อัจฉริยะสมองเพชร 1858-1861

 ตอนที่ 1858 คนรักของเจิ้งหยาง (2)

เจิ้งหยางเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วนใจที่ถูกเว่ยหรูเหยียนจี้จุด


“ก็ได้ ก็ได้ ฉันยอมทำตามคำขอของคุณ!” เห็นสีหน้าของเจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียนถอนหายใจเฮือกก่อนจะยอมเลิกรา เธอตั้งคำถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “แล้วคุณอยากให้ฉันทำอะไร? ให้ฉันวางยาพิษเธอดีไหม ถ้าคุณต้องการล่ะก็ รับรองได้ว่าเธอจะตายอย่างช้าๆและทรมาน และคุณแน่ใจได้เลยว่าจะไม่เหลือหลักฐานที่สาวมาถึงตัวคุณ แต่ถ้าคุณยังกังวลว่าครอบครัวของเธอจะมาแก้แค้นล่ะก็ ฉันช่วยคุณกำจัดพวกนั้นให้หมดเลยก็ได้…”


“อะ-เอ่อ…ไม่เป็นไร ผมจัดการเองได้” เจิ้งหยางตอบด้วยอาการตัวสั่น


เขาเริ่มรู้สึกว่าตัดสินใจผิดที่ขอความช่วยเหลือจากศิษย์น้อง


“ไม่ต้องเกรงใจน่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้เธอตาย ฉันก็จะผสมยาที่ค่อยๆออกฤทธิ์กัดกร่อนหัวสมองของเธอและเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นหุ่นกระบอก เธอจะกลายเป็นของเล่นของคุณ และคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจไปจากคุณอีก…” เว่ยหรูเหยียนยังคงเสนอความคิดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน


“แค่ก แค่ก…” เจิ้งหยางรีบเบรกความคิดของเว่ยหรูเหยียน “ศิษย์น้อง ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังมีเรื่องต้องทำ ดูเหมือนคุณก็จะมีธุระยุ่งนะ ผมคงไม่รบกวนคุณด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้หรอก ขอตัว!”


จากนั้น เขาก็หันหลังกลับและบินหนีไป


สมกับที่เป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ…เว่ยหรูเหยียนเป็นคนที่ไม่น่ามีเรื่องด้วยเลยจริงๆ!


แต่ยังไม่ทันที่เจิ้งหยางจะไปได้ไกล ก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไป ก็เห็นร่างบอบบางตามเขามาติดๆ ทำเอาเขากลัวจนแทบขาดใจ


“ศิษย์น้องหรูเหยียน…” เจิ้งหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเต็มกลืน


“ฉันเข้าใจน่ะ ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายหรอก ก็แค่ออกความเห็นตามธรรมดา ไม่ใช่ว่าฉันกระหาย การฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผลนะ ถ้าฉันอยากทำร้ายใครล่ะก็ ฉันจะเล่นงานเฉพาะผู้ที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณขึ้นไปเท่านั้น มนุษย์ธรรมดาสามัญน่ะไม่อยู่ในสายตาของฉัน!” เว่ยหรูเหยียนคำราม


ถึงเธอจะเป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ แต่ก็ไม่ใช่คนชนิดที่จะฆ่าแกงใครด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อย คำพูดของเธออาจบ่งบอกแบบนั้น แต่เพราะเธอเคยสูญเสียผู้เป็นที่รัก จึงรู้ดีว่าชีวิตมีค่าแค่ไหน


อีกอย่าง ถ้าเธอกล้าเห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา ท่านอาจารย์คงเป็นคนแรกที่เล่นงานเธอถึงตาย


“แต่…” เจิ้งหยางทักท้วงอย่างอ่อนใจ


เขารู้ว่าศิษย์น้องแค่ล้อเล่น แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากใช้ใครสักคนที่มีทักษะด้านยาพิษแบบเว่ยหรูเหยียน ถ้าเธออารมณ์เสียและแผ่พิษออกมา เขาคงจบเห่


“ไม่มีแต่ นำทางไปเลย ถ้าคุณกล้าพูดอะไรเหลวไหลออกมาอีก ฉันจะวางยาให้คุณเงียบ!” เว่ยหรูเหยียนโบกมืออย่างเย็นชา


“….” เจิ้งหยางแทบปล่อยโฮ


นี่มันบ้าบออะไร?


ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จะไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากเธอเลย ทุกอย่างดูจะอยู่เหนือการควบคุมของเขาเสียแล้ว ราวกับเขาถูกจับตัวใส่เรือโจรสลัดและไม่อาจหนีพ้น


ทั้งคู่บินออกจากโรงเรียนหงเทียนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาหยุดอยู่เหนือคฤหาสน์โอ่อ่าหลังหนึ่ง คฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก กินเนื้อที่เท่ากับความกว้างของถนนทั้งสาย


เจิ้งหยางมองคฤหาสน์จากกลางอากาศ เขาสงสัย “เดี๋ยวก่อน แบบนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่…”


“มีอะไรหรือ?” เว่ยหรูเหยียนเข้ามา


“ผมเคยอยู่แถวนี้ และแน่ใจว่ามันเป็นพื้นที่ชุมชน ทำไมถึงมีคฤหาสน์ใหญ่โตมาอยู่ที่นี่ได้?” เจิ้งหยางตั้งข้อสังเกตด้วยความประหลาดใจ


ครอบครัวของเขาฐานะไม่ดีเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ก็คงไม่ต้องลำบากลำบนเพื่อให้ผ่านการประเมินของอาจารย์หว่างเชา


ก่อนที่เขาจะจากไป พื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นชุมชนธรรมดาสามัญ แล้วคฤหาสน์ใหญ่โตขนาดนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?


“คำถามนี้ตอบได้ไม่ยากนี่? คุณก็แค่คว้าตัวใครสักคนที่เดินผ่านไปมาเพื่อมาถาม ก็แค่นั้น”


เว่ยหรูเหยียนร่อนลงกับพื้นแล้วเดินไปยังร้านน้ำชา เธอมองหน้าเจ้าของร้านน้ำชาและถามว่า “สหาย ไม่ทราบว่าคฤหาสน์หลังนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ใช่ไหม?”


เจ้าของร้านน้ำชามีทีท่าไม่อยากจะเสวนาในตอนแรก แต่เมื่อเห็นหน้าตาของสาวน้อย ก็รีบยิ้มรับขณะตอบว่า “สาวน้อย คุณคงมาที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนเป็นครั้งแรกสินะ คุณพูดถูกแล้ว คฤหาสน์หลังนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้วและสร้างเสร็จภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ว่ากันว่าช่างฝีมือชั้นยอดทุกคนในพื้นที่ต่างทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อให้สร้างเสร็จทันเวลา ดูการจัดวางผังของลานบ้านสิ ว่ากันว่าเจ้าของคฤหาสน์ว่าจ้างนักออกแบบผังเมืองมาด้วย ทำให้มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชวังเสียอีก!”


“มีแม้กระทั่งนักออกแบบผังเมือง?”


เว่ยหรูเหยียนกับเจิ้งหยางสบตากัน


พลเมืองส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนอาจไม่รู้ความสำคัญของนักออกแบบผังเมือง แต่พวกเขารู้ดี แม้แต่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจางก็ต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบรรดานักออกแบบ ถ้าเจ้าของคฤหาสน์มีเงินทองมากพอที่จะสร้างคฤหาสน์หลังนี้ แถมยังมีเส้นสายในการจ้างนักออกแบบผังเมืองด้วย…แล้วทำไมพวกเขาถึงยังเลือกพำนักอยู่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน?


“คุณรู้ไหมว่าเจ้าของคฤหาสน์คือใคร?” เจิ้งหยางถามด้วยความอยากรู้


“มันเป็นคฤหาสน์ของตระกูลซู!” เจ้าของร้านน้ำชาตอบ


“ตระกูลซู?” เจิ้งหยางงุนงง


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีตระกูลซูอยู่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน?”


4 ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนคือตระกูลหวัง ตระกูลหลิว ตระกูลไป๋ และตระกูลตู้ ไม่เคยมีใครรู้จักชื่อของตระกูลซูมาก่อน


“คุณไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลซูหรือ? รู้จักหัวหน้าตระกูลไหม, ซูเม่าชิง?” เจ้าของร้านน้ำชาตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ซูเม่าชิง?” เจิ้งหยางชะงักขณะมองหน้าอีกฝ่ายราวกับเพิ่งได้ฟังบางอย่างที่เหลือเชื่อ “อะ-เอ่อ…ลูกสาวของเขาคือซูเฟยเฟยใช่ไหม?”


“ใช่แล้ว!” เจ้าของร้านน้ำชาพยักหน้ารับ “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวของเขาหาลูกเขยดีๆมาให้ คงไม่มีทางที่ซูเม่าชิงจะได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรูหราแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน เขาไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อน้ำชาจากร้านของผมด้วยซ้ำ! แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ซอมซ่อและขี้ริ้ว แต่หลังจากได้ลูกเขยคนนี้ สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยขาดแคลนก็คือเงิน ผมรู้มาว่าเมื่อวานนี้เขาเพิ่งใช้เงินไปถึง 10 เหรียญทองเป็นค่าอาหารมื้อเย็น!”


“เดี๋ยวก่อน! ลูกเขย?” เจิ้งหยางขัดการสาธยายของเจ้าของร้านน้ำชา เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


“ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยรู้อะไรนี่ ใช่ไหม? แต่คุณถามถูกคนแล้วล่ะ ผมทำงานที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรในพื้นที่นี้ที่หลุดรอดจากสายตาของผมไปได้!”


เจ้าของร้านน้ำชาสาธยายออกรสขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่พรั่งพรูเรื่องเล่าออกมาไม่หยุด “ลูกสาวของเขา, ซูเฟยเฟยน่ะจับพลัดจับผลูได้รู้จักกับขุนนางของจักรวรรดิที่ไหนสักแห่ง ขุนนางคนนั้นร่ำรวยและมีอำนาจมาก เขาสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนี้ขึ้นเพื่อพักอาศัย ไม่อย่างนั้นละก็ ลำพังพ่อกับลูกสาว คุณคิดว่าพวกเขาจะมีปัญญาได้เป็นเจ้าของอะไรแบบนี้หรือ?”


“ผมเข้าใจ…” เจิ้งหยางพยักหน้าขณะที่ยังจังงัง


“ถ้าอย่างนั้น ซูเฟยเฟยคนนี้ก็คงเป็นสาวน้อยที่คุณเคยหลงรักสินะ? ดูเหมือนสายตาของเธอจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่!” เว่ยหรูเหยียนหัวเราะเบาๆขณะส่งโทรจิตหาเจิ้งหยาง


ไม่ว่าจะเป็นขุนนางของจักรวรรดิไหน หรือต่อให้เป็นฮ่องเต้ ก็เทียบชั้นไม่ได้กับเจิ้งหยางในตอนนี้!


คิดดูสิว่าเธอทิ้งขว้างไข่มุกที่อยู่ตรงหน้าเพื่อไปคว้าเพียงขุนนางคนหนึ่ง…อยากเปิดหัวสมองของเธอดูเหลือเกินว่าเธอจะคิดอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง


“ผม…” เจิ้งหยางอึ้งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะพูดอะไร


ในครั้งนั้น เขาถูกซูเฟยเฟยปฏิเสธก่อนจะเข้ารับการประเมิน ทำให้ศิลปะเพลงหอกอันทรงพลังของเขาถูกความวุ่นวายใจเข้าครอบงำ จนลงท้ายก็ไม่อาจเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์หว่างเชาได้สำเร็จ


“ดูนั่น พวกเขาออกมาแล้ว!”


แอ๊ดดดด!


ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์เปิดออก สาวน้อยคนหนึ่งที่ควงแขนกับชายวัยกลางคนก้าวออกมาจากข้างใน


เธอดูดี แต่ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับเสิ่นปี้หรู นับประสาอะไรกับเว่ยหรูเหยียน จ้าวหย่า และคนอื่นๆ ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างเธอมีร่างอ้วนใหญ่และใบหน้าที่ออกจะผิดส่วนเล็กน้อย รูปร่างของเขาเทอะทะกว่าหยวนเทาเสียอีก


แต่ถึงอย่างนั้น สาวน้อยก็เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ ราวกับกำลังควงแขนกับเจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์


เห็นภาพนั้น เว่ยหรูเหยียนพ่นลม “ผู้หญิงที่คุณชอบน่ะแต่งงานกับชายแก่น่าเกลียดแบบนี้หรือ?”


ซูเฟยเฟยน่าจะแต่งงานกับอีกฝ่ายเพราะเงิน แต่เธอทนนอนข้างใครสักคนที่มีรูปลักษณ์แบบนี้อยู่ทุกคืนได้อย่างไรในเมื่อมันไม่ได้เป็นความรักที่แท้จริง?


เจิ้งหยางระบายลมหายใจยาว ก่อนจะหันหลังกลับแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”


นี่คือผู้หญิงคนแรกที่เขาชอบ ซึ่งเขาตกหลุมรักเธอมากว่า 5 ปีแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือพบหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะได้ตัดใจให้ขาด


ในเมื่อเขาพบเธอแล้วและดูเหมือนเธอก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี…เพียงเท่านั้นก็มากพอ


“ไปรึ? การแสดงยังไม่เริ่มเลย จะพลาดช่วงเวลาน่าตื่นเต้นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” เว่ยหรูเหยียนหัวเราะเบาๆแล้วเหยียดริมฝีปากยิ้ม


ตอนที่ 1859 นกน้อยในกรงทอง

ถึงอย่างไร เจิ้งหยางก็เป็นศิษย์พี่ของเธอ ในครั้งนั้นเขาได้มอบหัวใจให้ซูเฟยเฟย แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างโหดร้าย ถ้าหลังจากนั้นซูเฟยเฟยใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เว่ยหรูเหยียนก็คงไม่มีอะไรจะพูด แต่ลงท้าย อีกฝ่ายก็ต้องครองคู่กับชายแก่ที่มีรูปร่างใหญ่โตผิดมนุษย์


แน่นอนว่าซูเฟยเฟยมีสิทธิ์เลือกว่าเธออยากใช้ชีวิตอย่างไร แต่เว่ยหรูเหยียนก็อดหงุดหงิดไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


และในเมื่อเธอหงุดหงิด แล้วจะปล่อยให้สองคนนั้นใช้ชีวิตเป็นสุขได้อย่างไร?


นึกไม่ถึงว่าเว่ยหรูเหยียนจะไม่ยอมกลับ เจิ้งหยางใจไม่ดีขึ้นมาทันที “ศิษย์น้อง อย่าสร้างปัญหาที่นี่ พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดา…”


“ไม่ต้องห่วงน่ะ ฉันไม่คิดจะทำอะไรเกินเลยหรอก” เว่ยหรูเหยียนทำหูทวนลมกับเสียงทักท้วงของเจิ้งหยาง เธอทรุดตัวลงนั่งในร้านน้ำชาและยิ้มหวานให้เจ้าของร้าน “ผู้จัดการ น้ำชากาหนึ่ง!”


หลังจากน้ำชามาเสิร์ฟ เธอก็นั่งจิบอย่างสบายอารมณ์ ราวกับกำลังใช้เวลายามบ่ายพักผ่อนอย่างเกียจคร้าน


รู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะบังคับให้เว่ยหรูเหยียนออกจากที่นี่ได้ เจิ้งหยางกุมขมับก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ประจันหน้ากับเธอด้วยสีหน้าจนปัญญา


ซูเฟยเฟยมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างเธอและถามว่า “เชียงเก่อ นี่เรากำลังจะมุ่งหน้าไปพระราชวังจริงๆหรือ?”


“ผมสั่งการให้เจ้าเสิ่นจุ้ยคนนั้นนำกองกำลังทหารมาให้ผมจำนวนหนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่ทำ คงไม่อยากเป็นฮ่องเต้อีกแล้วกระมัง!” ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเชียงเก่อคำราม แววตาเหี้ยมโหดฉายวาบในดวงตาของเขา


“กล้าขัดคำสั่งของเชียงเก่อ เจ้าเสิ่นจุ้ยนั่นช่างอวดดีเสียจริง! ถ้าเราไม่สั่งสอนบทเรียนให้เขา เขาคงจะคิดว่าตัวเองสำคัญเต็มที!” ซูเฟยเฟยใช้มือปิดปากไว้ขณะคำรามเยาะ เผยท่าทีดูถูกเหยียดหยามที่มีต่อฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนเซวียนอย่างไม่ปิดบัง


ในสายตาของคนอื่นๆ เสิ่นจุ้ยคือฮ่องเต้ของอาณาจักรเทียนเซวียนซึ่งเป็นที่เคารพยกย่อง แต่สำหรับเธอ เขาไม่มีความหมายอะไรเลย


“ใช่! เขาเป็นแค่ฮ่องเต้ของอาณาจักรกระจอกงอกง่อยไร้ขั้น แต่สำคัญตัวเองเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะบุญคุณของผม เขาคงตายไปหลายครั้งหลายหนแล้ว…” เชียงเก่อคำราม


ขณะที่กำลังพูด จู่ๆใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว แข้งขาอ่อนไปหมด


พลั่ก!


เขาร่วงลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น


ซูเฟยเฟยถึงกับผงะและร้องออกมาด้วยความพรั่นพรึง “เชียงเก่อ!”


เธอรู้ดีว่าชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างเธอมีพละกำลังแค่ไหน ในแง่ของความแข็งแกร่ง แม้เสิ่นจุ้ยก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้ เขาเป็นนักรบที่เหนือชั้นกว่าวรยุทธขั้นจื้อจุนแล้ว…มาร่วงลงไปกองกับพื้นแบบนี้ จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่!


“ใครเล่นงานผม?” นึกไม่ถึงว่าจะถูกเหยียดหยามในที่สาธารณะ เชียงเก่อจ้องเขม็งไปรอบๆขณะกัดฟันกรอด


“คุณถูกเล่นงานด้วยยาพิษล่อลวงหัวใจปีศาจสวรรค์ของฉัน” เสียงสุขุมเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ “ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ จะต้องหาใครสักคนที่เต็มใจถ่ายเลือดสดๆของเขาให้คุณ ไม่อย่างนั้น ภายในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป คุณจะต้องตายเพราะการเสียเลือดมากเกินไปจากทวารทั้งเจ็ด ต่อให้เทพเจ้าก็ช่วยชีวิตคุณไม่ได้!”


เชียงเก่อรีบเงยหน้าเพื่อหาต้นตอของเสียง เห็นสาวน้อยคนหนึ่งนั่งวางท่าอยู่ตรงหน้ากาน้ำชา พร้อมกับถ้วยน้ำชาใบหนึ่งที่ยังร้อนควันฉุย


“คุณเป็นใคร? เราไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน ทำไมถึงอยากฆ่าผม?”


เท่าที่เห็น การที่สาวน้อยสามารถวางยาเขาได้จากระยะไกลและเล่นงานเขาจนหมดสภาพ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของเธอได้แม้สักนิด เชียงเก่อรู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม


“โลกนี้จะมีอะไรให้ต้องขัดแย้งกันนักหนา? ฉันก็แค่รู้สึกว่าการเห็นคุณน่ะมันน่าขยะแขยง” เว่ยหรูเหยียนดึงผมไปทัดหูขณะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เธอพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “คุณเหลือเวลาไม่มากแล้วนะ ฉันไม่คิดว่าคุณจะมัวเสียเวลาอยู่แถวนี้ได้หรอกถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่”


“ผม…”


เชียงเก่อรีบขับเคลื่อนพลังปราณในร่างของเขา หวังจะเจือจางพิษในร่างกาย แต่ก็พบว่าขับมันออกไปไม่ได้ เป็นอย่างที่สาวน้อยพูดไว้ ต้องมีใครสักคนยอมถ่ายเลือดให้เขาเพื่อให้อาการของเขาดีขึ้น


เชียงเก่อหน้าดำคร่ำเครียด เขาหันไปตะโกนใส่ซูเฟยเฟยที่อยู่ข้างๆ “เฟยเฟย มานี่ซิ!”


“ฉัน…” รู้ดีว่าเชียงเก่อกำลังคิดอะไร ซูเฟยเฟยหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึงขณะถอยกรูดอย่างหวาดกลัว


ต่อให้ความรักที่แท้จริงก็ย่อมสลายไปหากต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย นับประสาอะไรกับความสัมพันธ์ที่มีรากฐานบนผลประโยชน์ร่วมกัน


เห็นซูเฟยเฟยถอยกรูด เชียงเก่อหรี่ตาอย่างข่มขู่ “คุณคิดจะขัดคำสั่งของผมหรือ?”


“ฉัน…” ซูเฟยเฟยตัวสั่นด้วยความหวาดผวา


“คุณมันก็แค่สาวบ้านนอกเซ่อซ่า คงไม่ได้คิดจริงๆหรอกนะว่าตัวเองเป็นคนสูงส่ง ควรจะรู้ไว้ด้วยว่าของล้ำค่าต่างๆที่ผมมอบให้คุณน่ะมีราคาค่างวดสูงแค่ไหน รีบมาถ่ายเลือดของคุณให้ผมเดี๋ยวนี้ ถ้าผมหายดีจากการถูกวางยาครั้งนี้ล่ะก็ ผมจะดูแลทะนุถนอมคุณเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็…ผมก็จะฆ่าคุณเสียที่นี่ ตอนนี้เลย!”


เชียงเก่อคำราม เจตนาสังหารเปล่งประกายออกจากดวงตาของเขา


ซูเฟยเฟยกับซูเม่าชิง? ทั้งสองเป็นแค่เครื่องอำนวยความสะดวกให้ตัวเขาเท่านั้น


“ไม่นะ!”


รู้ดีว่าเธอคงจะเสียชีวิตหากต้องถูกถ่ายเลือด ซูเฟยเฟยถอยกรูดด้วยความหวาดผวา แต่ถอยไปได้เพียงสองสามก้าว ก็พลันรู้สึกถึงพลังงานมหาศาลที่ร้อยรัดตัวเธอไว้ ซูเฟยเฟยรู้ตัวว่าถ้ายังคงถอยต่อไป เชียงเก่อจะต้องคร่าชีวิตของเธอแน่


ประกายในดวงตาของเธอหายไป แทนที่ด้วยความมืดมิดโศกสลด


เมื่อปีก่อน มีชายคนหนึ่งที่รักเธอจนหมดหัวใจ เขาได้สารภาพความในใจกับเธอ แต่เธอก็ตั้งแง่ติติงเขาเรื่องภูมิหลังที่ไม่น่าสนใจและปฏิเสธเขาด้วย ใครจะไปรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะได้พบกับอาจารย์ที่ดีและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้? แม้แต่เสิ่นจุ้ยก็ยังต้องให้เกียรติเขาในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ!


เธอเคยคิดว่าคงหมดโอกาสที่จะก้าวพ้นจากความยากจนแล้ว แต่วันหนึ่งก็ได้พบกับเชียงเก่อ


เชียงเก่อดูแลเธออย่างดี ถึงกับสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตให้ เธอเคยคิดว่าเขารักเธอด้วยใจจริง แต่มาตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าของเล่นชิ้นหนึ่งของเขา


เว่ยหรูเหยียนไม่ใส่ใจการถกเถียงของทั้งคู่ เธอหันไปยิ้มให้เจิ้งหยาง “เป็นไงล่ะ?”


ไม่มีอะไรที่จะเป็นบททดสอบความรู้สึกของคนคนหนึ่งได้ดีไปกว่าความเป็นความตาย…และเห็นได้ชัดว่าสองคนนี้แค่ใช้ประโยชน์จากกันและกัน!


“เธอจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรก็เป็นการตัดสินใจของเธอ ผมไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย” เจิ้งหยางตอบ แต่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน


เขาชอบสาวน้อยคนนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก และความปรารถนาสูงสุดเนิ่นนานของเขาก็คือได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ไม่เคยคิดเลยว่าจะลงเอยแบบนี้


“ฉันจะให้โอกาสคุณเล่นบทวีรบุรุษ คุณอยากทำให้เธอเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเธอไม่ใช่หรือ? ไม่มีโอกาสไหนดีกว่านี้แล้วนะ” เว่ยหรูเหยียนยุเจิ้งหยาง


“ไม่จำเป็นหรอก ผมไม่ได้มีใจให้เธอแล้ว” เจิ้งหยางส่ายหน้า


เขารู้ดีว่าต่อให้เขาทำให้เธอเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งคู่อยู่กันคนละโลกแล้ว ไม่มีทางใช้ชีวิตร่วมกันได้


อีกอย่าง หลังจากได้รู้นิสัยของซูเฟยเฟย ต่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เจิ้งหยางก็รู้ว่าเศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเขาจะต้องแคลงใจว่าซูเฟยเฟยอาจหลงใหลในทรัพย์สินและอำนาจของเขาเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเขาเอง เขาไม่อยากนำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานภาพที่ต้องคอยระแวงแคลงใจในคนรักของตัวเองอยู่เรื่อยไป


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเพื่อ?


“ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะยังมีใจให้เธอหรือไม่ แต่ถ้าคุณไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ เธอต้องตายแน่” เว่ยหรูเหยียนพูดอย่างสุขุมขณะจิบชาต่อไป


เจิ้งหยางรีบเงยหน้า เห็นนัยน์ตาของเชียงเก่อแดงก่ำ เขายกแขนขึ้นฉุดซูเฟยเฟยเข้าหาตัวโดยใช้พลังปราณ เชียงเก่อใช้นิ้วของเขาแทนดาบและกรีดข้อมือซีดเผือดของสาวน้อย ทำให้เลือดอุ่นๆทะลักออกมา


การถ่ายเลือดกับการถ่ายทอดสายเลือดถือเป็นคนละเรื่องกัน การถ่ายเลือดจะใช้เพียงเลือดของอีกฝ่ายเข้าไปแทนที่เลือดที่ปนเปื้อนยาพิษ กระบวนการนั้นไม่ได้ซับซ้อน แม้แต่นายแพทย์ระดับ 2 ดาวโดยทั่วไปก็สามารถจัดการได้ ถึงเชียงเก่อจะถูกวางยา แต่วรยุทธของเขาไม่ได้ถูกกดข่มไว้ ตราบใดที่เขาดำเนินการอย่างระมัดระวัง ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง


เมื่อเห็นว่าซูเฟยเฟยอาจเสียชีวิตได้หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ เจิ้งหยางลุกพรวดและตวาดก้อง “หยุดเดี๋ยวนี้!”


เชียงเก่อหันกลับมาจ้องหน้าเจิ้งหยางอย่างเย็นชา


ในเวลาเดียวกัน ซูเฟยเฟยที่ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที เธอหันขวับไปมองร่างหนึ่งที่กำลังเดินมาหา น้ำตาไหลเป็นทางจากสองตาของเธอ


“เจิ้งหยาง…คะ-คุณกลับมาแล้วหรือ?”


ไม่มีทางที่เธอจะจดจำเสียงนั้นไม่ได้ มันเป็นเสียงของชายหนุ่มที่เคยรวบรวมความกล้าทั้งหมดในชีวิตเพื่อสารภาพความในใจกับเธอ เพียงเพื่อจะถูกปฏิเสธ


เห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ ร่างนั้นดูจะใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์


ตอนที่ 1860 ตัวตนของเชียงเก่อ

ถึงเจิ้งหยางจะไม่อยากทำอะไร แต่ก็รู้นิสัยของศิษย์น้องดี เว่ยหรูเหยียนไม่ได้โหดเหี้ยมดุร้ายถึงขนาดที่จะปล่อยให้เชียงเก่อสังหารซูเฟยเฟยจริงๆ แต่เธอจะเข้าขวางก็ต่อเมื่อถึงวินาทีสุดท้ายเท่านั้น


แม้เขาจะหมดความหลงใหลในตัวสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจทนเห็นเธอทุกข์ทรมานต่อหน้าต่อตาได้


การเข้ามาของเจิ้งหยางเหมือนแสงสว่างแห่งความหวังเสี้ยวสุดท้ายของซูเฟยเฟย เธอรีบคว้าความหวังนั้นไว้ขณะร่ำร้อง “เจิ้งหยาง ช่วยชีวิตฉันด้วย!”


“ไม่ต้องห่วง!”


ด้วยการโบกมือ พลังงานที่เชียงเก่อใช้ร้อยรัดซูเฟยเฟยไว้ก็สลายไปในพริบตา


“คุณเป็นใคร?” เชียงเก่อตั้งคำถามพร้อมกับหรี่ตา


เขามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น หากไม่รีบหาใครสักคนมาถ่ายเลือดให้ จะต้องตายแน่


เจ้าหนุ่มนี่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ และเท่าที่เห็น ดูเหมือนจะมีความผูกพันบางอย่างกับซูเฟยเฟยด้วย ทำให้เขาระแวงมาก


“ผมเป็นใครน่ะไม่สำคัญหรอก ผมแค่อยากถามว่าคุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเธอ ถ้าคุณไม่ชอบเธอ ทำไมถึงไปไหนต่อไหนกับเธอ แถมสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ให้เธอด้วย?” เจิ้งหยางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับผู้พิพากษาที่กำลังตัดสินความเป็นความตายของอาชญากร


หลังจากได้ผ่านทุกอย่างมา เขาก็ไม่ใช่เจิ้งหยางคนเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าซูเฟยเฟยคือเศษเสี้ยวของความหลังเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขา เป็นความฝันอันไร้เดียงสาในวัยเยาว์ เขาคงจะไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรก


เชียงเก่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมมีใจให้เธอ ไม่อย่างนั้น ด้วยตัวตนของผม ทำไมผมจะต้องยอมลดตัวลงมาพำนักอยู่ในอาณาจักรไร้ขั้นกระจอกงอกง่อยแบบนี้?”


เขารู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่นั่งอยู่กับสาวน้อยที่วางยาเขา และรู้ด้วยว่าไม่อาจมองทะลุวรยุทธของชายหนุ่มได้ อีกอย่าง ข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายเก่งกาจพอจะทำลายพลังปราณของเขาได้ก็บ่งบอกแล้วว่าหมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา


ทั้งหมดนี้ทำให้เชียงเก่อรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอจะรับมือกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า


“คุณมีใจให้เธอ?” เจิ้งหยางคำราม “ถ้าคุณมีใจให้เธอ แล้วขอให้เธอสละชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของคุณได้อย่างไร?”


ถ้าทั้งคู่มีใจให้กันจริงๆ เรื่องนี้ก็จบ อีกอย่าง เขาก็ตัดใจจากซูเฟยเฟยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเธออีก


แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับเห็นชีวิตของซูเฟยเฟยมีค่าเพียงเพื่อให้เขาอยู่รอด อันที่จริง ในดวงตาของเขาไม่มีแววของความปรานีหรือเสียอกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้เจิ้งหยางโมโหเดือด


ขุนนางจากจักรวรรดิแห่งหนึ่งเข้ามาที่อาณาจักรไร้ขั้นเพื่อสร้างคฤหาสน์ใหญ่โต ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก เขาก็จะต้องมีเรื่องอื่นในใจ


“ผมรักเธอจริงๆ…” เชียงเก่อรีบอธิบาย


“อย่าโกหกผม คุณไม่แข็งแกร่งพอจะทำแบบนั้นหรอก” เจิ้งหยางพูดแทรกขณะดีดนิ้ว


“อ๊ากกกกก!”


เชียงเก่อร้องโหยหวน เขาทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เหงื่อไหลโชกทั่วตัว


มันเป็นเวลาแค่พริบตาเดียว แต่นั่นก็ทำให้เขารู้แล้วว่าช่องว่างระหว่างตัวเขากับชายหนุ่มคนนี้ไม่อาจเชื่อมถึงกันได้ เพียงแค่อีกฝ่ายใช้ความคิดแวบเดียว ก็คงฆ่าเขาได้แล้ว


“คุณเป็นใคร? เราสองคนเคยมีความขัดแย้งอะไรกันมาก่อนหรือ? ถ้าคุณอยากได้เธอ ผมมอบเธอให้คุณได้เลยนะ!” เชียงเก่อตะโกนก้องขณะชี้นิ้วไปที่ซูเฟยเฟยอย่างคลุ้มคลั่ง


เขาสามารถเสียสละได้แม้แต่คนที่เขารักเมื่อมีชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน นับประสาอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่ได้มีใจให้


“มอบเธอให้ผม?” เจิ้งหยางมีสีหน้าเย็นชากว่าเดิม “แสดงว่าในสายตาของคุณ เธอไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเครื่องอำนวยความสะดวก คุณเห็นเธอเหมือนเหรียญอันหนึ่งที่คุณจะมอบให้ใครก็ได้ตามแต่ใจคุณต้องการ เพื่อให้ชีวิตของคุณอยู่รอดปลอดภัยใช่ไหม?”


“ผม…” ฟันของเชียงเก่อกระทบกันกึกกักด้วยความหวาดกลัว


ขณะที่กำลังโมโหเดือด เจิ้งหยางปกปิดรังสีของเขาไว้ไม่มิด ทำให้เชียงเก่อรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับอสูรดุร้าย เพียงแค่ใช้ความคิด อีกฝ่ายก็คงเล่นงานเขาจนยับเยินได้ คงแทบไม่เหลือซากหรือร่องรอยให้เห็น


ก่อนจะเข้ามาผูกสัมพันธ์กับซูเฟยเฟย เขาได้สืบเสาะภูมิหลังของเธอมาแล้ว ในฐานะผู้ที่เกิดและเติบโตในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ไม่มีทางที่เธอจะไปรู้จักมักคุ้นกับบุคคลที่ทรงอำนาจขนาดนี้!


“เขา…”


ขณะที่เชียงเก่อหวาดกลัวแทบจะขาดใจ ซูเฟยเฟยก็จังงังจนพูดไม่ออก


เมื่อ 1 ปีก่อน เจิ้งหยางคือคนธรรมดาสามัญที่แม้แต่คนอย่างเธอก็สามารถเขี่ยทิ้งและเหยียบย่ำได้ แต่เพียง 1 ปีต่อมา ดูเหมือนสถานภาพของเธอกับเขาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


แม้แต่เชียงเก่อซึ่งเป็นบุคคลที่แม้แต่ฮ่องเต้เสิ่นจุ้ยยังไม่กล้าต่อต้าน ก็ยังหวาดกลัวเจิ้งหยางจนแทบจะขาดใจ…


ตอนนี้เจิ้งหยางทรงพลังขนาดไหน?


เห็นเชียงเก่อใกล้ตายเต็มทีเพราะแรงกดดันของเจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียนเดินเข้ามา เธอยืดหลังบิดขี้เกียจขณะตั้งข้อสังเกตยิ้มๆ “ท่านอาจารย์จะต้องเดือดแน่ถ้าคุณทำอะไรเกินเลย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”


ได้!”


ได้ยินคำนั้น เจิ้งหยางถอนรังสีของเขาออก ก่อนจะลดสายตาลงมองเชียงเก่ออีกครั้ง เขาหรี่ตาและพูดว่า “ผมต้องการเฉพาะความจริง เพราะฉะนั้น อย่าบังอาจเล่นเกมกับผม ผู้ที่เพิ่งวางยาคุณน่ะเป็นศิษย์น้องของผมเอง ถ้าผมจับโกหกคุณได้ ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องให้ศิษย์น้องทำการค้นหาจิตวิญญาณของคุณ!”


“ศิษย์น้อง?”


เชียงเก่อตัวสั่นขณะรีบหันไปมองเว่ยหรูเหยียน เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ ร่างของเขาแข็งทื่อไปทันที


ถ้าแม้แต่ศิษย์น้องยังทรงพลังขนาดนี้ ศิษย์พี่จะขนาดไหน?


“บอกมา! คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?” เจิ้งหยางจ้องหน้าเชียงเก่ออย่างเย็นชาขณะปล่อยประกายสีน้ำเงินวาบออกจากปลายหอกของเขา


อันที่จริง ต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาการค้นหาจิตวิญญาณ เขาก็มีอีกร้อยแปดวิธีที่จะบีบบังคับอีกฝ่ายให้คายความจริง


เขาคงไม่ได้เป็นหัวหน้าสภายอดขุนพลหากไม่มีวิธีการสอบสวนที่เหมาะสม!


เห็นประกายสีน้ำเงินที่ปลายหอก เชียงเก่อรู้สึกราวกับมีใครสักคนยึดพลังปราณของเขาไว้แล้วทำลายมันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งตัว


เพียงแค่มองประกายสีน้ำเงินนั้นก็ทำเอาเขาผวาแล้ว เขาจินตนาการไม่ถูกเลยว่าความทุกข์ทรมานที่ได้รับจะรุนแรงขนาดไหนหากสิ่งนั้นทิ่มแทงเข้าสู่ร่างของเขา


เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางหนีพ้น เชียงเก่อกัดฟันก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “ผมคืออวิ๋นเชียง, นักล่าสมบัติ ผมเดินทางตระเวนไปทั่วอาณาจักรไร้ขั้นต่างๆมาหลายปีแล้วเพื่อเสาะหาทรัพย์สมบัติล้ำค่าทุกชนิด สุดท้าย ความพยายามของผมก็นำผมมาที่นี่!”


“นักล่าสมบัติ?”


เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนสบตากันก่อนจะพยักหน้า


พวกเขาเคยได้ยินชื่ออาชีพนี้มาก่อน และตระกูลนักล่าสมบัติที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตระกูลอวิ๋น


เหล่านักล่าสมบัติมีวิธีการอันน่าทึ่งที่จะทำให้พวกเขาระบุตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์สมบัติที่ถูกซ่อนไว้ได้ ทำให้กลายเป็นอาชีพที่มั่งคั่งที่สุดอาชีพหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์


“ผมตรวจจับคลื่นความสั่นสะเทือนอย่างน่าทึ่งของพลังงานได้จากสถานที่ที่ซูเฟยเฟยอาศัยอยู่ จึงคิดว่าจะต้องมีของล้ำค่าอันทรงพลังซุกซ่อนอยู่แน่” อวิ๋นเชียงอธิบาย “ความคิดแรกของผมคือซื้อบ้านหลังนั้น แต่ผมก็สลัดมันทิ้งไปเพราะรู้ว่าจะดูน่าสงสัยมากหากคนนอกอย่างผมเข้ามาซื้อบ้าน หลังหนึ่งในอาณาจักรไร้ขั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกอย่าง…การล่าสมบัติเป็นกระบวนการระยะยาว จึงเสี่ยงกับการที่พฤติกรรมใดๆที่ผิดปกติของผมจะดึงดูดความสนใจของใครต่อใครและทำให้ผมเกิดปัญหา ดังนั้นผมจึงใช้ซูเฟยเฟยบังหน้าเพื่อดำเนินกิจการของผมต่อไป”


“เมื่อมีความสัมพันธ์ของเราสองคนคอยปกป้องอยู่ ผมก็ซื้อบ้านทุกหลังในบริเวณนี้ได้โดยไม่มีปัญหา จากนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าผมจะทำการค้นหาสมบัติได้อย่างเป็นส่วนตัว ผมจึงตัดสินใจสร้างคฤหาสน์หลังมหึมาขึ้นที่นี่”


อย่างคำพูดที่ว่ากันว่า ‘อันตรายจะเข้าหาผู้ที่โอ้อวดความมั่งคั่งของตัวเอง’ จริงอยู่ว่าความแข็งแกร่งของเชียงเก่อจัดว่าไม่มีใครในอาณาจักรเทียนเซวียนเทียบได้ แต่ข่าวคราวการปรากฏของ ทรัพย์สมบัติล้ำค่าย่อมดึงดูดเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทั้งทวีปให้เข้ามา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ใช้พละกำลังของทั้งตระกูลก็ไม่น่าจะครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของตัวเองได้


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้การแต่งงานเป็นข้ออ้างเพื่อซื้อบ้านทุกหลังในบริเวณนั้น แล้วสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ขึ้นก่อนจะติดตั้งค่ายกลคุ้มกันทุกชนิดไว้ในพื้นที่


ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่มีใครสงสัย


“คุณบอกว่าคุณชอบฉัน…แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก คุณทำลงไปเพื่อจะได้เสาะหาทรัพย์สมบัติที่ซ่อนอยู่ภายใต้บ้านของฉันใช่ไหม?” คำพูดเหล่านั้นทำให้ซูเฟยเฟยหน้าซีดเผือด เธอเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น


ในครั้งนั้น เธอถูกหว่านล้อมด้วยคำหวานป้อยอและความมั่งคั่งอย่างมหาศาลของอีกฝ่าย เธอเคยคิดว่าตัวเองใช้เสน่ห์จับเขาไว้ได้อยู่หมัด แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการไม่เคยเป็นตัวเธอ แต่เป็นทรัพย์สมบัติที่ซุกซ่อนภายใต้บ้านที่เธออาศัยอยู่


ตอนที่ 1861 แผ่นหินน่าสะพรึง

รู้ตัวดีว่ายิ่งอยู่ห่างจากซูเฟยเฟยได้มากเท่าไหร่ก็ย่อมดีที่สุด อวิ๋นเชียงพึมพำ “คุณน่ะโลภมาก แถมหน้าตาก็แสนจะธรรมดา คุณคิดจริงๆหรือว่าจะครองหัวใจของผมได้? ถ้าไม่ใช่เพราะมีทรัพย์สมบัติอยู่ใต้บ้านของคุณล่ะก็ ไม่มีทางที่ผมจะทนอยู่กับคุณจนถึงตอนนี้หรอก!”


“พอที!” เจิ้งหยางพูดพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ


พลั่ก!


อวิ๋นเชียงถูกโจมตีเข้าอย่างจังที่หน้าอก เขากระเด็นไปก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เลือดซึมออกจากมุมปาก


“คุณแค่ตอบในสิ่งที่ผมอยากรู้ก็พอ” เจิ้งหยางพูดอย่างเย็นชา “อะไรที่นอกเหนือจากนั้นถือว่าเสียเวลาของผม!”


“ดะ-ได้” อวิ๋นเชียงระงับความเจ็บปวดไว้ จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าได้พูดออกไปชัดเจนแล้วว่าตัวเขาไม่มีเยื่อใยใดๆกับซูเฟยเฟย “ผมไม่รู้จักหน้าตาของทรัพย์สมบัตินั้น แต่จากการทำงานตลอดปีที่ผ่านมาก็ถือว่าเข้าใกล้เป้าหมาย ทว่าปราการที่โอบล้อมทรัพย์สมบัตินั้นไว้แข็งแกร่งมาก ผมทำลายมันไม่ได้เพราะวรยุทธยังอ่อนด้อย…”


เจิ้งหยางขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “พาผมไปที่นั่นสิ!”


การที่ใครคนหนึ่งจากตระกูลนักปราชญ์อวิ๋นจะลงทุนลงแรงขนาดนี้เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติมา ก็แน่นอนว่าทรัพย์สมบัตินั้นย่อมไม่ธรรมดา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรไปดูสักหน่อย


“ได้” อวิ๋นเชียงพยักหน้า


ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะกล้าขัดใจ


เจิ้งหยางคลายแรงกดดันที่กดทับร่างของอวิ๋นเชียงไว้ ภายใต้การนำของอีกฝ่าย พวกเขาเข้าสู่คฤหาสน์ ส่วนซูเฟยเฟย, เธอยืนนิ่งและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามไป


ทันทีที่เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนเข้าสู่คฤหาสน์ สิ่งแรกที่พวกเขารับรู้ก็คือค่ายกลปิดกั้นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกติดตั้งไว้โดยรอบ คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าคฤหาสน์นี้ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการ ทุกอย่างที่อยู่ภายในไม่อาจหลุดรอดออกมาภายนอกได้


เมื่อเดินหน้าต่อไป ไม่ช้าพวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าห้องโถงโอ่อ่าห้องหนึ่ง เมื่อผลักประตูให้เปิดออก ก็เห็นหลุมขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า มีโครงกระดูกสีขาวกองใหญ่กลาดเกลื่อนอยู่โดยรอบ เกิดเป็นภาพน่าสยดสยอง


“คุณฆ่าผู้คนมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติหรือ?” เจิ้งหยางหรี่ตา เจตนาสังหารแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา


ความรับผิดชอบของสภายอดขุนพลไม่ได้มีเพียงการกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่รักษาความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขของมวลมนุษย์ด้วย การที่เขาสังหารผู้คนมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติมา…ถือเป็นสิ่งที่ขัดกับจริยธรรมของสภายอดขุนพลเป็นอย่างยิ่ง


“มะ-ไม่ใช่ ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขานะ! คนพวกนี้คือคนงานที่ผมจ้างมา ทุกคนมีหน้าที่ขุด แต่ไม่ช้า เมื่อพวกเขาขุดเจอแผ่นหิน รังสีชนิดหนึ่งที่ถูกปล่อยออกมาก็ทำให้ทุกคนตายทันที ผมเกรงว่าจะทำให้ใครๆสงสัย จึงเก็บศพของพวกเขาไว้จนเหลือแต่กระดูกและทิ้งไว้ที่นี่!” อวิ๋นเชียงละล่ำละลักอธิบาย


“ผมได้จ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวของคนงานเหล่านี้อย่างสมน้ำสมเนื้อแล้ว ถึงผมจะอยากได้ทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าสังหารผู้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้มันมาหรอก…”


“แผ่นหิน?” รู้ดีว่าถึงอย่างไรคนงานเหล่านี้ก็ตายไปแล้ว การรื้อฟื้นเรื่องราวย่อมทำได้ยาก เจิ้งหยางจึงตัดสินใจมองข้ามไปและซักไซ้ข้อสงสัยอื่นๆต่อ


“มันอยู่ที่ก้นหลุม ผมส่งทหารกล้า 10 นายลงไปตรวจสอบมัน แต่ทุกคนตายทันทีที่เข้าถึงบริเวณที่มีแผ่นหินอยู่ ผมจึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นเชียงอธิบายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ


เขาเคยคิดว่าตัวเองพบขุมสมบัติก้อนใหญ่ แต่ใครจะไปรู้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขาก็ถลำตัวเข้าสู่เรื่องนี้ลึกเกินไปจนไม่อาจถอยกลับไปมือเปล่าได้แล้ว


ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจจะเข้าไปสำรวจแผ่นหิน อวิ๋นเชียงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าพบเสิ่นจุ้ย เพื่อหวังว่าจะขอกองกำลังทหารกล้าจำนวนหนึ่งจากเขา เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ เขานึกไม่ถึงว่าจะมาสะดุดเข้ากับผู้เชี่ยวชาญ 2 คนหลังจากที่ออกจากคฤหาสน์มาได้เพียงไม่นาน


“ลงไปดูกันเถอะ!” เมื่อได้รู้ว่าแผ่นหินแผ่นหนึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากมาย เจิ้งหยางยิ่งอยากรู้มากขึ้น


“เอ่อ…วรยุทธของผมยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ผมจะให้คุณสองคนลงไปก็แล้วกัน…” อวิ๋นเชียงหน้าซีด


แน่นอนว่าเขาไม่กล้าลงไปในหลุมด้วยตัวเอง เพราะกลัวว่าจะตายเหมือนกับคนอื่นๆที่ตายไปแล้วก่อนหน้า


“หุบปากแล้วเดินต่อ!” เว่ยหรูเหยียนคำราม เธอโบกมือ แล้วอวิ๋นเชียงก็ถูกโยนลงไปในหลุม ก่อนที่เขาจะทันได้แหกปากโหยหวน


จากนั้น เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนก็กระโจนลงไป


หลุมนั้นลึกหลายร้อยเมตร มีไข่มุกกระจ่างราตรีมากมายติดตั้งไว้รอบๆ ทำให้ภายในสว่างไสวราวกับเวลาเช้าตรู่


ทันทีที่ถึงก้นหลุม เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนก็สำรวจโดยรอบทันที ไม่ช้า ใบหน้าของทั้งคู่ก็ปรากฏรอยย่น


“รังสีนี้ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย!” เจิ้งหยางพูดหลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง


“มันเป็นรังสีของนักปราชญ์โบราณ” เว่ยหรูเหยียนเสริม เธอหันไปถามอวิ๋นเชียงที่อยู่ข้างๆ “แผ่นหินนั่นอยู่ที่ไหน?”


“มันอยู่ข้างล่างนั่น…” อวิ๋นเชียงกลืนน้ำลายด้วยความตื่นตระหนก เขาชี้นิ้วไปตรงหน้า


รู้ดีว่ามีบางอย่างที่กระหายเลือดอยู่ที่นี่ เจิ้งหยางสูดหายใจลึกและกวัดแกว่งหอกของเขา


ฟึ่บ!


เขาสะบัดข้อมือเบาๆ แล้วทรายกองหนึ่งก็ถูกกวาดออกไป เผยให้เห็นแผ่นหินขนาดใหญ่


มีอักษรจารึกที่ดูลึกลับและอ่านไม่ออกอยู่บนแผ่นหินนั้น มันแผ่เจตนาสังหารออกมา เพียงแค่มองดูแผ่นหินก็มากพอจะทำให้ใครสักคนปวดหัวตึ้บแล้ว


รังสีของนักปราชญ์โบราณที่ทั้งคู่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้ก็มาจากแผ่นหินที่ตั้งอยู่


“นี่คือแผ่นหินที่ผมพูดถึง นายท่าน, ผมออกจะอ่อนด้อยเกินไปสักหน่อยสำหรับมัน ขอตัวก่อนนะ” อวิ๋นเชียงปากสั่น เขารีบหันหลังกลับและเผ่นหนีอย่างพรั่นพรึง


แต่หลังจากเผ่นไปได้เพียง 2 ก้าว ร่างของเขาก็พลันแข็งทื่อ ไม่ว่าจะกระเสือกกระสนดิ้นรนแค่ไหนก็ก้าวต่อไม่ได้อีกแม้ก้าวเดียว


“มีพวกเราอยู่ คุณไม่มีทางเป็นอะไรหรอก แต่ถ้าเราตายล่ะก็ จะไม่มีใครถอนพิษให้คุณ แล้วคุณก็จะตายนะ” เว่ยหรูเหยียนเปรยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


อวิ๋นเชียงแทบปล่อยโฮ


อีกฝ่ายพูดถูก เพราะเขาถูกวางยาพิษร้ายแรง หากทั้งคู่ตาย เขาก็จะตายเป็นคนถัดไป ต่อให้หนีไปแล้วก็เถอะ


“ผมจะเข้าไปดู!”


เจิ้งหยางสูดหายใจลึก เขาถือหอกคุ้มกันไว้ด้านหน้าก่อนจะเดินเข้าหาแผ่นหินอย่างระแวดระวัง


ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงแผ่นหิน ก็พลันรู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารเข้มข้นที่พุ่งเข้าหาเขา ดูเหมือนพยายามจะฉีกร่างของเขาให้แยกเป็น 2 ส่วน


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังระดับนี้ นักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนก็ตามคงจะถูกแรงกดดันมหาศาลเล่นงานจนพ่ายแพ้ แต่เจิ้งหยางเป็นนักปราชญ์โบราณ อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสภายอดขุนพลด้วย เขาผ่านการบ่มเพาะสภาวะจิตมาแล้ว ทำให้มีความทนทานอย่างน่าทึ่งต่อปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ต่อให้เจตนาสังหารจะเข้มข้นแค่ไหน มันก็ไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา


เจิ้งหยางเดินเข้าหาแผ่นหิน รู้สึกได้ว่ามันเรืองแสงอบอุ่นออกมา ราวกับระยะเวลาหลายหมื่นปีที่มันถูกฝังอยู่ใต้ดินไม่ได้สร้างความเสียหายให้มันแม้แต่น้อย อักษรจารึกที่อยู่บนนั้นยังแจ่มชัดราวกับเพิ่งถูกฝังใหม่ๆ


เจิ้งหยางไล้ปลายนิ้วไปตามอักษรจารึกที่เห็น เขาส่ายหน้า “นี่เป็นตัวอักษรจากยุคโบราณ ผมอ่านไม่ออก!”


ด้วยความรู้ของเขาที่มีจำกัด เขาไม่อาจทำความเข้าใจอักษรจารึกพวกนี้ ถ้าท่านอาจารย์อยู่ด้วย ก็คงจะได้รู้อะไรขึ้นมาบ้าง


เห็นเจิ้งหยางกล้าแตะแผ่นหิน ฟันของอวิ๋นเชียงกระทบกันกึกกักด้วยความพรั่นพรึง


ทั้งเหล่าคนงานและทหารกล้าที่เขาส่งลงมาล้วนแต่เสียชีวิตทั้งที่ยืนห่างจากแผ่นหินออกไปไม่น้อย แต่ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้าหามัน แถมยังใช้มือแตะมันโดยตรงด้วย เขาจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


ทำไมจู่ๆนักรบผู้ไร้เทียมทานถึงปรากฏตัวในเมืองกระจอกงอกง่อยอย่างอาณาจักรเทียนเซวียน?


เดี๋ยวก่อน เขารู้จักซูเฟยเฟย เขาใช้หอก และศิษย์น้องของเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษ… หรือว่าพวกเขาคือ…


อวิ๋นเชียงตัวแข็งขึ้นมาทันทีเมื่อ 2 ชื่อปรากฏขึ้นในหัวของเขา


แม้ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เขาจะไม่ได้อยู่ในตระกูล แต่ก็ไม่มีใครในโลกที่จะไม่รู้วีรกรรมของชายหนุ่มผู้เป็นตำนานและศิษย์สายตรงอีกมากมายของเขา


เมื่อลองนึกดู…ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีรกรากอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน


หรือว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่สภายอดขุนพลเคยมี, หัวหน้าเจิ้ง


เขารู้ว่าหัวหน้าสภายอดขุนพลคนใหม่ใช้แซ่เจิ้ง แต่ไม่แน่ใจว่าชื่อเต็มของอีกฝ่ายคืออะไร แต่เมื่อคิดให้ดี ก็ดูเหมือนจะพอนึกออกว่าชื่อเต็มของเขาคือเจิ้งหยาง…


ผู้หญิงบ้านๆอย่างซูเฟยเฟยคือสเปคของหัวหน้าสภายอดขุนพลหรือ?


เอ่อ…


เหงื่อไหลเป็นทางลงจากศีรษะของอวิ๋นเชียงขณะที่ปากคอของเขาแห้งผาก เขารู้สึกว่าตัวเองพร้อมจะเป็นลมได้ทุกขณะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)