ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 186-193
ตอนที่ 186 เทพธิดา
” ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็ไม่อยู่แล้ว น้องจ๋าเจ้าต้องเชื่อฟังนะ กินอาหารเยอะๆ อย่าได้ทิ้งพี่ชายเอาไว้เพียงลำพังนะรู้ไหม? ” ขณะที่เขาพร่ำพูดไปเรื่อยๆ นั้น เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนกลับกลับไม่มีปฏิกริยาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่แม้ตายไปแล้วก็ไม่ยอมปิดคู่นั้นเบิกโพลง
ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วก็ปวดใจอยู่เงียบๆ ตอนนี้ตัวนางเองก็เป็นคนที่มีพี่ชายเช่นกัน หากว่ามีสักวันที่พวกพี่ชายต้องโศกเศร้าเพราะนางเช่นเดียวกับเด็กชายตัวน้อยนี้แล้วล่ะก็ นางคิดว่าตนเองคงจะต้องเสียใจแทบตายเช่นกัน
นางเองก็ไม่รู้ว่าคนที่หิวตายทั้งเป็น ตอนยังมีชีวิตอยู่จะต้องผ่านประสบการณ์แห่งความสิ้นหวังเพียงไร
แถมยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยเท่านี้
ในโลกของนาง เด็กๆ ตัวแค่นี้สมควรอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพ่อแม่ ไปโรงเรียนอนุบาลอย่างไร้ทุกข์ไร้โศกใดๆ
แต่ภายใต้การปกครองของราชวงค์นี้ ชีวิตคนมิได้ต่างไปกับใบหญ้า อย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลย แม้แต่นางที่เป็นไทเฮายังสามารถเสียหัวไปได้ทุกข์ขณะจิต
นางคุกเข่าลงไป พอยื่นมือออกไป ก็เห็นเด็กชายโอบกอดน้องสาวตัวน้อยแนบแน่น
ครู่หนึ่ง เขาก็คลายมือออกอย่างไม่อาจทำอะไรได้ วางน้องสาวลง โขกศีรษะให้ตู๋กูซิงหลันหนักๆ ” พี่ชาย ท่านเป็นหมอ ท่านช่วยน้องสาวของข้าได้ไหม? นางไม่ยอมกินอะไรมาสามวันแล้ว ขอท่านโปรดช่วยนาง จะให้ข้าเป็นวัวเป็นควายรับใช้ท่านก็ได้ทั้งนั้น “
เขาโขกศีรษะตนเองอย่างแรง จนผิวหนังบนหน้าผากแตก เลือดสดๆ ไหลซึม จากข้างแก้มมาถึงลำคอ แลดูยิ่งน่าอนาถใจอย่างที่สุด
” ขอร้องท่านแล้ว “
เขาพูดแล้ว ก็คิดจะโขกศีรษะให้ตู๋กูซิงหลันอีก ตู๋กูซิงหลันดึงเขาขึ้นมา ” น้องสาวของเจ้าไม่อยู่แล้ว “
คำพูดเช่นนี้สำหรับเด็กชายที่อายุเพียงเจ็ดแปดขวบ นับว่าโหดร้ายเกินไปแล้ว
” ไม่มีทาง! น้องสาวเพียงแต่…. เพียงแต่…….” เด็กชายพูดไปก็ สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออกอีก
ที่จริงแล้วเขารู้ดีว่า น้องสาวก็เป็นเหมือนกับพ่อและแม่ ต่างก็ทอดทิ้งเขาไปแล้ว
แต่ว่าเขาไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่มีน้องสาวแล้ว ในโลกนี้ก็เหลือเพียงเขาอยู่อย่างลำพังเพียงคนเดียว
ไม่มีคนรักเขา และไม่มีคนที่เขารัก เขาได้แต่รอความตายอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
” หากว่าข้า….หากว่าข้าหาถังหูลู่มาได้สักเม็ด นางก็คงจะไม่…..ก็คงจะไม่ตาย…….ข้ามันไม่ใช่พี่ชายที่ดี ข้าไม่ได้ดูแลนางให้ดี “
เขานึกว่า เพียงแค่สามารถหาถังหูลู่ที่นางชอบกินมาได้ นางก็จะมีชีวิตคืนมา
ร่างเล็กๆ ของเขาสั่นสะท้าน ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดไหล น้ำตาไหลเป็นทาง โศกเศร้าเสียใจอย่างที่สุด
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางของเขา นางก็ปวดใจจนต้องโอบเด็กชายคนนั้นเข้ามาในอ้อมกอด ลูบไล้ศีรษะของเขาเบาๆ ” ถึงแม้ว่านางจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่ว่าจะได้ไปมีชีวิตอยู่ในที่ที่มีความสุข ที่นั่นไม่มีความหิวโหย ไม่มีความเจ็บปวด ยิ่งไม่มีน้ำหลาก เจ้าสมควรจะยินดีแทนนาง “
บนร่างของเด็กหญิงตัวน้อยยังมีเศษเสี้ยวของดวงจิตที่บริสุทธิ์เหลืออยู่ อีกทั้งยังมิได้ถูกไอพยาบาทในเมืองลี่โจวครอบงำ นางตายตาไม่หลับ คงเพราะห่วงใยไม่อาจทอดทิ้งพี่ชายคนนี้
ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็ยื่นมือออกไปลูบลงบนดวงตาของเด็กหญิงเบาๆ พอดวงตาของนางปิดสนิทแล้ว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสงบขึ้นมา
เด็กชายตัวน้อยมองมา นับตั้งแต่วันที่น้องสาวไม่ยอมกินอะไรเลย เขาก็คิดจะหาทางให้นางหลับตาพักผ่อน แต่ว่าดวงตาของนางกลับไม่ยอมปิดลง
ตอนนี้พี่ชายผู้นี้เพียงแต่ลูบไล้เบาๆ นางก็หลับตาลงแล้ว
ในสายตาของเด็กชายผู้นี้ ตู๋กูซิงหลันพลันกลายเป็นยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบ
น้องสาว…..ได้ไปมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในอีกที่หนึ่งจริงหรือ?
ตู๋กูซิงหลันปล่อยตัวเด็กชาย นางเรียกดวงวิญญาณเด็กหญิงจากร่าง พลางหยิบยันต์ใบหนึ่งออกมา ผนึกลงไปบนดวงจิตของเด็ก
นางนั่งลงขัดสมาธิ สวดมนต์ชักนำวิญญาณไปสู่การจุติใหม่ออกมา ดวงวิญญาณปรากฎแสงสว่างสะอาดบริสุทธิ์ ภายใต้ยันต์คุ้มครองของนาง เด็กหญิงตัวน้อยสมควรเข้าสู้วัฎสังขารได้อย่างราบรื่น ชาติหน้าย่อมสามารถเกิดใหม่ในชาติภพที่ดีได้
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้น ราวกับว่าเขาก็มองเห็นแสงสว่างนั้น
” พี่ชาย ท่านสามารถส่งข้าไปที่เดียวกับน้องสาวได้หรือไม่? ” เขาถามตู๋กูซิงหลันออกมา
” สักวันหนึ่งเจ้าก็จะได้ไป ตอนนี้ยังไม่ได้ ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ โอบอุ้มร่างของเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา ตระเตรียมจะหาสถานที่ฝังกลบนาง
มีแต่กลับคืนสู่พสุธา ดวงวิญญาณจึงจะได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง
เด็กชายไม่ได้ขัดขวางนางอีก เพียงแต่ติดตามนางมาโดยตลอด
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันขุดหลุม เขาก็โกยดินด้วยมือเปล่าอยู่ด้านข้าง สองมือถลอกปอกเปิกจนเลือดออก ก็ไม่ส่งเสียงแม้ครึ่งคำ
พอฝังเด็กหญิงเรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดสนิทลง
เด็กชายโขกศีรษะที่หน้าสุสาน วางแอบเปิ้ลที่กัดไปเพียงคำเดียวทั้งยังสุกจนเน่าแล้วเอาไว้ด้านบน ” น้องจ๋า รอจนข้าได้ไปที่เดียวกับเจ้าที่นั้น จะต้องหาเจ้าจนพบ เจ้าอย่าได้ลืมข้านะ “
ยามนี้ที่จริงเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ว่าอากาศในลี่โจวยังหนาวเย็นกว่าค่ำคืนในฤดูหนาวของเมืองหลวงอยู่หลายส่วน
สายลมพัดหวีดหวิว ราวกับว่ามีภูติผีนับพันนับร้อยกรีดร้องอยู่ที่ริมหู
แต่เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นคล้ายกับว่าคุ้นเคยเสียแล้ว เขาติดตามมาข้างกายตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอด ยามนี้ค่อยกล่าวออกมาว่า ” พี่ชายมาตามหาหรานอ๋องหรือ? “
” อืม ” ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ นางจูงม้า อุ้มเด็กชายขึ้นบนหลังมา เดินกลับไปทางอารามที่ผุผัง
” หรานอ๋องผู้นั้นไม่ได้เรื่อง ท่านอย่าได้ไปตามหาเขาเลย ” เด็กชายนั่งอยู่บนหลังม้าส่ายศีรษะให้นาง
” หืม? เจ้ารู้อะไรมาหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอยู่บ้าง ตลอดทางที่มายังลี่โจว ได้ยินผู้คนสรรเสริญหรานอ๋องไม่น้อย ฟังว่าตอนที่แม่น้ำลี่เหอเอ่อล้นขึ้นมานั้น หรานอ๋องไม่สนใจตนเอง ใช้ร่างเข้ากั้นขวางกระแสน้ำเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาดึงดันพากลับไป เกรงว่าหรานอ๋องเองก็คงไม่เหลือรอดแล้ว
ยังได้ยินมาอีกว่า เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบเภทภัย หรานอ๋องเปิดยุ้งฉางของเมืองลี่โจวออกแจกจ่าย จนแม้แต่ในจวนของตนเองก็เหลือแต่โจ๊กใสที่นับเมล็ดข้าวได้เท่านั้น
จากปากของชาวบ้าน เขานับว่าเป็นอ๋องที่ดีผู้หนึ่ง
ท่านอ๋องที่ได้รับการสรรเสริญผู้หนึ่ง ทำไมพอออกจากปากของเด็กชายก็กลายเป็นไม่ดีแล้ว?
” มีเย็นวันหนึ่งข้าไปที่ตำหนักของหรานอ๋องเพื่อขโมยของกินให้น้องสาว ข้าเห็นเขากินเนื้อ กินเนื้อดิบๆ สดๆ จำนวนมาก เขาโกหกพวกเรา ” เขาเป็นผู้ใหญ่ตัวโตที่หลอกลวง”
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแน่น ขณะที่ครุ่นคิดไปนางก็พาเขากลับมาที่อารามเทพธิดาแล้ว
เด็กชายตัวน้อยเรียกว่า ฮว๋ายอัน เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งห้าที่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำลี่เหอ แม่น้ำลี่เหอไหลท่วมจมหมู่บ้านของเขา เขาและน้องสาวหลบหนีออกมาได้ หลายวันมานี้ได้แต่ขอทานอยู่ในเมืองลี่โจเพื่อประทังชีวิต
เด็กคนนี้ไม่เคยได้กินอิ่มมาหลายมื้อ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล น้องสาวก็ยังมาตายจากไป เรียกว่ากำลังใจในการมีชีวิตแทบจะล่มสลาย
ตู๋กูซิงหลันช่วยทำแผลให้กับเขา ใส่ยา เอาเสื้อคลุมของตนถอดออกให้เขาใช้หนุนเป็นหมอน
หลังเที่ยงคืนไปแล้วสายลมด้านนอกก็ยิ่งพัดแรง
ลมพัดเสียงหวีดหวิว ราวกับว่ามีบางสิ่งพยายามจะบุกเข้ามา ตู๋กูซิงหลันสั่งให้เจ้าไก่ขนดำฟูอยู่ที่อาราม คอยดูแลฮว๋ายอัน
นางล้วงเอายันต์ออกมาหลายใบ ผนึกลงไปบนอารามทั้งสี่ทิศ สุดท้ายก็กวาดตาไปยังเทพธิดาที่มีร่างเป็นงูแวบหนึ่ง ก็เข้าไปปัดหยากไย่บนร่างนั้น ใช้แขนเสื้อเช็ดทำความสะอาดฝุ่นควันบนรูปปั้น จึงค่อยนำวิญญาณทมิฬมุ่งไปยังตำหนักของหรานอ๋อง
พอนางพึ่งจะออกจากวัดไป รูปปั้นเทพธิดาก็คล้ายจะมีความเคลื่อนไหว
ตอนที่ 187 หรานอ๋อง
พอนางพึ่งจะออกจากวัดไป รูปปั้นเทพธิดาก็คล้ายจะมีความเคลื่อนไหว
เพียงครู่เดียวเสียงลมที่โหมแรงอยู่ในวัดที่ผุพังก็ซาลงอย่างรวดเร็ว
แผ่นยันต์ที่ผนึกอยู่บนกำแพงทั้งสี่ทิศก็สว่างวาบ เหล่าดวงจิตที่กำลังเกรี้ยวกราดได้แต่รายล้อมอยู่แต่เพียงด้านนอก
………..
ตำหนักหรานอ๋อง
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเข้าไป ก็ได้กลิ่นเน่าเหม็นที่เข้มข้น
ค่ำมืดมากแล้ว แต่ว่าในตำหนักหรานอ๋องยังคงมีแสงไฟสว่างไสว บ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ ราวกับว่าในจวนมีเรื่องใหญ่ใดกำลังเกิดขึ้น
ตู๋กูซิงหลันสวมชุดดำตลอดร่าง ติดตามไปด้านหลังพวกบ่าวไพร่ จนถึงตำหนักในของหรานอ๋อง
พอพึ่งจะมาถึงในนี้ นางก็ได้กลิ่นคาวสดใหม่ กลิ่นคาวเลือดและคาวปลาปะปนกัน ทั้งยังมีกลิ่นอับคอยกลบทับอีกที
นางคุกเข่าอยู่ที่เชิงกำแพง เห็นแค่ว่ามีเงาของบุรุษผู้หนึ่งถูกแสงโคมทอดอยู่บนหน้าต่าง
” ฮะเฮ่อๆๆ ” เขาไอโขลกอยู่ในลำคอสองสามที ถวายคำนับผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ” ฝ่าบาท กระหม่อมไร้ความสามารถ ทำให้เมืองลี่โจวต้องสูญเสียมากมายถึงเพียงนี้ ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญาด้วย “
ตู๋กูซิงหลันออกจะตกใจอยู่บ้าง นางสมควรที่จะเดาได้ตั้งแต่แรก จีเฉวียนออกจากเมืองหลวงก็เพราะเรื่องอุทกภัยในลี่โจวนี่เอง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะว่องไวถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมาฮ่องเต้ยามเสด็จออกไปไหนมาไหนล้วนเป็นต้องเอิกเกริกยิ่งใหญ่เกรียงไกร ดังนั้นจึงเดินทางกันอย่างอืดอาดยืดยาด
ตลอดทางที่นางมานี้ ก็ไม่เคยได้ยินคนพูดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้เสด็จมายังลี่โจวด้วยพระองค์เองเลย เห็นทีต้องยอมให้เขาจริงๆ
และก็ช่างน่าบังเอิญเหลือเกิน พึ่งจะมาถึงก็เจอเขาเข้าพอดี
นางยอบตัวลง คนแทบจะแนบตัวลงไปกับกำแพง ระมัดระวังตัวกลัวว่าจะถูกพบเข้า
บุรุษที่อยู่ในห้องนั้น น้ำเสียงแหบแห้ง แต่ถ้อยคำที่พูดออกไปก็มีความจริงใจ
คิดๆ ดูแล้วบุรุษผู้นี้คงจะเป็นท่านอาสิบหกจีหรานละมั้ง
หากดูแต่เพียงเงาของเขา คล้ายจะเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง จะพูดจะจาแต่ละทีก็ต้องรวบรวมลมหายใจอยู่หลายเฮือก ท่าทางเหมือนคนที่ป่วยหนักไม่อาจหายขาดจนดูน่าสงสาร
จีหรานพึ่งจะทูลจบ ลูกน้องของเขาก็เสริมว่า ” ท่านอ๋อง ท่านได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว ถึงขนาดไม่คำนึงถึงร่างกายเอาตัวไปขวางน้ำในเขื่อน……”
” หากไม่ใช่เพราะว่าคุณชายรองของตระกูลตู๋กูไม่ยอมฟังคำทัดทาน จะขุดลอกแม่น้ำลี่เหอให้ได้ เรื่องก็คงจะไม่เลยร้ายถึงขนาดนี้ “
” หุบปาก ” จีหรานรอจนลูกน้องพูดจนจบค่อยกล่าวว่า ” คุณชายรองนับเป็นผู้มีความสามารถที่ประเทศชาติต้องการ ทุกสิ่งที่เขาตัดสินใจทำย่อมต้องถูกแล้ว “
” แต่ว่าตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เขากลับหนีหายไปจนไร้ร่องรอย ทั่วทั้งเมืองลี่โจวได้แต่ต้องพึ่งพาท่านอ๋องแบกรับเอาไว้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกท่านอ๋องได้พยายามทัดทานเขาอย่างสุดชีวิตว่าต้องป้องกัน ไม่อาจขุดลอก “
ในใจของเหล่าลูกน้องมีแต่ความโกรธแค้นอย่างชัดเจน
ตู๋กูซิงหลันฟังอยู่ด้านนอก ก็จับความได้อยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน นี่ก็ความหมายว่าพี่รองเรียกร้องขุดลอกแม่น้ำลี่เหอเพื่อควบคุมอุทกภัย แต่ว่าหรานอ๋องให้เสริมแนวป้องกัน ความคิดเห็นของทั้งสองไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายแล้วหรานอ๋องก็ยอมตามพี่รอง
แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือแม่น้ำลี่เหอหลากทะลัก ท่วมใส่หมู่บ้านสิบกว่าแห่งใต้แม่น้ำ ชาวบ้านนับไม่ถ้วนถูกน้ำจำนวนมหาศาลพัดจนจมน้ำตาย
พี่รองไม่กล้าแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงการรายงานจากหรานอ๋องเพียงฝ่ายเดียว
ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยได้พบพี่รองของตนเองมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าพี่รองจะต้องมิใช่บุคคลเช่นนี้
เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่
” ฝ่าบาท คนของกระหม่อมไร้มารยาท ขอฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา ” หรานอ๋องที่อยู่ภายในห้องถวายคำนับอีกครั้ง
แสงสว่างที่จากภายในทำให้เห็นว่าเงาร่างของเขาไหวโอนอย่างไม่มั่นคง
ผ่านไปอีกพักใหญ่ค่อยได้ยินเสียงของฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ในตำแหน่งที่สูงกว่าตรัสออกมาประโยคหนึ่ง ” เสด็จอา เรื่องนี้ลำบากท่านมากแล้ว ยังคงไปพักผ่อนให้ดีเถอะ “
น้ำเสียงที่เย็นเฉียบเช่นเดิมลอดผ่านหน้าต่างมาเข้าหูของตู๋กูซิงหลัน ทั้งที่ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ว่านางกลับรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
” กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงละเว้น ” หรานอ๋องคุกเข่าอยู่บนพื้นน้อมคำนับลงไป ” กระหม่อมจะทุ่มเทกำลังเสาะหาเบาะแสของคุณชายรองตู๋กูอย่างเต็มที่ ฝ่าบาทเสด็จมาเหนื่อยล้า กระหม่อมขอทูลเชิญประทับในสถานที่อันซอมซ่อนี้ชั่วคราวก่อน “
” ไม่เป็นไร ” ฮ่องเต้ตรัสเสียงราบเรียบ
” เรือนทางตะวันตกจัดแจงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ยามค่ำคืนในลี่โจวไม่ปลอดภัย ขอฝ่าบาททรงพักผ่อนโดยเร็วเถอะพะยะค่ะ ” ขณะที่หรานอ๋องทูลไป ก็เห็นว่าฝ่าบาททรงประทับยืนขึ้นมา
ภายใต้แสงโคมไฟ เรือนร่างของเขายืนตรงสง่างามดุจต้นสน รูปหน้าที่ชัดเจนทำให้เกิดเงาตกลงบนหน้าต่าง กลายเป็นเงาที่งดงาม
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่เปิดออก จีเฉวียนทรงชุดเรียบๆ สีอ่อนไพล่มือไว้ด้านหลังเสด็จออกมา
พอถอดชุดมังกรออกไป ทั้งที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างคนธรรมดา แต่เพราะคนมีรูปลักษณ์งามจนถึงขั้นล้ำเลิศ เรือนร่างก็งามสง่า เสื้อผ้าที่ดูไปแสนจะธรรมดากลับกลายเป็นเลอค่าขึ้นมาอีกมากโข
ตู๋กูซิงหลันแอบดูเขาอยู่ที่ตรงกำแพง ในสมองของนางมีเพียงสองคำวนเวียนอยู่ ‘หล่อโคตร’
นี่เป็นราศีสูงส่งที่สะท้อนออกมาจากภายใน ไม่ว่าจะขยับมือวาดเท้าอย่างไรล้วนมิอาจปิดบังความสง่างามสูงส่งนี้ไปได้
ท่ามกลางความมืดมิด เส้นพระเกศายาวพลิ้วไหว ราวกับคุณชายสูงศักดิ์ในราตรีมืดมิดผู้หนึ่ง ทำให้หัวใจผู้คนวาบหวิว
ขนาดวิญญาณทมิฬยังชมดูจนใจลอยไปอยู่บ้าง ” ข้ารู้สึกว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้เปรียบเทียบกับเจ้าผู้เฒ่าซื่อม่ออาจารย์ของเจ้า ก็ไม่แพ้กันสักเท่าไหร่ “
เป็นพวกที่ยิ่งได้ชมดูก็ยิ่งรู้สึกว่างดงาม
ตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจเขา ที่ข้างกายจีเฉวียนไม่มีผู้ติดตามแม้สักคน เป็นถึงประมุขของแว่นแคว้นแห้งหนึ่ง กลับกล้ามายังเมืองลี่โจวแต่เพียงผู้เดียว ใจของเขาออกจะบ้าบิ่นเกินไปหน่อยแล้ว
สายลมยามค่ำคืนยังไม่ยอมหยุด เสียงหวีดหวิวร่ำร้อง คล้ายกับเป็นวิญญาณผู้ตายมากมาย แม้จะรายล้อมอยู่รอบตัวเขา แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้
วิญญาณแต่ละตนยังไม่ทันได้เข้าใกล้เขา ก็มีอักขระจากยันต์ที่ตาเปล่ามิอาจมองเห็น ปรากฎขึ้นรายล้อมเป็นวงเวทย์ ปกป้องเขาเอาไว้ตรงกลาง
ยันต์คุ้มครองที่ตู๋กูซิงหลันวาดขึ้นด้วยตนเองย่อมแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
จีเฉวียนคล้ายกับว่าทรงรู้สึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ สองเนตรหงส์ปรายตามาที่ด้านหลัง ตู๋กูซิงหลันได้แต่รีบกลั้นลมหายใจ
กลางคืนลมแรง เขาจึงมิได้รั้งอยู่นาน เพียงครู่เดียวก็เสด็จไปทางเรือนตะวันตก
หรานอ๋องยังคงยืนส่งเขาอยู่ที่เดิม
บุรุษผู้นี้มองดูแล้วมีอายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างผ่ายผอม ดวงหน้าซีดขาว โครงหน้ามีเหลี่ยมมุม ใต้ตามีรอยเขียวคล้ำ
ทั้งๆ ที่รู้ลักษณ์ของเขาก็นับว่าไม่เลวร้าย แต่ดวงจิตของเขากลับเข้าขั้นย่ำแย่ ทำให้กลายเป็นคนอ่อนแออมโรค
แถมที่จริงแล้วเขายังเป็นคนหลังค่อมน้อยๆ อีกด้วย รอจนจีเฉวียนเสด็จจากไปไกลแล้ว เขาถึงได้ยืดตัวขึ้นมามองไปยังเงาหลังของพระองค์อยู่อีกพักใหญ่
” ท่านอ๋อง ท่านก็พักผ่อนให้มากๆ เถอะ ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว เรื่องที่เหลืออยู่นี้ฝ่าบาทจะต้องทรงจัดการอย่างดีเป็นแน่ ” ผู้ติดตามเขากล่าวเตือนด้วยความห่วงใย
หรานอ๋องได้ฟังแล้ว ก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างลึกลับอยู่บ้าง ” ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องรบกวนฝ่าบาทลำบากมากหน่อยแล้ว “
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด รอยยิ้มนั้นดูน่าหวาดหวั่นอยู่บ้าง แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่ชมดูอยู่ก็ยังรู้สึกขนลุกขึ้นมา
จากนั้นก็ได้ยินหรานอ๋องกล่าวอีกว่า ” จดจำไว้เสริมกำลังทหารเข้าไปอีก จะต้องหาตัวตู๋กูเจวี๋ยออกมาให้ได้ อยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ “
” ขอรับ “
รอจนดวงไฟในห้องของหรานอ๋องดับลง ตู๋กูซิงหลันถึงได้หลบออกไป
หลังจากครึ่งคืนไปแล้วตู๋กูซิงหลันถึงได้คลำทางมาจนถึงห้องครัวของตำหนักอ๋อง ท้องว่างมาแล้วทั้งวัน นางเองก็หิวมากแล้ว
ในอารามร้างเองก็ยังมีฮว๋ายอันที่หิ้วท้องหิวอยู่อีกคนหนึ่ง นางย่อมไม่อาจปล่อยไปอย่างไม่สนใจไยดีได้
ห้องครัวของหรานอ๋องว่างเปล่า ไชเท้าผักสดอะไรก็ร่อยหรอ ข้าวสารและแป้งแทบจะติดก้นหม้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื้อสัตว์อะไรแล้ว
ตู๋กูซิงหลันพลิกหาดูอยู่ครู่ใหญ่ ก็หาพบแต่เพียงแค่หมั่นโถขาวสองใบและผัดผักจานเล็กๆ จานหนึ่ง
นางหยิบหมั่นโถได้ก็เตรียมจะหลบออกไป ก็เห็นเงาสีดำที่ดูคุ้นเคยพลิกเข้ามาทางหน้าต่าง
ตอนที่ 188 ไทเฮาทรงอ่อนแอ และบอบบาง
ตู๋กูซิงหลันถูกขวางเอาไว้ นางก็รีบถอบไปข้างหลัง พอคิดจะวิ่งหนี ข้อมือก็ถูกคว้าจับเอาไว้แน่น
ไม่ทันรอให้นางได้ส่งเสียง ฝ่ามือใหญ่โตนั้นก็ปิดปากนางเอาไว้แน่น คนผู้นั้นกระซิบข้างหูนาง ส่งเสียงเบาๆ คำหนึ่งว่า “ชู่ว์”
รอบด้านมืดมิด นอกเรือนไม่มีแสงสว่างใดๆ ตู๋กูซิงหลันพยายามอย่างไรก็ไม่อาจจะมองเห็นลักษณะของคนผู้นี้ได้ แต่พอได้ยินเสียงเพียงคำเดียวเท่านั้น นางก็จดจำได้ในทันที
น้ำเสียงที่เย็นประดุจแผ่นน้ำแข็ง ไม่ใช่จีเฉวียนแล้วจะยังเป็นใครไปได้กัน
แต่ว่าจีเฉวียนกลับเอาแต่ปิดปากนาง ไม่ให้โอกาสนางได้พูดแม้สักน้อย ลากตัวนางถอยไปด้านหลังไหข้าวสาร ที่ด้านหลังไหข้าวเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย เขาก็ลากตู๋กูซิงหลันเข้าไปข้างในนั้น
จากนั้นฝ่ามือใหญ่ก็กอดเอวของนางเอาไว้แน่นดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมอก
” ฝ่าบาท ท่านเป็นขโมยหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา โดยไม่เข้าใจความหมายของจีเฉวียนเลยสักนิด
นางพูดพึ่งจะจบ ก็ได้ยินเสียงท้องของจีเฉวียนร้องดังโครกครากอยู่สองรอบ
ช่างน่าอายจริงๆ
ในมือของตู๋กูซิงหลันยังมีหมั่นโถอยู่อีกลูกหนึ่ง นางจ้องมองเขาอย่างตกตะลึงไปในทันที ” ฝ่าบาท ท่านหิวหรือไม่? “
นางพูดไป ก็พยายามจะแอบซุกหมั่นโถเข้าไปในอ้อมอก
ในความมืดมิด ดวงเนตรของจีเฉวียนทอประกายเย็นวาบออกมา ริมโอษฐ์บางก็โฉบเข้าไปกัดลงคำหนึ่ง
ค่อยๆ เคี้ยวช้าๆ พอกลืนลงท้องไปค่อยตรัสว่า ” เราไม่ได้หิว เราเพียงคิดจะลิ้มลองอาหารของชาวบ้านดูบ้างเท่านั้น ถือเป็นการร่วมทุกข์กับประชาชน “
ตู๋กูซิงหลัน “? ” คำพูดนี้ ยังเสแสร้งได้อีก?
จีเฉวียนตรัสพึ่งจะจบ ท้องที่ไม่รักหน้าของเขาก็ร่ำร้องโครกครากขึ้นมาอีก
ตู๋กูซิงหลันรีบเอาหมั่นโถที่ถูกกัดไปแล้วคำหนึ่งยัดลงไปในอกเสื้ออย่างรวดเร็ว
” ปีศาจขี้เหนียว ” จีเฉวียนเขกหน้าผากนางไปครั้งหนึ่ง
เขาเขกนางเสียแรง จนตู๋กูซิงหลันคิดจะขยับออกจากตัวเขา แต่เพราะทั้งสองคนอิงแอบกันอย่างแนบแน่น หากว่าฝืนขยับคงไม่อาจหลีกเลี่ยงจะไม่ให้เกิดเสียงได้ หากทำให้คนในตำหนักหรานอ๋องเอะใจเข้าคงจะไม่ดีเท่าไหร่
” ท่านเป็นถึงประมุขของแคว้นหนึ่ง ดึกๆ ดื่นๆ ต้องมาหาของกินแถวนี้หรือ? ตำหนักพระเจ้าอาของท่านรึก็ใหญ่โต เพียงมีที่ให้อยู่ไม่มีข้าวให้กินหรือยังไง? ” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอย่างยิ่ง
ต่อให้เมืองลี่โจวลำบากยากแค้นเพียงไร ก็คงไม่มีทางปล่อยให้ฮ่องเต้ทรงหิวตายได้
ความกล้าของจีหรานนับว่าเกินกว่าธรรมดาไปมาก
แต่เมื่อครู่กวาดดูทั่วทั้งครัวแล้ว กระทั่งน้ำแกงยังใสเป็นเป็นน้ำปล่า อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น ตำหนักหรานอ๋องนับว่ายากจนถึงขั้นว่างเปล่าจริงๆ
นางไม่ทันได้สังเกตเลยว่าจีเฉวียนทรงทราบว่านางอยู่ที่นี่ จึงไม่ทันได้มีทีท่าแปลกใจใดๆ
พอนางพึ่งกล่าวจบ จีเฉวียนทรงใช้พระดัชนีตั้งขวางริมฝีปากของนางไว้ เป็นนัยว่าให้เงียบ
จากนั้น ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูครัว เงาร่างที่ผ่ายผอมอ่อนแอเดินเข้ามา
ในมือของเขามีกระบอกไต้ใส่เชื้อไฟ แสงริบหรี่ที่ส่องออกมานั้น ทำให้ใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมดูดุร้ายน่ากลัวกว่าเดิม
คนผู้นี้ย่อมเป็นจีหรานอย่างแน่นอน
พอเขาเข้ามาข้างในก็ปิดประตูเสียสนิท จากนั้นก็อาศัยแสงสว่างเดินต่อไป
เขาเปิดฝาหม้อใบใหญ่ออก คนก็กระโดดลงไปในหม้อใหญ่ใบนั้น กระทั่งแสงจากกระบอกไต้ก็ยังหายวับไปด้วย
ที่แท้ ก็เป็นเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันเข้าใจขึ้นมาทันที เตาไฟในห้องครัวมีกลไก เกรงว่าในนั้นคงจะมีทางลงไปยังห้องลับนั่นเอง
รอจนกระทั่งจีหรานจากไปนานจนได้พักใหญ่แล้ว จีเฉวียนถึงได้ปล่อยตัวตู๋กูซิงหลัน
เขาค่อยๆ กวาดมองทั้งซ้ายและขวา จึงหันมาจดจ้องดูนางอยู่ในความมืด ” ลี่โจวเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา “
ตู๋กูซิงหลัน ” แต่ข้าก็มาแล้ว “
” เราตามใจเจ้ามากไปแล้ว ถึงได้ทำให้เจ้ากล้าเย้ยฟ้าท้าดินถึงเพียงนี้ ” จีเฉวียนทรงเขกหน้าผากนางแรงๆ อีกครั้งหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะว่ามีนู๋นัวคอยลอบส่งข่าวให้เขาอยู่ตลอด เขาคงไม่มีทางทราบได้ว่าสตรีผู้นี้กล้าบ้าบิ่นเพียงไร ถึงได้เดินทางมาเพียงคนเดียวจนถึงที่นี่
เมื่อครู่ตอนที่ออกมานอกเรือนของจีหราน เขาก็ได้กลิ่นหอมคล้ายกับดอกกุหลาบนั้นแล้ว
คนที่ดักฟังอยู่ใต้กำแพงผู้นี้ช่างไม่มีฝีมือของผู้ชำนาญเลยสักนิด
ตู๋กูซิงหลันถูกเขกเสียจนเจ็บจริงๆ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไปฝึกวิชาเขกหน้าผากมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ยังมี เขาเคยตามใจนางมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
มีแต่กลั่นแกล้งนางอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน ชนิดเอาเป็นเอาตายเสียด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่เพราะว่านางฉลาดมีไหวพริบทั้งยังใจกล้าอย่างหน้าไม่อาย เกรงว่าคงถูกเขากลบฝังไปตั้งแต่แรก
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช้เวลาจะมาพูดคุยเรื่องนี้กัน ตอนนี้นางต้องการจะติดตามจีหรานลงไปดูว่าเขากำลังทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่
จมูกของฮ่องเต้สุนัขว่องไวถึงเพียงไหน ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกถึงกลิ่นบนตัวของเขา
กลิ่นพวกนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง
อีกทั้งคนก็ประหลาดอยู่มาก เรื่องที่พี่ชายหายตัวไปเขาย่อมหนีความเกี่ยวข้องไม่พ้น
” ฝ่าบาท ไม่คิดจะเสด็จไปดูสักหน่อยหรือเพคะ? ” ตู๋กูซิงหลันรีบกล่าวออกมา
” เราย่อมมีวิธีตรวจสอบ ” จีเฉวียนตรัส ทันใดนั้นก็โอบอุ้มนางขึ้นมา พลิกตัวพุ่งออกจากหน้าต่าง หลบออกจากตำหนักของหรานอ๋องอย่างรวดเร็ว
สองหัตถ์ของเขาโอบกอดนางไว้ คนแทบจะโบยบินอยู่เหนือหลังคา
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแต่เสียงลมที่สองข้างหูเช่นเลย รอบด้านมีแต่ความขมุกขมัว
วรยุทธ์ของจีเฉวียนสูงล้ำอย่างยิ่ง แม้แต่ยามเหาะผ่านหลังคาบ้านก็ยังรู้สึกได้ถึงความอาจหาญไร้ความกลัวใดๆ
เขาพานางมายังป่าไผ่นอกเมือง ในป่าไผ่มีเรือนหลังเล็กหลังหนึ่ง ที่ด้านนอกเรือนมีเหล่าองครักษ์คอยคุ้มครองอยู่
พอเห็นจีเฉวียนพาตู๋กูซิงหลันมาด้วย พวกขาก็แสดงความแปลกใจออกมาอยู่บ้าง แต่ว่ายังคงคุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างพร้อมเพรียง ” ถวายพระพรฝ่าบาท “
จีเฉวียนโบกพระหัตถ์ พวกเขาก็ลุกขึ้น ถอยออกไปเฝ้าที่ด้านนอก
จากนั้นเขาถึงได้นำตู๋กูซิงหลันเข้าไปในเรือน ภายในเรือนนักพรตอู๋เจินที่กำลังวาดยันต์อยู่พอเห็นนางเข้า ก็แทบจะกระโดดขึ้นมา
” ทะ ทะ ไท…. ไท….ไทเฮา? ” ตายแน่ๆ เทพเซียนผู้นี้ทำไมถึงได้มาปรากฎตัวที่นี่ได้กัน?
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาเข้าก็ต้องประหลาดใจไปเช่นกัน นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเก็บกริยาของตัวเอง ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง ” ท่านอาจารย์ “
อ้ายโย่ว เรียกอาจารย์เข้าคำหนึ่งก็แทบจะทำเอาอู๋เจินลาตายขึ้นสวรรค์ไปเสียแล้ว
เขาไหนเลยจะกล้าเป็นท่านอาจารย์ของท่านเซียนกัน!
แต่จะให้ปฎิเสธไม่รับก็ไม่ได้ เมื่อถูกตู๋กูซิงหลันส่งสายตาเขม่นให้ ก็ไม่อาจไม่พลิกลิ้น ” ศิษย์ไทเฮา เจ้ามายังลี่โจวหรือ? “
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบว่าอย่างไร จีเฉวียนก็ตรัสด้วบน้ำเสียงเย็นชาว่า ” ไทเฮาห่วงใยเรา จึงติดตามพันลี้มาดูแลเรา “
อู๋เจินทำสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ” อ๋า? “
เขายังนึกว่าท่านเซียนไทเฮาพบว่าเมืองลี่โจวปรากฎสิ่งอัปมงคลขึ้นมา จึงได้เสด็จมากวาดล้างด้วยตนเองเสียอีก
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าห่วงใยฝ่าบาทเท่านั้นเองหรอกหรือ?
ฝ่าบาท ช่างมีหน้ามีตาใหญ่โตนัก
” ไทเฮาทรงอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจตรากตรำ อย่าได้ปล่อยให้นางออกไปวิ่งวุ่นวาย ” ว่าแล้วจีเฉวียนก็ทรงตรัสอีกว่า ” อู๋เจิน แต่ไหนแต่ไรมาไทเฮาทรงเลือกเสวย หลายวันนี้เจ้าจงรับผิดชอบดูแลเครื่องเสวยของนาง “
อู๋เจิน ” หือ? ” ดะ เดี๋ยวก่อน อยู่ๆ เขาก็ถูกลากมาอยู่ท่ามกลางสถานที่อัปมงคลเช่นนี้ ก็นับว่าน่าสงสารจนอนาถมากแล้ว ทำไมอยู่ๆ ถึงต้องตกต่ำลงไปจนถึงขั้นกลายเป็นพ่อครัวให้กับไทเฮาด้วยเล่า?
ยังมีอีก……ไทเฮาทรงอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจลำบากหรือ? ขอถามฝ่าบาทหน่อยเถอะว่าทรงเอาความกล้าจากที่ใดมาตรัสกัน?
ยากนักที่ฮ่องเต้จะทรงมีน้ำพระทัยดีอธิบายเพิ่มขึ้นอีกสักประโยค ” องครักษ์ของเราไม่มีผู้ใดทำอาหารเป็น “
อู๋เจิน “…….” ตรัสเสียงราวกับว่าข้านักพรตหน้าตาเหมือนคนทำอาหารได้เสียอย่างนั้น
คำพูดเหล่านี้เขาย่อมไม่กล้ากล่าวออกมา ได้แต่ฝืนผงกศีรษะไปอย่างหน้าด้านๆ จากนั้นก็หันกลับไปจ้องมองไทเฮาด้วนสีหน้าคับข้องใจอย่างเต็มที่
ตอนที่ 189 เกิดได้ด้วยศรัทธา ดับไปก็ด...
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะน้อยๆ ” รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”
นักปรตอู๋เจินปวดหัวจนศีรษะบวม ท่านเทพ ขออย่าได้เรียกเขาเป็นอาจารย์เลย ทุกครั้งที่เรียกเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตนเองอายุสั้นไปสิบปี
เขาน้อยใจเสียจนได้แต่นั่งวาดวงกลมไปมาอยู่บนกระดาษยันต์ ทั้งที่เป็นถึงท่านนักพรตอู๋เจินแห่งอารามเทียนเก๋อกวนแท้ๆ แต่พอมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นใครไปแล้วก็ไม่รู้
ในเรือนไผ่จุดเทียนเอาไว้เล่มหนึ่ง ยามนี้จีเฉวียนถึงค่อยมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
นางสวมใส่ชุดดำตลอดร่าง เกล้าผมหางม้ารวบสูง ดูเป็นคุณชายน้อยที่งดงามผู้หนึ่ง ฟังนู๋นัวบอกว่า ตลอดทางมานี้นางล่อลวงจิตใจสาวน้อยทั้งหลายมาไม่น้อยเลยทีเดียว
ไล่ตามบุรุษหนุ่มเพื่อส่งมอบดอกไม้และผลไม้ เป็นวิธีการบอกรักของสตรีในต้าโจว นางหน้าตางดงามถึงขนาดนี้ในสมองกลับไม่รู้จักไตร่ตรองบ้างหรือ จีเฉวียน รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่า กำแพงวังของตำหนักเฟิ่งหมิงนั้นเตี้ยเกินไปแล้วจริงๆ
” เจ้าอยู่ที่นี่ให้ดีๆ ด้านนอกมีอันตรายมาก อย่าได้วิ่งวุ่นวาย” จีเฉวียน ตรัสสั่งอีกประโยคหนึ่งก็หมุนตัวออกไปจากเรือนไม้ไผ่
ตู๋กูซิงหลัน มองดูเขากลืนหายไปกับราตรีที่มืดมิด เงาหลังนั้นกลมกลืนไปกับความมืด ดูไปช่างโดดเดี่ยวโดยแท้
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?
อู๋เจินมองตามสายตาของนาง ก็ยื่นมือออกมาโบกส่ายอยู่ตรงหน้า ” ท่านเทพไทเฮา ที่แท้ท่านก็เป็นดังที่เขาเล่าลือกันจริงๆ? มีพระทัยให้กับฝ่าบาทอย่างลึกล้ำ! “
ตู๋กูซิงหลัน ” หืม? ” ข่าวลือผีสางอะไร ทำไมนางจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
” หลังปีใหม่ผ่านไป ในเมืองหลวงล้วนล่ำลือกันไปทั่ว ว่าท่านหลงใหลฝ่าบาทอย่างนั้นอย่างนี้ กระทั่งพวกเราอารามเทียนเก๋อกวนที่ไม่สนใจเรื่องโลกภายนอกยังได้ยินเหล่าลูกศิษย์พูดคุยกันเรื่องนี้ “
ดูจากสายตาของไทเฮาที่มองตาฝ่าบาทเมื่อครู่ ก็รู้ว่ามีความปวดใจแฝงอยู่ในนั้น
ตู๋กูซิงหลัน ” ลูกศิษย์ของพวกเจ้าเทียนเก๋อกวนล้วนมิใช่ตัวดี “
เรื่องที่อิสตรีนินทากัน เด็กหนุ่มพวกนั้นพูดพล่อยอะไรด้วย
ว่าแล้ว นางก็กล่าวอีกว่า ” อย่ามามัวพูดเรื่องนี้เลย ฮ่องเต้เสด็จลี่โจว ถึงกับพาเจ้ามาด้วย ที่แท้แล้วพวกเจ้าพบเห็นอะไรกันแน่? “
พอพูดถึงตรงนี้สีหน้าของอู๋เจินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ” เรื่องนี้พูดไปแล้วยาว คิดว่าท่านเองก็คงได้พบแล้วว่า เมืองลี่โจวเต็มไปด้วยกลิ่นไออัปมงคล ข้าส่งสัยว่าจะมีปีศาจ ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแม่น้ำลี่เหอด้วยก็ได้ “
” ดังนั้นฮ่องเต้จึงพาเจ้ามากำจัดปีศาจ? ” ตู๋กูซิงหลัน เหลือบตามองดูเขาแว่บนึง ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อถืออู่เจิน เพียงแต่ว่าความสามารถของอู่เจินนั้นมีอยู่อย่างจำกัด หากว่าเจอกับอะไรที่ร้ายกาจเข้าแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเขาจะรับมือได้
จีเฉวียนเป็นคนที่วางแผนซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร ปกติแล้วไม่มีทางที่จะทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ
” ท่านเทพไทเฮา ท่านสบประมาทข้าเช่นนี้ ข้านักพรตเจ็บปวดยิ่งนัก ” อู๋เจินจับที่หัวใจของตนเอง ” พวกเราอารามเทียนเก๋อกวนปวรนาตัวช่วยเหลือสัตว์โลกมาโดยตลอด ข้านักพรตจะอย่างไรก็เป็นถึงหนึ่งในสามผู้อาวุโส ถึงแม้มิอาจเทียบได้กับท่าน แต่ก็นับว่าพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง “
พูดจบแล้วเขาก็กล่าวอีกว่า ” คุณชายรองตู๋กูใช้วิธีระบายน้ำรักษาสมดุล เดิมทีนี่เป็นวิธีที่ดีมาก หากว่ามิได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ระดับน้ำในแม่น้ำลี่เหอย่อมสมควรจะรักษาให้คงเอาไว้ได้ ทั้งๆ ที่กำลังไปได้ดีอยู่แท้ๆ แต่กลับเกิดเหตุขัดขวาง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่านี่เป็นฝีมือคนหรือว่าปีศาจกันแน่? “
” แม่น้ำลี่เหอสายนี้เลี้ยงดูผู้คนมานับร้อยรุ่น ทุกวันนี้ไหลผ่านพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนต้าโจว ถือเป็นแม่น้ำสายหลักของต้าโจว” อู้จินยังคงว่าต่อไป ” ท่านอายุยังน้อยคงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแม่น้ำสายนี้ก็มีเทพธิดาพิทักษ์สายน้ำอยู่องค์หนึ่ง ภายใต้การคุ้มครองของเทพธิดา ชาวประชาล้วนอยู่ดีมีสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์ ต่อมาแม่น้ำลี่เหอได้รับความสกปรก เทพธิดาประจำสายน้ำแห่งนี้ก็ต้องมัวหมองไปด้วย สุดท้ายกลายเป็นถูกชาวบ้านลืมเลือน”
ขณะที่อู๋เจินพูดไปอย่างนั้น ตู๋กูซิงหลันก็พลันคิดถึงรูปปั้นเทพธิดาที่มีร่างเป็นงูในอารามผุพังหลังนั้นขึ้นมาได้
ยามนี้คิดย้อนกลับไป ใบหน้าของเทพธิดาผู้นั้นดูแล้วโศกเศร้าทุกข์ใจ ทั้งยังมีความผิดหวังในผู้คน
” เทพที่ได้รับการกราบไหว้บูชาจากผู้คน จึงจะเป็นอมตะอยู่ได้ หากว่าศรัทธาของผู้คนเสื่อมสลาย เทพแม้จะยังคงอยู่ได้แต่ก็อ่อนแอ ท่านเทพธิดาประจำแม่น้ำลี่เหอผู้นั้นถูกชาวบ้านลืมเลือน หากว่าในแม่น้ำลี่เหอมีอะไรอยู่จริง เกรงว่าแม้แต่นางก็คงไม่อาจต้านทานได้”
ที่อู๋เจินพูดไป ตู๋กูซิงหลันย่อมเข้าใจดี
เหล่าทวยเทพทั้งหลาย เกิดได้ด้วยศรัทธา ดับไปก็ด้วยศรัทธา
แม้ที่ผ่านมาจะมีชีวิตอย่างยืนยาว แต่ก็อาจดับสูญไปได้ด้วยเมื่อไร้ซึ่งจิตศรัธาของมนุษย์
เทพธิดาประจำแม่น้ำลี่เหอเองก็เป็นเช่นนี้
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้ชักสีหน้าพูดขึ้นมาว่า ” ความหมายของเจ้าก็คือ ในแม่น้ำลี่เหอมีปีศาจ”
อู๋เจินผงกศีรษะ ” เดิมทีข้าได้วางวงเวทย์ไว้ที่ก้นแม้น้ำลี่เหอ คิดจะจับกุมเจ้าตัวนั้นเอาไว้ ใครจะไปนึกว่ามันช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ถึงกับหลบหนีไปได้ เหลือเอาไว้แต่เพียงสิ่งนี้ “
อู๋เจินพูดพลาง ก็ล้วงเอาเกล็ดสีน้ำตาลอมเทาออกมาจากในแขนเสื้อ
เกล็ดนี้มีขนาดเท่ากับกำปั้นของเด็ก บนนั้นยังมีรอยเลือดและกลิ่นคาวที่เหม็นคลุ้งจมูก กลิ่นคาวเช่นนี้คุ้นเคยมาก
” นี่เป็นของที่ได้จากเจ้าตัวนั้น ” สีหน้าของอู๋เจินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ” มันได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้คงไม่อาจออกมาอาละวาด “
” จุดที่เขื่อนแตก ฝ่าบาทก็ได้นำข้านักพรตไปตรวจดูด้วยตนเอง แถวนั้นก็มีกลิ่นคาวหลงเหลืออยู่เช่นกัน นี่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้อกับเจ้าปีศาจตัวนี้แน่ๆ “
ว่าแล้ว เขาก็ส่งมอบเกล็ดชิ้นนั้นให้กับตู๋กูซิงหลัน
ทันทีที่สัมผัสโดนก็เกิดความรู้สึกราวกับถือแผ่นเหลักแช่น้ำแข็ง พาให้คนอดที่จะขนลุกกราวไม่ได้
วิญญาณทมิฬตื่นตระหนกขึ้นมา ” ดูขนาดของเจ้าเกล็ดนี่สิ
อย่างน้อยๆ คงจะต้องบำเพ็ญตบะมาพันปีกระมัง ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรืออสูร หรือว่าเป็นตัวอะไร ทำยังไงดี น่าตื่นเต้นจังเลย ไม่รู้ว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร! ”
หากว่าได้กินเจ้าตัวนี้ลงไป ไม่แน่ว่า มันอาจจะสามารถสร้างร่างเนื้อขึ้นมาได้ในทันทีเลยก็เป็นได้
ตู๋กูซิงหลันเพ่งมองดูเกล็ดชิ้นนั้นอยู่นาน
อู๋เจินเห็นนางจับจ้องมองดูอย่างจริงจัง ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ” จริงสิวันที่ เขื่อนแตกนั้น มีชาวบ้านไม่น้อยได้ยินเสียง กรีดร้องกึกก้องดังมาจากแม่น้ำ แต่เสียงน้ำหลากในแม่น้ำก็ดังมาก ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่แน่ใจว่า เป็นเสียงอะไรกันแน่”
ตู๋กูซิงหลันฟังแล้ว ก็นิ่งไปครู่ใหญ่ ค่อยกล่าวออกมาสองคำ ” อสรพิษจำแลงกาย “
ชาติก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ท่านอาจารย์เคยเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง นี่เป็นสัตว์อสูรในตำนานของแผ่นดินใหญ่ตัวหนึ่ง เกล็ดเย็นดั่งเหล็กในหิมะ ร่างมีกลิ่นคาวคละคุ้ง พละกำลังรุนแรงไร้ที่เปรียบ เสียงกรีดร้องของมันสามารถสร้างน้ำหลากได้
ในแม่น้ำลี่เหอ ถึงกับมีเจ้าปีศาจเช่นนี้อยู่จริง?
วิญญาณทมิฬตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา ” เป็นไปไม่ได้? หากว่านั่นเป็นอสรพิษจำแลงจริง เจ้าในตอนนี้ จะสู้มันไหวหรือ? “
หากว่าเป็นอสรพิษจำแลงกายขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าตู๋กูซิงหลันคงต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
ตู๋กูซิงหลันคืนเกล็ดชิ้นนั้นให้กับอู๋เจิน ในแม่น้ำลี่เหอมีตัวประหลาดอยู่จริงๆ แต่ว่าจะใช่อสรพิษจำแลงหรือไม่ตอนนี้ยังไม่อาจสรุปได้
ที่นางกังวลมากกว่าก็คือพี่รอง
นับตั้งแต่ที่เขาหายตัวไปตอนนี้ก็กินเวลาไปสิบวันแล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย นางย่อมต้องร้อนใจ
อู๋เจินเห็นท่าทางของนาง ก็คาดเดาว่านางคงกำลังกังวลในเรื่องคุณชายรองตู๋กู เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้ว่าสมควรจะพูดกับนางดีหรือไม่
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่รีๆ รอๆ ของเขา ” เจ้ายังมีเรื่องใดปิดบังข้าอยู่อีก? “
อู๋เจินอ้าปากหุบปาก พอคิดถึงพระพักตร์ที่เย็นชาเป็นน้ำแข็งของฮ่องเต้ขึ้นมา ก็คิดว่ายังคงไม่พูดจะดีกว่า
เขาส่ายศีรษะติดๆ กัน พูดกลบเกลื่อนไปว่า “ไม่มีเรื่องอะไร ฝ่าบาทรับสั่งให้คุ้มครองท่านให้ดี ไม่ว่าเรื่องใดพระองค์ย่อมสามารถจัดการได้ พระองค์มิใช่ฮ่องเต้ธรรมดา ” ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลงในทันที นางสะบัดฝ่ามือตบลงบนหัวไหล่ของอู๋เจิน ” อู๋เจินน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่กล้าโกหกข้า จะมีจุดจบเป็นเช่นไร? “
ตอนที่ 190 แค่งูตัวหนึ่ง ไหนเลยจะมีฐา...
อู๋เจินเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที เขาพบแล้วว่า ยามที่ฮ่องเต้และไทเฮาข่มขู่ผู้คนนั้น ล้วนมีท่าทางดุจเดียวกันเลย
คนทั้งสองนี้สมควรไปเป็นสามีภรรยากดขี่ข่มเหงกันเอง ปล่อยปละละเว้นผู้อื่น ถือเป็นการสร้างกุศลแก่โลก
” โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์~ ” เขาเช็ดคราบเหงื่อเย็นๆ บนศีรษะ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ค่อยอ้ำๆ อึ้งๆ ออกมาว่า “ที่จริงแล้ว บริเวณนั้น พบหยกประจําตัวชิ้นหนึ่ง “
” บนหยกแผ่นนั้นสลักชื่อของคุณชายรองเอาไว้ ตอนที่พบหยกบนนั้นมีรอยเลือดอยู่ด้วย….” อู๋เจินมองเห็นสายตาเย็นยะเยือกของตู๋กูซิงหลัน เม็ดเหงื่อบนศีรษะก็ผุดขึ้นมาอีก ” แผ่นหยกชิ้นนั้นถูกฝ่าบาทเก็บรักษาไว้ สมควรจะเป็นสิ่งของประจำตัวของคุณชายรอง “
จบกัน ๆ ดูท่าแล้วเรื่องนี่ฝ่าบาทจะปิดบังไทเฮาเอาไว้ เขาก็เกิดปากมากเข้า
ตู๋กูซิงหลันนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน
พอนางไม่พูด อู๋เจินก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก
ดูท่าทางของนางสิ ราวกับว่าอีกประเดี๋ยวก็จะกระโดดลงไปในแม่น้ำลี่เหอควานหาเจ้าตัวประหลาดนั่นขึ้นมาสับให้จงได้
” ท่านเทพไทเฮา ท่านอย่าได้ผลีผลาม ” อู๋เจินปลอบประโลมนาง ” องครักษ์ของฝ่าบาทได้ออกตามหาร่องรอยของคุณชายรองแล้ว คิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีผลลัพธ์ออกมาแน่นอน “
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันก็ตอบออกมาประโยคหนึ่ง ” ข้ารู้แล้ว “
ว่าแล้ว นางก็ไม่พูดอะไรเรื่องนี้อีก
เพียงเรียกองครักษ์เงามาผู้หนึ่ง ขอให้เขาไปรับตัวฮว๋ายอันน้อยและเจ้าไก่ขนดำฟูมา
ฮว๋ายอันถูกฟาดให้สลบแบกตัวมา แต่ว่าเจ้าไก่ขนดำฟู พอเห็นหน้าตู๋กูซิงหลันก็ตื่นเต้นตกใจยกใหญ่ มันกระพือปีก ส่งเสียง’กุ๊กๆ กรู้’ เรียกนางอย่างไม่หยุดหย่อน
พี่สาวตัวน้อย รูปปั้นเทพธิดาในอารามนั้นขยับได้ด้วยล่ะ!
พี่สาวตัวน้อย เทพธิดาผู้นั้นกินวิญญาณด้วยล่ะ!
พี่สาวตัวน้อย เทพธิดาผู้นั้นกระทั่งไก่เช่นข้าก็ยังจะจับไปกิน!
พี่สาวตัวน้อย พี่ตกลงฟังเข้าใจบ้างหรือไม่?
มันทำเสียงกุ๊กๆ กระต๊ากๆ อยู่พักใหญ่ กลับได้มาเพียงแค่การลูบหัวจากตู๋กูซิงหลัน
เจ้าไก่ขนดำฟูรู้สึกว่ามันจำเป็นจะต้องหัดเรียนภาษามนุษย์บ้างแล้ว มิเช่นนั้นจะช้าเร็วคงต้องอึดอัดตาย
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้าๆ สายลมพัดปลิวตลอดทั้งคืน
………………………………………………
ในตำหนักหรานอ๋อง จีหรานกำลังฟังคนรายงานอยู่ บอกว่าฝ่าบาททรงเสวยอาหารเช้าแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายพระองค์จนต้องพักผ่อนอีกครั้ง
จีหรานอดที่จะยิ้มเย็นไม่ได้ คนที่ถูกประคบประหงมอยู่แต่ในวังมาตั้งแต่เล็ก ย่อมมีร่างกายอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ พึ่งจะมาถึงลี่โจวแท้ๆ ก็ทำท่าว่าจะไม่ไหวเสียแล้วหรือ?
แคว้นต้าโจวตกอยู่ในมือของคนเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำนัก
เขาเดินไปที่ปีกตะวันตกด้วยตนเอง เคาะประตูทูลถามอยู่ที่ด้านนอกว่า ” ฝ่าบาท จะโปรดให้เรียกหมอมาตรวจหรือไม่พะยะค่ะ? “
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ในห้องค่อยมีพระสุรเสียงของฮ่องเต้ตรัสออกมา ” เราพักผ่อนสักสองวันก็ไม่เป็นอันใดแล้ว หรานอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวล “
” ลี่โจวมีแค่ความกันดาร ทำให้ฝ่าบาทต้องทรงลำบากแล้ว ” จีหรานทูลพลาง ในใจก็กระหยิ่มยิ้มเย็นอยู่ตลอด
นับตั้งแต่วันแรกที่จีเฉวียนเสด็จมาถึง เขาก็ดูออกมาแล้ว คนผู้นี้ก็เป็นแค่ฮ่องเต้หมอนปักลายดอกไม้ ดูดีแต่ว่าใช้การไม่ได้
เขากราบทูลอย่างไรก็ทรงเชื่ออย่างนั้น พระองค์เสด็จมาถึงลี่โจวกลับนำคนข้างตัวมาแค่ไม่เท่าไหร่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเชื่อถือเขาเกินไป หรือว่าดูถูกเขากันแน่
ฮ่องเต้เช่นนี้ ไหนเลยจะจำป็นต้องวางแผนมากมายมาจัดการกัน?
คอยดูเถอะ อีกเพียงแค่ไม่กี่วัน เขาจะทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัยไปชั่วชีวิต
…………………………………..
หลังอาหารเช้า จีหรานก็ไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
บนทางเดินอันมืดมิดใต้เตาไฟ เขาค่อยๆ ไต่บันไดลงไปข้างล่าง เขาจุกกระบอกไต้ขึ้นมา ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
ในอากาศมีแต่กลิ่นน้ำสกปรก กลิ่นคาวที่เข้มข้นอบอวลไปหมด แต่เขากลับสูดดมอย่างคุ้นเคยอย่างที่สุด
พอเปลี่ยนจากกระบอกไต้ในมือเป็นคบไฟ เขาก็ถือคบไฟนั้นเดินหน้าต่อไป
พอเดินไปจนถึงสุดทางก็เป็นแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่ง น้ำในแม้น้ำเป็นสีดำคล้ำ มีกลิ่นคาวพวยพุ่งรุนแรงอย่างยิ่ง
เขาพึ่งจะเดินมาถึงทางข้างแม่น้ำใต้ดิน ก็พบว่าในแม่น้ำมีความเคลื่อนไหว กลิ่นคาวก็รุนแรงขึ้นไปอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหัวของอสรพิษขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากในแม่น้ำ ดวงตาสีเขียวที่โหดเ**้ยมทั้งสองข้างของมันจดจ้องมายังจีหราน
พอจีหรานเห็นมัน ดวงเนตรทั้งสองของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา ใบหน้าที่ซูบผอมแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย เขายื่นหัตถ์ออกไปกรีดลงไปบนข้อมือของตนเอง เลือดสดๆ รินไหลออกมาในทันที
อสรพิษตัวนั้นแลบลิ้นออกมา ค่อยๆ ขยับเข้ามา ลิ้มชิมรสเลือดบนมือของเขา
” ดื่มเถอะดื่มเลย ดื่มแล้วเจ้าจะได้หายเร็วๆ ตัวล้ำค่าของข้า “
น้ำเสียงแหบแห้งของจีหรานยามพูดออกมาฟังดูน่ากลัวอย่างประหลาด
ขณะที่อสรพิษตัวนั้นเลียดื่มเลือดของเขา เกล็ดบนลำตัวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา จนกระทั่งมันดื่มกินอิ่มแล้ว ร่างของมันก็ขยับขึ้นมาเหนือน้ำ
ร่างกายที่ใหญ่โตอวบหนาราวกับต้นไม้ที่อายุร้อยกว่าปี ทำให้แม่น้ำใต้ดินสายนี้คับแคบไปตลอดฝั่ง
มันเหยียดร่างขยาย ส่ายไปมาอยู่ข้างกายจีหรานด้วยท่าทางที่เชื่องเชื่อ
จีหรานรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก เขาปิดตาลง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปลูบหัวอันใหญ่โตของมัน ด้วยความอ่อนโยนกว่าเดิม ” อีกเพียงไม่นาน เจ้าก็จะสามารถปรากฎตัวอย่างสง่างามอยู่เคียงข้างเราได้แล้ว นับจากนี้ไปพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป “
พอคิดถึงอนาคตอันสดใส เขาก็ตื่นเต้นยินดีอย่างยากจะระงับได้
ในขณะนั้นเอง หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา เพียงครู่เดียวหมอกดำนั้นก็กลายเป็นคนในชุดคลุมสีดำ
คนชุดดำมีหมอกดำรายล้อมอยู่รอบตัว ในมือของเขามีแส้ที่มีกลิ่นอายของศพกำจายออกมาอย่างจัดเจน
” ใช้โลหิตของตนเองเลี้ยงดูลูกหลานของอสรพิษจำแลงกาย ตลอดยี่สิบปีจนถึงวันนี้ หรานอ๋องช่างมีน้ำพระทัยอดทนอย่างยิ่ง ” คนชุดดำจดจ้องเขา กล่าวเบาๆ
น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือก ทำให้ใครได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายตัว
” เป็นเจ้าน่ะเอง ” จีหรานเห็นเขาก็มิได้รู้สึกประหลาดใจ เขายืนอยู่ข้างกายอสรพิษด้วยความมั่นใจ
” หรานอ๋อง ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน ” คนชุดดำหัวเราะให้เขาอย่างเย็นชา “เรื่องน้ำหลากในลี่โจว ท่านและอสรพิษจำแลงกายกระทำได้ดีมาก นายท่านปิติอย่างยิ่ง “
เรามิได้ต้องการให้ใครมาชื่นชม ที่เราทำล้วนเป็นความพึงพอใจของเราเอง ” จีหรานกดเสียงลง เขาตรัสตอบคนชุดดำ โดยมิได้คิดจะขยับเข้าไปใกล้
” เฮอะๆ ๆ ช่างเป็นการกระทำตามใจที่ยอดเยี่ยมนัก ” คนชุดดำยิ้มออกมา ” ท่านเองก็เป็นสายเลือดของราชวงค์ต้าโจว กลับถูกทอดทิ้งอยู่ที่นี่ ถูกราชวงศ์ทอดทิ้งมานานหลายปี ยังถือว่านี่เป็นการทำตามอำเภอใจอยู่อีกหรือ? “
ว่าแล้วเขาก็กล่าวอีกว่า ” มีแต่เพียงท่านได้นั่งอยู่บนบังลังก์ของเจ้าชีวิต นั้นจึงจะถือว่าตามอำเภอใจต่างหาก “
จีหรานไม่ตอบ เพียงนิ่งฟังคนชุดดำพูดต่อไป ” นายท่านมีใจคิดจะสนับสนุนท่านให้ได้นั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ต้าโจวองค์ใหม่ ขอเพียงจีเฉวียนสูญเสียศรัทธาจากประชาชน ในขณะที่ท่านได้รับการสนับสนุนจากประชาชนนับพันนับหมื่น เช่นนี้แล้วตำแหน่งฮ่องเต้ต้าโจว ก็ย่อมจะตกเป็นของท่าน “
บัลลังก์ฮ่องเต้ต้าโจว อยู่ไม่ห่างจากมือของเขาแล้ว
ทั้งที่เขาก็เป็นเพียงแค่บุตรที่เกิดจากนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เล็กมีแต่จะถูกรังแก พออายุได้ห้าขวบก็ถูกปฐมกษัตริย์ ขับไล่มาอยู่ที่ลี่โจว ตลอดหลายปีมานี้ มีโอกาสได้กลับไปเยือนเมืองหลวงเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ที่จริงแล้ว ในบรรดาเหล่าพี่ชายน้องสาว ไม่มีผู้ใดยอมรับคนที่มีสายเลือดเช่นเขาเลยด้วยซ้ำ
หราน……ก็คืองูยักษ์ ตอนที่ปฐมกษัตริย์ประทานชื่อนี้ให้กับเขา ก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นเชื้อสายมังกรเลยด้วยซ้ำ
แค่งูตัวหนึ่ง ไหนเลยจะมีฐานะเทียบเท่าองค์ชายได้กัน?
——
หราน (蚺 , Rán) คำนี้ในภาษาจีนหมายถึง งูยักษ์ , อนาคอนดรา อยู่ในวงค์วานของงูเหลือม ออกลูกเป็นตัว ตามตำนานไม่ถือเป็นเผ่าพันธุ์มังกร แต่ถือเป็นญาติห่างๆ ห่างชนิดปลายแถว ชอบอาศัยในพื้นที่ลุ่มน้ำ มีอำนาจในการชักจูงสายน้ำให้เกิดน้ำหลากได้
ตอนที่ 191 ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งเมตตา
หากเปรีบเทียบกับบรรดาเหล่าพี่ชายน้องสาวที่เป็นหมู่มังกรและฝูงหงส์เหล่านั้นแล้ว เขาก็ต่ำต้อยจนกลายเป็นเพียงแค่เศษธุลีดินเท่านั้น
” หรานอ๋อง ในเมื่อพวกเราก็ร่วมมือกันไปแล้ว ท่านเองก็ไม่มีทางถอยอีก ” คนชุดดำยังคงกล่าวย้ำอีก
จีหรานเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่ลึกโหลของเขามีประกายสับสน เขาเม้มริมฝีปากไอออกมาเบาๆ ” ก้าวต่อไป เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด? “
” ล่อโอรสสวรรค์ออกไปทำพิธีขอพร และจากนั้นให้ชาวเมืองลี่โจวทั้งหมดได้ทราบข่าว ” คนชุดดำกล่าวพลางก็เหลือบมองอสรพิษจำแลงที่ด้านหลังของเขาไปด้วย ” ถึงตอนนั้น ก็จะเกิดฝนตกหนัก ให้อสรพิษจำแลงก่อกวนแม่น้ำลี่เหอ จนเกิดน้ำป่าไหลหลากอีกครั้ง “
” เมืองลี่โจวก็จมไปแล้ว หากยังมีน้ำหลากอีกครั้ง คงบาดเจ็บล้มตายจนมิอาจฟื้นคืนมาได้ ” จีหรานตอบเสียงต่ำ
” เหอะๆ หรานอ๋อง เก็บความเสแสร้งแกล้งเมตตาของท่านไปเถอะ ” คนชุดดำยิ้มเย็นออกมา ” ตายไปคนหนึ่งก็คือตาย ตายร้อยคนก็คือตาย จะพันคนหมื่นคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน จะสำเร็จกิจการใหญ่ก็อย่าได้คำนึงถึงข้อปลีกย่อย ตอนนี้เจ้าค่อยมีใจห่วงใยชีวิตผู้คนขึ้นมาแล้วหรือ? “
หรานอ๋องหาคำพูดที่จะเถียงเขากลับไปไม่เจอ
” อย่างมากก็รอจนถึงตอนท่านขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ค่อยสร้างอนุสรณ์หมื่นประชาขึ้นมา ทุกปียามเทศกาลเชงเม้งก็กราบไหว้สักครั้ง หากได้รับการจุดธูปจากโอรสสวรรค์ ก็ถือว่าเป็นบุญกุศลที่คนธรรมดาสะสมมาแปดชาติแล้ว “
คนชุดดำกล่าวจบแล้ว ก็ย้ายร่างมาปรากฎตัวตรงหน้าจีหราน ” หรานอ๋อง ขอให้ข้าได้เตือนท่านอีกคำหนึ่ง เพราะฐานะมารดาของท่านต่ำต้อย ท่านจึงต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้ผู้อื่นรังแก หากไม่เป็นฮ่องเต้ ชีวิตนี้ของท่านก็ไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมาอยู่เหนือคนในตระกูลจีได้ “
พอพูดถึงมารดาที่เป็นนางกำนัล สีพระพักตร์ของจีหรานก็เปลี่ยนไปในทันที
งูยักษ์ที่อยู่ข้างเขาก็ชักจะไม่สงบนิ่งอีกต่อไปเช่นกัน
” ข้ารู้แล้ว ” ครู่ใหญ่หลังจากนั้น เขาถึงได้ผงกเศียรอย่างเงียบๆ
………………………………….
ข่าวที่ว่าฝ่าบาทเสด็จมาตรวจดูภัยพิบัติด้วยพระองค์เอง ไม่ถึงสามวันก็พัดไปทั่วเมืองลี่โจวแล้ว
เมืองที่ตกอยู่ภายใต้ไอหมอกหนาแน่นอย่างลี่โจวในที่สุดก็มีกลิ่นอายของผู้คนขึ้นมา ยามนี้จึงมีชาวบ้านมาออเฝ้ากันอยู่หน้าตำหนักของหรานอ๋อง คิดจะได้ชื่นชมพระพักตร์ที่แท้จริงของโอรสสวรรค์บ้าง
ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมายังลี่โจวด้วยพระองค์เอง นี่แสดงให้เห็นว่าในพระทัยของพระองค์ยังทรงคิดถึงพวกเขาอยู่
ที่เหลือก็ของเพียงฟ้าดินได้โปรดเมตตา อย่าได้ส่งเภทภัยใดๆ มาให้ลี่โจวอีกเลย
ตำหนักหรานอ๋อง
จีเฉวียนประทับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานของห้องโถง จีหรานประทับยืนอยู่ด้านข้าง ด้วยท่าทาง ‘หวาดหวั่นยำเกรง’ อยู่ตลอด
บนที่ประทับนั่น สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เย็นชา เพียงแค่ปรายพระเนตรมองก็เพียงพอจะทำให้ทั้งห้องเงียบลง
” ฝ่าบาท ในเมื่อชาวบ้านทั่วทั้งเมืองลี่โจวต่างก็ทราบว่าพระองค์เสด็จมาที่นี่ ตอนนี้เกรงว่าคงปกปิดต่อไปไม่ไหวแล้ว ” ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจีหรานถึงได้กล้าสบสายพระเนตรที่เย็นชากล่าวทูลว่า ” มิสู้พระองค์ทรงเสด็จออกไปปรากฎองค์อย่างยิ่งใหญ่ พอชาวบ้านทราบว่าพระองค์ทรงห่วงใย ในใจก็จะได้มีหลักยึด “
ที่จริงจีเฉวียนทรงเสด็จมาลี่โจวเป็นการลับ ย่อมมิได้ทรงมีพระประสงค์ให้เรื่องราวแพร่ออกไป
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแพร่ออกไป แต่ยังกระจายไปจนทั้วเมืองลี่โจวแล้ว
ท่าทางของพระองค์ประหนึ่งมิได้ทรงคาดคิดมาก่อน นอกจากท่าทีพิโรธแล้วก็คล้ายกับว่ามิได้ทรงมีหนทางอื่นใดอีก
จีหรานเห็นดังนั้น ก็ยิ่งประจักษ์แก่ใจว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ทรงเป็นเพียงแค่เสือกระดาษเท่านั้น มีเอาไว้ก็เพื่อข่มขู่ผู้คน แท้ที่จริงแล้วความสามารถใดใดของตนเองก็ไม่มี
หลายวันมานี้ นอกจากทำสายตาเย็นชาใส่ผู้คน เขายังทำสิ่งใดได้อีก?
จีเฉวียนทรงเอาแต่รับฟัง จนผ่านไปเกือบครึ่งวันถึงได้ตรัสอย่างยอมประนีประนอมว่า ” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีหนทางอื่นแล้ว “
ตรัสแล้ว ก็ได้ยินพระองค์รับสั่งถามจีหรานอีกว่า ” เช่นนี้เสด็จอาทรงคิดว่าต่อไปสมควรทำเช่นไร? “
จีหรานรู้สึกว่า หากว่าพระองค์มีพระประสงค์จะบรรทม เขาก็จะยื่นหมอนไปถวาย
เดิมทีเขาคิดว่า ควรจะหาอะไรมาเป็นข้ออ้างให้พระองค์ยอมเสด็จออกไปขอพรดี
แต่นี่ก็ไม่จำเป็นแล้ว โอกาสนั้นมาถึงด้วยตนเอง
เขาระงับความยินดีเอาไว้ ยกมือขึ้นถวายคำนับจีเฉวียน ” ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าหากพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของชาวลี่โจวขอพรต่อเบื้องบนนับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด “
” พระองค์ทรงเป็นโอรสสวรรค์ของต้าโจว ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์ หากว่าพระองค์ขอพรด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องทำให้สวรรค์เมตตาเห็นใจ เมืองลี่โจวจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน “
จีหรานทูลด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความจริงใจ ทูลจบแล้วเขาก็เสริมขึ้นอีกว่า ” อารามเทพธิดาที่นอกเมือง ก่อนหน้านี้ศักดิ์สิทธ์ที่สุดหากว่าฝ่าบาทเสด็จไปขอพร เช่นนี้แม้แต่เทพธิดาก็จะต้องเห็นใจ “
จีเฉวียนทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยท่าทางหนักพระทัย หลังใคร่ครวญอยู่อีกครึ่งวันก็ยังดำริสิ่งใดมิได้
” ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านอาว่า จัดการไปขอพรที่อารามเทพธิดาโดยเร็ว “
จีหรานได้ยินแล้ว ในพระทัยก็บังเกิดความยินดีขึ้นมาในทันที ” น้ำพระทัยของฝ่าบาทที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎ์ ทำให้กระหม่อมต้องเทิดทูลแล้ว “
เดิมทีเขาคาดคิดว่า จีเฉวียนอาจจะทรงคิดหาหนทางอื่น เห็นเขาคร่ำเคร่งอยู่ครึ่งวัน นึกว่าจะหาหนทางได้เสียอีก
ดูเอาสิ ที่แท้ก็มิได้เข้าใจอะไรเลย แต่กลับทำเป็นว่าเข้าใจดีเสียอย่างนั้น
ว่าแล้ว ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า ” เสด็จอาทุ่มเทพระทัยและพละกำลังเพื่อเมืองลี่โจว เราต่างหากที่ต้องเคารพยกย่อง เรื่องของวันต่อๆ ไปยังคงต้องขอให้ท่านอาตระเตรียม “
จีหรานรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น ถวายคำนับอย่างเต็มพิธีการ ” ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก ย่อมต้องทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ แม้ตายก็มิเสียดาย “
…………..
ภายในวันนั้น ก็มีข่าวออกมาจากตำหนักหรานอ๋อง ว่าอีกสามวันให้หลังฝ่าบาทจะทรงไปสวดขอพรให้กับเมืองลี่โจวในอารามของเทพธิดาเจิ้นเหอ
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปตามบ้าน จนกระจายไปทั่วทั้งเมือง
ชาวบ้านไม่น้อยที่อาศัยอยู่รอบๆ ต่างติดตามข่าวลือมา ด้วยหวังว่าจะได้เห็นพระพักตร์ของโอรสสวรรค์
อารามเทพธิดานั้นถูกทิ้งร้างมานานปี แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยได้รับการกราบกรานด้วยธูปหอมจำนวนมาก แต่แล้วแม่น้ำลี่เหอก็กลับท่วมหลากซ้ำซ้อน ยิ่งทียิ่งหนักหนา อย่างไม่เคยดีขึ้นเลยสักนิด
ดูท่าเทพธิดาเจิ้นเหอผู้นั้นคงมิได้มีใจจะดูแลรักษาแล้ว ฝ่าบาทจะสามารถทำให้นางกลับมาพิทักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำนี้อีกครั้งได้หรือ?
ชาวบ้านยังคงครุ่นคิดอย่างคลางแคลงใจ
……………………………………….
คืนนั้น สายลมยังคงพัดแรง
ตู๋กูซิงหลันมาที่นี่ได้หลายวันแล้ว ทุกวันพอตกค่ำก็จะได้ยินเสียงสายลมพัดแรงกว่าเดิม
นับตั้งแต่คืนนั้น นางก็มิได้พบหน้าจีเฉวียนอีกเลย
เหล่าองครักษ์ของเขาคอยจับตาดูนางอย่างเคร่งครัดเรียกว่าแทบทุกย่างก้าวถูกเฝ้าอยู่ตลอด ตู๋กูซิงหลันต้องใช้วิธีมากมายถึงจะสามารถสลัดหลุดจากพวกเขาไปได้
นางนำวิญญาณทมิฬไปถึงจุดที่แม่น้ำลี่เหอแตกท่วม
ส่วนเจ้าไก่ขนดำฟูตัวนั้นก็คล้ายกับว่ามีเรดาร์ติดอยู่บนร่าง มิว่านางไปถึงที่ไหน มันก็สามารถติดตามไปจนถึงที่นั้นจนได้ ทั้งยังสามารถติดตามมาได้อย่างไร้ซุ่มเสียง
พอนางตำหนิมันไปสองคำ มันก็เอาแต่ตีปีก ‘กุ๊กๆ กรู้’ มองนางอย่างไร้เดียงสา
ตู๋กูซิงหลันจึงได้แต่จนใจ ต้องนำมันไปด้วยแล้ว
ดังนั้นตอนนี้หนึ่งคน หนึ่งไก่และหนึ่งวิญญาณจึงยืนอยู่บนจุดแตกของเขื่อนด้วยกัน
หลังแม่น้ำลี่เหอแตกทะลัก ก็มีฝนตกซ้ำอยู่หลายวัน ทำให้อุทกภัยหนักหนากว่าเดิม เมื่อสองวันก่อนฝนหยุดลงแล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำลี่เหอจึงเบาลงไม่น้อย
สันเขื่อนที่ถูกท่วมจนจมไปแล้วจึงได้ปรากฎขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
สายลมกลางคืนพัดโชย พัดพาเอากลิ่นน้ำมาถึงจมูก
ตู๋กูซิงหลันมองดูสายน้ำที่ขุ่นข้น ในสมองก็ปรากฎภาพของศิษย์น้องที่จมหายลงไปในทะเล
ตอนนั้นนางได้แต่มองดูอยู่ด้านข้าง ทั้งยังเกิดความหวาดกลัวน้ำลึกติดอยู่ในใจมาตลอด
ตอนนี้นางยืนอยู่ริมแม่น้ำ ลมกลางคืนพัดแรงจนเส้นผมละเอียดอ่อนของนางพลิ้วกระจาย ตู๋กูซิงหลันปิดตา พยายามละทิ้งภาพการตายของศิษย์น้องออกไปจากสมอง
ครู่ต่อมาในมือของนางก็ปรากฎยันต์ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ใจกลางฝ่ามือปรากฎหมอกดำกลุ่มหนึ่งขึ้นมา
หมอกดำนั้นก็ซึมเขาไปในแผ่นยันต์ เพียงเห็นนางยื่นมือออก ก็ผลักมันลงไปในแม่น้ำลี่เหอ
นางดึงเอาพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา ภานในยันต์อัดแน่นไปด้วยพลังหยินอย่างรุนแรง ขอเพียงสิ่งที่อยู่ในแม่น้ำรู้สึกถึงมัน จะต้องปรากฎตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน
มาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว หากไม่ท้าทายมันสักหน่อย เกรงว่าคงไม่อาจหาร่องรอยของพี่รองได้ง่ายๆ
เพียงครู่เดียว ก็เห็นจุดที่ยันต์ถูกส่งลงไปเกิดน้ำวนขึ้นมา
” กุ๊กกุ๊กกรู้ ~” ขณะที่เจ้าไก่ขนดำฟูตีปีกทั้งคู่ มันก็ยื่นหน้ายืดคอยาวขึ้นมา หันหัวมองออกไป แล้วก็พลันเห็น………
ตอนที่ 192 เฮีย (ไก่) ยังอยู่ดี ไม่มี...
หางของงูขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
หางนั้นพุ่งตรงมาที่ตู๋กูซิงหลัน ตู๋กูซิงหลันคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว นางถอยไปด้านข้างก้าวหนึ่ง หางเส้นนั้นพอพุ่งเลยไปก็ตวัดกลับมา ม้วนเข้าใส่เจ้าไก่ขนดำฟู ลากเอาตัวมันลงไปในน้ำทันที
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้ ” เจ้าไก่ขนดำฟูพองขนขึ้นมา มันพยายามกระพือปีก สองขาตะกุยจิกลงไปบนกลางหางของงู กรีดลงไปอย่างแรง ถึงกับกรีดทะลุเกล็ดที่หนาดุจเกราะ
ต่างก็ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องอย่างวุ่นวายของมัน มันตะกุยอุ้งเท้าลงไปอย่างแรง จนทำให้เกล็ดงูชิ้นหนึ่งหลุดออกมา
เลือดงูสีดำรินไหลทะลักออกมา กระเด็นเปรอะเปื้อนหัวเจ้าไก่ไปหมด
เจ้างูตัวนั้นโผล่มาแต่เพียงแค่หาง เมื่อหางได้รับบาดเจ็บมันก็พยายามจะพลิกตัว คิดจะลากเจ้าตัวประหลาดนี้ลงไปในน้ำ
ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าไก่ขนดำฟูนั้นไม่ได้มีเมตตามาแต่ไหนแต่ไร พอถูกเลือดงูสาดเข้าท่วมหัว มันก็คล้ายกับถูกปลุกเลือดไก่ในกายขึ้นมา จนสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง
ยกหางขึ้นสะบัดปีกกระพือขึ้นลง จนเกิดประกายระยิบระยับไปทั่วทั้งร่าง สะบัดปีกกระพือออกไป
กระพือขึ้นลง กระพือขึ้นลงจนบินขึ้นไป
บินขึ้นไปแล้ว
” เฮ้ย อะไรวะนั่น ที่แท้มันเป็นนกกระจอกเทศตัวหนึ่งหรืออย่างไร ” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน โดยไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีมันคิดเอาไว้ว่า พอเจ้าไก่ขนดำฟูถูกกินลงไปแล้ว มันก็จะออกแรงในยามยากช่วยเจ้าไก่แก้แค้น กัดกลืนเจ้าตัวประหลาดในแม่น้ำลงไปสักหลายคำ ถือซะว่าได้กินเจ้าไก่ขนดำฟูนั้นลงไปเหมือนกัน ไก่อ้วนของเราไม่ควรจะเอาไปเลี้ยงดูผู้อื่น
ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าไก่ขนดำฟูนั้นมิใช่ไก่ธรรมดา มันถึงกับบินได้
ไม่เพียงแค่นั้น กรงเล็บของมันถึงกับแหลมคมอย่างที่สุด เจ้างูที่อยู่ในแม่น้ำลี่เหอถึงแม้จะมิได้ปรากฏตัวออกมา แต่แค่เพียงเห็นเกร็ดส่วนหนึ่งของมัน ก็รู้ว่าแล้วว่าแข็งแกร่งอย่างร้ายกาจ เจ้าไก่ขนดำฟูถึงขนาดขอดเกล็ดของมันออกมาได้อย่างง่ายดาย ตะกุยเสียจนเลือดสดไหลนอง
ทำเอาแม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
ในมือของนางยังมียันต์อยู่ใบหนึ่ง ยามนี้เห็นเจ้าติ๊งต๊องสามารถได้เปรียบเหนือหางของเจ้างูยักษ์นั้นได้ ยันต์ในมือจึงยังมิได้ถูกส่งออกไป
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้ ” อีกด้านหนึ่ง เจ้าไก่ขนดำฟูยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ ปีกของมันเริงระบำยิ่งทียิ่งรวดเร็ว ตัวมันบินโฉบวนอยู่รอบหางของงูยักษ์ ทั้งอุ้งเท้าและจงอยปากโจมตีลงไปพร้อมๆ กัน เพียงพริบตาเดียว ก็ถอดเกล็ดงูออกมาได้อีกหลายแผ่น
ครั้งนี้มันยังถึงกับกลืนกินเนื้องูลงไปอีกหลายคำ พอกลืนลงไปได้คำหนึ่งก็รู้สึกเลยว่ารสชาติยอดเยี่ยมเกินหาใดเทียบ
ถึงกับหยุดไม่ได้อีกต่อไป จิกกินติดต่อกันหลายคำเป็นการใหญ่
นี่มันอร่อยเลิศกว่างูเล็กตะขาบน้อยที่มันจับกินได้ได้ยามปกติมากมายนัก ช่างอร่อยเลอเลิศ
พอจิกกินติดต่อกันไปหลายคำ ร่างกายของมันก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา เลือดไก่พุ่งพล่านไปทั่วทั้งกาย แม้แต่ขนบนตัวของมันก็เปลี่ยนเป็นมีประกายแสงทองส่องออกมา
” กี๊ กี๊ กี๊ ” งูยักษ์ตัวนั้นถูกจิกจนโกรธเกรี้ยว ในที่สุดก็กรีดร้องจนต้องโผล่หัวออกมาครึ่งหนึ่ง
พอหัวของมันเคลื่อนไหว น้ำในแม่น้ำลี่เหอก็เกิดคลื่นหลากล้นออกมา
ดวงตาสีเขียวของมันใหญ่โตราวกับกำปั้นของมนุษย์ หัวของมันใหญ่พอๆ กับหัวกระทิง สายตาของมันจดจ้องไปยังเจ้าไก่ขนดำฟูอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นมันก็อ้าปากสีแดงราวกับเลือดออกมา เผยให้เห็นคมเขี้ยวงูที่แหลมคมอย่างที่สุด ไล่ฉกใส่เจ้าไก่ขนดำฟู
ความรวดเร็วระดับนั้น เกินกว่าที่เจ้าไก่ขนดำฟูจะหลบหลีกได้พ้น เพียงคำเดียวก็กลืนกินมันลงไปทั้งตัว
บนฝั่ง ดวงตาของตู๋กูซิงหลันสาดประกายออกมา ยันต์ในมือเพิ่มขึ้นอีกหลายใบ ติ๊งต๊องเป็นไก่ของนาง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้มันไปตายง่ายๆ
วิญญาณทมิฬกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า ” เจ้าอย่าพึ่งใจร้อนสิ เจ้าติ๊งต๊องนั้นย่อยยากอยู่พอสมควร รอให้เจ้างูนั้นย่อยมันสักหน่อย คายขนออกมาสักหลายๆ เส้น พวกเราค่อยตั้งป้ายวิญญาณให้มัน “
ตู๋กูซิงหลัน “………”
” กรงเล็บของมันแหลมคมขนาดนั้น ตอนที่เอามันออกมา เจ้าก็เอาไปทำกริชด้ามใหม่ รับประกันเลยว่าจะต้องใช้ได้ดีกว่าด้ามที่เจ้าถืออยู่อย่างแน่นอน “
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างละเอียดละอออยู่ครู่หนึ่ง กรงเล็บของเจ้าติ๊งต๊องนับว่าคมกริบดีจริงๆ หากว่าเอามันทำเป็นกริชจะต้องดีมากๆ แน่
นางกับวิญญาณทมิฬหันไปสบตากัน
ยังไม่ทันจะได้มองตากัน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังกังวานมาจากภายในหัวของงูยักษ์ ” กะ กะ กะต๊าก “
จากนั้นก็มีแสงเพลิงสาดส่องออกมา ปากขนาดใหญ่ที่มีแต่เลือดของงูระเบิดออกมาจากภายใน แสงเพลิงสีทองขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากในปากของมัน สาดส่องจนแม่น้ำลี่เหอสว่างวาบ
” ซัววาลาลา ” เพลิงนั้นเผาไหม้อยู่เหนือแม่น้ำลี่เหอ เกิดเป็นเสียงประหลาดแหวกอากาศออกมา
” วะเฮ้ย โว้ โว้ว เชี่ยแล้ว ” วิญญาณทมิฬด่ากราดออกมา ” เคยได้ยินแต่ว่าอสรพิษจำแลงสามารถเรียกน้ำหลากได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามันพ่นไฟได้ ทั้งยังเป็นเปลวเพลิงสีทอง “
แม้มันจะตื่นตระหนกตกใจ แต่ความสงสัยกลับมีมากกว่าถึงกับกระโดดโลดเต้นขึ้นมา
แสงเพลิงสีทอง เป็นเพลิงธาตุหยางที่บริสุทธิ์ที่สุด สามารถปราบปรามภูติผีปีศาจอย่างได้ผล
ว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน หากว่าตอนนี้ยังมีเหล่าผีร้ายวิญญาณตายโหงอยู่ละก็ มีหวังได้ถูกแผดเผาจนมอดไหม้ วิญญาณสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่อาจเกิดใหม่ได้อีกตลอดกาลเลยทีเดียว
หรือว่านี่จะไม่ใช่อสรพิษจำแลง แต่ว่าเป็นตัวประหลาดชนิดอื่นที่แปลกออกไป
มันลืมตากลมโต มองดูอย่างต้องการจะศึกษาให้ละเอียด
พูดกันตามจริงแล้ว ตอนนี้ตัวมันเองก็เป็นแค่เพียงดวงจิตเท่านั้น หากว่าเข้าไปใกล้เกินไปละก็ อาจจะถูกไฟนี้แผดเผาร่างได้โดยง่าย
ดะ เดี๋ยวก่อน ไอ้ก้อนที่อยู่ในปากงูนั้นมันคือของเล่นอะไรกัน
ทำไมถึงได้ดูแล้วคุ้นตาขนาดนั้น
ทันใดนั้น ตู๋กูซิงหลันเองก็หรี่ตามองไปเช่นกัน ก็เห็นว่าในปากของงู มีเงาของไก่ตัวหนึ่ง มีแสงเพลิงลุกท่วมร่าง สองปีกกระพือขึ้นมา ตอกตรึงหัวงูนั้นเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันอยู่ห่างจากมันไม่นับว่าไกลเท่าไร ผ่านไปครู่เดียวก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เจ้าสิ่งนั้นถึงกับเป็นติ๊งต๊องจริงๆ
ดวงตาไก่กุ๊กของติ๊งต๊อง ถึงกับมีแสงเพลิงสีทองลุกโชนอยู่
ยามที่ตู๋กูซิงหลันมองไปนั้น มันยังไม่ลืมที่จะโบกปีกข้างหนึ่งขึ้นมาทักทายนาง ส่งเสียงกลับมาหานางว่า ” กุ๊ก กุ๊ก กรู้ “
พี่สาวตัวน้อยโปรดวางใจได้เลย เฮียยังอยู่ดี
ไม่เพียงแค่นั้น เฮียยังได้รับความสามารถใหม่จากเลือดงูด้วย
แสงเพลิงสีทองที่สาดส่องออกมาแต่ละครั้งล้วนออกมาจากร่างของมัน แผดเผาเสียจนงูตัวนั้นกรีดร้องอย่างโหยหวน มันรีดพลังส่งเสียงสำรอกออกมา ก็คายเจ้าติ๊งต๊องกลับไปบนฝั่ง
จากนั้นก็หลบลี้หนีหายลงไปในแม่น้ำลี่เหออย่างรวดเร็ว
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้ ” ถูกถุยลงมาบนพื้นเช่นนี้ ติ๊งต๊องก็แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งออกมา
มันใช้ปีกข้างหนึ่งป่ายปัดเศษฝุ่นบนตัวที่ไม่ได้มีอยู่เลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็ใช่ดวงตาที่มีประกายทองของมันมองไปยังตู๋กูซิงหลันส่งเสียงกุ๊กกุ๊กกรู้ให้นางอย่างอบอุ่นอ่อนโยนที่สุด
พี่สาวตัวน้อยชมข้าสิ เฮียเก่งมากเลยใช่ไหม
ตู๋กูซิงหลันมองดูติ๊งต๊องที่อยู่ตรงหน้า เห็นแสงทองบนร่างของมันค่อยๆ ลดลงจนเลือนหายไป ร่างกายของมันเติบใหญ่ขึ้นมากว่าช่วงก่อนอยู่มาก เดิมทีก็สูงเกือบครึ่งตัวคนอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับมีขนาดตัวใหญ่พอๆ กับนกกระจอกเทศที่โตเต็มวัยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะอุ้งเท้าคู่นั้น ก็ยิ่งคมกริบขึ้นไปอีก ราบกับว่าถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากเตาไฟ เกิดเป็นประกายแสงเย็นวาบแม้อยู่ในความมืด
สีเทาบนขนปีกคู่นั้นก็จางลงไปไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันราวกับได้ของประหลาดมา สุดท้ายแล้วจะดูอย่างไรก็ยังดูไม่ออกว่าเจ้าติ๊งต๊องนั้นเป็นตัวอะไรกันแน่
พอถูกแสงทองจากร่างของติ๊งต๊องแผดเผาไปรอบหนึ่ง ไอหยินที่หมุนวนอยู่รอบๆ ก็ถูกแผดเผาจนหายไปหมด แม้แต่ไอวิญญาณแค้นที่รวมตัวอยู่ในอากาศเหนือเมืองลี่โจวเองก็จางหายไปโดยรอบ
ทันใดนั้นเอง เจ้าไก่ขนดำฟูก็ขยับปีกไปมาอีกครั้ง มันส่งเสียง “กุ๊ก กุ๊ก กรู้ไปทางด้านหลังของนาง
ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับไป ก็เห็นว่าท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด มีไอหยินที่มีความเคียดแค้นอย่างรุนแรงกำลังพุ่งเข้ามาใกล้
หลังจากนั้น ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความมืด
พอนางมองดูอย่างละเอียดละออ ก็พบว่านั่นเป็นสตรีผู้หนึ่ง
ตอนที่ 193 จิตวิญญาณที่หลงเหลือของเทพ
เงาของสตรีผู้หนึ่ง ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี ทุกครั้งที่นางก้าวเดิน ไอแค้นบนร่างก็เพิ่มพูนขึ้นมาอีกหลายส่วน
ร่างที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แม่น้ำลี่เหอถูกกระตุ้นปลุกเร้า ทั้งๆ ที่พึ่งจะสงบลงไปได้ครู่เดียว ก็กระสับกระส่ายขึ้นมาอีกครั้ง
พอนางขยับเข้ามาใกล้ ถึงได้เห็นว่าที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวนางนั้นก็คือวิญญาณตายโหงนับร้อยตน วิญญาณแค้นเหล่านั้นหมุนวนอยู่รอบตัวนาง แต่สายตาเย็นยะเยือกของพวกมันล้วนจดจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลัน
สตรีผู้นั้นหยุดห่างไปจากนางสามจั้ง
ร่างของนางอ่อนแออย่างยิ่ง ไม่มีกายหยาบ มีแต่เพียงดวงจิตขุ่นมัวที่ฝืนปรากฎร่างเงาขึ้นมาเท่านั้น
นางมีเส้นผมยาวที่แดงดุจแสงเพลิง และดวงเนตรสีชาดแดงก่ำดุจลูกไฟคู่หนึ่ง ร่างท่อนบนนั้นถูกเส้นผมยาวปิดบังเอาไว้จนหมด เพียงเผยให้เห็นแต่องค์เอวที่บอบบางเท่านั้น
ร่างครึ่งล่างเป็นหางที่ยาวเฟื้อยของงูเขียว
คล้ายกับว่านางไม่อาจเดินเหิน เพียงอาศัยกองทัพวิญญาณแค้นนับร้อยเหล่านั้นเป็นดั่งเหล่าทาสพานางเคลื่อนไปในความมืดมิดของราตรี
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้ กุ๊ก กุ๊ก กรู้ ” พอติ๊งต๊องเห็นนางก็กระโตกกระตากขึ้นมาในทันที
พี่สาวตัวน้อย เป็นนาง ตอนอยู่ในอารามเทพธิดานางกลืนกินวิญญาณแค้นเข้าไปมากมาย ทั้งยังคิดจะกินเฮียไก่อย่างข้าด้วย!
มันตีปีกวิ่งวนไปรอบๆ ตัวตู๋กูซิงหลัน
ตะกุยเท้าลงบนพื้นด้วยความแตกตื่นวุ่นวายไปหมด
ตู๋กูซิงหลันคว้าคอของเจ้าไก่เอาไว้ ค่อยๆ ทำให้มันสงบลง วันนี้เจ้าติ๊งต๊องอยู่ๆ ก็แสดงความสามารถแปลกใหม่ออกมา นางเกรงว่ามันจะควบคุมตนเองไม่ได้ก่อเรื่องขึ้นมา
ร่องรอยของพี่รองยังไม่ทันได้สืบหา นางไม่อยากจะทำให้บางสิ่งรู้ตัวมากเกินไป
ตู๋กูซิงหลันคว้าเจ้าติ๊งต๊องเอาไว้แล้ว ก็หันไปมองดูสตรีที่มีร่างเป็นงูอีกครั้ง
นางงดงามอย่างยิ่ง งดงามราวกับว่าเป็นทายาทของเทพหนี่วาที่ออกมาจากแดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่จิตวิญญาณของเทพอ่อนล้า ประกอบกับดวงหน้าของนางซีดขาว รอบกายรายล้อมไปด้วยจิตวิญญาณแค้น เพียงมองแค่แวบเดียวก็ทำให้คนทั้งรู้สึกประหลาดและหวาดหวั่นใจ
ตู๋กูซิงหลันมิได้เคลื่อนไหว สตรีผู้นี้ถึงแม้ว่าจะมีวิญญาณแค้นมากมายรายล้อม แต่ในร่างยังมีแสงทองอยู่จางๆ
มีแต่ได้รับการกราบไหว้บูชามานับร้อยนับพันปี จึงจะสามารถบำเพ็ญเพียรจนเกิดร่างทิพย์ ถึงแม้ว่านางจะสูญเสียกายหยาบไปแล้ว แต่เพราะว่าเคยได้รับควันธูปบูชามานานหลายปี ภายใต้แสงทองคุ้มครอง จึงทำให้ยังดวงจิตหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง
นางมองดูตู๋กูซิงหลันอยู่เนิ่นนาน คล้ายกับว่ากำลังต้องการยืนยันในแน่ใจ วิญญาณแค้นที่รายล้อมอยู่ก็พากันเคลื่อนไหวขึ้นมา เห็นนางเอ่ยริมฝีปากส่งเสียงเพียงเบาๆ พวกมันก็พากันสงบเสงี่ยมลงในทันที แต่ละตนนอบน้อมดั่งข้าทาส
ร่างของนางทอประกายแสงออกมา วิญญาณคนตายเท่านั้นก็ไม่อาจขัดขืนแรงกดดันจากพลังอำนาจของเทพได้ ถึงแม้พลังที่กดดันอยู่นี้จะเทียบไม่ได้แม้สักหนึ่งในพันของแต่ก่อน แต่เมื่อนำมาใช้กับพวกมันก็ถือว่าเกินพอ
พอเหล่าวิญญาณแค้นสงบเงียบลง นางก็เก็บพลังของเทพนั้นคืนกลับไป มองไปยังตู๋กูซิงหลัน ในที่สุดก็กล่าวกับนางว่า
” ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้า “
ไก่ขนดำฟู ” กุ๊ก กุ๊ก กรู้? ” ขอบคุณรึ? วิธีที่จะขอบคุณพี่สาวตัวน้อยคือการกินเฮียที่นางรักเอ็นดูที่สุดหรือ?
เห็นไหมเล่าว่ามันเกิดมาหล่อเหลางดงามเพียงไร? กระทั่งเหล่าเทพที่สูงส่งก็ยังก็ยังคำนึงหาไม่รู้ลืม
ตู๋กูซิงหลันมองดูนาง ก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง ” ไม่ต้องเกรงใจ “
นางก็แค่ช่วยประคองรูปปั้นเทพธิดาให้ตั้งตรง ปัดกวาดใยแมงมุมและเขม่าฝุ่นออกไปให้ ไม่จำเป็นต้องให้เทพธิดามาขอบคุณโดยเฉพาะ
เทพธิดาที่ผู้คนเคยเคารพบูชา พอถึงคราตกต่ำกลายเป็นวิญญาณ ก็มิได้รับความยำเกรงอย่างเหล่าเทพเลยสักนิด พูดไปแล้วก็เจ็บปวดแทน
นางก็แค่เกิดความสงสารขึ้นมาเท่านั้น
” ผู้คนบนโลกกล่าวว่า ติดค้างบุญคุณพึงตอบแทน ข้าติดค้างบุญคุณจากเจ้า เจ้าไม่ต้องการการตอบแทนหรือ? ” สตรีผมแดงผู้นั้นกล่าวต่อไป น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แผ่วเบาเสียจนน่ากลัว ราวกับดวงวิญญาณที่กระซิบอยู่ข้างหู
ก็เพราะว่ารูปปั้นของนางได้รับการตั้งตรงขึ้นใหม่ สิ่งสกปรกถูกขจัดออกไป ดวงจิตที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของนางถึงได้รับการปลดปล่อย สามารถออกจากอารามมาได้
ที่นางมาขอบคุณก็ย่อมสมควรอยู่แล้ว
” เพียงแค่งานออกแรงง่ายๆ เท่านั้น ” ตู๋กูซิงหลันตอบ นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบกลับไปอีกว่า ” หากว่าท่านเทพธิดาคิดจะตอบแทนข้า จะสามารถบอกได้หรือไม่ว่า คุณชายรองตระกูลตู๋กู ตู๋กูเจวี๋ยยามนี้อยู่ที่ใด “
นางเป็นถึงเทพธิดา ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ดวงจิต แต่หากจะหาร่องรอยของคนผ่านทาง ตามเหตุผลแล้วไม่ใช่เรื่องยาก
พอได้ยินชื่อตู๋กูเจวี๋ยสามคำ สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนแปลงไป
ครู่ต่อมาก็ถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ” ผู้คนในโลกวอนขอเงินทอง วอนขออำนาจ วอนขอฐานะราชศักดิ์และความรุ่งเรืองชั่วชีวิต แต่เจ้ากลับขอเพียงแค่ร่องรอยของคนผู้หนึ่งหรือ? “
ตู๋กูซิงหลันตอบออกไปโดยมิได้ครุ่นคิดใดๆ ทั้งสิ้น “นั่นเป็นพี่ชายของข้า เขาสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด “
ถึงแม้ว่านางจะรักเงินทอง แต่ก็รักคนในครอบครัวยิ่งกว่า
ในชาติก่อนนางมีแต่เพียงอาจารย์และเหล่าลูกสมุน ไม่มีญาติมิตรสายเลือดเดียวกัน ชาตินี้สวรรค์ได้ชดเชยให้กับนางแล้ว ย่อมต้องทนุถนอมเอาไว้ให้ดี
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นก็กล่าวกับนางว่า ” เจ้าตามข้ามา “
พูดแล้ว นางก็หันร่างกลับไป ภายใต้การหนุนประคองของเหล่าวิญญาณแค้น ดวงจิตที่ล่องลอยอยู่ในอากาศก็เลือนหายไปทางทิศทางของอารามเทพธิดาที่ผุพัง
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่ง เจ้าไก่ขนดำฟูก็ขวางนางเอาไว้ ” กุ๊ก กุ๊ก กรู้! “
หากว่าเทพธิดาผู้นั้นเป็นเทพที่ไม่ดีละ? พี่สาวตัวน้อยท่านจะหลงเชื่อง่ายๆ ไม่ได้นะ!
เพราะมันได้เห็นมากับตาแล้วจริงๆ ว่าเทพธิดาผู้นั้นกลืนกินดวงวิญญาณแค้นลงไปราวกับเสือหิวโหยและหมาป่าโหดเ**้ยม น่ากลัวยิ่งกว่ายามที่มันจับพวกหนอนแมลงกินมากนัก
เห็นนางสงบนิ่งเงียบเชียบเช่นนั้น ที่จริงแล้วเปี่ยมไปด้วยไอแค้น! นั้นมิใช่ไอแค้นจากดวงจิตของวิญญาณตายโหงที่รายล้อมอยู่รอบกาย แต่ว่ามาจากตัวนางเอง!
เป็นถึงเทพธิดาอันศักดิ์สิทธ์ิ กลับมีไอแค้นอยู่เช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
วิญญาณทมิฬเองก็หรี่ตากลมๆ ของมันลง ระดับมันแล้วมีวิญญาณภูติผีปีศาจใดไม่เคยเจอมาบ้าง แต่สิ่งที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านี้กลับเป็นครั้งแรก ควรจะพูดอย่างไรดี
เป็นความอึดอัดคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก
หรืออาจบางทีเป็นเพราะวิญญาณแค้นที่ถูกนางควบคุมเอาไว้มีมากจนเกินไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันหยุดเท้าเอาไว้ครู่หนึ่ง แต่พอเห็นดวงจิตของเทพธิดาล่องลอยออกไปยิ่งทียิ่งไกล นางก็ติดตามไปในทันที
นางกลับมาที่อารามเทพธิดาจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง ก็เห็นว่ายันต์ที่นางผนึกเอาไว้รอบอารามเทพธิดาทั้งสี่ทิศนั้นสลายไปไม่เหลืออยู่แล้ว สายลมค่ำคืนพัดโหม ต้นไม้เก่าแก่ภายในวัดโยกคลอนจนส่งเสียงครืดคราด
ตลอดทางที่มาดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นมิได้กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น
นางถูกเหล่าวิญญาณแค้นหนุนนำมาจนถึงเบื้องหน้ารูปปั้นของนาง
รูปปั้นนั้นดูสะอาดสะอ้านกว่าหลายวันก่อนมากทีเดียว ดวงหน้าของเทพธิดายังคงมีเค้าของความเมตตา
รูปปั้น คือที่สถิตของดวงจิตศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดา
เมื่ออยู่ใกล้กับรูปปั้น ดวงจิตของนางก็เปลี่ยนเป็นเข้มแข็งขึ้นมา
ปลายหางงูสีเขียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นขายาวๆ ของมนุษย์ ดวงวิญญาณแค้นนับร้อยถูกนางขับไล่ไปเฝ้าอยู่ด้านนอกอาราม เหลือเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ยังรายล้อมนางอยู่
ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็เดินเข้าไปข้างใน
ดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นค่อยกล่าวว่า ” วันที่แม่น้ำลี่เหอหลากล้น มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งใช้ร่างขวางเอาไว้ จึงถูกกระแสน้ำพัดพาไป เขาเป็นผู้มีเมตตามีดวงชะตายิ่งใหญ่ ฟ้าดินปกป้องคุ้มครอง เต่ายักษ์ในแม่น้ำตัวหนึ่ง จึงพาเขามาซ่อนเอาไว้ในอาราม “
วิญญาณทมิฬและติ๊งต๊องต่างก็มองไปรอบๆ อารามพร้อมๆ กัน ว่ากันตามจริง อารามเทพธิดาแห่งนี้แม้จะมีกำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ก็ไม่นับว่าสามารถซ่อนผู้คนได้แต่อย่างใด
ดวงจิตเทพธิดากล่าวจบแล้ว พอเห็นนางขยับโต๊ะหมู่บูชาที่ตรงหน้าก็ปรากฎหลุมใหญ่ขึ้นมา ” ตอนที่ก่อสร้างอารามขึ้นมานั้น มีการสร้างห้องลับแห่งหนึ่งเอาไว้ที่ใต้ฐานราก มีอยู่วันหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ลงไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับเจ้าอยู่สามส่วน และก็ยังแซ่ตู๋กูด้วย “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น