ยอดหญิงสกุลเสิ่น 187.1-188.1

ตอนที่ 187-1 ตลกร้ายกลางงานเลี้ยงกลางวัน

 

หลิวรุ่ยฟังจับกำไลบนข้อมือรีบเดินไปยังเรือนของตน ทว่าตอนที่ใกล้จะถึงหน้าประตูเรือนกลับหยุดเท้าลง สายตาหันไปยังทิศทางหนึ่ง เดินไปที่เรือนซงเฮ่อของท่านย่าแทน


 


 


วันนี้อารมณ์ของเหล่าไท่จวินดีอย่างยิ่ง หลานสาวที่ออกเรือนสามคนพาหลายเขยมาเคารพนาง หลานเขยโขกศีรษะให้นาง ทำให้นางมีความสุขจนดวงตาหรี่เป็นขีด ไม่เห็นหรือว่า กำลังลากแม่นมฉินมาพูดไม่หยุดปาก


 


 


“ข้าน่ะ ชอบเด็กผู้ชายที่มีสง่าราศี หลานเขยสามคนนี้ล้วนแต่เลือกมาดีทั้งสิ้น” เหล่าไท่จวินยิ้มจนตาปิด หลานเขยสามคนไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังกตัญญูต่อนาง ของขวัญที่เตรียมมาก็จริงใจ


 


 


แม่นมฉินเองก็เอาใจอย่างอารมณ์ดีทั้งใบหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจวนโหวของเราจะเลือกเขยด้อยได้อย่างไร นี่เองก็เป็นเพราะพึ่งพาวาสนาของเหล่าไท่จวิน”


 


 


เหล่าไท่จวินถูกยกยอก็ยิ่งมีความสุขดั่งคาด แต่ปากกลับบอกว่า “ไหนเลยจะเป็นวาสนาของข้า ล้วนแต่เป็นการจัดการของลูกสะใภ้คนโต” ทว่าสีหน้าบนใบหน้านั้นกลับเก็บคุณงามความดีคืนสู่ตัวเอง


 


 


แม่นมเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบตาขึ้นมองปราดหนึ่ง จากนั้นก็หลุบตาก้มหน้างุดลงไป


 


 


ตอนที่หลิวรุ่ยฟังเข้ามาก็ฟังอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะตั้งใจฟังอีก สาวใช้ก็เรียกนางเข้าไปแล้ว


 


 


“ท่านย่า” หลิวรุ่ยฟังเงยหน้ายิ้มให้เหล่าไท่จวินอย่างมีความสุข


 


 


เหล่าไท่จวินเห็นเสื้อผ้าบนร่างนางคิ้วก็ขมวดมุ่นทันที คนอายุมากชอบให้ลูกหลานสวมชุดสีสด แต่งตัวอย่างสดใสที่สุด ที่ต้องห้ามที่สุดก็คือชุดที่จืดชืด ฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนที่กึ่งเก่า ดูไกลๆ เหมือนชุดไว้ทุกข์ ในจวนกำลังมีงานมงคล ฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมชุดเช่นนี้ไม่เข้าตาเหล่าไท่จวินจริงๆ


 


 


หลิวรุ่ยฟังทำเป็นมองไม่เห็นความไม่ชอบใจบนใบหน้าของเหล่าไท่จวิน หยิบของขวัญที่ได้มาเมื่อครู่ออกมาราวกับเด็กอวดสมบัติ “ท่านย่าท่านดูสิ นี่เป็นของที่ญาติผู้พี่ให้ข้า ปิ่นทองอันนี้ญาติผู้พี่รองให้มา กำไลพันไหมทองอันนี้ญาติผู้พี่สามให้มา กำไลหยกที่สวยงามอันนี้ญาติผู้พี่สี่ให้มา ญาติผู้พี่ดีจริงๆ” นางกล่าวด้วยใบหน้าเล็กๆ ที่เปล่งประกาย


 


 


ปิ่นทองกับกำไลทองนี้เหล่าไท่จวินมองดูแล้วเป็นเพียงของธรรมดา มีแต่กำไลหยกอันนั้นที่ยังดีกว่าหน่อย แต่ของธรรมดาๆ เช่นนี้ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับนำมาอวดถึงหน้านาง นี่ทำให้เหล่าไท่จวินอดใจอ่อนไม่ได้ ทั้งยังสงสารอย่างถึงที่สุด


 


 


พวกซวงเอ๋อร์มีใครบ้างที่ไม่ถูกเลี้ยงมาอย่างดิบดี แม้แต่อิงเอ๋อร์ที่เป็นลูกอนุภรรยาก็ยังไม่เคยขาดแคลนเครื่องประดับสวยๆ แต่บนศีรษะฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับโล่งโจ้ง แม้แต่เครื่องประดับศีรษะดีๆ สักชิ้นก็ไม่มี นี่คือหลานสาวของตน จะไม่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจได้อย่างไร


 


 


“เด็กดี ในเมื่อญาติผู้พี่ให้ของเจ้า เจ้าก็เก็บไว้ให้ดีเถอะ” เหล่าไท่จวินถอนหายใจในใจหนึ่งครา มองฟังเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความเอ็นดู กล่าวอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเป็นสตรีอายุน้อย เป็นวัยที่ต้องสวมเสื้อผ้าสีสดใส แต่งตัวจืดชืดเช่นนี้ดูไม่ดีนัก หู่พั่ว ไปหาผ้าสีสดสว่างสี่ผืน ส่งไปที่เรือนคุณหนูญาติผู้น้อง แล้วไปบอกเรือนเย็บปักด้วยว่า ตัดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสตรีสี่ชุดให้คุณหนูญาติผู้น้อง”


 


 


หู่พั่วตอบรับหนึ่งคราจากนั้นจึงถอยออกไป ใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังแดงก่ำ “ท่านย่า พอแล้วๆ ผ้าสี่ผืนมากพอแล้ว ไม่ต้องตัดเสื้อผ้าให้ข้าแล้ว ข้า ข้ามีเสื้อผ้าใส่” ประโยคสุดท้ายเสียงของนางเบามากเป็นพิเศษ กัดริมฝีปากอย่างละอายใจ “ท่านย่า รุ่ยฟังใช่ทำท่านขายหน้าหรือไม่”


 


 


ท่าทางใกล้จะร้องไห้นั่นของนางทำให้เหล่าไท่จวินยิ่งอดตำหนินางไม่ได้ “ไม่โทษเจ้า เป็นย่าที่คิดไม่ถึงเอง เด็กดี เจ้าทำใจให้สบายรอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เถอะ ย่าชอบเด็กผู้หญิงแต่งตัวเหมือนดอกไม้ที่สุด”


 


 


สถานการณ์บ้านฝั่งมารดานางก็รู้มาพอควร พ่อของฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนไม่มีเหตุผล ยกย่องคนชั้นต่ำขึ้นฟ้า แม้แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์บุตรสาวภรรยาหลวงผู้นี้ยังไม่ได้สมปรารถนา แม่ของฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ไร้ประโยชน์ กุมหัวใจสามีไม่ได้ ซ้ำยังรักษาลูกไว้ไม่ได้อีก


 


 


สงสารก็แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์เด็กคนนี้ ช่างเถอะๆ เรื่องจุกจิกเหล่านั้นที่บ้านฝั่งมารดานางเองก็ขี้เกียจจะยุ่ง ช่วยเหลือด้านการเงินทุกปีก็พอแล้ว ถือโอกาสที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์อยู่ตรงหน้านาง นางจะต้องเตรียมของให้นางดีๆ หลังจากนี้ออกเรือนก็จะได้มีสมบัติส่วนตัว


 


 


คิดถึงตรงนี้ สายตาที่เหล่าไท่จวินก็มองฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็มีความสงสารเพิ่มมากขึ้น กล่าวกับแม่นมฉิน “เอาเครื่องประดับ**บนั้นที่ได้จากผู้น้อยเมื่อเดือนก่อนมาให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ใส่เสีย”


 


 


เห็นฟังเจี่ยเอ๋อร์ตกใจจนโบกมือไม่เอา นางก็โน้มน้าวเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่ สตรีต้องสวมใส่ของสวยๆ งามๆ เยอะๆ จึงจะดูดี **บเครื่องประดับของญาติผู้พี่เจ้าเต็มไปหมด มีแต่เจ้าที่ไม่มี ย่าไม่อาจละเลยเจ้าได้”


 


 


น้ำตาแห่งความซาบซึ้งของหลิวรุ่ยฟังไหลลงมา ซบขาของเหล่าไท่จวินแล้วสะอื้นกล่าว “ท่านย่า ท่านดีกับรุ่ยฟังมากจริงๆ ท่านพ่อ ท่านแม่…” นางพูดต่อไม่ได้แล้ว ก้มหน้าสะอื้นไห้เสียงเบา


 


 


เหล่าไท่จวินลูบหัวฟังเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความสงสาร “รู้แล้ว รู้แล้ว ย่ารู้แล้วว่าเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม เจ้าเป็นเด็กดี วางใจได้แล้ว เจ้าอยู่ในจวนให้สบายใจ กลับไปย่าจะไม่ลืมเรื่องการสมรสของเจ้า” นางสัญญาเช่นนี้


 


 


“ท่านย่า” ใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังแดงกว่าเดิม เสียงเบาราวกับยุง ในสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเขินอาย ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นน้อยๆ ดวงตาที่หลุบลงก็เปล่งประกายจนน่าตกใจ หากท่านย่าสามารถช่วยนางวางแผนเรื่องการสมรสได้ เช่นนั้นนางจะยังมีอะไรให้ทุกข์ใจอีก


 


 


ในมือชิงหยาถือ**บเครื่องประดับเดินตามอยู่ข้างหลังคุณหนูอย่างงุนงง ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเพียงแค่เดินวนหนึ่งรอบเช่นนี้จะได้ของดีมากถึงเพียงนี้


 


 


ออกจากเรือนซงเฮ่อแล้วสีหน้าบนใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังก็เกลี้ยงเกลาหมดจด ไหนเลยจะยังมีความลำบากใจและเขินอายอย่างก่อนหน้านี้อยู่อีก ในใจนางพอใจอยู่เงียบๆ ก็แค่แสร้งบีบน้ำตาทำตัวน่าสงสารมิใช่หรือ เป็นแผนซื้อขาย ดูสิ ท่านย่าให้ของดีนางมากเพียงใด แค่เครื่องประดับหนึ่ง**บนี้ก็มีมูลค่าหลายร้อยตำลึงแล้ว


 


 


หลิวรุ่ยฟังกำหมัดแน่นบอกตัวเอง จะต้องเอาอกเอาใจท่านย่า จะต้องทำให้นางชอบใจเพื่อที่จะได้คู่สมรสที่ดี นางจึงจะสามารถหลุดออกมาจากรังโคลนแห่งนั้นในจวนตระกูลหลิวได้


 


 


ตอนที่ผ่านภูเขาจำลอง หลิวรุ่ยฟังนายบ่าวก็มองเห็นสาวใช้น้อยสองคนกวาดใบไม้ร่วงไปพลางสนทนาไปพลาง หลิวรุ่ยฟังคล้ายได้ยินพวกนางเอ่ยถึงท่านเขยสองคำนี้ ใจเต้นอย่างอดไม่ได้ ดึงชิงหยาหลบหลังภูเขาจำลอง


 


 


“จะว่าไปคุณหนูจวนพวกเราก็โชคดีจริงๆ ท่านเขยที่มาวันนี้เจ้าเห็นแล้วหรือยัง”


 


 


“ไม่เห็น พวกเราไม่ใช่สาวใช้ใหญ่ที่ได้หน้า ไหนเลยจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้านายได้ พี่หลานเห็นท่านเขยแล้วหรือ เล่ามาเร็ว” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา


 


 


“หึ ตอนที่ท่านเขยมาข้าทำงานอยู่ในสวนดอกไม้เล็กพอดี ก็แค่บังเอิญเห็นไม่ใช่หรือไร ท่านเขยสามคนนี้ของพวกเราหน้าตาดีจริงๆ ตัวก็สูง ไม่ต่างจากคุณชายใหญ่ของพวกเรานัก เสื้อผ้าที่สวมก็งดงาม ดูมีสง่าราศียิ่งนัก อีกทั้งยังใจกว้าง เพียงแค่คนรับใช้ที่บังเอิญเจอก็ให้เงินปูนบำเหน็จแล้ว ข้าเองก็ได้ก้อนเงินหนึ่งก้อน ได้ก้อนเงินเชียวนะ” ในน้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความดีใจ


 


 


“จริงหรือ พี่หลานโชคดีจริงๆ เหตุใดข้าถึงไม่โชคดีเช่นนี้บ้างเล่า” เสียงที่เศร้าใจดังขึ้น “ดูท่าแล้วฐานะท่านเขยสามคนนี้ของพวกเราคงจะไม่ด้อยเลย”


 


 


“ใช่แล้ว สามีของคุณหนูจวนโหวจะด้อยได้อย่างไร ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ท่านเขยสองของพวกเราเป็นคุณชายจวนเสนาบดี เป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีใจให้กันตั้งแต่เล็กกับคุณหนูสองของเรา ได้ยินพี่ๆ ข้างบนบอกว่า ฮูหยินของพวกเรากับพี่สะใภ้ฝั่งแม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คุณหนูสองของเราแต่งเข้าไปแล้วไม่ใช่ว่าตกเข้าไปในบ่อแห่งความสุขหรอกหรือ ท่านเขยห้าเองก็ไม่ธรรมดา เขาเป็นท่านซื่อจื่อจวนหย่งหนิงโหว เป็นคุณชายยอดเยี่ยมที่มีชื่อในเมืองหลวง เทียบกับสองคนนี้แล้วท่านเขยสามด้อยกว่าเล็กน้อย ตระกูลเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ต่อให้จะด้อย เขาก็เป็นถึงคุณชายตระกูลขุนนางขั้นสี่” คนผู้นี้ที่ถูกเรียกว่าพี่หลานดูเหมือนเป็นคนสืบข่าว พูดเรื่องข่าวลือของนายแล้วรู้ดีเหมือนเป็นเรื่องของตนเอง


 


 


“พูดได้ว่ายังคงเป็นท่านเขยห้าที่โดดเด่นที่สุดใช่หรือไม่ คุณหนูห้าโชคดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่ากันว่าคนผู้นั้นของบ้านสามถูกขังอยู่ในหอธรรมหรอกหรือ” ประโยคสุดท้ายกดเสียงต่ำกล่าว หลิวรุ่ยฟังได้ยินไม่ชัดเจน


 


 


จากนั้นก็ได้ยินพี่หลานผู้นั้นกล่าว “ชู่ว์ เบาๆ หน่อย เจ้าอยากตายหรือไร” ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เบาลงมาก หลิวรุ่ยฟังพยายามโน้มตัวจึงจะพอได้ยิน


 


 


“เจ้าเพิ่งเข้าจวนมาทำงานเลยไม่รู้ ฮูหยินผู้นั้นของบ้านสามเข้าหอธรรมก็เพราะท่านเขยผู้นี้ไม่ใช่หรือ เดิมท่านเขยห้าผู้นี้เป็นคู่หมั้นคุณหนูสี่ของเรา แต่ฮูหยินสามใช้อุบายช่วยคุณหนูห้าวางแผนดึงตัวมา”


 


 


“จริงหรือ” เป็นเสียงปิดปากอุทาน “เช่นนั้น…เช่นนั้นคุณหนูสี่ของพวกเรายินยอมด้วยหรือ”


 


 


“ดังนั้นฮูหยินสามจึงต้องเข้าหอธรรมอย่างไรเล่า” นี่เป็นเสียงของพี่หลาน “คุณหนูสี่ผู้นี้ของเราเก่งกาจ วาสนาก็ดี ต่อมาจักรพรรดิก็พระราชทานสมรสให้ ว่าที่ท่านเขยสี่ก็คือคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง ตอนนี้คุณหนูสี่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่แล้ว ชีวิตหลังจากนี้น่ะ จุ๊ๆ”


 


 


จากนั้นเสียงของพี่หลานก็ดังขึ้นต่อ “เจ้าเองก็ไม่มีโชค ตอนที่เข้าจวนมาคุณหนูสี่ก็ไปวัดต้าเจวี๋ยแล้ว เรือนเฟิงหวาไม่ต้องการคน หากเจ้าได้เข้าเรือนเฟิงหวาก็นับได้ว่าตกลงในบ่อแห่งความสุข ทั้งจวนก็มีแต่เรือนเฟิงหวาที่เงินดีที่สุด เสื้อผ้าที่สาวใช้กวาดพื้นเหมือนพวกเราสวมใส่ยังไม่ด้อยกว่าสาวใช้ใหญ่ที่อื่นด้วยซ้ำ หากข้ามีเส้นสายก็คงจะฝากคนขอย้ายเข้าไปนานแล้ว”


 


 


ต่อมาเสียงของทั้งสองคนก็เบาลงอีก หลิวรุ่ยฟังพยายามเงี่ยหูก็ยังไม่ได้ยิน นางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดพาชิงหยาออกจากหลังภูเขาจำลองอย่างระมัดระวัง


 


 


กระทั่งกลับไปถึงห้องนางก็ยังคงมีท่าทางครุ่นคิด นางก็ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นญาติผู้พี่ห้าเลย ที่แท้แล้วญาติผู้พี่สี่กับญาติผู้พี่ห้าก็ไม่ถูกกันนี่เอง ก็ใช่ หากมีคนแย่งคู่หมั้นของนาง นางก็คงจะไม่ยอมวางมือเหมือนกัน มิหนำซ้ำที่แย่งไปยังเป็นท่านซื่อจื่อผู้นั้นของจวนหย่งหนิงโหวอีกด้วย


 


 


อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน หลิวรุ่ยฟังเองก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านซื่อจื่อผู้นี้ พี่สาวลูกอนุภรรยาของนางก็มักจะพูดถึงท่านซื่อจื่อผู้นี้อยู่บ่อยๆ ท่าทางชื่นชมไม่หยุด ต่อให้จะต้องสละตนเป็นอนุภรรยาก็ยินดี


 


 


หลิวรุ่ยฟังอยากเห็นว่าท่านซื่อจื่อผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไรจริงๆ ตอนนี้กลับมีโอกาสดี ยังมีคุณชายจวนเสนาบดีผู้นั้น กระทั่งคุณชายตระกูลขุนนางขั้นสี่ผู้นั้น หลิวรุ่ยฟังอยากเห็นหน้าตาของคุณชายสูง

 

 

 


ตอนที่ 187-2 ตลกร้ายกลางงานเลี้ยงกลางวัน

 

งานเลี้ยงกลางวันย่อมแบ่งเป็นสองโต๊ะ เหล่าไท่จวินพาเหล่าลูกสะใภ้หลานสาวนั่งโต๊ะหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าโหวนำลูกชายหลานชายกระทั่งหลานเขยนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ตรงกลางใช้ฉากกั้นแยกส่วน


 


 


หลิวรุ่ยฟังที่นั่งอยู่ข้างๆ เหล่าไท่จวินแม้ว่าจะพยายามอดทนอยู่ แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อก็ยังคงแสดงให้เห็นความตื่นเต้นของนาง พี่เขยของญาติผู้พี่ทั้งสามคนสูงสง่า นางมองจนหัวใจเต้นตึกตัก นางแอบมองคนบนโต๊ะเล็กน้อย เห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็นที่นางเสียกิริยาจึงแอบถอนหายใจเงียบๆ แต่ดวงตาคู่งามกลับมองไปตรงฉากกั้นอย่างอดไม่ได้


 


 


นางคิดว่าตนหลบซ่อนดีแล้ว แต่ความจริงการกระทำนี้ของนางกลับตกอยู่ในสายตาที่เฉียบแหลมของฮูหยินสวี่นานแล้ว ใคร่ครวญเล็กน้อยนางก็รู้ความคิดของหลิวรุ่ยฟัง เด็กสาวคนนี้ถึงวัยที่จะมีความรักแล้วไม่ใช่หรือ แต่ว่า คนเหล่านั้นที่นั่งอยู่หลังฉากไม่ใช่คนที่นางจะใฝ่ฝันได้ ฮูหยินสวี่เบ้มุมปากลง แววตามีความเหยียดหยาม จวนโหวมีลูกสาวตระกูลหลิวสองคนแล้ว นางจะไม่ยอมให้มีคนที่สามอีกเป็นอันขาด เชื่อว่านายท่านผู้เฒ่าโหวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน


 


 


“วันมงคลของพี่สี่ใกล้เข้ามาแล้ว ชุดแต่งงานต่างๆ ปักเสร็จแล้วหรือยัง หากยุ่งเกินไปก็บอกได้ น้องสามารถช่วยได้” เสิ่นเสวี่ยมองเสิ่นเวยที่ซดน้ำแกงอย่างงามสง่า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกหงุดหงิดใจ อดเอ่ยปากยุแหย่ไม่ได้ นางจำได้ว่าพี่สี่ผู้นี้ของนางไม่เคยทำงานเย็บปักมาก่อน


 


 


เสิ่นเวยขี้เกียจแม้แต่จะชายตามองนาง วันดีเช่นนี้นางไม่อยากให้อะไรมากระทบจิตใจ คนอื่นไม่ต้องผู้ถึง แต่อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าท่านปู่หน่อยหรือไม่


 


 


โหวฮูหยินฮูหยินสวี่อยากจะตบเสิ่นเสวี่ยสักฉาดหนึ่งยิ่งนัก แต่กลับจำใจต้องยิ้มแย้มปกปิดความรู้สึก “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ลองชิมเผือกนี่สิ เป็นอาหารที่ครัวใหญ่คิดค้นออกมาใหม่ รสชาติไม่เลวเลย ป้าใหญ่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงพี่น้อง วางใจก็ดีแล้ว มีป้าใหญ่อยู่ จะต้องจัดการทุกด้านให้เหมาะสมแน่นอน”


 


 


ทว่าเสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับแสดงสีหน้าน้อยใจ สายตาที่มองเสิ่นเวยก็เศร้าโศกอย่างยิ่ง “เหตุใดพี่สี่ถึงไม่สนใจข้า ข้าเพียงแค่อยากช่วยจริงๆ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ร่ำรวยเท่าท่านพี่ แต่ช่วยท่านพี่ทำงานปักเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มของขวัญแต่งงานสวยๆ ไม่กี่ชิ้นก็ยังคงทำได้” คำว่าสวยๆ สองคำนี้นางตั้งใจเน้นเสียง ราวกับกลัวใครจะฟังไม่ออก


 


 


เสิ่นเวยแพ้ให้เสิ่นเสวี่ยแล้วจริงๆ เจ้าโง่เช่นนี้ดีจริงๆ หรือ เจ้าแสดงความโง่ต่อหน้าสามีของเจ้าจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ นางวางถ้วยแกงในมือลงช้าๆ ชายตามองเสิ่นเสวี่ยแล้วกล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่สนใจเจ้า แต่อย่างไรเสียตอนนี้พี่ก็เป็นจวิ้นจู่ที่ราชวงศ์พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แล้ว ชุดแต่งงานชองข้าย่อมต้องรอให้กรมพิธีการส่งมา ต่อให้ของที่ตัวเองเตรียมไว้จะงดงามประณีตเพียงใดก็ใช้ไม่ได้ ส่วนงานอื่นๆ ย่อมมีสาวใช้ทำอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะเลี้ยงพวกนางไว้ทำอะไรเล่า ข้าเป็นนายยังต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนอีกงั้นหรือ น่าขันตายเลย ส่วนคุณชายใหญ่สวีจะรังเกียจที่ข้าไม่ได้ทำเองกับมือหรือไม่ น้องห้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้ ไม่สู้เจ้าไปถามแทนข้าว่าเขาแต่งภรรยาหรือแต่งช่างเย็บผ้ากันแน่”


 


 


นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “พูดถึงของขวัญแต่งงาน น้องรังเกียจของขวัญแต่งงานที่ข้าให้เจ้าน้อยไปหรือไม่ นั่นเป็นของที่ข้าเย็บเองกับมือ ของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจไม่ใช่หรือ เจ้าวางใจ พี่ไม่เหมือนเจ้า ต่อให้เจ้าจะให้หญ้าพี่ต้นเดียว พี่ก็จะทะนุถนอมมันแน่นอน”


 


 


คำพูดที่ไม่รีบไม่ร้อนแต่กลับทำให้เสิ่นเสวี่ยเบ้าตาแดงก่ำได้สำเร็จ ใบหน้าเว่ยจิ่นอวี้หลังฉากกั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ


 


 


เหล่าไท่จวินโมโหเล็กน้อยแล้ว ถลึงตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดมากอะไร เจ้าเป็นพี่สาว ใจกว้างหน่อยไม่ได้หรือ จะหาเรื่องน้องสาวเจ้าทำไม” วันดีเช่นนี้ เป็นบาปกรรมอะไรถึงได้สร้างเรื่องวุ่นวายอีก


 


 


เมื่อเหล่าไท่จวินพูดออกไป มือซ้ายข้างลำตัวของเสิ่นเจวี๋ยหลังฉากกั้นก็กำหมัดอย่างอดไม่ได้ สีหน้าคนอื่นๆ ก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสวี่หรงกับเหวินเทา ทั้งสองสบตากันปราดหนึ่ง ต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี


 


 


“ท่านย่าไม่เป็นธรรมจริงๆ เห็นๆ กันอยู่ว่าน้องเสวี่ยเอ่ยขึ้นก่อน เหตุใดถึงเป็นข้าที่พูดมากเล่า ข้าไม่ใจกว้างงั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าไม่สนใจนางงั้นหรือ เหยียบจมูกขึ้นหน้า[1]ก็ช่วยไม่ได้ อย่าไรเสียข้าก็เป็นจวิ้นจู่ จะรังแกง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ” เสิ่นเวยไม่ยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม ใครทำให้นางไม่มีความสุข นางก็จะตบหน้ากลับไปทันที “หากตกลงไม่ได้ก็ไปให้ท่านปู่ตัดสิน ดูว่าแท้จริงแล้วใครผิดกันแน่” อย่างไรเสียน้ำสกปรกๆ นี้ก็ไม่อาจสาดมาบนตัวนางได้


 


 


ใบหน้าของเหล่าไท่จวินอึมครึมลงในชั่วขณะ นี่ไม่เท่ากับโต้เถียงนางต่อหน้าคนทั้งครอบครัวรวมถึงหลานเขยด้วยหรือไร ไม่ได้เด็ดขาด นางกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เรียบเฉยของนายท่านผู้เฒ่าโหวดังขึ้น “ทานข้าวดีๆ เดี๋ยวนี้ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ หากเจ้าไม่สบายก็ไม่ต้องกลับมา ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมา จวนโหวเป็นตระกูลฝั่งเจ้า จะตำหนิเจ้าไม่ได้หรือไร”


 


 


แม้จะไม่ได้เอ่ยว่าใครถูกใครผิด แต่เจตนาในคำพูดใครฟังก็เข้าใจหมดแล้ว สีหน้าของเสิ่นเสวี่ยไม่น่าดูอย่างยิ่ง แทบจะนั่งไม่ติดแล้ว แต่กลับไม่กล้าบุ่มบ่ามออกไป เว่ยจิ่นอวี้เองก็อึดอัดอย่างถึงที่สุด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ภรรยาที่อ่อนโยนมีความสามารถถึงได้หาเรื่องพี่สาวเช่นนี้ เขาลุกขึ้นพยายามจะอธิบายอะไร แต่กลับถูกนายท่านผู้เฒ่าโหวโบกมือห้ามไว้ สวี่หรงดึงเขานั่งลงอย่างมีไหวพริบ “จิ่นอวี้ มา ชนแก้วกับพี่หน่อย”


 


 


เหวินเทาเองก็เขยิบเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “ข้าด้วยๆ วันนี้พวกเราพบกันครั้งแรก ต้องดื่มกันหลายๆ แก้วหน่อย” เหล่าคุณชายจวนโหวเองก็ครึกครื้นตามกัน บรรยากาศรอบโต๊ะก็ดีขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ฝั่งเสิ่นเวยมีฮูหยินสวี่กวักมือเรียก แม้เหล่าไท่จวินจะไม่พอใจ แต่กลับไม่กล้าทะเลาะขึ้นมาต่อหน้าสามีจริงๆ ทำให้นางโกรธจนไม่อยากอาหาร ทานได้เพียงสองคำก็วางตะเกียบลงแล้ว


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ชูตะเกียบชิมอาหารแต่ละอย่าง อืม จานนี้อร่อย จานนั้นก็ไม่เลว เสิ่นเวยเคี้ยวด้วยท่าทางงามสง่า ตั้งแต่ที่ผ่านวันคืนอันขื่นขมที่ซีเจียงมา ตอนนี้เสิ่นเวยก็รู้สึกว่ากินอะไรก็อร่อยไปหมด เสิ่นซวงเสิ่นอิงเห็นเสิ่นเวยกินอย่างเอร็ดอร่อยก็รู้สึกอยากอาหารอย่างอดไม่ได้ กินเยอะกว่าเมื่อก่อนเสียอีก


 


 


ส่วนสีหน้าเหล่าไท่จวินกับเสิ่นเสวี่ยก็ยิ่งพะอืดพะอม ฮูหยินสวี่ทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่เอาใจแขกอย่างกระตือรือร้น โน้มน้าวให้ทานเยอะๆ ส่วนเจ้าจะกินหรือไม่ เรื่องนั้นนางก็ไม่สนใจแล้ว


 


 


ในขณะเดียวกัน คุณชายใหญ่สวีจวนจิ้นอ๋องกลับทอดถอนหายใจอยู่ในเรือนของตน เขารู้ว่าวันนี้เขยทั้งหลายของจวนจงอู่โหวจะไปเยี่ยมบ้าน เขาเองก็อยากมาเหมือนกัน ไม่ได้เจอหน้าเด็กน้อยนานแล้ว ความคิดถึงของเขาเยอะยิ่งกว่าน้ำในคูเมืองนั่นเสียอีก


 


 


ใครจะรู้เด็กน้อยทิ้งท้ายบอกเขาหนึ่งประโยค ‘คนสถานะไม่ชัดเจนเช่นท่านอยู่บ้านไปจะดีกว่า’


 


 


สวีโย่วได้ยินคำที่เจียงไป๋นำกลับมาบอก ร่างทั้งร่างก็สับสนวุ่นวาย กอดก็เคยกอดแล้ว จูบก็เคยจูบแล้ว เดือนหน้าก็จะสมรสแล้ว ตนคาดไม่ถึงว่ายังเป็นคนที่มีสถานะไม่ชัดเจนอยู่อีก สวีโย่วโมโหจนกัดฟันกรอด ในใจใคร่ครวญคิดหาวิธีไปสร้างความประทับใจให้เด็กน้อย มิเช่นนั้นด้วยนิสัยเย็นชาของเด็กน้อยคนนั้นจะต้องลืมเขาไปโดยเร็วแน่นอน


 


 


แต่ว่าวิธีใดจึงจะได้ผล หรือว่าจะส่งทรัพย์สินเงินทองส่วนตัวไปให้นาง ไม่ได้ วันสมรสนางยังต้องนำกลับมา ไม่สู้รอนางแต่งเข้ามาแล้วค่อยให้นาง อืม นางรักน้องชายนางยิ่งนัก หรือว่าจะเข้าทางเด็กโง่คนนั้นดี จะแนะนำแม่ทัพชื่อดังให้สักคนหรือว่าส่งอาจารย์สอนยุทธ์สักคนให้ดี


 


 


สวีโย่วลูบคางครุ่นคิดอย่างจริงจัง


 


 


เจียงไป๋เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณชาย บ่าวชั้นล่างบอกว่าเห็นคุณหนูญาติผู้น้องบ้านฝั่งมารดาของพระชายาเดินเล่นอยู่นอกเรือนพวกเราขอรับ” เดือนหน้าคุณชายของเขาก็จะเข้าพิธีสมรสแล้ว คิดคำนวณแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่มาก อีกทั้งคุณชายยังชอบคุณหนูสี่จวนจงอู่โหวอย่างยิ่ง คุณหนูสี่ก็ยังมีนิสัยดื้อรั้น ไม่อาจให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดตอนนี้ได้ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้จึงรีบมารายงาน


 


 


สวีโย่วได้ยินแล้วคิ้วก็ขมวดมุ่น “พวกนางยังไม่ไปอีกหรือ” พิธีสมรสของเขากำหนดวันแล้ว คุณหนูญาติผู้น้องสองคนนั้นยังอยู่ในจวน พระชายามีเจตนาอะไร


 


 


“ฟังว่าส่งกลับไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้กลับมาอีกแล้ว” เจียงไป๋รีบบอกข่าวที่ได้สืบมา


 


 


“ไล่ไป ให้นางอยู่ห่างจากเรือนพวกเราหน่อย” สวีโย่วรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาเห็นคนที่อยู่ข้างกายพระชายาแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดใจ


 


 


ทว่าเจียงไป่กลับหยุดชะงัก ถามอย่างระมัดระวัง “ไล่อย่างไรขอรับ” บ่าวเช่นเขา ไม่มีเหตุผลเหมาะสมจะไปไล่หลานสาวบ้านฝั่งมารดาของพระชายาได้ พระชายาคงจะถลกหนังเขาทิ้ง พระชายากำลังทุกข์อยู่กับการหาจุดอ่อนของคุณชาย หากนางฉวยโอกาสนี้ขึ้นมาไม่ใช่จะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือ


 


 


สวีโย่วเองก็คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ดวงตากะพริบวาบกล่าว “เช่นนั้นก็เฝ้าประตูเรือนของเราให้เข้มงวด” เขาคิดครู่หนึ่งจึงก้มกระซิบข้างหูเขาแล้วสั่งสองสามประโยค


 


 


ดวงตาของเจียงไป๋เปล่งประกายในชั่วขณะ ยังคงเป็นคุณชายใหญ่ที่มีวิธี ไล่โจ่งแจ้งไม่ได้ แล้วจะไล่ไปแบบเงียบๆ ไม่ได้หรือไร คนที่เหาะเหินเดินอากาศเช่นพวกเขาเหล่านี้มีวิธีรับมือกับสตรีอ่อนแอเยอะถมไป ขัดขา หรือว่าพรางตา ก็ทำได้หมดมิใช่หรือ


 


 


เร็วอย่างยิ่ง สวีโย่วก็รู้แล้วว่าพระชายาจิ้นอ๋องมีเจตนาอะไร


 


 


 


 


 


 


[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า การที่ฝ่ายหนึ่งให้เกียรติ แต่อีกฝ่ายไม่คิดสนใจ กลับวางท่าได้ใจยิ่งขึ้น 

 

 


ตอนที่ 188-1 เสนออนุภรรยาอีกครั้ง

 

อนุภรรยางั้นหรือ เขากำลังจะเข้าพิธีสมรสแล้ว ฝั่งนางก็หาอนุภรรยามาให้เขา อีกทั้งยังเป็นหลานสาวบ้านฝั่งมารดาของนาง ต้องการหาคนมาอยู่ข้างกายเขาหรือ คิดจริงๆ หรือว่าเขายังเป็นเด็กไม่กี่ขวบที่จะถูกนางทำอะไรก็ได้ผู้นั้น มุมปากของสวีโย่วปรากฎความเหยียดหยาม เดิมเขาคิดจะอยู่ในจวนอย่างสันติ จะทำอย่างไรเมื่อต้นไม้อยากอยู่นิ่งแต่ลมกลับไม่หยุดพัด คนบางคนไม่คู่ควรเขาเองก็ไร้หนทาง


 


 


บางทีความเหยียดหยามในแววตาของสวีโย่วอาจจะชัดเจนเกินไป พระชายาจิ้นอ๋องที่ปั้นหน้ารักใคร่แทบจะแสร้งทำต่อไปไม่ได้แล้ว “สุขภาพของเจ้าแม่เป็นห่วงมาโดยตลอด อี๋ฮุ่ยนิสัยอ่อนโยน มีนางอยู่รับใช้ข้างกายเจ้าแม่ก็วางใจ” นางทำท่าทางว่าข้าล้วนแต่หวังดีกับเจ้า


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับไม่แยแส ดวงตาที่สงบนิ่งไร้คลื่นลมก็ยิ่งลุ่มลึก “เดือนหน้าลูกก็จะเข้าพิธีสมรสแล้ว เสด็จแม่รับอนุภรรยาเข้ามา เพราะไม่พอใจต่อการสมรสพระราชทานของจักรพรรดิ หรือว่าเรือนหลังของลูกยังวุ่นวายไม่พอจึงอยากจะสุมไฟเพิ่มหรือ”


 


 


คาดว่าคงใช่ทั้งสองอย่าง โดยเฉพาะตอนนี้นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวสร้างคุณงามความดีกลับมา อำนาจของจวนจงอู่โหวก็ยิ่งสูงขึ้นอีกขั้น พระชายาไม่ยอมให้ตนมีตระกูลของภรรยาที่มีอำนาจเพียงนี้ นางอยากจะให้ตนแต่งงานกับตระกูลตกต่ำจึงจะดีกว่า


 


 


ได้ยินสวีโย่วถามกลับตรงๆ เช่นนี้ อย่าว่าแต่พระชายาจิ้นอ๋อง แม้แต่จิ้นอ๋องบิดาเขายังขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “โย่วเกอเอ๋อร์อย่าพูดจาเหลวไหล เสด็จแม่ของเจ้ามีเจตนาดี อี๋ฮุ่ยเด็กคนนั้นพ่อก็เคยเห็นแล้ว เป็นคนดี เสด็จแม่เจ้าหวังดีต่อเจ้าทั้งนั้น เจ้าไม่รู้จักขอบคุณซ้ำยังตั้งข้อสงสัย หมายความว่าอย่างไรกัน” ลูกชายคนโตคนนี้อายุยี่สิบกว่าปีแล้วยังพูดจายุแหย่คนเช่นนี้อีก


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องตีหน้าเสียใจขึ้นมาทันเวลา


 


 


ดีหรือ เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูเรือนชายอื่น จะเป็นสตรีที่ดีอะไรได้ ตาบอดใช้ได้แล้วจริงๆ หากเป็นคนดี น้องสี่ของเขาก็ยังไม่ได้แต่งงาน เหตุใดพระชายาถึงไม่แต่งนางเป็นภรรยาเอกของน้องสี่เล่า


 


 


สีหน้าสวีโย่วเย็นชายิ่งขึ้น ขอบคุณหรือ หากเขาต้องขอบคุณยอมตายเสียยังดีกว่า


 


 


“หากหวังดีต่อลูกจริงๆ เหตุใดถึงไม่ทำให้เร็วกว่านี้ ปีนี้ลูกอายุยี่สิบสองแล้ว ตอนที่ลูกอายุสิบสี่สิบห้าเหตุใดพระชายาถึงไม่สรรหาคนเอาใจมาคอยรับใช้บ้างเล่า คงกลัวว่าลูกมีทายาทแล้วจวนจิ้นอ๋องนี้จะตกไม่ถึงมือน้องรองใช่หรือไม่” ดวงตาสวีโย่วปรากฎสายตาที่เข้าใจ เสมือนมองไม่เห็นความตกใจและอึดอัดที่แวบผ่านใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋อง พูดต่อ “รักบุตรชายแท้ของตนมากกว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ลูกเองก็ไม่ได้ว่าอะไรไม่ใช่หรือ ไม่เพียงแต่ไม่ถกเถียง ซ้ำยังมอบตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องให้น้องรองด้วยตัวเอง พระชายาอย่าอ้างว่าลูกสุขภาพไม่ดี ต่อให้ลูกนอนอยู่บนเตียงเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ขอเพียงแค่ลูกไม่ยอมยื่นสาส์นกราบทูลปฏิเสธด้วยตัวเอง ตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องนี้ก็จะต้องเป็นของลูกอยู่ดี”


 


 


เสด็จพ่อชักช้าไม่ยอมยื่นสาส์นกราบทูลขอพระราชทานตำแหน่งซื่อจื่อให้เขา เสด็จลุงก็โมโหแล้ว เตรียมออกพระราชโองการลงมาโดยตรง แต่ถูกเขาขัดไว้ ตอนนั้นเขาไม่อยากได้ตำแหน่งซื่อจื่อนี้จริงๆ กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าในจวนนี้เขาก็ไม่อยากได้


 


 


บนใบหน้าของสวีโย่วปรากฎรอยยิ้มบางๆ แต่ในสายตาของพระชายาจิ้นอ๋องกลับบาดตาเพียงนั้น นางสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งคราเงียบๆ เค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดออกมา กล่าวด้วยความเสียใจ “ดูคุณชายใหญ่พูดเข้า เจ้ากับพวกเยี่ยเกอเอ๋อร์ก็เป็นลูกแม่เหมือนกัน แม่จะไม่รักเจ้าได้อย่างไร เพียงแค่เจ้ารักษาตัวอยู่บนเขามาโดยตลอด แม่อยากดูแลเจ้าให้มากกว่านี้ก็ไม่ได้ พวกเจ้าต่างก็เป็นพี่น้องแท้ๆ ตำแหน่งซื่อจื่อนี้มอบให้ใครก็เหมือนกันหมดมิใช่หรือ เจ้าลูกคนนี้ หากวันนี้เจ้าไม่พูด แม่ก็ยังไม่รู้ว่าในใจเจ้าไม่พอใจมากเพียงนี้ ซ้ำยังไม่พอใจที่แม่ละเลยเจ้า ขอเพียงคุณชายใหญ่สวีมีความสุข แม่ก็จะไปบอกเยี่ยเกอเอ๋อร์ ให้เขาคืนตำแหน่งซื่อจื่อให้เจ้าเสีย”


 


 


“เหลวไหล จะคืนอย่างไร เป็นลูกข้าทั้งหมด ข้าอยากให้ใครก็ให้คนนั้น” สายตาที่จิ้นอ๋องมองลูกชายคนโตไม่พอใจขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่ที่กลับจวนมาก็ไม่ได้อยู่เป็นสุข ไม่สู้อยู่ข้างนอกตลอดกาลไม่ต้องกลับมาอีกเลยจึงจะดี


 


 


สวีโย่วไม่สนใจคำพูดของพ่อเขา แต่กลับมองพระชายาจิ้นอ๋องด้วยความน่ากลัวยิ่งขึ้น หญิงผู้นี้ใช้ได้จริงๆ รู้ดีว่าตำแหน่งซื่อจื่อของน้องรองไม่อาจแตะต้องได้ แต่กลับยังพูดว่าจะคืนให้เขา ในเมื่อมีความคิดว่าจะคืน แล้วเหตุใดหลายปีก่อนหน้านี้ถึงรับไว้ล่า


 


 


“แล้วอย่างไร” เสียงของสวีโย่วเย็นเยียบราวกับเกล็ดน้ำแข็ง “ตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องสามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับของเด็กเล่นได้ด้วยหรือ เสด็จแม่จะให้คนนอกมองลูกอย่างไร ตระบัดสัตย์งั้นหรือ ไม่รักพี่น้องงั้นหรือ นี่คงเป็นเป้าหมายของพระชายาสินะ เสด็จแม่ล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ ลูกเป็นจวิ้นอ๋องแล้ว ไม่ต้องการตำแหน่งซื่อจื่อนี้อีกแล้ว เกรงว่าพระชายาก็รู้อยู่แก่ใจจึงกล้าเสนอขึ้นมาเช่นนี้สินะ”


 


 


“คุณชายใหญ่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องเห็นจิ้นอ๋องมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกันจึงลนลานอย่างอดไม่ได้ นางจะมีเจตนานี้หรือไม่ไม่สำคัญ นางเองก็ไม่กลัวว่าจะถูกลูกหลานสังเกตเห็นเจตนาที่ไม่ดีของนาง แต่นางไม่อาจปล่อยให้จิ้นอ๋องรู้ความคิดแท้จริงที่อยู่ในใจนางได้ หลายปีมานี้นางกุมอำนาจใหญ่ในเรือนด้านในจวนจิ้นอ๋องมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะว่าจิ้นอ๋องไว้ใจนางหรือไร


 


 


“คุณชายใหญ่เจ้าเข้าใจแม่ผิดแล้วจริงๆ หากจวนจิ้นอ๋องของพวกเรามีข่าวลือไม่ดีว่าพี่น้องแก่งแย่งชิงดีกันออกไป แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เจ้าพูดเช่นนี้ไม่เหมือนเอามีดมาแทงอกแม่หรือ” พระชายาจิ้นอ๋องพูดไปพลาง น้ำตานั่นก็ไหลรินออกมาราวกับเปิดน้ำ


 


 


จิ้นอ๋องเห็นพระชายาร้องไห้อย่างเศร้าใจ ทั้งยังคิดถึงคำพูดของนางอย่างละเอียด รู้สึกว่าพระชายาไม่ใช่คนแบบนั้นจึงกล่าวกับลูกชายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตั้งแต่เล็กเจ้าก็มีนิสัยแปลกๆ เห็นๆ อยู่ว่าแม่เจ้ามีเจตนาดี แต่ดันถูกเจ้าคิดว่าเป็นเจตนาร้าย มองข้ามความหวังดีผู้อื่น”


 


 


เบื้องลึกในจิตใจของสวีโย่วไม่มีแม้แต่ความโกรธเพียงน้อยนิด คำพูดเช่นนี้เขาได้ยินมาเยอะแล้ว คนที่ถูกเขาเรียกว่าเสด็จพ่อผู้นี้เขาเลิกคาดหวังมานานแล้ว


 


 


“จะคิดว่าลูกมองข้ามความหวังดีก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียอนุภรรยาผู้นี้ลูกก็ไม่ต้องการ ลูกจำได้ว่าพิธีสมรสน้องรองน้องสามก่อนหน้านี้ไม่มีอนุภรรยาอะไร ไม่เพียงแต่ไม่มี บ่าวหลายคนที่รับใช้ในเรือนยังถูกไล่ออกไปทั้งหมด ไม่ใช่กลัวว่าเจ้าสาวเข้าบ้านมาแล้วสามีภรรยาจะเกิดความบาดหมางกันหรอกหรือ เหตุใดพอถึงตาลูกแล้วจึงกลับกันเล่า นี่เท่ากันว่าเป็นการไม่ให้เกียรติคุณหนูสี่จวนจงอู่โหว ซ้ำยังหวังให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาของลูกสั่นคลอนด้วยงั้นหรือ” สวีโย่ววกกลับมาเรื่องหลักทันที เขาไม่อ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว หากเขากล้าแต่งอนุภรรยาคนนี้ ต่อให้จะไม่แตะตัว น้องสี่แซ่เสิ่นเด็กน้อยที่นิสัยดุดันผู้นั้นก็คงจะก่อเรื่องอะไรอีกเป็นแน่


 


 


“ลูกไม่ขอให้พระชายาดูแลลูกเป็นพิเศษ ขอเพียงเบื้องหน้าปฏิบัติเหมือนกันกับน้องรองน้องสามน้องสี่ได้ก็พอแล้ว” สวีโย่วประสานมือจากนั้นก็ถอยออกไป


 


 


ออกจากเรือนพระชายาจิ้นอ๋องแล้วเขาก็ถอนหายใจหนึ่งครา นึกภาพน้องสี่แซ่เสิ่นแต่งเข้ามาแล้วต้องเจอเรื่องกวนใจเช่นนี้ ในใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวด เด็กน้อยของเขาเป็นเหยี่ยวที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า แต่เขากลับลากนางเข้ามาในกรงเช่นนี้ โชคดีที่จวนจวิ้นอ๋องกำลังซ่อมแซมแล้ว ปรับสร้างตามโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมของสวนชิงหยวนเล็กน้อยก็ได้แล้ว ลดปัญหากว่าการสร้างจวนบนที่ดินเปล่าไปได้มาก พวกเขาเพียงแค่ต้องอยู่ในจวนจิ้นอ๋องช่วงหนึ่งก็สามารถย้ายไปได้แล้ว หากต้องอยู่ระยะยาว เขายังเป็นห่วงจริงๆ ว่าเด็กน้อยอาจจะพังจวนจิ้นอ๋องทิ้ง


 


 


สวีโย่วถอนหายใจในใจอีกครั้ง เจ้าว่าจะไปหาลูกหลานที่รอบคอบใส่ใจเช่นเขาได้อีกที่ไหน เขาเองก็คิดแทนพวกนางไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังคิดคำนวณแทนน้องสี่แซ่นเสิ่น คนหนึ่งกลุ่มมัดรวมกันยังไม่เท่าน้องสี่แซ่เสิ่นจัดการคนเดียว หากเขาไม่ได้กลัวว่าเด็กน้อยของเขาจะเผยด้านดุร้ายเร็วเกินไป เขาก็ขี้เกียจจะยุ่งเหมือนกัน


 


 


แต่เหตุใดเบื้องลึกในใจเขาถึงแอบหวังว่าน้องสี่แซ่นเสิ่นจะเปิดฉากฆ่าทั่วสารทิศในจวนจิ้นอ๋องเล่า หึ


 


 


จะต้องเป็นเพราะอยู่ใกล้ใครก็ติดนิสัยคนนั้น แม้แต่คุณชายสูงส่งบริสุทธิ์เช่นเขายังถูกน้องสี่แซ่เสิ่นเด็กคนนั้นทำเสียคนแล้ว


 


 


“คุณชาย เรื่องนี้จะบอกคุณหนูสี่หรือไม่” เจียงไป๋ถามเสียงเบา ในใจเขาคิดเช่นนี้ บอกคุณหนูสี่ให้นางเตรียมตัวในใจ จะได้เห็นธาตุแท้พระชายาเร็วที่สุด เมื่อแต่งเข้ามาแล้วจะได้ไม่ถูกคำพูดสวยหรูของพระชายาลวงหลอก สองคือให้คุณหนูสี่เห็นว่าคุณชายยอมที่จะผิดใจท่านอ๋องกับพระชายาเพื่อนาง นี่เป็นจิตใจที่สูงส่งหาได้ยากเพียงใด


 


 


สวีโย่วไม่แม้แต่จะคิดก็ปฏิเสธแล้ว “ไม่ต้อง เรื่องนี้หยุดไว้เท่านี้ นอกจากเรือนเราก็อย่าให้มีข่าวลือรั่วหลุดออกไป” หากเด็กน้อยรู้เข้า คาดว่านางไม่เพียงแต่จะไม่ซาบซึ้ง แต่ยังรู้สึกยุ่งยาก นี่ก็ใกล้จะถึงวันสมรสแล้ว เขาไม่อยากให้เด็กน้อยเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นอีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)