อัจฉริยะสมองเพชร 1870-1871

 ตอนที่ 1870 อำลา

อสูรที่ชิวหรูครอบครองคืออสูรจะงอยปากอินทรี มันมีรูปร่างใหญ่โตมาก บรรทุกผู้โดยสารหลายคนไว้บนหลังได้โดยไม่แออัด


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนอยากบินไปยังจุดหมายด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้การเดินทางเร็วขึ้นมาก แต่เมื่อนึกได้ว่าท่านอาจารย์มีนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ชอบทำอะไรโดดเด่น ลงท้ายพวกเขาจึงล้มเลิกความคิดและนั่งเงียบอยู่บนหลังอสูร


เห็นทั้งกลุ่มกำลังควบคุมลมหายใจ ชิวหรูถามด้วยความสงสัย “พวกคุณเป็นนักรบเหมือนกันหรือ?”


เธอเคยคิดว่าคนกลุ่มนี้คือชาวบ้าน เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญที่ปราศจากพลังปราณ ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณได้เช่นกัน?


“คุณจะพูดแบบนั้นก็ได้” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


ชิวหรูถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ไม่เลวนี่! บอกพวกคุณให้รู้ไว้นะ ฉันเคยฝึกฝนวรยุทธมาก่อน ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในหมู่บ้าน ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบและได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่า”


“ไม่เลว” เจิ้งหยางตอบรับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว


“คุณอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่หัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าคือผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมรดกของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อนะ” ชิวหรูพูด


“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนส่งสายตาอยากรู้


“หัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าเดินทางมายังเมืองฟ่านเมื่อสมัยที่เขายังหนุ่ม และได้รับคำชี้แนะจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่นั่น แม้ตอนนี้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน น่าเสียดายที่พวกคุณไม่ได้พบเขา ไม่อย่างนั้นก็คงจะชื่นชมยกย่องเขามากเหมือนกับที่ฉันยกย่อง” ชิวหรูอธิบาย


เมื่อครู่นี้ ทั้งสามได้พบแค่รักษาการณ์หัวหน้าหมู่บ้าน แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านนี้ก็คือหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่า เป็นเพราะเธอได้ฝึกฝนวรยุทธกับหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่า จึงประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น


“ไม่ทราบว่าเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนคืออะไร? คุณได้รับการสั่งสอนโดยปรมาจารย์หรือเปล่า?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


แน่นอนว่ามรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อนั้นย่อมเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา แม้ชิวหรูจะได้สัมผัสแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ แต่จางเซวียนก็พอดูออก


“ปรมาจารย์?” ชิวหรูขมวดคิ้ว


คำนั้นดูจะเป็นคำใหม่สำหรับเธอ


“มันคือวิชาชีพหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการถ่ายทอดความรู้และไขข้อสงสัยของคนอื่นๆ” จางเซวียนพูด


“ฉันไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน” ชิวหรูส่ายหน้า “เทคนิควรยุทธของตระกูลเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยให้รั่วไหลไปสู่คนนอกไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีใครถ่ายทอดมันให้กับคนนอก? นอกเหนือจากสำนักแห่งขงจื๊อ ก็ไม่น่าจะมีสถานที่ไหนที่จะมีใครถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้กับคนอื่นๆ พูดอีกอย่างก็คือ ฉันไม่เคยได้ยินคำว่าปรมาจารย์มาก่อน…”


หลังจากตั้งคำถามอีกสองสามคำถาม ในที่สุดจางเซวียนก็ถึงบางอ้อ


ไม่มีสภาปรมาจารย์ในร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์!


ถ้าใครสักคนอยากฝึกฝนวรยุทธ ก็จะต้องรับการถ่ายทอดมรดกจากตระกูลของพวกเขา หรือหาโอกาสให้ได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ


สำนักแห่งขงจื๊อไม่ต่างอะไรกับสถาบันการศึกษาต่างๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เงื่อนไขในการจะได้เข้าไปนั้นเข้มงวดและยากเย็นมาก มีแต่อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นถึงจะได้การยอมรับให้เข้าไป แม้แต่โฉมงามของหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ไม่มีโอกาส


เหล่าสมาชิกของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้ คือเหยียนเฉว่ หนานกงหยวนเฟิง และคนอื่นๆก็ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากจากสำนักแห่งขงจื๊อทั้งสิ้น


“พวกคุณคิดจะหาโอกาสใหม่ๆในเมืองฟ่านหรือเปล่า? ให้ฉันบอกอะไรคุณสักหน่อยนะ มันไม่ง่ายแบบนั้นแน่ ฉันเคยไปที่นั่น 2-3 ครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบผู้เชี่ยวชาญสักคน” ชิวหรูพูดขณะมองจางเซวียนกับพรรคพวกด้วยแววตาที่แสดงความสมเพช


เทคนิควรยุทธเป็นสิ่งจำเป็นที่คนๆหนึ่งจะต้องใช้ในการฝึกฝนวรยุทธ แต่พวกมันก็เป็นความลับสุดยอด เพียงแค่การที่ใครคนหนึ่งต้องการมัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหาพบได้โดยง่าย


เหตุผลเดียวที่เธอได้เป็นนักรบก็เพราะความปราดเปรื่องที่มีมาแต่กำเนิดและความบังเอิญอีกหลายอย่างที่เอื้อโอกาสให้


เมื่อเธอได้รู้ว่าทั้งสามคนตรงหน้ากำลังพยายามแสวงโชค ท่าทีของเธอที่มีต่อพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ด้วยเหตุนี้ การเดินทางที่เหลือจึงลงเอยด้วยความเงียบงัน


ราว 2 ชั่วโมงต่อมา เมืองขนาดมหึมาก็ปรากฏตรงหน้า


พวกเขามาถึงเมืองฟ่านแล้ว!


โฉมงามของหมู่บ้านได้พรรณนาไว้ว่ามันเป็นเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างน่าทึ่ง แต่เพราะได้เห็น ความอลังการของทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้ว จางเซวียน เจิ้งหยาง และเว่ยหรูเหยียนจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง


ในแง่ขนาด เมืองฟ่านเทียบอะไรไม่ได้เลยกับเมืองพยัคฆ์มังกรของตระกูลจาง หรือแม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ อย่างมากที่สุดที่พอจะเทียบได้ก็คือกับเมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียนเท่านั้น


มีการตรวจสอบบริเวณทางเข้า แต่ทั้งกลุ่มก็ผ่านเข้าเมืองไปได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ พวกเขาเดินไปตามถนน ก่อนในที่สุดจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านพักขนาดใหญ่


ชิวหรูชี้ไปที่บ้านพักและพูดว่า “นี่คือที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ มีผู้คนมากมายมาเคาะประตูไม่เว้นแต่ละวันเพื่อหวังจะได้พบกับความโชคดี ดูนั่นสิ นั่นคือผู้คนที่ปรารถนาจะร่ำเรียนศิลปะของพวกเขา แต่ก็น่าสมเพชที่ความฝันของคนเหล่านั้นไม่มีวันเป็นจริงได้ ต่อให้พักค้างอ้างแรมอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้อะไรกลับไป!”


จางเซวียนมองดูอาณาเขตรอบนอกของที่พัก ผู้คนกลุ่มใหญ่กำลังคุกเข่าอยู่โดยรอบ


มีตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น ผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้นสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แตกต่างกันไป บ่งบอกว่าพวกเขามาจากดินแดนอันไกลโพ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือแววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว


บางคนคุกเข่าอยู่นานเสียจนทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด พวกเขาหมดความอดทนแล้ว แต่ก็ยังกัดฟัน และบีบบังคับตัวเองให้อดทนต่อไป


เห็นภาพนั้น จางเซวียนย่นหน้าผาก


มีผู้คนมากมายที่ปรารถนาความรู้และยอมทำทุกอย่างเพื่อมัน แต่ประตูบานใหญ่ของบ้านพักก็ยังคงปิดตายโดยไม่มีทีท่าจะเปิด ราวกับว่าคำสวดภาวนาของพวกเขาคงไม่มีวันได้รับการตอบสนอง


“คำสอนของปรมาจารย์ขงให้คุณค่ากับสิทธิในการได้รับการศึกษา ในเมื่อทั้งร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์เป็นลูกศิษย์ของเขา แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่เต็มใจจะถ่ายทอดเทคนิควรยุทธของตัวเองให้คนอื่นๆ?” จางเซวียนไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็น


เป็นเพราะความเมตตากรุณาของปรมาจารย์ขงที่ทำให้เขากลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลก และในเมื่อเชื้อสายของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มีต้นกำเนิดโดยตรงมาจากปรมาจารย์ขง ทำไมพวกเขาถึงยังคงรักษามรดกตกทอดของตัวเองไว้อย่างเข้มงวด ไม่ยอมแบ่งปันให้ใคร?


แอ๊ดดดด!


ขณะที่จางเซวียนยังคงครุ่นคิด ประตูบานใหญ่ของบ้านพักก็เปิดออก ร่างผอมสูงหลายร่างเดินออกมา


มีวัยรุ่น 3 คนกับชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง วัยรุ่นกลุ่มนั้นดูจะมีอายุราว 20 ต้นๆ ส่วนชายวัยกลางคนมีคิ้วดกหนา


“นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่” เจิ้งหยางพึมพำ


ชายวัยกลางคนเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่เด็กวัยรุ่นทั้งสามเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แน่นอนว่าทั้งสี่คืออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง


“การทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อเต็มไปด้วยความลำบากยากเย็น จำคำสอนของผมให้ขึ้นใจ แล้วทำให้ดีที่สุด!” ชายวัยกลางคนกำชับเด็กวัยรุ่นทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า


“ขอรับ!” ทั้งสามพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


“สำนักแห่งขงจื๊อ?” จางเซวียนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำที่คุ้นหู


“นั่นคือหัวหน้าตระกูลฟ่านคนปัจจุบันและบรรดาศิษย์น้องของเขา พวกเขากำลังจะไปที่สำนักแห่งขงจื๊อเพื่อเข้ารับการทดสอบหรือ? น่าทึ่งจริงๆ!”


“ผู้ที่ได้ผ่านประตูสำนักแห่งขงจื๊อเข้าไปคืออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องที่สุด ถ้าผมได้รับคำชี้แนะสักคำจากคนระดับนั้น ความพยายามของผมก็ไม่สูญเปล่าแล้ว!”


“น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธของตัวเองให้กับคนนอก และด้วยสถานภาพของพวกเรา ไม่มีทางที่เราจะไปแตะต้องพวกเขาได้เลย!”


…..


ฝูงชนออกความเห็นกันเซ็งแซ่


ชื่อนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อเป็นเพียงชื่อที่ตั้งให้สมเกียรติ ส่วนชื่อจริงของเขาคือฟ่านฉู่ ตระกูลฟ่านที่ฝูงชนกำลังพูดถึงก็คือตระกูลของผู้สืบเชื้อสายของเขา


“ดี ผมขอให้พวกคุณทำให้ดีที่สุดนะ!” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับโบกมือ


ฟึ่บ!


วัยรุ่นทั้งสามโผขึ้นสู่กลางอากาศและบินหายลับไป เพียงครู่เดียว พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


เห็นร่างของวัยรุ่นทั้งสามหายไปแล้ว เจิ้งหยางมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ “ท่านอาจารย์…”


“อือ ตามพวกเขาไป ผมคิดว่าสำนักแห่งขงจื๊อน่าจะมีกุญแจไขความลับทั้งหมดที่พวกเราสงสัยมานาน” จางเซวียนพูด


ก่อนหน้านี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็มาจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ แทนที่จะมัวตั้งคำถามกับโฉมงามของหมู่บ้านที่ไม่ได้งดงามสักเท่าไหร่ การติดตามวัยรุ่นสามคนนั้นไปน่าจะดีกว่า


ได้ยินคำนั้น โฉมงามของหมู่บ้านคำราม “ตามพวกเขาไป? พวกคุณกินยาผิดหรือไง? พวกนั้นเป็นนักรบระดับเซียนนะ ด้วยความเร็วในการเดินทางของพวกเขาน่ะ ต่อให้อสูรวิเศษของฉันบินเต็มกำลังก็ยังตามไม่ทัน พวกคุณไม่มีทางได้เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา…”


เธอเองก็ปรารถนาจะได้เรียนรู้จากวัยรุ่นสามคนนั้น แต่คนกลุ่มนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับวัยรุ่นทั้งสามเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะขอคำชี้แนะจากพวกเขา ต่อให้วิ่งไปด้วยพละกำลังเต็มพิกัดก็ไม่มีทางตามวัยรุ่นทั้งสามทัน!


ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความตื่นเต้นของจางเซวียยกับพรรคพวกที่ได้เห็นผู้เชี่ยวชาญทั้งสาม แต่พวกเขาควรจะนึกถึงความเป็นจริงบ้าง ถ้ามัววาดวิมานกลางอากาศอยู่แบบนี้ ก็ไม่มีวันทำสิ่งใดสำเร็จ


“ขอบคุณมากที่พาพวกเรามา แต่เราจะไม่ขี่อสูรวิเศษของคุณกลับหรอกนะ ลาก่อน!” จางเซวียนประสานมือและขัดคำพูดของชิวหรู ก่อนจะยิ้มให้และหันหลังจากไป


ฟึ่บ!


เขาโผขึ้นสู่กลางอากาศ และราวกับทะลุมิติได้ จางเซวียนหายตัวไปทันที


“คุณ…”


นัยน์ตาของโฉมงามของหมู่บ้านแทบทะลุออกจากเบ้าเมื่อเห็นจางเซวียนหายไปในชั่วพริบตา เธอรีบหันไปมองเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียน เห็นทั้งสองยิ้มให้


ฟึ่บ!


พวกเขาหายวับไปเช่นกัน


พลั่ก!


ชิวหรูล้มลงก้นกระแทกพื้นขณะยังคงจังงังและพูดไม่ออกกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


เธอนึกว่าคนเหล่านี้อ่อนแอ แต่กลับตรงกันข้าม พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ…ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดที่เหนือชั้นกว่าที่เธอจะจินตนาการได้!


ตอนที่ 1871 ฟ่านเฉี่ยวฉู

จางเซวียนไม่แยแสโฉมงามของหมู่บ้าน ตัวเขากับเจิ้งหยางและเว่ยหรูเหยียนเร่งฝีเท้า ไม่ช้าก็ตามวัยรุ่นทั้งสามทัน


แม้วัยรุ่นทั้งสามจะไม่สามารถเดินทางผ่านรอยแยกของมิติ แต่ก็ดูเหมือนพวกเขาจะได้ฝึกฝนศิลปะการเคลื่อนไหวชนิดพิเศษบางอย่าง ทำให้เดินทางได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


“เราควรยับยั้งพวกเขาไว้และสอบถามดีไหม?” เจิ้งหยางตั้งคำถาม


“ไม่จำเป็นหรอก ต่อให้เราสอบถามพวกเขา ผมเชื่อว่าพวกเขาก็ไม่น่าจะไขข้อข้องใจของเราได้ ตอนนี้แค่ตามพวกเขาไปก็พอ ทุกอย่างน่าจะกระจ่างเมื่อไปถึงสำนักแห่งขงจื๊อ” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า


ข้อมูลที่เขาอยากรู้เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่วัยรุ่นกลุ่มนี้จะรู้เรื่อง อีกอย่าง การเปิดเผยเป้าหมายของพวกเขาอาจไม่เป็นประโยชน์นัก ดังนั้นจึงดีกว่า ถ้าจะสะกดรอยตามวัยรุ่นทั้งสามไป แล้วค่อยตัดสินใจภายหลังเมื่อถึงสำนักแห่งขงจื๊อแล้ว


เจิ้งหยางเชื่อมั่นในการตัดสินใจของท่านอาจารย์ เขาพยักหน้าก่อนจะเงียบไป


ทั้งกลุ่มเดินทางต่อ, 3 วันให้หลังก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาใหญ่โตและสูงตระหง่าน พื้นที่ด้านหน้าภูเขาคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่มีอยู่หลายพันคน


เจิ้งหยางร่อนลงกับพื้นอย่างเงียบๆและแฝงตัวเข้าไปในหมู่ฝูงชนเพื่อหาข้อมูล ขณะที่จางเซวียนกับเว่ยหรูเหยียนใช้โอกาสนี้ประเมินสภาพแวดล้อมโดยรอบ


ในหมู่ฝูงชนที่ออกันอยู่นี้ ไม่มีใครที่อายุเกิน 30 ปี ระดับวรยุทธของพวกเขาล้วนแต่ทัดเทียมกันกับวัยรุ่นทั้งสาม คือระดับเซียนขั้น 9, อันที่จริง มีบางคนที่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้วด้วยซ้ำ


นอกจากเจิ้งหยางกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน ก็ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ก่อนอายุ 30 ปี แต่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวพร้อมกันมากมายในคราวเดียว…สมกับเป็นร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ พวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ!


พวกเขามีสายเลือดของนักปราชญ์โบราณ สภาวะร่างกายของคนเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาจากข้าวสาลีแตกยอดมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดมรดกทั้งหมดของปรมาจารย์ขงด้วย ดังนั้น บรรดาวัยรุ่นในทวีปแห่งปรมาจารย์คงรับมือกับคนเหล่านี้ได้ยาก จางเซวียนคิด


มีอัจฉริยะอยู่มากมายในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่แม้ในสามตระกูลใหญ่ สมาชิกส่วนใหญ่ที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ก็ล้วนแต่มีอายุกว่า 200 ปี ซึ่งพวกเขาก็กลายเป็นผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติในตระกูลของตัวเอง


เป็นเรื่องพิเศษมากที่ใครสักคนจะมีความแข็งแกร่งระดับนี้ทั้งที่อายุเพียง 20 กว่าปี


“ท่านอาจารย์ ฉันสัมผัสได้ถึงรังสีที่คมกริบเป็นพิเศษจากพวกเขา” เว่ยหรูเหยียนส่งโทรจิตหาจางเซวียน “ดูราวกับว่าพวกเขาได้ผ่านการต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นสิ่งที่ฉันแทบไม่เคยสัมผัสได้เลยจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในทวีปแห่งปรมาจารย์”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้ารับ


ความพิเศษของวัยรุ่นจำนวนหลายพันคนนี้สะดุดตาเขาเช่นกัน


ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ แม้พวกเขาจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงส่ง แต่ก็มีทักษะและความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นกว่าในการถ่ายทอดความรู้และให้คำชี้แนะกับคนรุ่นหลัง พูดอีกอย่างก็คือ บรรดานักรบที่มารวมตัวกันด้านหน้าภูเขาแห่งนี้ได้แผ่รังสี ของสมรภูมิและการสู้รบที่ส่งตรงออกมาจากกระดูกของพวกเขา ไม่ต่างอะไรกับยอดขุนพล


เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะกับวรยุทธเพียงอย่างเดียว พวกเขายังได้ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน ทำให้มีความเข้าใจล้ำลึกในเทคนิคการต่อสู้


อีกพักหนึ่ง เจิ้งหยางก็กลับมารายงานจางเซวียนผ่านทางโทรจิต


“ท่านอาจารย์! เท่าที่ผมได้ยิน สำนักแห่งขงจื๊อไม่ได้อยู่ที่นี่ มันซ่อนอยู่ในมิติลี้ลับแห่งหนึ่ง ถ้าเราอยากเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ก็จะต้องเข้าร่วมการทดสอบเสียก่อน ผู้คนทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นเชื้อสายของ 72 นักปราชญ์ และพวกเขามาเพื่อเข้ารับการทดสอบ”


“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าและครุ่นคิด


“ผู้เข้ารับการทดสอบจะต้องผ่านบททดสอบมากมายเพื่อให้ได้เข้าสู่มิติลี้ลับอันแปลกประหลาดที่สำนักแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ ไม่อย่างนั้น ปราการที่ถูกติดตั้งไว้จะผลักดันพวกเขาออกมา ไม่อนุญาตให้ผ่านเข้าไปข้างใน” เจิ้งหยางอธิบาย


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบ หวังว่าจะได้พบตำแหน่งที่ตั้งของสำนักแห่งขงจื๊อ แต่ไม่ช้าก็ส่ายหน้า


เขาพบค่ายกลหลายอันอยู่รอบตัว แต่ไม่มีมิติลี้ลับหรืออะไรทำนองนั้นปรากฏให้เห็น ดูเหมือนเขาคงไม่อาจเล็ดลอดเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อได้โดยง่าย


เราควรจะปลอมตัวเป็นผู้เข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าร่วมการทดสอบไหม? จางเซวียนคิด


เขาคือผู้ที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แม้แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงผู้ทรงพลังก็ยังเทียบชั้นกับตัวเขาในเวลานี้ไม่ได้! แต่แล้วเขาก็กำลังจะปลอมตัวเป็นผู้เข้ารับการทดสอบธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งต้องแข่งขันกับนักรบระดับเซียนขั้น 9 และกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกเป็นโขยง


แค่คิดก็ทำให้รู้สึกละอายแล้ว ราวกับว่าเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เข้าสู่สนามเด็กเล่นเพื่อท้าทายเด็กๆที่เล่นกันอยู่ที่นั่น!


แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น การจะเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อก็คงทำได้ยาก เขาไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และปราการที่โอบล้อมมันไว้ทรงพลังอย่างไร ดังนั้นการใช้กำลังจึงไม่น่าจะได้ผล


แม้ด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ เขาก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรดกของปรมาจารย์ขง ปราการที่เขาข้ามมาก่อนจะเข้าสู่มิติแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดี หากสำนักแห่งขงจื๊อมีบางสิ่งที่มีศักยภาพระดับนั้น เขาคงจะจนมุมเสียก่อน ต่อให้มีไอ้โหดคอยช่วยเหลือก็ตาม


จางเซวียนใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งการลูกศิษย์ทั้งสอง “สำนักแห่งขงจื๊อน่าจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย และการปลอมตัวของคุณทั้งสองก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ สำหรับตอนนี้ พวกคุณควรหาพื้นที่ใกล้เคียงแล้วพักอยู่ที่นั่นไปก่อน จนกว่าผมจะติดต่อพวกคุณไป”


เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงให้เขามาสามารถปรับเปลี่ยนได้แม้แต่สายเลือด ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ความผิดปกติ ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนสามารถปลอมตัวเป็นหนึ่งในผู้เข้ารับการทดสอบได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ แต่สำหรับเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียน ถึงทั้งคู่จะปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตัวเองได้ แต่ก็ไม่อาจปลอมแปลงส่วนอื่นที่เหลือ ซึ่งหากเจอเข้ากับการตรวจสอบของนักปราชญ์โบราณ พวกเขาก็จะถูกเปิดโปงทันที


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ห่างๆน่าจะฉลาดกว่า


“ได้ ท่านอาจารย์” รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของท่านอาจารย์ ทั้งคู่พยักหน้ารับ


ทั้งกลุ่มรีบวางแผน ก่อนที่เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนจะเดินยิ้มแฉ่งจากไป ทั้งคู่หลอกล่อวัยรุ่น 2 คนจากตระกูลฟ่านออกมาได้โดยไม่ลำบากลำบน ก่อนที่จางเซวียนจะเข้าประชิดตัววัยรุ่นคนสุดท้ายพร้อมกับยิ้มให้


“ฟ่านเฉี่ยวฉู ยินดีที่ได้พบคุณ!”


หลังจากติดตามวัยรุ่นทั้งสามมาตลอดระยะเวลา 3 วัน จางเซวียนก็รู้ภูมิหลังของพวกนั้นเป็นอย่างดี เด็กวัยรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือฟ่านเฉียวฉู่ และเป็นหนึ่งในผู้ที่จะเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ


“คุณคือ…”


แม้ฟ่านเฉียวฉู่จะเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะรับรู้การปรากฏตัวของจางเซวียนกับคนอื่นๆ เพราะระดับความแข็งแกร่งที่เหลื่อมล้ำกัน ดังนั้นเขาจึงงุนงงไม่น้อยที่เห็นจางเซวียนรู้จักชื่อของเขา


“ผมว่าคุณไม่น่าจะรู้จักผมหรอก แต่ผมเป็นเพื่อนสนิทของท่านพ่อของคุณ เขาฝากฝังให้ผมมาช่วยดูแล เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักหน่อยเกี่ยวกับการทดสอบที่กำลังจะมาถึง!” จางเซวียนพูด


“คุณเป็นเพื่อนสนิทของท่านพ่อ?” นัยน์ตาของฟ่านเฉียวฉู่บ่งบอกความสงสัย


ท่านพ่อของเขาคือหัวหน้าตระกูลฟ่าน ชายวัยกลางคนที่มาส่งพวกเขาเมื่อสามวันก่อน ถ้าท่านพ่อของเขามีมิตรสหายอยู่ที่นี่ ก็น่าจะบอกเขาล่วงหน้าแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่อง


“ใช่แล้ว แถวนี้มีผู้คนมากมายเกินไป ทำไมเราไม่หลบไปด้านข้างล่ะ?” จางเซวียนรู้ทันทีว่าฟ่านเฉี่ยวฉูสงสัยตัวตนของเขา แต่ก็ยังคงแสดงทีท่าเป็นทองไม่รู้ร้อน


“ก็ได้” ฟ่านเฉี่ยวฉูยังแคลงใจ แต่ในที่สุดก็พยักหน้ารับ


นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด, การที่พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจจำนวนมากมาย ก็ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเล่นงานเขาจังๆ ต่อให้ผู้นั้นจะคิดร้ายกับเขาก็ตาม


อีกอย่าง เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่มีอะไรสำคัญพอที่จะทำให้ใครเล่นงานเขา


ทั้งคู่เดินไปยังด้านหลังอาคารที่อยู่ใกล้ๆ ฟ่านเฉี่ยวฉูกำลังจะถามเหตุผลของการพูดคุยครั้งนี้ ก็พอดีกับที่เห็นฝ่ามือของอีกฝ่ายกางอยู่ตรงหน้า


ฝ่ามือนั้นกระแทกใบหน้าของเขาอย่างจัง ฟ่านเฉียวฉู่สลบไปทันที


วินาทีที่สติกำลังจะหลุดลอย ฟ่านเฉี่ยวฉูก็แสนจะแปลกใจกับการที่ใครสักคนกล้าเล่นงานเขาในสถานที่แบบนี้!


จางเซวียนเก็บร่างของฟ่านเฉียวฉู่ไว้ในมิติลี้ลับของเขาก่อนจะใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัวปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาจนเหมือนอีกฝ่าย แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน


แม้จางเซวียนจะเพิ่งเข้าสู่มิติแห่งนี้ได้ไม่นาน แต่ก็พอเข้าใจวัฒนธรรมของที่นี่ มีแต่ผู้ที่เป็นสมาชิกในตระกูลของ 72 นักปราชญ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนวรยุทธ พลเมืองธรรมดาสามัญไม่มีโอกาสได้เข้าถึงเทคนิควรยุทธใดๆทั้งนั้น


เขาคงไม่มีทางได้รับอนุญาตให้เข้ารับการทดสอบหากปลอมตัวเป็นนักรบธรรมดา จึงจำเป็นต้องเล่นงานหมอนี่


แต่ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีของอีกฝ่าย


อย่างน้อยที่สุด หมอนี่ก็จะได้ผ่านการทดสอบไปโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ มันคือตั๋วทองคำที่รับประกันได้ว่าเขาจะได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ


จางเซวียนรีบกลับไปยังจุดที่เขาพาตัวฟ่านเฉียวฉู่มาเมื่อครู่ ไม่ช้าก็เห็นเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนเดินกลับมาพร้อมกับวัยรุ่นอีก 2 คนที่พวกเขาล่อลวงไป วัยรุ่นทั้งสองมีสีหน้าสับสน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าก่อนหน้านี้ถึงถูกดึงตัวไป


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนอ้อมแอ้มแก้ตัวว่าจำคนผิดก่อนจะรีบจากไป ทิ้งให้วัยรุ่นทั้งสองยืนงง


ไม่ช้า ร่างสูงตระหง่านของคนกลุ่มหนึ่งก็ร่อนลงมาจากระยะไกล แรงกดดันหนักหน่วงถาโถมเข้าใส่พวกเขา


เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสำนักแห่งขงจื๊อมาถึงแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)