ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1858-1865
ตอนที่ 1858 กินก่อนค่อยลด
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากหนิงเฉินเซวียน อู่เยวี่ยก็พร้อมที่ออกไปพบปะผู้คนอย่างเชิดหน้าชูตาแล้ว ในตอนนี้เธออยู่ในฐานะภรรยาของเฮ่อเหลียนเช่อ เธอกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าใครอื่นในเมืองหลวง ผู้คนนับหน้าถือตา ทำให้ใจที่ฝักใฝ่ลุ่มหลงของเธอพองตัวขึ้นจนถึงปลายยอดแล้วลอยละล่องไปชั่วขณะ
หากไม่ใช่เพราะว่าเฮ่อเหลียนเช่อน่ากลัวเกินไป ใจจริงเธอก็รู้สึกว่าการเป็นคู่สามีภรรยาจอมปลอมกับเฮ่อเหลียนเช่อก็ไม่เลวนัก หากเป็นอู่เยวี่ยเมื่อก่อนคงตื่นตากับความหรูหราตรงหน้า แต่อู่เยวี่ยที่ผ่านความตายเปื้อนเลือดมาแล้วนั้นจึงเข้าใจดีเสียยิ่งกว่าใคร
เฮ่อเหลียนเช่อไม่ใช่คนที่เธอจะใช้ประโยชน์จากเขาได้เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ เธอกำราบปีศาจตนนี้ไม่ได้ ดังนั้นหนีให้ห่างจะดีที่สุด
เหมยเหมยโดนเหยียนหมิงซุ่นเลี้ยงดูปูเสื่ออยู่บ้านมาหลายวันจนอ้วนพี วัน ๆเหยียนหมิงซุ่นเอาแต่คิดสับเปลี่ยนวิธีทำของอร่อยให้เธอกิน ปากว่างหน่อยก็ป้อนเข้าปาก แค่ไม่กี่วันเหมยเหมยก็ถูกขุนจนมีเนื้อมีหนัง คางดูอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย นุ่มนิ่มจนแทบรีดน้ำออกมาได้อยู่แล้ว
“…หา…หนักขึ้นสามกิโล…เหยียนหมิงซุ่นพี่ออกมาเดี๋ยวนี้นะ…”
เธอนอนหลับสบายตลอดคืน ตื่นมาเหมยเหมยขึ้นยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนักด้วยสภาพงัวเงีย บิดขี้เกียจไปมา เข็มเครื่องชั่งน้ำหนักหมุนเบนเข็มอย่างรวดเร็ว
48.6…
พระเจ้า!
น้ำหนักของเธออยู่ที่ประมาณ 45 กิโลกรัมมาตลอดตามมาตรฐาน ตอนนี้กลับเกินมาสามกิโล…
เธออยากตาย!
เหมยเหมยกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เดินหาตัวต้นเรื่องไปทั่วทุกทิศด้วยความโมโห คนสารเลวสมควรตาย หลอกเธอทุกวัน หนำซ้ำยังบอกว่าเธอผอมลงอีก เอาใจจนเธอกินเนื้อเข้าไปเยอะขนาดนั้น…
ถ้าไม่เป็นเพราะวันนี้นึกอยากชั่งน้ำหนักขึ้นมา จากวิธีการขุนให้อ้วนของเหยียนหมิงซุ่น พรุ่งนี้เธอคงได้หนักเกิน 50 กิโลแน่…
50 กิโล…หา…
ในหัวฉายภาพผู้หญิงอ้วนตัวกลมคนหนึ่ง มีเสื้อผ้าสวยงามกองอยู่ตรงหน้าแต่ยัดไม่เข้าแม้แต่ตัวเดียว…
เหมยเหมยสะบัดหน้าไปมา พลันคิดไปอีกว่าเธอเป็นคนโครงร่างเล็ก 45 กิโลกำลังดี ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็ดูดี แต่ถ้าอ้วนขึ้นมาหน่อยก็จะทำให้ดูกลมเหมือนกับลูกบอล
ไม่เหมือนกับฉีฉีเก๋อ โครงร่างใหญ่แต่รูปร่างสูงโปร่ง ต่อให้ 60 กิโลก็ยังดูไม่อ้วน
พอหาตัวเหยียนหมิงซุ่นในห้องไม่เจอ เหมยเหมยจึงเท้าสะเอว แล้ววิ่งไปห้องหนังสือด้วยเท้าเปล่าแต่ก็ไม่มีคนอยู่ เช้าตรู่ขนาดนี้เจ้าหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนเนี่ย?
กลิ่นหอมอบอวลปะทะเข้าจมูก เหมยเหมยจึงลอบกลืนน้ำลาย แค่ดมก็รู้ว่าเป็นปีกไก่อบน้ำผึ้ง น่าจะเพิ่งออกจากเตาสด ๆร้อน ๆ เธอกลืนน้ำลายอีกครั้งแล้ววิ่งไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว
เหยียนหมิงซุ่นคาดผ้ากันเปื้อนลายตารางกำลังวางปีกไก่มันเยิ้มที่พึ่งอบเสร็จลงในจาน พลางหันมาส่งยิ้มให้เหมยเหมย
“อรุณสวัสดิ์…ที่รัก!”
สายตาของเหมยเหมยจับจ้องปีกไก่ในจานไม่วางตา หอมมาก…น่ากินมาก…
นัยน์ตาของเหยียนหมิงซุ่นมีความยียวนพาดผ่าน เสียงคำรามของปีศาจน้อยเมื่อครู่เขาได้ยินหมดแล้ว แค่สามกิโลเองไม่ใช่เหรอ ยังน้อยไป!
อย่างน้อยต้องขุนให้อ้วนอีกสักห้าโลถึงจะเหมาะ!
การขุนเธอให้อ้วนในหลายวันมานี้ทำให้เหยียนหมิงซุ่นค้นพบสิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เนื้อแน่น ๆของเจ้าปีศาจน้อยกอดแล้วรู้สึกดีเป็นบ้า ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างมาก ไม่แปลกใจเลยที่เวลาได้ยินพวกทหารมักจะพูดกันว่าภรรยาที่ตัวอวบอ้วนจะมีข้อดีก็ตอนปิดไฟ
คำพูดพวกนี้ไม่ใช่คำโกหกสักนิด!
สีหน้าโมโหของเหมยเหมยหายวับไปเพราะกลิ่นปีกไก่หอมกรุ่นจานใหญ่
อืม…ในเมื่ออบเสร็จแล้วก็อย่าให้เสียของเปล่า!
วันนี้จะกินมื้อหนักเป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้ค่อยลดแล้วกัน!
ผัดวันประกันพรุ่ง แล้วพรุ่งนี้นี่มันเมื่อไหร่กันล่ะ…
ก่อนวันเปิดเทอม เหมยเหมยเตรียมเครื่องนอนอย่างอารมณ์ดี เสียงโทรศัพท์แผดเสียงดังขึ้น เป็นเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่โทรมา
“เหมยเหมย ฉันกับฉีฉีเก๋อกลับมาแล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ” น้ำเสียงของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยังคงทรงพลังเหมือนอย่างเคย
“ได้เลย พรุ่งนี้เจอกัน เออนี่ เธอไปปีนเขาผอมลงบ้างหรือยัง?” จู่ ๆเหมยเหมยก็นึกถึงคำพูดอันฮึกเหิมของหล่อนขึ้นมาได้จึงโพล่งถามออกไป
……………………………………………………………
ตอนที่ 1859 เครื่องชั่งน้ำหนักพังแล้ว
ปลายสายเงียบอยู่นาน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจึงพูดเสียงอุบอิบออกมาว่า “พวกเราไม่เจอกันตั้งสองเดือน อย่ามาเปิดประเด็นที่ทิ่มแทงใจกันแบบนี้ได้ไหม?”
เหมยเหมยกลั้นขำ พอได้ฟังก็รู้ว่าแผนลดน้ำหนักล้มเหลวไปแล้ว ช่างไม่เข้าใจจริง ๆว่าหล่อนไปปีนเขาหรือเนินดินกันแน่?
เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นอยากจะสนทนาวาทีกับเหมยเหมยที่ไม่ได้เจอกันมาสองเดือนเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นสักหน่อย แต่กลับถูกทักเรื่องน้ำหนัก หัวใจที่แกร่งกล้าของเธอถูกแผดเผาจนมอดไหม้ คุยแค่ไม่กี่ประโยคก็ตัดสายไป
เธอต้องไปหาที่คลายเศร้าหน่อย แล้วจะกลับมาเป็นผู้หญิงแกร่งอีกครั้ง!
อยากกินก็กินอยากดื่มก็ดื่ม คนธรรมดาอย่างเราถือเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้านี่นา!
เมื่อถูกเตือนด้วยโทรศัพท์สายนี้เหมยเหมยก็นึกถึงเครื่องชั่งน้ำหนักที่ไม่ได้แตะมาหลายวันขึ้นได้ เมื่อวานตอนที่กำลังบรรเลงเพลงรักกันอยู่ เหยียนหมิงซุ่นบอกว่าหลายวันมานี้ออกกำลังกายหนัก(ออกกำลังกายบนเตียง) พอเขาอุ้มแล้วรู้สึกตัวเบากว่าเดิม
ตอนเธอได้ยินก็พลันนึกดีใจ ซ้ำยังถูกคนบางคนเกลี้ยกล่อมให้กินเนื้อไปอีกตั้งเยอะ
เท้าเรียวสวยก้าวขึ้นยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนัก เข็มของตาชั่งหมุนติ้ว ๆไปรอบหนึ่ง เหวี่ยงไปมาอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายหยุดลงที่ 50 ถัดไปทางขวาเล็กน้อย เหมยเหมยขยี้ตาอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอจึงลงมาและขึ้นไปยืนใหม่ จากนั้นลงมาและขึ้นไปยืนใหม่อีกครั้ง…
เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบเข็มก็ยังคงหยุดอยู่ที่เดิม เธอพยายามข่มใจที่เต้นแรงไว้ หยีตามองตารางเล็ก ๆอย่างละเอียด 50.4 กิโล …ไม่ผิด เลขนี้เลย!
เครื่องชั่งน้ำหนักพังแล้วแน่ ๆ!
เหมยเหมยคิดว่าเป็นเช่นนั้น เธอจะหนักขนาดนี้ได้อย่างไร?
ทั้งสองชาตินี้รวมกัน เธอยังไม่เคยหนักเกิน 50 เลย จะเป็นไปได้อย่างไร!
เหมยเหมยมือไขว้หลังเดินลงจากเครื่องชั่งด้วยท่าทีเรียบนิ่ง เหยียนหมิงซุ่นที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาลอบสังเกตภรรยาของตนอยู่เงียบ ๆ ตอนแรกคิดว่าภรรยาเขาจะอาละวาด แต่ผิดจากที่เขาคาดการณ์ไว้เพราะสงบนิ่งจนไม่อยากจะเชื่อ
หรือว่าไม่อ้วนขึ้น?
ไม่สิ สายตาอันกว้างไกลของเขาเห็นดัชนีตัวเลขเมื่อครู่อย่างชัดเจน
50.4 กิโล สามครั้งก็เป็นเลขนี้ ไม่มีทางผิดหรอก
เมื่อนึกถึงเหมยเหมยขึ้น ๆลง ๆวนชั่งน้ำหนักซ้ำไปซ้ำมาเมื่อครู่ เหยียนหมิงซุ่นจึงยกยิ้มที่มุมปาก ปีศาจน้อยช่างน่ารักจริง ๆ แต่ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี น้ำหนักขึ้นไปแตะร้อยแล้ว ทำไมปีศาจน้อยถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ?
ทั้ง ๆที่ 48 กิโลไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เหมยเหมยยังคลั่งแทบตาย!
เหมยเหมยที่เดินไปมาอย่างสงบนิ่ง ฉับพลันก็หยุดเดินและวิ่งเข้าไปในห้องฟิตเนสอย่างรวดเร็ว เหยียนหมิงซุ่นยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นภรรยาตนเองฮึดฮัดแบกดัมเบล์ออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
ดัมเบล์คู่นี้เขาสั่งทำเป็นพิเศษดูเหมือนไม่หนัก แต่เป็นโลหะผสมเหล็กแต่ละอันหนัก 10 กิโล
เขารีบวิ่งเข้าไปหาพลางคว้าดัมเบลล์ไว้และถามติดโมโห “เธออุ้มเจ้านี่ออกมาทำไม? ระวังจะหล่นใส่เท้าเอาหรอก”
เหมยเหมยหอบแหก ๆสะบัดมือที่กำลังปวดเมื่อยออก แล้วอธิบายว่า “ฉันอยากทดสอบดูว่าเครื่องชั่งน้ำหนักพังหรือเปล่า? ฉันรู้สึกว่ามันพังไปแล้ว เข็มมันไม่ถูก”
เหยียนหมิงซุ่นมุมปากเหยียดยิ้ม ฝืนแรงแทบตายกว่าจะทำหน้านิ่งไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาได้ เขาก็ว่าทำไมถึงได้มีท่าทีสงบขนาดนั้น ที่แท้ก็คิดว่าเครื่องชั่งน้ำหนักพังนี่เอง!
ภรรยาเขานี่ช่างเก่งเรื่องหลอกตัวเองจริง ๆเลย !
“เครื่องชั่งน้ำหนักต้องพังแล้วแน่ ๆ พรุ่งนี้พี่ซื้อให้ใหม่” เหยียนหมิงซุ่นพูดโกหกหน้าตาย ความจริงแค่ไม่อยากเห็นเหมยเหมยอาละวาด ถ้าสิทธิประโยชน์ในค่ำคืนนี้ไม่มีแล้วจะทำอย่างไร?
“อุ้มออกมาแล้วก็ลองดูหน่อยสิ เครื่องชั่งนี้พี่ซื้อมาจากไหนเนี่ยทำไมคุณภาพถึงได้แย่ขนาดนี้ ครั้งหน้าไปซื้อที่ร้านอื่นนะ”
เหมยเหมยบ่นที่เหยียนหมิงซุ่นซื้อของไม่เป็น และบอกให้เขาวางดัมเบลล์ลง
เหยียนหมิงซุ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำ เครื่องชั่งน้ำหนักที่เป็นแพะรับบาปเบนเข็มชี้หยุดลงที่ 10 และไม่ขยับแล้ว…ไม่ขยับแล้ว…
ตอนที่ 1860 พูดโกหกได้เต็มปาก
เหมยเหมยขยี้ตาอีกครั้งอยากดูให้ชัดขึ้น เหยียนหมิงซุ่นรีบยกดัมเบลล์ออกพร้อมพูดเกลี้ยกล่อมว่า “เครื่องชั่งน้ำหนักพังแล้ว ดัมเบลล์ของพี่หนัก 8 กิโล พรุ่งนี้พี่จะขอให้ลุงเหลาไปซื้อเครื่องชั่งอันใหม่มาให้”
พร้อมกับบอกลุงเหลาขอให้ทางร้านปรับตัวเลขตาชั่งให้เพิ่มขึ้นอีกสักสองจุดห้ากิโลด้วย แค่นั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว
เพอร์เฟกต์!
พอเหมยเหมยได้ยินว่าดัมเบลล์หนัก 8 กิโล ใจที่หนักอึ้งก็หายไปในทันที หากเป็นตามนี้น้ำหนักของเธอก็ยังคงเท่าเดิม ไม่อ้วนไม่ผอม!
ออกกำลังกายได้ผลจริงด้วย!
เพอร์เฟกต์!
เหมยเหมยมุมปากยกยิ้มไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับน้ำหนักอีก เตรียมตัวกลับเข้าห้องเพื่อเก็บของต่อ แต่หางตาดันเหลือบไปเห็นดัมเบลล์ในมือของเหยียนหมิงซุ่นสลักตัวเลข ‘10’ ตัวใหญ่อย่างชัดเจนไว้ เธอจึงจมดิ่งสู่ห้วงความเงียบทันที
“พี่หลอกฉัน…เห็นอยู่ชัด ๆว่า 10 กิโล ฉันจะฆ่าพี่…”
เหมยเหมยถึงเพิ่งเข้าใจว่าตนถูกเหยียนหมิงซุ่นหลอกมาตั้งแต่แรก เธอหนัก 50.4 จริง ๆด้วย เครื่องชั่งไม่ได้พังเลย พระเจ้า เธออยากตาย!
พอเหมยเหมยโมโหก็เหมือนปีศาจตัวน้อยที่ใช้หมัดกระจิ๋วชกเข้าที่ตัวของเหยียนหมิงซุ่น “พี่จงใจชัด ๆเลย วัน ๆให้ฉันกินแต่เนื้อ แถมยังบอกว่าออกกำลังกายช่วยลดน้ำหนัก ยิ่งลดยิ่งอ้วนสิ…ฉันหนักห้าสิบกิโลแล้วนะ ต้องน่าเกลียดแน่เลย…”
เหยียนหมิงซุ่นทำอะไรไม่ถูกเลย เจ้าบ้าที่ไหนมันเรื่องมากจริง จะสลักตัวเลขไว้บนดัมเบลล์ทำไมกันเนี่ย?
“ที่รัก ฟังพี่นะ น้ำหนักเธอตอนนี้กำลังดี มากกว่านี้ก็อ้วน น้อยกว่านี้ก็ผอม…จริง ๆนะ ถ้าโกหกขอให้พี่เป็นหมา…”
เหยียนหมิงซุ่นอธิบายพลางพูดสาบานออกมา เขาคิดว่าน้ำหนักเหมยเหมยในตอนนี้พอดีแล้วจริง ๆสัมผัสเจอเนื้อหนังเต็มไม้เต็มมือดี มีเพียงเขาเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความงดงาม…
“จริงเหรอ?”
เหมยเหมยกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยจึงหยุดกัดเขาแล้วก้มลงสำรวจตัวเอง แต่ไม่ได้ออกบ้านมาหลายวัน อยู่บ้านก็ใส่แต่ชุดนอนหลวม ๆจะดูออกได้อย่างไรว่าอ้วนหรือผอม
“พี่โกหกเธอตอนไหน จริงยิ่งกว่าทองคำอีก เหมยเหมยของพี่สวยที่สุดในโลกแล้ว ใครก็เทียบไม่ได้…” คำพูดหวานหยดย้อยของเหยียนหมิงซุ่นลื่นไหลขึ้นเรื่อย ๆ
ฉิวฉิวที่นอนอยู่บนเครื่องปรับอากาศมุ่ยปาก สะบัดหางยาวปิดตาไว้แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ
นายผู้ชายก็ช่างพูดโกหกได้เต็มปาก ทั้ง ๆที่นายผู้หญิงอ้วนขึ้นจนตัวกลมขนาดนี้แล้ว ควรยกชื่อของเขาให้นายผู้หญิงใช้ด้วยซ้ำ คุณชายฉิวอย่างมันยอมสละให้เลย!
เหมยเหมยถูกคำหยอกเย้าเอาใจของเหยียนหมิงซุ่นทำให้ยิ้มได้ในเวลาอันรวดเร็ว หวานเยิ้มไปทั้งหัวใจ บางทีเธออาจจะไม่อ้วนก็ได้!
ไม่เห็นเหรอว่าทุกวันนี้เหยียนหมิงซุ่นเหมือนกับหมาป่า ถ้าเธอกลายร่างเป็นคุณป้าจอมอ้วนจริง เหยียนหมิงซุ่นจะยังมีอารมณ์ทางเพศขนาดนี้เหรอ?
พอเหมยเหมยรู้สึกวางใจก็เข้าห้องไปลองชุดอย่างร่าเริง เสื้อผ้าหลายชุดที่ซื้อมาจากฮ่องกงยังไม่ทันได้ใส่เลย เธอต้องเลือกหนึ่งชุดสำหรับใส่ในวันเปิดเรียนพรุ่งนี้
เหมยเหมยเลือกชุดเดรสสีขาวมาชุดหนึ่ง ออกแบบเรียบง่าย แต่ก็ถือว่าเป็นการทดสอบสัดส่วน หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวสวมใส่ถึงจะดูสวย หลังจากที่เหมยเหมยลองสวมใส่พนักงานขายก็ชมไม่หยุดปาก บอกว่าชุดเดรสชุดนี้ออกแบบมาเพื่อรูปร่างของเธอโดยเฉพาะ ตัวเธอเองก็พึงพอใจกับผลลัพธ์มาก แม้กระโปรงตัวนี้จะมีราคาแพงเพราะเป็นสินค้าตัวใหม่ของชาแนล แต่เธอก็ยอมจ่ายเงินอย่างไม่นึกลังเลเพื่อเตรียมเอากลับมาใส่ที่เมืองหลวง
พอเหมยเหมยสวมกระโปรงเข้าไปก็รู้สึกคับบริเวณช่วงเอว เธอจึงแขม่วหน้าท้องถึงจะยัดตัวเองเข้าไปได้ จากนั้นก็วิ่งไปหน้ากระจกอย่างอารมณ์ดี
“…หา…ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
เหมยเหมยมองสาวอ้วนตัวน้อยในกระจกพลางอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่าตอนที่เธอลองชุดในร้าน รู้สึกสวมใส่สบายและงดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อย แต่ตอนนี้…
สาวอ้วนในกระสอบสีขาวคนนี้คือใครกัน?
พระเจ้ารีบส่งเหลยกง[1]มาเก็บเธอที!
เหมยเหมยอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ตอนนี้มีหรือที่เธอจะไม่เข้าใจ คำพูดของคนสารเลวอย่างเหยียนหมิงซุ่นล้วนเป็นคำโกหกทั้งนั้น เพราะเธอโง่ถึงได้เชื่อเขาไง!
[1] เทพเจ้าแห่งสายฟ้าฟาด ท่านลงทัณฑ์ต่อผู้ก่อกรรมชั่วเกินกว่าจะให้อภัยได้ ลงโทษโดยการบันดาลให้ฟ้าผ่าลงที่คนนั้น และในแถบชนบทของจีนยังมีผู้คนเคารพกราบไหว้บูชาท่านเพื่อขอฝนอีกด้วย
………………………………………………………
ตอนที่ 1861 อ้วนหมดแล้ว
ยามเช้าตรู่ในเดือนกันยายน แสงแดดเจิดจ้าสาดส่องลงมา สายลมพัดอ่อน ๆ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่แสนงดงาม
แต่อารมณ์ของเหมยเหมยกลับดีไม่ออกเลยสักนิด ชุดเดรสชาแนลสีขาวที่แพงแสนแพงถูกเธอยัดลงไปอยู่ใต้กล่อง ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะใส่มันได้อีก ถึงอย่างไรปีนี้ก็คงจะหมดหวังแล้วล่ะ
เธอลงจากรถด้วยสภาพงัวเงีย เหยียนหมิงซุ่นส่งเธอไปลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัย เมื่อคืนเธอถูกหมาป่าตัวหนึ่งกักตัวไว้ทั้งคืน พูดให้สวยหรูหน่อยก็คือการออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก
ทั้ง ๆที่เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เชื่อตาบ้านั่นอีก แต่ก็อดหวั่นไหวต่อความอยากลดน้ำหนักไม่ได้ เธอจึงถูกคนบางคนเกลี้ยกล่อมและออกกำลังกายกับเขาตลอดทั้งคืน
ผลลัพธ์ของการนัวเนียกันอยู่บนเตียงตลอดทั้งคืนก็คือ…
ขอบตาดำทั้งสองข้าง และการหาวอย่างต่อเนื่อง…
“เหมยเหมยดูทางหน่อยสิ ตรงนี้มีหลุมอยู่ด้วย ระวังจะล้มเอา” เหยียนหมิงซุ่นเป็นห่วงภรรยาของตนที่ดูเหมือนจะละเมอเดินมากกว่า ท่าทางแบบนี้จะไปลงทะเบียนได้อย่างไร อีกสักพักเขามีเรื่องด่วนที่ต้องไปจัดการอีก คงต้องให้ลุงเหลามาแล้วล่ะ
“เหอะ…”
เหมยเหมยจ้องเขาตาเขม็งและไม่คิดจะสนใจเขาอีก ทำให้เธออ้วนขึ้นตั้งห้ากิโล เธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำสงครามเย็นด้วยสักหนึ่งเดือน ครั้งนี้เธอจะเอาจริงแล้ว ไม่มีทางยอมใจอ่อนเด็ดขาด!
เหยียนหมิงซุ่นลูบจมูกอย่างขำขันไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนเจ้าปีศาจน้อย ขอแค่ไม่ทำสงครามเย็นบนเตียงก็พอแล้ว เขาเป็นถึงชายอกสามศอกผู้มีจิตใจกว้างขวาง!
ฉีฉีเก๋อกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเดินมาด้วยกัน สีผิวดูคล้ำไปบ้าง เหยียนหมิงซุ่นฝากเหมยเหมยไว้กับพวกเธอ พูดกำชับไม่กี่ประโยคแล้วจากไปอย่างเร่งรีบ พร้อมกับโทรหาลุงเหลาให้อีกสักครู่มารับเหมยเหมยด้วย
“พระเจ้า…เหมยเหมยเธอไปกินอะไรมา? ทำไมถึงกลมขึ้นขนาดนี้?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรอให้เหยียนหมิงซุ่นกลับไปก่อนถึงเริ่มสังเกตเพื่อนด้วยท่าทีสนใจ พอเห็นแล้วก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเหมือนได้ค้นพบดินแดนแห่งใหม่เข้า ตื่นเต้นจนดวงตาทอประกายแสงสีเขียว
เมื่อวานใครใช้ให้เอามีดมาแทงเข้าที่ดวงใจเธอก่อนล่ะ!
ตัวเองก็อ้วนขึ้นเหมือนกันสินะ?
สมน้ำหน้า!
มีดด้ามนี้ของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแทงได้อย่างโหดร้ายและแม่นยำจนไล่อาการงัวเงียของเหมยเหมยหายเป็นปลิดทิ้ง คุณหนูเหริ่นจ้องด้วยแววตาชอบใจราวกับเก็บเงินได้เสียอย่างนั้น นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นอีกว่าคางของคุณหนูผู้นี้กลมขึ้น ต่อให้สวมใส่เสื้อผ้าสีดำก็ไม่อาจซุกซ่อนไขมันหน้าท้องที่สั่นกระเพื่อมของเธอได้…
ดูห่วงยางวงนั้นสิ…ห้ากิโลคงหนีไม่พ้นแน่
อะไรคือสิ่งที่มีความสุขที่สุดหลังจากที่ตัวเองอ้วนขึ้น?
แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการได้เห็นเพื่อนรอบตัวของคุณก็อ้วนขึ้นเช่นกัน ความรู้สึกแบบนั้นมันมีความสุขเสียยิ่งกว่าการถูกรางวัลใหญ่เสียอีก!
เหมยเหมยเหลือบมองหน้าท้องของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน แล้วจงใจพูดขึ้นว่า “หน้าท้องของเธอนี่ สองเดือนที่ผ่านมาไม่ได้กินเนื้อสัตว์น้อยลงเลยใช่ไหม? เธอพูดเองว่าจะปีนเขาแถวบ้านอิงจวี้กังให้ครบไม่ใช่เหรอ?”
“พรวด”
ฉีฉีเก๋อหัวเราะพรืด ชี้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแล้วพูดว่า “เหมยเหมยพูดถูก แค่หมูของบ้านอิงจวี้กังเห็นหน้าเธอก็วิ่งหนีแล้ว วิ่งเร็วเสียด้วยสิ”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตบไหล่เธออย่างโมโห “ไร้สาระ หมูตัวนั้นเจอใครก็วิ่งหนีทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่แค่ฉันสักหน่อย”
“แต่เธอกินเนื้อเยอะที่สุดแล้วนะ เนื้อรมควันในบ้านอิงจวี้กังถูกเธอกินจนเกลี้ยงเลย ถ้าพวกเรายังไม่ไปกันอีกละก็แม่ของอิงจวี้กังคงได้ฆ่าหมูแล้วล่ะ” ฉีฉีเก๋อเปิดโปงอย่างไม่ไว้หน้า
ตอนแรกครอบครัวของอิงจวี้กังกระตือรือร้นมาก ต้อนรับพวกเขาด้วยกับข้าวกับปลาอาหารดี ๆทุกวัน พอกินเนื้อรมควันจนหมด ไก่และเป็ดก็ถูกฆ่าตายเกือบหมด แม่อิงจวี้กังคิดแล้วคิดอีกถึงตัดสินใจฆ่าหมูตัวนั้นที่เลี้ยงมานานกว่าครึ่งปี คงไม่ดีนักถ้าปล่อยให้แขกกินไม่อิ่ม!
หมูตัวนั้นก็ร้ายใช่ย่อย พอมันรู้ว่าแม่อิงจวี้กังจะฆ่ามันเพื่อเลี้ยงต้อนรับแขก แล้วก็รู้ว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนคือคนที่กินเนื้อมากที่สุด พอเห็นหน้าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมันก็วิ่งหนีเร็วเสียยิ่งกว่าหมา ฟ้าไม่มืดก็ไม่คิดจะกลับบ้าน
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนลูบจมูกด้วยความโมโห การไปเยือนบ้านของอิงจวี้กังครั้งนี้ทำให้เธอได้เปิดหูเปิดตา ภาคใต้และภาคเหนือแตกต่างกันมากจริง ๆ แค่วิธีการเลี้ยงหมูก็ต่างกันแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเลี้ยงแบบปล่อยเหมือนหมาขนาดนั้น ตอนเช้าจะปล่อยออกไปให้หากินเอง พอตกกลางคืนหมูก็จะกลับมาเอง หนำซ้ำยังเฝ้าบ้านได้ด้วย!
“ฉันให้เงินไปแล้วนะ ก่อนกลับฉันวางเงินไว้บนหัวเตียงของแม่อิงจวี้กังแล้ว ท่านน่าจะเห็นนะ”
ฐานะทางบ้านของตระกูลอิงไม่ค่อยดีนัก เธอไม่มีทางอยู่ฟรีกินฟรีหรอก ถ้าเช่นนั้นคงไม่ต่างไปจากคนเลว!
ตอนที่ 1862 คู่รักสองคู่
ฉีฉีเก๋อเล่าเรื่องสนุก ๆของพวกเธอตอนอยู่ที่บ้านของอิงจวี้กังให้เหมยเหมยฟังจนหัวเราะท้องแข็ง มองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างขำขัน เพราะเรื่องตลกพวกนี้เกี่ยวข้องกับเธอเสียส่วนใหญ่
“พวกเธออยู่ที่บ้านของอิงจวี้กังตลอดเลยเหรอ? ไม่ได้ไปที่อื่นเลยเหรอ?” เหมยเหมยถาม
“เปล่าหรอก พวกเราอยู่ที่บ้านของอิงจวี้กังเกือบค่อนเดือน หลังจากนั้นก็ไปยูนนานกับกุ้ยโจว ทิวทัศน์ของที่นั่นสวยงามมาก พวกเราวาดเก็บกันไว้ด้วยนะ แล้วไว้จะเอาให้เธอดู!” ฉีฉีเก๋อพูดชมไม่หยุดปาก
ทริปปิดเทอมหน้าร้อนครั้งนี้ทำให้เธอได้เปิดหูเปิดตามาก เมื่อก่อนเห็นดินแดนฮวาเซี่ยแค่ในแผนที่ วัน ๆเอาแต่เฝ้าใฝ่ฝันอยากท่องมาตุภูมิอันกว้างใหญ่ของประเทศ ภูเขาและแม่น้ำที่กว้างใหญ่งดงาม แต่พอถึงคราวที่ได้เห็นกับตาตัวเอง เธอถึงได้เข้าใจถึงประสบการณ์นั้นอย่างลึกซึ้ง
“ดีจัง น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้ไปกับพวกเธอ” เหมยเหมยรู้สึกเสียดาย การได้ท่องไพรไปกับกลุ่มเพื่อนเช่นนี้ต้องสนุกมากแน่ ๆ
แต่เหยียนหมิงซุ่นไม่มีทางปล่อยให้เธอออกเดินทางไปไหนตามลำพังแน่ คงทำได้แค่อิจฉาเท่านั้นล่ะ
ฉีฉีเก๋อกลับพูดด้วยท่าทีสนอกสนใจว่า “ช่วงปิดเทอมฤดูหนาวฉันนัดกับรุ่นพี่จะไปดูโคมไฟน้ำแข็งที่ฮาร์บิน พวกเราจะเที่ยวไปด้วยขายภาพวาดไปด้วยคงไม่มีปัญหาเรื่องค่าเดินทางและค่าครองชีพ รุ่นพี่อาศัยวิธีนี้จนไปมาหลายที่เลยนะ เหมยเหมยไปด้วยกันไหม?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลอกตาใส่ “คุณคนนั้นเขาจะยอมเหรอ? เธอกับรุ่นพี่ของเธอไปจู๋จี๋กันสองสามีภรรยาเถอะ!”
ฉีฉีเก๋อหน้าแดงระเรื่อ โชคดีที่ใบหน้าเธอแดงอยู่แล้วจึงดูไม่ออก แต่ความเขินอายในแววตากลับปกปิดไม่มิด เหมยเหมยคิดบางอย่างขึ้นได้ เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่ฉีฉีเก๋อถูกเฉินหมิงลักพาตัวไปก่อนที่จะไปฮ่องกง ตอนนั้นฉางชิงซงมีท่าทีผิดปกติ
หรือว่า…
เหมยเหมยกระซิบถามข้างหูเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพยักหน้า “เธอเพิ่งจะดูออกเหรอ เธอรู้หรือเปล่าตอนปิดเทอมหน้าร้อนนี้ฉันแทบจะกระอักตายเพราะสองคนนี้…”
ฉีฉีเก๋อทุบตีเธอไปหลายที พูดอย่างโมโหว่า “เธอกับอิงจวี้กังก็ไม่ต่างกันหรอก ยังมีหน้ามาว่าฉันอีก!”
“เหลวไหล…ความสัมพันธ์ของฉันกับอิงจวี้กังคือเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาเฉย ๆ เธออย่ามาพูดจาซี้ซั้วสิ!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดค้านเสียงดัง แต่ถ้าหากว่าปลายหูไม่แดงก็คงจะน่าเชื่อถือกว่านี้
เหมยเหมยสังเกตเห็นเพื่อนทั้งสองคนต่างก็มีเรื่องปิดบังในใจ นึกไม่ถึงว่าแค่ไปปีนเขาจะกลับมาเป็นคู่รักสองคู่ได้ น่ายินดีด้วยเหลือเกิน!
“มิน่าล่ะที่แม่อิงจวี้กังจะฆ่าหมู ที่แท้ก็เพื่อเป็นการเอาใจใส่ว่าที่ลูกสะใภ้นี่เอง มันก็สมควรนะ…” เหมยเหมยแซว เธอพลัดกันพูดคนละประโยคกับฉีฉีเก๋อ หยอกเย้าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจนดอกท้อบานเต็มหน้า เอะอะโวยวายตามประสาพวกเธอไป
ทั้งสามคนเดินไปลงทะเบียนพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ระหว่างทางเจอเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ในปีการศึกษาใหม่นี้ล้วนเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย
แต่มีอยู่คนหนึ่งที่อารมณ์ไม่ดีเลยสักนิดนั่นก็คือสวีจื่อเซวียน
เรื่องราวของสวีจื่อเซวียนเกิดขึ้นในช่วงปิดเทอมหน้าร้อนซึ่งมีไม่กี่คนที่รู้ อีกอย่างอิทธิพลในมหาวิทยาลัยของเจียงจื้อหรู่ก็มีอยู่ไม่น้อย เรื่องที่เกิดขึ้นจึงจบลงเช่นนั้น
แต่เรื่องที่เจียงจื้อหรู่ทอดทิ้งภรรยาเพราะนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกลับแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ข่าวลืออื้อฉาวในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็มีไม่น้อย สายตาที่ทุกคนมองสวีจื่อเซวียนจึงดูไม่ปกติ
มีความอิจฉาด้วย แต่มองอย่างดูถูกดูแคลนมากกว่า
เหมยเหมยเจอสวีจื่อเซวียนที่สำนักทะเบียนวิชาการ หลังจากที่ได้พักผ่อนในช่วงหน้าร้อนสีหน้าของสวีจื่อเซวียนก็ดูดีขึ้นมากแต่ก็เทียบกับที่ผ่านมาไม่ได้ หน้าซีดขาวจนน่าตกใจ คางแหลมเหมือนสว่าน ผอมจนดูผิดรูป
ท่าทางของเธอดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา สีหน้าหม่นหมอง ต่างจากเมื่อก่อนที่ไร้เดียงสาและงดงามราวกับนางฟ้าอย่างสิ้นเชิง เธอกลายเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงหน้าตาธรรมดา กระทั่งดูไม่เตะตาเท่าถังม่านลี่ด้วยซ้ำ
“เหมยเหมยเธอรู้หรือเปล่า ฉันได้ยินมาว่าสวีจื่อเซวียนจะพักการเรียนแล้วนะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกระซิบบอกข่าวร้อนให้ฟังจนเหมยเหมยและฉีฉีเก๋อต่างตกใจกันยกใหญ่
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1863 เตรียมตัวลาออก
“จริงเหรอ? ก็ยังดี ๆอยู่ทำไมต้องพักการเรียนล่ะ?” เหมยเหมยไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมากมายอยากจะเข้ามาเรียน สวีจื่อเซวียนสอบเข้ามาได้แล้ว แต่กลับไม่รักษาโอกาสไว้ให้ดี หนำซ้ำยังคิดจะพักการเรียนอีก?
สมองคงเพี้ยนไปแล้ว!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างมั่นใจ “จริงสิ เหมือนว่าสวีจื่อเซวียนจะแต่งงานกับอาจารย์เจียง นักเรียนที่ยังเรียนอยู่ไม่สามารถแต่งงานได้ ยัยโง่นั่นเลยคิดจะพักการเรียน”
“เธอเพิ่งกลับมาเมืองหลวงเมื่อวานไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงรู้ลึกขนาดนี้?” ฉีฉีเก๋อแปลกใจเข้าไปใหญ่ ความสามารถเพียงชั่วข้ามคืน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไปรู้ข่าวมาจากไหน
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจ้องเธออย่างนึกดูแคลน พูดอย่างได้ใจว่า “คุณหนูอย่างฉันเพื่อนเยอะจะตาย พอกลับมาถึงคนพวกนั้นก็โทรหาฉันแล้ว เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาฉันรู้หมดแหละ”
เธอกดเสียงต่ำและพูดว่า “ฉันยังรู้อีกด้วยนะว่าชีวิตของอาจารย์เจียงตอนนี้ไม่ค่อยดี ภรรยาเก่าของเขาไม่ธรรมดา ตอนหย่ากันใจกว้างมากทิ้งหอนิทรรศการภาพวาดแห่งหนึ่งไว้ให้อาจารย์เจียงด้วย แต่หอนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นเป็นดั่งหลุมลึก ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็กลบไม่มิด อาจารย์เจียงขายของสะสมราคาสูงไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้สถานะการเงินไม่ค่อยดีนัก”
เหมยเหมยเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเจียงจื้อหรู่ถึงได้รีบไปฮ่องกงกับสวีจื่อเซวียน!
ที่แท้ก็ไปประมูลของสะสม โง่ดักดานจริง ๆ!
ภาพวาดและของโบราณพวกนี้ ถ้ารีบขายเกินไปไม่มีทางขายได้ราคาหรอก คนซื้อไม่กดราคาสิแปลก!
“หอนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นได้กำไรไม่น้อยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงขาดทุนได้ล่ะ?” ฉีฉีเก๋อไม่เข้าใจ หอนิทรรศการภาพวาดของเจียงจื้อหรู่มีชื่อเสียงอยู่บ้างในวงการ นักศึกษาหลายคนต่างส่งผลงานไปขายที่นั่น ฉางชิงซงก็เคยไปขายที่นั่นมาก่อน
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะเยาะ พูดติดโมโห “ก็คงต้องดูว่าอยู่ในกำมือใครแล้วล่ะ มันก็เหมือนกับหลักการที่ว่าหากส้มเติบโตในเขตตอนใต้ของแม่น้ำหวายก็จะเป็นต้นส้ม หากเติบโตในเขตตอนเหนือของแม่น้ำหวายก็จะเป็นต้นจื่อนั่นแหละ หอนิทรรศการภาพวาดอยู่ในมือของคุณนายเจียงเรียกว่าต้นเงินต้นทอง แต่พอมาอยู่ในมือของคนที่ไม่รู้จักการบริหารก็กลายเป็นดั่งหลุมดูดเงิน”
เรื่องพวกนี้เธอเข้าใจได้อย่างง่ายดาย คุณนายเจียงจงใจที่จะลงโทษผู้ชายเสเพล ดังนั้นจึงได้ลงมือกับหอนิทรรศการภาพวาด
เหมยเหมยกลับเห็นต่าง “ฉันคิดว่าคุณนายเจียงต้องรอให้อาจารย์เจียงกลับตัว เธอผูกพันกับอาจารย์เจียงมาก ไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆหรอก”
แม้จะเคยเจอหน้าคุณนายเจียงแค่ครั้งเดียว แต่เหมยเหมยกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่คุณนายเจียงมีต่อเจียงจื้อหรู่
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทำตาโต “แม่เจ้า…คงไม่มั้ง ผู้ชายเสเพลแบบนั้นยังอยากจะได้อีกเหรอ? ผู้ชายบนโลกนี้ตายหมดแล้วหรือไง!”
หากเป็นเธอสามีออกไปมีชู้นอกบ้าน เธอจะตัดเจ้าโลกของผู้ชายเสเพลนั่นทิ้ง เธอจะทำให้มันผงาดขึ้นมาไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลย!
เหมยเหมยส่ายหน้าพลางถอนหายใจเอ่ยว่า “บางทีอาจเพราะรักมากเกินไปมั้ง ไม่ว่าผู้ชายจะเสเพลนอกบ้านแค่ไหน ก็มักจะเหลือประตูบานหนึ่งไว้เพื่อรอคอยเขากลับมา”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสะดุ้งโหย่งเพราะทำให้เธอนึกถึงแม่ของตัวเอง เมื่อก่อนพ่อที่ไม่เอาไหนของเธอเอาแต่เล่นชู้อยู่กับผู้หญิงนอกบ้าน ตอนนั้นแม่ของเธอก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่ตอนนี้พอพ่อของเธอเข้าไปอยู่ในคุกแม่ของเธอก็ปวดใจจึงไปเยี่ยมพ่อที่คุกอยู่บ่อย ๆ
ทำเอาเธอไม่กล้าบอกแม่เลยว่าเธอเป็นคนทำให้พ่อต้องเข้าไปอยู่ในคุกเอง มันอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
“ผู้หญิงพวกนั้นโง่…”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนด่าทอด้วยความโมโห ในใจก็ด่าแม่ตัวเองไปด้วย
เธอทิ้งพ่อไม่ได้นั่นเพราะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ จะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเธอ แต่ทำไมแม่เธอถึงคิดไม่ได้นะ?
ดั่งคำโบราณที่ว่าไว้สามีภรรยาก็เหมือนนกในป่าไพร ยามเผชิญกับเหตุการณ์ร้าย ๆก็แยกกันบินหนี แล้วทำไมแม่ของเธอถึงไม่บินหนีล่ะ คอยดูแลพ่อที่ไร้ประโยชน์ของเธออยู่อย่างนั้นจะมีความหมายอะไร?
ตอนที่ 1864 หากคนเราไม่พยายามตะเกียกตะกาย ฟ้าดินก็ไม่อาจปรานี
สวีจื่อเซวียนลังเลอยู่นานไม่กล้าเดินเข้าไปที่สำนักทะเบียน เธอยังทำใจไม่ได้ที่จะยื่นหนังสือพักการเรียน
เจียงจื้อหรู่ไม่เห็นด้วยที่เธอจะพักการเรียน เพราะเรื่องนี้เธอกับเจียงจือหรู่จึงกำลังทำสงครามเย็นกันอยู่ หนำซ้ำเจียงจื้อหรู่ก็ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว นั่นยิ่งทำให้สวีจื่อเสวียนยิ่งหวาดกลัว
เพราะตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว
ความงาม ความบริสุทธิ์ ความแข็งแรง…และความสามารถของเธอหมดลงเหมือนดั่งบ่อน้ำที่เหือดแห้ง เขียนบทกวีที่ยอดเยี่ยมไม่ได้อีกแล้ว
เธอเหลือแค่เจียงจื้อหรู่แล้ว!
ถังม่านลี่เห็นสวีจื่อเซวียนที่เดินวกไปวนมาอยู่หน้าสำนักทะเบียน แววตาพลันเป็นประกาย เธอกัดริมฝีปาก พร้อมกับเดินเข้าไปหา
“สวีจื่อเซวียน เธอแต่งงานกับอาจารย์เจียงแล้วเหรอ?” ถังม่านลี่ลากเธอไปที่ลับตาแล้วถามขึ้นเสียงเบา
“ยัง…ไม่ได้…ตอนนี้ฉันเป็นนักศึกษาอยู่ จะแต่งงานได้อย่างไร?” สวีจื่อเซวียนพูดอย่างเหนียมอาย แต่ในใจกลับเจ็บปวด
ถังม่านลี่ถอนหายใจเกินจริงไปหน่อย จงใจพูดว่า “เธอนี่โง่จริง ๆเลย ถ้าเป็นนักศึกษาแล้วแต่งงานไม่ได้ งั้นก็พักการเรียนไปสิ ถ้าเป็นฉันเจอผู้ชายดี ๆอย่างอาจารย์เจียง ต้องรีบเกาะเอาไว้แน่น ๆ เธอไม่เห็นเหรอว่าข้างนอกมีผู้หญิงอีกตั้งเท่าไรที่จ้องจะจับอาจารย์เจียงของเธออยู่!”
สวีจื่อเซวียนรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที แต่ปากกลับไม่พูดอย่างที่คิด “จะเป็นไปได้ไง อาจารย์เจียงไม่ใช่เด็กวัยหนุ่มสักหน่อย”
ถังม่านลี่หัวเราะเยาะ “ไม่มีใครสนใจคนวัยหนุ่มหรอกนะ อาจารย์เจียงเพิ่งจะสี่สิบต้น ๆ มีหน้ามีตาในหน้าที่การงาน คนในครอบครัวล้วนเป็นข้าราชการ และเขาก็ยังมีหอนิทรรศการนั่นอีกด้วย แต่งงานกับผู้ชายอย่างอาจารย์เจียง มีตำแหน่งเศรษฐีนีให้พร้อม ผู้หญิงคนไหนจะไม่ยอมบ้างล่ะ?”
สวีจื่อเซวียนรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ คำพูดของถังม่านลี่แทงจุดอ่อนของเธอเข้า เธอจึงเชื่ออย่างสนิทใจ
“แต่มันไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ ฉันทำใจไม่ได้…แล้วพ่อของฉันก็คงจะโกรธเอามาก…”
จากตอนแรกที่สวีจื่อเสวียนเกิดลังเลและย้อนแย้ง ตอนนี้กลับเปิดใจง่าย ๆและพูดในสิ่งที่เธอคิดออกมา
ถังม่านลี่แอบลอบด่าว่าโง่ แต่ใบหน้ากลับยิ้มระรื่น “เธอนี่มันโง่จริง ๆ ฉันถามเธอหน่อย เป้าหมายที่เธอสอบเข้ามาในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงคืออะไร? คงไม่ใช่เพราะความสำเร็จแค่นั้นมั้ง แต่เธอไปถามคนอื่นดูสิว่าคนที่เรียนวาดภาพอย่างเรา ๆ มีสักกี่คนที่ได้ดีกว่าคนอื่น อย่างมากก็เป็นได้แค่ครูจน ๆที่ต้องรับเงินเดือนน้อยนิดไปตลอดชีวิต”
ใบหน้าของสวีจื่อเซวียนกระตุก พ่อของเธอก็คือครูจน ๆแบบนั้น แม้แต่เสื้อผ้าสวย ๆก็ยังซื้อให้ภรรยาไม่ได้ เพราะงั้นแม่ของเธอถึงได้หนีไปมีความสุขกับชายอื่นไง
ถังม่านลี่กล่าวยุแหย่ต่อ “แต่ถ้าเธอแต่งงานกับอาจารย์เจียงก็ไม่เหมือนกันแล้ว อาจารย์เจียงมีเส้นสาย เธอทั้งสวยและมีพรสวรรค์ แต่แค่ไม่มีประกาศนียบัตรจะเป็นไรไป? ในสังคมปัจจุบันใช้แค่เส้นสาย ประกาศนียบัตรไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”
สวีจื่อเซวียนมีท่าทีผ่อนคลายลงมาก แววตาค่อย ๆแน่วแน่ขึ้นมา
ก็เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอ ทั้ง ๆที่พรสวรรค์ของจ้าวเหมยด้อยกว่าเธอแท้ ๆ แต่เพราะมีคู่หมั้นที่เป็นข้าราชการ เรื่องดี ๆที่ได้หน้าล้วนตกเป็นของจ้าวเหมยทุกเรื่อง ไม่เคยมีอะไรตกมาถึงเธอเลย
ถังม่านลี่พูดต่อว่า “ส่วนพ่อเธอยิ่งไม่ต้องกังวล แค่เธอประสบความสำเร็จ พ่อเธอจะไม่ดีใจเหรอ? ฉันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจับอาจารย์เจียงมาให้ได้ ถ้าปล่อยให้หมาคาบไปละก็เธอร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว!”
สวีจื่อเซวียนจมดิ่งอยู่กับความคิด เจียงจื้อหรู่เป็นของเธอ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามแย่งไปทั้งนั้น!
เธอตัดสินใจแล้ว!
“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจเธอมากนะ!” สวีจื่อเซวียนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ถังม่านลี่เป็นดั่งแสงไฟที่ส่องนำทางให้เธอ ส่องทางเดินให้เธอก้าวเดินไปข้างหน้า
ถังม่านลี่ไม่กล้าสบตาเธอจึงหลบสายตา “ขอบใจอะไรล่ะ ถึงอย่างไรเราสองคนก็เป็นเพื่อนที่เคยเผชิญเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันนี่นา!”
เมื่อเห็นว่าสวีจื่อเซวียนเดินเข้าไปในสำนักทะเบียนทำการยื่นหนังสือพักการเรียนเรียบร้อยแล้ว ถังม่านลี่ถึงได้โล่งใจ ในดวงตาฉายแววละอายใจขึ้นมาแต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
เธอเดินไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะแล้วกดโทรออก “คุณนายเจียงคะ สวีจื่อเซวียนยื่นหนังสือพักการเรียนแล้วค่ะ”
“ดีมาก เธอวางใจเถอะ เธอจะต้องเรียนจบอย่างสงบสุขแน่นอน”
ถังม่านลี่ถึงโล่งอกพิงตู้โทรศัพท์แหงนมองท้องฟ้า หากคนเราไม่พยายามตะเกียกตะกายฟ้าดินก็ไม่อาจปรานี เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
……………………………………………………….
ตอนที่ 1865 สีสันแห่งความเศร้าโศก
หนังสือพักการเรียนของสวีจื่อเซวียนสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ให้สำนักทะเบียน หัวหน้าสำนักทะเบียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับอาจารย์เจียงจึงไม่ค่อยชอบใจเธอนัก แต่ก็ยังช่วยพูดเกลี้ยกล่อมเธอไว้ เพียงแต่สวีจื่อเซวียนในตอนนี้ลุ่มหลงจนสูญเสียความเป็นตัวเอง ใจหวังแต่จะแต่งงานกับอาจารย์เจียง ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนแย่งเขาไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมเลย
“เธอกลับไปคิดทบทวนดูดี ๆ ปรึกษากับครอบครัวและพ่อแม่เสียก่อน หนังสือพักการเรียนฉบับนี้ฉันจะช่วยเก็บไว้ให้” หัวหน้าสำนักทะเบียนเอ่ยอย่างนึกเสียดาย
จากเด็กที่มีอนาคตไกลแท้ ๆ ในตอนนี้กลับแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา สูญเสียสติปัญญาที่เคยมี ช่างน่าเสียดายเด็กที่มีพรสวรรค์ดี ๆคนหนึ่ง!
เส้นทางที่ถูกครรลองคลองธรรมมีให้ไม่เดิน กลับพาตัวเองไปเดินบนทางตัน!
กู่อย่างไรก็กู่ไม่กลับแล้ว!
หัวหน้าสำนักทะเบียนเป็นคุณป้าหน้าตาค่อนข้างโหด บรรดานักเรียนพากันเกรงกลัวเธอ แต่ในความเป็นจริงเธอคืออาจารย์ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง ผลิตเด็กอัจฉริยะออกมาให้ประเทศหลายต่อหลายรุ่น ตอนนี้เธอก็อยากจะให้โอกาสกับสวีจื่อเซวียน ให้เธอคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่าได้ตัดสินใจทำลายชีวิตของตัวเองง่าย ๆ
แต่สวีจื่อเซวียนกลับไม่รู้ซึ้งถึงน้ำใจเลยสักนิด แสดงออกอย่างแน่วแน่พูดแค่ว่าเธอไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจนี้ วัวสิบตัวก็ฉุดไว้ไม่อยู่
เดิมทีหลังจากลงทะเบียนเสร็จสรรพเหมยเหมยหมายจะกลับหอพักไปจัดเก็บเครื่องนอน แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อกลับอยากดูอะไรสนุก ๆเธอจึงต้องอยู่ด้วย เธอเห็นสวีจื่อเซวียนยืนอาลัยอาวรณ์อยู่ตรงทางเข้าสำนักทะเบียนก็นึกว่าอาจเปลี่ยนความคิดแล้ว
แต่หลังจากถูกถังม่านลี่ลากตัวไปคุยด้วยสิบกว่านาที ก็ไม่รู้ว่ายัยนั่นไปกินยาอะไรเข้าถึงได้หัวรั้นแน่วแน่เสียยิ่งกะไร จนทำทีเมินเฉยต่อความหวังดีของหัวหน้าสำนักทะเบียน
“แม่เจ้า…สมงสมองต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆร้อยเปอร์เซ็นต์!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโมโหที่หล่อนไม่เห็นถึงความหวังดีสักทีจึงกัดฟันดังกรอด
เหมยเหมยมองบนใส่เธอ “เส้นทางเป็นของตนเอง เธอกังวลแล้วได้อะไร? ไปกันเถอะ มีอะไรให้น่าดูกัน”
เธอลากแม่สองสาวผู้หวังดีกลับหอพัก คนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอย่างสวีจื่อเซวียนเธอเข้าใจทะลุปรุโปร่งเลยล่ะ ช่วยเหลือเธอไว้ถึงสองครั้งสองครา คำขอบคุณสักคำยังไม่เคยได้ยินเลย เธอจำฝังใจไปเสียแล้ว
ต่อจากนี้ไปแม้ต้องมาตายอยู่ตรงหน้าเธอ เธอก็จะไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก!
แม้ว่าฉีฉีเก๋อกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะขุ่นเคืองและผิดหวังอยู่บ้าง ซ้ำยังสงสารต่อความโชคร้ายของสวีจื่อเซวียน แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก การลักพาตัวของเฉินหมิงในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนทำให้พวกเธอได้รับบทเรียนอย่างแท้จริง ไม่กล้าหวังดีพร่ำเพรื่ออีกแล้ว
“ถ้าพ่อของสวีจื่อเซวียนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะโกรธแค่ไหน!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดเสียงเบา
ชายร่างบางที่เป็นคนไม่ค่อยชอบพูดนัก แม้จะแต่งตัวได้แย่ เงินทองมีน้อย แต่กลับรักลูกสาวอย่างสุดหัวใจ อาหารดี ๆมักจะเก็บไว้ให้สวีจื่อเซวียนเสมอ ไม่เหมือนพ่อของเธอ มีเงินเยอะแต่มักจะรังเกียจที่เธอไม่ใช่ลูกชาย แทงใจดำเธอด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลูกชายมา
เหมยเหมยเองก็นึกถึงพ่อของสวีจื่อเซวียนขึ้นมาเช่นกัน ครูผู้สุจริตยากจนคนหนึ่งแต่ก็เป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน
“เรื่องของครอบครัวคนอื่นเราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก แต่ถ้าสวีจื่อเซวียนแต่งงานกับเจียงจื้อหรู่จริง ๆ อนาคตคงจะไม่ได้ย่ำแย่นัก แต่เกรงว่า…”
เหมยเหมยไม่ได้พูดให้จบประโยค บนตัวของสวีจื่อเซวียนเธอเห็นเพียงแค่สีสันแห่งความเศร้าโศก มองไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด เธอรู้เพียงแค่ว่าการที่สวีจื่อเซวียนจะแต่งงานกับเจียงจื้อหรู่มันไม่ง่ายขนาดนั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเจียงจะเห็นด้วยหรือไม่หรอก เอาแค่คุณนายเจียงจะยอมหรือเปล่า?
ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ทำขนาดนี้
ฉีฉีเก๋อได้ฟังก็นึกแปลกใจ “สวีจื่อเซวียนต้องได้แต่งงานกลับอาจารย์สิ อาจารย์เจียงยอมหย่าก็เพราะเธอเลยไม่ใช่เหรอ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะเยาะ “มันก็ไม่แน่หรอก ถึงแม้ตระกูลเจียงจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไร แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กนะ คนอย่างแม่สวีจื่อเซวียนนั่นคนตระกูลเจียงไม่มีทางยอมรับหรอก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น