใบหนึ่ง
เด็กหนุ่มรับใช้ใบหน้างดงาม ไร้ตำหนิข้อบกพร่อง ไม่แพ้โฉมสะคราญคนใด
บุรุษที่เขาติดตามมาคือคนในพื้นที่ของเมืองเล็ก ตอนนี้เมื่อสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ยมาเปิดโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็ก บุรุษจึงรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงเหล่าปัญญาชนผู้มากความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือสี่ทิศได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจได้รับการเรียกขานว่าเป็นอาจารย์นักปราชญ์ แต่พวกเด็กๆ ในโรงเรียนกลับชื่นชอบเขามาก ชอบฟังเขาเล่าเรื่องแปลกพิสดารเต็มไปด้วยสีสัน หรือไม่ก็เรื่องราวงดงามจับใจอย่างเช่นเรื่องที่จิ้งจอกชื่นชอบบัณฑิต ส่วนเด็กหนุ่มก็ยิ่งชมชอบเขา ตามตื๊อตอแยอยู่นาน เขาถึงยอมรับปากเป็นอาจารย์ของตน
เด็กหนุ่มเป็นคนสนใจใคร่รู้ทุกเรื่องราวมาตั้งแต่เกิด เขาอาศัยอยู่ในบ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนที่เมืองเล็กเพียงลำพัง เวลานี้เอ่ยถามขึ้นว่า “อาจารย์ อริยะของลัทธิเต๋าเคยกล่าวว่า ชั่วหนึ่งชีวิตคนอาจมองเห็นขอบเขต แต่กลับไม่มีขอบเขตสำหรับความรู้ความเข้าใจ เอาชีวิตคนที่มองเห็นขอบเขตไปแสวงหาความรู้ความเข้าใจที่ไร้ขอบเขต อันตรายก็มาเยือน แบบนี้จะทำอย่างไรดี?”
ชายสวมชุดขงจื๊อกำลังคิดถึงอย่างอื่นจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที
เด็กหนุ่มเคยชินกับอาการใจลอยของอาจารย์ตัวเองมานานแล้ว จึงเอ่ยคำถามของตัวเองต่อไป “แล้วอริยะท่านนั้นก็บอกอีกว่า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ประหนึ่งควบม้าขาวผ่านร่องแคบ เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไป เห็นได้ชัดว่ายิ่งเป็นการเสริมหลักฐานให้กับข้อแรก แล้วแบบนี้จะเข้าใจอย่างไรล่ะ?”
ในที่สุดบุรุษก็คืนสติ จึงตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพราะฉะนั้นถึงต้องฝึกตนอย่างไรล่ะ ทุกครั้งที่ข้ามผ่านธรณีประตูหนึ่งบานก็จะมีชีวิตยืนยาวไปอีกสิบปี อีกร้อยปี ก็จะได้อ่านหนังสือมากขึ้น”
เด็กหนุ่มยังรู้สึกไม่กระจ่างเต็มที่ “แต่ถึงแม้ว่าลัทธิขงจื๊อของพวกเราจะเลื่อมใสในการฝึกตนเหมือนกัน ทว่าการเรียนหนังสือก็เพื่อก้าวเข้าสู่สังคม เพื่อทำให้โลกใบนี้ดียิ่งกว่าเดิม ไม่เหมือนกับลัทธิเต๋าที่แสวงหาแค่ชาติกำเนิดและการพิสูจน์มรรคาของตัวเอง แบบนี้จะทำอย่างไร?”
“ไม่จริงใจก็ไม่ประทับใจผู้คน”
บุรุษเอ่ยแปดคำยิ้มๆ เขาหยุดยืน มองทัศนียภาพรอบด้าน ภูเขาเขียวน้ำใสไหลริน จากนั้นก็พูดอีกแปดคำ “ยืนเหยียบพื้นมั่นคง ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ”
เด็กหนุ่มได้ยินคำว่า ‘ปล่อยไปตามธรรมชาติ’ ก็ให้นึกถึงลัทธิเต๋าที่รุ่งโรจน์สุดขีดในบุรพแจกันสมบัติทวีปโดยอัตโนมัติ เขาถอนหายใจหนึ่งที “ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง บอกว่ายามเกิดกลียุค ลัทธิเต๋าลงจากภูเขาไปช่วยผู้คน ลัทธิพุทธปิดประตูเคาะปลาไม้ ยามที่โลกสงบสุข ลัทธิเต๋าตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาอย่างสันโดษ ลัทธิพุทธเปิดประตูรับเงิน อาจารย์ ฟังดูแล้วลัทธิเต๋าก็ไม่เลวเลยนะ ส่วนลัทธิพุทธกับหลวงจีนกลับใช้ไม่ได้สักเท่าไหร่ มิน่าเล่าพวกเขาที่อยู่ในทวีปของเราถึงไม่ได้รับความนิยม หลักพระธรรมไม่รุ่งเรือง”
บุรุษส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเพียงแค่คำพูดจากอคติของบัณฑิตบางคนที่เจ็บแค้นเท่านั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียเลย แต่เหตุผลที่อธิบายไว้ก็มีน้อยมาก ใช้อคติสรุปภาพรวม กลับกลายเป็นว่าไม่สมควร สู้ไม่พูดยังจะดีกว่า การที่สามลัทธิสามารถก่อตั้งขึ้นมาได้ แน่นอนว่าต้องมีความเก่งกาจของตัวเอง อีกอย่างระบบของสามลัทธิก็ซับซ้อนมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย แต่ละสายปะปนกันหลากหลาย ดังนั้นเมื่อเจ้าอยากจะทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของสามลัทธิให้ชัดเจนก็ต้องสืบย้อนไปถึงต้นกำเนิด ถึงจะวิจารณ์พวกเขาได้ ไม่ใช่ว่ามีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ ก็พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหล พบเจอนักพรตเต๋าหรือหลวงจีนชั่วร้ายแค่ไม่กี่คนก็คิดจะฆ่าให้ตายทั้งหมด แบบนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง”
บุรุษสวมชุดขงจื๊อมองไปยังยอดเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล “สามลัทธิมีการโต้วาที จะมีคนสามคนที่มาอธิบายต้นกำเนิดการก่อตั้งลัทธิของตัวเอง ความลึกล้ำละเอียดอ่อนในหลักการของสามฝ่าย คนนอกไม่อาจจินตนาการได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด”
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ “อาจารย์ คนทั้งสามต่างก็พูดเรื่องของตัวเอง จะอันตรายได้อย่างไร?”
บุรุษถอนสายตากลับมาจากที่สูง มองไปยังทิศใต้ในระนาบสายตาปกติ ยิ้มบางๆ ตอบว่า “ในเมื่อเป็นการโต้วาที นอกจากเจ้าต้องเข้าใจข้อดีข้อเสียของลัทธิตัวเองแล้ว ยังต้องทำความเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของคนอื่นด้วย ถึงจะสามารถโน้มน้าวอีกสองคนที่เหลือให้ยอมรับในเหตุผลของเจ้าได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในขณะที่ศึกษาความรู้ของลัทธิอื่นก็จะต้องมีบางคนที่บ้างก็เกิดปัญญาตระหนักรู้ บ้างก็ถูกตีกลางแสกหน้า การโต้วาทียังไม่ทันเริ่มก็เปลี่ยนสำนัก เดินไปบนเส้นทางของลัทธิอื่นแล้ว”
เด็กหนุ่มที่มีหน้าตางามประณีตเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ไม่กระจ่างแจ้งนัก
บุรุษยิ้ม “อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมากเลย เดินไปข้างหน้าต่อเถอะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแรงๆ
เขาชื่อชุยชื่อ ชื่อนี้เขาตั้งด้วยตัวเอง บ้านอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนในเมืองเล็ก แต่กลับไม่ใช่คนของตระกูลหยวน
บัณฑิตสวมชุดขงจื๊อที่เดินอยู่ด้านหน้าก็คือหลี่ซีเซิ่ง นอกจากที่มือถือไม้เท้าช่วยค้ำยันเวลาเดินบนทางภูเขาแล้ว ตรงเอวเขายังห้อยยันต์ดอกท้อที่ทำจากแผ่นไม้สองชิ้นประกบกัน ลักษณะโบราณเรียบง่ายแต่ชวนมอง
เมื่อมาแขวนอยู่ตรงเอวเขาก็เข้ากันยิ่งนัก
ชุยชื่ออดถามคำถามขึ้นมาอีกไม่ได้ “อาจารย์ พวกเราขึ้นเขามาทำไมหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งตอบ “เพราะข้ารู้สึกว่ามีเรื่องหนึ่งที่คนบางคนทำไม่ถูก ในเมื่อทำผิดแล้วก็ไม่ควรผิดซ้ำซาก ข้าต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้”
ชุยชื่อยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ถูกเสมออยู่แล้ว!”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “หลักการอันล้ำค่าที่สืบทอดมายาวนานบนหน้าหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นของลัทธิไหนสำนักใด ก็ไม่ควรจะจมหายไปในความว่างเปล่า”
เด็กหนุ่มรู้สึกลังเลเล็กน้อย
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเย้า “วันนี้เจ้ายังถามคำถามสุดท้ายได้อีกหนึ่งข้อ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างลิงโลด “ข้าอ่านเจอจากหนังสือลายมือนักประพันธ์คนหนึ่ง บอกว่าใต้หล้ามีหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่ง แต่ทำไมจำนวนตัวอักษรของชื่อหอแห่งสุดท้ายถึงไม่เท่าหอแห่งอื่น?”
หลี่ซีเซิ่งขบคิด “เจ้าหมายถึงหอพิทักษ์เมืองที่ชื่อว่า ‘สยบไป๋เจ๋อ’ รึ? (ไป๋เจ๋อในอีกความหมายคือสัตว์ในตำนานอีกตัวหนึ่งของประเทศจีน มีลักษณะลำตัวเหมือนสิงโต มีเขาสองข้าง และมีเคราเหมือนแพะ เป็นสัตว์ที่นับว่าประเสริฐของประเทศจีน) เพราะว่าไป๋เจอคือ…ชื่อของคนผู้หนึ่ง หากจะให้ชื่อว่าหอสยบไป๋ หรือหอสยบเจ๋อ ก็คงไม่เหมาะ”
เด็กหนุ่มร้สึกคันยิบๆ ในใจ หน้ามุ่ย อยากจะถามอีกหนึ่งคำถาม แต่ก็ไม่กล้า
หลี่ซีเซิ่งหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “จะถามอีกก็ได้ วันนี้อากาศดีมาก ภูเขาสวยน้ำใส ถามหลายๆ คำถามก็ได้”
เด็กหนุ่มเริงร่าโดยพลัน กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายอาจารย์ของตน “ไป๋เจ๋อที่หอพิทักษ์เมืองสยบเอาไว้เกี่ยวข้องกับไป๋เจ๋อที่เป็นภาพวาดซึ่งผู้ฝึกลมปราณต้องมีไว้ครอบครองแทบทุกคนหรือไม่?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ “เกี่ยวสิ มีชื่อเดียวกัน”
เด็กหนุ่มจุ๊ปากพูด “อาจารย์ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีความรู้มากมายซ่อนอยู่ใช่ไหม?”
หลี่ซีเซิ่งเงยหน้าส่งยิ้มขออภัยให้กับทิศทางหนึ่งโดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันสังเกต จากนั้นก็หันมาเอ่ยกำชับเด็กหนุ่ม “อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเตือนพวกเราไว้ว่า ห้ามเอ่ยชื่อผู้อาวุโส ไม่เพียงแต่ต้องปฏิบัติต่อเหล่าอริยะในศาลบุ๋นเท่านั้น กับอริยะปราชญ์ของสามลัทธิร้อยสำนักก็เหมือนกัน ดังนั้นในอนาคตเมื่อเจ้าเดินทางเพียงลำพัง จงอย่าเอ่ยเรียกชื่อของเขาออกมาโดยตรง”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างอัดอั้น “ไป๋เจ๋อ?”
หลี่ซีเซิ่งตบศีรษะเขายิ้มๆ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?!”
เด็กหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ ไม่เห็นเป็นสำคัญ
คนทั้งสองเดินข้ามภูเขาข้ามธารน้ำมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่วต่อ
ตรงชายหาดทะเลประจิมของบุรพแจกันสมบัติทวีปมีชายสวมเสื้อคลุมหนังเตียวคนหนึ่งยืนอยู่ริมชายฝั่ง จิตของเขากระตุกเล็กน้อย หันหน้ามองไปทางทิศตะวันออกแล้วขมวดคิ้ว
ข้างกายเขามีสตรีสวมชุดชาววังคลุมหมวกผ้าโปร่งปิดบังใบหน้ายืนอยู่ ซึ่งก็คือจิ้งจอกที่ตกจากทางเดินเลียบหน้าผาในคืนหิมะตกหนักตนนั้น
นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “มีอริยะบางท่านในแจกันสมบัติทวีปพูดจาจาบจ้วงนายท่านหรือ? ต้องการให้บ่าวไปสั่งสอนเขาสักหน่อยหรือไม่?”
บุรุษถอนสายตากลับคืนมา เอ่ยเรียบๆ “แค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกคนหนึ่งของต้าหลีเท่านั้น ดีนักนะ ‘ใต้หล้ายังไม่วุ่นวาย ขวดก็ถูกเปลี่ยนก่อนแล้ว’” (ขวดในที่นี้ใช้คำว่า 瓶 ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำว่าแจกันของแจกันสมบัติทวีป)
สตรีอ้าปากค้าง ยอมเงียบเสียงลงแต่โดยดี รีบเตือนตัวเองในใจว่าพูดให้น้อยลงน่าจะดีกว่า
—–
บทที่ 189.3 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ
โดย
ProjectZyphon
เว่ยป้อมาหาเฉินผิงอันที่เรือนไม้ไผ่อีกครั้ง ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนอยู่ใต้แสงแดดบนพื้นที่ว่างโล่ง
ส่วนเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั้นกำลังกินของทานเล่นอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เหมือนเป็นเจ้านายยิ่งกว่านายท่านของตัวเอง
เว่ยป้อมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน จนกระทั่งเฉินผิงอันเก็บท่าเจี้ยนหลูแล้ว เว่ยป้อถึงได้หมุนตัวไปบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยยกเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวมาให้ บอกว่าเขามีธุระจะต้องคุยกับนายท่านของนาง
ไม่รอให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลงมือ เด็กชายชุดเขียวก็วิ่งปรู๊ดไปหยิบเก้าอี้มามือละตัว พอวางเก้าอี้ไม้ไผ่เรียบร้อยยังไม่ลืมค้อมตัวกระดกก้น ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเก้าอี้อย่างตั้งใจ
เขามายืนอยู่กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ทันได้เห็นสายตารังเกียจจากนาง เด็กชายชุดเขียวก็พูดอย่างมาดมั่นมีเหตุผล “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร นี่เรียกว่าลูกผู้ชายยืดได้หดได้!”
เว่ยป้อและเฉินผิงอันนั่งเคียงกันบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก เขาเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนว่า “อย่าโทษที่ข้าแอบมองภาพเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในเรือนไม้ไผ่ ตอนนั้นที่เจ้าช่วงชิงปณิธานกับตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น สถานการณ์อันตรายเกินกว่าที่เจ้าคาดคิดไปไกลมาก หากเบาหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก หนักก็คือตายคาที่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปมในใจเล็กๆ ที่มีอยู่พลันคลายออกไปด้วย
เว่ยป้อเอ่ยเนิบช้า “ผู้ฝึกกระบี่มีสองเรื่องให้ต้องทำ ฝึกกระบี่และหลอมกระบี่ ฝึกก็คือฝึกวิชาเวทคาถาของกระบี่ ฝึกคำเดียวกับคำว่าฝึกฝน หลอมก็คือกระบี่ที่พกติดกายและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หลอมคำเดียวกับคำว่าหล่อหลอม”
หลังจากอธิบายถึงสาระสำคัญอย่างเรียบง่ายจบแล้ว เว่ยป้อก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อคำพูดที่จะพูดในวันนี้อย่างมาก “เพราะข้ามองตื้นลึกหนาบางของลำดับชั้นตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นของเจ้าไม่ออก จึงไม่อาจสรุปส่งเดช แต่ข้าสามารถพูดถึงหลักการบางอย่างที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันให้เจ้าฟังแบบง่ายๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่นการขัดเกลากระบี่บินเล่มหนึ่งที่จับต้องได้จริง หรือการหล่อหลอมและเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งด้วยความอบอุ่น ซึ่งล้วนจำเป็นต้องใช้ของวิเศษหายากแห่งฟ้าดินจำนวนเหลือคณานับ ดังนั้นการที่ข้าพาเจ้าเดินไปทั่วภูเขาต่างๆ รอบหนึ่งก็เพราะต้องการให้เจ้าเข้าใจเรื่องหนึ่ง การฝึกตนบนภูเขาจำเป็นต้องกินภูเขาเงินภูเขาทองเป็นลูกๆ คนมีเงินหรือเศรษฐีด้านล่างภูเขา อาจพูดได้ว่ามีทรัพย์สินมากมายผ่านไปหลายรุ่นก็ใช้ไม่หมด แต่บนภูเขา ไม่มีใครที่ใช้เงินของชีวิตนี้ไม่หมด อาจจะมี…บรรพบุรุษของสามลัทธิกระมังที่เป็นข้อยกเว้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่ด้านหลังนั่งสงบสำรวม เงี่ยหูตั้งใจฟัง
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางที่เป็นงูหลามไฟตัวหนึ่งแม้แต่น้อย แต่เกี่ยวข้องกับนายท่านของนางอย่างมาก นางจะไม่ตั้งใจฟังได้อย่างไร หากนายท่านฟังตกหล่นไป หลังจากนี้นางก็จะได้ช่วยเสริมให้
เด็กชายชุดเขียวรับฟังด้วยความเบื่อหน่าย ถึงกับกลอกตามองบน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟังคำพูดของเว่ยป้ออย่างยิ่ง หากวันนี้เว่ยป้อไม่พูด ลงจากภูเขาไป เขาก็คิดจะไปถามหร่วนซิ่วอยู่แล้ว
เว่ยป้อสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ท่าทางเช่นนี้ของเขาค่อนข้างคล้ายเด็กหนุ่มชุยฉาน จากนั้นจึงพูดต่อเนิบช้า “มีคุณสมบัติที่จะกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ คือธรณีประตูขั้นแรกของผู้ฝึกลมปราณ เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว มีเงินที่จะหล่อหลอมกระบี่บินหรือไม่ คือธรณีประตูขั้นที่สอง อีกทั้งธรณีประตูขั้นนี้ยังไม่ต่ำด้วย ระดับความแข็งแกร่งทนทานของกระบี่เล่มหนึ่งตัดสินกันที่ระดับความหนาแน่นของตัวกระบี่เอง ดังนั้นจำเป็นต้องผ่านการทุบตีหล่อหลอมนับร้อยนับพันรอบจากช่างหลอมกระบี่ นอกจากนี้ก็ยังมีระดับความแหลมคมของกระบี่ที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหน้าผาแท่นสังหารมังกรแห่งนั้นถึงได้มีมูลค่ามากนัก เป็นเหตุให้อริยะหร่วนฉงไม่กล้าฮุบไว้คนเดียว จำเป็นต้องดึงเอาศาลลมหิมะและเขาเจินอู่มาแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ถึงจะป้องกันไม่ให้คนอื่นเกิดความละโมบได้”
เฉินผิงอันปลงอนิจจังอยู่ในใจ ที่แท้อริยะก็มีเรื่องให้จำใจเหมือนกัน
เว่ยป้อชี้นิ้วไปยังภูเขาด้านหลังลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล ที่นั่นมีแท่นสังหารมังกรขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง “ขอแค่เป็นอาวุธเทพ ข้อเรียกร้องที่มีต่อหินลับอาวุธก็ยิ่งสูง นี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แท่นสังหารมังกรมีมูลค่าควรเมือง ราคาสูงเกินกว่าที่จะเอามาวางขายกันในตลาด เป็นของหายากมากพอจะกักตุนเอาไว้เก็งกำไรได้ เพราะขอแค่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าอย่างไรก็ได้กำไร เว้นเสียแต่ว่าถึงเวลาคับขัน จำเป็นต้องใช้เงินแบบเร่งด่วนจริงๆ ถึงจะมีคนยอมปล่อยให้มันหลุดมือ ถ้าหากร้านผ้าห่อบุญปล่อยข่าวออกไปว่าจะขายแท่นสังหารมังกรขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง ข้าว่าตลอดทั้งภูเขาหนิวเจี่ยวคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนแน่ๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “เฉินผิงอันหนอเฉินผิงอัน ทำไมหินดีงูที่เจ้ายกให้คนอื่นเหมือนยกผักกาดขาวถึงมีค่ามากนัก เพราะยาทุกชนิดบนโลกมีพิษอยู่สามส่วน ยาทั่วไปต่อให้จะได้ผลดีแค่ไหน ระดับสูงเท่าไหร่ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อช่องโพรงในร่างกายคนระดับหนึ่ง กว่าจะกำจัดออกไปได้นั้นยากแสนยาก ตอนแรกเริ่มยังสามารถกดกำราบ ปล่อยให้สะสมอยู่ในช่องโพรงบางช่องที่ค่อนข้างห่างไกลได้ แต่เมื่อตบะของผู้ฝึกลมปราณเพิ่มสูงขึ้น สิ่งสกปรกเหล่านั้นจะยิ่งเด่นชัด หากใช้วิชาอภินิหารมองทะลุร่างภายใน ข้อบกพร่องน้อยนิดเหล่านั้นจะยิ่งขยายใหญ่ ส่งผลกระทบต่อมหามรรคา ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบถูกคนในโลกเรียกว่าอริยะได้แล้ว แต่ทำไมพวกเขาแต่ละคนถึงทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง? เพราะชอบเป็นตะพาบเฒ่างั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะพวกเขากำลังขจัดสิ่งสกปรกในร่างไปทีละนิดอย่างยากเย็นต่างหาก”
เด็กชายชุดเขียวตกใจ รีบยืดตัวนั่งหลังตรงแน่ว ไม่กระดุกกระดิก ไม่กล้ามองนู่นมองนี่เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกละอายใจ อันที่จริงนางคิดมาโดยตลอดว่าจะช่วยเก็บหินดีงูชั้นเยี่ยมสามก้อนนั้นเอาไว้ให้นายท่านของตน นางจะไม่กินมันเด็ดขาด
เว่ยป้อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จากนี้ข้าจะบอกความลับบางอย่างแก่เจ้า เป็นความลับที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยกว่าจะได้รู้มา เฉินผิงอัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาไปพูดส่งเดช”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ตอนนี้นอกจากแม่นางหร่วนกับพี่ใหญ่หลี่แล้ว ในเมืองเล็กก็ไม่มีใครให้ข้าพูดคุยได้อีก”
เว่ยป้อจึงพูดต่อว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสี ไม่พูดตอบ แต่ก็ไม่ส่ายหน้าหรือพยักหน้ารับ
เว่ยป้อนึกว่าชายฉกรรจ์สวมงอบเคยพูดถึง จึงไม่แปลกใจอะไร “ภูเขาห้อยหัวเกิดจากการทุ่มเงินมหาศาลเทียมฟ้าจากหนึ่งในสามลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋า สามารถพูดได้ว่าเป็นตราประทับอักษรขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลุกเสกด้วยคาถาเต๋าอันยิ่งใหญ่ไพศาล ตระหง่านง้ำไม่มีวันล่มสลาย สถานที่แห่งนี้คือจุดตัดระหว่างใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นด่านยิ่งใหญ่และสำคัญแห่งแรก…และอาจจะกลายมาเป็นแห่งสุดท้าย”
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงเป็นแห่งสุดท้าย?”
เว่ยป้อยิ้มขื่น “หากน้ำป่าทะลักทำนบพัง หลังจากนั้นจะขัดขวางอย่างไร?”
เว่ยป้อเงยหน้า หลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดถอนใจพูด “ดังนั้นไม่เพียงแต่อุตรกุรุทวีปอันเป็นทวีปแห่งผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าแห่งอื่น อย่างกลุ่มเซียนที่คราวก่อนบินผ่านแจกันสมบัติทวีปแล้วลดระดับลงต่ำ เผยโฉมหน้าในเวลาสั้นๆ ตอนผ่านเมืองเล็กของพวกเจ้า ครั้งนี้ก็ล้วนถูกเรียกตัวให้ไปที่ภูเขาห้อยหัว และต้องผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อต้านรับการรุกรานจากเผ่าปีศาจที่มาจากใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง”
“ทุกครั้งที่เผ่าปีศาจอาละวาด ก่อให้เกิดสงคราม ก็จะต้องเรียกให้ผู้ฝึกกระบี่ไปที่ภูเขาห้อยหัว ผ่านภูเขาเข้าไปในเมือง ขัดเกลาวิถีแห่งกระบี่ระหว่างศึกตัดสินเป็นตายอยู่บนกำแพงเมืองสูงใหญ่แห่งนั้น”
“กำแพงเมืองปราณกระบี่คือจุดศูนย์รวมของเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้า เป็นที่ที่มีเซียนกระบี่มากที่สุดสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่อันตรายที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นขาดแคลนอะไรมากที่สุด?”
เว่ยป้อหันมามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันได้แต่ส่ายหน้า
เว่ยป้อจึงให้คำตอบ “ขาดแคลนกระบี่!”
“เพราะสงครามของที่นั่นเกิดขึ้นถี่เกินไป อีกทั้งยังโหดร้ายอย่างมาก กระบี่มีชื่อเสียงอันเป็นอาวุธเทพล้ำโลกที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนขั้นเป็นอาวุธอันดับต้นแห่งทวีปซึ่งถูกเซียนกระบี่มากมายพกพาไปที่นั่น บ้างก็ตัวกระบี่หัก บ้างก็ปณิธานกระบี่แตกย่อยยับ เจ้าของกระบี่ตายดับ บาดเจ็บล้มตายนับจำนวนไม่ถ้วน ดังนั้นการที่ผู้ฝึกระบี่ซึ่งเกิดและเติบโตที่นั่นจะได้ครอบครองกระบี่ดีๆ สักเล่มจึงยากมากๆ”
“บวกกับที่ในเผ่าปีศาจเองก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่เก่งกาจอยู่มาก พวกมันจะชอบเก็บเอาเศษซากของกระบี่ที่มีชื่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ฝึกกระบี่ที่ต้านทานเผ่าปีศาจ ณ กำแพงเมืองปราณกระบี่จึงต้องการกระบี่จำนวนมาก ถึงขั้นเรียกร้องให้ภูเขาห้อยหัวขอกระบี่และซื้อกระบี่จากโลกภายนอกมาให้ไม่ขาดระยะ ร้านค้ามากมายที่อยู่นอกภูเขาห้อยหัวจึงนั่งตั้งราคา รอให้ได้ราคาสูงก่อนค่อยขาย คนจำนวนนับไม่ถ้วนถึงกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเพราะสาเหตุนี้”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูดไม่พุด
ดูเหมือนเว่ยป้อจะรู้ความคิดของเฉินผิงอันจึงเอ่ยเย้ย “เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเจ้าหรือไง? เป็นคนดีเกินเหตุที่คิดจะมอบของมีค่าให้ใครก็มอบให้โดยไม่คิด? มอบให้ไปแล้วยังเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะหนักหรือไม่ ต้องการให้เจ้าช่วยถืออีกหรือเปล่า?”
เด็กชายชุดเขียวขยี้จมูกสีหน้ากระอักกระอ่วน รู้สึกว่าตนควรจะมีมโนธรรมมากกว่านี้ วันหน้าควรทำดีกับเฉินผิงอันอย่างจริงจังสักที?
เฉินผิงอันเงียบ ไม่ตอบโต้
“เฉินผิงอัน คำพูดเหลวไหลพวกนี้ของข้า เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย บอกตามตรง อันที่จริงข้านับถือเจ้ามาก”
เว่ยป้อรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ราวกับว่ากักเก็บไว้ในท้องมานานแล้ว หากไม่ปล่อยออกมาคงอึดอัดแย่ จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นคมกริบ แค่นเสียงเย็น “ในบรรดาปีศาจใหญ่ของใต้หล้าแห่งนั้น แค่ข่าวที่ข้ารู้มาตอนนี้ก็มีเซียนกระบี่ล้ำโลกที่มีชื่อเสียงมานานอยู่แล้วสามท่าน พลังการต่อสู้สูง พลังสังหารยิ่งใหญ่จนเกินจะจินตนาการได้ถึง เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ จำนวนจะมากขึ้นหรือลดน้อยลงก็ไม่อาจรู้ได้”
เว่ยป้อตบศีรษะตัวเอง “เกือบลืมบอกไป เรื่องที่ว่าทำไมเผ่าปีศาจถึงคอยโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้น เหตุผลเรียบง่ายมาก เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเกินไป ปราณวิญญาณเบาบาง ไม่เหมาะกับการฝึกตน ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่ง เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า ฟ้าดินแห่งหนึ่งก็เหมือนลานเลี้ยงแมลงพิษขนาดมหึมา ผู้ที่แข็งแกร่งก็ได้ครอบครองดินแดน ทรัพยากรการฝึกตนและมีลูกหลานมากมาย และใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็คือเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ แม้ไม่ได้อยู่ในปาก แต่ตาก็มองเห็น ชามของตัวเองมีแต่เศษน้ำแกงเย็นชืด ในชามของคนอื่นมีปลาชิ้นโตเนื้อชิ้นใหญ่ แล้วจะไม่ให้พวกเขาน้ำลายสอได้อย่างไร?”
สีหน้าของเว่ยป้อกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง “อันที่จริงหากจะให้พูดว่าถูกหรือผิด ฝ่ายหนึ่งทำเพื่อความอยู่รอดและขยับขยายเผ่าพันธ์ หวังให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าเดิม อีกฝ่ายหนึ่งทำเพื่อปกป้องบ้านของตัวเอง ยอมตายเพื่อเฝ้าพิทักษ์ดินแดน หากเอาตัวไปวางเป็นบุคคลที่สาม มองเรื่องนี้จากมุมของคนนอกก็อาจจะไม่ได้แบ่งแยกว่าใครดีใครเลวอย่างจริงจังนัก เรื่องวงในเหล่านี้ ข้าเองก็เพิ่งรู้มาบ้างเล็กน้อยหลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในภูเขาพีอวิ๋น รับปากว่าจะเป็นทวยเทพแห่งขุนเขา ซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรใหญ่คนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว เรื่องต่อไปนี้ เจ้าสามารถฟังเป็นเรื่องเล่าจากตำราสวรรค์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก”
“ว่ากันว่าก่อนหน้านี้มีมหาศึกที่โหดร้ายจนไม่นึกว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้ ปีศาจใหญ่หลายสิบท่านจับมือกันมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อปรึกษาหารือกับนักพรตยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์ หวังว่าจะแลกเปลี่ยนพื้นที่ขนาดเท่าบุรพแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับภูเขาห้อยหัวมาเป็นเงื่อนไขในการพักรบ เพียงแต่ว่าพวกเราไม่มีทางตอบรับ ได้คืบจะเอาศอก นี่คือหลักการที่แม้แต่เด็กก็ยังรู้”
“หลังมหาศึกครั้งนั้นผ่านไปมีศึกเดิมพันครั้งหนึ่งเกิดขึ้น สิบสามต่อสิบสาม อันที่จริงก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง เผ่าปีศาจและกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างฝ่ายต่างส่งคนออกมาสิบสามคน เจ็ดชนะหกแพ้ หากเผ่าปีศาจชนะก็สามารถยึดครองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียกำลังพลแม้แต่คนเดียว แต่หากพวกเราชนะก็จะต้องได้ครอบครองกระบี่ทั้งหมดของเผ่าปีศาจ!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ “สู้! ทำไมพวกเราจะไม่กล้าสู้ทั้งสิบสามศึกนี้เล่า!”
“รู้หรือไม่?!”
เว่ยป้อชี้นิ้วไปทางทิศใต้อย่างห้าวเหิม “ลำพังแค่เรื่องลำดับการส่งคนออกรบของสองฝ่าย ใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็เค้นหัวคิดกันแทบแตก มีบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของสกุลลู่แห่งดินแดนกลางที่เรียกตัวเองว่าเป็นเจ้าของนิกายหยินหยางครึ่งหนึ่ง ยอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะพออนุมานลำดับการออกรบของยอดฝีมือเผ่าปีศาจได้!”
“สุดยอดศึกใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตัดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกของฝั่งตัวเองออก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สู้กันจนลืมจุดประสงค์ สู้กันจนเขตแดนของสองดินแดนทะลุถึงกัน สู้จนสองดินแดนวุ่นวายโกลาหล ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากเป็นเช่นนั้น ศึกตัดสินที่ยุติธรรมครั้งนี้ก็จะไม่มีความหมายอะไรอีก”
“แต่ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ แค่การต่อสู้เจ็ดครั้งแรก หากไม่นับครั้งที่หนึ่งก็ชนะไปแล้วหกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังจะได้คว้าชัยชนะมาครอง การต่อสู้ครั้งที่แปด เรากลับพ่ายแพ้ อีกทั้งเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นยังเป็นคนแรกที่ถูกเผ่าปีศาจฆ่าตายกลางสนามรบ หลังจากนั้นขวัญกำลังใจของทหารก็เหมือนภูเขาที่ล้มครืน แพ้อย่างต่อเนื่องจนถึงครั้งที่สิบสอง การต่อสู้ครั้งนั้น ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดว่าจะต้องชนะแน่นอน เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นั้นได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือการต่อสู้เป็นเอก อีกทั้งผ่านมาแล้วร้อยสมรภูมิรบก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”
“แต่สุดท้ายเขาก็ยังแพ้ กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่คนที่สองที่ตายในสนามรบ”
“หลังจากนั้นใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง เพราะทุกคนรู้สึกว่าเราต้องแพ้อย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเซียนกระบี่ที่ขึ้นเวทีการต่อสู้เป็นคนสุดท้ายของฝ่ายกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่แข็งแกร่งมากพอ ตรงกันข้ามเลยทีเดียว เขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนทำให้คนรู้สึกว่าไม่มีใครทัดทานได้ แต่คนสุดท้ายของเผ่าปีศาจได้รับการยอมรับว่ามีพลังการสังหารเป็นสามอันดับแรกตลอดชั่วระยะเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมาของใต้หล้าแห่งนั้น เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะผ่านด่านแห่งความเป็นความตายมา ก่อนหน้านี้จึงปิดด่านไปนานพันปี จึงไม่ได้อยู่ในรายชื่อสามอันดับแรกที่ถูกตัดออก เมื่อเป็นเช่นนี้ ขนาดยอดฝีมือสกุลลู่นิกายหยินหยางที่ทุ่มชีวิตคิดคำนวณทุกด้านก็ยังคำนวณไม่ถึงข้อนี้ เห็นได้ชัดว่าทางเผ่าปีศาจต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยถึงปิดบังความลับใหญ่นี้เอาไว้ได้”
“ปีศาจใหญ่ตนนั้นคือผู้ฝึกกระบี่! ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด!”
“ในประวัติศาสตร์การบุกเข้าโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของเผ่าปีศาจ เขามักจะเป็นคนแรกที่บุกสังหารขึ้นมาถึงหัวกำแพง และเป็นคนสุดท้ายที่ถอยออกไปเสมอ”
เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งฟังอยู่ด้านหลังหน้าซีดขาวราวหิมะไปแล้ว
แม้แต่เฉินผิงอันที่มีจิตใจหนักแน่นเหนือกว่าคนทั่วไปก็ยังกำสองหมัดวางทับบนหัวเข่าแน่น เหงื่อรินมาตามกระดูกสันหลังโดยไม่รู้ตัว
จู่ๆ เว่ยป้อก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาก้าวยาวๆ เดินไปด้านหน้า ชายแขนเสื้อสะบัดไหวรุนแรง นิ้วมือของเขาชี้ไปยังทิศใต้ที่อยู่ห่างไกล หันหน้ามา ชูมืออีกข้างกำเป็นหมัด “แต่ว่าพวกเราชนะ”
“บุรุษที่สังหารปีศาจใหญ่เซียนกระบี่ผู้นั้น ทุกคนล้วนเรียกเขาว่าอาเหลียง! ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน เขาจะไปที่ไหน รู้แต่ว่าเขาสังหารเผ่าปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไปมากที่สุด!”
เว่ยป้ออารมณ์เบิกบานสุดขีด เขาโบกแขนของตัวเองอย่างแรง ตะโกนพูดก้องฟ้าดิน “เขาชื่อว่าอาเหลียง!”
เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังเรือนไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ใครบางคนตั้งชื่อให้ว่าเรือนเหมิ่งจื่อช้าๆ (猛字 เรือนอักษรเหมิ่ง เหมิ่งแปลว่ากล้าหาญ ฮึกเหิม ดุเดือด)
เด็กหนุ่มผู้เข้มแข็งพลันหลั่งน้ำตารินเป็นสาย
จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอหน้ากัน
มีชายฉกรรจ์วัยกลางคนสวมงอบคนหนึ่ง มือจูงลาสะพายดาบ ยิ้มแนะนำตัวเองกับเด็กหนุ่มว่า
ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม
ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
————
บทที่ 190 ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
โดย
ProjectZyphon
เว่ยป้อแค่เล่าเรื่องให้ฟังพอประมาณแล้วก็หยุด ไม่ยอมเปิดเผยไปมากกว่านี้ อักษรภาพยังต้องเว้นช่องว่าง การพูดคุยก็เหมือนกัน
ชายชุดขาวบังคับลมทะยานไปกลางอากาศ ล่องลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ
หลังออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อก็ชะลอความเร็วลง เอื้อมมือคว้าไอเมฆขึ้นมาปั้นเหมือนปั้นลูกหิมะ เพิ่มน้ำหนักให้มันไปเรื่อยๆ ก่อนจะใช้สองมือโอบไว้ก้อนเมฆที่ปั้นเข้าด้วยกันแล้วบีบอัดอย่างแรง สุดท้ายกลางฝ่ามือของเว่ยป้อก็ปรากฎเป็นลูกกลมสีขาวขนาดเท่าไข่ห่านหนึ่งลูก เขาที่อยู่กลางอากาศมองหาหนึ่งในต้นกำเนิดลำคลองหลงซวีของเมืองเล็ก แล้วโยนมันเข้าไปในธารน้ำที่อยู่กลางภูเขาเบาๆ ลูกกลมสีขาวหล่นลงไปด้านใน เพียงไม่นานก็มีปลาดำตัวหนึ่งกลืนมันลงไปในท้อง แล้วปลาตัวนั้นก็ว่ายตามกระแสน้ำไปยังเบื้องล่าง ออกจากภูเขา ผ่านหินหลังควาย สะพานหินโค้ง ร้านตีเหล็ก จากนั้นก็มาถึงน้ำตกอันเป็นจุดตัดระหว่างลำคลองหลงซวีกับแม่น้ำเถี่ยฝู ครั้นจึงร่วงดิ่งลงเบื้องล่างตามกระแสน้ำที่ไหลแรงอย่างรวดเร็ว
กระแสน้ำไหลเชี่ยวไปพร้อมกับกาลเวลาที่ไหลผ่าน ริมตลิ่งแม่น้ำเถี่ยฝู บนกิ่งต้นหลิวเก่าแก่ที่ยื่นพ้นจากลำต้นมาอยู่เหนือน้ำ เทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูนามว่าหยางฮวากำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ เทพแม่น้ำหญิงที่สวมหน้ากากบดบังใบหน้าพลันลืมตา ยื่นมือออกมากวักหนึ่งครั้ง ปลาดำที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างลิงโลดก็ถูกนางคว้ามาไว้ในมือ นางใช้นิ้วข้างหนึ่งเป็นใบมีดกรีดลงตรงท้องปลาดำ แล้วก็ได้เห็นลูกกลมสีขาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณลูกนั้น นางปาดปลายนิ้วเบาๆ เย็บท้องปิดให้กับปลาดำที่นำ ‘จดหมาย’ มาให้ก่อน พอปลาตัวนั้นหลุดจากฝ่ามือของนางลงสัมผัสกับน้ำ ปลาดำก็เริงร่าผิดปกติ เกล็ดทั่วร่างคล้ายจะส่องประกายระยิบระยับมากกว่าเดิม
หยางฮวาก้มหน้าลงมองลูกกลมสีขาวกลางฝ่ามือตัวเอง ด้านในลูกกลมนี้มีปราณของรากเมฆเป็นเส้นๆ ซึ่งล้ำค่าอย่างยิ่งสอดแทรกอยู่ด้วย ไม่ว่าจะสำหรับเทพลำคลองหรือเทพแม่น้ำก็ล้วนถือเป็นของบำรุงชิ้นใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำและภูเขาก็มีอาหารเลิศรสเป็นของตัวเองเหมือนกัน พวกแก่นน้ำ รากเมฆ ฯลฯ ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำจนกลายมาเป็นของที่จับต้องได้จริง เก็บแก่นแท้ที่ดีเอาไว้ นี่ก็เหมือนที่แท่นสังหารมังกรมีความหมายต่ออาวุธเทพ เหมือนที่หินดีงูมีความหมายต่อเผ่าพันธุ์เจียวและมังกรที่หลงเหลืออยู่นั่นเอง
หยางฮวาเงยหน้ามองไป ท่ามกลางเมฆหมอกพอจะมองเห็นบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่บนยอดกลุ่มเขา ใบหูข้างหนึ่งห้อยห่วงกลมสีทอง
ก่อนหน้านี้นางที่อยู่ที่นี่เห็นกับตาตัวเองว่าคนผู้นี้ขี่งูดำที่มีตบะธรรมดาทวนกระแสน้ำเข้าไปยังภูเขาใหญ่พร้อมกับสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่หนึ่งในผู้พิทักษ์ประตูของต้าหลี แต่หยางฮวาคิดไม่ถึงว่าเว่ยป้อผู้นี้จะเลื่อนขั้นพรวดกลายไปเป็นเทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีทันที แถมระดับขั้นยังเหนือกว่านางไปไกล
หยางฮวาไม่รู้ว่าทำไมเว่ยป้อต้องแสดงความเป็นมิตรกับตน เพราะฐานะไม่มั่นคงจึงคิดจะซื้อใจคนงั้นหรือ?
หยางฮวาแค่นเสียงเย็นไม่หยุด กำหมัดแน่น บีบลูกกลมสีขาวในมือให้แตกอย่างไม่ลังเล ปราณวิญญาณทั้งหมดจึงพากันไหลเข้าไปในกายนาง เส้นผมปลิวไสว น้ำในแม่น้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก่อตัวเป็นลูกคลื่นราวกับจะแสดงความยินดีกับตบะที่เพิ่มขึ้นของเจ้านาย
เว่ยป้อดึงสายตาที่มองไปยังแม่น้ำเถี่ยฝูกลับคืนมา ครั้นจึงกลับภูเขาพีอวิ๋นถิ่นฐานของเขา
ระหว่างที่ทะยานเวหาผ่านภูเขาลูกต่างๆ บางครั้งก็มีเสียงผู้ฝึกลมปราณทักทายมาจากเบื้องล่าง หากเป็นเมื่อก่อนเว่ยป้อมักจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์นั้น
เขามาที่สะพานเหล็กขึงเส้นหนึ่งที่แขวนอยู่ระหว่างยอดเขาของภูเขาสองลูก งานก่อสร้างยังไม่เสร็จดี ความกว้างนั้นมากพอให้รถม้าสองคันขับผ่านได้ ต่อให้ลมที่พัดผ่านช่องเขาจะกระโชกแรงแค่ไหนก็ได้แค่ทำให้สะพานโยกน้อยๆ เท่านั้น ลมพัดแรงเท่าไหร่ ระดับการแกว่งของสะพานขึงมีมากหรือน้อย ช่างและอาจารย์ด้านกลไกที่เป็นผู้ฝึกลมปราณของสำนักโม่ซึ่งรับผิดชอบสร้างสะพานล้วนมีข้อกำหนดที่เข้มงวด ไม่มีทางแอบอู้งานหรือตัดลดวัสดุเด็ดขาด ไม้ชิงอูที่ใช้ปูเป็นพื้นสะพานแน่นหนาทนทานอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างโจมตีอย่างเต็มกำลังครั้งหนึ่ง อย่างมากสุดก็ได้แค่แทงให้ผิวสะพานเป็นรูหนึ่งรูเท่านั้น ส่วนเส้นเหล็กที่ใช้ขึงก็ยิ่งหลอมมาจากเหล็กกล้าชั้นเยี่ยม
เพราะอย่างไรซะเมื่ออยู่ด้านล่างภูเขา ร้านเก่าแก่ดั้งเดิมก็ต้องอยู่มานานถึงร้อยปี กว่าจะได้ป้ายอักษรทอง (ป้ายที่ใช้สีทองทาเพื่อแสดงถึงความรุ่งเรือง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มักใช้อวดอ้างกับผู้คน) แต่บนภูเขาที่ชีวิตอมตะยาวนานนั้น ต้องผ่านเวลาห้าร้อยปีขึ้นไปถึงจะกล้าบอกว่าตัวเองคือร้านเก่าแก่
เมื่อเทพภูเขาชุดขาวผู้นี้เดินอยู่บนสะพานสีดำสนิทจึงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างเด่นชัด และยิ่งทำให้คนรู้สึกปลงอนิจจังด้วยรู้สึกถึงความ ‘ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาสูงส่ง’ ของบุรุษผู้นี้
เว่ยป้อหยุดเดิน ใช้มือข้างหนึ่งพยุงราวสะพาน แหงนหน้าขึ้นมอง
เขารู้ว่าที่ตัวเองสามารถเลื่อนขั้นกลายมาเป็นเทพแห่งขุนเขาเหนือได้นั้น อย่างน้อยโชควาสนาครึ่งหนึ่งก็มาจากชายฉกรรจ์สวมงอบพกดาบไม้ไผ่คนนั้น
เพราะต้าหลีค้นพบว่าหลังจากที่ตนได้พบกับคนผู้นั้นถึงสามารถทำลายพันธนาการ เปลี่ยนจากเทพแห่งผืนดินที่สภาพตกต่ำกลับคืนมาเป็นเทพภูเขาแห่งภูเขาฉีตุนอีกครั้ง
เป็นคุณความชอบของดาบไม้ไผ่ที่ฟาดลงมาครั้งนั้น ตัวเว่ยป้อเองก็เพิ่งจะเข้าใจหลังจากผ่านเหตุการณ์มานานมากแล้ว เมื่อเวลาผันผ่าน เว่ยป้อถึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่าร่างทองนี้ของตนไม่ธรรมดา
ถ้วยหนึ่งใบสามารถบรรจุน้ำหนึ่งอ่างได้งั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ ต่อให้เขาจะเคยเป็นเทพแห่งขุนเขาเหนือของแคว้นสุ่ยเสินมาก่อน เดิมทีก็เป็นองค์เทพชั้นสูงที่รับควันธูปได้ไม่น้อยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าภายหลังถูกเซียนที่วางหมากใช้วิชาอภินิหารมาพันธนาการเอาไว้ก็เท่านั้น แต่หากคิดจะรับควันธูปและปราณวิญญาณทั้งหมดจากทั่วแถบทิศเหนือของต้าหลี ตอนที่เพิ่งออกมาจากภูเขาฉีตุน เว่ยป้อคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ประมาณตนเกินไป อาจไม่ถึงขั้นเป็นมดแดงที่คิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ถือค้อนตีเหล็กซึ่งสักวันต้องทำให้ตัวเองเจ็บตัว ทำร้ายพลังชีวิตต้นกำเนิดของตัวเองแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้ เว่ยป้อกลับสามารถควบคุมภูเขาทั้งสามสิบกว่าลูกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ขยับมือ
ดังนั้นเว่ยป้อจึงยินดีที่จะมอบความเป็นมิตรของตนให้แก่เฉินผิงอันให้มากที่สุด ยินดีที่จะพาเขาเดินไปทั่วแม่น้ำและภูเขา เหมือนเป็นการแปะลายเซ็นเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีไว้บนร่างเด็กหนุ่ม
หนึ่งเพราะเฉินผิงอันไม่ใช่คนน่ารังเกียจ สองเพื่อตอบแทนบุญคุณอาเหลียง สามมีความเป็นไปได้ว่าอาเหลียงจะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง
เหตุผลข้อที่สามสำคัญที่สุด
เว่ยป้อกลัวว่าวันใดที่อาเหลียงกลับคืนมายังใต้หล้าแห่งนี้จริงๆ แล้วรู้สึกว่าตนจัดการได้ไม่เหมาะสมมากพอ หนึ่งดาบไม้ไผ่บนภูเขาฉีตุนที่เคยทำให้ขอบเขตของตนทะยานไกลเป็นหมื่นลี้ก็อาจจะทำให้ตนกลับคืนสภาพเดิมบนภูเขาพีอวิ๋นก็ได้ หากเป็นเว่ยป้อตอนที่ยังอยู่ภูเขาฉีตุน อาจจะไม่สนใจอะไรมากนัก แต่เว่ยป้อในตอนนี้กลับทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
เพราะเด็กสาวที่ฝึกตนอยู่ในตำหนักฉางชุนแห่งต้าหลีผู้นั้น
เว่ยป้อหันไปมองทางทิศเหนือ มองไปยังทิศเหนือของต้าหลีที่อยู่ห่างไกล เขาหรี่ตาลง พึมพำเบาๆ “ต้องมีชีวิตที่ดี ชีวิตนี้อย่าได้ไปชอบบัณฑิตอีก บัณฑิตมักทรยศคนที่ลุ่มหลงในรักมากที่สุด”
……
นอกเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นห่างไปไกลสุดขอบฟ้า เด็กชายชุดเขียวก็อยากกินหินดีงูธรรมดาเพื่อใช้ระงับความตื่นตกใจ
เด็กชายชุดเขียวกัดหินดีงูพลางไพล่นึกไปถึงท่าทางเศร้าสร้อยของเฉินผิงอันตอนที่หันกลับมามองเรือนไม้ไผ่ก่อนหน้านี้ก็อดจุ๊ปากพูดไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่านายท่านของพวกเราจะร้องไห้ด้วย ช่างเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวยิ่งนัก แค่ฟังเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนก็ซาบซึ้งใจถึงเพียงนี้ เชื่อว่าวันหน้าเมื่อนายท่านอยู่ในยุทธภพต้องมีชีวิตที่ตระการตามากแน่ เมื่อพบเจอความอยุติธรรมระหว่างทางก็แผดเสียงคำรามใส่ ช่วยเหลือแม่นางน้อยแล้วนางก็ตอบแทนด้วยร่างกาย นายท่านขยับร่างทีเดียวก็แปลงกายเป็นปลาขาวน้อยท่ามกลางลูกคลื่น…”
เด็กชายชุดเขียวจินตนาการถึงยุทธภพของเฉินผิงอันบรรเจิดไปไกล ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดี พอคิดถึงภาพที่คนดื้อรั้นและน่าเบื่ออย่างเฉินผิงอันถูกจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพโถมตัวเข้ากอดก็รู้สึกว่าตลกมากจริงๆ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยังคงจมจ่อมอยู่กับความตื่นตะลึงก่อนหน้านี้ สีหน้าของนางซับซ้อน ในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข หันไปพูดกับเด็กชายชุดเขียวเบาๆ “เจ้าว่าใต้หล้าของเผ่าปีศาจอำมหิตโหดร้ายขนาดนั้น ทำไมทางฝ่ายของใต้หล้าไพศาลพวกเราถึงยังสามารถอยู่ร่วมกับเทพเซียนบนภูเขาอย่างสงบสุข? ทำไมผู้ฝึกลมปราณถึงไม่สังหารพวกเราให้สิ้นซาก?”
เด็กชายชุดเขียวคิดแล้วก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คงเป็นเพราะรู้สึกว่าพวกเราคือขี้หมาที่กองอยู่ข้างทาง จะเหยียบก็รังเกียจว่ารองเท้าจะสกปรกกระมัง”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่นางก็คิดหาเหตุผลมาโน้มน้าวตัวเองไม่ได้ จึงได้แต่เก็บความกังวลและความไม่สบายใจนี้ไว้ในใจก่อนชั่วคราว
เว่ยป้อจากไปแล้ว แต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นเดินกลับเรือนไม้ไผ่ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กเพียงลำพัง ลมภูเขาต้นฤดูไม้ใบผลิยังคงหนาวเย็น พัดพาให้เส้นผมตรงจอนหูของเด็กหนุ่มปลิวไสวอย่างอิสระเสรี
ก่อนจะจากไปเว่ยป้อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าอาเหลียงกำลังตามหากระบี่เล่มหนึ่งที่คู่ควรกับพลังของเขา”
เฉินผิงอันจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่พบเจอกันครั้งแรกริมแม่น้ำเถี่ยฝู มีคนใช้มือข้างหนึ่งจับประคองงอบ มืออีกข้างตบลงบนด้ามดาบไม้ไผ่เบาๆ เอ่ยด้วยประโยคที่น่าสงสัยว่าเป็นการคุยโวว่า “ตอนนี้ยังหากระบี่ที่เหมาะกับข้าไม่เจอ ดังนั้นจึงได้แต่ใช้มันมาแทนที่ ทำให้คนใช้ดาบใต้หล้าอับอายก่อนชั่วคราว”
แล้วเว่ยป้อก็พูดอีกว่า “มีคนบอกว่าเขาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูง กระบี่ที่เอามาใช้ตอนสู้ศึกกับปีศาจใหญ่ไม่ถือว่าดีที่สุด เพียงแต่ว่าเขาใช้มาจนชินแล้ว จึงตัดใจเปลี่ยนใหม่ไม่ลง หลังจากที่มันแตก เขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเล่มใหม่ เปลี่ยนมาใช้กระบี่ที่ดียิ่งกว่าเดิม!”
“ลองจินตนาการดู หากสามารถหาอาวุธที่อาเหลียงคิดว่าเหมาะมือที่สุดเจอ หรือถึงขั้นหากระบี่บางเล่มที่สามารถช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับเจ้านายได้อีกหนึ่งขอบเขต เล่มเดียวก็พอแล้ว ขอแค่เลื่อนขอบเขตได้หนึ่งขอบเขตก็พอ เพราะนั่นจะทำให้เขามีพลังการต่อสู้เป็นขอบเขตสิบสี่ขั้นสูงสุด! ในฐานะผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์สามลัทธิ จะมรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธ หรือปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ล้วนรบด้วยได้!”
“ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เมื่อพบดาบเล่มนั้นแล้ว อาเหลียงในเวลานั้นจะเป็นแบบไหนกันแน่?”
หลังกล่าวประโยคนี้จบ เว่ยป้อก็จากไปอย่างคนที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความเลื่อมใส ประหนึ่งเนินเขาน้อยที่แหงนมองยอดเขาใหญ่โตตระหง่านง้ำ
ตอนที่เข้าไปในม้วนภาพวาดของผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เฉินผิงอันเคยฟันกระบี่ออกไปหนึ่งครั้ง
ตอนนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่า อาเหลียงต้องทอดทิ้งอะไรไป
คืนนั้นที่ฝนตก เฉินผิงอันเดินลงจากภูเขาไปพร้อมอาเหลียง
“เจ้าเอาของชิ้นหนึ่งที่ข้าคิดว่าเป็นของในกระเป๋าตัวเองไป”
“หากวันหน้าเจ้าไม่มีปัญญาสลักสองสามตัวอักษรไว้ที่นั่น ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง”
ตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่เข้าใจว่าคำพูดที่ชายฉกรรจ์สวมงอบเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ นั้น หมายความว่าอะไร เพราะอาเหลียงพูดอย่างไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มจึงไม่เคยรู้น้ำหนักที่แท้จริงของมัน
ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่า กระบี่เล่มนั้นมีดีแค่ไหน
ไม่รู้เลยว่า อาเหลียงแข็งแกร่งมากเท่าไหร่
หากเฉินผิงอันรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่ก่อนจากกัน ถ้าอย่างนั้นก่อนที่อาเหลียงจะจากไป เขาจะต้องถามพี่สาวเทพเซียนที่จำแลงกายมาจากวิญญาณกระบี่ท่านนั้น ถามนางว่าจะเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่ได้หรือไม่ บุรุษที่ชื่อว่าอาเหลียงคนนั้น เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง เป็นคนที่ดีมากๆ
อาเหลียงไม่พูด เด็กหนุ่มไม่รู้
อาเหลียงจากไปแล้ว เด็กหนุ่มถึงเพิ่งจะรู้
อาเหลียงที่เป็นเช่นนี้
ช่างโง่ยิ่งนัก
เขาอาศัยอะไรมาด่าว่าตนเป็นคนดีเกินเหตุ?
เฉินผิงอันเหม่อลอยอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นยืน เขาเดินไปทางเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวจึงถามขึ้นเบาๆ “นายท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ตกใจเรื่องที่เว่ยป้อเล่าให้ฟังหรือ? ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ภูเขาห้อยหัว กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาเหลียง เซียนกระบี่ปีศาจใหญ่อะไรพวกนั้น อยู่ห่างไกลจากพวกเรานับแสนนับล้านลี้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่ต้องกลัว พวกอริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ร้ายกาจแค่ปากอย่างเดียวเท่านั้น ความสามารถในการต่อสู้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อีกอย่างต่อให้มือกระบี่ที่ชื่อประหลาดผู้นั้นจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง คนแบบนี้ต้องมีสามเศียรหกกร ดุร้ายป่าเถื่อน เห็นเทพฆ่าเทพ เห็นเซียนสังหารเซียนแน่นอน ต่อให้มีโอกาสได้พบคนแบบนี้ ข้าก็ไม่อยากพบหรอก น่ากลัวเกินไป คาดว่าแค่เขาจามสักทีหนึ่งก็คงก่อให้เกิดพายุลมกรดพัดพวกเราจนเนื้อหายเหลือแต่กระดูกตั้งอยู่เป็นโครงเลยกระมัง…”
เฉินผิงอันตบศีรษะเด็กชายชุดเขียวที่บ่นพึมพำพลางกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่เป็นไร”
เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง จับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้น เดินลงมายังระเบียงใต้ชายคาแล้วชูมือขึ้นสูงต่อท้องฟ้า พูดในใจตัวเองสองประโยคว่า
“ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”
“ตกลงตามนี้”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น