ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1866-1877
ตอนที่ 1866 ความเหมาะสม
เหมยเหมยเห็นด้วยกับคำพูดของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนแล้ว แต่ทุกคนยังคงให้ความสำคัญกับความเหมาะสมทางฐานะครอบครัว ตระกูลเล็ก ๆไม่มาคิดเรื่องพวกนี้หรอก แต่กลุ่มชนชั้นกลางอย่างตระกูลเจียงมักจะพิถีพิถันต่อเรื่องนี้เสมอ
ตระกูลของคุณนายเจียงสูงศักดิ์กว่าตระกูลเจียงไปหนึ่งระดับ หากไม่เป็นเพราะคุณนายเจียงชื่นชอบเจียงจื้อหรู่จริง ๆ พ่อแม่ของคุณนายเจียงไม่มีทางยินยอมให้ลูกสาวแต่งออกเรือนไปแน่นอน!
แต่จากจุดเล็ก ๆนี้ก็ทำให้เห็นได้ว่าจุดยืนเรื่องการแต่งสะใภ้เข้าตระกูลเจียง รูปลักษณ์เป็นรอง ฐานะครอบครัวต่างหากที่สำคัญที่สุด
เด็กนักเรียนยากจนที่มาจากเมืองชนบทเล็ก ๆอย่างสวีจื่อเซวียน แถมชื่อเสียงก็ป่นปี้ หากตระกูลเจียงยอมรับสิแปลก!
ตอนนี้ก็คงต้องรอดูว่าเจียงจื้อหรู่จะรักเธอจริงแค่ไหน!
พอฉีฉีเก๋อได้ฟังในสิ่งที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนวิเคราะห์ก็นึกปวดหัวขึ้นมาเลย “พระเจ้า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคนหรอกเหรอ? ทำไมต้องพิถีพิถันอะไรขนาดนั้นด้วย?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองค้อนใส่แล้วพูดว่า “ผิดแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาการแต่งงานไม่เคยเป็นเรื่องของคนสองคน แต่มันเป็นปัญหาของสองครอบครัวต่างหากล่ะ ทั้งครอบครัวฝ่ายหญิงของเธอและครอบครัวของฝ่ายชายเธอ เพราะงั้นเธอควรจะดูรสนิยมของพ่อแม่สามีให้ดีก่อนแต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ฉีฉีเก๋อไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ฉับพลันก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ฉันเข้าใจแล้ว เธอไปที่บ้านของอิงจวี้กังครั้งนี้ก็เพื่อจับสังเกตพ่อแม่ของเขาใช่ไหม? ฉันว่าพ่ออิงกับแม่อิงใจดีนะ เชี่ยนเชี่ยนเธอพึงพอใจไหมล่ะ?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะรู้ได้อย่างไรว่าพูดอยู่ดี ๆกลับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองเสียอย่างนั้น ทั้งโมโหทั้งเขินอายจึงเหวี่ยงหมัดใส่ตัวฉีฉีเก๋อไปหลายที
“เพ้อเจ้อ ฉันไปปีนเขาลดน้ำหนักย่ะ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ถ้าเธอยังพูดบ้า ๆอยู่อีกฉันจะฆ่าเธอ…”
“ปากเธอบอกว่าจะไปปีนเขา แต่กลับกินเนื้อสัตว์ที่บ้านอิงจวี้กังจนเกลี้ยง พ่อแม่ของเขาก็ดูแลเธอดีไม่น้อย เลี้ยงดูจนเธออวบอ้วนขาวผ่องเลย…” ฉีฉีเก๋อหลบหมัดพลางพูดต่อปากต่อคำ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตัวแดงเถือก เหมยเหมยกุมท้องหัวเราะไม่หยุด
ทัศนียภาพแห่งช่วงวสันต์ฤดูมีอยู่ทุกทีจริง ๆ!
ทั้งสามคนหยอกเหย้ากันพลางเดินกลับหอพัก แต่กลับเห็นพ่อพระเอกที่เพิ่งเอ่ยถึงรออยู่ด้านล่างตึก นั่นก็คืออิงจวี้กัง
เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเปิดเผยมาก แต่เมื่อครู่โดนฉีฉีเก๋อแซวจึงทำตัวเฉไฉกลบความเขินอายตะโกนเสียงดุ ๆใส่อิงจวี้กัง “นายมาทำอะไร?”
อิงจวี้กังรอมาเนิ่นนานในที่สุดก็ได้เจอเสียที เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายลงมาก แต่ยิ่งร้อนรนเขาก็ยิ่งพูดไม่ออกจนใบหน้าแดงเถือก
เหมยเหมยเห็นเข้าก็นึกขำ สองคนนี้คนหนึ่งใจร้อนทำอะไรรีบเร่ง อีกคนหนึ่งใจเย็นทำอะไรอืดอาด นี่มันเหมือนดั่งมุมป้านมาเจอกับมุมแหลมชัด ๆ เติมเต็มกันได้ดีจริง ๆ!
“เชี่ยนเชี่ยน เธอกับอิงจวี้กังไปคุยกันทางนั้นสิ ฉันกับฉีฉีเก๋อจะรอเธอตรงนี้” เหมยเหมยพูด
ฉีฉีเก๋อหัวเราะร่าพลางผลักเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนออกไป พร้อมยืดคอยาวแอบฟังอยู่ข้างกำแพงกับเหมยเหมย
“เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับอิงจวี้กังตกลงคบกันตอนปิดเทอมหน้าร้อนเหรอ?” เหมยเหมยคันยุบยิบในใจ ทั้ง ๆที่ก่อนออกเดินทางไม่เห็นมีท่าทีอะไรเลย
“ก็ไม่ถือว่าตกลงคบกันหรอก แค่ทั้งคู่ต่างก็คิดแบบนั้นแต่ไม่ได้สารภาพออกมา ยังคลุมเครืออยู่เลย” ฉีฉีเก๋ออธิบายอย่างมีเหตุผล
“นี่คือสิ่งที่เธอนิยามขึ้นเองเหรอเนี่ย ไม่เลวเลยนี่!” เหมยเหมยมองเพื่อนอย่างแปลกใจ แค่ปิดเทอมฤดูร้อนเองนะ มีการพัฒนาขึ้นมากเลยทีเดียว!
ฉีฉีเก๋อยิ้มแหย่ “ฉันไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก รุ่นพี่ฉางเป็นคนพูดต่างหาก”
“นั่นสิ แล้วเธอกับฉางชิงซงนี่ยังไง? เปิดตัวชัดเจนแล้วใช่ไหม” เหมยเหมยถามขึ้นเหมือนรู้อยู่แล้ว
“ฉางชิงซงสารภาพรักกับฉัน ฉันก็เลยตอบตกลงไป ฉันบอกพ่อกับแม่แล้วด้วย พ่อบอกว่าถ้าว่างจะมาเยี่ยมพวกเราที่เมืองหลวง”
มีความเขินอายปรากฏบนใบหน้าของฉีฉีเก๋อแต่เธอก็เปิดเผยชัดเจนดี เพราะสาวน้อยแห่งทุ่งหญ้าอย่างเธอถ้าชอบก็คือชอบ ไม่มีทางเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้อยู่แล้ว
……………………………………………………………………
ตอนที่ 1867 ข้ายกใจให้แก่พระจันทร์ เหตุใดพระจันทร์ต้องสาดส่องคูคลอง
เหมยเหมยรู้สึกดีใจแทนเพื่อน แม้ฉางชิงซงจะเป็นคนชอบหนีปัญหาแต่ก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ แถมยังมีความชอบที่คล้ายคลึงกับฉีฉีเก๋อ ได้อยู่ด้วยกันจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ
“แล้วพ่อแม่ของฉางชิงซงล่ะ? เธอจะไปที่บ้านของเขาเมื่อไร?”
ฉีฉีเก๋อพูดอย่างขวยเขิน “ช่วงตรุษจีนจะไปเที่ยวที่ฮาร์บินแล้วถือโอกาสแวะฉลองตรุษจีนที่บ้านของรุ่นพี่ฉางเลย เขาเองก็บอกกับพ่อแม่แล้ว”
เหมยเหมยถึงค่อยวางใจหน่อย บอกกล่าวกับผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าฉางชิงซงเองก็จริงจังกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่พูดเล่น ๆ
จู่ ๆทางด้านเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับโมโหขึ้นมา เสียงดังขึ้นเล็กน้อย เหวี่ยงมือฟาดลงบนตัวอิงจวี้กังไปทีหนึ่งจนเสียงดังก้อง แต่อิงจวี้กังกลับไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงพยายามจะอธิบาย
“ทำไมทะเลาะกันเสียล่ะ? เราเข้าไปช่วยพูดหน่อยไหม?” ฉีฉีเก๋อมึนงงสงสัย
“รอดูสักพักก่อน เข้าไปตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะ”
เหมยเหมยดึงฉีฉีเก๋อไว้ไม่ให้เธอบุ่มบ่ามเข้าไป
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโยนกระเป๋าใบหนึ่งใส่อิงจวี้กัง ตะโกนขึ้นว่า “นายไม่อยากได้ก็โยนลงคลองน้ำเน่าไปสิ!”
เธอจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง กระทืบเท้าขึ้นตึกไปด้วยความโมโห
อิงจวี้กังทำหน้าสลดพร้อมเดินเข้ามาหา ในมือยังถือกระเป๋าหนังไว้อยู่ ในนั้นมีเงินก้อนหนึ่งโผล่ออกมา แต่ละใบเป็นธนบัตรใบร้อย หากนับด้วยสายตาคงมีอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยน่าจะสักสองพันหยวนได้
“จ้าวเหมย ฉีฉีเก๋อ พวกคุณช่วยเอาเงินพวกนี้ไปคืนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแทนฉันหน่อยได้ไหม?” อิงจวี้กังพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เงินพวกนี้คืออะไรเหรอ?”
อิงจวี้กังอธิบายอย่างตะกุกตะกัก ผลก็คือเงินนั้นเป็นเงินค่าเนื้อสัตว์ที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทิ้งไว้ให้ก่อนกลับ แม่อิงเห็นเข้าในช่วงเข้านอน ทั้งหมดเป็นเงินจำนวนสองพันห้าร้อยหยวน นั่นทำเอาเธอตกใจแทบแย่ เพียงแต่ตอนนั้นเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่น ๆเดินทางออกไปแล้ว หาอย่างไรก็คงหาไม่เจอจึงได้ให้อิงจวี้กังพกกลับมาด้วยตอนเปิดเทอมด้วย
“เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนบอกว่ากินเนื้อสัตว์ของบ้านนายไปตั้งเยอะเลยรู้สึกเกรงใจ เงินพวกนี้ถือเป็นค่าเนื้อสัตว์ ” ฉีฉีเก๋อพูดอมยิ้ม
อิงจวี้กังเกาหนังหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก “พวกเธอจ่ายค่าอาหารมาหมดแล้ว เก็บเงินเพิ่มอีกไม่ได้หรอก”
ก่อนไปที่นั่นฉางชิงซงและคนอื่น ๆต่างก็จ่ายเงินค่าอาหารหมดแล้ว ในเขตชนบทไม่จำต้องซื้อพวกผักหรือเนื้อสัตว์ใด ๆและไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไรด้วย
“พวกเราไม่ช่วยนายถือเงินไปหรอกนะ นายเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ฉันไม่กล้ามีปัญหากับเธอหรอก” เหมยเหมยเอ่ยกวน ๆ อิงจวี้กังหน้าบูดบึ้งเป็นมะระขม เงินในมือจึงกลายเป็นเผือกร้อน[1]ไปแล้ว
เหมยเหมยกึ่งหยอกล้อกึ่งหยั่งเชิง “นายคืนให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตอนนี้เธอก็คงโกรธน่าดู หรือไม่คราวหน้านายก็ให้เธอเพิ่มสิถือเป็นค่าสินสอด”
“ใช่ ๆ เงินก้อนนี้นายเอาไปใช้ก่อน อีกหน่อยก็หาให้ได้เยอะ ๆแล้วค่อยซื้อเนื้อสัตว์ให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกิน เธอชอบกินเนื้อสัตว์เป็นที่สุดเลย” ฉีฉีเก๋อพยักหน้าเห็นด้วย อิงจวี้กังพวงแก้มแดงเป็นผลส้ม ดวงตาพลันเป็นประกายวาววับ
ภายใต้คำชักจูงของเหมยเหมยและฉีฉีเก๋ออิงจวี้กังจึงตัดสินใจเก็บเงินนั้นไว้ เขาไม่กล้ายั่วโมโหคุณหนูเหริ่นอีกแล้ว กลัวว่าถ้าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธขึ้นมาจริง ๆคงจะโยนเงินก้อนนั้นลงไปในคลองน้ำเน่า
สองพันห้าร้อยหยวนเลยนะ น่าเสียดายแย่!
วันหลังเขาค่อยหาโอกาสคืนให้เธอก็แล้วกัน!
ถึงอย่างไรเงินก้อนนี้เขาก็ไม่มีทางเอาไปใช้เด็ดขาด นี่มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อกลับหอพัก เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนนั่งโกรธปึงปังอยู่ในห้องคนเดียว แล้วลากพวกเธอมาระบายความคับแค้นใจ นัยยะสำคัญก็คือการที่อิงจวี้กังไม่เห็นถึงความหวังดีของเธอ เห็นความจริงใจของเธอเป็นดั่งขี้หมา
“ข้ายกใจให้แก่พระจันทร์ เหตุใดพระจันทร์ต้องสาดส่องคูคลอง[2]”
ในหัวสมองของเหมยเหมยพลันปรากฏบทกวีท่อนหนึ่งขึ้นมา มันช่างเข้ากับสถานการณ์นี้เสียเหลือเกิน เธอจึงอมยิ้มพร้อมท่องออกมาอย่างอดไม่ได้ ฉีฉีเก๋อเองก็หัวเราะตาม จากตอนแรกที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธอยู่ไม่น้อยกลับต้องหลุดขำเพราะโดนสองคนตรงหน้าแหย่เข้า
“สายตาของฉันต้องมีปัญหาแน่ ๆ…” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะไปได้สักพัก จู่ ๆก็รู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
ในเมืองหลวงมีคุณชายหล่อเหลาตั้งมากมาย ทำไมเธอถึงได้มาชอบผู้ชายหน้าตาบ้าน ๆจอมอืดอาดอย่างอิงจวี้กังได้นะ?
……………………………………………………………………
[1] เรื่องราวหรือปัญหาที่ยากจะรับมือ
[2] หมายถึง ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่า ไม่แยแส
ตอนที่ 1868 พ่อผู้น่าสงสาร
ไปเรียนติดต่อกันไม่กี่วันเหมยเหมยก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แค่ตอนพักเที่ยงจะมานอนกลางวันที่หอพัก ส่วนสวีจื่อเซวียนไม่มาเรียนเลย ไม่รู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ตามกฎของมหาวิทยาลัยแล้วหากขาดเรียนติดต่อกันเกินหนึ่งสัปดาห์จะถือว่าเป็นการลาออกโดยอัตโนมัติ
“นี่ก็สี่วันแล้วนะ สวีจื่อเซวียนไม่คิดจะมาเรียนแล้วจริง ๆเหรอเนี่ย!” ฉีฉีเก๋อพูดด้วยความเป็นกังวล
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยัดหมูตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย อิงจวี้กังเคยพูดไว้ว่าเธอควรจะกินตามที่ใจเธออยากกิน ควรปฏิบัติกับปากตัวเองอย่างยุติธรรม คนธรรมดาอย่างเราถือเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้าเชียวนะ!
เมื่อก่อนเธอนี่โง่จริง ๆ มัวแต่กินผักกินหญ้าไปทำไมนะ!
ไม่ผอมลงไม่ว่า ยังเป็นการทรมานตัวเองเสียเปล่า ๆอีก!
“เธอจะไปสนทำไมว่าเขาจะลาหรือไม่ลาออก กินข้าวของเธอไปเถอะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกินหมูตุ๋นน้ำแดงไปอีกชิ้น ขยับชามข้าวของฉีฉีเก๋อพร้อมเร่งให้เธอกินข้าว
ฉีฉีเก๋อถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย และไม่พูดอะไรอีก
วันที่หกสวีจื่อเซวียนก็ยังไม่มาเรียนอีกตามเคย แต่ผู้เป็นพ่อของเธอกลับมาหาด้วยใจที่ร้อนรน ตะลอนเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่เหลือเค้าเดิมของความสุภาพและใจเย็น แลดูเป็นกังวลเอามาก
ตอนที่พ่อสวีมาหา สวีจื่อเซวียนก็ไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เขาจึงมุ่งหน้าไปที่สำนักทะเบียน พอได้รับหนังสือลาออกของสวีจื่อเซวียนก็โกรธจนดวงตาแดงก่ำ
ที่แท้หัวหน้าสำนักทะเบียนก็เป็นคนโทรไปหาเขา เธอไม่อยากจะให้เด็กที่มีพรสวรรค์ต้องมาเสื่อมเสียแบบนี้
ตอนที่พ่อสวีได้รับโทรศัพท์ยังไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย ลูกสาวที่เป็นความภาคภูมิใจของเขา ลูกรักที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยต้องกังวลใจในเรื่องการเรียนเลย แต่ตอนนี้กลับต้องการลาออก?
นี่มันเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันชัด ๆ พ่อผู้น่าสงสารคนนี้แทบจะล้มทั้งยืน เดิมทีช่วงเปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งมากที่สุด แต่เขากลับต้องทำเรื่องลาหยุดเพื่อมาจัดการธุระอย่างปฏิเสธไม่ได้
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกสาวที่เขาคอยอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจะเป็นฝ่ายลาออกเอง เธอต้องมีเหตุผลอื่นแน่นอน!
แต่เมื่อได้เห็นหนังสือลาออกที่สวีจื่อเซวียนเขียนด้วยลายมือตัวเอง ชายผู้นี้ก็ไม่อาจควบคุมความโกรธของตัวเองได้อีกต่อไป เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปน โกรธจนหน้าม่วง หัวหน้าสำนักทะเบียนกลัวว่าเขาจะโกรธจนเป็นอะไรไปจึงพูดปลอบใจอยู่ข้าง ๆ แต่นั่นก็ไม่เป็นผล
“สวีจื่อเซวียนอยู่ไหน? ผมจะไปหาเธอ!”
“สวีจื่อเซวียนไม่เข้าเรียนติดต่อกันมาหกวันแล้วค่ะ ตามกฎของมหาวิทยาลัยหากไม่มาเรียนติดต่อกันครบเจ็ดวันก็จะถือเป็นการลาออกอัตโนมัติ คุณพ่อสวีลองเกลี้ยกล่อมลูกสาวดูนะคะ อย่ามองว่าอนาคตเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเลยค่ะ!”
พ่อสวีโค้งตัวลาหัวหน้าสำนักทะเบียนแล้วถือหนังสือลาออกฉบับนั้นมุ่งหน้าไปยังหอพักของพวกเหมยเหมย ตอนเที่ยงทุกคนพักผ่อนอยู่ในหอจึงได้ยินประกาศจากเสียงตามสายว่าจะมีคนขึ้นมาพบพวกเธอ เพียงไม่นานพวกเหมยเหมยก็เจอกับพ่อสวี
“พวกเธอรู้ไหมว่าสวีจื่อเซวียนอยู่ที่ไหน?”
พอพ่อสวีเห็นพวกเธอก็เอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีอิดโรย ปากแห้งจนหนังลอก ผมเผ้ายุ่งเหยิง นอกจากนั้นตามตัวยังมีกลิ่นเหงื่อด้วย ดูเหมือนว่าพอพ่อสวีลงจากรถไฟก็รีบตรงมาที่นี่เลย แม้แต่น้ำสักอึกก็ยังไม่ทันได้ดื่ม
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น รถไฟจากบ้านเกิดของสวีจื่อเซวียนถึงเมืองหลวงใช้เวลาสามวันสามคืน พ่อสวีกินหมั่นโถวและน้ำเปล่าบนรถไฟมาสามวัน ลงรถไฟมาก็ต่อรถโดยสารอีกตั้งหลายสาย อากาศร้อนจัดทำให้กระหายน้ำแทบตายอยู่แล้ว
แต่เขาไม่มีกะจิตกะใจหาน้ำดื่มหรอก ตอนนี้เขาอยากจะเจอหน้าลูกสาวแล้วถามให้มันชัดเจนไปเลยว่าจริง ๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ถังม่านลี่และสีอันน่าพากันปิดจมูก หนำซ้ำสีอันน่ายังบ่นอุบอิบขึ้นว่า “เหม็นจังเลย…”
พ่อสวีก้าวถอยหลังอย่างเก้อเขินพลางทำตัวไม่ถูก เขาไม่ได้อาบน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว ไหนจะเหงื่อที่ออกเต็มตัวอีก กลิ่นกายแรงไม่น้อย
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจ้องสีอันน่าตาเขม็ง ด่าว่า “เธอขี้เธอเยี่ยวนี่หอมนักหรือไง? เมื่อกี้ก็ตดซะเหม็นเชียว ฉันยังไม่ว่าอะไรเลย!”
สีอันน่าหน้าถอดสี ใจอยากจะตอกกลับด้วยความโมโห แต่ก็เกรงกลัวเหมยเหมยจึงได้แต่ปิดปากเงียบอย่างไม่สบอารมณ์ แอบแช่งให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอ้วนเป็นหมูจนไม่มีใครแต่งงานด้วยไปตลอดชีวิต
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1869 สายขาดสะบั้น
แม้ว่าพ่อสวีจะพยายามแสดงท่าทีให้ดูปกติ แต่ความกังวลในใจของเขากลับเผยให้เห็นผ่านทางสายตา เหมยเหมยลอบถอนหายใจ ต้องมาเจอลูกสาวที่ต่อต้านพ่ออย่างสวีจื่อเซวียน นับว่าพ่อสวีน่าสงสารไม่น้อย
“คุณลุงคะ ดื่มน้ำก่อนนะคะ แล้วอีกสักพักหนูจะพาคุณลุงไปหาสวีจื่อเซวียน”
ฉีฉีเก๋อยื่นแก้วชาใบใหญ่ของเธอให้ซึ่งเธอชงไว้แต่แรกแล้ว พ่อสวีส่งยิ้มให้เธอเป็นการขอบคุณ พลันรับแก้วชามากรอกเข้าปากอึกใหญ่ เป็นความกระหายที่มีมากจริง ๆ
เขาดื่มชาในแก้วใบใหญ่หมดรวดเดียว พ่อสวีคืนแก้วชาให้ฉีฉีเก๋ออย่างนึกเกรงใจ ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง แต่ดวงตายังแดงก่ำบ่งบอกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
และพร้อมล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเวลา
เหมยเหมยถอนหายใจ พ่อสวีคนนี้ดูน่าสงสารจริง ๆจนเธอใจแข็งไม่ลง
“เราไปตามหาด้วยกันเถอะค่ะ”
ทั้งสามคนพาพ่อสวีที่รู้สึกซาบซึ้งใจออกไปจากหอพัก ช่วงบ่ายเป็นการบรรยายทฤษฎีเหมาเจ๋อตง[1] ไม่เข้าฟังก็ได้
พอเดินผ่านสหกรณ์โรงเรียนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ควักเงินออกมาซื้อน้ำโค้กเย็น ๆหนึ่งขวดและขนมปังสับปะรดยื่นให้พ่อสวี “กินไปด้วยคุยไปด้วยนะคะ สวีจื่อเซวียนไม่ได้พักในมหาวิทยาลัย มันค่อนข้างไกลค่ะ”
พ่อสวีรับน้ำโค้กและขนมปังไว้แต่ไม่มีอารมณ์กิน ถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เกิดอะไรขึ้นกับจื่อเซวียน? พวกเธอบอกลุงได้ไหม?”
ตลอดสามวันสามคืนมานี้เขาข่มตาหลับไม่ได้เลย เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกสาวเขาจะไม่อยากเรียนแล้ว น่าจะมีเรื่องที่ปิดบังเอาไว้อยู่สินะ?
“คุณลุงกินโค้กกับขนมปังก่อนสิคะ ถ้ากินเสร็จหนูถึงจะบอก” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูด
พ่อสวีขบฟันแน่น กินโค้กกับขนมปังหมดอย่างรวดเร็ว ท่าทางการกินออกจะน่าเกลียดไปหน่อย เขาเช็ดปากพลางมองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างมีหวัง
เหริ่นเชี่ยเชี่ยนมองเหมยเหมยอย่างลำบากใจ เธอไม่รู้เลยว่าควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดี และเธอก็กลัวว่าพ่อสวีจะรับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจแบบนี้ไม่ไหว!
เหมยเหมยส่ายหน้าให้เธอเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไร ตอนนี้ดูเหมือนพ่อสวีจะเหมือนสายที่ตึงมาก หากใช้แรงเพียงนิดเดียวก็ขาดสะบั้นได้แล้ว พวกเธอรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ไม่ไหวหรอก
พ่อสวีขอร้องอ้อนวอนอีกครั้ง เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอ้ำ ๆอึ้ง ๆบอกแค่ว่าหากเจอสวีจื่อเซวียนแล้วก็จะรู้ทุกอย่างเอง ความเป็นจริงคือเธอไม่อยากพูด พ่อสวีจึงคิดไปต่าง ๆนา ๆ ซ้ำยังเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีจื่อเซวียนจนแผ่นหลังของเขาค่อย ๆงองุ้มลง
“พวกเธอต่างก็เป็นเด็กดี หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจื่อเซวียนเหรอ? พวกเธอไม่กล้าพูดสินะ?” พ่อสวีมีสีหน้าหม่นหมอง นัยน์ตาฉายแววผิดหวัง
ฉีฉีเก๋อเห็นเข้าก็ทำใจไม่ได้จึงพลั้งปากพูดไปว่า “ฉวีจื่อเซวียนไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ เธอก็แค่คบหาดูใจกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเรา ตอนนี้อยากแต่งงานกับอาจารย์เจียงเลยไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว”
สีหน้าของพ่อสวีเปลี่ยนไปมาก คว้ามือของฉีฉีเก๋อมาจับไว้แน่น ตะเบ็งเสียงถาม “จื่อเซวียนคบหากับใครนะ?”
ฉีฉีเก๋อรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ก็อาจารย์เจียง อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเราไงคะ อาจารย์แม่หย่ากับอาจารย์เจียงก็เพราะเรื่องนี้แหละค่ะ…”
“เธอบอกว่าจื่อเซวียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอคบหากัน แล้วยังเข้าไปเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นด้วยงั้นเหรอ?” พ่อสวีถามย้ำทีละคำทีละประโยค
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเกิดอาการร้อนรนเป็นอย่างมาก โบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้เธอเพื่อไม่ให้เธอพูดต่อ
แต่ฉีฉีเก๋อถูกพ่อสวีที่หน้าตาดุดันจับไว้แน่นจึงรู้สึกกลัวสุดขีด ไหนเล่าจะมีอารมณ์มาสนใจท่าทางบอกใบ้ของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เธอได้แต่พยักหน้าด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสะบัดหน้าด้วยความโกรธ ยัยโง่เอ้ย!
“ตุ้บ”
การพยักหน้าของฉีฉีเก๋อทำให้สายที่ตึงแน่นมาเป็นเวลาสามวันสามคืนของพ่อสวีขาดสะบั้นลง เขาทนต่อไปไม่ไหวเป็นลมล้มสลบไป ใบหน้าซีดเซียวจนหน้าตกใจ
“คุณลุง…คุณลุงอย่าทำให้หนูตกใจสิคะ เหมยเหมย เชี่ยเชี่ยน…ทำไงดีล่ะ?”
ฉีฉีเก๋อตกใจเป็นอย่างมากและไม่กล้าแตะต้องพ่อสวี ร้อนรนจนน้ำตาไหลพราก
………………………………………………………………………….
[1] นิยมเรียกอีกอย่างว่า ท่านประธานเหมา เป็นนักปฏิวัติลัทธิคอมมิวนิสต์ชาวจีนที่กลายเป็นบิดาผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC)
ตอนที่ 1870 การผ่าตัดสำเร็จลุล่วง
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนฟาดฝ่ามือลงบนตัวเธอไปทีหนึ่ง ก่นด่าว่า “ฉันส่งซิกให้เธออยู่ตั้งนาน เธอยังทำหน้าซื่อบื้อตาบอดมองไม่เห็นอีก ร้องไห้ตอนนี้ให้มันได้อะไร รีบเรียกรถพยาบาลมาเร็ว!”
เหมยเหมยวิ่งออกมาจากตู้โทรศัพท์ หายใจหอบพลางพูดว่า “ฉันเรียกรถพยาบาลมาแล้ว อีกเดี๋ยวก็มาถึงพวกเธอห้ามแตะต้องเขานะ”
ตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุที่พ่อสวีล้มสลบไป ถ้าหากเกิดเลือดออกในสมองกะทันหันอะไรทำนองนั้นขึ้นมา คนที่ไม่ใช่มืออาชีพอย่างพวกเธอคงไม่กล้าที่จะแตะต้อง
รถพยาบาลมาได้ทันเวลามากแบกพ่อสวีไปอย่างรวดเร็ว พวกเหมยเหมยจึงตามไปด้วย พอมาถึงโรงพยาบาลก็ส่งเข้าห้องผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตทันที ทั้งสามคนต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก
“ต้องผ่าตัดเหรอ? พ่อสวีคงไม่ตายหรอกใช่ไหม…ฉัน…ฉันคงไม่ต้องเข้าคุกใช่ไหม?” ฉีฉีเก๋อเห็นแสงไฟสีแดงที่กะพริบอยู่หน้าห้องผ่าตัดก็แทบทรงตัวยืนไม่อยู่ หน้าขาวราวกับกระดาษ ร้อนใจหวาดกลัวไปหมด
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็ร้อนใจจนหัวหมุน พอได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็ยกฝ่ามือตบหัวฉีฉีเก๋อไปทีหนึ่ง สบถด่าว่า “ร้องไห้แล้วได้อะไร บอกเธอตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าพูดเธอก็รั้นจะพูดอยู่ได้ ถ้าหากว่าพ่อสวีเป็นอะไรไป เธอ…”
ฉีฉีเก๋อกลัวเอามาก ๆ เหมยเหมยใช้แรงพอควรกว่าจะพยุงเธอไว้ได้ พูดขัดเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนว่า “เรื่องมันเกิดไปแล้ว มาพูดเอาตอนนี้ให้มันได้อะไร รอฟังผลจากหมอจะดีกว่านะ”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจ้องฉีฉีเก๋อที่หน้าซีดขาวตาเขม็ง เห็นท่าทีน่าสงสารของเธอก็รู้สึกใจอ่อน พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “วางใจเถอะ ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆเธอก็ไม่ต้องติดคุกหรอก เธอจะกระวนกระวายไปทำไม!”
ฉีฉีเก๋อสะอึกสะอื้นพลางใช้มือปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว ถามออกไปอย่างไม่เชื่อนักว่า “ไม่ต้องเข้าคุกจริง ๆเหรอ?”
“ถ้าเธออยากไปก็ไปสิ เลี้ยวซ้ายตรงประตูโรงพยาบาลไปห้าสิบเมตร นั่งรถสาย 21 ไปจนสุดสาย ที่นั่นพร้อมจะเปิดประตูต้อนรับเธอทุกเมื่อ!”
“ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ?” ฉีฉีเก๋อถามเสียงสะอื้น
“เรือนจำหญิงของเมืองหลวง เธออยากไปไม่ใช่เหรอ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแดกดันด้วยความโกรธ เธอไม่อยากสนใจยัยโง่เง่านี่อีกจึงหันหน้ากลับไปมองประตูห้องผ่าตัดแทน ภาวนาในใจขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพ่อสวีเลย ไม่เช่นนั้นต่อให้พวกเธอทั้งสามคนมีปากก็ใช้พูดลบล้างมลทินไม่ได้
เฮ้อ ปีนี้จะทำตัวเป็นคนดีหน่อยไม่ได้เลย!
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก หมอคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัยเดินออกมา พลางดึงหน้ากากลงและถามว่า “ใครคือญาติของคนไข้?”
พวกเธอทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน พลางส่ายหน้าพร้อมกัน เหมยเหมยอธิบายออกไปว่า “เขาเป็นพ่อของเพื่อนร่วมชั้นของพวกเราค่ะ คุณพ่อเขามาตามหาเพื่อนพวกเราที่เมืองหลวง แล้วเกิดอาการป่วยกำเริบระหว่างทาง”
คุณหมอมองเด็กทั้งสามคนอย่างชื่นชม ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแตกอาการเข้าขั้นวิกฤต โชคดีที่ช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดเดาได้ และที่สำคัญที่สุดคือทั้งสามคนไม่ได้แตะต้องผู้ป่วยซี้ซั้ว เมื่อก่อนมีผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการเลือดออกในสมอง เดิมทีไม่ได้มีอาการรุนแรงแต่อย่างใด แต่เพราะคนในครอบครัวไม่เข้าใจจึงทำการเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยจนอาการแย่ลง กระทั่งอันตรายถึงชีวิต
“การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงด้วยดีแต่ต้องอยู่นอนที่โรงพยาบาลก่อน พวกเธอรีบไปแจ้งข่าวให้เพื่อนรู้เถอะ แล้วให้เพื่อนมาจัดการเรื่องนอนโรงพยาบาล” คุณหมอพูดบอก
พวกเหมยเหมยพรูลมหายใจยาวโล่งอก โบกมือลาคุณหมออย่างพร้อมเพรียง ขอบคุณพระเจ้า!
“คุณหมอคะ คนไข้จะมีอาการภาวะแทรกซ้อนไหมคะ? แล้วรุนแรงไหมคะ?” เหมยเหมยเป็นกังวล
“เรื่องภาวะแทรกซ้อนมีแน่แต่พูดตอนนี้คงไม่เหมาะ ต้องดูจากการพักฟื้นอีกที” คุณหมอพูดออกมาอย่างคลุมเครือ และเร่งให้พวกเธอไปติดต่อญาติให้มาทำเรื่องนอนโรงพยาบาล
“งั้นจะไปตามหาสวีจื่อเซวียนจากที่ไหนล่ะ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเกาหัวอย่างนึกรำคาญใจแต่ก็ไม่ได้ร้อนใจนัก ในเมื่อไม่ถึงแก่ชีวิตงั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแล้วล่ะ
“ไปติดต่อทำเรื่องนอนโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะ ฉันมีเงินติดตัวแค่สองร้อยหยวน พวกเธอเอาเงินทั้งหมดมารวมกันสิ”
เหมยเหมยพูดอย่างไม่สบอารมณ์พลางควักเงินออกมาจากกระเป๋า ฉีฉีเก๋อและเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็พากันควักเงินออกมา เงินของพวกเขาทั้งสามรวมกันได้ราว ๆเจ็ดถึงแปดร้อยหยวน ฝืนใจทำเรื่องนอนโรงพยาบาลให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็ย้ายพ่อสวีไปห้องไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการ หมอบอกว่าอีกสองวันก็ดีขึ้นแล้วจากนั้นจะย้ายไปห้องพักผู้ป่วยทั่วไป
………………………………………………………
ตอนที่ 1871 เลี้ยงมื้อดึก
พอทั้งสามคนออกจากโรงพยาบาลท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว พวกเธอถึงเพิ่งรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลมาตลอดช่วงบ่าย เหมยเหมยรีบค้นเอาเพจเจอร์ออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเห็นว่ามีข้อความนับสิบข้อความส่งมาจากเหยียนหมิงซุ่น เธอตกใจรีบวิ่งไปตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ใกล้ที่สุด
“พี่…ฉันเอง ไม่เป็นไร…ฉันอยู่โรงพยาบาล”
เสียงรอสายโทรศัพท์เพิ่งดังได้กริ๊กเดียวเหยียนหมิงซุ่นก็รับสายทันที ในขณะนี้เขาเตรียมเรียกรวมพลเพื่อตามหาเหมยเหมยทั่วทั้งเมืองแล้ว พอได้ยินเสียงเหมยเหมยเขาถึงโล่งอกและเตรียมจะสั่งสอนยัยตัวแสบสักหน่อย แต่พอได้ยินเธอบอกว่าอยู่โรงพยาบาลเหยียนหมิงซุ่นก็เริ่มร้อนใจขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมถึงไปโรงพยาบาลล่ะ? เธอไม่สบายตรงไหน? พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละเธออย่าไปไหนซี้ซั้วนะ”
“ฉันไม่ได้ป่วย…แต่เป็นพ่อของสวีจื่อเซวียนป่วยต่างหาก…”
เหมยเหมยรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจและเล่าเรื่องราวคร่าว ๆไป เหยียนหมิงซุ่นถึงสบายใจ
“ฉันไปรับเธอเอง เธอรออยู่หน้าประตูนะ”
เหมยเหมยเหนื่อยแล้วจริง ๆถึงรออย่างเชื่อฟัง ไม่นานเหยียนหมิงซุ่นก็มาถึงพลางเรียกพวกเธอทั้งสามให้ขึ้นรถ
“พี่ ไปหาสวีจื่อเซวียนตอนนี้ดีไหม?” เหมยเหมยถาม
“รีบอะไรกันเล่า รีบหามาให้พ่อเขาเส้นเลือดในสมองแตกอีกรอบเหรอ? ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้เถอะ!” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ ภรรยาตนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเสียจริง นับว่าโชคดีที่คุณพ่อสวีไม่ได้เสียชีวิต
เหมยเหมยคิดแล้วก็เห็นด้วยว่าตอนนี้คุณพ่อสวีจะมีเรื่องให้สะเทือนใจอีกไม่ได้แล้ว หากลูกสาวอกตัญญูอย่างสวีจื่อเซวียนพูดอะไรไม่น่าฟังเข้าอีก บางทีคุณพ่อสวีอาจมีอันเป็นไปก็ได้
ส่งเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อกลับหอพักเสร็จพวกเขาถึงกลับบ้าน กับข้าวเย็นชืดไปทั้งโต๊ะแล้ว เหยียนหมิงซุ่นจึงนำไปอุ่นรอให้เหมยเหมยอาบน้ำเสร็จจะได้ทานพร้อมกัน
เขาฟังเหมยเหมยเล่าว่าเหตุผลที่สวีจื่อเซวียนลาออกเพราะจะแต่งงานเลยหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เจียงจื้อหรู่ไม่แต่งงานกับหล่อนหรอก คิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะกลับไปคืนดีกับภรรยาเก่าแล้ว”
แม้เหมยเหมยพอจะเดาได้แต่ก็ตกใจยกใหญ่ นี่มันเร็วเกินไปหรือเปล่า?
“เจียงจื้อหรู่ไม่ชอบภรรยาคนก่อนไม่ใช่เหรอ? เขาจะยอมเหรอ?”
เหยียนหมิงซุ่นแกะกุ้งหนึ่งตัวแล้วจิ้มจิ๊กโฉ่วป้อนเหมยเหมยพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “กินอิ่มนอนหลับสิถึงจะเกิดกิเลสตัณหาได้ เมื่อก่อนมีคุณนายเจียงคอยดูแลทุกอย่างให้เจียงจื้อหรู่ มีทั้งรถยนต์นำเข้าให้ขับ สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม อยู่บ้านหลังใหญ่โต อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่เคยต้องกังวลว่ากระเป๋าจะไม่มีเงินเขาถึงได้มีเวลาไปหาเมียน้อยไง ตอนนี้พอไม่มีคุณนายเจียงคอยดูแลเขาย่อมต้องเจอเรื่องลำบากอยู่แล้ว”
คู่สามีภรรยาที่ยากจนข้นแค้นมักมีเรื่องบาดหมางกันเสมอ!
ความรักที่แท้จริงก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความยากจน!
เจียงจื้อหรู่อาจมีความจริงใจให้สวีจื่อเซวียน แต่ผู้ชายคนนี้เคยชินกับการใช้ชีวิตอู้ฟู่ ตอนนี้จะให้เขาใช้ชีวิตลำบากต้องรัดเข็มขัดตลอดแล้วยังต้องหาเวลามาดูแลพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับเมียน้อยที่ไม่รู้ความอะไร คาดว่าเขาคงเหนื่อยใจตั้งนานแล้ว
ขอเพียงคุณนายเจียงยื่นข้อเสนอให้กลับมาคืนดีกัน เจียงจื้อหรู่คงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เหมยเหมยปากเคี้ยวกุ้งไป เธอไม่ชอบเจียงจื้อหรู่เลยสักนิดและนึกสงสารคุณนายเจียงเสียจริง
“คุณนายเจียงก็ไม่นึกรังเกียจแตงกวาที่เคยผ่านมือผู้หญิงคนอื่นมาก่อนเลยเนอะ ถ้าเป็นฉันไม่มีวันเอาคืนแน่ ไสหัวไปได้ไกลแค่ไหนยิ่งดี!” เหมยเหมยพูดเสียงแค้นใจแล้วยังตวัดตามองเหยียนหมิงซุ่นเป็นการเตือนอีกด้วย
ผู้ชายต้องให้เตือนสติอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อให้พวกเขารู้จักสำรวมตัวเองสักหน่อย!
เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วก็นึกขำเลยแกะกุ้งอีกตัวยัดใส่ปากเหมยเหมยแล้วกล่าวด้วยเสียงติดตลกว่า “ดูเหมือนเหมยเหมยจะชอบทานแตงกวามากนะ? ทานตอนนี้ดีไหม หืม?”
เสียงหืมตอนท้ายถูกลากเสียงยาวคล้ายจะพูดเล่นแต่ก็คล้ายจะพูดจริง ทำเอาบรรยากาศดูคลุมเครือขึ้นมาทันตา
เหมยเหมยหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายในฉับพลัน เมื่อกี้พูดเร็วเกินไปถึงได้หลุดคำว่าแตงกวาออกมา น่าอายชะมัด!
“ฉันไม่ชอบทานแตงกวา แต่ฉันชอบทานแตงโม” เหมยเหมยกะพริบตาปริบ ๆแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วก็ร้องโวยอยากทานแตงโม
เหยียนหมิงซุ่นมองเธอด้วยความเฉยชาแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร พอทานมื้อเย็นเสร็จเขาก็ใช้แขนยาวโอบอุ้มสาวงามไปกินแตงกวาแล้ว…
“เดี๋ยวเลี้ยงมื้อดึกเหมยเหมยแล้วกัน…แตงกวากับนม…กินได้ไม่อั้นเลย รับรองว่าอิ่มแปร้แน่!”
เหมยเหมย ‘…เธออยากตาย!’
ตอนที่ 1872 เหตุเกิดขึ้นแล้วจูกัดเหลียงค่อยมา
ทานแตงกวากับนมมาตลอดคืนก็ย่อมเป็นเรื่องปกติที่เหมยเหมยจะไปเรียนสาย เธอคร้านจะไปเรียนเลยนอนแช่อยู่บนเตียงอย่างนั้น กระทั่งนอนถึงมื้อเที่ยงจึงค่อยไปมหาวิทยาลัยอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ตอนนี้สวีจื่อเซวียนไปโรงพยาบาลแล้ว” ฉีฉีเก๋อบอกเธอ
“พวกเธอไปเจอเธอที่ไหน?” เหมยเหมยสงสัยอย่างมาก
“เชี่ยนเชี่ยนไปหาอาจารย์เจียงให้อาจารย์เจียงบอกสวีจื่อเซวียน” ฉีฉีเก๋อมองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างชื่นชม ช่างฉลาดเสียจริง ทำไมเธอถึงคิดวิธีดี ๆแบบนี้ไม่ได้นะ
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเชิดคางอย่างได้ใจ แม้ไขมันบนตัวเธอจะมีเยอะแต่ความฉลาดก็ไม่เป็นรองใคร ไม่อย่างนั้นทำไมถึงมีเพียงเธอที่คิดได้ว่าควรไปหาคนรักของสวีจื่อเซวียนล่ะ?
เหมยเหมยไม่ชอบเห็นเธอทำท่าได้ใจอย่างนั้นเลยเอ่ยด้วยเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร “ทำไมเมื่อวานถึงคิดไม่ได้ล่ะ? เรื่องเกิดแล้วจูกัดเหลียงค่อยมา[1]…”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ‘…อยากบีบคอใครสักคนให้ตายไปเลยจริง ๆ…แต่ไม่กล้า!’
ในเมื่อตามหาลูกสาวแท้ ๆเจอแล้วพวกเหมยเหมยย่อมไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นอีก และไม่คาดหวังว่าสวีจื่อเซวียนจะสำนึกบุญคุณ ส่วนค่านอนโรงพยาบาลแปดร้อยหยวนเมื่อวานพวกเธอก็คร้านจะขอคืน ในเมื่อทั้งสามคนก็ไม่มีใครขาดแคลนเรื่องเงิน
หลายวันหลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างสงบสุขดี
สวีจื่อเซวียนยังคงไม่มาเรียนและขาดเกินเจ็ดวันจึงถูกเชิญออกจากมหาวิทยาลัยอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เจียงจื้อหรู่ขอร้องแทนเธอก็เปล่าประโยชน์เพราะทางมหาวิทยาลัยไม่คิดจะไว้หน้าเขา หนำซ้ำยังติดประกาศให้คนทั้งมหาวิทยาลัยรับรู้โดยทั่วกัน
เจียงจื้อหรู่ยังคงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเหมยเหมยเช่นเคย เพียงแต่แค่ผ่านช่วงปิดเทอมฤดูร้อนไปอาจารย์เจียงที่อดีตเคยดูมีสง่าราศีแม้จะมีอายุกลับดูแก่ลงเป็นสิบปี ไหนจะเคราที่ขาวโพลน ใบหน้าที่ดูโทรม เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไรนัก
แต่มันไม่น่าเห็นใจเลยสักนิด!
สมน้ำหน้า!
ช่วงนี้เจียงจื้อหรู่งานยุ่งจนหัวหมุนเพราะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่พิพิธภัณฑ์ไม่ขาดทำให้ต้องทุ่มเงินที่ได้จากการประมูลของสะสมที่ฮ่องกงไปกับเรื่องนี้แทบทั้งหมดอย่างสูญเปล่า เขาถึงขั้นไม่เหลือเงินให้ซื้อตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงเลยจนจำต้องฝากเพื่อนคนหนึ่งขายของสะสมแทน ของสะสมสุดรักรักหวงของเขาหายไปกว่าครึ่งอย่างไม่รู้ตัว
ส่วนทางนี้เขายังต้องคอยเอาอกเอาใจสวีจื่อเซวียนที่ทำตัวเอาแต่ใจได้ทุกวี่วัน เขาบอกให้เธออย่ามัวแต่นึกถึงเรื่องแต่งงานให้ตั้งใจเรียน แต่แฟนสาวอ่อนเยาว์ที่เป็นเด็กดีน่ารักในอดีตตอนนี้กลับเริ่มสร้างความเหนื่อยหน่ายใจแก่เขาเหลือเกิน
นอกจากนี้เขายังต้องคอยรับมือกับความกดดันและเย้ยหยันจากพ่อแม่พี่น้อง คุณพ่อถึงขั้นพูดเสียงขาดว่าหากเขาแต่งงานกับสวีจื่อเซวียนก็จะประกาศลงหน้าหนังสือพิมพ์ว่าตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาด้วย
หากเป็นอดีตเจียงจื้อหรู่คงไม่ใส่ใจคำข่มขู่พวกนี้เพราะเขาไม่เคยต้องลิ้มรสชาติความลำบากในชีวิตมาก่อน แต่ตอนนี้–
เขาถึงรู้ว่าที่แท้ทุกอย่างที่เขาเคยคิดว่าได้มาเพราะความพยายามของตัวเองนั้น ความจริงเป็นเพราะเขาคือคนของตระกูลเจียงไม่ใช่เพราะเขามีความสามารถ ถึงขั้นมีเพื่อนคนหนึ่งพูดทิ่มแทงเขาว่า
‘ทุกปีจะมีคนมากความสามารถดิ้นรนหาทางทำมาหากินในเมืองหลวงนับไม่ถ้วน พวกเขาฉลาดกว่านาย ทนความลำบากได้มากกว่านาย เก่งกว่านายหลายสิบเท่า…ทำไมถึงต้องให้โอกาสนายล่ะ?’
พอมาถึงช่วงอายุสี่สิบ เจียงจื้อหรู่ถึงได้เข้าใจในสัจธรรมนี้สักที
เจียงจื้อหรู่หาเวลาว่างมาหาพวกเหมยเหมยแล้วคืนเงินแปดร้อยหยวนให้พวกเธอไป “ขอบคุณพวกเธอที่พาพ่อของจื่อเซวียนไปโรงพยาบาลนะ”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรับเงินมาอย่างไวแล้วเอ่ยยิ้มตาหยีว่า “อาจารย์เจียงเกรงใจกันเกินไปแล้ว คุณลุงสวีเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ฟื้นตัวได้ดีเลยล่ะ ตอนนี้ย้ายไปห้องพักผู้ป่วยทั่วไปแล้ว จื่อเซวียนกำลังดูแลเขาอยู่” เจียงจื้อหรู่เองก็ยิ้มตอบแต่รอยยิ้มดูขมขื่นกว่ามาก
เขารู้สึกผิดอย่างมาก เพราะเขาถึงทำให้คุณพ่อสวีโกรธจนเลือดออกในสมอง แต่เรื่องที่สวีจื่อเซวียนขอลาออกจากมหาวิทยาลัยเขาไม่รู้เลย หลายวันที่ผ่านมาเขางานยุ่งจนหัวหมุนกระทั่งเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมาหาเขาถึงได้รู้ว่าสวีจื่อเซวียนแอบตัดสินใจเรื่องใหญ่โตแบบนี้ลับหลังเขา พอมีใจคิดจะชดเชยให้แต่กลับสายไปเสียแล้ว
อีกอย่างค่าใช้จ่ายที่คุณพ่อสวีใช้ในการรักษาก็ไม่ใช่น้อย ๆ เขาไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว พ่อแม่พี่น้องต่างไม่สนใจเขา เขาจึงต้องแบกหน้าไปหาอดีตภรรยาอย่างจำใจ แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คืออดีตภรรยาให้เงินเขาอย่างไม่อิดออดทำให้เขารู้สึกผิดต่ออดีตภรรยาและยังรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง
ฉีฉีเก๋อรู้สึกผิดต่อคุณพ่อสวีอย่างมากจึงคิดจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เหมยเหมยกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็เตรียมจะไปด้วยกัน แต่ใครจะรู้เล่าว่าพวกเธอยังไม่ทันกระดิกตัวสวีจื่อเซวียนก็บุกมาหาพวกเธอด้วยท่าทีอาฆาตเสียก่อน
[1] เหตุเกิดขึ้นแล้วจูกัดเหลียงค่อยมา เป็นสำนวนเปรียบว่าเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นแล้วถึงมีคนคิดหาทางแก้ได้
………………………………………………….
ตอนที่ 1873 ทำคุณบูชาโทษ
พวกเหมยเหมยกำลังซื้อผลไม้อยู่ในร้าน ในเมื่อจะไปเยี่ยมผู้ป่วยก็คงไปสองมือเปล่าไม่ได้ ขณะที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกำลังชำระเงินอยู่ สวีจื่อเซวียนก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึงและสายตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
เดิมทีเธออยากจะมาคิดบัญชีแค้นกับพวกเหมยเหมยตั้งนานแล้ว แต่ทางคุณพ่อสวีต้องมีคนคอยดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้สวีจื่อเซวียนจะเอาแต่ใจมากแต่เธอก็มีกันแค่สองพ่อลูกมาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาจึงมีสายใยผูกพันที่แน่นแฟ้นย่อมต้องให้ความสำคัญกับคุณพ่อเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว
หลังจากผ่านการดูแลประคบประหงมมาหลายวันคุณพ่อสวีก็ฟื้นตัวดีขึ้นไม่น้อย เขาเริ่มพูดได้แล้วแต่แค่ยังไม่คล่องแคล่วฉะฉานเหมือนเดิม ปากเบี้ยวไปนิดมือขวาใช้ได้ไม่ถนัดเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินจึงนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
สวีจื่อเซวียนถือโอกาสตอนที่คุณพ่อสวีนอนพักกลางวันมาหาถึงมหาวิทยาลัย นางแพศยาสามคนนี้จิตใจชั่วร้ายเกินไป วันนี้เธอจะฉีกหน้าสามคนนี้ต่อหน้าคนทั้งมหาวิทยาลัยให้ได้!
“จ้าวเหมย เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ฉีฉีเก๋อ…พวกเธอหยุดนะ!”
สวีจื่อเซวียนตะโกนร้องเรียกมาจากด้านหลังซึ่งต่อให้ไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน พวกเหมยเหมยชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองสวีจื่อเซวียนที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งอยู่
ถนนย่านการค้าในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยร้านขายของชำขนาดเล็ก ลูกค้าส่วนมากเป็นนักศึกษาเลยมีคนพากันมาเดินในย่านนี้ทุกวันจำนวนไม่น้อย เสียงตะโกนของสวีจื่อเซวียนเรียกความสนใจใครหลาย ๆคนมารอดูเรื่องสนุก ๆอย่างสนอกสนใจ
“มีเรื่องอะไร?” เหมยเหมยทำหน้าไม่สบอารมณ์หน่อย ๆ
สวีจื่อเซวียนแค่นหัวเราะ “จ้าวเหมยเธอยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอ? เรื่องไร้ศีลธรรมที่เธอทำไว้เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่หรือไง? แล้วก็คนขี้ประจบสอพลออย่างพวกเธอสองคนด้วย พวกเธอสามคนมันร้ายกาจจริง ๆ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที แม้เธอจะขี้ประจบจ้าวเหมยก็จริงแต่เธอทำด้วยความจริงใจ พอถูกคนด่าต่อหน้าว่าเป็นคนขี้ประจบสอพลอถ้าเธอไม่โกรธสิแปลก!
เหมยเหมยดึงหน้าตึงตวาดกลับ “สวีจื่อเซวียนระวังปากหน่อย เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อเป็นเพื่อนของฉัน เธอมีปัญหาอะไรกับฉันก็พูดมาตรง ๆ อย่าลากคนอื่นมาเกี่ยว”
ไฟโทสะของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมลายหายไปในพริบตา ลดความร้อนรุ่มในใจได้ผลกว่าทานไอศกรีมฮาเก้น-ดาสในวันอากาศร้อน ๆเสียอีก
จ้าวเหมยยอมรับว่าเธอเป็นเพื่อนต่อหน้าทุกคนแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!
ในที่สุดเธอก็ตามประจบจนบรรลุเป้าหมายสักที!
สวีจื่อเซวียนมองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋ออย่างดูถูกดูแคลนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงประชด “เพื่อนอะไรกัน ก็แค่คนตามประจบเธอไม่ใช่เหรอ? ช่วยอออกหน้าแทนเธอก่อนทุกเรื่อง ทำตัวน่าสงสารเรียกร้องความสนใจ พอจ้าวเหมยดีใจขึ้นมาหน่อยก็โยนกระดูกให้พวกเธอแทะเล่น…”
ฉีฉีเก๋อฟังอยู่ครู่ใหญ่ถึงเข้าใจความหมายเลยรีบหันมาถามเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน “หล่อนด่าว่าเราเป็นหมาเหรอ?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ‘…สมองโดนหมาแทะไปหมดแล้ว’
“สวีจื่อเซวียนเธอไม่มีเพื่อนก็อย่าอิจฉามิตรภาพระหว่างเรากับเหมยเหมยสิ คนอย่างเธอมันร้ายกาจจริง ๆ คงไม่มีใครจริงใจกับคนอย่างเธอไปตลอดชีวิตหรอก”
ฉีฉีเก๋อโกรธไม่เบาเพราะเธอให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างเหมยเหมยอย่างมาก ซึ่งนี่มีค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก แต่กลับถูกสวีจื่อเซวียนทำแปดเปื้อน หากตอนนี้อยู่ทุ่งหญ้าบ้านเธอคงขอท้าประลองกับสวีจื่อเซวียนเพื่อเป็นการสั่งสอนผู้หญิงคนนี้สักครั้ง!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับรู้สึกผิดในใจอยู่บ้างเพราะจุดประสงค์แรกของเธอไม่บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้เธอเห็นจ้าวเหมยเป็นเพื่อนจริง ๆ ถ้อยคำของสวีจื่อเซวียนทำให้เธอรู้สึกละอายปนรู้สึกผิดแต่ยิ่งกว่านั้นคือความโกรธ
“ฉีฉีเก๋ออย่าไปคุยกับพวกเนรคุณแบบนี้เลย การสำนึกบุญคุณขั้นพื้นฐานของความเป็นคนยังไม่มีเลย เราไปกันเถอะอย่าไปสนใจหล่อนเลย!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเห็นคนที่เข้ามามุงล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทียังคิดจะเปิดศึกกับสวีจื่อเซวียนสักรอบแต่พอนึกถึงสถานะของเหมยเหมยเลยจำต้องอดทนเอาไว้กระชากฉีฉีเก๋อให้ไปจากที่นี่
“ห้ามไปนะ พวกเธอเกือบทำพ่อฉันตายแต่ไม่พูดแม้แต่คำขอโทษสักคำ พวกเธอยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?”
สวีจื่อเซวียนกรีดร้องเสียงดังพร้อมพุ่งเข้ามาหมายจะห้ามไม่ให้พวกเธอไป เหล่านักศึกษาที่มามุงดูต่างหูตั้ง นี่เป็นเรื่องถึงความเป็นความตายของชีวิตคนเชียวนะ แล้วจะทำใจให้เลิกฟังได้ที่ไหนกัน!
ตอนที่ 1874 ความสำคัญของการคัดสรรผู้ชาย
เหมยเหมยกลอกตาทีหนึ่งอย่างหมดคำพูด
เธอเคยรู้ซึ้งถึงความเนรคุณของสวีจื่อเซวียนมาแล้วแต่กลับคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้กลับกุเรื่องใส่ร้ายคนอื่นได้ขนาดนี้ มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ…
“สวีจื่อเซวียนเธอมีปัญหาทางสมองหรือเปล่า พ่อของเธอเป็นลมหมดสติ เราก็ใจดีโทรเรียกรถพยาบาลให้แล้วยังสำรองออกค่ารักษาไปก่อนอีก ไม่งั้นตอนนี้พ่อเธอคงลงนรกไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่งตั้งนานแล้ว!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่เคยเจอผู้หญิงพิลึกเท่าสวีจื่อเซวียนมาก่อนเลย
ฉีฉีเก๋อเองก็อดด่าเสริมอีกคนไม่ได้ “ตอนที่พ่อเธอป่วยหนักลูกสาวแท้ ๆอย่างเธอไปอยู่ที่ไหนล่ะ? เชี่ยนเชี่ยนพูดไม่ผิดจริง ๆ เธอมันคนเนรคุณที่สู้แม้กระทั่งหมาไม่ได้ด้วยซ้ำ เหมยเหมยช่วยเธอมาตั้งสองรอบแต่เธอกลับไม่พูดขอบคุณสักคำกลับยังเป็นฝ่ายมาโทษนั่นโทษนี่อีก เธอนี่มันไม่มีเหตุผลเลยจริง ๆ!”
สวีจื่อเซวียนหน้าซีด ประสบการณ์ถูกลักพาตัวไปถึงสองครั้งเป็นความเจ็บฝังใจของเธอไปตลอดชีวิต เธอไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงมัน
“จ้าวเหมยมันจงใจ ทั้งที่เธอไปช่วยได้เร็วกว่านี้แต่เธอกลับมาช้า ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉันก็คง…”
สวีจื่อเซวียนนัยน์ตาบ้าคลั่งและส่งเสียงแหลมเสียดหู “จ้าวเหมยวัน ๆได้แต่ทำตัวสูงส่งเป็นคนดี ความจริงกลับเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยม หล่อนอิจฉาฉันถึงได้จงใจให้คนมาทำร้ายฉัน…เธอต่างหากที่เป็นต้นเหตุทุกอย่าง…เธอเป็นคนทำร้ายฉัน…”
เดิมทีเหมยเหมยไม่อยากเข้าไปพัวพันด้วย แต่ตอนนี้กลับถูกโยงมาถึงเธอแล้วยังโดนใส่ร้ายเจาะจงชื่อขนาดนี้ หากเธอทนได้คงไม่ใช่คนแล้ว!
แต่วันนี้ไม่ต้องรอให้เธอออกตัวสู้ด้วยตัวเองหรอก เพราะคุณหนูใหญ่เหริ่นฮึกเหิมมีพลังการต่อสู้เฉียบขาดมาก!
“โอ้โห…สวีจื่อเซวียนเธออยากให้ฉันขำจนตายสินะ ทั้ง ๆที่เธอเป็นแค่ต้นกระเทียมธรรมดา นี่คิดว่าตัวเองเป็นดอกสุ่ยเซียนเหรอ เธอลองพูดมาสิว่ามีตรงไหนของเธอที่ต้องให้จ้าวเหมยอิจฉาบ้าง?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดไม่กี่ประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะฮาครืนจากนักศึกษารอบข้างได้
ทุกคนต่างสายตาดีกันทั้งนั้น จ้าวเหมยเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย มีพื้นหลังครอบครัวดี หน้าตาดี มากความสามารถแล้วยังมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จตั้งแต่เล็กจนพวกเขาต้องยอมจำนนจริง ๆ แม้เมื่อก่อนสวีจื่อเซวียนจะไม่เลวเลยแต่ไม่ว่าจุดไหนก็เป็นรองดาวมหาวิทยาลัยอยู่มากโขนี่นา!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนได้ใจที่คำพูดของตัวเองได้ผลขนาดนี้พลันรู้สึกฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิมแล้วพูดต่อ “ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตา ความสามารถ พื้นหลังครอบครัว ความรัก…ไม่ว่าด้านไหนเธอก็สู้จ้าวเหมยไม่ได้ เธอคิดว่าจ้าวเหมยเป็นเหมือนเธอเหรอที่สมองเหมือนโดนลากระทืบมา…เอ่อ…โดนลากระทืบให้มาอิจฉาคนที่สู้ตัวเองไม่ได้งั้นหรอ?”
เหมยเหมยมุมปากกระตุก ช่วงนี้ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่เหริ่นไปเรียนรู้จากใครที่มักใช้คำว่า ‘กระทืบ’ แทนคำกริยาในการด่า มันช่างหยาบคายดีเสียจริง!
แต่พอใช้กับสวีจื่อเซวียนกลับรู้สึกสะใจสุด ๆไปเลย!
ฉีฉีเก๋อเองก็ไม่น้อยหน้า ตอนแรกเธอยังนึกเห็นใจสวีจื่อเซวียนอยู่บ้างแต่พอได้ยินสวีจื่อเซวียนใส่ร้ายเพื่อนสนิทแบบนี้เธอก็โกรธแทบฉุดไม่อยู่
“สวีจื่อเซวียน ไม่มีใครบังคับเธอให้ไปขายซิการ์ที่สโมสรเศรษฐีสักหน่อย เธอถูกพวกอันธพาลลากตัวไปก็ไม่เกี่ยวกับเหมยเหมยด้วย แต่เหตุที่เหมยเหมยไปช่วยเธอก็เพราะความใจดีมีเมตตา แต่เธอกลับไม่พูดขอบคุณสักคำ หัวใจของเธอสิที่โดนหมากัดกินไปหมดแล้ว!”
นักศึกษาที่ล้อมมุงอยู่เผลอสูดปากกันถ้วนหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
สโมสรเศรษฐีหรือ?
พวกเขาฟังผิดไปหรือเปล่า?
สวีจื่อเซวียนผู้ใสซื่อบริสุทธิ์จะไปขายซิการ์ที่สโมสรเศรษฐีด้วยเหรอ?
ตัดสินคนจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริง ๆสินะ!
สวีจื่อเซวียนตวาดเสียงดัง “ฉันแค่ขายซิการ์ ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ฉันเป็นเหยื่อ จ้าวเหมยต่างหากที่สั่งคนมาทำร้ายฉัน…”
เหมยเหมยกลอกตาทีหนึ่งแล้วโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ “หรือว่าการที่เธอเป็นเมียน้อยคนอื่นลาออกจากมหาวิทยาลัยก็เป็นสิ่งที่ฉันบังคับเธอด้วยงั้นเหรอ? สวีจื่อเซวียนเธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน? ในสายตาฉันเธอก็เหมือนดอกหญ้าข้างทางเท่านั้นแหละ ฉันไม่สนใจแม้แต่จะเหยียบย่ำเธอด้วยซ้ำ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองเธออย่างชื่นชม โอ้โห ดาวมหาวิทยาลัยเท่สุด ๆไปเลย!
ทำไมเธอพูดคำเท่ ๆแบบนี้ไม่ได้กันนะ?
แต่ไม่นานเธอก็คิดได้ว่าเพราะเธอไม่ได้มีสามีน่าเกรงขามเป็นที่หนุนหลังอย่างเหยียนหมิงซุ่น!
เฮ้อ!
นี่สินะความสำคัญของการคัดสรรผู้ชาย!
………………………………………………………..
ตอนที่ 1875 อย่าทำให้รักแท้ต้องแปดเปื้อน
สวีจื่อเซวียนโกรธจนหน้าซีด จ้าวเหมยต้องจงใจพูดแบบนี้เพราะคิดจะเหยียดหยามเธอต่อหน้าคนมากมาย เจตนาร้ายไม่เบาจริง ๆ!
“จ้าวเหมยเธอมันร้ายกาจ ทำเรื่องชั่ว ๆแล้วยังเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีบริสุทธิ์มาหลอกลวงคนอื่น เธอทำร้ายฉันก็ช่างแต่ทำไมเธอต้องทำร้ายพ่อของฉันด้วย? จิตใจของเธอมันอำมหิตยิ่งกว่างูพิษซะอีก!”
เหมยเหมยโกรธจนแทบทนไม่ไหว สวีจื่อเซวียนคนนี้สมองต้องผิดปกติแน่ ๆ หรือไม่ก็ต้องป่วยเป็นโรคคิดเองเออเอง เธอไม่จำเป็นต้องถือสาคนบ้าแบบนี้เลย
เธอทนได้แต่พวกเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับทนไม่ได้
“สวีจื่อเซวียนเธอคิดว่าตัวเองดีนักเหรอ ผลกรรมจากความไม่สงบเสงี่ยมของเธอเองยังมีหน้ามาโทษคนอื่นว่าทำร้ายเธออีกเหรอ? แล้วเพราะอะไรพ่อของเธอถึงโกรธจนป่วยมีเลือดออกในสมอง นั่นก็เพราะเขารู้ว่าเธอยอมลดตัวไปเป็นเมียน้อยคนอื่น แล้วยังขอลาออกจากมหาวิทยาลัยเองไม่ใช่หรือไง!”
เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยังคิดจะไว้หน้าสวีจื่อเซวียนสักหน่อย เธออยากให้เรื่องจบแต่อีกฝ่ายดันไม่สำนึกบุญคุณ!
ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าเธอพูดจาฟังไม่เข้าหูแล้วกัน!
“ไม่ใช่ฉัน…พ่อฉันเป็นแบบนี้เพราะพวกเธอ ฉันไม่ใช่เมียน้อย ฉันกับอาจารย์เจียงเรารักกันจากใจจริง…”
สมองของสวีจื่อเซวียนเริ่มพร่าเบลอเล็กน้อย ตลอดช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมาเธอไม่สบายเลยสักนิด เพราะอยู่เดือนไม่ครบจึงทำให้ร่างกายแย่ลงอย่างรวดเร็ว ความสดใสมีชีวิตชีวาในอดีตหมดไปและเอาแต่พะวงเรื่องเจียงจื้อหรู่
แต่เจียงจื้อหรู่เอาแต่ยุ่งอยู่กับงานที่หอนิทรรศการภาพวาดและไม่มีความอดทนต่อเธออย่างเมื่อก่อน สวีจื่อเซวียนจึงอดคิดเหลวไหลไปเองไม่ได้ พอยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดยิ่งหาเรื่องให้ตัวเองไม่สบายใจเลยทำให้ตัวเองเป็นบ้าสติคลุ้มคลั่งในที่สุด!
“รักแท้เหรอ? เธออย่าทำให้คำนี้ต้องแปดเปื้อนเลยดีกว่า อาจารย์เจียงมีภรรยาแล้ว เธออ้างคำว่ารักแท้เพื่อจงใจทำลายครอบครัวคนอื่น สวีจื่อเซวียนเธอไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ? หรือว่าสิ่งที่เธอถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กไม่ได้รวมเรื่องนี้ด้วย?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัวและน้ำเสียงรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเกลียดชังพวกเมียน้อยมือที่สามแบบนี้ที่สุด!
นักศึกษาที่มุงล้อมอยู่ข้าง ๆส่วนมากเคยได้ยินเรื่องราวความรักของสวีจื่อเซวียนกับเจียงจื้อหรู่มาบ้าง ความจริงพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ แถมยังมีคนบางส่วนคิดว่าความรักระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นั้นแสนจะโรแมนติก
แต่พอฟังคำติติงของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเข้าพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนความคิด
ความรักระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์โรแมนติกก็จริงแต่การเป็นมือที่สามมันเป็นเรื่องหน้าไม่อายอย่างมาก!
คิดไม่ถึงเลยจริง ๆว่าสวีจื่อเซวียนจะเป็นผู้หญิงแบบนี้!
ต่อให้สวีจื่อเซวียนในยามปกติที่มีสติปลอดโปร่งดีก็ฉะสู้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่ปากคอเราะรายไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ไหวพริบของเธอลดลงก็ยิ่งเถียงสู้ไม่ไหว ยิ่งร้อนใจก็ยิ่งพูดไม่ออกจนสีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
“ฉัน…ที่ฉันป่วย…ไม่เกี่ยวกับ…ผู้หญิง…สาม…คน…นี้!”
เสียงพูดขาด ๆหาย ๆดังขึ้น เสียงไม่ค่อยดังนักและไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร สวีจื่อเซวียนหน้าถอดสีพร้อมหันไปมองคุณพ่อสวีที่เดินเซเบียดออกมาจากท่ามกลางผู้คนอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะตะโกนร้องขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “พ่อออกมาได้อย่างไร? หนูส่งพ่อกลับโรงพยาบาลนะ!”
คุณพ่อสวีใช้แรงคว้ามือสวีจื่อเซวียนไว้ ปากเบี้ยว ใบหน้าครึ่งหนึ่งก็เบี้ยว ร่างกายไม่คล่องแคล่วเท่าเมื่อก่อน ลำบากเขาเสียจริงที่ต้องเดินมาตั้งไกลขนาดนี้!
“ฉัน…ฉันไม่ไป…ลูกไป…ขออาจารย์…เรียนเถอะ!”
เส้นเลือดบนใบหน้าของคุณพ่อสวีปูดโปน ดวงตาแดงก่ำรวมถึงเส้นเลือดตรงแขนก็ปูดโปนเช่นเดียวกัน เขาดึงดันจะลากสวีจื่อเซวียนไปหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยให้ได้ สวีจื่อเซวียนไม่กล้าออกแรงเลยได้แต่อ้อนวอนขอให้เขาปล่อยมือ
“พ่อ…เรื่องเรียนไว้ค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม ตอนนี้หนูส่งพ่อไปโรงพยาบาลก่อนนะ!”
“ไป…เรียน…”
คุณพ่อสวีหัวรั้นอย่างมากและใบหน้าที่บิดเบี้ยวดูดุดันทำเอาเหมยเหมยที่มองอยู่นึกกังวลใจ คุณพ่อสวีเพิ่งพ้นขีดอันตราย แล้วตอนนี้ก็อารมณ์ปรี๊ดสูงขนาดนี้ มันอันตรายมากจริงๆ
ตอนที่ 1876 สิ้นหวัง
“สวีจื่อเซวียน เธอพาพ่อเธอไปสำนักทะเบียนก่อนเถอะ!”
เหมยเหมยอดเตือนไม่ได้ สวีจื่อเซวียนจะเป็นจะตายอย่างไรเธอไม่สนใจแต่เธอกลับเห็นใจคุณพ่อสวีมากกว่า คุณพ่อที่น่าสงสารคนนี้จะมีเรื่องให้สะเทือนใจอีกไม่ได้แล้ว!
เพื่อนคนอื่น ๆก็เริ่มเกลี้ยกล่อมสวีจื่อเซวียน อาการของคุณพ่อสวีทุกคนเห็นอยู่กับตาและเห็นว่ามันอันตรายมากจริง ๆ!
แต่สวีจื่อเซวียนกลับคิดสวนทางกับคนอื่นไม่ยอมทำตามที่เพื่อน ๆเกลี้ยกล่อม โดยเฉพาะคนตักเตือนคนแรกคือจ้าวเหมยเธอก็ยิ่งไม่ฟังคำเตือนพลันหมดความอดทนกับพ่อตัวเองขึ้นมาทันที
อยู่โรงพยาบาลดี ๆ ทำไมต้องมาสร้างความอับอายให้เธอที่มหาวิทยาลัยด้วย?
“พ่อ หนูลาออกแล้ว แล้วจะเรียนยังไงอีก? พ่อรีบไปโรงพยาบาลกับหนูเลย!”
สวีจื่อเซวียนพลั้งหลุดปากพูดเรื่องลาออกอย่างอดไม่ได้ชั่วขณะหมายจะให้พ่อของเธอยอมแพ้แล้วกลับไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลกับเธอแต่โดยดี ทว่าเธอดันลืมไปว่าคุณพ่อสวีให้ความสำคัญกับใบปริญญาเธอมากแค่ไหน!
“ลา…ออก…แล้ว…”
คุณพ่อสวีดวงตาจดจ้องสวีจื่อเซวียนแล้วเค้นเสียงพูดออกมาทีละคำ ๆ
“ไม่ใช่หรอก คุณลุงสวีอย่าไปฟังเธอพูดเหลวไหล แค่โดนทัณฑ์บนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแย่งตอบเพราะเธอกังวลเรื่องสุขภาพของคุณพ่อสวีจากใจจริง กลัวคนบ้าอย่างสวีจื่อเซวียนจะเอามีดแทงใจพ่อของเธออีก
นักศึกษาคนอื่น ๆที่มุงอยู่ต่างก็ช่วยปั้นคำลวงกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน พวกเขาล้วนดูออกถึงความผิดปกติของคุณพ่อสวีและเห็นใจเขามากเช่นกัน
เรื่องที่ทุกคนต่างเห็นอย่างชัดเจนเข้าใจเป็นอย่างดีแต่คนตัวต้นเรื่องอย่างสวีจื่อเซวียนกลับไม่เข้าใจ กระทั่งเห็นทุกคนกำลังช่วยพูดแทนพวกเหมยเหมยใจก็ยิ่งต่อต้าน ประเภทที่ให้เธอไปทางทิศตะวันออกฉันก็ยืนยันจะไปทางทิศตะวันตกให้ได้แบบนั้น
“ลาออกแล้ว ทางมหาวิทยาลัยประกาศอยู่ป้ายหน้าประตูมหาวิทยาลัยนั่นไงพ่อไม่เห็นเหรอ?” สวีจื่อเซวียนตะโกนพูดอย่างหงุดหงิด
เหมยเหมยลอบสบถในใจ ขณะที่คุณพ่อสวีสลัดมือสวีจื่อเซวียนออก จู่ ๆร่างกายก็กลับมาใช้งานได้ปกติมีสติดีครบถ้วนเลยเดินกะเผลก ๆไปยังหน้าประตูมหาวิทยาลัยอย่างไม่ช้านัก เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ดูหัวรั้นและสลดใจ
“พ่อ…พ่อไปทำอะไร? พ่อรีบหยุดเลยนะ…หนูโกหกพ่อเองแหละ ตรงนั้นไม่มีอะไรหรอก…”
คราวนี้สวีจื่อเซวียนถึงสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบแก้ตัว แต่คุณพ่อสวีกลับไม่หยุดเดินแถมเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆเหมือนตุ๊กตาชักใยก็ไม่ปาน ดูงุ่มง่ามเสียจนน่าสงสารจับใจ
ทุกคนเริ่มเดินตามหลังคุณพ่อสวีไปอย่างไม่รู้ตัวและพากันตื่นตระหนกหวาดระแวงกันถ้วนหน้า เหมยเหมยสัมผัสถึงความผิดปกติจึงแอบวิ่งไปตู้โทรศัพท์สาธารณะเรียกรถพยาบาลที่หวังว่าจะมาได้ทันเวลา
ประตูมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลจากถนนย่านการค้านัก ต่อให้เดินช้าก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น กระทั่งในที่สุดคุณพ่อสวีก็เดินมาถึงใต้ป้ายประกาศ เขาเห็นใบประกาศไล่ออกนั้นผ่านกระจกใส
ตัวอักษรสามตัวแรกที่เห็นในสายตาคือสวีจื่อเซวียน จากนั้นก็เป็นตราประทับสีแดงสดรวมถึงมีประโยคดังนี้ว่า ‘โดดเรียนติดต่อกันเกินเจ็ดวัน นักศึกษาสวีจื่อเซวียนถูกไล่ออกจากการเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จึงประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน!’
คุณพ่อสวีอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยปากที่สั่นระริกไม่หยุด ในที่สุดก็ยืนยันความจริงที่ลูกสาวเขาถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกสักที
“ลูก…ลูก…”
คุณพ่อสวีชี้ไปที่สวีจื่อเซวียน ซึ่งผ่านไปพักใหญ่แล้วก็เค้นเสียงพูดไม่ออกสักคำ ใบหน้าเริ่มเขียวช้ำดูท่าทางน่าสยองอย่างมาก
สวีจื่อเซวียนตกใจแทบแย่เลยอ้อนวอนด้วยเสียงร่ำไห้ “พ่อ เราไปโรงพยาบาลก่อนเถอะนะ รอพ่อหายแล้วค่อยด่าหนูนะ!”
เหมยเหมยมองไปทางประตูมหาวิทยาลัยอย่างร้อนรน รถพยาบาลยังไม่มาเลย ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว!
“พ่อ…”
เสียงร้องโหยหวนของสวีจื่อเซวียนดังขึ้นพร้อมรีบถลาเข้าไปประคองคุณพ่อสวีที่อยู่ ๆก็ล้มลงไปกับพื้นไว้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดรวมถึงมุมปากของคุณพ่อสวีก็มีร่องรอยของเลือดเช่นเดียวกัน
…………………….…………….…………….
ตอนที่ 1877 โมโหจนตาย
สวีจื่อเซวียนตกใจแทบแย่กอดคุณพ่อสวีไว้ร้องเรียกไม่หยุด เหมยเหมยเห็นท่าไม่ดีเลยพุ่งเข้าไปตะโกนบอก “รีบวางพ่อของเธอลง ตอนนี้เขาขยับตัวไม่ได้ ฉันโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว คงใกล้จะถึงแล้ว”
“เธอไม่ต้องมาเสแสร้งเป็นคนดี ฉันพาพ่อของฉันส่งโรงพยาบาลเองได้”
สวีจื่อเซวียนแบกคุณพ่อสวีขึ้นอย่างยากลำบาก แต่สุขภาพกายเธออ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแม้แต่พยุงยังพยุงไม่ไหวด้วยซ้ำ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแบกเลย คุณพ่อสวีผู้น่าสงสารตัวโงนเงนไปมาทำเอาเหมยเหมยที่มองอยู่ใจหล่นวูบ
ถ้าปล่อยให้สวีจื่อเซวียนแบกตัวโงนเงนไปมาแบบนี้อีก ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดก็ช่วยคุณพ่อสวีไม่ได้แล้ว
“สวีจื่อเซวียนเธอมีความรู้ด้านปฐมพยาบาลสักนิดไหม? พ่อของเธอเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตอนนี้จะเคลื่อนย้ายตัวไม่ได้ คุณหมอใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเธอยังขยับตัวพ่อของเธอแบบนี้อีกมีแต่จะทำร้ายเขา!”
เหมยเหมยโกรธจนปวดศีรษะ สมองโดนลากระทืบเข้าแล้วจริง ๆ ไม่มีความรู้ด้านการปฐมพยาบาลเลยสักนิด
เพื่อนคนอื่น ๆก็เริ่มเกลี้ยกล่อมตามให้สวีจื่อเซวียนอย่าทรมานพ่อของเธออีก ในเมื่อไม่ใช่ทุกคนที่จะโง่เหมือนสวีจื่อเซวียน
สวีจื่อเซวียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่พอเห็นคุณพ่อสวีสีหน้าซีดเซียวมากขึ้นเรื่อย ๆ ใจเธอก็ดิ่งวูบไม่กล้าดึงดันอีกต่อไป ตกใจจนต้องรีบวางคุณพ่อสวีไว้บนพื้นแล้วปาดเช็ดน้ำตาอย่างอดไม่ได้
“ทำไมหมอยังไม่มาอีก? พ่อ…อย่าหลอกให้หนูตกใจได้ไหม…หนูจะไม่เถียงพ่ออีกแล้ว…หนูจะไปเรียน…พ่อรีบฟื้นมาสิ…”
บนใบหน้าของสวีจื่อเซวียนเปื้อนเลือดและน้ำตาเต็มหน้าทำให้มองไม่เห็นใบหน้าเดิม ซึ่งเธอเองก็ไม่สนใจ เอาแต่คุกเข่าร่ำไห้ปล่อยเสียงโฮอยู่อย่างนั้น
เหมยเหมยลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เหตุที่มีจุดจบที่น่าสงสารแบบนี้ก็เพราะทำตัวเองทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นพอตอนนี้เห็นสภาพย่ำแย่ของสองพ่อลูกสวีจื่อเซวียนก็ไม่ได้สบายใจเท่าไรนัก
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนส่ายศีรษะล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ายื่นให้สวีจื่อเซวียน “เช็ดหน้าก่อนเถอะ”
สำหรับสวีจื่อเซวียนแล้ว ความจริงความรู้สึกของพวกเธอไม่ต่างกันเท่าไร รู้สึกโกรธเคืองที่อีกคนไม่รักตัวเองแต่ก็สงสารกับความโชคร้ายของอีกคน!
แต่คนที่อัปโชคมากที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อสวีที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตบนพื้น ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร
รถพยาบาลมาได้ค่อนข้างเร็วกว่าที่คิด ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีเสียงวอดังเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย พอคุณหมอเห็นว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินก็รีบทำการช่วยเหลือคุณพ่อสวีทันที แต่ทว่า–
คุณหมอดูรูม่านตาของคุณพ่อสวีแล้วตรวจเช็กอีกรอบ จากนั้นก็ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “สายเกินไปแล้ว…”
สวีจื่อเซวียนเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเองรวมถึงคนอื่น ๆด้วยเช่นกัน บรรยากาศเงียบสงัด ทั้งกดดันและโศกเศร้า
ความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติที่ย่อมมีคนตายจากไปทุกวันและมีชีวิตเกิดใหม่ทุกวัน แต่ตอนนี้ต้องเห็นหนึ่งชีวิตจากไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้…
ทุกคนต่างรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา สีหน้าดูตึงเครียดกันถ้วนหน้า
“ไม่มีทาง…เมื่อกี้พ่อฉันยังคุยกับฉันอยู่เลย เขาไม่ตายหรอก คุณหมอช่วยเขาก่อนสิ ปั๊มหัวใจให้เขาสิ…ไหนบอกว่าปั๊มหัวใจแล้วจะช่วยได้ไม่ใช่เหรอ…”
สวีจื่อเซวียนตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยสภาพที่รอยเลือดบนใบหน้ายังไม่ทันเช็ดหมดดี พอใบหน้าบูดบึ้งไปตามอารมณ์และปล่อยสยายผมก็ดูเหมือนคนบ้าคนหนึ่งทันที
“ไม่ทันแล้ว คุณช่วยใจเย็นหน่อย พ่อของคุณน่าจะเพิ่งทำการผ่าตัดอาการเลือดคั่งในสมองมาทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ดันมาเจอเรื่องสะเทือนใจอย่างรุนแรงอีก ต่อให้มาทันเวลาก็ใช่ว่าจะช่วยได้จริง ๆ หมอเสียใจด้วย”
คุณหมออธิบายตามหน้าที่ เขามองแวบเดียวก็รู้อาการของคุณพ่อสวีทันทีว่าคงช่วยหนึ่งชีวิตนี้ได้อย่างยากลำบากเพราะอาการโรคหลอดเลือดในสมองก็อ่อนแอเหมือนกระดาษหนึ่งแผ่น หากพักฟื้นดี ๆอาจจะหายได้ แต่วันอากาศร้อนระอุแบบนี้ไม่นอนอยู่โรงพยาบาลดี ๆกลับวิ่งแจ้นออกมาข้างนอกก็เท่ากับฆ่าตัวเองไม่ใช่หรือ?
อีกอย่างจิตใจยังถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงขนาดนั้น หากพูดไม่น่าฟังหน่อยต่อให้อาการกำเริบที่โรงพยาบาลก็ใช่ว่าจะช่วยได้ทัน!
รถฉุกเฉินไปแล้วทิ้งให้สวีจื่อเซวียนกอดคุณพ่อสวีอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดูอาการไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนัก
เหมยเหมยจำต้องโทรหาเจียงจื้อหรู่ จะว่าไปการตายของคุณพ่อสวีเขาก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น