อัจฉริยะสมองเพชร 1862-1863

 ตอนที่ 1862 ศพ

เจิ้งหยางไม่แยแสอวิ๋นเชียงที่กำลังเผชิญศึกหนักที่สุดในชีวิต รอยย่นบนหน้าผากของเขาชัดขึ้นเรื่อยๆขณะเดินวนรอบแผ่นหินเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด จากนั้นก็หันกลับไปมองเว่ยหรูเหยียน


เว่ยหรูเหยียนพยักหน้ารับ ราวกับจะยืนยันการตัดสินใจของเจิ้งหยาง


เจิ้งหยางสูดหายใจลึกก่อนจะถอยออกมาหลายก้าว จากนั้นก็ใช้หอกจ้วงแทงด้วยพละกำลังหนักหน่วง


ครืนนนน!


คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติปรากฏขึ้นกลางอากาศขณะที่หอกปะทะกับใจกลางแผ่นหิน


เคร้งงงง!


เสียงของค่ายกลที่ถูกทำลายดังกึกก้องไปทั่วขณะที่แผ่นหินสั่นสะท้าน รอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฏที่พื้น เกิดเป็นทางเดินที่มุ่งลงสู่ด้านล่าง


ทางเดินนั้นปราศจากกลิ่นเหม็นอับชื้น แต่มีกลิ่นอายของบางอย่างที่ดูโบร่ำโบราณและกระหายเลือด ราวกับเป็นเส้นทางที่นำไปสู่โลกบาดาล


“ไปดูกัน!”


เจิ้งหยางผู้กล้าหาญคือคนแรกที่ก้าวเข้าสู่ทางเดินนั้น เว่ยหรูเหยียนตามไปติดๆ


ทางเดินมืดทะมึนและค่อนข้างชื้น ตัวอักษรจารึกบนผนังปิดตายทางเดินไว้ ผู้ที่ยังมีระดับวรยุทธไม่ถึงขั้นนักปราชญ์โบราณจะไม่มีทางรู้ว่ามีมันอยู่


“ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขง…” เว่ยหรูเหยียนพูดขณะ พิจารณาโดยรอบอย่างถี่ถ้วน


อันที่จริง ทางเดินนี้ยังดูเหมือนใหม่ แต่กรรมวิธีการก่อสร้างและอักษรจารึกที่ปรากฏบ่งบอกชัดถึงยุคสมัยโบร่ำโบราณ ทำให้พอคาดเดาอายุของมันได้


ทั้งคู่มุ่งหน้าไปตามทางเดินแล้วเดินไปอีกหลายสิบลี้ ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก่อนจะมาถึงห้องโถงที่สร้างขึ้นจากหิน


เจิ้งหยางกุมหอกของเขากระชับอก พร้อมรับมือกับสถานการณ์อันคาดไม่ถึงใดๆก็ตามที่อาจเกิดขึ้น ส่วนเว่ยหรูเหยียนก็สะบัดข้อมือและติดไข่มุกกระจ่างราตรีไว้ที่ผนังโดยรอบ นำแสงสว่างมาสู่พื้นที่นั้น


ห้องโถงที่สร้างขึ้นจากหินมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 40 เมตร บริเวณใจกลางห้องคือโลงศพที่ทำจากหินสีน้ำเงิน มันแผ่รังสีของประวัติศาสตร์โบร่ำโบราณออกมา


“ที่นี่มีแต่โลงศพหรือ?” เว่ยหรูเหยียนขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ


ใครกันที่บ้าบอขนาดสร้างทางเดินที่ยาวตั้งหลายสิบลี้ลงสู่ห้องใต้ดิน ปิดกั้นมันไว้ด้วยแผ่นหินที่มีแต่นักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ แต่แล้วก็ใช้เป็นที่เก็บรักษาโลงศพเพียงใบเดียว?


ดูเหลวไหลสิ้นดี!


เจิ้งหยางค่อยๆย่องเข้าหาโลงศพด้วยความงุนงง เขาเงื้อหอกขึ้น ตั้งใจจะใช้มันแงะฝาโลง ก็พอดีกับที่รังสีคมปลาบแผ่ซ่านออกจากโลงศพนั้น จากนั้นมือของเขาก็กระตุก


ตุ้บ!


หอกของเจิ้งหยางร่วงลงพื้น ราวกับกำลังคารวะโลงศพ


“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นบางอย่างผิดปกติ เว่ยหรูเหยียนรีบรวบรวมรังสีพิษของเธอแล้วรี่เข้ามา พร้อมเสริมกำลังให้เจิ้งหยาง


“หอกของผมถูกเจตจำนงเพลงหอกของใครคนหนึ่งขัดขวางไว้ ดูเหมือนร่างที่อยู่ในโลงศพจะเข้าถึงเจตจำนงเพลงหอกในระดับขั้นที่สูงกว่าผม!” เจิ้งหยางตอบอย่างอัศจรรย์ใจ


แม้หอกของเขาจะไม่ใช่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับเขามานาน มันจึงเก่งกาจไม่เป็นสองรองใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกบีบให้ต้องโค้งคำนับด้วยอาการยอมจำนนให้กับโลงศพ เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่อยู่ในโลงศพมีอำนาจควบคุมเจตจำนงเพลงหอกในระดับที่เหนือชั้นกว่าเขา ทำให้หอกของเขาไม่อาจสำแดงแสนยานุภาพใดๆออกมา


“เดี๋ยว…คุณจะบอกฉันว่าไอ้ที่อยู่ในโลงศพน่ะมีศิลปะเพลงหอกเหนือชั้นกว่าคุณอีกหรือ?” เว่ยหรูเหยียนแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


ศิษย์พี่ของเธอร่ำเรียนศิลปะเพลงหอกของเขาจากท่านอาจารย์โดยตรง และเข้าถึงแก่นสารของเพลงหอกแล้ว ไม่ใช่เรื่องตลกหากจะพูดว่าเขาคือนักรบผู้เชี่ยวชาญเพลงหอกที่มีความไร้เทียมทานเป็นที่ 2 ในยุคสมัยของเขา แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายกลับบอกว่าสิ่งที่อยู่ในโลงศพนั่นเก่งกาจกว่าเขาเสียอีก


เป็นไปได้อย่างไร?


“ถึงอย่างไรเราก็ต้องเปิดดู ศิษย์น้อง ผมอยากให้คุณช่วยผม ใช้กำลังบังคับให้โลงเปิดที!” เจิ้งหยางพูด


เว่ยหรูเหยียนพยักหน้ารับ


ทั้งสองเข้าประจำตำแหน่งที่ปลายแต่ละด้านของโลงศพ ด้วยการมองหน้ากันอย่างเข้าอกเข้าใจ เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนยกมือขึ้นพร้อมกันแล้วจับมันไว้แน่น


ทั้งคู่เป็นนักปราชญ์โบราณที่ได้รับคำชี้แนะเป็นการส่วนตัวจากจางเซวียนตลอดระยะเวลา 1 เดือน ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นอีกมาก ต่อให้นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ย่อมจนมุมหากเจอกับการผนึกกำลังกันของทั้งคู่ นับประสาอะไรกับโลงศพใบเดียว!


เอี๊ยดดดด!


เสียงเสียดสีเอี๊ยดอ๊าดดังก้องไปทั่วขณะปรากฏรอยร้าวบนโลงศพ รังสีอันทรงพลังพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ พร้อมจะทำลายถ้ำใต้ดินให้พังลงมา


เจิ้งหยางรีบสกัดกั้นรังสีนั้นไว้ด้วยการโบกมือ และหลังจากแน่ใจแล้วว่ามันไม่รั่วไหลออกไป เขาก็ ดำเนินการต่อ


รังสีของนักปราชญ์โบราณนั้นมีธรรมชาติทำลายล้าง หากรั่วไหลออกไปแม้เพียงเสี้ยวเดียวก็อาจสร้างความเสียหายใหญ่โตได้ แน่นอนว่านักรบระดับพวกเขารับมือกับมันได้สบาย แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นกับบรรดาพลเมืองของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน


ความเลินเล่อเพียงเล็กน้อยของพวกเขาอาจนำมาซึ่งความตายของผู้คนมากมาย


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนเดินเข้าหาโลงศพ จากนั้นก็มองเข้าไป เห็นศพหนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างใน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ร่างนั้นก็ยังมีเลือดเนื้ออยู่ครบ มองเผินๆเหมือนคนกำลังนอนหลับ


“มันเป็นศพของนักปราชญ์โบราณ…”


ทั้งคู่เลิกคิ้ว


มีแต่ศพของนักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่ยังคงความน่าสะพรึงไว้ได้แม้จะตายไปแล้ว มีแต่ศพของนักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่ไม่เน่าเปื่อย คงรูปลักษณ์ภายนอกไว้ได้อย่างดีแม้เวลาจะผ่านไปหลายหมื่นปี


“นี่คือ”


เจิ้งหยางมองศพนั้นใกล้ๆ เขาพลันนึกอะไรได้บางอย่างที่ทำให้หน้าซีดเผือดและตัวแข็งด้วยความตกตะลึง


“มีอะไร?” เว่ยหรูเหยียนตั้งคำถาม


แม้ทั้งคู่จะไม่ได้สนทนาพาทีกันบ่อยนัก แต่เธอก็รู้จักนิสัยของเจิ้งหยางดี ศิษย์พี่ของเธอคนนี้เป็นคนกล้าหาญและหุนหันพลันแล่น ออกจะน่าแปลกที่ได้เห็นเขาตัวสั่นเพียงเพราะศพร่างเดียว


“เขาคือ…นักปราชญ์โบราณหรันชิว!” เจิ้งหยางอุทานออกมาขณะกำหมัดแน่น


“นักปราชญ์โบราณหรันชิว? คุณหมายถึงศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้แข็งแกร่งสูงสุดและเป็นผู้ก่อตั้งสภายอดขุนพลใช่ไหม?” เว่ยหรูเหยียนถึงกับผงะ


“ใช่!” เจิ้งหยางสูดหายใจลึกเพื่อระงับสติอารมณ์


นักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดนักปราชญ์ที่อยู่ภายใต้คำชี้แนะของปรมาจารย์ขง เขาคือนักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากตัวปรมาจารย์ของเอง ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือผู้ก่อตั้งสภายอดขุนพลก็เป็นเครื่องยืนยันถึงพละกำลังและความแข็งแกร่งแล้ว


มี 2 ครั้งที่เจิ้งหยางได้คุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นของนักปราชญ์โบราณหรันชิว คือตอนที่เขาได้รับตำแหน่งทายาทยอดขุนพล และหัวหน้าสภายอดขุนพล รูปปั้นนั้นมีหน้าตาเหมือนศพที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เขาจดจำอีกฝ่ายได้แม้มองเพียงแวบเดียว


ไม่น่าเชื่อว่าศพของหนึ่งในศิษย์สายตรงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของปรมาจารย์ขง, นักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งเป็นที่ 2 ในโลก…จะถูกฝังอยู่ที่นี่


เรื่องนี้ไม่มีบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!


ไม่แปลกใจแล้วที่หอกของเขาโค้งคำนับให้ทันทีที่พบกับโลงศพ นักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงหอก และหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็เป็นอาวุธที่เขาหลอมด้วยตัวเอง


ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถหลอมอาวุธที่ทรงพลังขนาดนั้นบ่งบอกถึงความเข้าใจอันล้ำลึกของเขาในศิลปะเพลงหอก ชัดเจนว่าความเข้าใจในศิลปะเพลงหอกของนักปราชญ์โบราณหรันชิวย่อมเหนือกว่าตัวเขาแน่


เมื่อหายตะลึง เจิ้งหยางหันกลับมาสั่งการ “ศิษย์น้อง ผมอยากให้คุณรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์รับทราบโดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้ผมจะอารักขาที่นี่ไปก่อน!”


เรื่องนี้ใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก ด้วยความสำคัญของมัน ย่อมเป็นการดีที่สุดหากจะพาท่านอาจารย์มาเพื่อขอคำชี้แนะและตัดสิน


“ได้”


เว่ยหรูเหยียนเข้าใจการตัดสินใจของเจิ้งหยาง เธอหันหลังกลับและพุ่งกลับสู่ด้านบนทันที


หลังจากที่เว่ยหรูเหยียนจากไป เจิ้งหยางเดินวนรอบโลงศพอย่างช้าๆ ตั้งใจจะพิจารณาร่างของผู้อาวุโสที่เป็นผู้ก่อตั้งสภายอดขุนพล แต่ทันใดนั้น เสียงของกลไกอย่างหนึ่งก็ดังกึกก้องเป็นชุดขึ้นกลางอากาศ ทางเดินอีกเส้นทางหนึ่งปรากฏขึ้นใต้โลงศพนั้น


เจิ้งหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนในที่สุดจะตัดสินใจลงไปสำรวจ


พรึ่บ!


ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ทางเดินใหม่ รังสีที่อยู่ด้านบนก็หายวับไป


เส้นทางนี้ขังเขาไว้แล้ว!


เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เจิ้งหยางขมวดคิ้วอย่างงุนงง แต่ไม่ตกใจ เขานำไข่มุกกระจ่างราตรีออกมาลูกหนึ่งก่อนจะเดินลึกลงไป อีกสองสามก้าวต่อมาก็พบห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า รูปแบบของมันเหมือนกันเป๊ะกับห้องโถงเมื่อครู่ มีโลงศพอีกโลงหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง


เจิ้งหยางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินไปหาโลงศพ เขาพยายามงัดฝาโลงเพื่อจะดูร่างที่อยู่ในนั้น


เมื่อเข้าใกล้ศพขึ้นอีกหน่อย หัวสมองของเขาก็เกิดการระเบิดย่อมๆ เขาถอยกรูดไปหลายก้าวจนแผ่นหลังกระแทกผนัง แต่ถึงอย่างนั้น ความอึ้งตะลึงก็ยังไม่จางไป


เป็นครู่ใหญ่กว่าเสียงแหบแห้งจะหลุดรอดจากลำคอของเจิ้งหยาง “ปะ-ปรมาจารย์ขง?”


ตอนที่ 1863 ปรมาจารย์ขงตายแล้ว?

ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ในโลงศพไม่ใช่ใครอื่นนอกจากครูบาอาจารย์ของโลก, ปรมาจารย์ขง!


เขาไม่ได้ขึ้นไปยังมิติเบื้องบนหรอกหรือ? ทำไมศพยังอยู่ที่นี่?


เจิ้งหยางจังงังไปชั่วขณะ คิดอะไรไม่ออก และไม่กล้าคิดให้มากนัก เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เสียจนหากเขาพูดอะไรผิดไป ก็อาจนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่


ปรมาจารย์ขงคือเสาหลักผู้ค้ำจุนสภาปรมาจารย์ ต่อให้เขาหายตัวไปจากโลกนี้แล้ว ผู้คนมากมายก็ยังยึดถือคำสอนของเขาและให้คุณค่าตัวเขาในฐานะแรงบันดาลใจสูงสุด ไม่มีใครกล้าคิดว่าปรมาจารย์ขงผู้ยิ่งใหญ่จะมาเสียชีวิตอยู่ที่นี่!


ศพนั้นเหมือนรูปปั้น มีรอยยิ้มสงบเย็น บ่งบอกถึงความเป็นครูบาอาจารย์ที่ใจดี ดูราวกับว่าเขาถูกสังหารระหว่างที่กำลังเปิดการบรรยาย


ว่าแต่…ด้วยความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขง ใครกันที่จะสังหารเขาได้?


และใครกันที่ฝังปรมาจารย์ขงไว้ที่นี่ ลึกลับถึงขนาดที่แม้แต่สภาปรมาจารย์กับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่รู้เรื่อง?


เจิ้งหยางใจเต้นตึกตัก ปากคอแห้งผาก มีถ้อยคำมากมายอยู่ในสมองแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ ลงท้าย เขาก็เลือกจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและรอให้ตัวเองใจเย็นลง


ตอนที่เห็นศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว เขาก็ตกใจพอแล้ว แต่หลังจากได้พบอีกศพหนึ่ง หัวใจของเขาก็มีแต่ความพรั่นพรึง


เป็นธรรมดาที่ทุกคนในโลกต้องตาย แต่ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับปรมาจารย์ขงซึ่งเป็นที่เคารพยกย่องของใครๆ ศรัทธาของผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจะเสื่อมสลายไปในทันที!


เจิ้งหยางปั่นป่วนหัวใจเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร


“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวท่านอาจารย์มาถึง ทุกอย่างก็ดีเอง…” เจิ้งหยางกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะสลัดความคิดวุ่นวายต่างๆออกจากหัวสมอง


เขาติดตามท่านอาจารย์ของเขามานาน รู้ดีว่าไม่มีความยากเย็นใดๆในโลกนี้ที่เล่นงานท่านอาจารย์ของเขาได้ การที่เขาหาวิธีแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือรอคอยเท่านั้น


เมื่อคิดได้ เจิ้งหยางออกจากห้องโถง ตั้งใจจะกลับไปยังห้องที่เขาจากมา แต่แล้วก็พลันชะงักฝีเท้า


กระแสพลังงานถาโถมเข้าใส่เขา สติสัมปชัญญะของเขาพร่าเลือน


พลั่ก!


ทุกอย่างเงียบสงัด


…..


จางเซวียนนั่งอยู่ในห้องที่เขาเคยทำการสอน รู้สึกสบายอกสบายใจและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


ในชีวิตเก่าของเขา เขาเป็นแค่บรรณารักษ์ต๊อกต๋อยคนหนึ่ง มันช่างเหนือจินตนาการเหลือเกินที่วันหนึ่งเขาได้ทะลุมิติมายังโลกใบนี้


ครั้งแรกที่เขาทะลุมิติมาเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสับสนและตื่นตระหนก เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไร ความปรารถนาเดียวที่ผลักดันให้เขาเดินหน้าต่อไปก็คือการดิ้นรนเอาชีวิตรอด


จางเซวียนใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง กว่าที่เขาจะกลมกลืนไปกับโลกใบนี้ได้


ความทรงจำต่างๆในชีวิตทยอยเข้ามาในสมอง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเก่าของเขา, ช่วงเวลาหลังจากการทะลุมิติมา, วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า…


บางอย่างภายในตัวจางเซวียนค่อยๆเติบโต มันคือความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะเอาชนะได้แม้แต่สวรรค์ มันโผล่พ้นพื้นดินออกมาและผลิบานเป็นบางอย่างที่สวยสดงดงาม


ในช่วงเวลาของการพบแสงสว่างแห่งการหยั่งรู้ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็แว่วเข้าหู จางเซวียนลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นเว่ยหรูเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า


…..


ได้ฟังคำบอกเล่าของเว่ยหรูเหยียน จางเซวียนลุกพรวด “คุณบอกว่าคุณพบศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวหรือ?”


นักปราชญ์โบราณหรันชิวคือศิษย์สายตรงที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงมากมายของปรมาจารย์ขง เป็นบุคคลที่บรรดายอดขุนพลนับไม่ถ้วนยึดถือเป็นแบบอย่าง ทำไมศพของเขาจึงมาอยู่ที่นี่ แถมยังถูกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินที่ลึกลงไปหลายสิบลี้?


“พาผมไปดูที!”


จางเซวียนทนความอยากรู้ไม่ไหว เขารีบตามเว่ยหรูเหยียนไปยังคฤหาสน์ของอวิ๋นเชียงแล้วตรงเข้าสู่ทางเดินใต้ดิน ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงที่มีโลงศพตั้งอยู่ตรงกลาง


จางเซวียนขมวดคิ้วหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “เท่าที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกและรังสี เขาก็น่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณหรันชิว…”


เมื่อครั้งที่จางเซวียนอยู่ในภูเขาห้วยขาว เขามีโอกาสได้พบกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณหรันชิวครั้งหนึ่ง ศพที่อยู่ตรงหน้ามีหน้าตาเหมือนกัน และแม้แต่รังสีที่แผ่ออกมาก็คล้ายคลึงกันมาก


ศพนี้น่าจะเป็นศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว


“คุณควรจะมาดูนะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับสะบัดข้อมือ


หอกสวรรค์กระดูกมังกรกระโจนออกจากบั้นเอวของจางเซวียนและแปรสภาพเป็นมังกรสีดำตัวใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มันก้มหน้าลงมองโลงศพที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็ร่อนลงสู่พื้นและคุกเข่า


“นายท่าน!”


ร่างมังกรขนาดมหึมาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะเสียงกระซิบแผ่วเบาหลุดจากปากของมัน


มันคือของล้ำค่าที่หลอมโดยนักปราชญ์โบราณหรันชิว ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันคิดว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวได้ขึ้นสู่มิติเบื้องบนไปพร้อมกับปรมาจารย์ขงแล้วหลังจากที่กักขังมันไว้ในอาณาจักรโบร่ำโบราณที่ภูเขาห้วยขาว ใครจะไปคิดว่าเขาจะต้องตายแบบนี้?


“ดูเหมือนจะเป็นของจริงนะ” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต เขามองไปรอบๆห้องโถง จากนั้นก็ย่นหน้าผากและหันไปตั้งคำถามกับเว่ยหรูเหยียน “เจิ้งหยางอยู่ไหนล่ะ?”


“เอ๊ะ? ฉันก็ไม่แน่ใจ เขาน่าจะอยู่ที่นี่…” เว่ยหรูเหยียนชะงัก


ในเมื่อเจิ้งหยางสั่งการให้เธอไปตามท่านอาจารย์ เขาก็ควรจะรอเธออยู่ที่นี่ ทำไมถึงหายตัวไป?


จางเซวียนสำรวจพื้นที่นั้นอย่างถี่ถ้วน แต่ไม่พบร่องรอยของเจิ้งหยาง ลงท้ายเขาก็ทาบฝ่ามือลงบนศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวอย่างแผ่วเบา


ถ้าอยากทำความเข้าใจสถานที่แห่งนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้หอสมุดเทียบฟ้า


“ข้อบกพร่อง!”


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือปรากฏ


จางเซวียนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง


ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเพราะร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นแค่ศพ หรือเพราะที่แห่งนี้ สามารถปิดกั้นสายตาของสวรรค์ได้


น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า จางเซวียนคิดขณะสำรวจพื้นที่โดยรอบต่อไป


เขาเคยใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับศพมาแล้ว ซึ่งข้อจำกัดเดียวที่มีก็คือเขาไม่อาจหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตก่อนความตายของศพนั้นได้มากนัก แต่ส่วนรายละเอียดอื่นๆอย่างเช่นระดับขั้นของศพและอะไรทำนองนั้น จะสามารถประมวลขึ้นเป็นข้อมูลที่บรรจุไว้ในหนังสือ


สิ่งนี้เป็นไปในทำนองเดียวกันเมื่อเขาตรวจสอบของล้ำค่า


แต่การที่ไม่มีอะไรปรากฏเลยก็หมายความว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะถูกปกปิดไว้จากสายตาของสวรรค์ นั่นอธิบายได้ว่าทำไมถึงไม่มีผู้หยั่งรู้คนไหนค้นพบความจริงที่ว่าศิษย์สายตรงผู้แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์ขงได้เสียชีวิตที่นี่


“นี่คือดินแดนโบราณที่ไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ มันเป็นความหวังในการเยียวยาสายเลือดที่เจือจางและเปราะบาง หรือมันจะเป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลที่ว่าทำไมศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวจึงถูกฝังไว้ที่นี่?” จางเซวียนพยายามปะติดปะต่อเงื่อนงำของสิ่งที่ได้เห็น


นอกจากความจริงที่ว่าอาณาจักรโบร่ำโบราณส่วนใหญ่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เบาบาง ทำให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการฝึกฝนวรยุทธ ดินแดนเหล่านี้ยังมีสิ่งลึกลับอยู่มากมายด้วย ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกส่งทะลุมิติมายังอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้ อีกทั้งยังได้พบศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิวที่นี่…สองเรื่องนี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?


จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อสำรวจอีกครั้ง


“มีทางเดินอีกทางหนึ่งอยู่ตรงนี้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะกระทืบเท้าเบาๆ


ครืดดดด!


โลงศพขยับไปด้านข้าง เผยให้เห็นเส้นทางที่ซ่อนอยู่ข้างใต้


จางเซวียนสบตากับเว่ยหรูเหยียนก่อนจะเดินลงไปตามทางเดินนั้น


เว่ยหรูเหยียนตามไปติดๆ


รูปแบบของห้องโถงห้องที่สองเหมือนกันเป๊ะกับห้องแรก แม้แต่ตำแหน่งที่วางโลงศพไว้ก็ยังเป็นตำแหน่งเดียวกัน มันให้ความรู้สึกราวกับพวกเขากำลังคลำทางอยู่ภายในเขาวงกตโบร่ำโบราณ


นอกเหนือจากโลงศพ ทั้งห้องก็ว่างเปล่า ไม่มีใครให้เห็นสักคน


“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เจิ้งหยางน่าจะอยู่ที่นี่” เว่ยหรูเหยียนโพล่งออกมา


“ฮะ?” จางเซวียนมองหน้าเว่ยหรูเหยียน


“มีร่องรอยเล็กน้อยอยู่บนผนังตรงนั้น เท่าที่ดูจากรูปร่างของมัน น่าจะเป็นร่องรอยของเขา” เว่ยหรูเหยียนพูดขณะชี้นิ้วไปที่ผนัง


จางเซวียนมองตามและเห็นรอยยุบอยู่บนผนังนั้น มันมีขนาดพอๆกับตัวเจิ้งหยาง เป็นไปได้ว่ารอยที่เห็นน่าจะเกิดขึ้นจากการที่แผ่นหลังของเจิ้งหยางกระแทกเข้ากับผนัง


“คุณพูดถูก เขาคงเห็นศพในโลงและถอยกรูดไปเพราะความหวาดกลัว…” จางเซวียนให้เหตุผลขณะนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้


มีอะไรอยู่ในโลงนั้นที่ทำให้เจิ้งหยางพรั่นพรึงได้มากกว่าการเห็นศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว?


“เปิดโลงศพดูกันเถอะ!” จางเซวียนสั่งการขณะเดินไปที่โลง


แอ๊ดดดดด!


ฝาโลงถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้า ร่างนั้นมีสีหน้าสุขุมเยือกเย็นราวกับเพิ่งได้พักผ่อนเมื่อไม่นานมานี้


เห็นภาพนั้น เลือดในกายของจางเซวียนเย็นเฉียบ


ศพที่อยู่ภายในโลงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…เจิ้งหยาง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)