กระบี่จงมา 186.2-187.1
บทที่ 186.2 เฝ้าคืน
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “หลังจากนี้ข้าจะลงเขาไปสร้างสุสานให้พ่อแม่ข้า ช่วงเวลานี้พวกเราพักรบกันชั่วคราว ตกลงไหม?”
ตัวอ่อนกระบี่ที่เดิมทีทำท่าจะพุ่งชนช่องโพรงลมปราณแห่งหนึ่งอีกครั้งค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง คล้ายยอมรับข้อเรียกร้องของเฉินผิงอัน
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ลงจากเขาไปเพียงลำพัง ด้านหลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่ บรรจุของส่วนใหญ่ที่ตนมีไปหาหร่วนซิ่วที่ร้านตีเหล็ก ต้องรบกวนขอให้นางช่วยเอาของของเขาไปเก็บไว้ในกระท่อมดินเหนียวหลังนั้นอีกครั้ง
ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะสร้างสุสาน หร่วนซิ่วคิดจะช่วย แต่เฉินผิงอันกลับส่ายหน้า บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาแค่จ่ายเงินจ้างช่างมาสร้างให้ก็พอ อีกอย่างเงินก้อนนี้เขามีก็จ่าย
หร่วนซิ่วไม่ได้ยืนกราน แค่บอกว่าหากต้องการความช่วยเหลือก็มาบอกนางสักคำ ไม่ต้องเกรงใจ
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนพูดว่า หากเกรงใจนางจริงๆ ตอนนี้เขาคงไม่มาหานางอีกรอบ
เด็กสาวคลี่ยิ้ม
เมื่อไม่เหลือเรื่องให้ต้องพะวงหลังแล้ว เฉินผิงอันก็พกเงินไปที่เมืองเล็ก เพียงไม่นานก็เจอตัวคน หลังจากนั้นจึงถามช่างเก่าแก่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และมารยาทพิธีในการสร้างสุสาน ตกลงเรื่องราคาเรียบร้อยก็เลือกวันฤกษ์งามยามดี แล้วจึงเริ่มลงมือ เฉินผิงอันคอยจับตามองตั้งแต่ต้นจนจบ อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย อะไรที่ไม่ควรยุ่มย่ามก็จะไม่ยื่นมือไปก้าวก่ายเด็ดขาด ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งจากพวกช่างฝีมือเก่าแก่
น่าจะเป็นเพราะเงินของเด็กหนุ่มมีมากพอ อีกทั้งการอยู่ช่วยทำงานอย่างละนิดอย่างละหน่อยของเด็กหนุ่มทำให้พวกช่างรู้สึกว่าเขาจริงใจมากพอ ทุกอย่างจึงราบรื่นไร้อุปสรรค
สดุท้ายสุสานที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง ระมัดระวังก็แล้วเสร็จ ไม่ได้ดีไปกว่าของคนอื่น และยิ่งพูดไม่ได้ว่าหรูหราอลังการ อีกทั้งตัวอักษรทั้งหมดบนป้ายหน้าหลุมศพยังเป็นฝีมือของเฉินผิงอันที่แกะสลักเองหามรุ่งหามค่ำ
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย เฉินผิงอันก็โค้งตัวขอบคุณคนทั้งกลุ่ม
สุดท้ายเขาเอาของเซ่นไหว้ย้อนกลับมาที่หลุมศพเพียงลำพัง ตอนที่เฉินผิงอันจัดวางของเซ่นไหว้ เขาเกิดลังเลเล็กน้อย เพราะเขาเอาสุราชั้นดีมาด้วยหนึ่งกา ตอนยกเหล้าคารวะบิดาที่หน้าหลุมศพ เขาหันมองไปทางหลุมศพของมารดา เกาหัวพูดว่า “ท่านแม่ ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะไม่เคยดื่มเหล้า ท่านอนุญาตให้เขาดื่มสักครั้งเถอะนะ”
จากนั้นก็ผินหน้ากลับมายิ้มให้กับหลุมศพที่อยู่เคียงกันอีกหลุมหนึ่ง “ท่านพ่อ หากท่านไม่ชอบดื่ม หรือดื่มแล้วทำให้ท่านแม่ไม่พอใจก็มาเข้าฝันข้านะ ครั้งหน้าข้าจะได้ไม่เหล้าเอามาให้ท่านอีก”
เฉินผิงอันเทเหล้ากานั้นจนหมดแล้วเอามือลูบใบหน้าตัวเอง ยิ้มกว้างพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ในเมื่อพวกท่านไม่พูด ข้าก็จะคิดว่าพวกท่านตอบรับแล้วนะ”
……
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่สุสานเทพเซียนรอบหนึ่ง เขาไปกราบไหว้เทวรูปหลายองค์ที่เคยกราบอย่างคุ้นเคย
เฉินผิงอันไม่ได้ทำอะไรใหญ่โตถึงขั้นซ่อมถนนสร้างสะพาน แต่เลือกที่จะใช้นามของหร่วนซิ่วจ้างช่างมาซ่อมเทวรูปผุพังที่เกลื่อนระเกะระกะอยู่ในสุสานเทพเซียนแห่งนี้ให้ดีขึ้น เขาออกเงิน นางออกหน้า หร่วนซิ่วไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความ เพียงแค่พยักหน้าตกลง หลังจากผ่านหายนะครั้งนั้นมาได้ ค่ำคืนนั้นชาวบ้านในเมืองเล็กทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงระเบิดแตกจากในสุสานเทพเซียน ซึ่งไม่ต่างจากเสียงไม้ไผ่ระเบิด เทวรูปลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และสภาพก็ยิ่งแตกบิ่นเสียหาย เฉินผิงอันทำตามคำแนะนำของหร่วนซิ่ว นั่นคือพยายามซ่อมของเก่าให้เหมือนของเก่า พยายามรักษาสภาพเดิมของเทวรูปเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด หากไม่สามารถคงสภาพเดิมได้ก็แค่ทำให้แน่ใจว่าเทวรูปจะสามารถกลับมาตั้งตรงได้ใหม่อีกครั้ง ไม่ล้มลง ไม่เปลี่ยนสภาพไปอีกก็พอ ดังนั้นจึงต้องสร้างเพิงไม้ไผ่ขึ้นมากันลมกันฝนชั่วคราว
บางครั้งเฉินผิงอันก็จะไปนั่งอยู่ที่ร้านทั้งสองในตรอกฉีหลงพักหนึ่ง จากนั้นก็ยุ่งวุ่นวายอยู่อย่างนี้มาตลอด ก่อนถึงวันที่สามสิบ เฉินผิงอันเดินทางขึ้นเขาลั่วพั่วเพื่อไปหาเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูโดยเฉพาะ
พอหร่วนซิ่วรู้ข่าวก็บอกว่าตัวเองกำลังจะไปดูงานการสร้างจวนที่ภูเขาเสินซิ่วอยู่พอดี จึงขึ้นเขามาพร้อมกับเฉินผิงอัน แต่หลังจากนั้นนางไม่ได้แยกทางไป บอกแต่ว่าเปลี่ยนใจกะทันหัน อยากไปดูเรือนไม้ไผ่ของเฉินผิงอันสักหน่อย คราวก่อนแค่ดูผ่านๆ จึงอยากจะไปดูอีกสักครั้ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ
ตอนที่เฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วมาปรากฏตัวตรงตีนเขา เด็กชายชุดเขียวที่ยืนอยู่บนราวระเบียงจุ๊ปากพูด “สองยอดเขายิ่งใหญ่ประจัญหน้า ทัศนียภาพงดงามตระการตา”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเขย่งปลายเท้ามองไปยังทิศใต้ กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ทางทิศใต้ของภูเขาลั่วพั่วไม่เห็นมียอดเขาอะไรอยู่เลยนี่นา”
เด็กชายชุดเขียวหันมาปรายตามองนางแล้วหัวเราะชั่วร้าย “ก็เจ้ายังเด็กนี่นา”
เขายกสองมือกุมท้ายทอย สองเท้าตรึงแน่นอยู่บนราวระเบียง โยกร่างไปข้างหน้าและข้างหลังเหมือนโล้ชิงช้า ปากก็งึมงำไปด้วย “แม่นางดีๆ แบบนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก? เห็นชัดๆ ว่ามีอยู่เพียงคนเดียวในโลก! นายท่านหากท่านไม่รู้จักรักและถนอมนางต้องโดนสวรรค์ลงโทษแน่ จริงๆ นะ นี่ข้าพูดมาจากใจจริงล้วนๆ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แม่นางซิ่วซิ่วดีมากจริงๆ”
เฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วเดินขึ้นเขามาช้าๆ หร่วนซิ่วบอกว่าก่อนหน้านี้นางได้รับจดหมายที่ส่งมาจากจุดพักม้าเจิ่นโถว และหลังจากนั้นก็มีนักพรตเต๋าตาบอดพาเด็กหนุ่มขาเป๋กับแม่นางน้อยหน้ากลมเข้ามาในเมืองเล็ก มาหานางที่ร้านในตรอกฉีหลงจริงๆ แต่เพียงไม่นานอาจารย์และศิษย์สามคนก็เดินทางขึ้นเหนือต่อ บอกว่าลองจะไปเสี่ยงโชคที่เมืองหลวงต้าหลีดู
เฉินผิงอันนึกถึงนักพรตเฒ่าที่เคยร่วมทุกข์กันมาผู้นั้นก็ให้นึกถึงหลินโส่วอี และ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่เขาใช้ในการฝึกตน จึงสอบถามนางเกี่ยวกับวิชาห้าอสนี น่าเสียดายที่หร่วนซิ่วไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้จึงรู้ไม่มาก บอกแต่ว่าตัวเองแค่เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้น
ระหว่างที่พูดคุยกัน เฉินผิงอันได้รู้ว่าปีนี้ช่างหร่วนรับลูกศิษย์ในนามไว้สามคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มคิ้วยาวแซ่เซี่ย แม้ว่าจะพักอาศัยอยู่ในตรอกเถาเย่มาทุกยุคทุกสมัย แต่พอมาถึงรุ่นของเขา สภาพการณ์ของครอบครัวกลับตกต่ำ หากไม่ได้เข้ามาอยู่ในร้านตีเหล็กก็คงต้องขายบ้านบรรพบุรุษ ย้ายไปอยู่ที่ตรอกอื่นแทนแล้ว เขายังมีพี่สาวหนึ่งคนและน้องชายอีกหนึ่งคน
อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่ไม่ชอบพูด ซึ่งเขาเป็นลูกศิษย์ในนามของบิดาหร่วนซิ่วช้ากว่าคนอื่น
วันที่หิมะใหญ่ครั้งแรกตกลงมาเมื่อครั้งเข้าสู่ฤดูหนาว เขาคุกเข่าอยู่ข้างบ่อน้ำหนึ่งวันหนึ่งคืน ขอร้องให้หร่วนฉงรับเป็นลูกศิษย์ เขานั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนหิมะขาวเกาะเต็มร่าง
อาจเป็นเพราะความจริงใจตั้งใจของคนสามารถสั่นสะเทือนให้หินแกร่งแตกแยก หร่วนฉงจึงตอบรับให้เขาเข้ามาหลอมกระบี่ตีเหล็กอยู่ในร้าน
หลังจากเด็กหนุ่มแซ่เซี่ยก็คือเด็กสาวคนหนึ่งจากศาลลมหิมะที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์คนที่สอง ตามคำบอกของหร่วนซิ่ว พรสวรรค์ของแม่นางคนนั้น หากอยู่ในศาลลมหิมะถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ และดูเหมือนว่าจะเคยทำความผิดมหันต์จึงถูกขับไล่ออกมาจากสำนัก เลยมาหาอาจารย์หร่วนที่ก่อตั้งสำนักด้วยตัวเอง
หร่วนฉงเคยบอกว่าอันที่จริงปณิธานของนางไม่มั่นคงมากพอ ไม่ว่าทำเรื่องอะไรจะต้องหาทางถอยไว้ก่อนเสมอ นางสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้ และเขาอาจจะยังชี้แนะวิชากระบี่ให้แก่นาง แต่จะไม่มีทางรับนางเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเด็ดขาด
นางทำงานใช้แรงงานอยู่ในร้านตีเหล็กมานานแล้ว มีวันหนึ่งดันตัดนิ้วหัวแม่มือของมือข้างที่จับกระบี่ตัวเอง
นางมาหาหร่วนฉงด้วยสีหน้าซีดขาว บอกว่านับจากวันนี้ไปนางจะเริ่มฝึกกระบี่ด้วยมือซ้าย เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ หร่วนซิ่วสีหน้าเรียบเฉย คล้ายกำลังพูดถึงแม่ไก่และลูกเจี๊ยบขนฟูฝูงนั้น
เฉินผิงอันเหมือนเส้นผมบังภูเขา ไม่ได้ตระหนักถึงข้อนี้ เพราะในความทรงจำของเขา แม่นางคนนี้เป็นคนดีมาก มากจนคนอื่นไม่อาจหาข้อตำหนินางได้
ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังคิดเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘บนภูเขา’ เสียมากกว่า
เฉินผิงอันรู้ว่า ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกตนได้ก็ไม่มีใครที่ธรรมดา
ข้างกายตนมีหลินโส่วอี
อวี๋ลู่ เซี่ยหลิงเยว่ก็ยิ่งเป็นลูกรักของสวรรค์
แต่พอเอาคำพูดของชุยตงซานมาประติดประต่อ รวมไปถึงคำพูดของหร่วนซิ่วจากที่ได้คุยเล่นกัน เฉินผิงอันก็พอจะทราบเรื่องหนึ่งคร่าวๆ นั่นคือต่อให้กลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของชาวบ้านได้สำเร็จ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมีการแบ่งระดับสามหกเก้า ฯลฯ มีระดับชั้นที่เข้มงวดอย่างมาก
ที่แท้การฝึกตนนั้นเริ่มแรกยาก ตรงกลางยาก แล้วก็ยังจะยากไปจนถึงช่วงท้าย
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันพอจะมีความเข้าใจบ้างเล็กน้อยจากประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา
เพราะพอสร้างสุสานเสร็จ ตัวอ่อนกระบี่ก็เริ่มออกฤทธิ์อีกครั้ง
มันดุร้ายมากกว่าเดิม เวลาที่พุ่งชนอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันก็เรียกได้ว่าบุกราบทำลายทุกอย่างให้พังพินาศเป็นหน้ากลอง
ดังนั้นในเมืองเล็กจึงมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มักจะเดินโซซัดโซเซคล้ายคนเมาเหล้ากลางตรอกหนีผิง หรือไม่ก็นั่งไออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงสุสานเทพเซียน บ้างก็ปิดประตูเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านบรรพบุรุษ นอนกลิ้งดิ้นปัดๆ อยู่บนเตียงไม้
ขณะที่เข้าไปใกล้เรือนไม้ไผ่ หร่วนซิ่วก็ถามว่า “วันที่สามสิบของสิ้นปี เจ้าก็จะอยู่บนภูเขาหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก ต้องไปรอข้ามปีที่ตรอกหนีผิงอยู่แล้ว วันนั้นข้าจะไปที่สุสานก่อน แล้วค่อยกลับมาแปะกลอนปีใหม่ ตัวอักษรฝู เทพทวารบาล และกินข้าวมื้อดึกข้ามปี หรือก็คือเฝ้าคืนที่บ้านบรรพบุรุษ พอตอนเช้าตรู่จะเริ่มจุดประทัด อีกอย่างสองร้านในตรอกฉีหลงก็ต้องแปะกลอนด้วย มีเรื่องมากมายให้ทำ ถึงเวลานั้นต้องยุ่งมากแน่ๆ”
หร่วนซิ่วถาม “ให้ข้าช่วยไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ต้องๆ แค่ฟังดูเหมือนจะยุ่ง เอาเข้าจริงก็มีแต่เรื่องง่ายๆ”
เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูได้ยินว่าจะต้องลงไปฉลองปีใหม่ที่ตรอกหนีผิงก็ไม่มีความเห็นอะไร
ตอนที่เฉินผิงอันเก็บสัมภาระพลันถามขึ้นว่า “ถ้าจะติดภาพเทพทวารบาลกับกลอนคู่ที่เรือนไม้ไผ่หลังนี้จะน่าเกลียดหรือเปล่า?”
เด็กชายชุดเขียวตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ต้องน่าเกลียดอยู่แล้ว! แดงกับเขียว บ้านนอกเกินจะทน นายท่าน เรื่องนี้ข้ายืนกรานว่าทำไม่ได้เด็ดขาด!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเองก็พยักหน้ารับเบาๆ เห็นด้วยกับความคิดของเด็กชายชุดเขียว
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าก็แค่พูดถึงไปอย่างนั้น พวกเจ้าไม่ชอบก็ช่างเถอะ”
เด็กชายชุดเขียวลองถามหยั่งเชิง “อย่างมากก็ติดอักษรตัวชุน (春หมายถึงฤดูใบไม้ผลิ อุปมาถึงความมีชีวิตชีวาหรือพลังชีวิต) หรือไม่ก็ตัวฝูกลับหัว (เป็นการเล่นคำของจีน อักษรฝูหมายถึงสิริมงคล โชคดี การติดตัวอักษรฝูกลับหัวเป็นการบอกว่าความสิริมงคลมาถึงแล้ว)”
เฉินผิงอันยิ้ม “ช่างเถอะ”
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ “นายท่านคงไม่ได้จดจำความแค้นข้าครั้งนี้ไว้หรอกนะ? หากอยากจะทำอะไรที่ให้ได้บรรยากาศของปีใหม่ พวกเราสามารถปรึกษากันได้ ยกตัวอย่างเช่นว่า ขอแค่นายท่านยอมมอบหินดีงูที่ไม่ค่อยจะธรรมดาให้ข้าสักก้อนหนึ่ง ข้าจะช่วยท่านติดกลอนปีใหม่เอง จะให้ติดทั่วทั้งบนและร่าง ทั้งนอกและในเต็มเรือนไม้ไผ่ก็ไม่มีปัญหา!”
เฉินผิงอันให้รางวัลเป็นมะเหงก “ข้าต้องขอบใจเจ้านะเนี่ย”
พอลงมาจากภูเขา หร่วนซิ่วก็บอกลากับพวกเขา มุ่งหน้าไปทางภูเขาเสินซิ่ว
ไม่ทันรู้ตัวก็ถึงวันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปีแล้ว (วันปีใหม่ของจีนคือวันตรุษจีน ไม่ใช่วันที่สามสิบเอ็ดเดือนธันวาคมตามสากล)
ไปที่สุสานด้วยกัน แล้วกลับมาที่ตรอกหนีผิง ตอนที่ติดกลอนปีใหม่หน้าประตู เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งบอกติดเบี้ยว คนหนึ่งบอกไม่เบี้ยว ทำเอาเฉินผิงอันหัวหมุนไม่น้อย
ตอนที่กินอาหารมื้อดึก เฉินผิงอันที่ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะไม่ลืมมอบหินดีงูธรรมดาให้พวกเขาคนละหนึ่งก้อน เด็กชายชุดเขียวไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จับมันยัดเข้าปาก กัดเสียงดังกร้วมๆ แล้วคลี่ยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบาน
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก้มหน้ากินอย่างสำรวม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
ตอนกลางคืน ใต้โต๊ะวางเตาไฟขนาดเล็กที่มีถ่านและไม้อยู่เต็มแน่น คนทั้งสามวางขาไว้บนริมขอบเตาไฟ อีกทั้งทุกคนยังเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยม
บนโต๊ะวางขนมของกินเล่นที่เอามาจากร้านตัวเองไว้กองโต ด้านหน้าเฉินผิงอันมีหนังสือหนึ่งเล่ม แผ่นไม้ไผ่และมีดแกะสลัก
เขาจะเฝ้าคืน
แต่ละปีที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าปีนี้แตกต่างออกไป เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตง เด็กชายชุดเขียวยกสองมือเท้าแก้มมองเฉินผิงอันแล้วถามยิ้มๆ “นายท่านๆ วันปีใหม่แล้ว ท่านจะใจดีมอบหินดีงูเป็นรางวัลให้ข้าอีกก้อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันอาศัยแสงจากตะเกียงที่สว่างกว่าในอดีตอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ตอบโดยไม่เงยหน้า “ไม่”
เด็กชายชุดเขียวไม่ได้หงุดหงิด กลับกันยังยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถามอีกครั้งว่า “นายท่าน พรุ่งนี้จุดประทัดให้ข้าเป็นคนจุดนะ?”
เฉินผิงอันเงยหน้า พยักหน้ารับยิ้มๆ “ได้สิ”
เขาหันไปมองเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู นางรีบวางเมล็ดแตงในมือลง ยกสองมือขึ้นอุดหูอย่างซุกซน
เฉินผิงอันหันไปทำหน้าทะเล้นใส่นางก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ
เด็กน้อยสองคนหันมาส่งยิ้มให้กัน จากนั้นก็หันไปมองเหนือศีรษะของเด็กหนุ่มพร้อมกันอย่างคนที่มีสัมผัสเฉียบไว
ตรงนั้นมีปิ่นอันหนึ่งที่ไม่สะดุดตา สลักตัวอักษรเล็กๆ แปดตัว เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบัณฑิต
สำหรับเรื่องนี้ก็เหมือนตอนที่ดูว่าติดกลอนปีใหม่เบี้ยวหรือไม่เบี้ยว พวกเขาสองคนมีการโต้เถียงกันเป็นการส่วนตัว เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับนายท่านแม้แต่น้อย แต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับรู้สึกว่าเหมาะจนไม่มีอะไรจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ผ่านยามจื่อไป (ช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ก็จะเป็นวันปีใหม่แล้ว
เด็กชายชุดเขียวเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงและหลับปุ๋ยไปนานแล้ว ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ถูกเฉินผิงอันเกลี้ยกล่อม ตอนหลังก็นอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเช่นกัน
เฉินผิงอันจึงเฝ้าคืนอยู่คนเดียว ในห้องมีเพียงเสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือดังแผ่วเบา
เมื่อแสงอรุโณทัยเสี้ยวแรกปรากฏอยู่ระหว่างฟ้าดิน
เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืนเบาๆ เดินไปเปิดประตูห้อง เงยหน้ามองไปทางทิศตะวันออก
จู่ๆ เขาก็กระแอมเบาๆ หนึ่งทีอย่างอดไม่อยู่ จากนั้นเฉินผิงอันก็อ้าปากพ่นแสงสีขาวหิมะยาวประมาณชุ่นกว่าออกมา
ที่แท้นั่นคือกระบี่บินสีใสสว่างเล็กๆ เล่มหนึ่ง
มันลอยนิ่งๆ อยู่ในลานบ้าน
สาดประกายคมกริบ
—————————–
บทที่ 187.1 เหล่าผู้เฒ่าในวันปีใหม่
โดย
ProjectZyphon
กระบี่บินเล่มนี้ไม่ได้มีสภาพหยาบๆ เป็นก้อนเงินก้อนหนึ่งอีกต่อไป นอกจากจะเล็กบางแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรที่ต่างจากกระบี่ทั่วไป เพียงแต่ว่ามันอยู่กึ่งกลางระหว่างภาพลวงตากับของจริง โปร่งใสแวววาว เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน
ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง กระบี่บินเล็กจิ๋วแต่ประณีตงดงามทอรัศมีวิบวาวหลายชั้น แสงนั้นช่างเจิดจ้าสะดุดตา
เฉินผิงอันอึ้งอยู่นาน แต่ในที่สุดเปิดปากเอ่ยว่า “ทำอะไร ปีใหม่แล้ว เจ้าอยากวิ่งออกมาสูดอากาศหายใจรึ? ทำไม กระบี่บินอย่างพวกเจ้าก็มีความพิถีพิถันในช่วงปีใหม่เหมือนกันหรือ?”
ปลายกระบี่ของมันสั่นน้อยๆ และเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า
หัวใจของเฉินผิงอันหดเกร็ง เตรียมพร้อมสำหรับการหนีตลอดเวลา
หลังจากมันหมุนวนครบหนึ่งรอบ ปลายกระบี่ก็ตวัดขึ้นเล็กน้อย ด้ามกระบี่ทิ้งตัวลงด้านล่าง คล้ายกำลังทำความรู้จักโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้
เสียงหาวหลังตื่นนอนของเด็กชายชุดเขียวดังมาจากในห้อง กระบี่บินพุ่งสวบเข้าหาหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน ความเร็วนั้นมากจนเป็นเหตุให้ตำแหน่งเดิมยังเหลือภาพของมันค้างอยู่ กลางอากาศมีแสงเล็กบางราวกับเชือกยาวลากเส้นทิ้งเอาไว้ เร็วเหนือกว่าที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไปไกล เดิมทีก็หลบไม่ทันอยู่แล้ว คราวนี้เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าหว่างคิ้วเย็นวาบ พอยื่นมือไปลูบคลำ ไม่เพียงแต่ไม่มีช่องโพรงที่กระบี่บินแทงทะลุ แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็ยังไม่มี
พุ่งกลับเข้าร่าง หวนคืนไปยังช่องโพรง ง่ายดายเหมือนแค่ยกมือ
ราวกับเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งที่ใช้กระบี่เบิกทางบนสมรภูมิรบเพื่อเข้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่
เฉินผิงอันคิดว่าหลังจากนี้จะไปถามแม่นางหร่วนว่ากระบี่บินบนโลกใบนี้มหัศจรรย์แบบนี้เหมือนกันหมดหรือไม่
ตรงหน้าประตู เด็กชายชุดเขียวที่คันไม้คันมือเต็มทีโอบประทัดหอบใหญ่ที่เตรียมพร้อมแล้วไว้ตรงหน้าอก เดินข้ามธรณีประตูออกมาพร้อมกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เขาเตะนางเบาๆ หนึ่งที เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรีบเอามือปัด นี่คือชุดใหม่ที่นายท่านซื้อให้นาง จากนั้นก็รีบหันไปถลึงตาใส่เขา “ทำอะไรของเจ้าน่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวยืนอยู่ในลานบ้าน ถอนหายใจพูดว่า “เจ้าโง่หรือไง เป็นถึงงูหลามไฟ เกิดมาก็เชี่ยวชาญวิชาแห่งไฟอยู่แล้ว งั้นก็รีบๆ เอาไฟจุดประทัดเข้าสิ!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาปริบๆ ที่แท้คาถาแห่งไฟก็เอามาใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ตลอดระยะของการเดินทาง ไม่ว่าจะหุงข้าวหรือทำอาหาร นายท่านล้วนก่อไฟด้วยตัวเองทุกครั้ง ต่อให้จะเป็นค่ำคืนที่ฝนตกหรือมีพายุหิมะก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย
เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึง นางเองก็คิดไม่ถึง ส่วนเด็กชายชุดเขียวก็คาดว่าคงคร้านจะพูด
ภายใต้การร่วมมือกันของเด็กน้อยทั้งสอง เสียงประทัดดังสนั่นแทนคำบอกลาปีเก่า
และไม่นานในตรอกหนีผิงก็มีเสียงประทัดดังมาจากจุดอื่นขานรับกันเป็นทอดๆ
เด็กชายชุดเขียวเล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรอจนประทัดชิ้นสุดท้ายเผาไหม้หมดแล้วถึงไปหยิบไม้กวาดมาจากในบ้าน เตรียมจะเอามากวาดพื้น เฉินผิงอันรับไม้กวาดมายิ้มๆ แล้วคว่ำไม้กวาดลงวางแนบกับกำแพง เพราะตามธรรมเนียมของเมืองหลงเฉวียน วันแรกของเดือนอย่างวันนี้ ทุกบ้านจะต้องวางไม้กวาดกลับหัว เพื่อแสดงให้รู้ว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากพักผ่อน
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงมุมกำแพง มองลานบ้านข้างๆ ที่เงียบสงัดด้วยอารมณ์ซับซ้อน เขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเลือกที่จะหยิบกลอนปีใหม่และตัวอักษรฝูสองตัวไปแปะบนกำแพงบ้านของบ้านข้างๆ
เด็กชายชุดเขียวถามยิ้มๆ “บ้านของเพื่อนรักนายท่านหรือ?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ขอแค่ไม่เป็นศัตรูกันก็พอแล้ว”
กลับมาที่บ้านตัวเอง เฉินผิงอันยืนอยู่ในตรอกหน้าบ้าน มองไปทางเทพทวารบาลสีสันสดใสสองแผ่นบนประตู หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ เทพฝ่ายบุ๋นถือแผ่นหยก เทพฝ่ายบู๊ถือคทาเหล็ก เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ยังดูแปลกประหลาด แต่ไหนแต่ไรมากระดาษภาพเทพทวารบาลที่ขายช่วงปลายปีในเมืองเล็กมักจะมีหลากสีหลายรูปแบบ นอกจากเทพทวารบาลฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แล้ว ยังมี ‘เทพเซียน’ อีกมากมายซึ่งรวมถึงเทพทวารบาลและเทพแห่งความร่ำรวยอยู่ด้วย แต่ปีนี้เทพทวารบาลทั้งหมดในเมืองเล็กล้วนสร้างตามระเบียบเดียวกัน ได้ยินเจ้าของร้านบอกว่าเป็นกฎที่ที่ว่าการกำหนดมา อีกทั้งองค์เทพร่างทองที่จะตั้งไว้ในศาลบุ๋นและศาลบู๊ของเมืองเล็กในอนาคตก็ยังเป็นสองท่านที่ถูกวาดไว้บนกระดาษนี้ด้วย
เฉินผิงอันนึกถึงประโยคนั้นที่หยางเหล่าโถวเคยพูดถึง ยิ่งสัมผัสยิ่งลึกซึ้ง
เขาปัดเป่าความขุ่นมัวที่อยู่ในใจออกไป เริ่มนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้าน ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งตัวเล็กต่ออีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวเอาสองมือไพล่หลังเดินเตร่อยู่ในลานบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิม โหวกเหวกเสียงดังว่าวันนี้เขาจะตั้งใจฝึกตน ให้นายท่านและนังเด็กโง่ต้องมองตนเสียใหม่ และเมื่อถึงปลายปี เขาก็จะสามารถเดินเบ่งไปทั่วเมืองเล็ก ไม่ต้องกลัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดเก้าหน้าไหนอีกแล้ว
พูดมาถึงช่วงท้าย เด็กชายชุดเขียวก็ยิ้มประจบ “นายท่าน ขอแค่ท่านมอบหินดีงูที่ค่อนข้างดีให้ข้าอีกสักสองสามก้อน อย่าว่าแต่สิ้นปีเลย พรุ่งนี้ข้าก็สามารถเอาชนะทุกคนในเมืองเล็กได้ ถึงเวลานั้นนายท่านก็พาข้าไปรังแกบุรุษย่ำยีสตรีบนถนน ทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้ต่ำช้าที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เจอผู้หญิงสวยคนไหนก็ลากมาที่ตรอกหนีผิง วะฮะฮ่า นายท่าน แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้วใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปคว้าเมล็ดแตงกำหนึ่งมาจากเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู พยักหน้าพูดว่า “แค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอแล้ว”
ใบหน้ายิ้มระรื่นของเด็กชายชุดเขียวเหี่ยวแฟบลงทันควัน เขาทอดถอนใจพลางนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ประกบฝั่งซ้ายขวากับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เหมือนเทพทวารบาลน้อยๆ สององค์ เพียงแต่เขารู้สึกว่าวันแรกของปีใหม่ไม่มีการเริ่มต้นด้วยลางดีออกจะอัปมงคลไปสักนิด ดังนั้นจึงควักหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งออกมาเคี้ยวกร้วมๆ ได้แต่หาฤกษ์ชัยอันดีงามให้กับตัวเอง
และเวลานี้เอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็หยิบถุงขนาดเล็กที่เย็บอย่างประณีตสองถุงออกมาจากในชายแขนเสื้อ นี่เป็นหนึ่งในสินค้าปีใหม่ที่วางขายในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงของเขาเอง เขายื่นส่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองพลางเอ่ยเย้า “รับเอาไว้ นี่คือเงินยาสุ้ย (หรือเงินอั่งเปาที่มอบให้กันในวันตรุษจีน) ที่นายท่านมอบให้พวกเจ้า”
ทีแรกเด็กชายชุดเขียวไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่พอเปิดออกดู ลูกตาเขาก็เกือบถลนออกจากเบ้า นั่นคือหินดีงูที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมก้อนหนึ่ง สีสันเรืองรองดุจแสงยามตะวันรอน
ก้อนที่อยู่ในมือของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็เป็นหินดีงูชั้นเยี่ยมเช่นกัน
ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวเห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากหินดีงูธรรมดาเก้าก้อนสิบก้อนแล้ว หลังจากเฉินผิงอันกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ ในห่อสัมภาระยังเหลือหินดีงูมูลค่าควรเมืองอีกสิบเอ็ดก้อน จากนั้นก็มอบให้พวกเขาคนละสองก้อน เท่ากับหายไปสี่ก้อน ตอนนี้ยังเอาออกมาอีกสองก้อน ก็ไม่เท่ากับว่าหายฮวบไปครึ่งหนึ่งเลยหรือ?
เฉินผิงอันเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นกุมารแห่งทรัพย์สินที่มอบความร่ำรวยเพื่อผูกบุญสัมพันธ์กับผู้คนหรืออย่างไร?
แม้ว่าจะกำหินดีงูไว้แน่น แต่เด็กชายชุดเขียวก็อดที่จะเปิดปากเตือนไม่ได้ “นายท่าน ท่านมอบของมีค่าขนาดนี้ให้พวกเราเท่ากับควักสมบัติชิ้นโตออกมาให้ วันหน้าเวลาแต่งภรรยาท่านจะทำอย่างไร?”
มือสองข้างของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูโอบประคอง ‘เงินยาสุ้ย’ เอาไว้ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา บนดวงหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูมีน้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
เด็กชายชุดเขียวอึกๆ อักๆ แต่จะไม่พูดก็อัดอั้น จึงถามว่า “นายท่าน ท่านไม่กลัวว่าข้ากินหินดีงูสามก้อนนี้เข้าไปแล้วตบะจะทะยานพรวดพราด จนท่านตามข้าไม่ทันไปตลอดชีวิตหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “หากเจ้ามีสหาย แล้วเขามีชีวิตที่ดี เจ้าจะดีใจไปด้วยหรือไม่?”
เด็กชายชุดเขียวพยักหน้ารับ “ต้องดีใจแน่นอนอยู่แล้ว สหายรักที่ข้าคบหาในชีวิตล้วนไม่ใช่สักเรียกแต่ปากเท่านั้น”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วถ้าสหายของเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าเจ้ามาก เจ้าจะดีใจหรือไม่?”
เด็กชายชุดเขียวลังเลเล็กน้อย
เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง กล่าวยิ้มๆ “ข้าจะยิ่งดีใจเข้าไปอีก”
บัดนี้สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวเลื่อนลอยเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ายุทธภพที่ตนอยู่มาหลายร้อยปีเหมือนจะไม่ใช่แห่งเดียวกับของเฉินผิงอัน เป็นเพราะยุทธภพของตนลึกเกินไป? หรือเป็นเพราะยุทธภพของเฉินผิงอันตื้นเกินไป? (คำว่ายุทธภพภาษาจีนอ่านว่าเจียงหู ซึ่งหากแปลตรงตัวจะหมายความว่าแม่น้ำและทะเลสาบ ในบริบทนี้จึงใช้ได้ทั้งสองความหมาย)
เฉินผิงอันพูดไปแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะนี่เป็นแค่การคุยเล่นสำหรับเขาเท่านั้น
กลับเป็นเด็กชายชุดเขียวที่อัดอั้นไม่ร่าเริง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เก็บก้อนหินไว้เรียบร้อยแล้วก็เงียบไปเช่นกัน
เฉินผิงอันเริ่มเสียใจทีหลัง หรือเขาไม่ควรมอบเงินยาสุ้ยนี้? หรือว่าควรจะมอบให้ช้ากว่านี้อีกสักนิด?
กลุ้มจริง
ในขณะที่ซ่งจี๋ซิน จื้อกุย กู้ช่านและมารดาของเขาจากไป ในตรอกหนีผิงแห่งนี้กลับมีครอบครัวใหม่เพิ่มมาหนึ่งครอบครัว ก่อนจะปีใหม่พวกเขาก็เอาโฉนดบ้านของบรรพบุรุษไปมอบให้ที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียน ฝ่ายที่ว่าการคิดจะตรวจสอบอย่างละเอียดสักครั้ง เพราะตอนนี้ทุกพื้นที่ในเมืองเล็กมีค่าเท่าทองคำ ไม่รู้ว่าคนนอกมากมายแค่ไหนอยากจะยัดเยียดตัวเองเข้ามา ต่อให้ไม่สามารถซื้อบ้านได้ก็ยังยินดีที่จะเช่าบ้านอยู่ที่นี่ ดังนั้นฝ่ายครัวเรือนของที่ว่าการอำเภอจึงอยากจะตรวจสอบอย่างระมัดระวังให้แน่ใจ จะปล่อยให้พวกเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนมายึดครองพื้นที่ไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าเพียงไม่นานอู๋ยวนผู้เป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอหลงเฉวียนซึ่งได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองของเขตการปกครองหลงเฉวียนก็บุกมาถึงที่ว่าการอำเภอ แล้วรับเรื่องนี้ไปทำต่อเอง
ต่อมาก็มีคนหนุ่มนามว่าเฉาจวิ้นมาอยู่เพิ่มในตรอกหนีผิง บรรพบุรุษของเขาย้ายออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เขากลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด
เฉาจวิ้นเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน แทบจะไม่เคยเผยโฉม พวกเพื่อนบ้านต่างสงสัยใคร่รู้กันอย่างมาก ดังนั้นชาวบ้านในเมืองเล็กส่วนใหญ่จึงเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานเปิดภูเขาสร้างอาคาร อีกทั้งจากประกาศหลายฉบับที่ออกมาจากที่ว่าการอำเภอและเขตการปกครองก็ได้ยืนยันเรื่องที่บนภูเขามีเทพเซียนจริง ชาวบ้านหลงเฉวียนจึงจำต้องเชื่อ ตอนแรกเริ่มก็มีการคาดเดากันว่าเฉาจวิ้นที่รูปโฉมหล่อเหลา ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปจะเป็นหนึ่งในเซียนหรือไม่ เพียงแต่ว่าพอกลับมาย้อนนึกดู เทพเซียนที่ไหนจะมาอาศัยอยู่ในตรอกหนีผิง? แบบนั้นออกจะลดค่าตัวเองไปหน่อยไม่ใช่หรือ
และวันนี้ก็มีคนแปลกหน้าสองคนมาเยือนตรอกหนีผิง
คนหนึ่งคือเศรษฐีเฒ่าที่สวมเชือกสีเขียวไว้บนข้อมือ อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่วางกระบี่พาดขวางไว้ด้านหลัง พวกเขาเดินเข้ามาในตรอกหนีผิงด้วยกัน เข้ามาทางฝั่งบ้านของกู้ช่าน ดังนั้นจึงต้องผ่านบ้านของซ่งจี๋ซินและเฉินผิงอัน เพราะกำแพงบ้านต่ำเตี้ย ผู้เฒ่าจึงปรายตามองมายังเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพร้อมยกยิ้มมีเลศนัย
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่รู้ความนัย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เด็กชายชุดเขียวมองดูเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ แต่อันที่จริงในใจกลับกำลังภาวนา นี่คงไม่ใช่ปีศาจใหญ่หรือเทพเซียนผู้เฒ่าอะไรอีกหรอกนะ?
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มพลางโบกมือทักทาย “เฉินผิงอัน พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตูแล้วถามยิ้มๆ “มาเยี่ยมเยียนคนที่นี่ในวันปีใหม่รึ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มส่ายหน้า “มีเรื่องให้ต้องจัดการนิดหน่อย แต่ก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนคนในวันปีใหม่ไปด้วยเสียเลย”
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเปิดปากพูดบ้าง “ได้ยินว่าเจ้าทำให้บ้านบรรพบุรุษของตระกูลข้าถูกวานรย้ายภูเขาตัวหนึ่งเหยียบซะหลังคาถล่ม แต่หลังจากนั้นเจ้าก็ออกเงินช่วยซ่อมแซมให้?”
ผู้อาวุโสในตระกูลของผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้น?
หัวใจของเฉินผิงอันหดเกร็ง เอ่ยขออภัย “ท่านผู้เฒ่า ต้องขอโทษด้วย เรื่องนี้ผิดที่ข้าจริงๆ”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร บ้านเก่าๆ หลังนั้น หากยังไม่ซ่อมต้องพังครืนลงมาเองแน่นอน จะขอโทษทำไม ตระกูลเฉาของข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กเฉาจวิ้นผู้นั้นคิดจะแย่งของของเจ้า ใช่ไหม? เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปสั่งสอนเขาเดี๋ยวนี้…ฮ่าๆ ลืมพูดไป สวัสดีปีใหม่ๆ”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้เฒ่าที่ท่าทางมีเมตตาก็ถึงกับกุมมือคารวะ เขย่าเบาๆ ถือเป็นการสวัสดีปีใหม่
เฉินผิงอันรีบคารวะกลับ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขมวดคิ้ว ขยับมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่กระโตกกระตาก ขวางอยู่ระหว่างผู้เฒ่าและเฉินผิงอัน จากนั้นก็โอบไหล่ของฝ่ายหลัง ดันเขาเดินเข้าไปในลานบ้านยิ้มๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่าเฉา ท่านกลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าค่อยตามไป”
ผู้เฒ่าหรี่ตาพยักหน้ารับ ไม่ถือสากับเรื่องนี้ เดินจากไปช้าๆ เพียงลำพัง กว่าเขาจะได้กลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่หลายร้อยปีแล้ว
หลังจากเฉินผิงอันและผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป ประกายแสงเล็กน้อยบนร่างเทพทวารบาลสององค์ที่แปะอยู่หน้าประตูบ้านซึ่งดวงตาของคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นพลันสลายหายวับไป
——————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น