อัจฉริยะสมองเพชร 1872-1877

 ตอนที่ 1872 หัวข้อการทดสอบ

จางเซวียนมองบรรดาร่างสูงตระหง่านที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนจะเลิกคิ้ว


น่าประหลาดใจที่มีสองใบหน้าที่คุ้นตาอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ทั้งสองคือหนานกงหยวนเฟิงกับถานไท่เจินชิงซึ่งเคยไปเยือนตระกูลหลัวกับตระกูลจางเมื่อไม่นานมานี้


เหล่านักปราชญ์โบราณจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจำศีลเพื่อยืดอายุขัย ภารกิจต่างๆนานาจึงถูกส่งมอบให้กับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จัดการแทน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มีตำแหน่งสูงส่งในสำนักแห่งขงจื๊อ


ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกที่ยืนอยู่แถวหน้ากวาดสายตามองฝูงชน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกึกก้อง “ยินดีต้อนรับ พวกคุณคือทายาทที่ปราดเปรื่องที่สุดจากตระกูลต่างๆของ 72 นักปราชญ์ ผมเชื่อว่าทุกคนคงฝ่าฟันมาแล้วมากมายกว่าจะมาไกลได้ขนาดนี้!”


“แต่ถึงอย่างนั้น เราก็มีทรัพยากรจำกัด และผมเชื่อว่าผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากนักเกี่ยวกับเกณฑ์การรับคนเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อของเรา เราเปิดรับเพียง 100 ที่นั่งเท่านั้นในแต่ละปี ซึ่งปีนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”


“ในปีนี้ เรามีผู้สมัครทั้งหมด 2,143 คน ซึ่งหมายความว่าจะมีเพียง 1 ใน 20 คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมกับพวกเรา พวกคุณจะต้องมอบชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายของการสู้รบอันดุเดือดครั้งนี้ ถ้าคุณหวาดกลัวล่ะก็ ผมขอให้คุณจากไปเสียตอนนี้เลย!”


“สำนักแห่งขงจื๊อรับเพียง 100 คนเท่านั้นหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ผู้สมัครกว่าสองพันคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ตั้งแต่อายุ 20 กว่าปี หากเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์ อัจฉริยะระดับนี้จะต้องก้าวขึ้นสู่การเป็นกลุ่มอำนาจหลักในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำนักแห่งขงจื๊อกำลังจะคัดพวกเขาออกเป็นจำนวนมากมาย…


การทดสอบครั้งนี้ออกจะเข้มงวดไปหน่อยไหม?


เห็นความงงงันของจางเซวียน วัยรุ่น 1 ใน 2 คนที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดขึ้น “หัวหน้าตระกูลไม่ได้บอกไว้แล้วหรือก่อนจะมาที่นี่? สำนักแห่งขงจื๊อเข้มงวดอย่างนี้เสมอแหละ อีกอย่าง…ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตระกูลของเรานี่?”


ชื่อของเขาคือฟ่านเฉี่ยวชิง และถึงแม้วรยุทธของเขาจะด้อยกว่าฟ่านเฉี่ยวฉู แต่ก็เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเช่นกัน


“ไม่ต่าง…หมายความว่าไง?”


“การคัดเลือกไงล่ะ! ทุกปีจะมีการทดสอบที่จัดขึ้นสำหรับพวกเรา ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบจะถูกตัดสิทธิ์ในการได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธและเทคนิควรยุทธ ทำให้สูญเสียโอกาสในการฝึกฝนวรยุทธไป คุณลืมแล้วหรือว่าเราต้องผ่านการสู้รบมามากมายแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้?” ฟ่านเฉี่ยวชิงส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“ผมจะลืมเรื่องนั้นได้อย่างไร? แค่รู้สึกหดหู่กับความเข้มงวดครั้งนี้” จางเซวียนตอบขณะยิ้มกลบเกลื่อนความประหลาดใจ


จัดการทดสอบขึ้นทุกปีและคัดผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบออกไป รวมทั้งตัดสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธ…ตระกูลที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ดูจะโหดร้ายไปหน่อยไหม?


เป้าหมายของปรมาจารย์ขงคือการบ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ทรงพลังและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่หรือ?


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ถึงจงใจผลักไสคนของตัวเองไม่ให้ได้รับทรัพยากรที่จำเป็นต่อความเจริญก้าวหน้าของพวกเขา?


“การทดสอบในปีนี้ต่างจากปีก่อนเล็กน้อย แต่จะง่ายกว่าเดิมมาก ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงรู้แล้วว่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้าเราถูกปิดกั้นไว้ ภูเขานี้จะเป็นเส้นทางสำหรับการทดสอบของพวกคุณ ก่อนจะเข้าสู่ภูเขา เราจะให้พวกคุณทุกคนติดตราหยกทะลุมิติไว้ที่หน้าอก ทันทีที่คุณทำมันแตกหักเสียหาย ก็จะถูกส่งทะลุมิติออกไป ทำให้หมดโอกาสเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ”


“คุณสามารถหาพันธมิตรหรือโจมตีคนอื่นๆได้ ไม่มีข้อห้ามเรื่องนั้น โดยตราบใดที่คุณยังเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต 100 คนสุดท้าย ก็จะถือว่าผ่านการทดสอบและได้รับสิทธิ์ให้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ” ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกซึ่งยืนอยู่แถวหน้าประกาศ


“เราจะถูกส่งทะลุมิติออกไปทันทีถ้าตราหยกทะลุมิติที่เราติดไว้แตกหักเสียหายอย่างนั้นหรือ?”


“ไม่ยุติธรรมเลย! ถ้าใครสักคนที่มีความสามารถในการอำพรางตัวเองซ่อนตัวอยู่ขณะที่พวกเราเข้าสู่ภูเขาล่ะ? ในเมื่อไม่มีใครหาตัวเขาเจอ ก็หมายความว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบได้โดยไม่ต้องต่อสู้เลย…อย่างนั้นสิ?”


“แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรสำหรับผู้ที่มีทักษะด้านค่ายกล ถ้าเขาติดตั้งกลไกป้องกันตัวไว้ ก็จะไม่มีใครเล่นงานเขาได้”


“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนซ่อนตัวและเราไม่สามารถกำจัดใครได้เลย?”


เสียงพูดคุยถกเถียงเซ็งแซ่ดังจากกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ด้านล่าง


พวกเขาเคยคิดว่าการทดสอบครั้งนี้จะเป็นรูปแบบเดียวกันกับปีก่อนๆ อย่างเช่นการประลองหรือ การทดสอบในรูปแบบต่างๆ ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นแค่การต่อสู้แบบคัดคนกลุ่มใหญ่ออก?


“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อพวกเราตั้งกติกาได้ ก็ไม่มีทางที่เราจะปล่อยให้เกิดปัญหาแบบนั้น สำนักแห่งขงจื๊อจะส่งกองกำลังลาดตระเวนออกไปเพื่อคอยกำจัดผู้ที่ซ่อนตัวหรือจงใจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ อีกอย่าง ระยะเวลาของการต่อสู้ก็ยาวนานเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจำนวนของพวกคุณยังไม่ลดลงจนเหลือเพียง 100 คนเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของการทดสอบ เราจะถือว่าพวกคุณทุกคนไม่ผ่านการทดสอบครั้งนี้!” ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกพูด


“6 ชั่วโมง?”


“กองกำลังลาดตระเวน?”


ทุกคนตาโตด้วยความประหลาดใจ


ยังมีบางคนที่คิดว่าพวกเขาจะสามารถฝ่าฝืนกฎเพื่อให้ผ่านการทดสอบได้โดยง่าย แต่ตอนนี้ก็ไม่กล้าคิดแบบนั้นแล้ว


การกำจัดคนมากกว่าสองพันคนภายในเวลา 6 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อให้แน่ใจว่าจำนวนของผู้เข้าทดสอบจะลดลงจนเหลือเพียง 100 คนเมื่อหมดเวลา พวกเขาจะต้องไล่ล่ากันเอง อีกอย่าง ใครที่กล้าซ่อนตัวก็เสี่ยงกับการจะถูกกองกำลังลาดตระเวนกำจัด


พูดอีกอย่างก็คือหากพวกเขาอยากเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตร้อยคนที่ยืนหยัดจนถึงช่วงสุดท้าย ก็จะต้องพยายามสุดตัวที่จะกำจัดคนอื่นๆให้ได้


ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกจ้องมองฝูงชนหลังจากเสร็จสิ้นการอธิบายกติกาทั้งหมด “มีคำถามอื่นไหม?”


“ไม่มี!” ฝูงชนตอบเป็นเสียงเดียวกัน


ชายผู้นั้นโบกมือ แล้วแท่นขนาดใหญ่ก็ยกตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน บนนั้นมีตราหยกอยู่หลายพันอัน


“ยืนยันตัวตนของพวกคุณแล้วนำตราหยกไป” เขาสั่งการ


วัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้าไปที่แท่น เขากัดนิ้วแล้วหยดเลือดลงไป


วิ้งงงง!


เกิดเสียงหึ่งเบาๆขณะที่ถ้อยคำแถวหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือแท่น : นักปราชญ์โบราณจื่อฉี


ฟึ่บ!


เมื่อสายเลือดของเขาได้การยอมรับ ตราหยกก็ลอยขึ้นมากลัดติดเข้าที่หน้าอกของเขา


จากนั้น วัยรุ่นคนที่ 2 ก็เดินไปที่แท่น


“กระบวนการของพวกเขาช่างเข้มงวดจริงๆ…” เห็นภาพนั้น จางเซวียนยกมือทาบอกอย่างโล่งใจ


โชคดีที่เขาได้เล่นงานฟ่านเฉี่ยวฉูจนสลบไปและปลอมตัวเป็นอีกฝ่าย ถ้าเขาไม่ได้ส่งเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนไปที่อื่นล่ะก็ การปลอมตัวของทั้งคู่จะต้องถูกจับไต๋ได้ด้วยกรรมวิธีการยืนยันตัวตนแบบนี้อย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ถูกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์เล่นงาน


ฝูงชนที่อยู่รอบตัวจางเซวียนค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหาแท่นนั้น ไม่ช้าก็ถึงตาของจางเซวียนในการรับตราหยก เขาหยดเลือดลงไปบนแท่นและรับตราหยกมาได้สำเร็จ


จากนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงกับวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง คือฟ่านเฉี่ยวเฟิง ก็ก้าวเข้าไป


ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ผู้เข้ารับการทดสอบกว่าสองพันคนก็ได้รับตราหยกที่พวกเขาจะต้องมอบชีวิตเพื่อปกป้องมันตลอดระยะเวลาของการทดสอบ


“ดีมาก รีบมุ่งหน้าไปยังภูเขา ทันทีที่ผู้เข้ารับการทดสอบคนสุดท้ายเหยียบย่างเข้าสู่ภูเขา เราก็จะเริ่มนับถอยหลังเป็นเวลา 6 ชั่วโมง!” ชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกโบกมืออย่างวางมาด


ฟึ่บ!


ฉนวนที่ปิดกั้นภูเขาถูกเปิดออก ทุกคนพุ่งขึ้นสู่ยอดเขาทันที


ผู้ที่ไปถึงก่อนจะมีสิทธิ์เลือกชัยภูมิที่ได้เปรียบ ทำให้มีโอกาสสูงกว่าเดิมที่จะผ่านการทดสอบ


ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงตั้งใจจะรีบไป แต่แล้วก็รู้สึกว่าถูกดึงชายเสื้อไว้


ผู้นั้นคือฟ่านเฉี่ยวฉู


“พวกเราน่าจะถูกบังคับให้แยกกันหลังจากที่เข้าสู่ภูเขา เพราะฉะนั้น รีบหาที่ซ่อนก่อนนะ แล้วผมจะไปตามหาพวกคุณ!”


จางเซวียนรู้ว่ามีค่ายกลทะลุมิติถูกติดตั้งไว้ในอาณาบริเวณรอบภูเขา จึงมีความเป็นไปได้ว่าผู้เข้ารับการทดสอบจะถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังพื้นที่ต่างๆกัน


ไม่อย่างนั้น หากผู้ที่มาจากตระกูลเดียวกันสามารถรวมหัวกันต่อสู้ได้ ก็จะเป็นการสู้รบที่ไม่ยุติธรรม


“ซ่อนตัว?” ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงขมวดคิ้ว


อันที่จริง ทั้งสามไม่ได้ทรงพลังมากนัก ต่อให้ผนึกกำลังกันก็ตาม และมีแต่จะกลายเป็นเป้านิ่งที่ชัดเจนขึ้นให้คนอื่นโจมตีหากยังเกาะกลุ่มกันแบบนี้ จึงน่าจะดีกว่าหากเข้าไปโดยทางใครทางมัน


“ฟังผมก่อน ผมแน่ใจว่าพวกเราทุกคนจะผ่านการทดสอบไปได้!” จางเซวียนพูดอย่างมั่นใจ


ในเมื่อเขาเล่นงานฟ่านเฉี่ยวฉูตัวจริงไปและสวมรอยเป็นอีกฝ่ายแล้ว ก็ควรจะมอบบางอย่างกลับคืนให้กับทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อบ้างเป็นการชดใช้


เห็นฟ่านเฉี่ยวฉูยืนกราน ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “…อย่างนั้นก็ได้!”


จางเซวียนไม่ยอมอธิบายว่าเขาจะไปตามหาทั้งคู่อย่างไรหลังจากที่ทั้งคู่ซ่อนตัว เขายิ้มน้อยๆ จากนั้นก็โผขึ้นสู่ภูเขาอย่างรวดเร็ว


วิ้งงงง!


ค่ายกลทะลุมิติเรืองแสงจางๆออกมาคลุมร่างของเขาไว้ ทำให้เขาหายวับไป


ตอนที่ 1873 กฎเกณฑ์ของผืนป่า

เมื่อแสงนั้นจางหายไป จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่หลังก้อนหินก้อนหนึ่ง ทันทีที่ตั้งตัวได้ ก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกที่พุ่งปราดมาตามพื้นดิน มันพุ่งเข้าใส่ตราหยกที่อยู่บนหน้าอกของเขา


ถ้าการโจมตีนั้นถึงตัวเมื่อไหร่ เขาจะต้องถูกคัดออกแน่


การทดสอบครั้งนี้ทำให้ผู้ที่มาถึงภูเขาก่อนมีความได้เปรียบ โดยผู้ที่มาถึงก่อนจะซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ รอคอยโอกาสเล่นงานผู้ที่เดินเข้าไปติดกับดักของตัวเอง


“ไม่เลวนี่ คุณน่ะเร็วใช้ได้!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะชี้นิ้วออกไปเพื่อตอบโต้


ฟึ่บ!


อาวุธที่พุ่งมาหาเขาถูกสกัดให้หยุดนิ่ง ไม่อาจไปได้ไกลกว่านั้น


แม้จางเซวียนจะกดข่มพละกำลังของเขาให้อยู่ในระดับของนักรบระดับเซียนขั้น 9 แล้ว แต่ลำพังแค่ความสามารถในการเรียนรู้และความเร็วของปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็มากเกินพอที่จะทำให้รับมือได้แม้แต่กับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 ธรรมดา ก็ไม่มีทางที่การลอบโจมตีของอีกฝ่ายจะเป็นผลสำเร็จ


เมื่อยับยั้งการโจมตีนั้นไว้ได้ จางเซวียนก็สังเกตสังกาคู่ต่อสู้ของเขา อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดดำ ร่องรอยของความพรั่นพรึงสะท้อนอยู่ในส่วนลึกในดวงตาเมื่อเห็นจางเซวียนยับยั้งการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางสู้ได้ ชายหนุ่มตัดสินใจถอนการโจมตีและหันหลังกลับ


สิ่งนี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวอันชาญฉลาด ถ้าเป็นผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ การตัดสินใจเฉียบขาดของเขาย่อมหมายถึงการอยู่รอด


“ผมต้องขอบอกว่าฝีเท้าของคุณเฉียบคมมาก แต่โชคไม่ดีอยู่สักหน่อยที่คุณเลือกผมเป็นคู่ต่อสู้…” จางเซวียนพยักหน้าขณะยกนิ้วขึ้นและเคาะกลางอากาศเบาๆ “สกัดกั้น!”


ฟึ่บ!


ราวกับบรรยากาศโดยรอบกลายเป็นน้ำแข็ง ชายหนุ่มพบว่าตัวเองยืนบื้ออยู่กับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้


“นี่มัน…การสกัดกั้นมิติ!” เขาร้องออกมาอย่างพรั่นพรึง


นักรบระดับเซียนขั้น 9 คนหนึ่งที่มีความสามารถขนาดนี้…นั่นหมายความว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นทายาทระดับหัวกะทิของตระกูล 72 นักปราชญ์! ทำไมเขาถึงโชคร้ายขนาดที่ต้องเจอกับศัตรูผู้ทรงพลังตั้งแต่เพิ่งเริ่มการทดสอบ?


“สะ-สหาย ผมขออภัยสำหรับการกระทำอันหุนหันพลันแล่น ผมโง่เง่าเหลือเกินที่กล้าโจมตีคุณ ได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตผมด้วย…”


ชายหนุ่มละล่ำละลักขอชีวิต


เขาภาคภูมิใจนักหนากับประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่งสูงสุดในหมู่คนรุ่นเดียวกันในตระกูลของเขา เขาเคยคิดว่าขอแค่เตรียมตัวให้ดี ก็น่าจะเล่นงานคู่ต่อสู้คนอื่นได้สบาย ใครจะไปรู้ว่าเป้าหมายแรกของเขากลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังอย่างแทบไม่น่าเชื่อ?


ถ้ารู้เสียก่อน คงจะซ่อนตัวต่อไป ไม่มีทางออกมารนหาที่ตายโดยเด็ดขาด!


“ก็ไม่ถือว่าเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวนะที่ผมจะไว้ชีวิตคุณ” จางเซวียนเปรยขณะมองหน้าชายหนุ่มอย่างมีเลศนัย


“บอกเงื่อนไขของคุณมาเถอะ!” ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงเจตนาเบื้องหลังสายตาของจางเซวียน เขากัดฟัน “ผมเต็มใจจะมอบทรัพย์สมบัติที่อยู่ในครอบครองของผมเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับความเมตตาของคุณ แต่คุณก็คงรู้นะว่าทรัพยากรของแต่ละตระกูลที่ตกทอดมาถึงพวกเรานั้นมีจำกัด ผมจึงมีของดีๆอยู่ไม่มากนักหรอก…”


“ผมไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของคุณหรอกนะ ตอนนี้คุณมีสองทางเลือก ทำลายตราหยกของคุณเสียและถูกคัดออก หรือไม่ก็บอกผมในสิ่งที่ผมอยากรู้” จางเซวียนพูดขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม “วางใจเถอะ ผมจะไม่ก้าวล่วงความลับของตระกูลของคุณหรือทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก”


“ผมเลือกทางที่สอง!” ชายหนุ่มตอบอย่างเด็ดเดี่ยว


มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าต้องลงทุนลงแรงเหนื่อยยากขนาดไหนกว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ หากเขาไม่ได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ทรัพยากรทั้งหมดที่เขาเคยได้มาจะต้องถูกระงับ ทำให้ไม่มีโอกาสยกระดับวรยุทธได้อีกในอนาคต


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะปล่อยให้ตัวเองถูกคัดออกไม่ได้!


“เยี่ยมเลย” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้ “นับตั้งแต่วินาทีที่คุณเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ คุณไต่เต้าขึ้นมาจนถึงระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร? ผมอยากให้คุณอธิบายทุกอย่างโดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็นบททดสอบหรือการทดสอบใดๆก็ตามที่คุณเคยผ่านมา!”


“อะ-อะไรนะ?”


ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าจางเซวียนจะถามอะไร แต่กลับกลายเป็นว่ามันคือสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี แม้เขาจะงุนงงกับคำถามนั้น แต่ก็ยังตอบตามตรง “ผมผ่านการทดสอบมาราว 27 ครั้ง ซึ่งจะมีขึ้น 1 หรือ 2 ครั้งในทุกๆปี ในการทดสอบแต่ละครั้ง ผมเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันถูกคัดออกไปมากมาย ทำให้ทรัพยากรต่างๆที่พวกเขาเคยได้รับถูกระงับไป แต่พวกเขาก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบภารกิจต่างๆของตระกูลแทน…”


ใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดของเขาออกมา


ขณะที่จางเซวียนกำลังตั้งใจฟัง รอยย่นก็ค่อยๆปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว


เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ ดูเหมือนการแข่งขันจะเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ นับตั้งแต่วินาทีที่เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ก็ต้องผ่านการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาจะได้เข้าถึงเทคนิควรยุทธและทรัพยากรที่มากขึ้นหากผ่านการทดสอบ แต่ถ้าล้มเหลว ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการฝึกฝนวรยุทธ


นี่ไม่ใช่การบ่มเพาะคนรุ่นหลังแล้ว แต่เป็นการบ่มเพาะปีศาจร้าย!


ว่ากันว่าผู้ที่บ่มเพาะปีศาจร้ายจะโยนสิ่งมีชีวิตมีพิษหลายพันตัวเข้าไปในโหลใบหนึ่งและปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเอง ตัวไหนที่เหลืออยู่เป็นตัวสุดท้ายก็จะถือว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด


สิ่งนี้เป็นกระบวนการแบบเดียวกันกับที่พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ทำอยู่ ผู้ที่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมการทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อจะต้องผ่านบททดสอบมากมายและอยู่เหนือเพื่อนรุ่นเดียวกันให้ได้กว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่พวกเขาล้วนแต่แผ่รังสีดุร้ายโหดเหี้ยมที่คล้ายคลึงกับบรรดายอดขุนพลออกมา เพราะมีแต่ผู้ที่มีแรงผลักดันและความอดทนสูงสุดเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ภายใต้เงื่อนไขแบบนี้


บางที อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ที่ทำให้เหยียนเฉว่กับคนอื่นๆไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะสำหรับพวกเขา ผลลัพธ์สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ขอแค่บรรลุเป้าหมาย วิธีการก็ไม่สำคัญ


ดูเหมือนพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จะได้ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้อยู่ในแบบที่ผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอด จางเซวียนคิดขณะมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง


“เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าทรัพยากรที่คุณได้รับจากตระกูลของคุณนั้นมีจำกัด นั่นหมายความว่าอย่างไร?”


“คุณก็เป็นทายาทของตระกูลใหญ่ ไม่รู้เรื่องนั้นหรือ?” ชายหนุ่มย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อ


แต่เพราะรู้ดีว่าอนาคตของตัวเองอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย จึงได้แต่ตอบคำถามอย่างว่าง่าย “มันขึ้นอยู่กับระดับวรยุทธและจำนวนการทดสอบที่คนๆหนึ่งได้ผ่านมา แต่ปริมาณทรัพยากรที่คนๆหนึ่งจะได้รับก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เท่าที่ผมรู้ ทุกตระกูลใช้กฎเกณฑ์แบบเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น”


จางเซวียนกลืนน้ำลายอย่างตกตะลึง รู้สึกเหมือนกับเพิ่งได้สัมผัสว่าพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ จัดการกับสมาชิกของตัวเองอย่างไร


เริ่มแรก พวกเขาจะคัดเลือกทายาทที่ดูเหมือนจะมีความถนัดด้านวรยุทธและบ่มเพาะคนเหล่านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้ที่ไม่อาจพัฒนาตัวเองได้จนถึงระดับที่กำหนดไว้ก็จะถูกคัดออก สูญเสียสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ รวมถึงเทคนิควรยุทธด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแข่งขันและบททดสอบทุกรูปแบบที่คนเหล่านั้นจะต้องผ่านไปให้ได้


ใครก็ตามที่ปรารถนาจะฝึกฝนวรยุทธต่อไป สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือเดินหน้าท้าชนเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ถูกทิ้งให้รั้งท้าย


พูดได้เลยว่าทรัพยากรในโลกใบนี้ถูกควบคุมไว้ในระดับที่เข้มงวดจนถึงขนาดทำให้ใครสักคนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวได้!


“แล้วคนๆหนึ่งจะเข้าไปสำรวจอาณาจักรโบร่ำโบราณหรืออะไรทำนองนั้นเพื่อเสาะหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธหรือเทคนิควรยุทธได้ไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


นักรบส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็มีทรัพยากรไม่มากเช่นกัน แต่ด้วยการแลกเปลี่ยนซื้อขายหรือการเข้าไปสำรวจอาณาจักรโบร่ำโบราณและค้นพบสมบัติ พวกเขาจึงสามารถรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นได้มากพอสำหรับการฝึกฝนวรยุทธได้ระยะหนึ่ง


แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมพลเมืองที่นี่ถึงไม่ทำแบบเดียวกัน คงไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้


“จะมีอาณาจักรโบร่ำโบราณอยู่แถวนี้ได้อย่างไร? หากนักรบคนหนึ่งเสียชีวิต ทรัพยากรทั้งหมดที่เขาเคยได้รับจะถูกตระกูลของพวกเขายึดกลับไป ต่อให้คุณสังหารผมตอนนี้ คุณก็ไม่มีทางนำทรัพยากรของผมไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว เพราะทุกอย่างที่ผมนำติดตัวมาถูกบันทึกไว้ในบันทึกของทางตระกูลแล้ว ถ้ามีสิ่งใดหายไป ตระกูลของผมจะไปขอเข้าพบตระกูลของคุณอย่างเป็นทางการและเรียกร้องให้คุณคืนทรัพยากรเหล่านั้น” ชายหนุ่มพูด


จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ


พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์คิดอะไรอยู่? มันเรื่องอะไรพวกเขาถึงอาการหนักขนาดที่ต้องควบคุมวงจรการหมุนเวียนทรัพยากรในอาณาจักรคุนฉื่อ?


มิติแห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากรถึงขนาดนั้นเลยหรือ?


หลังจากถามคำถามอีก 2-3 ข้อเพื่อให้เข้าใจแจ่มชัด จางเซวียนก็กระดิกนิ้วเบาๆใส่ชายหนุ่ม


พลั่ก!


ชายหนุ่มทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น


“เมื่อผมจากไป คุณจะฟื้นคืนสติดังเดิม แต่จะจำไม่ได้ว่าเคยพบผม และจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น” จางเซวียนกระซิบเบาๆก่อนจะเดินจากมา


ความทรงจำนั้นถูกเก็บไว้ในจิตวิญญาณ และด้วยประสิทธิภาพในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของจางเซวียน ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับเขาที่จะแยกความทรงจำส่วนหนึ่งออกมาและกำจัดมันทิ้งไป เพราะแม้คำถามที่เขาถามอีกฝ่ายจะดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่ก็มีโอกาสที่ในอนาคตมันจะนำปัญหามาให้ฟ่านเฉี่ยวฉู


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรตัดไฟแต่ต้นลม


ตอนที่ 1874 ฟ่านเฉี่ยวเฟิง

“การรับรู้จิตวิญญาณ!”


หลังจากแยกทางกับชายหนุ่ม จางเซวียนเดินไปอีกระยะหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณของเขาออกมา ในชั่วพริบตา เขาก็เห็นภาพรวมของทั้งภูเขา


อันที่จริง มีค่ายกลหลายอันถูกติดตั้งไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าทดสอบใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่เพราะพละกำลังที่เหนือชั้นและการมองเห็นข้อบกพร่องของค่ายกลเหล่านั้น จางเซวียนจึงสามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขาได้โดยไม่สะดุดตาใคร


ไม่ช้าเขาก็พบร่องรอยของวัยรุ่นทั้ง 2 ที่เขากำลังตามหาอยู่


“อ้อ? ฟ่านเฉี่ยวชิงดูจะโชคดี เขาถูกส่งทะลุมิติไปยังลำธารที่อยู่ใจกลางภูเขา เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ก็น่าจะหลบเลี่ยงสายตาของใครต่อใครได้สักระยะหนึ่ง ว่าแต่…ฟ่านเฉี่ยวเฟิงโชคดีแบบนั้นหรือเปล่า?”


ผู้เข้าทดสอบทั้ง 3 คนจากตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคือฟ่านเฉี่ยวฉู, ฟ่านเฉี่ยวชิง และฟ่านเฉี่ยวเฟิง


ฟ่านเฉี่ยวชิงซ่อนตัวได้ดี จนบัดนี้จึงยังไม่มีใครพบตัวเขา แต่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายกว่ากันมาก มีผู้เข้าทดสอบที่เก่งกาจ 3 คนไล่ล่าเขาอยู่


โชคดีที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงมีความแคล่วคล่องว่องไว ไม่อย่างนั้นตราหยกของเขาคงถูกทำลายไปแล้ว


ดังนั้น จางเซวียนจึงสะกดรอยตามฟ่านเฉี่ยวเฟิงไป เขารู้ดีว่ามีกองกำลังลาดตระเวนคอยจับตาการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ จึงพยายามรักษาระดับความเร็วตามแบบของนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเอาไว้


วิ้ววววว!


ขณะกำลังเดินทาง จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่อยู่รอบตัว


การแข่งขันระหว่างผู้เข้าทดสอบนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสบประมาทได้ คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าการสู้รบมากมายเกิดขึ้นทุกวินาทีนับตั้งแต่เริ่มต้นการทดสอบ และผู้เข้าทดสอบก็ถูกคัดออกไปทีละคนสองคน


การทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อช่างโหดหินจริงๆ


จริงอยู่ว่ากติกาอนุญาตให้ผู้เข้าทดสอบรวมตัวกันเป็นพันธมิตรได้ แต่ด้วยจำนวนที่นั่งที่มีจำกัด พันธมิตรแต่ละกลุ่มต่างก็พร้อมจะเล่นงานกันและกัน หากใครคนหนึ่งไม่ระมัดระวังตัว ก็จะถูกแทงข้างหลังทันที


นับตั้งแต่เริ่มการทดสอบ จางเซวียนได้เห็นภาพแบบนั้นหลายครั้ง ผู้เข้าทดสอบ 3 คนผนึกกำลังกันเพื่อเล่นงานนักรบที่มาคนเดียว แต่ระหว่างการต่อสู้ หนึ่งในผู้เข้าทดสอบทั้ง 3 ที่ผนึกกำลังกันนั้นไม่ทันระมัดระวังตัวและได้รับบาดเจ็บ สุดท้าย เพื่อนร่วมทีมของเขาก็หันหลังให้และกำจัดเขาด้วย


สำหรับการทดสอบครั้งนี้ การได้รับบาดเจ็บสาหัสถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ลดลง ยังเป็นสัญญาณของความอ่อนแอที่เปิดช่องให้ผู้เข้าทดสอบคนอื่นเล่นงานได้ ดังนั้น ต่อให้เป็นพันธมิตรกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นข้อได้เปรียบในการทดสอบ


ขณะที่จางเซวียนกำลังมุ่งหน้าไป ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็กำลังตัวสั่นไม่หยุด เหงื่อไหลเป็นทางจากศีรษะของเขา


เขาถูกผู้เข้าทดสอบ 3 คนรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อพลังงานในร่างกายครึ่งหนึ่งถูกใช้ไป ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าก็เข้าเกาะกุมร่างกายของเขา


“มันเรื่องอะไรถึงดิ้นรนนักหนา? ก็แค่ยอมถูกคัดออก แล้วความทุกข์ทรมานของคุณก็จะสิ้นสุด คุณควรรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าสำนักแห่งขงจื๊อไม่ใช่สถานที่ที่คนระดับคุณจะเข้าไปได้!” หนึ่งในวัยรุ่นกลุ่มนั้นคำรามเยาะอย่างมั่นอกมั่นใจ ราวกับนายพรานที่ต้อนเหยื่อให้จนมุมได้สำเร็จ


วัยรุ่นอีก 2 คนที่อยู่ด้านหลังเขาเข้าตีวงล้อมฟ่านเฉี่ยวเฟิงในลักษณะของค่ายกลรูปพัด


“ก็กำจัดผมให้ได้สิ! ต่อให้ผมไม่อาจเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อได้ ก็จะต้องเล่นงานคุณให้พังไปพร้อมกับผมด้วย!” รู้ดีว่าไม่มีหนทางหลบหนี ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยวขณะจ้องตาวัยรุ่นทั้ง 3 ที่อยู่ตรงหน้า


โชคชะตาของเขาช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพราะทันทีที่เข้าสู่ภูเขา ก็ถูกส่งทะลุมิติมาอยู่ใจกลางวงล้อมของเจ้า 3 คนนี่ เขาต้องใช้พลังงานไปทั้งหมดกว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้นานขนาดนี้


“ฮ่าฮ่าฮ่า! คุณจะเล่นงานพวกเราให้ล่มจมไปพร้อมกับคุณหรือ? ช่างเป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในศตวรรษ!” วัยรุ่นคนที่เป็นหัวหน้าทีมคำรามเย้ยหยัน “จัดการเขาซะ!”


ฟึ่บ!


ได้ยินสัญญาณบอกการโจมตี ทั้ง 3 พุ่งเข้ามะรุมมะตุ้มทำร้ายฟ่านเฉี่ยวเฟิง การโจมตีของพวกเขาครอบคลุมทุกทิศทาง ทำให้อีกฝ่ายหมดหนทางหลบหนี


วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าทีมนั้นสำเร็จวรยุทธระดับกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่อีก 2 คนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด การที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะสู้กับคนใดคนหนึ่งก็ยากพอแล้ว นับประสาอะไรกับการที่ทั้ง 3 ปล่อยการโจมตีพร้อมกัน เขาปั่นป่วนจนทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่เริ่ม


พลั่ก!


แรงปะทะหนักหน่วงสอยเขากระเด็นไปกระแทกกับก้อนหินที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ร่างของฟ่านเฉี่ยวเฟิงอ่อนปวกเปียกและทรุดลงไปกองกับพื้นราวกับโคลนกองหนึ่ง


เมื่อเห็นฟ่านเฉี่ยวเฟิงไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ หัวหน้าทีมบอกลูกทีมอีก 2 คนที่เหลือ “อย่ามัวเสียเวลาเลย รีบทำลายตราหยกของเขาเถอะ แล้วเราจะได้ล่าเหยื่อคนต่อไป!”


“ได้!”


วัยรุ่นคนที่อยู่ทางซ้ายหัวเราะหึๆขณะกระโจนเข้าหาฟ่านเฉี่ยวเฟิง แล้วยื่นมือออกไปที่ตราหยกซึ่งอยู่บนหน้าอกของอีกฝ่าย


ถ้าการโจมตีนั้นถึงเป้าหมาย ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะต้องถูกคัดออกแน่


“ดูเหมือนเรากำลังจะทำลายความคาดหวังของตระกูลเสียแล้ว…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงมีสีหน้าสิ้นหวัง เขารู้ดีว่า โอกาสกลับมาอีกครั้งนั้นไม่มีอีกต่อไป


จึงได้แต่หลับตาอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วยินยอมพร้อมใจรับโชคชะตา


แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตราหยกที่อยู่บนหน้าอกของเขาก็ยังไม่แตกสลาย ฟ่านเฉี่ยวเฟิงลืมตาขึ้นอีกครั้งและเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินที่ไม่ห่างออกไป ร่างนั้นนั่งเขย่าขาขวาอย่างสบายอารมณ์ขณะมองมายังพวกเขาพร้อมกับอมยิ้ม


“พวกคุณ 3 คนคงภูมิใจมากสินะที่ได้รวมหัวกันเล่นงานหมอนั่น?”


“เฉี่ยวฉู…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินเสียงนั้น


เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกชายของหัวหน้าตระกูล, ฟ่านเฉี่ยวฉู!


อีกฝ่ายมาช่วยชีวิตเขาในช่วงเวลาคับขันพอดี!


“รนหาที่ตายอีกคนหนึ่งแล้วสินะ ใช่ไหม?” เห็นชายหนุ่มที่มาใหม่กล้ายั่วโมโหพวกเขา วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าทีมคำรามเยาะ เขาเชิดหน้ามองวัยรุ่นอีก 2 คนที่เหลือและเข้าตีวงล้อมจางเซวียนอย่างรวดเร็ว


“คุณควรจะได้เห็นกับตานะว่าพวกเราภาคภูมิใจในตัวเองขนาดไหน!”


ฟึ่บ!


รู้ดีว่าเวลามีค่าถึงขั้นที่หากเผลอแม้เพียงวินาทีเดียวก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวง ทั้ง 3 จึงพุ่งเข้าใส่จางเซวียนทันที


เห็นวัยรุ่นทั้ง 3 หันไปเล่นงานลูกชายหัวหน้าตะกูล ฟ่านเฉี่ยวเฟิงอุทานด้วยความตื่นตระหนก “เฉี่ยวฉู, หนีเร็ว! อย่างน้อยที่สุดพวกเราคนใดคนหนึ่งก็จะได้ผ่านการทดสอบ ไม่ต้องห่วงผม!”


เขารู้ว่าเฉี่ยวฉูแข็งแกร่งกว่าเขาไม่มาก จึงไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเอาชนะวัยรุ่นทั้ง 3 ที่อยู่ตรงหน้าได้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกคัดออก ฟ่านเฉี่ยวฉูควรจะหนีไปมากกว่า อย่างน้อยที่สุด ตระกูลของพวกเขาก็จะยังพอมีหวัง


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


แต่ยังไม่ทันที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะพูดจบ เสียงหมัดและเสียงเตะเนื้อสดๆก็ดังก้องไปทั่วกลางอากาศ เมื่อเห็นทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา คำพูดที่เขากำลังจะพูดพลันติดอยู่ในลำคอ ทำให้อึกอักจนพูดอะไรออกมาไม่ได้


ทุกอย่างกลับตาลปัตร วัยรุ่นทั้ง 3 ที่ยังยืนจองหองอยู่เมื่อครู่ล้วนแต่นอนระเกะระกะอยู่กับพื้น นัยน์ตาของพวกเขาฉายความพรั่นพรึง


ระหว่างนั้น ฟ่านเฉี่ยวฉูยังคงนั่งอยู่บนโขดหิน ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน อีกฝ่ายมองเขาด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจและพูดว่า “คุณควรกำจัดเจ้าพวกนี้ด้วยตัวเองนะ”


“ผม?” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงผงะกับคำพูดนั้น


จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเฉี่ยวฉูที่เขารู้จักเล่นงานวัยรุ่นทั้ง 3 อย่างง่ายดายได้อย่างไร เขางุนงงสงสัยกับเรื่องนั้นจนคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก


“เมื่อครู่ก่อน เจ้าพวกนี้พยายามกำจัดคุณไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นสิทธิ์ของคุณที่จะ เอาคืน” จางเซวียนตอบ


การที่เขาโจมตีวัยรุ่นทั้ง 3 ก็ถือเป็นการรังแกกันพอแล้ว เขาคงจะละอายใจมากกว่านี้หากต้องกำจัดเจ้าพวกนี้ด้วยตัวเอง


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็อยากรักษาศักดิ์ศรีไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ตะ-แต่…ผมสู้พวกนั้นไม่ได้!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงร้องออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ


ถึงวัยรุ่นทั้ง 3 จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับฟ่านเฉี่ยวฉู แต่อาการบาดเจ็บของตัวเขาเองก็ไม่น้อย ต่อให้เขาอยากกำจัดวัยรุ่นทั้ง 3 มากขนาดไหน ก็รู้ดีว่าตัวเขาในสภาพนี้ไม่มีความสามารถพอจะทำอย่างนั้น


“วางใจเถอะ เจ้า 3 คนนี่น่ะไม่มีอะไรหรอก ทำตามคำสั่งของผม แล้วคุณจะเล่นงานพวกเขาได้สบาย!” จางเซวียนตอบ


“เล่นงานพวกเขาได้สบาย? ผมนี่นะ?” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่ดูเหมือนความคิดหนึ่งจะแวบเข้ามาในหัวใจของเขา จึงกัดฟันแล้วตอบว่า “ก็ได้ ผมจะลองดู!”


ถึงอย่างไรฟ่านเฉี่ยวฉู่ก็อยู่ด้วย และจากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะปลอดภัย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวล ต่อให้จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ก็ตาม


“คุณจะไม่โจมตีพวกเราหรือ?” วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองจางเซวียนอย่างหวาดระแวง


อีกฝ่ายเล่นงานพวกเขาได้ในกระบวนท่าเดียว ในแง่ของความแข็งแกร่ง คงไม่มีนักรบรุ่นหลังคนไหนที่เทียบชั้นกับเขาได้ การสู้รบกับคู่ต่อสู้ระดับนี้มีแต่จะทำให้พวกเขาพ่ายแพ้


แต่ถ้าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่เจ้าหนุ่มที่พวกเขาไล่ต้อนอยู่เมื่อครู่ การจะเอาชนะก็คงไม่ยากเกินไป


“ผมไม่โจมตีหรอก เพราะฉะนั้น ใช้วิธีไหนก็ได้ที่พวกคุณมีอยู่ ถ้าคุณเอาชนะเขาได้ ผมจะปล่อยให้คุณทั้ง 3 จากไป แต่ผมเกรงว่าพวกคุณน่ะคงจะต้องจบเส้นทางของวรยุทธอยู่ที่นี่แหละ!” จางเซวียนตอบอย่างเย็นชา


ได้ยินคำนั้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงแทบเข่าอ่อน “เฉี่ยวฉู คุณบ้าไปแล้วหรือไง?”


ตอนที่ 1875 เหยียนอี้เฉี่ยว

ฟ่านเฉี่ยวเฟิงคิดว่าฟ่านเฉี่ยวฉูกำลังพยายามฝึกฝนตัวเขา ซึ่งหากเขาต้านทานไม่ไหว อีกฝ่ายก็คงจะเข้ามาช่วย แต่กลับตรงกันข้าม ฟ่านเฉี่ยวฉูพูดชัดเจนว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ แถมยังจะปล่อยให้วัยรุ่นทั้ง 3 รอดตัวไปได้หากสามารถเล่นงานเขาจนพ่ายแพ้


เขาจะเอาปัญญาที่ไหนมาเอาชนะ 3 คนนั้น?


แค่ไม่ถูกซ้อมจนตายก็ถือว่าบุญโขแล้ว!


เขานึกว่าฟ่านเฉี่ยวฉูมาช่วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังขุดหลุมขนาดใหญ่ให้เขากระโจนลงไปมากกว่า


ฟ่านเฉี่ยวเฟิงมีสีหน้าสับสน ร่ำๆจะปล่อยโฮออกมา


เห็นสีหน้า ‘แบบนี้ก็จบเห่สิ’ ของฟ่านเฉี่ยวเฟิง จางเซวียนอดหัวเราะไม่ได้ “เลิกลังเลเสียที แล้วทำตามที่ผมบอก ขอแค่คุณทำตามคำสั่งของผม คุณจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น ถ้าคุณถูกคัดออก อย่ามาต่อว่าผมก็แล้วกันว่าผมไม่ช่วย!”


ฟ่านเฉี่ยวเฟิงไม่มีทางพ่ายแพ้หากเชื่อฟังคำชี้แนะของเขา


“อย่างนั้นก็ได้…” เห็นฟ่านเฉี่ยวฉูไม่ได้พูดเล่น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงสาปแช่งอีกฝ่ายในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก่อนจะสูดหายใจลึกและกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


อย่างแย่ที่สุด เขาก็แค่ถูกคัดออก และเขาจะต้องรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ท่านหัวหน้าตระกูลรับรู้เมื่อเขากลับไป


ส่วนอีกด้านหนึ่ง วัยรุ่นทั้ง 3 ก็รู้สึกได้ถึงความเหลื่อมล้ำของพละกำลังระหว่างพวกเขากับจางเซวียนและรู้ดีว่าไม่มีทางหนีพ้นอีกฝ่าย จึงได้แต่สบตากันก่อนจะหันกลับไปจ้องฟ่านเฉี่ยวเฟิงอย่างเย็นชา


ฟึ่บ!


ทั้ง 3 ปล่อยการโจมตีพร้อมกัน เกิดเป็นพายุอันทรงพลังที่พัดกระหน่ำโดยรอบ


แขน 6 ข้างกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว แต่ละข้างมีพละกำลังทำลายล้างของสายฟ้า สกัดกั้นทุกวิถีทางที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะหนีพ้น


“มันจบแล้วหรือ?” เลือดในกายของฟ่านเฉี่ยวเฟิงเย็นเฉียบ


ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าอย่างแย่ที่สุดก็แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้ หากเอาชีวิตรอดได้ก็ถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่แล้ว


ขณะที่เขากำลังถอดใจยอมรับความตาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหู


“ทำตามที่ผมบอกนะ ใช้รูปแบบที่ 3 ของเทคนิคการเคลื่อนไหวก้าวเดิน ผนวกกับการเคลื่อนไหวขั้นตอนที่ 5 ของฝ่ามือรู้แจ้ง รวมทั้งรูปแบบที่ 2 ของเพลงหมัดเจ็ดชีพจร”


ฟ่านเฉี่ยวเฟิงรู้ทันทีว่าเสียงนั้นมาจากฟ่านเฉี่ยวฉู แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้เขาสำแดงกระบวนท่าเหล่านั้นออกไป แต่ก็รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือก จึงกัดฟันและคิดว่า เราจะเอาชีวิตเข้าแลก!


กว่าเขาจะเอาตัวรอดจากบททดสอบอันโหดเหี้ยมของตระกูลฟ่านและก้าวขึ้นมาได้ทีละขั้นนั้น ความอดทนที่ผลักดันเขาอยู่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจและจินตนาการได้ ฟ่านเฉี่ยวเฟิงใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาในการสงบจิตใจ จากนั้นก็สำแดงเทคนิคการต่อสู้ทั้งสาม ก่อนที่ร่างของเขาจะเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลราวกับสายน้ำ


ฟึ่บ!


รูปแบบที่ 3 ของเทคนิคการเคลื่อนไหวก้าวเดินทำให้เขาเข้าถึงจุดอ่อนในการผนึกกำลังกันของวัยรุ่นทั้ง 3 ส่วนการสำแดงฝ่ามือรู้แจ้งด้วยมือซ้ายและเพลงหมัดเจ็ดชีพจรด้วยมือขวาก็ทำให้เขาเล่นงานแผงอกของวัยรุ่น 2 คนได้


เคร้ง! เคร้งงง!


ตราหยกที่ติดอยู่ตรงหน้าอกของพวกเขาแตกสลาย วัยรุ่นทั้งสองมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ พวกเขาถูกลำแสงที่ระเบิดออกมากลืนกิน จากนั้นก็หายวับไป


“เฮ้ย…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงถึงกับผงะกับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป


เขาก้มลงมองมือของตัวเองอย่างงงๆ ราวกับกำลังจ้องมองปีศาจ


การทำตามคำสั่งของฟ่านเฉี่ยวฉูทำให้เขาฝ่าวงล้อมได้ภายในกระบวนท่าเดียว แถมกำจัดวัยรุ่น 2 คนได้อย่างง่ายดายด้วย


จู่ๆเขาก็ไร้เทียมทานขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร?


“คะ-คุณ…”


เห็นเพื่อนร่วมทีม 2 คนหายวับไปในชั่วพริบตา วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้ากลุ่มถอยกรูดด้วยสีหน้าพรั่นพรึง


ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความเฉียบคมของกระบวนท่า การทำเวลา หรือความรวดเร็วของปฏิกิริยาตอบสนองของเขา กระบวนท่าของฟ่านเฉี่ยวเฟิงเมื่อครู่นี้เยี่ยมยอดเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะกำจัดพวกเขาถึง 2 คนได้ภายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้น มันเป็นวีรกรรมน่าทึ่งที่เขารู้ดีว่าตัวเขาในสภาพที่เป็นอยู่ไม่มีทางทำสำเร็จ!


เมื่อสิบอึดใจก่อน ฟ่านเฉี่ยวเฟิงยังอยู่ในกำมือของพวกเขา แต่ในชั่วพริบตา สถานการณ์ก็พลิกผัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขาทำตามคำสั่งของชายหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า?


วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าทีมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนโขดหิน อาการตกตะลึงเข้าจู่โจมหัวใจของเขาราวกับคลื่นสึนามิ


แค่คำชี้แนะง่ายๆของอีกฝ่ายก็ทำให้ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพัฒนาขึ้นได้มากมายภายในระยะเวลาอันสั้น…ชายหนุ่มคนนี้จะต้องทรงพลังและน่าสะพรึงสักแค่ไหน?


“กําจัดเขาด้วย” จางเซวียนสั่งการ


“ได้”


ถ้าก่อนหน้านี้ฟ่านเฉี่ยวเฟิงยังสงสัยแคลงใจอยู่บ้าง ตอนนี้ก็ไม่เหลือความรู้สึกเหล่านั้นแล้ว ในหัวใจของเขามีแต่ความชื่นชมยกย่องเท่านั้น เขาพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นและปล่อยพลังฝ่ามือเข้าใส่วัยรุ่นคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่


ทั้งสองเริ่มแลกหมัดกัน


คราวนี้จางเซวียนไม่ได้สั่งการอะไรกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง แต่สิ่งที่เขาทำคือจัดรูปแบบรายละเอียดของกระบวนท่าของอีกฝ่ายอย่างเป็นขั้นตอน ทำให้ฟ่านเฉี่ยวเฟิงมีอิสระในการเลือกรูปแบบกระบวนท่าที่เขาจะใช้ในการโจมตี


ในช่วงแรกการเคลื่อนไหว ฟ่านเฉี่ยวเฟิงยังคงสับสนปั่นป่วนเพราะความคิดของเขายังตามกระแสของการต่อสู้ไม่ทัน แต่เมื่อถึงการแลกหมัดครั้งที่ 21 เขาก็คุ้นชินกับจังหวะนั้น และไม่ช้าก็ปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายได้โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย


วัยรุ่นที่เคยต้อนเขาให้จนมุมก่อนหน้านี้ไม่เป็นอันตรายกับเขาอีกแล้ว


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ฟ่านเฉี่ยวเฟิงปล่อยพลังออกจากปลายนิ้ว ตราหยกของอีกฝ่ายแตกสลาย


เขาเห็นสีหน้าผิดหวังของวัยรุ่นคนนั้น ก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะถูกลำแสงเจิดจ้าที่ระเบิดออกมาโอบล้อมไว้และหายวับไป


“เฉี่ยวฉู…”


ฟ่านเฉี่ยวเฟิงแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาเพิ่งเล่นงานนักรบระดับกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จด้วยพละกำลังของตัวเอง เขาหันไปมองฟ่านเฉี่ยวฉูด้วยนัยน์ตาที่บ่งบอกความยำเกรง


ไม่แปลกใจแล้วที่ฟ่านเฉี่ยวฉูบอกให้รอก่อน แล้วเขาจะมาตามหา ใครจะไปรู้ว่าหลังจากผ่านไปเพียง 2-3 วัน อีกฝ่ายจะทรงพลังขึ้นได้ขนาดนี้?


ขณะที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำลังจะแสดงความสำนึกในบุญคุณต่อชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโขดหิน อีกฝ่ายก็หันขวับไปมองลำธารที่อยู่ไม่ห่างออกไปและโบกมืออย่างสบายใจ “พวกคุณเฝ้าดูนานพอหรือยัง? ไม่คิดบ้างหรือว่าได้เวลาปรากฏตัวแล้ว?”


เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว ร่างของนักรบ 7 คนโผล่ออกมาจากเงาของลำธาร


เห็นภาพนั้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงใจหายวาบ เขาไม่รู้เลยว่าบริเวณนี้ยังมีผู้คนซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย!


ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่เห็น พวกเขาดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรกันด้วย


เขาเข้าใจกระจ่างแล้วว่าทำไมฟ่านเฉี่ยวฉูถึงไม่เปิดการโจมตี คงเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายรู้ว่ามีคนอื่นซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จึงเฝ้าจับตาคนเหล่านั้นไว้ เผื่อจะมีใครเคลื่อนไหว


“ผมขอบอกเลยนะ, ฟ่านเฉี่ยวฉู คุณพัฒนาตัวเองขึ้นอีกมากนับจากวันนั้น คุณทำให้หมอนี่เล่นงานนักรบ 3 คนได้พร้อมกันด้วยคำชี้แนะเพียงสองสามคํา สำหรับพละกำลังของคุณในตอนนี้น่ะ ถือว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมทีมของเรา!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวที่ยืนอยู่แถวหน้า ในบรรดาวัยรุ่นทั้ง 7 พูดขึ้น


เขาคือคนที่ปรบมือเมื่อครู่ก่อน


“เขาคือ…ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, เหยียนอี้เฉี่ยว!”


เมื่อพิจารณาชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวอย่างถี่ถ้วน ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพลันรู้สึกเหมือนมีใครบีบหัวใจของเขา “เขาคือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ ไม่มีใครในภูเขาแห่งนี้ที่เทียบชั้นกับเขาได้”


ตระกูลส่วนใหญ่จะรวบรวมสมาชิกที่ปราดเปรื่องที่สุดเอาไว้เพื่อให้เป็นผู้เข้าทดสอบในการทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อในแต่ละปี เพื่อที่คนของพวกเขาจะได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าการแข่งขันที่แท้จริงเป็นอย่างไร


หากจะมีใครสักคนหนึ่งในบรรดาผู้เข้าทดสอบทั้งสองพันคนที่ทุกคนไม่อยากเจอ ก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้, เหยียนอี้เฉี่ยว!


นักปราชญ์จื่อหยวนเป็นศิษย์คนแรกในบรรดา 72 นักปราชญ์ของปรมาจารย์ขง ซึ่งแม้แต่นักปราชญ์โบราณหรันชิวที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดในหมู่ 72 นักปราชญ์ก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา


และเหยียนอี้เฉี่ยวที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ก็เป็นเชื้อสายของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน! เพราะความเก่งกาจอย่างน่าทึ่งของเขา ชื่อเสียงของเหยียนอี้เฉี่ยวจึงระบือลือลั่นไปถึงนักรบรุ่นก่อนๆ


ถือเป็นความโชคร้ายแบบสุดขีดที่ต้องมาเจอเขาที่นี่


“คุณอยากให้ผมเข้าร่วมทีมของคุณหรือ?” จางเซวียนดูจะไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยกับการพลิกผันของสถานการณ์ เขามองเหยียนอี้เฉี่ยวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูจะไม่สะทกสะท้านกับทีท่าและข้อเสนอของอีกฝ่าย


“ใช่ กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังผมล้วนแต่เป็นคนที่ผมให้การยอมรับ และคุณเองก็เข้าตาผมเช่นกัน มาร่วมทีมกับพวกเราและกำจัดผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆด้วยกันเถอะ” เหยี่ยนอี้เฉี่ยวเอาสองมือไพล่หลังไว้พร้อมกับหัวเราะหึๆ เสียงของเขาบ่งบอกความเป็นผู้นำที่ไม่เปิดช่องให้ต่อรองหรือโต้แย้ง


“ขอโทษเถอะ ไอ้ความรู้สึกที่ว่าผมเข้าตาคุณน่ะ มันทำให้ผมผวาไปถึงกระดูกสันหลังแล้ว และผมก็ไม่สนใจจะเข้าร่วมทีมของคุณด้วย” จางเซวียนปฏิเสธห้วนๆ


เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหลงตัวเองขนาดนี้ จึงไม่คิดจะรักษามารยาท


เห็นทีท่าของจางเซวียน วัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเหยียนอี้เฉี่ยวอดรนทนไม่ไหวและตวาดก้อง “เป็นเกียรติของคุณแล้วนะที่พี่เหยียนเชิญคุณให้เข้าร่วมกลุ่มของพวกเรา คุณมันอวดดี อย่าคิดนะ ว่าตัวเองสำคัญ หากพวกเราต้องการ เราก็สามารถกำจัดคุณได้เดี๋ยวนี้ และตัดโอกาสในการฝึกฝนวรยุทธของคุณได้ทันที!”


ตอนที่ 1876 กองกำลังลาดตระเวน

ฉินเฉี่ยวเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อปี้ เขาสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดตั้งแต่เมื่อปีก่อน ด้วยความสามารถของเขา เขามั่นใจว่าจะผ่านการทดสอบของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้อย่างสบาย แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ เพราะรูปแบบการทดสอบในปีนี้คือการปล่อยให้มีการถูกคัดออกอย่างอิสระ


ถ้าเป็นการประลองแบบเดิม เขามั่นใจว่าจะได้เป็นหนึ่งในร้อยคนสุดท้ายอย่างแน่นอน แต่เมื่อเป็นการคัดออกอย่างอิสระ ก็มีตัวแปรมากมายที่จะต้องใส่ใจหากอยากได้ชัยชนะ


แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกว่าการจะได้เป็น 100 คนสุดท้ายที่อยู่รอดนั้นก็ไม่ได้ยากเกินไปหากเขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนเทพธิดาแห่งโชคลาภจะไม่เข้าข้างเขาเลย เพียงไม่นานหลังจากเข้าสู่สนามสอบ เขาก็ได้พบกับผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบครั้งนี้, เหยียนอี้เฉี่ยว และก่อนที่จะรู้ตัว ก็ถูกคัดออกเสียแล้ว


ที่บริเวณรอบนอกของภูเขา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เคยยืนอยู่กับหนานกงหยวนเฟิงเมื่อครู่ก่อนเดินเข้ามาหาฉินเฉี่ยวและพูดว่า “เหยียนอี้เฉี่ยวคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ คุณไม่ต้องรู้สึกแย่หรอกที่พ่ายแพ้ให้เขา!”


เขาคือหรันเฟย เชื้อสายตระกูลของนักปราชญ์โบราณหรันหย่ง


ทุกคนที่ถูกคัดออกจะถูกส่งทะลุมิติมายังบริเวณนี้ และเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น เหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อจะคอยสอดส่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในภูเขาตลอดเวลา


“ผมรู้ว่าการพ่ายแพ้ให้เขาเป็นเรื่องที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่ก็เจ็บใจ!” ฉินเฉี่ยวกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิด


เขารู้ตัวว่าไม่มีทางอยู่เหนือเหยียนอี้เฉี่ยวได้ เพราะความเหลื่อมล้ำในพละกำลังของพวกเขามีมากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นความรู้สึกย่ำแย่เหลือเกินที่ต้องถูกคัดออกทันทีที่ก้าวเข้าสู่สนามสอบ


“เหยียนอี้เฉี่ยวคือน้องชายของเหยียนเฉว่ เขาได้รับคำชี้แนะจากอีกฝ่าย ในบรรดาผู้เข้าทดสอบสองพันคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีบางคนที่สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 การพักฟื้นภายในแล้วด้วยซ้ำ แต่แม้พวกเขาก็ยังรับมือกับเหยียนอี้เฉี่ยวได้ด้วยความยากลำบาก นับประสาอะไรกับคุณ” ผู้เเชี่ยวชาญหรันเฟยปลอบพร้อมกับยิ้มให้ “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เขาน่าจะได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้…”


การจะได้เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต 100 คนสุดท้ายเป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องต้นของการเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ส่วนจะได้อันดับที่เท่าไหร่ในบรรดา 100 คนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้กำจัดผู้เข้าทดสอบไปมากแค่ไหนตลอดระยะเวลาของการทดสอบ


กล่าวได้ว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของเหยียนอี้เฉี่ยวนั้นไร้เทียมทานเมื่อเทียบกับผู้เข้ารับการทดสอบทั้งสองพันคน และที่เลวร้ายไปกว่านั้น เขายังผนึกกำลังกันกับนักรบชั้นยอดอีก 6 คนด้วย ใครก็ตามที่โชคร้ายพอจะได้พบกับทีมของเขาล้วนแต่ถูกกำจัด ไม่มีหนทางอื่น


“ตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผมเชื่อว่าเรื่องนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้…” แม้ฉินเฉี่ยวจะไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกล้ำกลืน


ทันใดนั้น ก็มีแสงเจิดจ้าระเบิดขึ้นตรงหน้าฉินเฉี่ยว


ตุ้บ!


ร่างหนึ่งตกลงมากระแทกกับพื้นที่ไม่ห่างออกไปนัก


เมื่อเห็นร่างของผู้ที่เพิ่งถูกส่งทะลุมิติมา ฉินเฉี่ยวตาค้างด้วยความตกตะลึง


“นั่นมันทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อเหิง, ฉีหย่วนใช่ไหม? เขาอยู่ในทีมของเหยียนอี้เฉี่ยวนี่ และเป็นคนที่กำจัดผมออกด้วย…”


ในฐานะหนึ่งใน 7 สมาชิกในทีมของเหยียนอี้เฉี่ยว เขาถูกคัดออกได้อย่างไร?


ใครกันที่กล้าเล่นงานลูกทีมของเหยียนอี้เฉี่ยว หรือว่าจะเกิดความขัดแย้งกันเอง?


ตุ้บ!


ขณะที่กำลังตกตะลึง แสงสว่างวาบก็เจิดจ้าเข้าตาของฉินเฉี่ยวอีกครั้งขณะที่อีกร่างหนึ่งร่วงลงมากองกับพื้น เขามาจากทีมของเหยียนอี้เฉี่ยวเช่นกัน


ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!


จากนั้น นักรบอีก 4 คนก็ตกลงมากองกับพื้นด้วยสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนเต็มที


“หรือว่าพวกเขาทุกคน…” ฉินเฉี่ยวจังงังกับสิ่งที่เห็น


ทุกคนล้วนแต่มีใบหน้าคุ้นตา! พวกเขาเคยอยู่กับเหยียนอี้เฉี่ยวตอนที่ตัวเขาเองถูกคัดออกเมื่อก่อนหน้านี้ มันเรื่องอะไรถึงถูกกำจัดไปทีละคนสองคนภายในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนั้น?


เหยียนอี้เฉี่ยวเล่นงานพวกเขา หรือว่าเจอเข้ากับผู้เชี่ยวชาญที่ไร้เทียมทานสักคน?


เมื่อทนความอยากรู้ไว้ไม่ไหว ฉินเฉี่ยวรีบเข้าไปถาม “พวกคุณน่ะ…เกิดอะไรขึ้น…”


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อีกร่างหนึ่งก็ร่วงลงมากองกับพื้น


ตุ้บ!


เมื่อฉินเฉี่ยวพิจารณาร่างนั้นอย่างถี่ถ้วน ก็ตัวแข็งไปทันที พูดอะไรไม่ออก แม้แต่หรันเฟยก็ยืนงง แทบเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น


ผู้ที่เพิ่งถูกคัดออกไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้เข้าทดสอบที่พวกเขายืนยันอย่างมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องได้เป็นแชมป์ของการทดสอบครั้งนี้…เหยียนอี้เฉี่ยว!


เหยียนอี้เฉี่ยวกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะจ้องมองยอดเขาด้วยสายตาแผดเผาดุจเปลวเพลิง เขาระงับความร้อนรุ่มในอกไว้ไม่ไหวและคำรามออกมา “ฟ่านเฉี่ยวฉู ยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ!”


นี่เป็นการเหยียดหยามอย่างเลวร้ายที่สุดที่เขาเคยเจอ


เขาเป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน ผู้คนมากมายมองว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์ เขาเคยคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้สำแดงพละกำลังและขึ้นเป็นที่ 1 ในการทดสอบ แต่ใครจะไปรู้ว่าฟ่านเฉียวฉู่คนนั้นจะคว้าคอของเขาและจับเขาโยนออกมาราวกับบีบคอลูกไก่ตัวหนึ่ง และที่เลวร้ายกว่านั้น…เขาตอบโต้ไม่ได้เลยสักนิด


มันเป็นรอยด่างในชีวิตที่เขาไม่มีวันลบมันออกไปได้!


เหยียนอี้เฟยมองไปรอบๆ เมื่อเห็นผู้เชี่ยวชาญหรันเฟย ก็เดินเข้าไปประสานมือให้อีกฝ่ายและรายงาน “อาจารย์หรันเฟย ผมสงสัยว่าฟ่านเฉี่ยวฉูที่มาจากตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อจะใช้กลโกง ผมขอให้กองกำลังลาดตระเวนมุ่งหน้าไปตรวจสอบเขาด้วย!”


“ใช้กลโกง?”


“ถูกต้อง ผมพบฟ่านเฉี่ยวฉูเมื่อครึ่งปีก่อน แม้เขาจะไม่อ่อนด้อยนัก แต่ก็ยังห่างไกลกับการที่จะรับมือกับผม แต่เมื่อครู่นี้ เขาเล่นงานผมจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย…” เหยียนอี้เฟยกัดฟันคำราม


“ผมเข้าใจ” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยพยักหน้า “ผมจะแจ้งกองกำลังลาดตระเวนให้ไปตรวจสอบเรื่องนั้น”


เขานึกไม่ออกว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะใช้กลโกงแบบไหน แต่ในเมื่อมีใครคนหนึ่งร้องเรียน แถม ‘ใครคนนั้น’ ยังเป็นผู้เข้าทดสอบที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีโอกาสจะได้เป็นแชมป์ด้วย ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องเข้าไปสอดส่อง


ดังนั้น เขาจึงนำตราหยกสื่อสารออกมาและสั่งการลงไป จากนั้นก็หันกลับมามองเหยียนอี้เฉี่ยวและให้ความมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าฟ่านเฉี่ยวฉูใช้กลโกงจริงๆ พวกเราจะต้องค้นพบบางอย่างแน่ เรามีสายตามากมายคอยสอดส่องอยู่ทั่วทั้งภูเขา ไม่มีทางที่การกระทำของเขาจะหลุดรอดสายตาของพวกเราไปได้หรอก…”


ด้วยความสำคัญของการทดสอบครั้งนี้ การใช้กลโกงถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด แต่ก็แน่นอนว่าถ้าฟ่านเฉี่ยวฉูเอาชนะเหยียนอี้เฉี่ยวได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง เรื่องนี้ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้


“อือ!” เหยียนอี้เฉี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอก


“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณถูกฟ่านเฉี่ยวฉูกำจัดใช่ไหม? ไม่ทราบว่าทีมของเขามีกี่คน ถึงเล่นงานพวกคุณจำนวนมากได้พร้อมกันในคราวเดียว?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยตั้งคำถาม


ในมุมมองของเขา ฟ่านเฉี่ยวฉูคนนั้นน่าจะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญไว้ได้มากมาย เพราะการกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ในการทดสอบ


แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ก็หมายความว่าเขาเอาชนะการผนึกกำลังกันของนักรบถึง 7 คนได้โดยลำพัง ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะต่อให้นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ก็ยังไม่อาจทำอะไรแบบนั้นได้!


“เขา…” คำถามนั้นกระตุกความทรงจำของเหยียนอี้เฉี่ยวเมื่อครู่ก่อน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว “เขามาคนเดียว…มีผู้เข้าทดสอบอีกคนหนึ่งอยู่กับเขา แต่หมอนั่นไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด!”


“คุณกำลังบอกผมว่าฟ่านเฉี่ยวฉูเล่นงานพวกคุณทุกคนได้ด้วยตัวเขาเพียงลำพังหรือ?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยถึงกับจังงัง “มันเป็นการดวลตัวต่อตัวใช่ไหม?”


“ไม่ใช่…พวกเรารวมหัวกันโจมตีเขาเพื่อประหยัดเวลา…” เหยียนอี้เฟยหน้าแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม


เพราะเห็นความเก่งกาจของฟ่านเฉี่ยวฉู เขาจึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้เข้าร่วมทีม แต่หมอนั่นกลับดูถูกคำเชิญของเขา นั่นทำให้เขาโมโหมาก จึงสั่งการให้ทั้งทีมเข้าตะลุมบอน


ใครจะไปคิดว่าทั้งๆที่มีผู้เชี่ยวชาญมากมายอยู่ข้างกาย แต่กลับไม่มีใครสักคนที่ต้านทานการตอบโต้ของฟ่านเฉี่ยวฉูได้?


“เอาเป็นว่า ทั้งๆที่รุมเล่นงานเขาพร้อมกันเป็นทีม แต่ลงท้ายพวกคุณก็ถูกเขากำจัดออกมา?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยนัยน์ตาเบิกโพลง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


เหยียนอี้เฉี่ยวไม่ค่อยเต็มใจจะพูด จึงได้แต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ


“เอ่อ…” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยตกตะลึงเสียจนหุบปากไม่ลง การที่สามารถเล่นงานนักรบมากมายพร้อมกันด้วยตัวคนเดียว…หรือว่าระดับวรยุทธของฟ่านเฉี่ยวฉูคนนั้นจะเหนือกว่าขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์ไปแล้ว?


แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นก่อนที่จะได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ


ด้วยความตกตะลึง ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยกำลังจะสืบเสาะเรื่องราวให้ละเอียดลออกว่านี้ ก็พอดีกับที่เกิดการระเบิดของแสงขึ้นอีกครั้ง จากนั้น นักรบอีกกลุ่มหนึ่งก็ร่วงลงมากองกับพื้น


ตุ้บ! ตุ้บ!


“นี่มันกองกำลังลาดตระเวน…”


“กองกำลังลาดตระเวนมีหน้าที่กำจัดผู้เข้าทดสอบไม่ใช่หรือ? ทำไมลงท้าย…ถึงถูกกำจัดเสียเองล่ะ?”


ฉินเฉี่ยว เหยียนอี้เฉี่ยว และคนอื่นๆถึงกับมึนงง


เมื่อครู่นี้เองที่กองกำลังลาดตระเวนถูกส่งออกไปเพื่อตรวจสอบฟ่านเฉี่ยวฉู…แต่ใครจะไปคิดว่าคนเหล่านั้นจะถูกดีดออกมาจากภูเขา!


“มันเกิดอะไรขึ้น? พวกคุณไม่มีตราหยกนี่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูก ‘คัดออก’?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยอุทาน


หัวหน้ากองกำลังลาดตระเวนกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะอธิบาย “ฟ่านเฉียวฉู่จับตัวพวกเราไว้และสร้างค่ายกลทะลุมิติเพื่อส่งพวกเราออกมา…”


“เขาสร้างค่ายกลทะลุมิติเพื่อส่งพวกคุณออกมา?” ทุกคนถึงกับจังงัง


…..


ในระหว่างนั้น บนภูเขา จางเซวียนหันไปมองฟ่านเฉี่ยวเฟิงที่กำลังงงงันและพูดว่า “ไปตามหาฟ่านเฉี่ยวชิงกันเถอะ!”


ตอนที่ 1877 แม้แต่เขายังเข้าใจเลย

ฟ่านเฉี่ยวเฟิงรู้สึกเหมือนฝัน


ฟ่านเฉี่ยวฉูแข็งแกร่งกว่าเขามาตลอด แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ภายในระยะเวลาไม่นาน ไม่เพียงแต่เขาจะได้เห็นอีกฝ่ายเอาชนะเหยียนอี้เฉี่ยวกับทีมได้อย่างง่ายดาย ยังเห็นหมอนั่นโยนสมาชิกของกองกำลังลาดตระเวนที่มาตรวจสอบเรื่องราวของพวกเขาออกไปด้วย…จับกองกำลังลาดตระเวนโยนออกไปนอกภูเขาทีละคนสองคน เรื่องนี้ช่างน่าทึ่ง!


“ระวังตัวด้วย เฉี่ยวเฟิง มีคนขวางทางเราอยู่!” เสียงของฟ่านเฉี่ยวฉูดังขึ้น


เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นชายหนุ่ม 2 คนยืนขวางทาง


“ผมจะไม่ปล่อยกระบวนท่านะ พยายามทำในสิ่งที่ผมเคยบอกคุณเมื่อครู่ก่อน”จางเซวียนสั่งการ


“ได้!” รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้บ่มเพาะตัวเอง ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกัดฟันและพุ่งออกไป


ตอนที่เขาต่อสู้กับหัวหน้าทีมวัยรุ่นทั้ง 3 ก่อนหน้านี้ ฟ่านเฉี่ยวฉูได้ให้คำชี้แนะบางส่วนเกี่ยวกับสไตล์การต่อสู้กับเขา เมื่อนำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติจริง ก็พบว่ากระบวนท่าของเขาลื่นไหลและเป็นธรรมชาติกว่าที่เคย เขาอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าเดิมมากในการจะรับมือกับใครก็ตามที่มาขวางทาง


ไม่ช้า ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็กำจัดวัยรุ่น 2 คนที่ขวางทางเขาได้สำเร็จ


“คำชี้แนะที่คุณมอบให้ยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของผมได้จริงๆ…” เห็นวัยรุ่น 2 คนถูกส่งทะลุมิติออกไป ฟ่านเฉี่ยวเฟิงได้แต่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกว่าจะกำจัดได้สักคน แต่ตอนนี้ เขาพบว่าตัวเองตอบโต้ทุกการโจมตีของคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แถมยังเล่นงานทั้งสองคนได้อย่างรวดเร็วด้วย


เมื่อหันกลับมามองฟ่านเฉี่ยวฉูอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ในดวงตาของฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ไม่ใช่ความยำเกรงอีกต่อไป แต่เป็นความเคารพยกย่อง


เห็นชายหนุ่มจากตระกูลฟ่านได้รับความรู้จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเสริม “การต่อสู้ในรูปแบบของการปฏิบัติจริงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาตัวเอง จริงอยู่ว่ากติกาของการทดสอบแบบคัดออกนี้มีข้อบกพร่องอยู่มากมาย แต่มันก็ทำให้ทุกคนเกิดความฮึดสู้และกระตุ้นให้ผู้เข้าทดสอบเกิดการพัฒนา ทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเองกว่าแต่ก่อน…เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา สิ่งแรกที่คุณควรทำไม่ใช่การคิดว่าจะหลบหนีมันอย่างไร แต่คือการคิดว่าจะรับมือกับมันอย่างไร!”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าโชคชะตามีบทบาทสำคัญต่อการทดสอบรูปแบบนี้ หากผู้เข้าทดสอบสักคนพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เริ่ม ก็มีโอกาสที่จะถูกคัดออกในทันที แต่บรรดาผู้เข้าทดสอบก็สามารถรวมตัวกันเป็นพันธมิตรได้ ซึ่งหมายความว่า 100 คนสุดท้ายที่เหลืออยู่อาจไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด


แต่แล้วอย่างไรล่ะ?


ผู้ที่อดทนผ่านการทดสอบไปได้ย่อมมีความมั่นใจในตัวเองสูงกว่าเดิม และระดับวรยุทธของพวกเขาก็จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วนับจากนั้น


ถ้าคนสองคนมีความปราดเปรื่องทัดเทียมกัน สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ก็คือสภาวะจิตและเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่พวกเขาได้เผชิญ


หลังจากเล่นงานคู่ต่อสู้ไปแล้ว 2-3 คน ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็มั่นใจในตัวเองขึ้นกว่าเดิมมาก “ใช่!”


เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด ปฏิกิริยาแรกของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คือการคิดว่าจะหลบหนีและเอาตัวรอดอย่างไร แต่ตอนนี้ ความคิดที่เข้ามาแทนที่ในหัวสมองของเขาก็คือเขาจะกำจัดคู่ต่อสู้ ให้มีประสิทธิภาพที่สุดได้อย่างไรมากกว่า


ทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อนาคตของฟ่านเฉี่ยวเฟิงในฐานะนักรบแตกต่างไปจากเดิมด้วย


เห็นฟ่านเฉี่ยวเฟิงเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “การโจมตีย่อมดีกว่าการตั้งรับเสมอ!”


สมกับเป็นอัจฉริยะของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ ความปราดเปรื่องของอีกฝ่ายมีมากกว่าเหล่าปรมาจารย์ที่เขาเคยสั่งสอนมา


แต่แน่นอนว่าก็ยังห่างไกลหากจะเทียบชั้นกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา


ขณะกำลังเดินทางไปพบฟ่านเฉี่ยวชิง จางเซวียนก็ให้คำชี้แนะกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงต่อไป ด้วยการใช้การรับรู้จิตวิญญาณ เขารู้ดีว่าฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร


ตลอดการเดินทาง บรรดาผู้เข้าทดสอบที่พวกเขาได้พบก็ถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย ซึ่งการต่อสู้เหล่านั้นก็บ่มเพาะทักษะของฟ่านเฉี่ยวเฟิงให้แข็งแกร่งขึ้น เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ


1 ชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็มาถึงชายป่าที่อยู่ข้างลำธารในภูเขา จุดที่ฟ่านเฉี่ยวชิงเลือกเป็นที่หลบซ่อน


ฟ่านเฉี่ยวชิงในตอนนี้ดูจะอับโชคเสียแล้ว ผู้เข้าทดสอบกลุ่มหนึ่งพบตัวเขา


หากสู้กันตัวต่อตัว ผู้เข้าทดสอบเหล่านั้นล้วนแต่อ่อนด้อยกว่าฟ่านเฉี่ยวชิง แต่เมื่อผนึกพละกำลัง กัน พวกเขาก็มีพละกำลังเหนือชั้นอย่างที่ฟ่านเฉี่ยวชิงไม่อาจรับมือไหว


เหงื่อไหลเป็นทางลงจากใบหน้าของฟ่านเฉี่ยวชิงขณะประเมินนักรบที่อยู่ตรงหน้าอย่างร้อนใจ


ขณะที่เขากำลังจะไปต่อไม่ไหว ก็เห็นฟ่านเฉี่ยวฉูกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงทางหางตา เขาตาโตด้วยความโล่งใจ


“นี่ ตรงนั้นน่ะ!”


ฟ่านเฉี่ยวชิงคิดว่าทั้งคู่จะรีบเข้ามาช่วยเขารับมือกับกลุ่มคนที่ตีวงล้อมอยู่ แต่กลับตรงกันข้าม ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ที่ชายป่า


เขาเห็นฟ่านเฉี่ยวฉูชี้นิ้วมาแล้วพูดว่า “คุณเห็นไหม? กระบวนท่าเดียวอาจทำให้กระแสของการต่อสู้เปลี่ยนไปได้”


“คุณพูดถูก เฉี่ยวชิงควรคิดให้ดีก่อนจะสำแดงกระบวนท่าก่อนหน้านี้ออกมา!” เฉี่ยวเฟิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย


เมื่อครู่ก่อน เขายังมีประสิทธิภาพการต่อสู้ทัดเทียมกับฟ่านเฉี่ยวชิง แต่ใครจะไปคิดว่าช่วงเวลาเพียง 1 ชั่วโมงสั้นๆจะทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอได้ขนาดนี้?


“ถ้าคุณเป็นเขา คุณจะทำอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


สิ่งนี้คือการทดสอบ และเป็นบททดสอบของฟ่านเฉี่ยวเฟิงด้วย


“ผมจะใช้กระบวนท่าที่ 3 ของเพลงหมัดน้ำตื้นประกอบกับเทคนิคการเคลื่อนไหวใบไม้วิเศษ!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบโดยไม่ลังเล


“เพลงหมัดน้ำตื้นมีแก่นสารที่เปรียบได้กับการจับปลาในน้ำตื้น คุณจะต้องมีความเข้าใจอย่างล้ำลึกในตัวคู่ต่อสู้เพื่อให้แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จ…แต่ขณะที่คุณมองกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ออก อีกฝ่ายก็มองกระบวนท่าของคุณออกเช่นกัน การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนของเทคนิคการเคลื่อนไหวใบไม้วิเศษจะทำให้คุณควบคุมเพลงหมัดน้ำตื้นได้ยากขึ้น” จางเซวียนส่ายหน้า


“เอ่อ คุณพูดถูก ผมให้ความสำคัญกับการรับมือกับการโจมตีของคู่ต่อสู้จนลืมข้อบกพร่องของเพลงหมัดน้ำตื้นไป ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เอาไหนเลยที่จะจับคู่มันกับเทคนิคการต่อสู้ใบไม้วิเศษ อือม์…ถ้าใช้พลังฝ่ามือหยกกระเพื่อมน่าจะเข้าท่ากว่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะรับมือกับนักรบสองคนนั่นได้ภายใน 7 กระบวนท่า และอีกสองคนที่เหลือได้ใน 5 กระบวนท่า” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงวิเคราะห์อย่างจริงจัง


“อือ” จางเซวียนพยักหน้ารับ


จากคำชี้แนะของเขาและการต่อสู้จริงที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพัฒนาเทคนิคการต่อสู้ของเขาได้อีกมาก เขาพร้อมที่จะระบุและแก้ไขความผิดพลาดของตัวเอง


ขณะที่ทั้งคู่กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียด ฟ่านเฉี่ยวชิงก็แทบจะเสียสติ


เพลงหมัดน้ำตื้นและและเทคนิคการเคลื่อนไหวใบไม้วิเศษ…น้ำตื้นบ้านคุณน่ะสิ! ค่อยพูดกันทีหลังไม่ได้หรือไง? ไม่เห็นหรือว่าผมเกือบจะถูกซ้อมจนตายอยู่แล้ว?


ขณะที่สำแดงกระบวนท่าออกไปอย่างสับสนปั่นป่วน ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ถูกต่อยเข้าที่เบ้าตาทั้งสองข้างจนบวมปูด


เขาคิดว่าเพียงเท่านี้ก็คงมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่รีบเข้ามาช่วยแล้ว แต่การหารือก็ยังดำเนินต่อไป


“แม้การโจมตีเข้าที่ใบหน้าจะทำให้คู่ต่อสู้หยุดชะงักไปชั่วคราว แต่การโจมตีแบบนี้ก็ยากที่จะเล็งให้โดนเป้าหมายอย่างจังๆ โดยเฉพาะเมื่อศีรษะคือหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่นักรบจะปกป้องมันไว้อย่างดี ถ้าคุณเป็นเขา คุณจะโจมตีจุดไหน?”


“ผมคิดว่าจะเล่นงานข้อเท้า หมอนั่นมีพละกำลังมาก ถ้าผมเล่นงานข้อเท้าของเขา ก็น่าจะทำให้เขาเสียการทรงตัวและไม่ทันระมัดระวัง ต่อให้การโจมตีของผมไม่ตรงเป้า แต่อย่างน้อยก็พอเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปได้ ทำให้มีโอกาสที่ผมจะทำลายตราหยกของเขาได้สำเร็จ!”


“ใช่แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่การดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย แต่เป็นการต่อสู้แบบคัดออก ตราหยกควรเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในการโจมตี”


พลั่ก! พลั่ก!


ฟ่านเฉี่ยวชิงเจออีก 2 หมัดสอยเข้าที่ใบหน้า ทำให้เลือดไหลซึมที่มุมปาก


“แล้วหมัดนี้ล่ะ?”


“หมัดนี้ถูกสำแดงออกมาอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ แต่ก็ตรงเป้า มันทำให้คู่ต่อสู้เกิดความจังงังไปชั่วขณะ ถ้าผมเป็นเขา ผมจะต่อยปากและเตะซ้ำ ด้วยวิธีนี้ ผมก็จะเล่นงานคู่ต่อสู้ของผมได้ แล้วตราหยกก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกเปิดเผยทันที!”


“ถือเป็นความคิดไม่เลวที่คุณคิดจะเตะสกัด แต่คุณลืมขีดจำกัดของตัวเองไป ด้วยเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝน พลังปราณของคุณไม่อาจไหลเวียนได้รวดเร็วพอที่จะทำให้ร่างกายท่อนล่างปล่อยลูกเตะอันทรงพลังออกมาได้ ถ้าคุณปล่อยการเตะที่อ่อนด้อยพละกำลังออกไป มันจะกลายเป็นการเปิดจุดอ่อนของคุณแทน!”


“เอ่อ…ก็จริง คุณพูดถูก แล้วผมควรทำอย่างไร?”


“คิดสิ!”


“ผมควรเล่นงานตราหยกด้วยมือซ้ายแทนดีไหม?”


“ไม่ได้! มีโอกาสเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จหากคุณเล่นงานตราหยกด้วยมือซ้าย แถมยังอาจถูกตอบโต้ด้วย” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ


เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งคิดว่าหมอนี่เรียนรู้ได้เร็ว แต่ความคาดหวังของเขาก็พังไม่เป็นท่าในพริบตาต่อมา


นี่มันบ้าบออะไร?


คำตอบไม่ได้เห็นกันชัดๆอยู่แล้วหรือ?


เห็นข้อเสนอ 2 ข้อของเขาถูกปฏิเสธ ฟ่านเฉี่ยวเฟิงสงสัย “แล้วแบบนี้ ผมควรทำอย่างไร?”


“คุณจะทำอะไรได้ล่ะ?” จางเซวียนคำราม “แน่นอนว่าต้องโจมตีใบหน้าของเขาต่อไปในเมื่อคุณถือไพ่เหนือกว่าแล้ว ตราบใดที่โจมตีอย่างต่อเนื่อง ก็จะคุมกระแสการต่อสู้เอาไว้ได้ ทำให้คู่ต่อสู้ของคุณต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ!”


พลั่กกกก! พลั่กกก!


ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นจบลง ฟ่านเฉี่ยวชิงก็เจอหมัดอีกนับไม่ถ้วนสอยเข้าที่ใบหน้า


“ดูนั่นสิ แม้แต่เขายังเข้าใจเลย!” จางเซวียนอุทานอย่างฉุนเฉียว


“….” ฟ่านเฉี่ยวชิงแทบปล่อยโฮ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)