อัจฉริยะสมองเพชร 1864-1869

 ตอนที่ 1864 ปราการอันทรงพลัง

เจิ้งหยางนอนนิ่งอยู่ในโลง มีรอยยิ้มจางๆ ร่างของเขายังอุ่น ดูเหมือนพร้อมจะลืมตาได้ทุกเมื่อ


“ศิษย์พี่…”


รังสีเข้มข้นแผ่ซ่านออกจากร่างของเว่ยหรูเหยียน ความรู้สึกรุนแรงเดือดพล่านอบอวลอยู่ภายใน


แม้จะมีบุคลิกเย็นชา แต่เธอก็ใส่ใจคนอื่นๆไม่น้อย ถึงเมื่อครู่นี้จะเพิ่งกลั่นแกล้งเจิ้งหยางไป แต่การได้เห็นศพของเขาก็ทำให้หัวใจของเธอแทบระเบิด ถ้าเธอรู้ว่าตัวการเป็นใคร แน่นอนว่าจะต้องพุ่งเข้าไปฉีกหมอนั่นให้แหลกเป็นชิ้นๆ


“ควบคุมอารมณ์ของคุณด้วย!” จางเซวียนตวาด


“ดะ-ได้!” ได้ยินคำสั่งของท่านอาจารย์ เว่ยหรูเหยียนรีบระงับสติอารมณ์ทันที


แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้ขณะจ้องมองศพที่อยู่ในโลง


“นี่ไม่ใช่เจิ้งหยางหรอก” จางเซวียนพูด


เขาเองก็ตกตะลึงไม่เบาเมื่อได้เห็นใบหน้าของศพเป็นครั้งแรก แต่เมื่อพิจารณาใกล้ๆ ก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ


ร่างนี้ดูเหมือนมีชีวิตจนเกินไป


เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายของคนคนหนึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงแก่ความตาย ต่อให้ตอนยังมีชีวิตอยู่ผู้นั้นจะทรงพลังแค่ไหนก็ตาม อีกอย่าง เขารู้จักนิสัยของเจิ้งหยางดี เจิ้งหยางไม่ใช่คนที่จะยอมรับความตายโดยดุษณี ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาก็จะต้องหักกระดูกกระเดี้ยวออกจากร่างของเจ้าตัวการให้ได้สักท่อนสองท่อนก่อนจะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย!


ที่สำคัญกว่านั้น จางเซวียนได้ถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าไว้ในร่างของเจิ้งหยางด้วย จึงไม่มีทางที่ใครจะสังหารเจิ้งหยางได้โดยที่ตัวเขาไม่รู้


“ถ้านี่ไม่ใช่ศิษย์พี่เจิ้งหยาง แล้ว…” เว่ยหรูเหยียนชะงักเมื่อฟังสิ่งที่จางเซวียนบอก


ไม่ว่าเธอจะมองหรือแตะต้องศพนั้นอย่างไร ก็เห็นชัดๆว่าเป็นร่างของเจิ้งหยาง เธอไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะมีสิ่งใดในโลกนี้ที่เลียนแบบร่างของเขาได้เหมือนเป๊ะอย่างที่เห็น


“เป็นไปได้ว่ามันน่าจะเป็นภาพลวงตา ภาพลวงตาที่กลบเกลื่อนความเหลื่อมล้ำระหว่างความจริง และความเท็จ เป็นบางสิ่งที่หลอกลวงได้แม้แต่สวรรค์” จางเซวียนพึมพำขณะเดินกลับไปกลับมาในห้องโถง


ถ้าร่างที่เขาเห็นไม่ใช่เจิ้งหยาง เขาคงไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตา


นั่นก็เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเหมือนจริงเกินไป และหอสมุดเทียบฟ้าก็ดูเหมือนจะใช้การไม่ได้


“ภาพลวงตา?” เว่ยหรูเหยียนมองไปรอบๆ ก่อนในที่สุดจะหยิกแก้มของตัวเอง “โอ๊ย!”


“หอกสวรรค์กระดูกมังกร!” จางเซวียนเรียก


ฟิ้วววว!


หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งมาตามทางเดิน จางเซวียนถือหอกกระชับไว้ในมือ รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลไร้ขีดจำกัดที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างของเขา เขายกหอกขึ้นแล้วพุ่งมันเข้าใส่โลงศพ


ฉึกกกก!


โลงนั้นถูกแทงทะลุ แล้วทั้งห้องก็สลายตัวไปราวกับฟองสบู่ พริบตาต่อมา ทั้งคู่ก็เห็นเจิ้งหยางแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับผนัง เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาสลบไป


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่หลุมศพ แต่เป็นปราการขนาดมหึมาที่เหมือนกับกระจกเงา


ดูเหมือนทั้งคู่จะได้ก้าวเข้าสู่โลกที่อยู่ภายในกระจกเงา ทำให้การรับรู้ความเป็นจริงพร่าเลือนไป


“มันเป็นภาพลวงตาจริงๆ” หอกสวรรค์กระดูกมังกรอุทานอย่างตื่นเต้น “ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ศพของนายท่านจะเป็นของปลอมด้วยหรือเปล่า? หมายความว่าแท้ที่จริงแล้วนายท่านยังไม่ตาย!”


มันสะเทือนใจมากที่ได้เห็นศพของนายท่านคนเก่าปรากฏต่อหน้าต่อตา แล้วในเมื่อนี่เป็นภาพลวงตา จะเป็นไปได้ไหมว่าศพนั้นก็เป็นภาพลวงตาเหมือนกัน?


“ผมเสียใจ แต่ร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นของจริง” จางเซวียนส่ายหน้า “เป็นเพราะพละกำลังมหาศาลของศพนั้นที่ทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม ถ้าร่างนั้นเป็นของปลอมล่ะก็ สถานที่แห่งนี้คงไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาของสวรรค์ได้”


เขาไม่อยากทำลายความหวังของหอกสวรรค์กระดูกมังกร แต่ความจริงก็คือความจริง วินาทีที่ภาพลวงตานั้นแตกสลายไป จางเซวียนก็ได้รู้ว่าความจริงคืออะไร


ภาพลวงตาที่เขาแยกแยะไม่ออกและสามารถหลอกลวงได้แม้แต่กับสวรรค์นั้นจะต้องใช้พลังงานมหาศาลในการรักษาสภาพของมันเอาไว้ และศูนย์กลางของค่ายกลนี้ก็คือศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว


มีแต่นักปราชญ์โบราณผู้แข็งแกร่งเป็นที่ 2 ในโลกเท่านั้นที่เก่งกาจพอจะล่อลวงเขาได้ ถึงขนาดที่ทำให้จางเซวียนไม่รู้ตัวไปครู่หนึ่งว่าตัวเองเจอภาพลวงตา


“ถ้าอย่างนั้น…นายท่านตายแล้วจริงๆหรือ?” หากสวรรค์กระดูกมังกรร่วงลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง


ถ้าศพนั่นเป็นของจริง ก็หมายความว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวตายแล้ว


“ตอนนี้น่ะยังเร็วไปที่จะด่วนสรุปว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวตายแล้วจริงๆหรือไม่ เพียงแค่การที่ศพนั่นเป็นของจริงไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียชีวิตแล้ว ดูอย่างอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าสิ ร่างของเขาถูกฝังไปแล้ว และวรยุทธทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้กับหลิวหยาง แต่จิตวิญญาณของเขาถูกเทพเจ้าจากมิติอื่นนำไป และมีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตเขาจะฟื้นคืนชีพ” จางเซวียนพูด


“ผู้ที่แข็งแกร่งระดับนักปราชญ์โบราณหรันชิวน่ะไม่ตายง่ายๆหรอก!”


แม้แต่ไอ้โหดก็ยังฟื้นคืนชีพได้ทั้งที่ถูกหั่นออกเป็นชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วน นับประสาอะไรกับนักปราชญ์โบราณหรันชิว


ต่อให้ศพนั้นเป็นของจริง แต่ตราบใดที่จิตวิญญาณของเขายังอยู่ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเขาตายไปแล้วอย่างสิ้นซาก


ได้ฟังคำอธิบาย นัยน์ตาของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก “ใช่…คุณพูดถูก”


“อันดับแรก เราต้องปลุกเจิ้งหยางก่อน” จางเซวียนพูด “จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาจึงสลบไป”


จางเซวียนเคาะนิ้วแล้วปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของลูกศิษย์ของเขา ครู่ต่อมา เจิ้งหยางก็ค่อยๆลืมตา


เจิ้งหยางเป็นนักรบที่มีจิตใจมั่นคงแข็งแกร่งอยู่เสมอ การที่คนอย่างเขาถึงกับสลบไปนั้น แปลว่าต้องพบเจอกับความน่าตกตะลึงครั้งใหญ่ที่ส่งผลให้สภาวะจิตของเขาถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง


“ท่านอาจารย์!” เจิ้งหยางหน้าแดงก่ำขณะรีบกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


“คุณเข้ามาในห้องนี้เป็นคนแรก เกิดอะไรขึ้นถึงสลบไปแบบนั้น?” เว่ยหรูเหยียนถาม


“ผม…” เจิ้งหยางนวดศีรษะเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว จากนั้นก็สูดหายใจลึกก่อนจะตั้งต้นอธิบาย “ผมพบเส้นทางที่นำมาสู่ที่นี่ มีห้องโถงที่เหมือนกับห้องด้านบน มีโลงศพด้วย เมื่อเปิดมันออก ผมก็เห็น…ร่างของปรมาจารย์ขง”


“ร่างปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


พวกเขาเห็นศพของเจิ้งหยางขณะที่เจิ้งหยางเห็นร่างของปรมาจารย์ขง


สองเรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?


“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับปราการนี้! ผมแน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงแน่!” เมื่อไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้เพราะมีหลักฐานจำกัด จางเซวียนตัดสินใจละทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราวและหันมาพิจารณาในสิ่งที่ดูจะแน่นอนกว่า


เขาหันไปมองปราการขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกระจกเงาซึ่งอยู่ตรงหน้า


คำตอบที่เขาตามหาดูจะอยู่ที่นั่น ปัญหาเดียวก็คือจะต้องหาทางข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งให้ได้


“ขอผมลองหน่อย” จางเซวียนเงื้อหอกสวรรค์กระดูกมังกรในมือขึ้นแล้วจ้วงแทงออกไป


ฉึกกกก!


หอกแทงทะลุมิติ เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้น ในชั่วพริบตา มันก็ปะทะกับปราการนั้นอย่างจัง


บึ้มมมม!


พลังงานมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ร่างของจางเซวียนแข็งทื่อไปเล็กน้อยก่อนจะถูกสอยกระเด็นกลับมา แผ่นหลังของเขากระแทกกับผนังที่อยู่ด้านหลังอย่างจัง เขาหน้าซีด ลมหายใจดูจะขาดห้วงไปเล็กน้อย


เพียงพริบตาเดียว จางเซวียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว


“ใช้การไม่ได้หรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ


พละกำลังของเขาบวกกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรทำให้เขาต่อกรได้แม้แต่กับเทพเจ้าที่ได้พบก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขาปล่อยพละกำลังเต็มพิกัดออกไปพร้อมกับการจ้วงแทง ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยากว่าเหตุใดเขาจึงไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับปราการได้เลยแม้แต่น้อย กลับตรงกันข้าม เขาต้องเผชิญกับแรงตีกลับอย่างรุนแรงที่ทำให้เกือบกระอักเลือดออกมา


บ้าที่สุด! ปราการนี้ทำด้วยอะไรถึงได้น่าสะพรึงนัก?


“นายท่าน ขอผมลองหน่อย” เสียงของไอ้โหดดังขึ้นในหัว


“ไปสิ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะปล่อยไอ้โหดออกจากหนังสือเทียบฟ้า


ไอ้โหดได้ร่างของเขากลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังได้ซึมซับชุดฟางด้วย พละกำลังในตอนนี้ของไอ้โหดเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น หากเขาปล่อยการโจมตีออกมา ก็น่าจะทำลายปราการนั้นได้


ตอนที่ 1865 กลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลก

มือคู่ใหญ่ยื่นออกมาจากหนังสือ ทำให้ห้องใต้ดินทั้งห้องสั่นสะท้านไม่หยุดราวกับเกิดแผ่นดินไหว มือนั้นตบลงไปบนปราการอย่างแรง


บึ้มมมม!


คลื่นความสั่นสะเทือนหนักหน่วงแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ทำให้จางเซวียนกับคนอื่นๆกระเด็นไป เมื่อพายุซา พวกเขาก็หันกลับไปมองปราการอีกครั้ง และเห็นมันยังคงตั้งมั่นอยู่อย่างเดิม ไม่มีร่องรอยของความเสียหายแม้แต่น้อย แต่นิ้วมือของไอ้โหดมีเลือดไหลออกมา


“นายท่าน ขอผมลองอีกครั้ง…”


ไอ้โหดก้มหน้าอย่างละอายใจที่การโจมตีของเขาไม่อาจทำลายปราการได้


“ไม่ต้องหรอก ถ้าคุณโจมตีอีกครั้ง ห้องใต้ดินทั้งห้องน่าจะพังลงมาทับเรา” จางเซวียนพูด


ห้องใต้ดินแห่งนี้ถึงขีดสุดของความทนทานของมันแล้วหลังจากถูกโจมตีหลายครั้ง ถ้าพวกเขายังไม่หยุด มันจะต้องพังลงมาทับทุกคนแน่ แม้ด้วยพละกำลังที่แต่ละคนมีจะไม่ทำให้พวกเขาได้รับความบอบช้ำใดๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือพลเมืองอีกมากมายนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนที่อาศัยอยู่ด้านบน


พละกำลังของนักปราชญ์โบราณนั้นสูงส่งมาก ถ้าความแข็งแกร่งของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติเกิดปั่นป่วนขึ้นมาแม้เพียงนิดเดียว เมืองทั้งเมืองอาจกลายเป็นนรก


“แล้วเราจะทำอย่างไร?”


“เราใช้กำลังกับมันไม่ได้แล้วล่ะ น่าจะมีวิธีอื่นที่จะทำให้ผ่านปราการนี้ไปได้” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “ในเมื่อขนาดนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติอย่างคุณยังทำลายมันไม่ได้ ก็แปลว่าปราการนี้ถูกติดตั้งโดยปรมาจารย์ขง เมื่อลองคิดดู ผมก็รู้สึกว่าพอจะรู้อะไรบางอย่าง”


เหตุผลที่จางเซวียนให้ไอ้โหดปล่อยการโจมตีออกมาก็เพื่อทดสอบขีดจำกัดของปราการ ซึ่งการที่ปราการต้านทานพละกำลังของไอ้โหดได้ก็หมายความว่ามันน่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขง


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาเดินเข้าหาปราการและถ่ายทอดรังสีของปรมาจารย์ฟ้าประทานเข้าไป


ในเมื่อทั้งตัวเขาและปรมาจารย์ขงเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานเหมือนกัน บางทีพลังนี้อาจเป็นกุญแจที่จะทำให้ฝ่าด่านคอขวดตรงหน้าไปได้


วิ้งงงง!


เมื่อรังสีถูกถ่ายทอดเข้าไป ปราการก็เริ่มสั่นไหว ภูมิปัญญามากมายนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการศึกษาและการให้คำชี้แนะลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา ทำให้จางเซวียนเกิดความประทับใจล้ำลึกต่อวิชาชีพปรมาจารย์ ราวกับอุดมคติทั้งหมดของปรมาจารย์ขงได้ถูกถ่ายทอดมาสู่เขา


“ใช้โลกเป็นบททดสอบ คนๆหนึ่งจะสามารถปรับสภาวะจิตให้เหมาะสมเพื่อให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติและประนีประนอมกับทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก…”


เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวสมองของจางเซวียน มันอาจเป็นความคิดของปรมาจารย์ขงที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นการตีความของเขาเองด้วย


ปรมาจารย์ฟ้าประทานคือปรมาจารย์ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์ เมื่อมีสวรรค์เป็นแบบอย่าง ปรมาจารย์ฟ้าประทานจะสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากพวกเขาอยากก้าวข้ามไปถึงขั้นที่อยู่เหนือสวรรค์ ความยากเย็นที่จะต้องเผชิญก็มีมากเป็นทวีคูณ


อย่างหลิวหยาง เจิ้งหยาง และศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน ทุกคนอยู่ภายใต้คำชี้แนะของเขา ทำให้ระดับวรยุทธของคนเหล่านั้นพัฒนารวดเร็วกว่านักรบธรรมดาสามัญ แต่หากทุกคนอยากเหนือชั้นกว่าจางเซวียน นั่นจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันทำได้ ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิต


ไม่ใช่เพราะลูกศิษย์เหล่านั้นอ่อนแอ แต่เทคนิควรยุทธส่วนใหญ่ที่พวกเขาฝึกฝนก็มาจากจางเซวียน มันได้ก่อตัวขึ้นเป็นรากฐานวรยุทธ ซึ่งหากพวกเขาอยากเหนือชั้นไปกว่าจางเซวียน ก็จะต้องเสาะหาความเข้าใจในเทคนิควรยุทธที่ล้ำลึกยิ่งกว่า หรือไม่ก็ละทิ้งทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาทั้งหมด


ปรมาจารย์ขงมีศิษย์สายตรงมากกว่าสามพันคน แต่ไม่มีแม้สักคนที่เหนือชั้นไปกว่าเขา เพียงเท่านั้นก็บอกชัดแล้วว่าการจะก้าวหน้าไปกว่าผู้ให้คำชี้แนะตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก


“ผมคิดว่าผมเข้าใจ ผมเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน, ปรมาจารย์ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์ พูดอีกอย่างก็คือ การปรากฏตัวของผมถือว่าอยู่ภายใต้สวรรค์ ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ใดๆที่เหนือชั้นไปกว่าสวรรค์จะรับรู้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น…ทำไมผมจึงยังต้องเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานต่อไปล่ะ?”


ราวกับว่าจางเซวียนเกิดการรู้แจ้งบางอย่างขึ้นมา นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงเมื่อเข้าใจ “ในเมื่อคุณปฏิเสธการฝ่าด่านวรยุทธของผม ผมก็จะไม่เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานอีกแล้ว แต่จะเป็น…ครูบาอาจารย์ของโลกแทน!”


หากเขาอยากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้สำเร็จ ก็อาจทำมันได้อย่างง่ายดายโดยใช้แก่นสารเพลงหอก แก่นสารเพลงกระบี่ หรือแม้แต่แก่นสารเพลงหมัดและอื่นๆ แต่ทันทีที่ทำอย่างนั้น ทุกอย่างก็จะถูกกำหนดไว้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเสาะแสวงหาหนทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


ดังนั้น จางเซวียนจึงพยายามค้นหาบางอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นของตัวเขาเพียงคนเดียว และนั่นคือเหตุผลที่เขากดข่มวรยุทธมาตลอด ไม่ยอมฝ่าด่านวรยุทธตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา


และในเวลานี้ ดูเหมือนเขาจะพบหนทางแล้ว


ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้การยอมรับจากสวรรค์และได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็หมายความว่าโลกนี้มีชีวิตจิตใจ!


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาถึงจะต้องเป็นแค่คนที่ได้การยอมรับ? ทำไมถึงไม่เป็นครูบาอาจารย์เสียเอง?


ถ้าใครสักคนยึดโลกเป็นแบบอย่างและเรียนรู้จากมัน ก็จะไม่มีวันเหนือชั้นไปกว่าขีดจำกัดของโลกได้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในฐานะครูบาอาจารย์ของโลก สถานภาพและตำแหน่งของเขาเหนือชั้นกว่าโลกตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เส้นทางซึ่งนำไปสู่การเป็นนักปราชญ์โบราณย่อมจะราบรื่นกว่าที่เคย


แต่ว่า…การจะได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกนั้น การพูดย่อมง่ายกว่าทำมาก เราจะต้องเข้าใจโลก เข้าถึงจุดแข็งและจุดอ่อนทั้งหมดของมัน เมื่อถึงเวลานั้น เราจึงจะคู่ควรกับการได้รับตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้น เราจะต้องละทิ้งสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานของเราด้วย!


หัวใจของจางเซวียนเต้นถี่ขณะวางแผนการ ทันทีที่กำหนดทิศทางของตัวเองได้ เขาก็หลับตาและปล่อยรังสีของปรมาจารย์ฟ้าประทานออกมาพร้อมกันในคราวเดียว


ทุกการได้มาย่อมต้องมีการสูญเสียบางอย่างไป


หากอยากมีเหรียญทองเต็มถุง ก็จะต้องโยนเหรียญเงินที่มีอยู่เดิมออกไปเสียก่อน!


แม้ตำแหน่งปรมาจารย์ฟ้าประทานจะเป็นตำแหน่งที่คนทั้งโลกปรารถนา แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าขีดจำกัดสำหรับเขา ดังนั้นการสลัดมันทิ้งจึงไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย


ความสำเร็จของเขาก่อตัวขึ้นจากความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ความชอบธรรม และจิตวิญญาณที่แน่วแน่ไม่หวั่นไหว ส่วนบทบาทของปรมาจารย์ฟ้าประทานนั้น? นั่นออกจะเป็นสิ่งที่ล่องลอยไปสักหน่อย!


เมื่อจิตใจสงบลง จางเซวียนสำแดงพลังงานที่เขาได้ซึมซับจากการได้การยอมรับเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานทั้ง 5 ครั้งออกมา รังสีเข้มข้นแผ่ซ่านและพุ่งขึ้นสู่มิติเบื้องบนในรูปของลำแสง เมื่อถึงปลายสุดของโลก มันก็ระเบิดออกและแปรสภาพเป็นกระแสพลังงานมากมายนับไม่ถ้วนที่สลายตัวออกไปโดยรอบ


เมื่อรังสีปรมาจารย์ฟ้าประทานสลายตัวไป เจตจำนงของจางเซวียนก็ค่อยๆลอยขึ้นสู่กลางอากาศ เจตจำนงของสวรรค์ถาโถมเข้าใส่เจตจำนงของเขา เกิดเป็นการปะทะกันระหว่างพลังของเจตจำนง


…..


ที่สภาปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิไป๋เจียง


“เส้นทางของความเป็นครูบาอาจารย์นั้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือการถ่ายทอดความรู้ การสั่งสอนให้มีบุคลิกและนิสัยที่เหมาะสม รวมถึงการสร้างความรู้แจ้งให้เกิดในหัวใจ เหตุผลที่คำสอนของปรมาจารย์ขงเข้าถึงทุกคนในโลกใบนี้ก็เพราะการถ่ายทอดความรู้ที่ปราศจากการแบ่งแยก หัวใจของเขากว้างใหญ่พอที่จะโอบรับทั้งโลกไว้ ในฐานะปรมาจารย์ พวกคุณควรยึดถือความรับผิดชอบนี้ไว้ในหัวใจตลอดเวลา เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องได้รับคำชี้แนะอย่างเหมาะสมจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะยืนยงไปได้อีกหลายชั่วคน…”


ปรมาจารย์ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหอยอมรับปรมาจารย์ ผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังเปิดการบรรยายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ขอรับ!” เหล่าปรมาจารย์พยักหน้า


นับแต่วินาทีที่พวกเขาได้เป็นปรมาจารย์ ก็ได้รู้ความรับผิดชอบของตัวเองและเลือกที่จะแบกรับภาระเหล่านั้นไว้ หลายหมื่นปีมาแล้วที่สภาปรมาจารย์ได้รับทั้งความเคารพยกย่องและการดูถูกเหยียดหยามจากประชาชน แต่เหตุผลที่มันยังคงยืนยงผ่านการทดสอบของกาลเวลาและเป็นที่หนึ่งของโลกอยู่ได้ก็เพราะจิตวิญญาณที่ตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น


“ดีมาก คุกเข่าและคารวะเหล่าบรรพบุรุษเสีย!”


ผู้อาวุโสกำลังจะขยับออกไปด้านข้างเพื่อให้เหล่าปรมาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เข้ามาคารวะบรรดาป้ายชื่อบรรพบุรุษ ก็พอดีกับที่พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ป้ายชื่อบรรพบุรุษที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนแท่นบูชาสั่นสะท้านไม่หยุด


โครมมมม!


ป้ายชื่อบรรพบุรุษทุกอันร่วงลงมาพร้อมกัน อีกทั้งยังหันหน้าไปทางเดียวกันด้วย


“เกิดอะไรขึ้น?”


ผู้อาวุโสตาโตด้วยความตกใจ เขารีบหันไปมองบรรดาป้ายชื่อบรรพบุรุษที่ร่วงลงมา และเห็นร่างหนึ่งก่อตัวขึ้นจากหมู่เมฆและสายรุ้ง ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมตัวยาว ดูจะสูงตระหง่านกว่าโลกทั้งโลก ทำให้ไม่อาจมองเห็นร่างเต็มตัวของเขา


ร่างนั้นหันมาเผชิญหน้ากับทุกคน แต่รังสีที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าสู้หน้าเขาตรงๆ รังสีนั้นดูเหมือนจะบีบบังคับให้ทุกคนต้องโค้งคำนับให้


“นั่น…ปรมาจารย์ฟ้าประทาน!” ผู้อาวุโสอุทานออกมาขณะตัวแข็งด้วยความตกตะลึง


ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ ผู้เดียวที่เป็นที่รู้กันว่าได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานก็คือปรมาจารย์ขง


เหล่าปรมาจารย์ต่างเสาะแสวงหาและพยายามเดินตามเส้นทางของเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่อาจประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้…มีปรมาจารย์ฟ้าประทานเกิดขึ้นในหมู่พวกเขาอีกคนหนึ่งแล้ว!


เมื่อไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้อีกต่อไป ผู้อาวุโสทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ


เขาจับจ้องเหล่าปรมาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ซึ่งยังคงยืนจังงังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับและตวาดก้อง “ปรมาจารย์ฟ้าประทานคนใหม่ปรากฏตัวในหมู่พวกเราแล้ว รังสีของความรุ่งโรจน์รอคอยอยู่ตรงหน้า รีบคารวะเสีย!”


“ดะ-ได้!”


ฝูงชนรีบทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับอย่างงาม


ข่าวคราวเกี่ยวกับปรมาจารย์ฟ้าประทานเป็นที่รู้กันเฉพาะภายในสภาปรมาจารย์ แต่ในเวลานี้ ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนได้เป็นสักขีพยานร่วมกันในภาพที่เห็น


ร่างที่อยู่ห่างออกไปยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับพื้น สองบ่าของเขาแบกรับน้ำหนักของสวรรค์ นี่คือสัญญาณของความใกล้ชิดอย่างสูงสุดต่อโลก แต่เขาก็ผลักมันออกไปด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม


นี่เขากำลัง…ท้าทายสวรรค์จริงๆ!


ตอนที่ 1866 สภาปรมาจารย์ตกตะลึง

“รอเดี๋ยว…” ปรมาจารย์คนหนึ่งที่กำลังโค้งคำนับอยู่กับพื้นรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ปรมาจารย์ฟ้าประทานคือผู้ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงดูเหมือนว่าคนผู้นั้น…กำลังดูถูกสวรรค์เสียมากกว่า?”


พูดกันตามตรง เมื่อปรมาจารย์ฟ้าประทานคนหนึ่งได้การยอมรับจากสวรรค์ เขาก็ควรจะน้อมรับมันไว้ด้วยความยินดีและภาคภูมิใจสูงสุด แต่ร่างสูงตระหง่านนั้นกำลังพยายามสุดชีวิตที่จะสลัดมันออกไป ราวกับมีบางอย่างที่น่าขยะแขยงเข้ามาเกาะกุมเขา


“ดูถูกสวรรค์?”


ผู้อาวุโสอึ้งกับข้อสังเกตนั้น เขาเงยหน้ามอง เห็นร่างสูงตระหง่านกำลังส่ายไปมาอย่างรุนแรง ร่างนั้นพยายามสุดชีวิตที่จะปัดป้องรังสีใดๆก็ตามที่มาจากสวรรค์ไม่ให้พุ่งเข้าใส่เขา


ผู้อาวุโสกลืนน้ำลายก่อนจะพึมพำด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “เขากำลังปฏิเสธการยอมรับจากสวรรค์จริงๆ…ไม่อยากเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานอีกต่อไปแล้วหรือ?”


ประวัติศาสตร์ของปรมาจารย์ขงเมื่อครั้งที่เขาได้การยอมรับให้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานนั้นมีรายละเอียดยืดยาวระบุไว้ในบันทึกของสภาปรมาจารย์ และส่งต่อกันมาหลายรุ่น แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ความสำคัญของปรมาจารย์ฟ้าประทานก็ยังไม่เลือนหายไปจากใจของผู้คน แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้


ในเวลาเดียวกัน เมื่อปรมาจารย์คนอื่นๆที่อยู่รอบตัวผู้อาวุโสได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็น้ำตาปริ่มขอบตา


พี่ชาย…ถ้าคุณไม่อยากเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ส่งต่อตำแหน่งนั้นให้พวกเราก็ได้! เราคงมีความสุขจนหัวเราะได้แม้ในความฝันหากวันหนึ่งโอกาสนั้นได้ตกมาถึงพวกเรา!


เอาจริงๆสิ คุณคิดว่ามันถูกแล้วหรือที่จะปฏิเสธสวรรค์หน้าตาเฉยแบบนั้น? ไม่รู้สึกว่ากำลังทำตัวเป็นศัตรูของโลกหรือไง?


“ไปให้พ้น!”


ขณะที่พวกเขากำลังจังงังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ร่างที่อยู่กลางอากาศก็ตวาดก้องก่อนจะเตะสวรรค์ที่มาพัวพันบริเวณขาของเขา


ฟึ่บ!


เกิดรอยแยกขึ้นกลางอากาศ


“เขาจงใจปฏิเสธตำแหน่งปรมาจารย์ฟ้าประทานจริงๆ…”


ถ้าก่อนหน้านี้พวกเขายังสงสัยอยู่บ้าง ตอนนี้ความสงสัยนั้นก็หายวับไปไม่มีเหลือ


เห็นได้ชัดว่าร่างสูงตระหง่านนั้นไม่ต้องการเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานอีกแล้ว แต่สวรรค์ก็ไม่ยอมล่าถอย ยังคงตามติดอย่างไม่ลดละและพยายามปล่อยรังสีให้ซึมซาบเข้าสู่ร่างนั้น


“หมอนั่นเป็นใครกัน?”


เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป ผู้อาวุโสโน้มตัวเพื่อพิจารณาใกล้ๆ อยากรู้ตัวตนของชายผู้ปฏิเสธการเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานอย่างไร้เยื่อใย!


ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่มีปรมาจารย์คนไหนที่ไม่ปรารถนาจะได้การยอมรับจากสวรรค์ เพราะนั่นหมายความว่าชื่อเสียงของพวกเขาจะลือกระฉ่อนไปอีกหลายยุคสมัย และสืบทอดไปยังเชื้อสายในตระกูลของพวกเขาไปอีกหลายชั่วคน


แต่หมอนั่นกำลังพยายามสลัดสวรรค์ออกไป ราวกับสวรรค์เป็นแมลงน่ารำคาญที่มาเกาะมือของเขา เลยเถิดไปถึงขั้นแทบจะกระทืบเท้าใส่


คุณจะตายไหมถ้าไม่ทำแบบนี้?


ในตอนนั้นเอง ร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางอากาศก็หันมา เผยให้เห็นรูปลักษณ์หน้าตาของเขา เขาคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุราว 20 ต้นๆกับดวงตาคมกริบ


“นั่น…จางเซวียนไม่ใช่หรือ? ตะ-แต่…ผมนึกว่าเขาตายไปแล้ว!” ผู้อาวุโสถึงกับผงะ


ครั้งหนึ่งสภาปรมาจารย์เคยออกประกาศจับชายหนุ่มไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงไม่มีปรมาจารย์คนไหนที่ไม่รู้จักชื่อนี้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปอีก จนในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจจบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่


คนที่ควรจะตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนก่อน…เขาฟื้นคืนชีพได้อย่างไร และแถมยังได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานด้วย?


เกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น? ราวกับเรื่องราวต่างๆได้กระโดดจากจุดเริ่มต้นไปสู่การเป็นมหากาพย์ในทันที!


เหล่าปรมาจารย์ในพื้นที่นั้นต่างก็จังงังกับเหตุการณ์อันคาดไม่ถึง


ภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นในสภาปรมาจารย์ทุกแห่งทั่วโลก


ปรมาจารย์มากมายนับไม่ถ้วนจ้องมองร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางอากาศด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ บางคนถึงกับร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ร่ำร้องคร่ำครวญว่าพวกเขาใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า


มันมากเกินไปแล้ว


ใครคนหนึ่งกล้าปฏิเสธการเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน…


จะมีใครเย่อหยิ่งจองหองกว่านี้ได้อีกไหม?


…..


ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ นักปราชญ์โบราณและปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ในห้อง


“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น” ปรมาจารย์หยางพูด “เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นรวมตัวกันเป็นหนึ่งแล้ว เราจึงแน่ใจได้ว่าพวกมันจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเราอีก สิ่งนี้หมายความว่าถึงเวลาที่สภาปรมาจารย์ของเราจะได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และพัฒนาพละกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์เสียที เราควรทุ่มเททรัพยากรให้มากขึ้นในการถ่ายทอดภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษและบ่มเพาะอัจฉริยะรุ่นใหม่”


“ปรมาจารย์หยาง ถ้าผมเข้าใจคำพูดของคุณไม่ผิด คุณกำลังบอกว่าไม่เพียงแต่ปรมาจารย์จางจะไม่ได้ทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เขายังเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานด้วย และเหตุผลที่เขาเลือกจบชีวิตที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็เพื่อใช้เรื่องนั้นเป็นฉากบังหน้าในการลักลอบเข้าสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ เพื่อแก้ไขภัยคุกคามให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปในคราวเดียว ใช่ไหม?” ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งตั้งคำถาม เขาย่นหน้าผากเป็นร่องลึก ดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจจะเชื่อเรื่องยืดยาวทั้งหมดที่เกิดขึ้น


“ถูกต้อง” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า “แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปก็ยังเป็นแค่ข้อสรุปในส่วนของผม เรายังต้องการการยืนยันที่ชัดเจนกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แน่ใจถึง 90%!”


“ตราบใดที่เรายังยืนยันเรื่องนี้ไม่ได้ชัดเจน ก็ยังมีโอกาสที่ข้อสันนิษฐานของคุณอาจผิดพลาด ด้วยความเคารพนะ, ปรมาจารย์หยาง เรื่องเล่าของคุณน่ะเหลือเชื่อเหลือเกิน ถ้าปรมาจารย์จางเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานจริงๆ เขาก็ควรจะรายงานเรื่องนี้ให้สภาปรมาจารย์รับรู้ ทำไมถึงปกปิดตัวตนไว้?”


“ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเขามีวิธีการในการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่นๆได้ดี แต่หากจะพูดเกินเลยไปถึงขนาดที่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานล่ะก็ มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อย!”


“จริงด้วย พวกเราทุกคนที่นี่คุ้นเคยกับบุคลิกประนีประนอมและหัวใจที่เปี่ยมความเมตตากรุณาของปรมาจารย์ขง ผมตรวจสอบประวัติของปรมาจารย์จางแล้ว และไม่คิดว่าเขามีนิสัยและบุคลิกที่คู่ควรพอจะได้การยอมรับจากสวรรค์”


…..


ปรมาจารย์จำนวนหนึ่งแสดงความแคลงใจออกมา


ไม่ใช่ว่าพวกเขาจงใจทำให้อะไรๆยากขึ้นสำหรับปรมาจารย์หยาง แต่มันผ่านมากว่าหลายหมื่นปีแล้วนับตั้งแต่ปรมาจารย์ฟ้าประทานคนแรกปรากฏตัว อีกอย่าง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานในคราวนี้ก็คือใครคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ


เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ใครต่อใครจะเกิดความสงสัยแคลงใจ


“ผมเกรงว่าพวกคุณจะเข้าใจเจตนาของผมผิดแล้วล่ะ ผมไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้เพื่อให้มีการหารือ ผมกำลังแจ้งให้พวกคุณทราบต่างหาก ผมจะปล่อยให้พวกคุณหาเรื่องนี้กันลับหลังผมก็ได้ แต่สำหรับตอนนี้ เราจะต้องดำเนินการประชุมครั้งนี้ต่อภายใต้เงื่อนไขที่ผมบอก” ปรมาจารย์หยางตอบอย่างเฉียบขาด


เหตุผลที่เขาเลือกเดินทางตระเวนไปทั่วโลกก็เพราะเขาไม่เห็นด้วยที่สภาปรมาจารย์เบี่ยงเบนไปจากจุดยืนดั้งเดิมของตัวเอง เขาอยากใช้โอกาสนี้แก้ไขอะไรๆให้ถูกต้อง แต่ก็ช่างน่าท้อใจที่ต้องพบอุปสรรคมากมายในทุกย่างก้าว ปรมาจารย์หยางรู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะหว่านล้อมปรมาจารย์ทุกคนได้ จึงเลือกที่จะใช้ไม้แข็ง


“ผมพร้อมจะดำเนินการประชุมต่อภายใต้เงื่อนไขนั้นหากคุณต้องการ แต่ผมไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน เพราะหากเขาได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราที่เหลือจะเป็นแบบนั้นไม่ได้…” ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งฟึดฟัด แต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างปุบปับ


ทุกคนพรวดพราดออกจากห้องเพื่อมองออกไปข้างนอก ไม่ช้าก็เห็นร่างที่ดูคุ้นตาร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ รังสีอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีต้นกำเนิดจากโลกกำลังพุ่งเข้าใส่เขา พยายามจะซึมซาบเข้าไปในจุดชีพจรและเติมร่างของเขาให้เต็ม


ร่างอันคุ้นตานั้นจะเป็นใครอื่นได้นอกจากปรมาจารย์จาง ผู้ที่จบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไปแล้วเมื่อ 3 เดือนก่อน?


“นั่นคือ…รังสีที่เหล่าบรรพบุรุษแผ่ออกมาระหว่างพิธีการยอมรับไม่ใช่หรือ?”


“ไม่ใช่นะ นั่นไม่ใช่รังสีจากเหล่าบรรพบุรุษของเรา มันคือรังสีที่โลกแผ่ออกมาให้กับปรมาจารย์ฟ้าประทาน…”


ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว แค่มองแวบเดียวพวกเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงเพราะพวกเขาเข้าใจมัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น


นั่นคือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวและนักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มยืนนิ่งงัน ทุกคนอ้าปากค้างและนัยน์ตาเบิกโพลง


ก่อนหน้านี้ พวกเขาเพิ่งยืนยันว่าไม่มีทางที่จางเซวียนจะได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ราวกับอีกฝ่ายตั้งใจทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นพอดีเพื่อตบหน้าพวกเขาอย่างจัง


“รอเดี๋ยว ดูเหมือนเขาจะไม่ยินยอมรับการยอมรับจากสวรรค์นะ…ตรงกันข้าม…เขากำลังพยายามปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากตัวตนนั้น!”


ไม่ช้า ใครบางคนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ


“พอคุณพูดขึ้นมา ก็ดูเหมือนจะใช่ ดูเหมือนปรมาจารย์จางกำลังพยายามขับไล่รังสีฟ้าประทานภายในร่างของเขา…”


“ปรมาจารย์ฟ้าประทานคนหนึ่งผลักดันรังสีจากสวรรค์ออกไปจากร่างกาย? เขายังสติดีอยู่หรือเปล่า?”


ความเย่อหยิ่งจองหองที่พวกเขาได้เห็นนั้นเกินขีดที่จะใช้ความมีเหตุมีผลมาพิจารณาได้ ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือส่ายหน้าและพึมพำอย่างไม่เห็นด้วยขณะเฝ้ามองจางเซวียนผลักดันรังสีออกจากร่างของเขาด้วยสีหน้าขยะแขยง ราวกับกำลังผลักดันพิษร้ายบางอย่างออกจากร่างกาย


แม้แต่สวรรค์ก็ดูจะชะงักไปเล็กน้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!


“พวกคุณยังคิดว่าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ฟ้าประทานอยู่หรือเปล่า?” ปรมาจารย์หยางตั้งคำถามขณะกลืนน้ำลายอึกใหญ่


ศิษย์พี่ของเขาช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ทุกอย่างที่เขาทำล้วนแต่ทำให้ใครๆอึ้งตะลึง


การได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่หมอนี่บ้าคลั่งถึงขนาดพยายามปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งนั้น ดูเหมือนชายใจร้ายใจดำที่กำลังตั้งใจผลักไสคนรักของเขา


โลกนี้เป็นบ้าไปแล้ว!


“เขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานจริงๆ…”


“พวกเราตาบอด…”


บรรดาปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวที่เคยข้องใจกับคำพูดของปรมาจารย์หยางก่อนหน้านี้พากันหน้าชา หากมีหลุมมีรูอยู่ที่พื้น พวกเขาคงรีบมุดเข้าไปโดยไม่ลังเล


น่าอับอายเหลือเกินที่พวกเขาต้องกลืนน้ำลายในทันทีหลังจากที่ประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจออกไปแล้ว!


ปรมาจารย์หยางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการกระทำของจางเซวียน จากนั้นก็หันไปพูดกับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งที่เพิ่งทักท้วงเขาเมื่อครู่ก่อน “เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราที่เหลือจะเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานไม่ได้ถ้าหากปรมาจารย์จางได้เป็น ถูกไหม? แล้วในเมื่อเขากำลังพยายามสลัดตัวตนของเขาอยู่ ทำไมคุณไม่ลองบ้างล่ะ?”


ด้วยปาฏิหาริย์ทั้งหมดที่ศิษย์พี่ของเขาสร้างขึ้น คนกลุ่มนี้ยังกล้าที่จะคลางแคลงใจสถานภาพของเขาในฐานะประมาจารย์ฟ้าประทาน


ถ้าสำคัญตัวเองนัก ทำไมไม่ลองดูบ้างล่ะ?


ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนนั้นแทบปล่อยโฮ


ตอนที่ 1867 เข้าสู่ปราการ

ขณะที่จางเซวียนกำลังถ่ายถอนตัวตนของเขาในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทานด้วยการปลดปล่อยรังสีที่ได้ซึมซับไว้จากการยอมรับทั้ง 5 ครั้งก่อนหน้า ความอึกทึกวุ่นวายครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์


ก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนได้การยอมรับจากสวรรค์ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมักจำกัดอยู่แค่กับสภาปรมาจารย์ในอาณาบริเวณนั้น และเพราะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว สภาปรมาจารย์จึงเลือกจะระงับข่าวคราวต่างๆไว้ จึงมีผู้คนที่รับรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก


แต่ตอนนี้ เกือบทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้เป็นสักขีพยานในการปลดปล่อยและทำลายล้างรังสีจากสวรรค์ด้วยตาของตัวเอง


พวกเขาคงโง่เง่าเต็มทีหากยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


ไม่ง่ายเลยกว่าที่ปรมาจารย์ฟ้าประทานสักคนจะปรากฏตัวขึ้นในทวีปแห่งปรมาจารย์ แล้วใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะละทิ้งมันแบบนั้น?


“สมกับเป็นท่านอาจารย์…”


นัยน์ตาของจางจิ่วเซี่ยวเปล่งประกายของความเคารพที่มากเกินกว่าจะใช้คำพูดใดบรรยาย


เมื่อได้รู้ตัวตนของท่านอาจารย์ของเขา เขาก็ไม่ลังเลที่จะขอเป็นศิษย์ของอีกฝ่าย แต่กลับกลายเป็นว่าท่านอาจารย์ไม่ได้ใส่ใจในตัวตนนั้นเลย พร้อมจะทิ้งขว้างมันโดยไม่ลังเลสักนิด


สมกับเป็นผู้ที่ละทิ้งเรื่องทางโลก เกียรติยศและความรุ่งโรจน์ไม่ได้มีค่าต่อเขาแม้เพียงสักเสี้ยวเหรียญทอง!


ขณะที่ทั้งโลกกำลังคลุ้มคลั่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น จางเซวียนก็ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าปราการ พยายามปลดปล่อยพลังงานในตัว


จนกว่าเขาจะกำจัดรังสีที่ได้รับจากการยอมรับให้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานในครั้งก่อนๆได้หมด ก็ไม่มีทางที่เขาจะกลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลก!


แม้สวรรค์จะสำแดงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่จนดูเหมือนจิตวิญญาณของเขาจะแหลกสลายเป็นชิ้นๆ จางเซวียนก็ยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกไม่ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่


อันที่จริง เขาเองก็ลังเลอยู่บ้างเรื่องการถ่ายถอนตัวตนของตัวเองในฐานะประมาจารย์ฟ้าประทาน เขารู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญขนาดไหน แต่เมื่อได้สัมผัสกับปราการและได้รับการถ่ายทอดปรัชญาและความคิดของปรมาจารย์ขงมา จางเซวียนก็แน่ใจว่านี่คือเส้นทางที่ปรมาจารย์ขงเลือกเดิน


ไม่อย่างนั้น ต่อให้เขาจะทรงพลังหรือปราดเปรื่องสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางไปได้ไกลกว่าการเป็นนักปราชญ์โบราณของโลกใบนี้ ไม่มีทางที่เขาจะฝ่าปราการแห่งมิติและก้าวขึ้นสู่มิติเบื้องบนได้เลย


การได้การยอมรับจากสวรรค์เป็นทั้งพรและคำสาป มันพันธนาการตัวเขาไว้กับโลกใบนี้ หากเขาอยากปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการ ก็ต้องถ่ายถอนตัวตนนี้ให้ได้เสียก่อน


เมื่อรังสีสลายตัวไป แรงกดดันจากสวรรค์ก็ดูจะเข้มข้นขึ้น ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธเกรี้ยวจากสวรรค์ที่มีต่อการกระทำอันอวดดี หมู่เมฆดำรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยสายฟ้าและเปลวเพลิงที่มีอานุภาพทำลายล้าง


“มาเสียที” จางเซวียนพึมพำขณะลุกขึ้นยืน


แต่เขาก็ยังคงอยู่ภายในห้องโถงใต้ดิน ไม่ออกไปไหน


จางเซวียนรู้ดีว่าถ้าเขาออกไป พละกำลังของการทดสอบสายฟ้าจะต้องทำลายทั้งอาณาจักรเทียนเซวียนจนราบคาบ มันจะเล่นงานแม้กระทั่งจิตวิญญาณดวงสุดท้ายที่อยู่ภายในอาณาเขตของการทดสอบ


ขอแค่เขายังอยู่ในห้องโถงใต้ดินแห่งนี้ การทดสอบสายฟ้าย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเพิ่ม พละกำลังของมันให้มากขึ้น โชคดีที่คฤหาสน์มีพื้นที่กว้างใหญ่ จึงไม่น่าจะมีใครผ่านไปมาที่จะบังเอิญสะดุดเข้ากับการต่อสู้


ฟิ้วววว!


สายฟ้ารวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลางอากาศและก่อตัวขึ้นเป็นกระบี่ขนาดมหึมาที่มีเปลวเพลิงกับสายฟ้าที่มีอานุภาพทำลายล้างอยู่ล้อมรอบ แม้แต่มิติก็ดูเหมือนจะบอบบางราวกับแผ่นกระดาษเมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่อันทรงพลัง ทุกอย่างดูจะถูกทำลายจนราบคาบไปเมื่อเผชิญหน้ากับมัน


นี่คือบททดสอบที่น่าสะพรึงที่สุดของนักปราชญ์โบราณ, การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า ใครจะไปคิดว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับมันอีกครั้งที่นี่?


ฟึ่บ!


กระบี่สายฟ้าพุ่งตรงเข้าสู่ห้องโถงใต้ดิน มาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของจางเซวียนในชั่วพริบตา


ค่ายกลที่อยู่ล้อมรอบคฤหาสน์และห้องโถงใต้ดินถูกตัดขาดเป็น 2 ท่อนราวกับพวกมันเป็นเพียงผ้าขี้ริ้ว


“ฮ่า ผมรอคุณอยู่!” จางเซวียนสูดหายใจลึกขณะตวัดสายตาขึ้นมองกระบี่สายฟ้าที่กำลังพุ่งลงมา


ครั้งก่อนที่เขาเผชิญหน้ากับการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า เขายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะต้านทานพละกำลังของมัน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้กระจอกงอกง่อยอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว ต่อให้ไม่ใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกร พละกำลังที่เขาสำแดงออกมาก็ทำให้เอาชนะได้แม้แต่นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


บึ้มมมม!


เมื่อกำปั้นกับกระบี่สายฟ้าปะทะกัน จางเซวียนถูกสอยกระเด็นไปหลายก้าว แรงปะทะทำให้หมัดของเขาไหม้เกรียมไปเล็กน้อย เลือดในกายเดือดพล่าน


ดูเหมือนว่าแม้ตัวเขาจะยกระดับวรยุทธขึ้นได้มาก แต่พละกำลังที่มีก็ยังไม่อาจเทียบชั้นได้กับการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า ครั้งล่าสุดที่เขาเผชิญหน้ากับมัน เขาต้องเรียกการทดสอบสายฟ้าน้อยมา และเพิ่มพละกำลังให้มันด้วยการเรียกการทดสอบวรยุทธอีกหลายร้อยครั้งให้มารวมตัวกัน กว่าที่มันจะแข็งแกร่งพอจะรับมือกับการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าได้ แต่ที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ไม่มีทางที่เขาจะทำแบบที่เคยทำได้สำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมแพ้


จางเซวียนหลบไปอยู่ด้านข้างของปราการก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับกระบี่ขนาดมหึมาอีกครั้ง


เขาขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัด จากนั้นก็ปล่อยหมัดเข้าใส่กระบี่ ส่งผลให้ทุกตารางนิ้วในร่างของเขาร้อนรุ่มด้วยความร้อนแผดเผา


เป็นอีกครั้งที่การปะทะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของจางเซวียน ร่างของเขาถูกกระบี่สอยกระเด็น ทำให้เกิดคลื่นพลังงานแผ่ซ่านทะลุผ่านปราการไป


ส่วนกระบี่ขนาดมหึมานั้นก็ยังสำแดงพละกำลังไร้เทียมทานออกมาอย่างต่อเนื่อง มันพุ่งเข้าเล่นงานปราการ


เกิดเสียงหึ่งเบาๆขณะที่กระบี่ปล่อยเปลวเพลิงสีดำของมันเข้าใส่ปราการ ทำให้เกิดรูขนาดเล็กบนปราการนั้น แต่เปลวเพลิงสีดำก็อยู่ได้เพียงครู่เดียวก่อนจะถูกคลื่นพลังงานของปราการทำให้มันมอดดับไป


“ได้ผลนี่!” จางเซวียนตาโต


เหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาเลือกฝึกฝนวรยุทธและเรียกการทดสอบสายฟ้ามาก็เพราะเขาต้องการใช้พลังของการทดสอบสายฟ้าในการเล่นงานปราการ ในเมื่อปราการสามารถต้านทานได้ทั้งพละกำลังของตัวเขาและไอ้โหด ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะพยายามทำลายมันด้วยพละกำลังของพวกเขา อีกอย่าง แม้ปราการนี้จะเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะเปิดออกเพียงเพราะคุณงามความดีที่เขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้พละกำลังจากภายนอกเพื่อทำลายมัน


จางเซวียนคลายกำปั้นออก จากนั้นก็โจมตีกระบี่ขนาดมหึมาอีกครั้ง


ควั่บ! ควั่บ!


กระบี่ตอบโต้ด้วยการกวัดแกว่งอย่างเกรี้ยวกราดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พลังงานส่วนใหญ่ที่มาจากการโจมตีของมันก็ถูกปราการที่อยู่ด้านหลังจางเซวียนสกัดกั้นไว้ ด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละของกระบี่ รอยร้าวหลายรอยเริ่มปรากฏบนผิวหน้าของปราการ


แต่การโจมตีอย่างต่อเนื่องของกระบี่ก็ส่งผลให้ร่างกายของจางเซวียนได้รับความบอบช้ำสาหัสเช่นกัน เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนที่เขาเผชิญหน้ากับการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า เขาใกล้หมดเรี่ยวแรงเต็มที


“ผืนผ้าใบสี่ฤดู!”


จางเซวียนใช้ความคิด จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิงโดยใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัว ก่อนจะนำผืนผ้าใบสี่ฤดูออกมาเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่เขาเก็บไว้ในนั้น


เขาขโมยพลังงานนี้มาจากเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมา มันมีอานุภาพในการเยียวยาอาการบาดเจ็บได้อย่างน่าทึ่ง


เพียงไม่นาน จางเซวียนก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ หลังจากเยียวยาตัวเองแล้ว เขาก็หันไปเล่นงานกระบี่ขนาดมหึมานั้นอีก


บึ้มมมม!


กระบี่ยังคงโจมตีปราการอย่างต่อเนื่อง ทำให้รอยร้าวที่ปรากฏดูจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะแยกออกจากกันได้ทุกขณะ


ถึงตอนนี้ การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าใช้พลังงานไปไม่น้อย ทำให้มันอ่อนแรงกว่าที่เคย


“ดูเหมือนเราพอจะเล่นงานมันได้…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


การเสี่ยงดูจะได้ผล แม้เขาจะยังไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลก แต่ก็ดูเหมือนเขาสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานได้แล้ว ทำให้วรยุทธของเขาพุ่งพรวดขึ้นอีกครั้ง


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็สามารถทำลายอะไรก็ตามที่ก่อตัวกันขึ้นเป็นปราการนั้น เขาไม่รู้ว่ามีอะไรรอคอยอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ด้วยความลับที่อยู่รอบตัวมัน เขารู้สึกว่าร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


หรือต่อให้ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็น่าจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับปรมาจารย์ขง ขอแค่เขาเดินตามรอยของปรมาจารย์ขงได้ ในที่สุดก็จะก้าวขึ้นสู่มิติเบื้องบนได้สำเร็จ


บึ้มมมม! บึ้มมมม!


การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าปล่อยพลังลงมาอีก 2 ครั้ง รอยร้าวลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ใหญ่พอให้คนๆหนึ่งลอดเข้าไปได้ ในเวลาเดียวกัน หมู่เมฆดำที่อยู่กลางอากาศก็เริ่มสลายตัว


2-3 อึดใจผ่านไป ดูเหมือนการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าจะหมดเรี่ยวแรง


การโจมตีเป็นชุดที่มันปล่อยออกมาทำให้พลังงานของมันเหือดแห้ง ด้วยการกระดิกนิ้วเบาๆของจางเซวียน มันก็สลายตัวไป


“เข้าไปกันเถอะ!”


เมื่อในที่สุดก็เอาชนะการทดสอบสายฟ้าได้ จางเซวียนร้องเรียกคนอื่นๆก่อนจะมุดเข้าไปในรูที่อยู่บนปราการ


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนพยักหน้า ทั้งคู่รีบส่งข้อความหาจ้าวหย่าก่อนจะตามท่านอาจารย์เข้าไปยังอีกฟากหนึ่งของปราการ


ตอนที่ 1868 ข้าวสาลีแตกยอด

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าจางเซวียนคือโลกเขียวชอุ่มอันกว้างใหญ่ท้องฟ้าสีฟ้า หมู่เมฆขาวลอยเกลื่อน ดินแดนนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เกิดเป็นภาพอันสงบสุขไปพร้อมกับเสียงร้องจุ๊กจิ๊กราวกับเสียงดนตรีของฝูงนก พลังจิตวิญญาณในอากาศเข้มข้นจนเทียบได้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


ไม่ไกลจากจุดที่จางเซวียนอยู่ มีผืนนาที่เต็มไปด้วยข้าวสาลี


“เราอยู่ที่ไหน?” เว่ยหรูเหยียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ขณะเดินช้าๆออกมาจากความมืดมิด เธอขับเคลื่อนพลังปราณอย่างระมัดระวังเพราะเกรงว่าจะมีอันตรายอยู่ในพื้นที่


“น่าจะเป็นอาณาจักรโบร่ำโบราณสักแห่ง” เจิ้งหยางตอบ


จางเซวียนประเมินพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วนก่อนจะค่อยๆเดินตรงไปยังทุ่งนา เขาโน้มตัวลงเหนือต้นข้าวสาลีต้นหนึ่งแล้วถอนมันออกมาเพื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ครู่ต่อมาก็หัวเราะหึๆขณะตั้งคำถาม “พวกคุณรู้หรือยัง?”


“รู้?”


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนทวนคำถามของจางเซวียนอย่างงุนงง


เจิ้งหยางเดินเข้าไปพิจารณาต้นข้าวสาลีในมือของจางเซวียนก่อนจะตั้งข้อสังเกต “ข้าวสาลีที่นี่ดูจะแข็งแรงกว่าที่เราพบในทวีปแห่งปรมาจารย์ ดูเหมือนมันจะได้รับพลังจิตวิญญาณจากบริเวณโดยรอบในปริมาณที่มากกว่าด้วย”


“คุณพูดถูก ข้าวสาลีที่นี่ได้รับการถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณในปริมาณที่มากกว่า” เว่ยหรูเหยียนพยักหน้าขณะที่ยังคงงุนงงอยู่เล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงสนใจต้นข้าวสาลีมากกว่าจะค้นหาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและควรทำอะไรต่อไป


ในฐานะนักปราชญ์โบราณ พวกเขาดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา ต่อให้ไม่มีอาหารก็ตาม ดังนั้นผลผลิตทางการเกษตรจึงไม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาอีกต่อไป


“นี่คือข้าวสาลีแตกยอด ด้วยปริมาณพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่อยู่ในตัวมัน คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะสามารถยกระดับสภาวะร่างกายของเขาได้หากได้บริโภคมันเป็นระยะเวลานานพอ ดูสภาวะกายพิษแต่กำเนิดของคุณเป็นตัวอย่าง ถ้าคุณได้กินข้าวสาลีแตกยอดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากนัก แถมยังจะปลุกสภาวะพิเศษขึ้นได้อย่างง่ายดายด้วย”


สภาวะกายพิษแต่กำเนิดของเว่ยหรูเหยียนเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถปลุกมันหรือควบคุมมันได้ด้วยตัวเอง นั่นทำให้ร่างกายของเธอต้องเผชิญกับความตึงเครียดอย่างหนัก ส่งผลให้เกิดความอ่อนแอเรื้อรังตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อของเธอ, เว่ยชางเฟิง ยอมลงทุนลงแรงทุกวิถีทางเพื่อหาทรัพย์สมบัติทุกชนิดมายื้อชีวิตของเธอไว้ ก็ไม่มีทางที่เธอจะมีชีวิตรอดอยู่ได้นานพอที่จะได้พบกับจางเซวียน


แต่หากเธอได้กินข้าวสาลีแตกยอดนี้ตั้งแต่ยังเด็ก สภาวะร่างกายของเธอก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รับมือกับสภาวะพิเศษได้ดีขึ้น บางทีเธออาจไม่ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานมากมายอย่างที่เคยเป็น และเว่ยชางเฟิงก็คงไม่ต้องเสียชีวิตเพียงเพื่อสมุนไพรเพียงต้นเดียว


“ถ้าข้าวสาลีแตกยอดสายพันธุ์นี้ไร้เทียมทานขนาดนั้น จะไม่เป็นผลดีกับมวลมนุษย์หรือถ้าเราสามารถนำมันกลับไปปลูกที่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้” เจิ้งหยางตาโตด้วยความตื่นเต้น


ในฐานะหัวหน้าสภายอดขุนพล เขาจะต้องผลักดันตัวเองให้คิดการใหญ่และมองภาพในมุมกว้างเสมอ มีสมุนไพรหลายชนิดในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถยกระดับสภาวะร่างกายของมนุษย์ได้ แต่สมุนไพรเหล่านั้นก็ไม่อาจปลูกได้ในปริมาณมากๆ เพราะเงื่อนไขที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของมันค่อนข้างเข้มงวด


แต่ในอีกแง่หนึ่ง การที่ข้าวสาลีแตกยอดสามารถเจริญเติบโตจนเป็นทุ่งขนาดใหญ่ได้ ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปลูกมันมากๆในคราวเดียว


ถ้าพวกเขาสามารถยกระดับสภาวะร่างกายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นผลดีใหญ่หลวงต่อมวลมนุษย์!


เหตุผลที่มนุษย์ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นทั้งที่ปรมาจารย์มากมายนับไม่ถ้วนต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ ก็เป็นเพราะจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไปไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะเอื้อมถึง


ต่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีสายเลือดเปราะบางที่สุดก็ยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบเหนือมนุษย์ มาแต่กำเนิด ความแตกต่างตั้งแต่เริ่มต้นทำให้เกิดช่องว่างที่แทบจะไม่มีความพยายามไหนทำให้มันทัดเทียมกันได้


อันที่จริง ถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเอาชีวิตรอดมาได้เนิ่นนานหลายปีทั้งที่ต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


รู้ดีว่าเจิ้งหยางกำลังคิดอะไร จางเซวียนส่ายหัว “ไม่มีทางปลูกข้าวสาลีแตกยอดในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้หรอก”


รายละเอียดของพืชชนิดนี้ไม่มีปรากฏในบันทึกของสภาปรมาจารย์ แต่เขาค้นพบความรู้เรื่องนี้จากภูเขาแห่งหนังสือที่วิหารแห่งขงจื๊อ มันเป็นพืชที่ปรมาจารย์ขงหมายตาไว้ และไม่น่าจะปลูกได้ในโลกของพวกเขา


จางเซวียนต้องใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะแน่ใจว่าพืชที่เขาถืออยู่คือต้นข้าวสาลีแตกยอดจริงๆ


“ทำไมล่ะ?” เจิ้งหยางตั้งคำถามด้วยความสงสัย


จริงอยู่ว่าปริมาณพลังจิตวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์มาก แต่ด้วยความสามารถของพวกเขา มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างพื้นที่ปิดขนาดใหญ่ที่สามารถเลียนแบบสภาพแวดล้อมที่นี่ได้ แล้วทำไมถึงไม่มีทางปลูกพืชชนิดนี้ในทวีปแห่งปรมาจารย์?


“ตลอดสงครามยาวนานหลายปีกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นบรรยากาศของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ปนเปื้อนเจตนาสังหารของพวกมัน แม้จะมีปริมาณน้อยมาก อยู่ในระดับที่พวกเราแทบไม่รู้สึกแต่โชคร้ายที่ข้าวสาลีแตกยอดอ่อนไหวกับเจตนาสังหารมาก ถึงขนาดที่หากสัมผัสแม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้พวกมันเสียชีวิตได้”


ขณะที่จางเซวียนอธิบาย เขาก็เคาะนิ้วเบาๆและถ่ายทอดพลังปราณที่มีเจตนาสังหารเจือปนเข้าสู่ทุ่งข้าวสาลี


ฟึ่บ!


ราวกับหมึกหยดหนึ่งที่หยดลงไปในน้ำใส ต้นข้าวสาลีแตกยอดที่อยู่ในพื้นที่ราวสิบหมู่จากจุดที่นิ้วของเขาชี้ไปกลายเป็นสีเหลืองและเหี่ยวแห้งในทันที ราวกับใครบางคนได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในพื้นที่ทั้งหมดไปแล้ว


“เฮ้ย…”


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนอัศจรรย์ใจมาก แม้แต่จางเซวียนก็ชะงักไปเล็กน้อยกับความอ่อนไหวของต้นข้าวสาลีแตกยอด


ถึงเขาจะรู้ว่าพืชชนิดนี้ไวต่อเจตนาสังหารมาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะอ่อนแออย่างที่เห็น


เขาควบคุมเจตนาสังหารที่เจืออยู่ในกระแสพลังปราณนั้นให้อยู่ในระดับที่น้อยมากแล้ว แต่มันก็ยังลงเอยด้วยการสร้างความเสียหายให้ทั้งท้องทุ่ง ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางที่พืชชนิดนี้จะมีชีวิตรอดอยู่ได้ในทวีปแห่งปรมาจารย์


“มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ทำให้เจตนาสังหารในบรรยากาศมีความเข้มข้นระดับหนึ่ง แม้จะตรวจจับได้ยากและแทบไม่มีผลอะไรเลยต่อมนุษย์ส่วนใหญ่ แต่ก็มากเกินพอที่จะสร้างหายนะให้กับข้าวสาลีแตกยอด” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนพยักหน้ารับ


“แต่ดินแดนของอาณาจักรเทียนเซวียนน่าจะไม่มีเจตนาสังหารปนเปื้อนนี่ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะปลูกข้าวสาลีแตกยอดที่นั่น?” เว่ยหรูเหยียนตั้งคำถาม


เธอรู้สึกได้ทันทีที่เข้าสู่อาณาจักรเทียนเซวียนว่ามีปราการธรรมชาติอยู่ในอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนั้น ปราการที่ว่าดูเหมือนจะปิดกั้นเจตนาสังหารที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศไม่ให้ทำลายดินแดนนั้นได้


หรือพูดอีกอย่างก็คือ อาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้ปราศจากเจตนาสังหารอย่างสิ้นเชิง


“คุณพูดถูกที่ว่าไม่มีเจตนาสังหารปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศของอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ก็น่าเสียดายที่ปริมาณพลังจิตวิญญาณที่นั่นมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่รู้สึกหรือว่าที่นั่นไม่มีรังสีพิเศษที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ให้คนธรรมดาสามัญกลายเป็นปรมาจารย์ได้เลย?” จางเซวียนถาม


“เอ่อ…” เว่ยหรูเหยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ


เธอไม่ใส่ใจเรื่องนั้นมากนักเพราะมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเธอในฐานะกูรูยาพิษ แต่นั่นก็ฟังขึ้น


ไม่มีเจตนาสังหารเจือปนในอาณาจักรเทียนเซวียน แต่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นเป็นปรมาจารย์นั้นถือว่าขาดแคลนมาก


ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่อยากเป็นปรมาจารย์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไปพำนักที่อื่น


แม้แต่ลู่ฉวินที่พวกเขาได้พบก่อนหน้านี้ก็ได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเพราะย้ายไปอาศัยอยู่ที่อาณาจักรอื่น


“อาณาจักรโบร่ำโบราณเป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดารปราศจากรังสี แถมยังมีพลังจิตวิญญาณเบาบาง แม้จะไม่มีเจตนาสังหารปนเปื้อนอยู่ในพื้นที่นั้น แต่บรรยากาศของมันก็ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของข้าวสาลีแตกยอด ถึงมันจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ในอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ก็ไม่แข็งแรงพอจะเจริญเติบโต”จางเซวียนตอบพร้อมกับถอนหายใจ


หลังจากที่เขาถ่ายถอนสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานออกไปแล้ว จึงมองเห็นภาพกว้างของอาณาจักรเทียนเซวียนได้อย่างชัดเจน แค่มองแวบเดียว เขาก็รู้ซึ้งไปถึงหัวใจของมัน


เขาไม่อาจค้นหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความแปลกประหลาดของอาณาจักรโบร่ำโบราณได้ แต่แน่ใจว่าไม่สามารถปลูกข้าวสาลีแตกยอดที่นั่น


ไม่อย่างนั้น ปรมาจารย์ขงก็คงเปลี่ยนอาณาจักรโบร่ำโบราณให้กลายเป็นศูนย์กลางของทวีปแห่งปรมาจารย์ไปแล้ว


“ถึงข้าวสาลีแตกยอดจะเติบโตไม่ได้ในอาณาจักรโบร่ำโบราณแต่ดูเหมือนจะงอกงามดีในพื้นที่นี้ นี่พวกเราเข้ามาอยู่ในสถานที่แบบไหนกัน?” เจิ้งหยางตั้งคำถามด้วยความอยากรู้


สำหรับพืชชนิดหนึ่งที่ไม่อาจมีชีวิตรอดได้ในพื้นที่อื่น แต่กลับเจริญงอกงามในดินแดนนี้…หรือว่าที่นี่มีอะไรพิเศษ?


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นอาณาจักรโบร่ำโบราณคุนฉื่อที่พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์พำนักอยู่ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับมิติลี้ลับอื่นๆที่พวกเราเคยเข้าไป มันได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นโลกใบใหม่!”


“ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์?” เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ


ขณะที่พวกเขากำลังจะซักไซ้ต่อ เสียงแตรก็ดังก้องขึ้นจากระยะไกลจากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็รี่เข้ามา ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความแค้นเคือง


ตอนที่ 1869 โฉมงามของหมู่บ้าน

คนกลุ่มนั้นสวมเสื้อแขนสั้นธรรมดาๆ มือไม้พะรุงพะรังไปด้วยจอบเสียมและเครื่องมือทำการเกษตรทุกชนิด พวกเขาดูโกรธเกรี้ยวจนพร้อมระเบิดสงคราม


“วรยุทธของพวกเขา…” เจิ้งหยางพึมพำด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นพลเมืองธรรมดาสามัญที่ไม่อาจจะธรรมดาไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หากอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นนักรบด้วยซ้ำ แต่ทุกคนกลับมีวรยุทธขั้นจงซรือ!


“พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธหรอก ไม่มีร่องรอยของพลังปราณในร่างกายเลย…” เว่ยหรูเหยียนก็ผงะ


จากฝีเท้าหนักแน่นของทั้งกลุ่ม เธอบอกได้ว่าไม่มีพลังปราณอยู่ในจุดตันเถียนของพวกเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีใครในคนกลุ่มนี้ที่เป็นนักรบ


“สิ่งนี้น่าจะเป็นผลของการบริโภคข้าวสาลีแตกยอดมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้สภาวะร่างกายของพวกเขาเกิดการพัฒนา” จางเซวียนอธิบาย “พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแล้ว”


สถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเกี่ยวข้องกับข้าวสาลีแตกยอด ยีนของคนเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาจากข้าวสาลีเป็นเวลาหลายชั่วคนทำให้รากฐานสภาวะร่างกายของพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง


ผลของการเปลี่ยนแปลงทำให้ทุกคนเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ดูคล้ายกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“เอ่อ…” เจิ้งหยางตาโตด้วยความตื่นเต้น


เขาตื่นเต้นพออยู่แล้วตอนที่ฟังคำพูดของท่านอาจารย์ แต่เมื่อได้เห็นอานุภาพอันน่าทึ่งของข้าวสาลีแตกยอดด้วยตาตัวเอง ก็รู้สึกราวกับเห็นความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างไม่รู้จบ


ถ้าทุกคนในทวีปแห่งปรมาจารย์เหมือนกับชาวบ้านกลุ่มนี้ พวกเขาคงสามารถยืนหยัดต้านทานเผ่าพันธุ์ปีศาจได้โดยไม่หวั่นเกรง ต่อให้มีบางอย่างผิดพลาดก็ตาม


แม้ต้นกำเนิดของแต่ละคนจะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีบทบาทสำคัญในการตัดสินว่าในอนาคตผู้นั้นจะก้าวไกลไปได้แค่ไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบขั้นจงซรือนั้นถือเป็นความโชคดีใหญ่หลวง


เรื่องนี้ถือว่าเข้าใกล้ไปอีกขั้นสำหรับแนวคิดของปรมาจารย์ขงในการสร้างสังคมอันรุ่งเรืองและทรงพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์


“พวกคุณเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาทำลายพืชผลของเรา!”


ฝูงชนเข้าตีวงล้อมจางเซวียนและตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว


ผู้นำกลุ่มคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีอายุราว 80 ปี แม้จะอายุมากแต่ก็ยังมีกำลังวังชา ผมเผ้าและเคราของเขายังเป็นสีดำ การเคลื่อนไหวก็ยังกระฉับกระเฉง


แม้เขาจะไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ แต่ก็มีระดับวรยุทธสูงสุดก่อนจะเข้าถึงขั้นนักรบเหนือมนุษย์ คือวรยุทธขั้นจื้อจุน!


นักรบขั้นจื้อจุนสามารถเล่นงานได้แม้แต่ฮ่องเต้เสิ่นจุ้ยแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน แต่คนเหล่านี้เข้าถึงวรยุทธระดับนั้นได้เองเมื่ออายุมากพอ


นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนในโลกภายนอกไม่มีวันเชื่อ!


“ขออภัยในความซุ่มซ่ามของผมด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำลายพืชผลของคุณ และพร้อมชดใช้ให้” จางเซวียนกล่าวขอโทษขอโพยขณะนำสมุนไพรและอาวุธจำนวนหนึ่งออกมา


แม้พวกมันจะเป็นข้าวของที่มีราคาค่างวดต่ำสุดในแหวนเก็บสมบัติของเขา แต่ก็มีราคาสูงอย่างน่าทึ่งสำหรับที่อื่นๆ


เห็นภาพนั้น ฝูงชนที่กำลังรี่เข้าใส่จางเซวียนด้วยความโมโหต่างหยุดชะงัก


พวกเขาไม่อาจระบุมูลค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นอย่างน่าทึ่งที่พวยพุ่งออกจากมัน


เหตุผลที่พวกเขารีบมาที่นี่ก็เพราะพบว่ากลุ่มผู้บุกรุกได้ทำลายพืชผลทางการเกษตรจนเสียหายเป็นพื้นที่หลายหมู่ แต่ข้าวสาลีที่เสียหายพวกนั้นก็ไม่อาจเทียบกับทรัพย์สมบัติที่กองอยู่ตรงหน้าได้


“คุณจะมอบสิ่งนี้ให้เราเป็นค่าเสียหายหรือ?” ผู้อาวุโสแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


“ถูกแล้ว” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “กรุณารับมันไว้ด้วย บอกตามตรงนะ ผมมีคำถามบางข้อที่หวังว่าคุณจะตอบได้”


ผู้อาวุโสรีบสั่งการให้ชาวบ้านสำรวจทรัพย์สมบัติ และหลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกมันเป็นของล้ำค่า จริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลิงโลดขึ้นมา


เขารีบส่ายหัวเพื่อสลัดความรู้สึกนั้นแล้วตอบว่า “เรื่องอะไรล่ะ? ถามมาเลย”


ในเมื่ออีกฝ่ายพูดกับเขาอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวและจ่ายค่าเสียหายให้อย่างใจกว้าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอาการโกรธเกรี้ยว


“นี่เป็นครั้งแรกที่เราสามคนมาที่นี่ ไม่ทราบว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”จางเซวียนถาม


“พวกคุณอยู่ที่หมู่บ้านหิน ตั้งอยู่ในอาณาเขตของนิคมการบ่มเพาะศีลธรรม” ผู้อาวุโสตอบ


“หมู่บ้านหิน? นิคมการบ่มเพาะศีลธรรม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว“ขอโทษเถอะ ว่าแต่นิคมการบ่มเพาะศีลธรรมคืออะไร?”


ชาวบ้านต่างงงกับคำถามนั้น แต่แล้วชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็โพล่งออกมา “มันคือหนึ่งในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเชื้อสายตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ”


“นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ?” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ


นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคือหนึ่งใน 72 นักปราชญ์ที่เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง แม้ชื่อเสียงของเขาออกจะอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง และคนอื่นๆ แต่ชื่อของเขาก็ปรากฏบ่อยครั้งในยุคสมัยของปรมาจารย์ขง


นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อขึ้นชื่อว่ามีทักษะด้านการเกษตร บางที แม้ต้นข้าวสาลีแตกยอดจะเป็นแนวคิดของปรมาจารย์ขง แต่เขาคือผู้ที่เพาะปลูกมันด้วยความใส่ใจถี่ถ้วน


ในเมื่อดินแดนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ ก็หมายความว่าพวกเขาอยู่ในอาณาเขตของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์


จางเซวียนเคยคิดที่จะสืบเสาะเรื่องนี้หลังจากมาถึงอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ใครจะไปคิดว่าเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนจะค้นพบมันได้รวดเร็วขนาดนี้?


“ไม่ทราบว่าผมควรไปที่ไหนเพื่อให้ได้พบกับที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ?”


เวลาล่วงเลยไปหลายหมื่นปีแล้ว ตัวนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อย่อมเสียชีวิตไปนานแล้วเช่นกัน แต่เขาก็ต้องมีเชื้อสายที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ถ้าจางเซวียนอยากตามรอยปรมาจารย์ขงพื่อค้นหาว่าเขาทำอะไรและไปที่ไหนหลังจากจับตัวเทพเจ้าได้ ก็จะต้องหาตัวบรรดาผู้เชี่ยวชาญของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ให้ได้เสียก่อน


“ที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่ออยู่ที่เมืองฟ่าน ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ถ้าคุณไม่รีบ ทำไมไม่ให้ชิวหรูจากหมู่บ้านของเราพาคุณไปที่นั่นล่ะ?” ผู้อาวุโสถาม


“ชิวหรูเป็นโฉมงามของหมู่บ้านของเรา เธอเป็นนักรบและมีอสูรวิเศษอยู่ในครอบครองด้วย ถ้าคุณขี่อสูรวิเศษของเธอ ก็จะไปถึงเมืองฟ่านได้เร็วขึ้น…”


“โฉมงามของหมู่บ้าน?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรหรอก แบบนั้นจะรบกวนคุณมากเกินไป แค่ชี้ทางไปเมืองฟ่านให้ผมก็พอ”


“ไม่ ไม่หรอก ไม่ได้รบกวนอะไรพวกเราเลย เป็นความยินดีของเราที่ได้ช่วยเหลือคุณ! เมืองฟ่านเป็นเมืองใหญ่ และไม่ใช่ใครจะเข้าไปที่นั่นก็ได้ ถ้าคุณพยายามเข้าไปที่นั่นโดยไม่ใช่คนในพื้นที่ ก็มีโอกาสที่จะถูกจับกุมและสอบสวน จะปลอดภัยกว่ามากถ้ามีชิวหรูนำทางไป เธอคุ้นเคยกับพื้นที่นั้นดี และการไปไหนมาไหนโดยมีเธอไปด้วยก็จะสะดวกสบายกับคุณ” ผู้อาวุโสตอบอย่างหนักแน่นไม่เปิดช่องให้จางเซวียนคัดค้าน


แม้คนกลุ่มนี้จะทำลายพืชผลของพวกเขา แต่ก็เต็มใจจ่ายค่าเสียหายอย่างใจกว้าง อีกทั้งยังมีทีท่านอบน้อม จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีน้ำใจตอบ


เห็นผู้อาวุโสยืนกราน จางเซวียนได้แต่พยักหน้าอย่างลังเล


หมู่บ้านหินไม่ใช่หมู่บ้านใหญ่ รวมแล้วก็มีอยู่ราว 100 ครัวเรือนเมื่อชาวบ้านได้ยินว่ามีแขกมา พวกเขาก็รีบออกจากบ้านช่องของตัวเองเพื่อมาต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น


ไม่ช้า ‘โฉมงามแห่งหมู่บ้าน’ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือก็ปรากฏตัว เธอไม่ได้สวยสดงดงามมากนัก แต่มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นและน่ามองสำหรับหมู่บ้านเล็กๆอย่างนี้ ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมเธอจึงได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามของหมู่บ้าน


ขณะที่โฉมงามของหมู่บ้านเดินเข้ามา เจิ้งหยางมองเธอและพึมพำ“นักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2”


อย่างที่ผู้อาวุโสบอกไว้ก่อนหน้านี้ เธอเป็นนักรบ ด้วยพลังปราณที่ไหลเวียนทั่วร่างของเธอ ก็ไม่ยากเกินไปที่จะดูออกว่าเธอเป็นนักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2


ชิวหรูเดินเข้ามาหาจางเซวียนกับพรรคพวก เธอพูดห้วนๆพร้อมกับเลิกคิ้ว “ฉันพาคุณไปเมืองฟ่านได้ แต่ขอบอกให้คุณรู้ว่าที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้านอกออกในได้ตามใจ คุณจะต้องยื่นสมุดแนะนำตัวล่วงหน้าก่อนจะเข้าเยี่ยมเยียน รู้ไว้ซะว่าถ้าคุณสร้างปัญหา อย่างเช่นบุกพรวดพราดเข้าไปในที่พักและทำร้ายผู้คนที่นั่นล่ะก็ ฉันจะไม่ช่วยชีวิตคุณนะ!”


ในฐานะโฉมงามของหมู่บ้าน เธอทั้งหยิ่งผยองและรักศักดิ์ศรี


“วางใจเถอะ พวกเราไม่คิดจะสร้างปัญหาใดๆ” จางเซวียนตอบ


แม้ระดับวรยุทธของทุกคนจะเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของโลกใบนี้แล้ว แต่เหตุที่พวกเขามาเยือนอาณาจักรโบราณคุนฉื่อนั้นไม่ใช่เพื่อการสู้รบ แต่เพื่อค้นหาคำตอบ จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะตั้งใจเข้าไปมีเรื่องกับคนอื่นๆ


“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี อีกอย่าง ฉันจะบอกให้คุณรู้ไว้ตรงนี้ เผื่อคุณจะเข้าใจผิด เป็นเพราะคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านหรอกนะที่ทำให้ฉันยอมพาพวกคุณไปเมืองฟ่าน ถ้าฉันเลือกได้ล่ะก็ จะไม่มีวันยอมทำอะไรที่ยุ่งยากแบบนี้ เพราะฉะนั้น อย่าได้คิดว่าคุณจะได้ใกล้ชิดกับฉันหรืออะไรทำนองนั้นเพียงเพราะเราเดินทางไปด้วยกัน ฉันรับรักจากใครคนหนึ่งในหมู่บ้านไว้แล้ว และตอนนี้ก็ไม่คิดจะแต่งงานกับคนจากหมู่บ้านอื่น!” ชิวหรูพูดห้วนๆ


“….” จางเซวียนกับเจิ้งหยางมีสีหน้าเหมือนคนท้องผูก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)