ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 186-189
ตอนที่ 186 ชิวหลงจื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านก็เป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากออกมา
“ไม่ผิด ข้าคือชิวหลงจื่อ หนึ่งในสี่ผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ เมื่อวานข้าได้รับรายงานจากลูกน้องสองคน ว่ามีสหายศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบผู้หนึ่งปรากฏตัวในเสวียนจิง ข้ารู้สึกคันไม้คันมืออยากจะมาแลกมือกับสหายเล็กน้อย” ชายฉกรรจ์ผมสีฟ้าหนวดสีม่วงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา สีหน้าเยือกเย็นแต่เดิมอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น
“อ๋อ! พูดอย่างนี้แสดงว่าท่านไม่ได้มาเพราะเรื่องใต้เท้าซุน?” หลิ่งหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว นักโทษทั้งสองที่เจ้าพาไปเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับราชสำนักเลย จะคู่ควรให้ข้าออกโรงเองได้อย่างไร สหายวางใจเถอะ! ในเมื่อสองคนนี้มีความสัมพันธ์กับเจ้า ไม่ว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาจะโดนโทษต้องขังด้วยเหตุอันใดก็ตาม ขอเพียงไม่ปรากฏตัวในเสวียนจิง ข้ารับรองว่าจะไม่มีคนไปหาเรื่องพวกเขาทั้งสองตระกูลโดยเด็ดขาด” ชิวหลงจื่อหัวเราะแปลกๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อสหายชิวจะมาหาข้าเพื่อแลกมือจริงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปทางนั้นกันดีไหม ถนนสายหลักบริเวณนี้จะได้ไม่ถูกทำลาย” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรถม้าของใต้เท้าซุนที่อยู่ด้านล่างแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา สหาย เชิญ!” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างไม่ลังเล เขากระตุ้นเมฆเทาเพื่อเหาะไปยังป่าผืนเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงส่งเสียงกำชับไปยังด้านล่างแล้วขยับตัวตามไป
ไม่นานทั้งสองก็ยืนอยู่บนอากาศเหนือแมกไม้ และจ้องมองกันจากที่ไกลๆ
ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“ท่านระวังหน่อยนะ พลังของข้าธรรมดา แต่เชี่ยวชาญวิชาแมลงพิษ ขอเพียงสหายสามารถต้านทานแมลงพิษข้าได้ ข้าจะยอมแพ้การประลองในครั้งนี้”
พอพูดจบ เขาก็สวมถุงมือหนังที่มือทั้งสองไว้ จากนั้นก็คว้าไปยังถุงหนังบนเอวก่อนที่จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา
เสียงหวึ่งๆ ดังขึ้นในอากาศ แมลงสีเขียวมรกตบินว่อนออกมาเป็นจำนวนมาก และบินวนรอบกายของชิวหลงจื่ออยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสองจนมองเห็นรูปร่างของแมลงเหล่านี้อย่างชัดเจน มันคือแมลงปอสีเขียวมรกตที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติหนึ่งเท่ากว่าๆ เพียงแต่มันมีเขี้ยวอยู่ที่มุมปากทั้งสองข้าง หางของมันมีเหล็กในสีดำอยู่ แลดูดุร้ายยิ่งนัก
“ไป!”
ชิวหลงจื่อตะโกนออกไป พร้อมกับชี้นิ้วไปทางหลิ่วหมิง แมลงพิษเกือบครึ่งหนึ่งกลายเป็นเมฆสีเขียวจางๆ พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ปรากฏออกมาเป็นจุดๆ มันรวมตัวเป็นลูกเปลวไฟสามลูก หลังจากที่สะบัดแขนเสื้อออกไป มันก็แผดเสียงพุ่งเข้าใส่กลุ่มเมฆแมลงพิษ
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” “ตู๊ม!”
ลูกเปลวไฟทั้งสามโจมตีเข้าใส่กลุ่มเมฆแมลงพิษเข้าอย่างจัง และกลายเป็นเมฆอัคคีปกคลุมเมฆแมลงพิษทั้งหมดไว้
แต่สีหน้าหลิ่วหมิงไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย เขาปลี่ยนท่ามือก่อนที่คมวายุเจ็ดแปดเส้นจะปรากฏออกมา
พอชิวหลงจื่อเห็นแมลงของตนเองถูกเมฆอัคคีปกคลุม ก็ไม่ได้สีหน้าวิตกออกมา แต่กลับค่อยๆ ขยับปากยิ้มบางๆ
ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากเมฆอัคคี แมลงพิษเหล่านั้นพุ่งออกมา นอกจากร่างของมันจะดำเกรียมเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ อีก
หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้เจอกับฉากนี้จริงๆ รูม่านตาก็หดลงอย่างอดไม่ได้ เขาทำท่ามือกระตุ้นอีกเล็กน้อย คมวายุตรงหน้าก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไปติดต่อกัน
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” ดังติดต่อกัน คมวายุกลายเป็นแสงสีเขียวฟันลงบนเมฆแมลงพิษ
แต่นอกจากจะมีไม่กี่ตัวที่หลบไม่ทันจนถูกฟันออกเป็นสองส่วนแล้ว ตัวอื่นๆ ต่างก็บินหลบกันกระจัดกระจาย จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงดังหวึ่งๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป และกระบี่สั้นสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาตวัดมันเพียงเล็กน้อย เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“อาวุธจิตวิญญาณ! กลับมา! นี่เป็นการแลกมือกันเท่านั้น ไม่คิดว่าสหายจะหยิบอาวุธจิตวิญญาณออกมา ถึงแม้แมลงพิษเหล่านี้จะนับว่าไม่เลว แต่ไหนเลยจะสามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณได้ ให้ข้าเปลี่ยนเป็นแมลงพิษชนิดอื่นก่อนถึงจะได้” เมื่อชิวหลงจื่อรับรู้ได้ว่าเงากระบี่ตรงหน้าแฝงไปด้วยพลังอันน่าตกใจ ทำให้เขาไม่อาจสงบนิ่งได้ จึงได้ตะโกนออกมาพร้อมกับทำท่ามือ
ร่างของแมลงพิษที่ดูคล้ายแมลงปอเหล่านั้นหยุดชะงักก่อนที่จะค่อยๆ บินกลับมา
ในขณะเดียวกัน ชิวหลงจื่อก็คว้าเอาของอีกอย่างหนึ่งออกจากถุงหนัง แล้วโยนมาทางหลิ่วหมิง
มันเป็นแมลงปีกแข็งสีดำวาว ขนาดเท่าลูกกำปั้น หลังจากที่มันกระพือปีกตรงหลังแล้ว มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีดำกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตวัดกระบี่จันทราหยกออกไปในทันที เงากระบี่เพิ่มจำนวนมากขึ้น และม้วนเอาแมลงปีกแข็งไว้ในนั้น
เสียงร้องแหลมดังออกมาจากในนั้นทันที
แสงเย็นสะท้านแต่ละลำฟันลงบนตัวแมลงปีกแข็งสีดำ นอกจากจะทำให้มันโซซัดโซเซ และมีรอยขีดข่วนสีขาวบนปีกบนแล้ว ตัวของมันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย
“ฮ่าๆ! แมลงพิษเหล็กกลายพันธ์ุนี้เป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายของมันอยู่ในระดับที่มีดดาบฟันแทงไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย” ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
“งั้นหรือ? ในเมื่อไม่สามารถฟันมันได้ งั้นข้าก็จะปิดล้อมมันไว้” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็มีแสงอันเยือกเย็นเปล่งประกายขึ้นในดวงตา ทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกไอสีดำปกคลุมไว้ จากนั้นมันก็จมหายไปในเงากระบี่ราวกับสายฟ้าแลบ และคว้าเอาแมลงปีกแข็งสีดำมากุมไว้แน่น
แมลงปีกแข็งสีดำอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ และคิดที่จะกัดหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
แต่ขณะนั้นเอง ลำแสงสีฟ้าครามก็กระเพื่อมออกมาจากฝ่ามือที่จับแมลงปีกแข็งไว้ ชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนผิวของแมลงปีกแข็ง พริบตาเดียวมันก็ถูกขังอยู่ในก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่
จากนั้นหลิ่วหมิงก็สะบัดข้อมือโยนก้อนน้ำแข็งออกไป มืออีกข้างก็ตวัดกระบี่สั้นสีเขียวเพื่อจะฟันไปยังก้อนน้ำแข็ง
“สหายโปรดยั้งมือด้วย! การแลกมือในครั้งนี้ ข้ายอมแพ้ แมลงพิษเหล็กของข้าตัวนี้ไม่กลัวอะไรซักอย่าง แต่กลัวการโจมตีจากพลังความเย็น ตอนนี้มันมีพลังป้องกันเหลือเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น ไม่สามารถต้านทานกระบี่ของสหายได้” ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็รีบตะโกนด้วยความตกใจ
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ถึงได้หัวเราะเฮ่อๆ ออกมา กระบี่ที่ฟันออกไปก็ขยับไปด้านข้าง คมกระบี่เปลี่ยนเป็นด้ามกระบี่ และพุ่งออกไป
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ก้อนน้ำแข็งลอยออกไปฝั่งตรงข้าม
ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขายื่นมือดูดเอาก้อนน้ำแข็งมาไว้ในมือ จากนั้นก็ทำท่ามือก่อนที่เปลวไฟจะลุกพรึ่บขึ้นมาห่อหุ้มก้อนน้ำแข็งไว้ ไม่นานน้ำแข็งก็เริ่มละลาย
“สหายช่างมีฝีมือจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะหาจุดอ่อนของแมลงพิษเหล็กได้ในระยะเวลาสั้นๆ ว่าแต่ความสามารถนี้คือวิชาแท่งวารีใช่ไหม ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนสำเร็จขั้นเล็กๆ แล้ว มิเช่นนั้นแมลงพิษตัวนี่คงไม่ถูกปิดล้อมเร็วเช่นนี้” ชิวหลงจื่อแสดงวิชาไปด้วย กล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงไปด้วย
“สหายชิวตาถึงมาก เมื่อครู่คือวิชาแท่งวารีจริงๆ สหายมีแมลงพิษตัวอื่นอีกหรือไม่? ยังต้องการแลกมือต่อไหม?” หลิ่วหมิงกล่าว
“ไม่แล้วล่ะ ถึงแม้ข้าจะมีแมลงพิษตัวอื่น แต่ก็ไม่สามารถนำมาแลกมือได้ จุ๊ๆ! จากการปะมือในก่อนหน้านี้ ข้าก็ยอมรับแล้วว่าสหายไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายทั่วไป ใยต้องแลกมือมือต่อด้วยเล่า สหายมีฝีมือเช่นนี้ ถ้ายอมเข้าร่วมกับราชสำนักล่ะก็ ตำแหน่งผู้บัญชาการคงหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน ว่าอย่างไร! สหายสนใจหรือไม่” ชิวหลงจื่อช่วยแมลงปีกแข็งออกมาจากก้อนน้ำแข็งแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“เข้าเป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ? เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ไหว ข้าได้เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณแล้ว” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติก่อนที่จะส่ายศีรษะ
“สหายเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ? ผู้หนุนหลังพวกเขาคืออ๋องสามนี่ จุ๊ๆ! ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าไม่กล้าดึงคนของอ๋องสามมาหรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่บังคับแล้ว ใช่สิ! ยังไม่รู้ว่าสหายมีนามว่าอย่างไร อีกไม่นานเสวียนจิงจะมีงานชุมนุมแลกเปลี่ยนลับ คนที่เข้าร่วมล้วนเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น เชื่อว่าคงมีของดีๆ ปรากฏออกมาอย่างมากมาย สหายสนใจหรือไม่” ตอนแรกชิวหลงจื่อแสดงสีหน้าเสียดายออกมา แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็ถามออกไป
“ข้ามีนามว่าเฉียนหมิง ถ้างานชุมนุมแลกเปลี่ยนลับล่ะก็ ข้าสนใจมันมาก ไม่ทราบว่าจัดขึ้นเมื่อใด?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
“อีกสองเดือน เพราะสหายเหล่านี้ไม่ใช่คนเสวียนจิง ต้องเดินทางมาจากสถานที่อื่น” พอชิวหลงจื่อเห็นหลิ่วหมิงสนใจ ก็แสยะยิ้มกล่าวออกมา
“ได้ ข้าจะต้องไปเข้าร่วมตามเวลาอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ดีมาก พอถึงเวลาข้าจะรับรองให้สหาย และส่งเทียบเชิญไปให้ล่วงหน้า” ชิวหลงจื่อได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยกันต่ออีกหลายประโยค จากนั้นหลิ่วหมิงก็กล่าวอำลาแล้วเหาะลงไปยังรถม้าอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน รถม้าสามคันที่จอดอยู่ข้างถนนสายหลักก็ห้อเหยียดไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ชิวหลงจื่อยังอยู่บนอากาศเหนือแมกไม้ เขากำลังจ้องมองรถม้าที่วิ่งออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“พี่ใหญ่ชิว ไม่ลงมือจริงๆ หรือ? พวกข้าได้วางธงค่ายกลไว้ด้านล่างสองชุดแล้ว เพียงแค่หลอกล่อให้เขาเข้าไปในนั้น แล้วพวกข้าทั้งสองช่วยกันลงมือล่ะก็ ต่อให้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยากที่จะหนีรอดไปได้”
พลันมีน้ำเสียงงุนงงของผู้ชายดังจากในป่า
จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนยอดไม้ต้นหนึ่ง และเงาร่างคนสองคนก็เคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว แล้วหยุดอยู่ข้างชิวหลงจื่อด้วยความรวดเร็วราวกับปีศาจ
“น้องชายทั้งสอง ที่ข้าให้พวกเจ้าวางค่ายกลไว้ด้านล่าง เพียงเพราะเอาไว้ป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ผู้มีพลังระดับนี้ ใครจะกล้าพูดได้ว่าสามารถจัดการเขาได้อย่างแน่นอน ถ้าหากเขาหนีไปได้ เกรงว่าข้ากับเจ้าคงต้องเดือดร้อนในภายหลัง ที่สำคัญคือทำไมข้าต้องเป็นคนเลวเพื่อล่วงเกินคนผู้นี้เล่า” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้ที่มาใหม่ทั้งสองเป็นชายร่างผอมแห้งที่มีใบหน้าคล้ายเคียงกัน พวกเขาสวมชุดสีดำ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นิ้วทั้งสิบแหลมคม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสะพรึงกลัวราวกับเห็นผีในตอนกลางวัน
“แต่ตอนที่พี่ใหญ่กับผู้บัญชาการคนอื่นหารือกันนั้น……” หนึ่งในชายชุดดำกล่าวออกมาอย่างลังเล
……………………………………….
ตอนที่ 187 เสวียนจื้อกับต่งไทเฮา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮึ! ไม่รู้ว่าทั้งสามคนนั่นได้วิชาอะไรมาจากเฒ่าประหลาดในราชสำนักเหล่านั้น ถึงได้เก็บตัวฝึกฝนพร้อมกันทั้งสามคน ตัวคนอยู่ข้างใน แต่กลับแทรกแทรงเรื่องราวภายนอก ไหนเลยจะมีเรื่องที่ถูกเอาเปรียบบนโลกเช่นนี้ เรื่องที่ข้าเรียกพวกเขามาหารือในก่อนหน้า พวกเจ้าไม่ต้องจริงจังมากนัก ขณะนี้เสวียนจิงนับวันยิ่งซับซ้อน ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะกล้ายุแหย่ศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างไร แต่ถ้าเชื่อมสัมพันธ์กับเขาล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าก็ได้” ชิวหลงจื่อทำเสียงฮึดฮัดก่อนตอบกลับไป
“ที่แท้ท่านก็วางแผนไว้เช่นนี้ แต่คนผู้นี้มีที่มาไม่ชัดเจน ทั้งยังเป็นแขกของอ๋องสามอีก มันจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” ชายชุดดำอีกคนถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เขาเป็นแค่แขกของเรือนร้อยวิญญาณ เรือนน้อยวิญญาณร่วมมือกับท่านอ๋องสามเป็นหลัก เขาไม่นับว่าเป็นคนของจวนอ๋องสาม แต่หลังกลับไปแล้ว เจ้ารีบให้คนไปตรวจสอบดูว่าเรือนร้อยวิญญาณได้รับแขกคนใหม่ที่ชื่อเฉียนหมิงไหม” ชิงหลงจื่อสั่งอย่างราบเรียบ
“ทราบ! กลับไปข้าจะรีบสั่งการลงไป” ชายชุดดำทั้งสอบตอบรับพร้อมกัน
“เมื่อครู่เจ้าพูดถึงอ๋องสาม ทำให้ข้าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สายลับที่เราส่งเข้าไปเมื่อไม่นานนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีข่าวส่งอะไรส่งมาบ้างไหม?” ชิวหลงจื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไป
“พี่ใหญ่ สายลับเหล่านั้นไม่ได้ติดต่อมาครึ่งเดือนแล้ว ดูท่าจะเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ส่งไปก่อนหน้า ส่วนมากจะถูกฆ่าปิดปากไปจนหมด” ชายชุดดำคนหนึ่งหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! อ๋องสามผู้นี้รอบคอบเป็นอย่างมาก เราส่งสายลับไปเจ็ดแปดคนได้ แต่คนที่อยู่ได้นานที่สุดก็แค่ครึ่งปีเท่านั้น จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย” พอชิวหลงจื่อได้ยินก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา
“พี่ใหญ่ หลายปีมานี้อ๋องสามลดระดับตัวเองมาค่อนข้างมาก และปรากฏตัวออกมาน้อยเช่นกัน ทำไมพวกเราต้องสนใจอ๋องผู้ทรงคุณธรรมผู้นี้ ก็รู้กันดีว่าเขาช่วยให้จักรพรรดิได้ครองราชย์ในปีนั้น ทำให้เขาได้ผลงานไปไม่น้อย หากมีคนทราบทูลจักรพรรดิในเรื่องนี้ ถึงแม้พวกเราจะไม่กลัว แต่เกรงว่าคงจะตกอยู่ในสถานะที่ไม่ค่อยดีนัก” ชายชุดดำอีกคนกล่าวด้วยความแปลกใจ
“อืม! เดิมทีกะว่าจะรอเรื่องนี้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยบอกพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้าถามขึ้นมาในตอนนี้ ข้าจะเล่าให้ฟังเล็กน้อย ที่ข้าให้ความสนใจ ‘อ๋องผู้ทรงคุณธรรม’ นี้ ก็เพราะว่าข้าได้รับเบาะแสมาว่าอ๋องสามอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘พรรควิญญาณมืด’ ที่มีอิทธิพลใหญ่ที่สุดในเสวียนจิงตอนนี้ และมีความเป็นไปได้ว่าเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืด’ ” ชิวหลงจื่อลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดโยคที่ทำให้ชายชุดดำทั้งสองรู้สึกตกใจขึ้นมา
“อะไรนะ! ผู้อยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืดคืออ๋องสาม?”
“ไม่ผิด! ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นข้าคงไม่หาเรื่องส่งคนไปตายที่จวนอ๋องสามหรอก สืบข่าวอะไรมาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ข้าเพียงเตือนอ๋องสามว่ามีคนจับตามองเขาอยู่ อย่าได้กระทำการอันบุ่มบ่าม อย่าให้พรรควิญญาณมืดสร้างความวุ่นวายอะไรในเสวียนจิง พวกเจ้ากลับไปหาสายลับพลีชีพมาคนหนึ่งแล้วส่งเข้าไปในจวนอ๋องสามอีกครั้ง” ชิวหลงจื่อหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
หลังจากที่ชายชุดดำหายตกใจแล้ว ก็โค้งตัวตอบรับ
จากนั้นชิวหลงจื่อก็ให้ทั้งสองไปเก็บค่ายกลที่วางไว้ แล้วพากันเหาะกลับเสวียนจิง
หนึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยมาทางนี้ด้วยเช่นกัน คนที่ยืนอยู่บนนั้นก็คือหลิ่วที่เพิ่งจากไปก่อนหน้านั้น
ตอนนี้เขากลับมาเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าหลังจากส่งรถม้าสามคันนั้นไปแล้ว เขาถึงวกกลับมาที่นี่
เขาลอยวนอยู่บนอากาศเหนือป่าไม้อยู่หลายรอบ หลังจากส่งพลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดลงไปดูด้านล่างแล้ว ก็รับรู้ได้ถึงคลื่นชั้นจำกัดบางส่วนที่เหลืออยู่ เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็น และกระตุ้นเมฆเหาะจากไป
ขณะเดียวกัน ในห้องลับใต้ดินของพระราชวังโอ่อ่ารโหฐานในเสวียนจิง ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมมังกรสีทองกำลังกลอกกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าที่เดิมทีดูน่าเกรงขามก็เริ่มบิดเบี้ยว และมีเกล็ดสีเขียวปรากฏออกมา ขณะเดียวกันเส้นผมก็เปลายนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีเงินจางๆ
เสียดัง “เพล้ง!”
หางปลาสีเขียวขนาดใหญ่สะบัดออกมาจากเสื้อคลุมยาวของเขา และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่แข็งแกร่งราวกับหินแตกละละเอียดเป็นจุน
ใบหน้าของชายผู้นี้ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มือทั้งสองเกาะอยู่บนพื้น และทิ้งรอยเลือดสยดสยองไว้มากมาย
เวลาผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้ ร่างของชายชุดคลุมมังกรก็ชักกระตุกไปทีหนึ่ง และผ่อนคลายขึ้นมาในทันที จากนั้นก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน และหายใจอย่างหนักหน่วง
“เฮ่อๆ! ความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนร่างนี้ สำหรับมนุษย์โลหิตผสมอย่างเจ้าจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นทุกครั้ง ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกใยต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า” ประตูใหญ่ของห้องลับถูกเปิดออกในฉับพลัน หญิงที่มีท่าทีสุขุมเยือกเย็นอายุประมาณไม่เกินสี่สิบกว่าปีเดินเข้ามา นางสวมชุดหญิงชั้นสูง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่สูงส่งมาก
“ข้าเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ต่อให้ไม่ทานโอสถเผ่าสมุทรของพวกเจ้า ข้าก็สามารถผ่านมันไปได้ มิเช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าเป็นหุ่นเชิดหรอกหรือ!” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมา จากนั้นหางปลาก็กลายเป็นสองเท้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ฝืนลุกขึ้นมาได้แล้วก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“สำหรับเผ่าเจ้าสมุทรอย่างพวกข้าที่ครอบครองมหาสมุทรโดยไร้ขอบเขตแล้ว แคว้นเล็กๆ ของมนุษย์มันไม่มีค่าเลย เด็กอย่างเจ้าไม่เคยไปที่เผ่าเจ้าสมุทรของเรา จึงไม่รู้ว่าโลกมันใหญ่แค่ไหน และถึงได้มีความคิดอันน่าขบขันเช่นนี้ ข้าเองก็นับว่าพอมีตำแหน่งอยู่ในเผ่าเจ้าสมุทรอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่ว่าครั้งนี้พวกเราวางแผนไว้ใหญ่โต ไหนเลยจะยอมปลอมแปลงเป็นชายาของมนุษย์เลวๆ ทั้งยังให้กำเนิดพวกเจ้าสองคนออกมาอีก ข้าระงับการให้โอสถเจ้าในครั้งนี้ เป็นแค่การการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อย่าได้คิดกระทำการใดๆ ที่ตนเองคิดว่าถูกต้องเด็ดขาด” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้ากล่าว จากนั้นก็ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องลับ
ชายสวมชุดคลุมมังกรผู้นี้ก็คือประมุขของแคว้นต้าเสวียน ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่มีนามว่าเสวียนจื้อนั่นเอง
ส่วนหญิงวัยกลางคนนั้นคือพระมารดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หรือต่งไทเฮาของแคว้นต้าเสวียน
แต่ดูจากสถานการณ์ของทั้งสองในตอนนี้แล้ว ดูไม่มีสายใยผูกพันเผยออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดอย่างประหลาด
“ท่านมีแผนร้ายอะไรกันแน่ ถึงได้วางหลุมพรางนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้ารับปากร่วมมือกับพวกท่านแล้ว ควรจะบอกแผนการของพวกท่านให้ข้าบ้าง” เสวียนจื้อถามออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา
“แผนร้ายอะไร! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถรู้ได้ สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือพยายามเปลี่ยนตำแหน่งขุนนางสำคัญๆ มาเป็นคนของพวกเราให้หมด โดยที่คนอื่นๆ ไม่รู้ตัวก็พอแล้ว จะต้องให้มั่นใจได้ว่า พอเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั่วทั้งแตว้นต้าเสวียนจะต้องไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงเกิดขึ้น และห้ามมนุษย์หนีออกไปข้างนอกได้” ต่งไทเฮากวาดตามองบุตรชายตนเองแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ฮึ! หลายปีที่ข้าดำรงตำแหน่งมานี้ ขุนนางหนึ่งในสามของราชสำนักต่างก็เป็นคนของท่านแล้ว หรือว่ามันยังไม่พออีกหรือ?” เสวียนจื้อได้ยินก็อดโมโหไม่ได้
“ไม่พออย่างแน่นอน! อย่างน้อยตำแหน่งขุนนางครึ่งหนึ่งขึ้นไป ต้องเป็นคนที่ข้าเสนอถึงจะได้ ข้ารู้ว่าหลายปีนี้เจ้าทำเป็นยอมศิโรราบต่อหน้าข้า แต่ความจริงแอบมีแผนอื่นอยู่ในใจ มิเช่นนั้นคงไม่แอบติดต่อกับศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจผู้นั้น ถ้าไม่ใช่ว่าข้าใช้วิธีการบางอย่างทำให้ ‘เจ้าสาม’ เข้าใจผิดคิดว่าศิษย์ตรวจตรานิกายปีศาจมาจัดการเขา และส่งคนไปฆ่าปิดปากก่อนล่ะก็ เกรงว่าแผนของข้าคงถูกเจ้าทำลายไปแล้ว” ต่งไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าเจ้าสามจะกล้าลงมือกับคนของนิกายปีศาจเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่กลัว แต่ถ้าถูกตรวจสอบขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ไม่อาจปกป้องเขาได้” พอเสวียนจื้อฟังถึงจุดนี้ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“เด็กน้อย จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมกับข้า ทำไม่ถึงไม่คิดดูบ้างล่ะว่าใครเลี้ยงเจ้ามาจนโต เจ้าอย่าบอกนะว่า ไม่รู้ว่าน้องสามของเจ้าไม่ใช่ตัวเขาคนเดิมตั้งนานแล้ว” ต่งไทเฮาได้ยินเช่นนี้กลับยิ้มออกมา
“ที่แท้เรื่องนี้ก็ไม่สามารถปิดบังท่านได้ อย่างนี้ก็แสดงว่าเรื่องที่พรรควิญญาณมืดกำลังทำในตอนนี้ ท่านก็รู้อย่างแจ่มแจ้ง” ในที่สุดสีหน้าของเสวียนจื้อก็เปลี่ยนไป
“แน่นอนว่าข้ารู้แจ้งแจ่มชัด แต่ในเมื่อมีคนยอมทำเรื่องยากให้ก่อน มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับข้าเป็นอย่างมาก” ต่งไทเฮากล่าว
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามอีกประโยค เสด็จลุงเสด็จอาเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่พวกเขาถูกล่อให้ไปเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่ข้าก็ไม่มีโอกาสได้เจอพวกท่านเลย” เสวียนจื้อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอยหายใจก่อนกล่าวออกมา
“วางใจเถอะ! เสด็จลุงเสด็จอาของเจ้ายังมีประโยชน์กับข้า ข้าไม่ฆ่าพวกเขาหรอก แต่สภาพของพวกเขาในตอนนี้คงไม่ต่างกับเจ้า พอถึงเวลาต่อให้พวกเขาไม่อยากยืนข้างข้า แต่เกรงว่าคงไม่มีทางเลือกอื่น” ต่งไท่เฮายิ้มเล็กน้อย
“เหมือนกับข้า! หมายความว่าอย่างไร?” เสวียนจื้อรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร เรื่องนี้ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง แต่เรื่องที่เจ้าติดต่อกับศิษย์นิกายปีศาจในครั้งก่อน เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะยอมให้เจ้าได้ ถ้ายังมีครั้งที่สองอีกล่ะก็ เจ้าไม่เพียงแต่จะโดนระงับโอสถ แต่ข้าอาจจะทำให้เจ้าหายไปจากโลกใบนี้ แล้วหาหุ่นเชิดคนใหม่มาทำหน้าที่จักรพรรดิแคว้นต้า เสวียนแทนเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าฉลาดจริงๆ หรือแกล้งเลอะเลือน ด้วยสถานภาพที่เจ้ามีโลหิตของเผ่าเจ้าสมุทร ถึงแม้มนุษย์ผู้ฝึกฝนเหล่านั้นจะสามารถขับไล่พวกเราออกจากแคว้นต้าเสวียนไปได้ แต่เจ้าคิดว่านิกายของมนุษย์เหล่านั้นจะยอมให้เจ้าเป็นจักรพรรดิในแคว้นต้าเสวียนต่อไปอีกหรือ พอถึงตอนนั้นต่อให้จะเห็นแก่ที่เจ้าส่งข่าวให้ แต่จุดจบที่ดีที่สุดก็คือถูกขังอยู่ในสถานที่บางแห่งตลอดชีวิต แต่ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรของเราควบคุมแคว้นนี้ไว้ได้ ยังคงต้องใช้จักรพรรดิมาตวบคุมดูแลมนุษย์เหล่านี้ ลูกโลหิตผสมอย่างเจ้าย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เช่นนี้แล้วมันต่างอะไรกันกับจักรพรรดิที่ถูกควบคุมโดยห้านิกายใหญ่เล่า เรื่องที่ข้าจะพูดข้าก็พูดหมดแล้ว นี่เป็นการเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่เชื่อฟังล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่สัมพันธ์ก็แล้วกัน” ต่งไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด จากนั้นก็โยนขวดเล็กๆ ไปบนพื้นแล้วลุกเดินจากไป
……………………………………….
ตอนที่ 188 ฝานไป๋จื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอเสวียนจื้อเห็นขวดใบเล็ก ใบหน้าก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ผ่านไปสักพักถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะเก็บมันขึ้นมา และเทโอสถสีเขียวมาทานอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นานใบหน้าที่ขาวซีดของเขาก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา ขณะเดียวกันเกล็ดสีเขียวบนตัวก็หายไป สีของเส้นผม ดวงตา ก็กลับมาเป็นสีดำ ทุกอย่างฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
“เดิมทีคิดที่จะดึงคนของนิกายเหล่านั้นมา จะได้ฉกฉวยผลประโยชน์ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังวุ่นวาย และดูว่าสามารถเปลี่ยนอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย คงต้องเดินตามทางที่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้วางไว้ หวังว่าในภายหน้าจะเป็นอย่างที่นางพูด” เสวียนจื้อยกมือทั้งสองที่ฟื้นฟูกลับมาดังเดิมขึ้นมา หลังจากที่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้วก็กล่าวกับตัวเองอย่างไม่มีทางเลี่ยง
จากนั้นจักรพรรดิแคว้นต้าเสวียนผู้นี้ ก็ไปจากห้องลับด้วยท่าทีเซื่อมซึม
……
ช่วงเวลาเย็น หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องพักของตนเอง และกำลังดูเกล็ดสีเขียวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
จากประสบการณ์ของเขา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่อาจสังเกตเห็นอะไรเป็นพิเศษจากเกล็ดนี้ แต่มันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
ดูท่าเรื่องที่ใต้เท้าซุนพูดคงเป็นเรื่องจริงแปดถึงเก้าในสิบส่วน
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่นิกายทั้งห้ายกขึ้นมานี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่งนัก มันพอที่จะให้นิกายทั้งห้ารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากได้
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ เขาถึงไม่บอกข่าวเรื่องนี้กับนิกายโดยง่าย
เพราะนอกจากเกล็ดที่เขามีอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานชิ้นอื่นอีกเลย ถ้าหากเป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาคงถูกตำหนิไม่เบา
อีกไม่นานเกาชงก็อาจจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว หลิ่วหมิงไม่สามารถเผยจุดอ่อนนี้ให้ฝ่ายตรงข้ามได้
หลังจากที่เขาคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ในใจตั้งนานสองนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจระงับข่าวเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อน รอหาหลักฐานอื่นที่ชัดเจนได้แล้ว และมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถึงค่อยส่งข่าวกลับไปนิกาย
แต่เรื่องที่มีคนดักซุ่มที่อารามเสี่ยวชิง มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการหายตัวไปของศิษย์ตรวจตราไหม?
หลังจากที่หลิ่วหมิงเก็บเกล็ดเข้าไปแล้ว ก็อดที่จะคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
ภายในระยะเวลาไม่กี่วันต่อมา เขาดูเหมือนจะใช้เวลาทั้งหมดเดินแช่อยู่ในตลาดใต้ดินของเสวียนจิง และซื้อโอสถกับยันต์ที่คาดว่าจำเป็นต้องใช้มาจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งของที่มูลค่าสูงกลับหาไม่พบ
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด!
ด้วยสายตาและสถานะของเขาในตอนนี้ สิ่งของโดยทั่วไปยากที่จะเข้าตาเขาได้
แต่ในวันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงเพิ่งกลับมาจากตลาด กลับถูกเฉียนเชาที่เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่เรียกตัวเขาไว้ และกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายเฉียน ท่านกลับมาแล้ว ข้ามีข่าวดีจะบอกท่าน ไม่ทราบว่าคุณชายเฉียนอยากฟังหรือไม่?”
“ในเมื่อเป็นข่าวดี ทำไมข้าจะไม่อยากฟังเล่า” หลิ่วหมิงยิ้ม
“เฮ่อๆ! ข่าวดีที่ว่าคือ ในที่สุดผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไป๋จื่อก็ยอมพบพวกเราแล้ว ครั้งนี้ท่านปรุงโอสถชนิดใหม่ เพื่อเตรียมประมูลในงานประมูลที่เรือนร้อยวิญญาณจัดขึ้น ดังนั้นถึงยอมพบพวกเรา ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณชายมีเวลาหรือไม่ เพราะว่าข่าวนี้ถูกส่งมาช้าไปหน่อย ทางที่ดีที่สุดพวกเราไปพบผู้เชี่ยวชาญฝานในตอนนี้ เผื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการประมูลโอสถ เพียงมีโอสถตัวใหม่ของผู้เชี่ยวชาญฝาน เชื่อว่าความเชื่อมั่นในความสำเร็จของการประมูลครั้งนี้จะเพิ่มมากขึ้น” เฉียนเชากล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้? ไม่ทราบว่านอกจากเถ้าแก่เฉียนแล้ว ยังมีคนอื่นที่ไปพร้อมกันหรือไม่?” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน แต่ก็รีบถามไปเย่างรวดเร็ว
“ไม่มีแล้ว มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้น ผู้อาวุโสเหมี่ยนดูแลเรื่องเกี่ยวกับการประมูลอยู่ จึงต้องเฝ้าคลังเก็บของ และไม่อาจปลีกตัวไปได้” เฉียนเชากล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ!” หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
เฉียนเชาได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบสั่งให้คนไปเตรียมรถม้า แล้วตนกับหลิ่วหมิงก็เดินออกไปนอกประตูจวน
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงกับเฉียนเชาก็มาปรากฏตัวบนถนนภูเขาเส้นหนึ่ง และมุ่งตรงไปยังด้านบน
“ผู้เชี่ยวชาญฝานก็พักอยู่บนเขาเซียนทอแสงด้วย ช่างบังเอิญเสียจริง” หลิ่วหมิงมองดูทิวทัศน์รอบด้าน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ด้วยระดับความรู้อันลึกซึ้งของผู้เชี่ยวชาญฝาน ย่อมไม่ทำให้ตนเองอยู่ภายใต้การควบคุมของอิทธิพลต่างๆ อีกอย่างเขาเซียนทอแสงก็มีพลังปราณหนาแน่น ทั้งยังเงียบสงบ เป็นสถานที่เหมาะกับการปรุงโอสถ” ถึงแม้เฉียนเชาจะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีชีพจรจิตวิญญาณ แต่ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียวที่เดินเคียงบ่าไปกับหลิ่วหมิง กลับไม่มีสีหน้าอ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย
“มันก็ใช่ ด้วยการที่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถนั้นมีน้อย ถ้านำตัวเองไปอยู่ในสถานที่อันตรายล่ะก็ เกรงว่าต่อให้ถูกคนจับตัวไปแล้วบีบบังคับให้ปรุงโอสถ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่ผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อพักอยู่บนเขาเซียนทอแสง เกรงว่าคงถูกราชสำนักเอาเปรียบไม่น้อย” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับไป
”ฮ่าๆ! คุณชายเป็นคนที่เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ดีจริงๆ เพื่อเป็นค่าตอบแทนของการคุ้มครอง ทุกปีเขาต้องปรุงโอสถจำนวนหนึ่งมอบให้กับราชสำนัก และถ้าแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านั้นต้องการซื้อโอสถทีทผู้เชี่ยวชาญฝานล่ะก็ สามารถซื้อได้ถูกกว่าคนอื่นๆ หนึ่งถึงสองส่วน” เฉียนเชาหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้า แสดงสีหน้าเห็นด้วย
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองก็มาถึงใต้หน้าผาที่สูงชะโงกเงื้อมในที่สุด บนหน้าผามีประตูหินสีดำขนาดใหญ่อยู่บานหนึ่ง ข้างประตูทั้งสองด้านมีรูปสลักสิงโตหินสีดำสูงจั้งกว่าๆ จัดวางอยู่ข้างละตัว
และห่างจากหน้าประตูไปไม่ไกล มีศาลาไม้หลังใหญ่ตั้งอยู่ มีคนราวๆ สิบกว่าคนกำลังพักผ่อนอยู่ในนั้น
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองไปก็ดูออกว่าคนเหล่านี้ต่างก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่ก็มีไม่กี่คนที่เป็นคนธรรมดา
“คนเหล่านี้คือ……” หลิ่วหมิงถาม
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา คนเหล่านี้ไม่คิดที่จะมอบตัวเป็นศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญฝานเพื่อเรียนวิชาปรุงโอสถ พวกเขาเพียงแต่จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญฝานปรุงโอสถบางอย่างให้เท่านั้น ปกติแล้วผู้เชี่ยวชาญฝานจะไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” เฉียนเชาตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ
จากนั้นเขาก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังประตูหินบนหน้าผาอย่างรวดเร็ว และสะบัดแขนเสื้อเคาะประตูด้วยเสียงดัง “ก๊อก!” “ก๊อก!”
ผ่านไปไม่นานประตูหินก็เปิดออก เด็กน้อยฟันขาวปากแดงที่ถักผมเปียก็เดินออกมา
“ท่านทั้งสองคือ?” เด็กน้อยสังเกตดูคนทั้งสองแล้วเอ่ยปากถามออกมา
“ข้าคือเฉียนเชา เจ้าของเรือนร้อยวิญญาณ ได้นัดหมายกับผู้เชี่ยวชาญฝานไว้แล้ว” เฉียนเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่เฉียน ผู้เชี่ยวชาญได้สั่งไว้แล้ว ถ้าเถ้าแก่เฉียนมาล่ะก็ไม่ต้องไปรายงานท่าน และพาไปห้องรับแขกได้เลย” เด็กน้อยได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม และขยับตัวไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้
เถ้าแก่เฉียนเห็นเช่นนี้ก็กล่าวขอบคุณแล้วพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไป
พอผู้คนที่อยู่ในศาลาไม้เห็นเช่นนี้ ต่างก็ฮือฮาขึ้นมาในทันที
นิสัยแปลกประหลาดของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอย่างฝานไป๋จื่อผู้นี้ ผู้คนในเสวียนจริงต่างก็รู้ดี
พวกเขาเหล่านี้อยู่ที่นี่มานานสุดครึ่งเดือนแล้ว น้อยสุดก็สองสามวัน แต่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่ามีคนที่พูดเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินเข้าประตูหินได้โดยไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้!
ขณะนี้ หลิ่วหมิงและเฉียนเชาถูกเด็กน้อยพาเดินเข้ามาในห้องโถงห้องหนึ่ง
ห้องโถงนี้กว้างสิบกว่าจั้ง มุมห้องทั้งสี่ด้านต่างก็มีกระถางดอกไม้สวยงามแปลกประหลาดวางอยู่ โต๊ะไม้จันทน์กับเก้าอี้สองสามตัวตั้งอยู่กลางห้อง การตกแต่งเงียบง่ายเป็นพิเศษ
“ท่านทั้งสองรออยู่ที่นี่สักครู่ ผู้เชี่ยวชาญกำลังปรุงโอสถอยู่ อีกซักพักถึงจะมาพบท่านทั้งสองได้” เด็กน้อยพาทั้งสองไปนั่งเก้าอี้ และชงชาให้กาหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไร เรื่องปรุงโอสถของผู้เชี่ยวชาญฝานสำคัญกว่ามาก ข้าทั้งสองจะรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” เฉียนเชากล่าว
เด็กชายได้ยินแล้วก็พยักหน้าก่อนที่จะถอยออกไป
ทั้งสองจิบชาไปด้วย พูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย
“คุณชายเฉียน หลายวันก่อนท่านได้พบกับชิวหลงจื่อที่เป็นผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำแล้วใช่ไหม?” ผ่านไปซักพัก เฉียนเชาก็พลันถามเรื่องนี้ขึ้นมา
“อืม! เคยพบกันจริงๆ เถ้าแก่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากฉุกคิดได้ก็ถามกลับไป
“ไม่มีอะไร เพียงแค่สองวันก่อนมีคนมาสอบถามเรื่องของคุณชายเฉียน ดูเหมือนว่าจะรับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการชิว” เฉียนเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ดูท่าผู้บัญชาการชิวผู้นี้จะเป็นที่มีความตั้งใจจริง” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะออกมา
“ข้าได้ยินผู้อาวุโสเหมี่ยนบอกว่า ชิวหลงจื่อผู้นี้กับผู้บัญชาการอีกสามคน ต่างก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งที่สุดในเสวียนจิง คุณชายเฉียนคงไม่ได้ล่วงเกินเขาโดยไม่ตั้งใจหรอกนะ?” เฉียนเชาถามหยั่งเชิง
“เถ้าแก่วางใจได้ ข้าเพียงแค่แลกมือกับผู้บัญชาการชิวผู้นี้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมา” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม
“แลกมือ!”
เฉียนเชาได้ยินเช่นนี้กลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ถึงเขาจะรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะสามารถเทียบกับผู้ฝึกฝนขั้นสมบูรณ์แบบอย่างชิวหลงจื่อผู้นี้ได้
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกใจ และขยับปากจะพูดอะไรออกมา แต่พลันมีเสียงแก่หง่อมดังเข้ามาจากประตูข้างห้องโถง
“ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจมาก ไม่ทราบว่าผลการแลกมือระหว่างสหายกับสหายชิว ใครเป็นผู้ชนะกัน ชิวหลงจื่อเป็นผู้ที่ชำนาญเรื่องวิชาแมลงพิษ แมลงพิษในมือเขาจำนวนมากเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่งนัก”
พอเสียงสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาว เส้นผมสีขาว ใบหน้ามีเลือดฝาดก็เดินเข้ามาจากประตูที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเขาไปด้วยความสนใจ
“ผู้เชี่ยวชาญฝาน โอสถของท่านปรุงเสร็จแล้วหรือ” พอเฉียนเชาเห็นผู้อาวุโสก็รีบลุกขึ้นคารวะด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นคารวะด้วยตาที่เป็นประกาย
“ข้าน้อยเฉียนหมิง เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ คารวะสหายฝาน”
“ท่านทั้งสองเชิญนั่ง! ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ที่แท้ท่านนี้ก็คือสหายเฉียน เถ้าแก่เฉียน ท่านมีแขกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” ฝานไป๋จื่อโบกมือ หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายเฉียนมีความสามารถจริงๆ ทั้งยังเคยช่วยฮูหยินกับลูกชายข้า แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายเฉียนจะมีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้” เฉียนเชาได้ยินก็รีบฝืนยิ้มตอบกลับไป
“แน่นอน ด้วยสถานะของชิวหลงจื่อ ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน เกรงจะว่าคงยากที่จะดึงดูดให้เขามาแลกมือได้ ดูท่าสหายเฉียนก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย” ฝานไป๋จื่อฟั่นหนวด และจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งก่อนกล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
……………………………………….
ตอนที่ 189 โอสถโลหิตเผาไหม้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ดูท่าระดับการฝึกฝนของข้าคงไม่อาจปิดบังท่านทั้งสองได้” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ยอมรับออกมาตามตรง
พอคำพูดนี้เปล่งออกมา ไม่เพียงแค่ฝานไป๋จื่อที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่เฉียนเชาที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าตกใจระคนดีใจยิ่งกว่าเดิม
ในสถานการณ์เช่นนี้ เรือนร้อยวิญญาณมีแขกจิตวิญญานขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบโผล่มาโดยกะทันหัน สำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานมาให้
“จุ๊ๆ! ไม่คิดว่าสหายเฉียนอายุน้อยเช่นนี้ แต่ฝึกฝนมาถึงเขตแดนนี้ได้ ดูเหมือนว่าต่อให้เทียบกับศิษย์แกนนำของนิกายทั้งห้า ก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย ต่อไปถ้าจะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ฝานไป๋จื่อกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ผู้เชี่ยวชาญฝานชมเกินไปแล้ว ถ้าข้าน้อยมีความมั่นใจในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ คงซ่อนตัวอยู่ในสถานที่บางแห่งเพื่อเตรียมตัวตั้งนานแล้ว ความจริงที่ข้ามาเสวียนจิงในครั้งนี้ ประการแรกคือเพื่อหาไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสม ประการที่สองคืออยากซื้ออาวุธ และโอสถช่วยเสริมจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะได้เพิ่มโอกาสในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในภายภาคหน้า” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ! อย่างน้อยสหายเฉียนก็ยังมีโอกาสทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ ลำพังเพียงแค่จุดนี้ก็ไม่รู้ว่าทำให้คนอิจฉาตั้งเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอปีศาจบริสุทธิ์กับอาวุธและโอสถที่ช่วยเสริมในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณนั้น ถึงแม้จะพบเจอได้น้อย แต่ในสถานที่อย่างเสวียนจิงก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้สหายเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณแล้ว ไม่แน่อาจจะได้อะไรจากการประมูลในครั้งนี้บ้าง” ฝานไป๋จื่อหัวเราะออกมา จากนั้นก็กล่าวคำที่แฝงไว้ด้วยความหมาย
“ทำไมล่ะ! หรือว่างานประมูลในครั้งนี้จะมีไอปีศาจบริสุทธิ์ปรากฏออกมาด้วย?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา และหันหน้าไปถามเฉียนเชา
“ผู้เชี่ยวชาญฝานกล่าวได้ถูกต้อง เพื่อการประมูลในครั้งนี้ เรือนร้อยวิญญาณได้รวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์มาได้หลายชุด และยังมีไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งที่สุด เป็นรายการรั้งท้ายของการประมูลในครั้งนี้ ตอนนี้มันกำลังอยู่ระหว่างการขนส่งมายังเสวียนจิง” เฉียนเชาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไป
“ดีมาก ดูท่าข้าคงต้องเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ด้วยแล้ว สิ่งของในงานประมูลที่เถ้าแก่เคยรับปากว่าจะขายให้ข้าครึ่งราคานั้น คงจะเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความดีใจ
“คำสัญญาของข้าจะเป็นเท็จได้อย่างไร ไม่ว่าคุณชายอยากจะประมูลสิ่งของอันใด ข้าก็จะให้ท่านจ่ายเพียงแค่ครึ่งเดียวของราคาประมูล” ถึงแม้เฉียนเชาจะรู้สึกปวดใจ แต่ก็อยากดึงหลิ่วหมิงมาเป็นพวกมากกว่า เขาจึงตอบกลับไปอย่างเด็ดขาด
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณเถ้าแก่ล่วงหน้า” หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณออกมา
ฝานไป๋จื่อที่อยู่ข้างๆ ก็อมยิ้มมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้
“ใช่สิ! ผู้เชี่ยวชาญฝาน! ที่ท่านส่งข่าวมาครั้งนี้ บอกว่าโอสถระดับสูงที่ปรุงขึ้นมาใหม่ เตรียมพร้อมที่จะนำไปขายในงานประมูลแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นโอสถชนิดใด พอที่จะบอกประสิทธิภาพกับชื่อของมันได้ไหม ข้าจะได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้” ในที่สุดเฉียนเชาก็พูดเรื่องนี้กับฝานไป๋จื่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่คือ ‘โอสถโลหิตเผาไหม้’ ที่ข้าต้องการนำเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้” ดูเหมือนว่าฝานไป๋จื่อจะรอให้เฉียนเชาพูดเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว พอได้ยินเช่นนี้เขาก็ค่อยๆ หยิบขวดเล็กๆ มันวาวราวกับหยกออกมาจากอก และเทโอสถสีแดงเลือดออกมาเม็ดหนึ่ง
เฉียนเชาจ้องมองไปที่โอสถ และลุกเดินไปหยิบโอสถสีแดงเลือดนั้นขึ้นมา หลังจากที่สังเกตดูมันอย่างละเอียดแล้ว ก็สูดดมเบาๆ
มันไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่น้อย!
คิ้วเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้ค่อยๆ ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ขณะนี้ ฝานไป๋จื่อกลับกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“โอสถโลหิตเผาไหม้นี้ ข้าปรุงตามตำรับโอสถโบราณมาด้วยความยากลำบาก ไม่เพียงแต่ต้องสิ้นเปลืองพืชจิตวิญญาณล้ำค่าเป็นจำนวนมาก และเตาหลอมหนึ่งสามารถปรุงได้สามเม็ดทั้งนั้น และเชื่อในแคว้นต้าเสวียนคงมีแต่ข้าที่สามารถปรุงโอสถนี้ได้ ผลลัพธ์ของมันสามารถกระตุ้นโลหิตทั่วร่าง ทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนเกือบถึงสี่ในสิบส่วนของพลังเวทย์ทั้งหมด”
“อะไรนะ โอสถนี้ทำให้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็นสี่ส่วนได้ แต่ไม่ทราบว่าผลลัพธ์มันดำรงอยู่ได้นานเท่าไหร่ มีผลข้างเคียงหรือไม่?” ตอนแรกเฉียนเชารู้สึกตะลึงงัน แต่ก็รีบถามเรื่องที่สำคัญอย่างรวดเร็ว
“เฮ่อๆ! อันนี้ต้องดูว่าผู้ที่ทานเข้าไปมีร่างกายที่แข็งแกร่งแค่ไหน ผู้ฝึกฝนที่ร่างกายแข็งแกร่งแตกต่างกัน หลังจากโลหิตถูกกระตุ้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปด้วย แต่อย่างน้อยผลลัพธ์มันก็ดำรงอยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่งเค่อ ส่วนผลข้างเคียงนั้นแน่นอนว่ามีอยู่บ้าง นั่นก็เป็นเพราะว่าสูญเสียโลหิตเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ผู้ทานอ่อนแอเป็นอย่างมากในครึ่งเดือนให้หลัง ส่วนผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเกินไป ก็อาจจะหมดสติลงไปทันทีหลังจากที่มันแสดงผลลัพธ์เสร็จ แน่นอนว่าเพียงแค่เพิ่มการบำรุงร่างกายให้มากหลังจากใช้มันเสร็จ โลหิตก็จะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม และอาการเหล่านี้ก็จะหายไป” ฝานไป๋จื่อกล่าวโดยไม่ต้องคิด และไม่ปิดบังข้อเสียของโอสถโลหิตเผาไหม้นี้เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าโอสถนี้เป็นอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญฝานกล่าวล่ะก็ ผลข้างเคียงเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร ตามหลักแล้วโอสถที่เข้าร่วมประมูลของเรือนร้อยวิญญาณเรา จะต้องผ่านการตรวจสอบก่อน ถึงจะประมูลขายได้ ผู้เชี่ยวชาญคงไม่มีข้อคัดค้านในเรื่องนี้ใช่ไหม?” เฉียนเชาได้ยิน ก็กล่าวด้วยความตื่นเต้น
สำหรับเขาแล้ว ถ้าผลลัพธ์ของโอสถโลหิตเผาไหม้นี้เป็นจริงดังว่า มูลค่ามันคงสูงจนยากที่จะรู้ได้ มันสามารถใช้เป็นรายการประมูลรั้งท้ายได้อีกชิ้นอย่างแน่นอน
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็เข้าใจกฎของการประมูลดี โอสถโลหิตเผาไหม้เม็ดนี้ เถ้าแก่เฉียนสามารถนำมันกลับไปตรวจสอบก่อนได้ แต่โอสถชนิดนี้ข้าปรุงมาได้เพียงสามเม็ดเท่านั้น แต่ละเม็ดล้วนล้ำค่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกท่านอยากตรวจสอบก็ตรวจสอบไป แต่อย่าทำลายคุณบัติของมันเด็ดขาด” ฝานไป๋จื่อลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้ากล่าวออกมา
“ขอบคุณผู้เชี่ยวชาญฝานที่เข้าใจ ท่านวางใจได้! เรือนร้อยวิญญาณของเราตรวจสอบคุณสมบัติของโอสถมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เพียงแค่นำผงบนผิวมันออกมาตรวจสอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะไม่ทำลายคุณสมบัติของตัวโอสถอย่างแน่นอน” เฉียนเชากล่าวด้วยความดีใจ
“ดีมาก ข้าค่อนข้างวางใจชื่อเสียงของเรือนร้อยวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้” ฝานไป๋จื่อกล่าวอย่างราบเรียบ
เฉียนเชากล่าวขอบคุณติดต่อกัน และใส่โอสถโลหิตเผาไหม้เข้าไปในขวดอย่างระมัดระวัง
“หากท่านทั้งสองไม่มีธุระอื่น ข้าก็จะไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว ข้าจะไปห้องโอสถเพื่อปรุงโอสถจำนวนหนึ่ง” ฝานไป๋จื่อจิบชาบนโต๊ะเบาๆ แล้วก็กล่าวคำพูดส่งแขกออกมา สีหน้าดูหมางเมินขึ้นมาเล็กน้อย
ดูท่าที่ผู้คนพูดว่านิสัยของเขาแปลกประหลาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด
เฉียนเชาได้ยินเช่นนี้ก็มองไปที่หลิ่วหมิงทีหนึ่ง
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวกับฝานไป๋จื่ออย่างไม่รีบร้อน
“สหายฝาน ที่ข้ามากับเถ้าแก่เฉียนในครั้งนี้ ความจริงแล้วยังมีเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้องท่าน ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีฟังสักเล็กน้อยไหม?”
“หืม! มีเรื่องขอร้อง? ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ข้าขี้เกียจที่จะไปสนใจ แต่สหายเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ จึงย่อมแตกต่างกัน ข้าสามารถรับฟังได้” พอฝานไป๋จื่อได้ยินก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เถ้าแก่เฉียนหลบไปก่อนได้หรือไม่ ข้าอยากพูดเรื่องนี้กับผู้เชี่ยวชาญฝานเพียงลำพัง” หลิ่วหมิงหันไปกล่าวกับเฉียนเชา
“เฮ่อๆ! ไม่มีปัญหา เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะไปรออยู่ห้องโถงที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ ถ้าคุณชายพูดคุยจบแล้วก็ไปหาข้าที่นั่นก็แล้วกัน” เฉียนเชากล่าวโดยไม่ต้องคิด
ฝานไป๋จื่อไม่คัดค้านแต่อย่างใด หลังจากออกคำสั่งกับเด็กชายที่รออยู่ด้านนอกไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ให้เขาพาเฉียนเชาไปจากห้องโถงใหญ่
“เอาล่ะ! สหายมีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย ข้าหวังว่าเรื่องที่สหายจะพูด คงไม่ทำให้ข้าต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์” ฝานไป๋จื่อรอจนร่างของเฉียนเชาและเด็กชายหายลับไปแล้ว ถึงได้หรี่ตากล่าวกับหลิ่วหมิง
“ข้ามีของสิ่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าผู้เชี่ยวชาญฝานจะจำได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้ม และหยิบสิ่งของขนาดราวๆ เล็บนิ้วมือออกมาจากแขนเสื้อก่อนที่จะยื่นออกไป
“ข้าขอดูก่อน……เอ๋! นี่คือ……” เดิมทีฝานไป๋จื่อยื่นมืออกไปรับอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอรู้สึกว่านิ้วมือค่อยๆ หนักขึ้นมา ถึงได้หันไปมองสิ่งของในมือด้วยความตกใจ และเสียงของเขาก็ค่อยๆ สั่นขึ้นมา
ของสิ่งนั้นคือดินเหนียวสีทองอ่อนก้อนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆ ของดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่หลิ่วหมิงได้มาในตอนนั้น
“ดูท่าผู้เชี่ยวชาญฝานคงจะจำของสิ่งนี้ได้ ไม่ผิด! สำหรับผู้เชียวชาญการปรุงโอสถแล้ว ของสิ่งนี้คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่สำคัญเป็นอย่างมาก สหายฝานอยากจะตรวจสอบมันอย่างละเอียด เพื่อยืนยันว่ามันเป็นของจริงหรือไม่?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว แต่ก่อนข้าก็เคยได้รับดินปราณทองคำบริสุทธิ์มาสองเฉียน แต่มันไม่ใหญ่เท่าก้อนนี้ คุณภาพก็เทียบกันไม่ติด นี่คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์อย่างแน่นอน สหายเฉียนพูดมาเถอะ! เจ้าอยากจะขอร้องข้าเรื่องอะไร? เพียงเจ้ามอบดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้ให้ข้าสามตำลึง ไม่ว่าจะเป็นโอสถ หรือว่าเรื่องอื่นๆ ข้าก็สามารถรับปากเจ้าได้” ฝานไป๋จื่อให้นิ้วบีบดินเหนียวสีทองที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล
ขณะนี้ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีชื่อเสียงที่สุดในเสวียนจิง จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความเป็นมิตร
“คำขอร้องของข้านั้นง่ายมาก ข้าหวังว่าสหายฝานจะชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้ข้าบ้างเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“อะไรนะ เรียนปรุงโอสถ! สหายเฉียนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเหมือนกัน?” ฝานไป๋จื่อตะลึงงันไปชั่วขณะ
“ถึงแม้ข้าน้อยจะเคยอ่านคัมร์ภีปรุงโอสถมาบ้าง แต่ไม่เคยสัมผัสกับวิชาปรุงโอสถที่แท้จริง” หลิ่วหมิงกล่าวตามตรง
“ถ้าอย่างนั้นสหายรู้ไหมว่า เส้นทางการปรุงโอสถนั้นลึกซึ้งจนยากหาสิ่งใดมาเปรียบได้ หากไม่มีพรสวรรค์ล่ะก็ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจเข้าสู่ประตูเส้นทางนี้ได้” ฝานไป๋จื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูอึกอักขึ้นมา
“ข้าน้อยก็อยู่ในโลกผู้ฝนมาไม่ใช่ปีสองปีแล้ว เรื่องเช่นนี้ทำไมจะไม่รู้ แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง ข้าน้อยจึงจำเป็นต้องเรียนวิชาปรุงโอสถ หวังว่าสหายจะช่วยส่งเสริม” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! สหายรู้ไหมว่าข้ามีพรสวรรค์ในด้านการปรุงโอสถสูงส่งแค่ไหน เรียนปรุงโอสถมากี่ปีแล้ว ถึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้? ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ข้าขอเกลี้ยกล่อมสหายเฉียน ให้ละทิ้งความคิดนี้ไปเถอะ! ข้าเห็นเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านการฝึกฝนไม่เลว อายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ได้ ใยต้องลำบากเรียนวิชาปรุงโอสถด้วยเล่า! ถ้าเป็นเช่นนี้ อาจตกอยู่ในสถานะที่ทำอะไรไม่สำเร็จซักอย่าง พอถึงเวลาจะมาเสียใจในภายหลังมันก็สายเกินไปเสียแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ฝานไป๋จื่อใช้น้ำเสียงที่เคร่งขรึมกล่าวกับหลิ่วหมิง
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น