อัจฉริยะสมองเพชร 1854-1857

 ตอนที่ 1854 สาวน้อยผู้พลาดโอกาส

ที่อีกฟากหนึ่งของรอยแยกแห่งมิติคือฉนวนในอาณาจักรใต้ดิน ทั้งกลุ่มก้าวข้ามฉนวน กลับคืนสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาอีกครั้งเพื่อเปิดรอยแยกแห่งมิติอีกรอยหนึ่ง


ราว 10 นาทีต่อมา พวกเขาก็อยู่บนน่านฟ้าเหนืออาณาจักเทียนเซวียน


เมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียนดูสงบสุขมาก ผู้คนที่เดินไปมาอยู่ตามถนนไม่อาจรู้เลยว่าผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้กลุ่มหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่เหนือพวกเขา


เมื่อร่อนลงจากท้องฟ้า จางเซวียนกับพรรคพวกเดินเข้าสู่เมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียนก่อนจะเข้าไปที่โรงเรียนหงเทียนเพียง 1 ปีกว่าที่พวกเขาจากมา แต่ที่นี่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไม่น้อยที่ผ่านมา มันรองรับนักเรียนได้อย่างมากก็สี่หมื่นคน แต่ด้วยขนาดของโรงเรียนหงเทียนในตอนนี้ ต่อให้รับนักเรียนสี่แสนคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


“เร็วเข้า! วันนี้อาจารย์ลู่ฉวินจะเปิดการบรรยาย ถ้ามัวชักช้าอยู่แบบนี้น่ะจะไปไม่ทันนะ!”


“ผมคิดว่าเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวและยังต้องใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธอยู่เสียอีก”


“ต่อให้เขาจะคิดอะไรอยู่ก็เถอะ แต่โอกาสที่พวกเราจะได้เข้าชั้นเรียนของปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวก็ถือว่ายากเต็มทีนะ แน่นอนว่าการบรรยายของเขาจะต้องมีประโยชน์กับวรยุทธของพวกเรามาก สมัยก่อน ผมเคยเข้าฟังการสอนของปรมาจารย์จาง แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยัง ส่งผลดีต่อผมจนถึงวันนี้”


“เดี๋ยวก่อน คุณเคยเข้าเรียนในชั้นเรียนของปรมาจารย์จางด้วยหรือ?”


“แน่นอน! หลี่น้อย คุณเพิ่งเข้ามาที่นี่ในปีนี้ คงไม่เคยได้ยินชื่อของเขา ปรมาจารย์จางน่ะเป็นอาจารย์ที่โด่งดังที่สุดในโรงเรียนหงเทียนของเราเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ในครั้งนั้น ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนยิ่งกว่าอาจารย์ลู่ฉวินเสียอีก!”


…..


ขณะที่จางเซวียน จ้าวหย่า กับคนอื่นๆกำลังเดินชมรอบๆโรงเรียนนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็รีบร้อนเดินผ่านไป


ทั้งกลุ่มได้ปลอมตัวเล็กน้อยก่อนจะเข้าเมืองหลวง จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครจดจำพวกเขาได้ อีกอย่าง ทุกคนก็จากโรงเรียนหงเทียนไปกว่า 1 ปีแล้ว จึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้พบพวกเขาที่นั่น


ได้ยินชื่อที่คุ้นหู จางเซวียนยิ้มพร้อมกับตั้งข้อสังเกต “ลู่ฉวินเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวแล้วหรือ? เร็วไม่เบา…”


ลู่ฉวินเคยเป็นอาจารย์ที่ได้รับความเคารพยกย่องสูงสุดในโรงเรียนหงเทียนเมื่อตอนที่จางเซวียนทะลุมิติมายังโลกใบนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่หวังหยิ่งกับจ้าวหย่าก็อยากเข้าชั้นเรียนของเขา แต่ลงท้ายก็ถูกจางเซวียนตัดหน้า


ในตอนนั้น ลู่ฉวินเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาสามัญ ยังห่างไกลนักจากการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว แต่ในชั่วพริบตา เขาก็เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวแล้ว


บางที ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆก็ว่องไวอย่างน่าประหลาด


“ท่านอาจารย์ พวกเราควรไปฟังเสียหน่อยไหม?” จ้าวหย่าถามยิ้มๆ


จางเซวียนพยักหน้า


ในเมื่อนี่เป็นชื่อคุ้นหูชื่อแรกที่พวกเขาได้ยินนับตั้งแต่กลับมา ก็แน่นอนว่าควรจะไปพบปะอีกฝ่ายเสียหน่อย แม้ในอดีตทั้งสองจะเคยขัดแย้งกัน แต่ลงท้ายก็คลี่คลายไปได้ สำหรับจางเซวียน ในเวลานี้เรื่องนั้นเป็นแค่ความทรงจำที่น่าสนใจเมื่อนึกย้อนกลับไป


ทุกคนเดินตามฝูงชนไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องประชุม ที่นั่น พวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีสูงด้วยท่วงท่าสง่างาม


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่ฉวิน


ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ลู่ฉวินได้ฝึกฝนวรยุทธจนมีรังสีที่เป็นเอกลักษณ์ เขาสวมเสื้อคลุมปรมาจารย์ที่มีดาว 2 ดวงกลัดติดอยู่บนหน้าอก บ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว


ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่มีทางเลยที่จะพบปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวในอาณาจักรเทียนเซวียน


“พวกคุณ…”


ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังจะเข้าใกล้เวทีมากขึ้นอีกหน่อย สาวน้อยคนหนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าและเข้าขวางทาง


รูปร่างหน้าตาของเธอบ่งบอกว่าเธอยังเป็นวัยรุ่น สาวน้อยแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีเขียว มีความถือดี อยู่ในสีหน้าของเธอ ดูคล้ายคลึงกับจ้าวหย่าในอดีต


ทั้งกลุ่มมองหน้ากันด้วยความงุนงงกับทีท่าของสาวน้อย ก่อนที่หวังหยิ่งจะก้าวออกไปทักทายพร้อมกับยิ้มให้


“พวกเรารู้มาว่าอาจารย์ลู่ฉวินจะเปิดการบรรยาย จึงอยากมาเข้าฟัง…”


“ถ้าพวกคุณอยากเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ลู่ จะต้องแสดงตราสัญลักษณ์นักเรียนหรือไม่ก็จ่ายเหรียญทองมาคนละ 2 เหรียญนี่ไม่ใช่ค่าผ่านประตู แต่เป็นสิ่งตอบแทนที่ปรมาจารย์คนหนึ่งสมควรได้รับสำหรับการให้ความรู้ของเขา” สาวน้อยพูดขณะยื่นมือออกมาเพื่อเรียกร้องค่าตอบแทน


“เหรียญทอง?” จางเซวียนกับคนอื่นๆชะงัก


ถึงเหล่าปรมาจารย์จะสูงส่งแค่ไหน แต่พวกเขาก็ต้องหาเลี้ยงปากท้องเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะเรียกร้องค่าตอบแทนสำหรับการเปิดการบรรยาย


จางเซวียนกับพรรคพวกออกจากโรงเรียนหงเทียนไปนานแล้ว จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะยังคงมีตราสัญลักษณ์นักเรียนอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่อยากจ่ายค่าธรรมเนียม แต่มันออกจะยากเย็นอยู่สักหน่อยที่จะทำแบบนั้น


เพราะแม้แต่ข้าวของที่มีมูลค่าน้อยที่สุดในแหวนเก็บสมบัติของจางเซวียนก็ยังเป็นหินวิเศษขั้นสูงสุด สิ่งอื่นที่มีมูลค่าด้อยกว่านั้นไม่ควรค่าแก่การที่เขาจะใส่ใจ นับประสาอะไรกับเหรียญทองที่ใช้กันทั่วไปในอาณาจักรไร้ขั้น


“พวกเราไม่มีตราสัญลักษณ์นักเรียนหรือเหรียญทองอยู่กับตัว…แต่ผมพอมียาเม็ดอยู่บ้าง คุณพอจะยกเว้นให้พวกเราได้ไหม?”


หลังจากควานหาในแหวนเก็บสมบัติอยู่นาน ในที่สุดจางเซวียนก็นำยาเม็ดเกรดต่ำสุดที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติของเขาออกมาส่งให้


“ยาเม็ดหรือ?” สาวน้อยตาโตด้วยความประหลาดใจ


แม้แต่ทรัพยากรที่ท่านอาจารย์มักมอบให้เธออยู่เสมอก็เป็นแค่ยาลูกกลอนทั่วไปเท่านั้น ยาเม็ดถือเป็นทรัพยากรชั้นยอดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ พวกมันมีชื่อเรียกเฉพาะ และแต่ละชนิดก็ล้วนแต่ล้ำค่า ทั้งกลุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่มีปัญญาจ่ายเหรียญทอง แต่มียาเม็ดอยู่ในครอบครองหรือ?


สาวน้อยนำยาเม็ดไปจากมือของจางเซวียนและพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน รอยย่นค่อยๆปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเธอ


ในสายตาของเธอ ยาเม็ดนั้นดูเรียบง่ายและธรรมดาสามัญมากหน้าตาของมันตรงกันข้ามกับยาเม็ดที่มีพลังงานแผดกล้าที่เธอเคยเห็นมา ดูเหมือนว่ายาเม็ดที่อยู่ในมือของเธอคงเป็นแค่สมุนไพรจำนวนหนึ่งที่นำมาหลอมรวมกันเท่านั้น


“พวกคุณคิดว่ากำลังปั่นหัวใคร? สิ่งนี้เรียกว่าเป็นยาเม็ดได้ด้วยหรือ? คุณเห็นฉันเป็นไอ้บ้านนอกคอกนาใช่ไหม?” สาวน้อยคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


เธออาจอายุยังน้อย แต่ก็เคยเห็นยาเม็ดมาแล้ว ในครั้งนั้น นักปรุงยาคนหนึ่งได้ตั้งใจนำยาเม็ดมามอบให้ท่านอาจารย์ของเธอเป็นพิเศษเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี ซึ่งเธอบังเอิญได้อยู่ด้วยตอนที่นักปรุงยาผู้นั้นนำยามามอบให้ ทันทีที่ฝาขวดหยกถูกเปิดออกกระแสพลังจิตวิญญาณก็พวยพุ่งออกมาทันที ทำให้ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกถึงความสดชื่นกระชุ่มกระชวยอย่างน่าทึ่ง


แต่ยาเม็ดที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในขวดหยก ไม่เพียงเท่านั้น ยังไม่มีกระแสพลังจิตวิญญาณแม้แต่น้อยแผ่ซ่านออกจากตัวมัน


พวกคุณเรียกสิ่งนี้ว่ายาเม็ดจริงๆหรือ? ล้อเล่นแล้วล่ะ!


ถ้าคุณคิดว่าจะใช้การปลอมแปลงยาเม็ดแบบงี่เง่านี่หลอกลวงฉันเพื่อแลกกับเหรียญทอง 14 เหรียญได้ล่ะก็ เข้าใจผิดอย่างสาหัสแล้วล่ะ!


เห็นสีหน้าโกรธขึ้งของสาวน้อย หวังหยิ่งรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นมูลค่าของยาเม็ด จึงรีบอธิบาย “นี่คือยาเม็ดจริงๆนะ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังช่วยเยียวยาวรยุทธของคุณได้ด้วย มูลค่าของมันน่ะสูงกว่าเหรียญทองอย่างแน่นอน…”


“ฉันต้องการเหรียญทองเท่านั้น ไม่ต้องการยาเม็ดพวกนี้!” สาวน้อยคำรามอย่างหงุดหงิดขณะโยนยาเม็ดคืนให้จางเซวียน


“คือ…” จางเซวียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


ด้วยความมั่งคั่งของเขาในเวลานี้ แม้แต่ยาเม็ดที่เขาหยิบออกมาจากแหวนเก็บสมบัติอย่างส่งๆก็สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เขามอบมันให้สาวน้อยเพื่อทดแทนเหรียญทอง 14 เหรียญที่เป็นค่าธรรมเนียม แต่อีกฝ่ายกลับคิดว่าเขาเป็นพวกต้มตุ๋น


เห็นท่านอาจารย์ของเธอถูกเรียกว่าพวกต้มตุ๋น หวังหยิ่งนำสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ “ในเมื่อคุณไม่ต้องการยาเม็ด แล้วสมุนไพรนี่ล่ะ? มันมีค่าไม่น้อยนะ ฉันเชื่อว่าน่าจะเพียงพอชดเชยกับค่าธรรมเนียมได้”


มันคือหญ้าดวงดาวเย็นเยือก อายุ 500 ปี!


แน่นอนว่าในฐานะประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ไม่มีทางที่เธอจะมีเหรียญทองอยู่กับตัว


“คุณจะจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยต้นหญ้าต้นนี้หรือ? อย่าคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยโง่เง่าเพียงเพราะฉันอายุยังน้อยนะ! จะบอกให้คุณรู้ไว้ว่าท่านอาจารย์ของฉันคือปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว, ลู่ฉวิน! วันนี้น่ะ ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรหรือนำสิ่งใดออกมา ถ้ายังไม่จ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเหรียญทอง 14 เหรียญล่ะก็ ฉันคงต้องขอให้พวกคุณกลับไป!”


การที่อีกฝ่ายจะล่อลวงเธอด้วยยาเม็ดปลอมก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขายังพยายาม จะตบตาเธอด้วยต้นหญ้าหน้าตาประหลาดที่เธอเองก็ไม่รู้จัก สาวน้อยหน้าตาเคร่งเครียดเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนดูถูก


“ฉัน…” หวังหยิ่งพูดไม่ออก


เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร


ด้วยสถานภาพของเธอในตอนนี้ ทุกอย่างที่พอจะควานเจอในแหวนเก็บสมบัติก็ล้วนแต่ล้ำค่าและพิเศษทั้งนั้น กว่าที่เธอจะค้นหาบางสิ่งที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับเหรียญทอง 14 เหรียญ และเป็นสิ่งที่สาวน้อยคนนี้รู้จักออกมาได้ก็ออกจะยากอยู่ไม่น้อย


“พวกคุณจะไม่จ่ายค่าธรรมเนียมใช่ไหม? เท่าที่เห็น ดูเหมือนพวกคุณก็แค่มาสร้างปัญหา!” เห็นสีหน้าอึกอักยึกยักของทั้งกลุ่ม สาวน้อยแน่ใจว่าทุกคนคือนักต้มตุ๋นหลอกลวง


เมื่อไม่อาจข่มความโมโหไว้ได้อีกต่อไป เธอหันหลังกลับและร้องเรียก “ศิษย์พี่ คนกลุ่มนี้ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ลู่ ช่วยส่งพวกเขากลับไปแทนฉันที!”


ฟึ่บ!


ครู่ต่อมา ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือหอกไว้ในมือก็เดินออกมาจากห้องใกล้ๆ


เห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้น เจิ้งหยางตัวแข็งขึ้นมาทันทีขณะที่นัยน์ตาแดงก่ำ


“โม่วเซียว นั่นคุณใช่ไหม?”


ตอนที่ 1855 โม่วเซียวท้าดวล

ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนรักของเจิ้งหยางที่เติบโตมาด้วยกัน


ในครั้งนั้น ทั้งสองเข้าสู่โรงเรียนหงเทียนอย่างฮึกเหิม สาบานต่อกันและกันว่าจะเข้าเรียนในชั้นเรียนของอาจารย์หว่างเชาและเป็นลูกศิษย์ของเขาให้ได้ สุดท้าย โม่วเซียวก็ทำสำเร็จ แต่เพราะการแสดงออกที่ล้มเหลวระหว่างการประเมิน เจิ้งหยางจึงสูญเสียโควต้าของเขาให้ซุนจ้านและลงเอยด้วยการเป็นลูกศิษย์ของจางเซวียน


ในเวลานั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะพลิกผันไปแบบนี้


ผู้ที่ผ่านการประเมินยังคงติดแหงกอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน มีชื่อเสียงเลื่องลือแค่ภายในกำแพงโรงเรียนหงเทียนเท่านั้น แต่ผู้ที่ไม่ผ่านการประเมินกลับผงาดขึ้นมาเหนือชั้นและได้เป็นหัวหน้าสภายอดขุนพล ซึ่งในแง่ของพละกำลัง มีคนเพียงไม่ถึงหยิบมือที่สามารถต่อสู้กับเขาได้


บางครั้ง แผนการที่โชคชะตาวางไว้ก็น่าพิศวงเหลือเกิน


“คุณคือ…” เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย โม่วเซียวอดขมวดคิ้วไม่ได้


ในฐานะนักปราชญ์โบราณ ถ้าเจิ้งหยางไม่ต้องการให้ใครที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าจดจำเขาได้ ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ดังนั้น ต่อให้พี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันก็จดจำเขาไม่ได้


“ผมคือเจิ้งหยาง!” เจิ้งหยางพูดขณะคลายการปลอมตัว เปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา


“เจิ้งหยาง?” ได้ยินชื่อที่คุ้นหูและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย โม่วเซียวนัยน์ตาแดงก่ำขึ้นมาทันที


ทั้งคู่ใช้ชีวิตด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งยังฝึกฝนศิลปะเพลงหอกร่วมกันด้วย กว่า 1 ปีแล้วที่พวกเขาแยกจากกัน โม่วเซียวคิดอยู่เสมอว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว ไม่นึกเลยว่าเพียงไม่นานจะได้เจอเจิ้งหยางอีก


หลังจากความตื่นเต้นบรรเทาลง โม่วเซียวตั้งคำถาม “คุณจากไปกับปรมาจารย์จางไม่ใช่หรือ? ทำไมถึง…”


ตามที่เขารู้มา จางเซวียนประสบความสำเร็จในการทดสอบเป็นปรมาจารย์ เป็นหน้าเป็นตาและความภาคภูมิใจของอาณาจักรเทียนเซวียน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เพราะอาณาจักรเทียนเซวียนแยกตัวออกจากโลกภายนอก โม่วเซียวจึงไม่รู้อะไรมากนัก


“พอดีผมว่าง จึงกลับมาพบคุณกับคนอื่นๆ” เจิ้งหยางตอบยิ้มๆ


เขาดูออกว่าอีกฝ่ายอยากรู้ว่าเขาพบเจออะไรบ้างตลอดปีที่ผ่านมาแต่ด้วยสัตย์จริง เจิ้งหยางไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายอย่างไร อีกอย่าง ก็ไม่มีใครในอาณาจักรเทียนเซวียนที่รู้เรื่องสภายอดขุนพลหรือนักปราชญ์โบราณ…


โม่วเซียวจะเข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งที่เขาพยายามอธิบายหรือเปล่า?


“เยี่ยมเลย! คุณอยู่กับปรมาจารย์จางตั้งนาน คงสำเร็จวรยุทธนักรบขั้น 8-จงซรือแล้วใช่ไหม? นานแล้วนะตั้งแต่เราดวลกันครั้งสุดท้าย ผมจะบอกให้ว่าตลอดปีที่ผ่านมาผมได้เรียนศิลปะเพลงหอกอันไร้เทียมทาน และวรยุทธของผมก็เข้าถึงระดับ 7-ทงฉวน ขั้นสูงสุดแล้ว ขอดูหน่อยเถอะว่าคุณพัฒนาไปได้แค่ไหนตลอดปีที่ผ่านมา!”


โม่วเซียวสะบัดมือและชักหอกออกจากกลางหลัง เขาชี้ปลายหอกเข้าใส่เจิ้งหยาง เจตจำนงของการต่อสู้แผ่ซ่านออกจากร่างของเขา


เขาไม่เคยพบคู่ดวลที่เหมาะสมอีกเลยตั้งแต่เจิ้งหยางจากไป และคันไม้คันมืออยากเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจเต็มที เมื่อได้เห็นเจิ้งหยางต่อหน้าต่อตา จะปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปโดยไม่สู้กันสักหน่อยได้อย่างไร?


“จงซรือ? ทงฉวนขั้นสูงสุด? ศิลปะเพลงหอก?” เจิ้งหยางไม่แน่ใจว่าควรแสดงปฏิกิริยาต่อสถานการณ์นี้อย่างไร เขามองโม่วเซียวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ทำไมเราไม่นั่งคุยกันแทนล่ะ?”


ผ่านไปเพียง 1 ปี แต่วรยุทธขั้นเหล่านั้นดูจะห่างไกลจากเขาจนแทบจดจำมันไม่ได้อีกแล้ว


“อะไรกัน? คุณกลัวหรือว่าผมจะพลั้งมือทำให้คุณได้รับบาดเจ็บ? ไม่ต้องกังวลหรอกนะ ผมควบคุมพละกำลังของผมได้ดี ผมจะยั้งมือไว้ถ้าเห็นว่าคุณใช้พละกำลังเต็มพิกัดแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแน่เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง!” โม่วเซียวหัวเราะลั่น


“เอ่อ…” เจิ้งหยางเกาหัวอย่างละอายใจ


นักปราชญ์โบราณอย่างเขาจะมาดวลกับนักรบขั้น 7-ทงฉวน จะไม่เป็นการรังแกกันเกินไปหรือ?


โม่วเซียวขมวดคิ้วเมื่อเห็นความลังเลของเจิ้งหยาง “คุณดูถูกผมใช่ไหม หรือกลัวว่าจะถูกเหยียดหยามหากพ่ายแพ้?”


“ไม่ใช่แบบนั้น…”


เห็นโม่วเซียวเข้าใจไปอีกอย่าง เจิ้งหยางไม่รู้จะทำอย่างไร เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญาก่อนจะชักหอกเล่มที่อ่อนด้อยที่สุดที่เขามีอยู่ออกมา


“เราจะดวลกันที่ไหน?”


“อ้อ? คุณมีแหวนเก็บสมบัติด้วย! ไม่เลวเลย ดูเหมือนปรมาจารย์จางจะดูแลคุณอย่างดี” เห็นหอกที่ปรากฏในมือของเจิ้งหยาง นัยน์ตาของโม่วเซียวเป็นประกายด้วยความอิจฉา เขาชี้นิ้วไปแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ของผมกำลังจะเปิดชั้นเรียนที่นี่ เราไปที่สังเวียนประลองกันเถอะ”


“เขาไม่มีแหวนเก็บสมบัติ…” เห็นช่องว่างระหว่างพวกเขา เจิ้งหยางสายหน้าอย่างขมขื่นใจ รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกัน”


ทั้งคู่ออกเดินไปยังสังเวียนประลองที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก


“ไปดูกันเถอะ!”


ในเมื่อการบรรยายยังไม่เริ่ม จางเซวียนกับคนอื่นๆจึงตัดสินใจตามไป


ในเวลาเดียวกัน เมื่อเห็นนักต้มตุ๋นกลุ่มนั้นคุ้นเคยกันดีกับศิษย์พี่ของเธอ สาวน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามไปด้วย


ทั้งเจิ้งหยางและโม่วเซียวกระโจนขึ้นไปบนสังเวียนประลองที่อยู่ใกล้ที่สุด ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาทันที


เห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกัน เจิ้งหยางรีบปกปิดรูปลักษณ์และรังสีของเขาเพื่อที่ผู้ชมจะได้ไม่ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริง


“โม่วเซียวคืออัจฉริยะเพลงหอกผู้โด่งดังในโรงเรียนของเรา ด้วยวรยุทธของเขา แม้แต่เหล่าอาจารย์และผู้อาวุโสก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้ หมอนั่นมีดีมาจากไหนถึงกล้าดวลกับโม่วเซียว?”


ผมก็ไม่รู้ ก็แค่มาดูคนถูกซ้อมเท่านั้นแหละ!”


“ฮ่าฮ่า! เหมือนผมเลย!”


ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โม่วเซียวพัฒนาตัวเองขึ้นมากภายใต้คำชี้แนะของลู่ฉวิน ไม่ว่าจะเป็นด้านวรยุทธหรือความเข้าใจในศิลปะเพลงหอก เขาเข้าถึงวรยุทธขั้นจงซรือแล้ว มีผู้คนไม่มากนักทั่วทั้งโรงเรียนหงเทียนที่เทียบชั้นกับเขาได้ นับประสาอะไรกับเจ้าหนุ่มที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้!


ส่วนลู่ฉวินก็รู้สึกได้ถึงความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้น ไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรจากเสียงพูดคุยกันในหมู่ฝูงชน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ กวาดสายตามองผู้คนที่กำลังจ้องดูการดวลด้วยความตื่นเต้นและพูดว่า “ในเมื่อพวกเขากำลังจะดวลกัน ผมก็จะใช้การดวลครั้งนี้เป็นหัวข้อในการบรรยายของผม ผมจะพูดถึงความสำคัญของศิลปะเพลงหอกที่มีต่อการต่อสู้ที่แท้จริง”


“ว้าว! นั่นคงจะเป็นการบรรยายที่น่าสนใจมาก!”


“เยี่ยมเลย ผมชอบฟังอาจารย์ลู่บรรยายเรื่องแนวคิดการต่อสู้ในเชิงปฏิบัติ”


“คงไม่มีบทเรียนไหนที่จะยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว วันนี้ถือว่าไม่สูญเปล่า!”


เมื่อได้ยินว่าลู่ฉวินจะเปิดการบรรยายเรื่องการใช้ศิลปะเพลงหอกเพื่อการต่อสู้ เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นในหมู่ฝูงชน ความตื่นเต้นถึงขีดที่เกินกว่าจะต้านทาน ทุกคนรีบหันไปมองสังเวียนประลอง


“ฮ่าฮ่า มาเลย!”


เห็นทุกสายตาจับจ้องที่เขา รวมทั้งท่านอาจารย์ของเขาด้วย โม่วเซียวรู้สึกฮึกเหิมกว่าที่เคย เขาพุ่งหอกเข้าใส่เจิ้งหยางด้วยพละกำลังเต็มพิกัด


วิ้ววววววว!


ความเร็วของหอกนั้นว่องไวมากจนผู้ชมได้ยินเสียงหวีดหวิวดังลั่นอยู่กลางอากาศ


“การโจมตีของโม่วเซียวนั้นไม่เลวเลย ท่วงท่าของเขาแม่นยำและลื่นไหลโดยปราศจากความลังเล เหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำ แก่นสารของศิลปะเพลงหอกอยู่ที่กระบวนท่าอันลื่นไหล เมื่อตัดสินใจแล้ว กระบวนท่าของผู้นั้นจะต้องรวดเร็วราวสายฟ้าเพื่อสร้างแรงกดดันอันทรงพลังที่ตรงเข้าเล่นงานคู่ต่อสู้ นักรบขั้นจงซรือโดยทั่วไปก็คงต้านทานการโจมตีที่โม่วเซียวเพิ่งสำแดงออกไปได้ยาก”ลู่ฉวินอธิบายอย่างสุขุมขณะพยักหน้าอย่างพอใจ


ในขณะเดียวกัน เจิ้งหยางก็รู้สึกสับสนและทำอะไรไม่ถูก


ท่วงท่าของศิลปะเพลงหอกที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเชื่องช้าเหลือเกินไม่ต่างอะไรกับหอยทาก แถมมันยังอ่อนด้อยเสียจนถ้าหากเขาตอบโต้โดยไม่ระมัดระวัง ก็จะลงเอยด้วยการทำให้เพื่อนของเขาได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไร


การตอบโต้ไม่ใช่ทางเลือก แต่ถ้าไม่ตอบโต้ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเช่นกัน…ลำบากใจเสียจริง!


“อย่างที่ผมบอก ความแรงจากการโจมตีของโม่วเซียวเล่นงานคู่ต่อสู้ของเขาได้อยู่หมัด ทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกอย่างแรง”


เห็นเจิ้งหยางไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ลู่ฉวินพยักหน้า“ศิลปะเพลงหอกที่ผมถ่ายทอดให้โม่วเซียวมีศูนย์กลางอยู่ที่พละกำลัง พละกำลังที่แท้จริงของมันอยู่ที่การควบคุมกระแสการต่อสู้ผ่านเรี่ยวแรงที่ปล่อยออกมา เพื่อฝึกฝนโม่วเซียว ผมพาเขาไปที่น้ำตกแห่งหนึ่งและให้เขาต้านทานพละกำลังของสายน้ำตลอดระยะเวลา 3 เดือน กว่าจะเข้าถึงระดับที่เป็นอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคู่ต่อสู้ของเขากำลังจะ-จะ-จะ…”


ยังไม่ทันจะพูดจบ ลู่ฉวินก็ปากสั่นไม่หยุด


หอกของโม่วเซียวแทงทะลุดวงตาของเจิ้งหยางอย่างจัง และจากนั้น…


มันก็สลายไป


เป็นหอกที่สลายตัวไป


ตอนที่ 1856 มูลค่าของยาเม็ด

“….”


เจิ้งหยางอับอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนี


ในระหว่างที่เขากำลังอึกอักยึกยัก หอกของโม่วเซียวก็แทงเข้าที่ดวงตาของเขาอย่างจัง แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่เลวร้ายที่สุด


เขาพลั้งมือปล่อยเศษเสี้ยวเล็กๆของพลังปราณออกไปเพราะเจอเข้ากับการใช้กำลัง แล้วหอกของโม่วเซียวก็สลายตัว


อาวุธระดับมนุษย์ช่างบอบบางเหลือเกิน!


ถ้าเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่…อย่างน้อยเขาก็ต้องกระพริบตาถึงจะทำแบบนั้นได้!


เขาควรจะควบคุมพละกำลังของตัวเองให้ดีกว่านี้…แต่ก็นั่นแหละ เขายังไม่ได้สำแดงความแข็งแกร่งออกไปเลยด้วยซ้ำ


เมื่อหอกสลายตัว โม่วเซียวถอยหลังพรวดด้วยความพรั่นพรึงอย่างหนัก


เป้าหมายของเขาอยู่ที่ดวงตาของเจิ้งหยาง เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องหลบแน่ แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นจะยืนเฉยไม่ขยับราวกับรูปปั้น โม่วเซียวตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจ เพราะแทนที่จะมีภาพน่าหวาดเสียวปรากฏตรงหน้า หอกของเขากลับกลายเป็นเหยื่อของการต่อสู้ไปแทน


ในตอนนั้นเองที่โม่วเซียวได้รู้ว่าเจิ้งหยางทรงพลังกว่าที่เขาคิดไว้มาก เขารีบถอยไปหลายก้าว ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเพื่อปล่อยลูกเตะเข้าใส่


พละกำลังที่นำไปสู่การเตะนั้นลื่นไหลมาก เห็นได้ชัดว่าโม่วเซียวขัดเกลากระบวนท่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้แสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเจตจำนงการต่อสู้อันเย็นเยือก ขาของเขาตวัดเข้าใส่ก้านคอของเจิ้งหยาง


พลั่ก!


ราวกับเตะเสาโลหะ หน้าแข้งของโม่วเซียวหักดังกร๊อบ


“อ๊ากกกกกก!” โม่วเซียวร้องโหยหวนออกมาแล้วทรุดฮวบลงกับพื้น นัยน์ตาของเขาบ่งบอกความไม่อยากเชื่อขณะอุทาน “หรือว่าคุณผ่านวรยุทธขั้นจงซรือและสำเร็จขั้นจื้อจุนแล้ว?”


“ผม…” เจิ้งหยางหน้าตาบิดเบี้ยว


เขายังไม่ได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ทั้งหอกและขาของโม่วเซียวก็หมดสภาพเสียแล้ว แบบนี้พวกเขาจะดวลกันต่อได้อย่างไร?


“ผมนึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะสำเร็จวรยุทธขั้นนั้น…” เมื่อเจอกับความเงียบงันของเจิ้งหยาง โม่วเซียวคิดว่าเขาเดาถูก ประกายของความอิจฉาฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาของเขา


ครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าเพื่อนรักไปเป็นศิษย์ของปรมาจารย์จาง ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอยู่นาน แต่ไม่ช้า ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างปรมาจารย์จางกับอาจารย์ลู่ และอาจารย์หว่างเชาซึ่งเป็นท่านอาจารย์ของเขาก็ได้ส่งมอบตัวเขาให้อยู่ภายใต้คำชี้แนะของอาจารย์ลู่ฉวินแทน


ในครั้งนั้น เขาได้ดวลกับเจิ้งหยาง และได้รู้ว่าศิลปะเพลงหอกของเจิ้งหยางเหนือชั้นกว่าเขาไปแล้ว


นับจากนั้นเป็นต้นมา โม่วเซียวก็ฝึกฝนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หวังว่าจะท้าทายเจิ้งหยางเข้าสู่การดวลอีกครั้งและเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้


นี่คือเหตุผลที่เขากระตือรือร้นท้าดวลกับเจิ้งหยางทันทีที่ทั้งคู่ได้พบหน้ากัน เขาคิดว่าการฝึกฝนอย่างหนักตลอด 1 ปีที่ผ่านมาจะทำให้เอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ใครจะไปรู้ว่าเจิ้งหยางสำเร็จวรยุทธขั้นจื้อจุนแล้ว ห่างไกลจากเขาออกไปอีก


การโจมตีของเขาทำให้เจิ้งหยางบาดเจ็บไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!


“ผม…” เจิ้งหยางตั้งใจจะอธิบาย แต่ลงท้ายก็ส่ายหน้า


ในสายตาของโม่วเซียว วรยุทธขั้นจื้อจุนดูเหมือนจะเป็นสุดยอดของโลกใบนี้ แต่ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดแบบนั้น


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วห้อง เสียงนั้นมาจากจางเซวียน


“เขาอยู่คนละโลกกับคุณแล้ว”


ได้ยินคำนั้น เจิ้งหยางก้มหน้าลงอย่างหดหู่ เมื่อครู่นี้เขายังตื่นเต้นที่ได้พบเพื่อนเก่า แต่มาตอนนี้ ความลิงโลดเหล่านั้นหายไปหมด


จากกันไปเพียง 1 ปี แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างไกลกันเสียจนประเมินไม่ได้ มันย้ำเตือนเขาว่าวันคืนเก่าๆที่แสนงดงามได้ผ่านไปแล้ว และไม่มีทางที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับโม่วเซียวจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก


ด้วยความแตกต่างด้านสถานภาพและพละกำลัง ทั้งคู่ไม่อาจพูดภาษาเดียวกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะพยายามมองข้ามมันแค่ไหน รอยแตกร้าวนั้นก็มีแต่จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนสักวันก็จะต้องแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ


นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา


โม่วเซียวยังคงสงสัยว่าตัวเขาน่าจะฝ่าด่านวรยุทธจากขั้นจงซรือไปเป็นขั้นจื้อจุนแล้ว ขณะที่ความจริงก็คือเจิ้งหยางเข้าถึงระดับที่แม้แต่โม่วเซียวก็ไม่อาจหยั่งถึง


“พร้อมกันกับการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของคุณ คุณจะต้องแยกจากมิตรสหายจำนวนมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…” จางเซวียนพูดต่อ


โลกของเจิ้งหยางกับโม่วเซียวแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีวันจะกลับมาประสานกันได้อีก


ไม่ใช่ว่าทั้งคู่อยากตัดความสัมพันธ์ฉันมิตร แต่ความแตกต่างในด้านพละกำลังเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความสัมพันธ์ของพวกเขาไป การประชันขันแข่งเคยเป็นกุญแจดอกสำคัญในความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ตอนนี้ ไม่มีทางที่โม่วเซียวจะยอมรับความเหลื่อมล้ำที่ไม่อาจเอื้อมถึงกันได้ระหว่างทั้งคู่


การดำเนินความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไปมีแต่จะทำลายความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองของเขา


ได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ เจิ้งหยางสลัดความคิดออกจากภวังค์และตอบยิ้มๆ “ใช่ คุณพูดถูก ผมสำเร็จวรยุทธขั้นจื้อจุนแล้ว…”


เขาฉุดเพื่อนรักขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินไปหาจางเซวียน “ท่านอาจารย์ ผมขอยาเม็ดที่คุณนำออกมาเมื่อครู่นี้ได้ไหม? โม่วเซียวบาดเจ็บ ผมอยากมอบยาเม็ดให้เขา”


“นี่”


จางเซวียนกระดิกนิ้ว แล้วยาเม็ดที่เขามอบให้สาวน้อยเมื่อครู่ก่อนก็ลอยเข้าสู่มือของเจิ้งหยาง


“กินซะ!” เจิ้งหยางพูดขณะยื่นยาเม็ดให้โม่วเซียว


“ได้” โม่วเซียวพยักหน้า


เขากำลังจะกลืนยาเม็ดลงไป ก็พอดีกับที่สาวน้อยคนเมื่อครู่เดินพรวดพราดเข้ามา สีหน้าของเธอดูร้อนใจ


“ศิษย์พี่ เมื่อกี้นี้ฉันได้พิจารณายาเม็ดนั่นแล้ว ไม่มีร่องรอยของพลังจิตวิญญาณอยู่ในยาเม็ดแม้แต่น้อย มันน่าจะเป็นยาปลอม คุณอย่ากินมันนะ!”


เธอได้ตรวจสอบมันแล้ว และยาเม็ดนี้ก็ดูน่าสงสัยมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโม่วเซียวกินยาเข้าไปแล้ววรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก?


“อย่าห่วงน่ะ ผมเชื่อในตัวเจิ้งหยาง เขาไม่ทำร้ายผมหรอก” โม่วเซียวตอบยิ้มๆก่อนจะกลืนยาเม็ดลงไป


แม้ความเหลื่อมล้ำของพละกำลังจะทำให้เขาปวดใจอยู่บ้าง แต่ความไว้ใจและความรู้สึกที่เขาเคยมีให้เจิ้งหยางไม่ได้เปลี่ยนแปลง


เขาแน่ใจว่าเจิ้งหยางจะไม่ทำร้ายเขา ทั้งยังเชื่อใจอีกฝ่ายด้วย


“เมิ่งน้อยพูดถูก โม่วเซียว คุณกินยาของคนอื่นอย่างบุ่มบ่ามแบบนั้นได้อย่างไร?”


ลู่ฉวินก็นึกไม่ถึงว่าลูกศิษย์ของเขาจะกินยาที่คนอื่นมอบให้อย่างง่ายดายแบบนั้น เขาย่นหน้าผาก จากนั้นก็รีบเข้ามาทาบฝ่ามือลงบนร่างของโม่วเซียว “ผมจะตรวจสอบสภาวะร่างกายของคุณเพื่อดูว่ายาเม็ดนั่นมีอะไรผิดปกติหรือไม่!”


บึ้มมมม!


ทันทีที่พลังปราณของเขาพุ่งเข้าสู่จุดชีพจรของโม่วเซียว กระแสความร้อนก็พวยพุ่งออกจากร่างของอีกฝ่าย กระแทกเขาจนผงะไป


พลั่ก!


ลู่ฉวินถูกสอยกระเด็นก่อนจะร่วงลงมากองกับพื้นเวที ทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้


“พละกำลังน่าทึ่งอะไรอย่างนี้…” เขาตั้งข้อสังเกตพร้อมกับหรี่ตา ขณะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


ลู่ฉวินรีบมองลูกศิษย์ของเขา และเห็นพลังงานมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่รอบจุดชีพจรของโม่วเซียว ดูเหมือนร่างของชายหนุ่มกำลังจะระเบิดเป็นไฟ กระแสพลังจิตวิญญาณอันน่าทึ่งโอบล้อมตัวเขา เกิดเป็นเกลียวขนาดใหญ่


ฟิ้วววว!


ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 อึดใจ โม่วเซียวก็ฝ่าด่านคอขวดได้สำเร็จ วรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดของเขาก้าวไปเป็นขั้นจงซรือ


แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น


จงซรือ ขั้นต้น!


จงซรือ ขั้นกลาง!


จงซรือ ขั้นสูง!


จงซรือ ขั้นสูงสุด…


จื้อจุน ขั้นต้น!


จื้อจุน ขั้นกลาง…


แม้จะสำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุดแล้ว การฝ่าด่านวรยุทธของโม่วเซียวก็ยังไม่หยุด เขายังคงก้าวต่อไปจนได้เป็นนักรบเหนือมนุษย์


สุดท้าย วรยุทธของโม่วเซียวก็หยุดอยู่ที่นักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2-พลังต้นกำเนิด ทุกกระบวนท่าของเขาเปี่ยมด้วยพละกำลัง ดูราวกับว่าเขาเพิ่งก้าวสู่ความเป็นอมตะ


“นะ-นี่…” ลู่ฉวินตาค้างขณะตัวสั่นไม่หยุดราวกับได้เห็นปีศาจ เขาพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “ยาเม็ดนั่น…คือยาเม็ดเกรด 6 หรือ?”


มีแต่ยาเม็ดที่เหนือกว่าเกรด 6 ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีพลังเยียวยาบริสุทธิ์ที่ทำให้นักรบสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ทีละหลายๆขั้นโดยไม่เกิดความบอบช้ำ


“เกรด 6?”


สาวน้อยคนเมื่อครู่รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด


เธอนึกได้ทันทีว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งปฏิเสธยาเม็ดนั้นตอนที่ทั้งกลุ่มเสนอจะมอบมันให้เธอเพื่อทดแทนเหรียญทอง…นอกจากปฏิเสธแล้ว เธอยังกล่าวหาพวกเขาว่าพยายามจะต้มตุ๋นเธออีกด้วย


ถ้าเธอรับยานั้นมาและกินมันเข้าไป ผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จก็จะต้องเป็นเธอ ไม่ใช่โม่วเซียว!


“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ได้ยินคำพูดของลู่ฉวิน เจิ้งหยางส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ของผมจะมียาเม็ดเกรด 6 ได้อย่างไร?”


“ไม่ใช่ยาเม็ดเกรด 6 หรือ? ถ้าอย่างนั้น ทำไมมันถึงทำให้โม่วเซียวฝ่าด่านวรยุทธได้โดยไม่มีผลข้างเคียง? วรยุทธของเขายังดูสมบูรณ์แบบด้วย ไม่มีความหละหลวมหรือความไม่เสถียรเลยแม้แต่น้อย!” ลู่ฉวินทักท้วงด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


ยาทุกชนิดจะมีพิษเจือปนอยู่ในระดับที่ต่างๆกันไป ยิ่งเป็นยาเม็ดเกรดสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีพลังเยียวยามากขึ้น ทำให้ยกระดับวรยุทธได้อีกมาก แต่สิ่งนี้ก็มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย เพราะวรยุทธของผู้นั้นจะไม่เสถียรหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายของเขาจะบอบช้ำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


เป็นไปได้จริงๆหรือที่ยาเม็ดซึ่งมีระดับต่ำกว่าเกรด 6 จะมีอานุภาพน่าทึ่งขนาดนี้?


“ยาเม็ดเกรด 6 น่ะ ไม่มีอานุภาพในการเยียวยาอาการบาดเจ็บและยกระดับวรยุทธได้ในเวลาเดียวกันหรอก ยาเม็ดที่ท่านอาจารย์ของผมนำออกมาน่ะคือยาเม็ดเกรด 8 และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมโม่วเซียวถึงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!” เจิ้งหยางอธิบายยิ้มๆ


“เกรด 8?”


เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ในห้องประชุมหยุดลงทันที ทุกคนจังงังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


ตอนที่ 1857 คนรักของเจิ้งหยาง (1)

เป็นที่รู้กันว่าผู้ที่หลอมยาเม็ดเกรด 8 ได้คือนักปรุงยาระดับ 8 ดาวขึ้นไปเท่านั้น ยาทุกเม็ดจะมีมูลค่าสูงอย่างไม่น่าเชื่อ แม่แต่ฮ่องเต้ของอาณาจักรเทียนเซวียนก็ยังพร้อมสละราชบัลลังก์หากจะได้สิ่งตอบแทนเป็นยาเม็ดเกรด 8 เพียง 1 เม็ด!


เจิ้งหยางมอบยาเม็ดที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ให้โม่วเซียวโดยไม่ลังเล…


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไหลเวียนทั่วร่างของเขา แถมขาขวาก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง โม่วเซียวรู้สึกเหมือนฝัน เขารีบส่ายหัวและอุทานออกมา “เจิ้งหยาง นี่มันแพงเกินไป ผมรับของกำนัลชิ้นนี้จากคุณไม่ได้หรอก”


เขานึกว่ามันเป็นแค่ยาเม็ดที่มีอานุภาพเยียวยาแบบทั่วไป ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นยาเม็ดเกรด 8 ในตำนาน!


ถ้าเขารู้ว่ามันมีค่ามากขนาดนี้ คงไม่มีทางกินมันแน่


“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก แค่ยาเม็ดเดียว ด้วยมิตรภาพของเรา มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” เจิ้งหยางตบไหล่เพื่อนรักของเขาขณะพูดยิ้มๆ


แม้โลกของทั้งคู่จะแยกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ความรู้สึกที่เคยมีก็ยังอยู่ ธรรมชาติของความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจเปลี่ยนไป แต่เขาจะจดจำโม่วเซียวไว้ในฐานะสหายที่เคยฝึกฝนศิลปะเพลงหอกร่วมกับเขาในวันคืนเก่าๆ


เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือนักรบผู้น่าสะพรึง ลู่ฉวินรีบเดินเข้ามาด้วยสายตาที่บ่งบอกความยำเกรง “โม่วเซียว สหายของคุณน่ะ…”


ผู้ที่มียาเม็ดเกรด 8 และมอบมันให้คนอื่นอย่างง่ายดายแบบนี้…แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่คนที่ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวอย่างเขาจะเทียบชั้นได้


“ท่านอาจารย์, เขาคือ…”


โม่วเซียวออกจะงุนงงที่ท่านอาจารย์จดจำเพื่อนรักของเขาไม่ได้ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จากนั้นก็กำลังจะแนะนำเจิ้งหยาง ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงแว่วเข้าหู “ผมว่าจะดีกว่าถ้าคุณไม่แนะนำผม สมัยนั้นน่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอาจารย์ลู่ฉวินไม่ค่อยดีเท่าไหร่…”


โม่วเซียวหยุดพูดทันที


ก็จริง ในครั้งนั้น เพราะลู่ฉวินเหยียดหยามปรมาจารย์จาง เพื่อนรักของเขากับจ้าวหย่าและพรรคพวกจึงท้าทายลู่ฉวินเข้าสู่การดวล และซ้อมอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาตึงเครียดไม่น้อย


“เขาเป็นสหายคนหนึ่งที่ผมพบโดยบังเอิญ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะมียาเม็ดล้ำค่าขนาดนี้อยู่ในครอบครอง” โม่วเซียวตอบ


“ผมเห็นแล้ว” ลู่ฉวินดูออกว่าโม่วเซียวไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ก็ตัดสินใจไม่ซักไซ้


ลู่ฉวินชำเลืองมองจางเซวียนกับคนอื่นๆก่อนจะพยักหน้าอย่างครุ่นคิด


“ถึงยาเม็ดจะยกระดับวรยุทธให้คุณแล้ว แต่คุณก็ต้องขัดเกลามันอย่างระมัดระวังกว่าที่จะสำแดงมันออกมาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมก็จะไม่ขัดจังหวะคุณละนะ ค่อยพบกันใหม่ก็แล้วกัน!”


รู้ดีว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความอลหม่านครั้งใหญ่ เจิ้งหยางรู้สึกว่าหากเขายังอยู่ที่นั่นต่อไปก็มีแต่จะกระอักกระอ่วนใจกันทั้งสองฝ่าย จึงกล่าวอำลาโม่วเซียวก่อนจะจากไปพร้อมกับจางเซวียนและคนอื่นๆ


ตอนนี้ ไม่มีใครในหมู่ฝูงชนที่ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ธรรมดา โดยเฉพาะสาวน้อยที่เคยเรียกร้องค่าธรรมเนียมจากพวกเขา เธอรีบเดินเข้ามาหา หวังจะคว้าโอกาสที่พลาดไปเมื่อครู่ แต่หลังจากก้าวออกมาได้เพียงสองสามก้าว การมองเห็นของเธอก็พร่าเลือน ยังไม่ทันที่เธอจะรู้ตัว ร่างเหล่านั้นก็หายวับไป ราวกับพวกเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน


ทุกอย่างเหมือนความฝัน แม้เธอจะพยายามหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็พบว่าจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตาของคนเหล่านั้น อย่าว่าแต่กิริยาท่าทางที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร


“ว้า!” สาวน้อยทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วเริ่มคร่ำครวญ


เธอปล่อยโอกาสงามให้หลุดมือไปได้อย่างไรกัน? ถึงตอนนี้ ก็แทบอยากจะควักลูกตาทิ้ง


ส่วนลู่ฉวินก็ส่งโทรจิตหาโม่วเซียวเพื่อตั้งข้อสังเกต “พวกนั้นคือปรมาจารย์จางกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขา”


บอกได้ยากว่าลู่ฉวินแค่ตั้งคำถามหรือพูดในสิ่งที่คิด


“ท่านอาจารย์…” โม่วเซียวหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำนั้น


เห็นๆอยู่ว่าเพื่อนรักของเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนให้ใครรู้ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่อยากโกหกท่านอาจารย์


“ผมไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ…เหตุผลที่ผมรู้ก็เพราะผมไม่คิดว่าจะมีใครที่มาที่นี่และมอบยาเม็ดเกรด 8 ให้คุณได้” ลู่ฉวินพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “รักษาสหายของคุณไว้ให้ดีนะ ถือเป็นโชคดีของคุณแล้วที่ได้รู้จักเขา”


เพราะลู่ฉวินได้ผ่านการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว จึงพอรู้ความลับต่างๆของโลกอยู่บ้าง ด้วยเครือข่ายเส้นสายของเขา เขาได้รู้ว่าตลอด 1 ปีที่คู่แข่งของเขาออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไป อีกฝ่ายได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อยู่เนืองๆ วีรกรรมที่ทำให้ใครๆพากันตาถลน


หลายคนพูดกันว่าตัวเขาคืออัจฉริยะ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจางเซวียน…เอาเถอะ ถึงการเปรียบเทียบแบบนี้จะไม่เหมาะนัก แต่ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกอ๊อดในบึงที่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับมังกรแห่งสวรรค์ 9 ชั้น…


เห็นท่านอาจารย์ของเขารู้ความจริงแล้ว โม่วเซียวรู้ดีว่าปกปิดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาตั้งคำถามเพราะทนความอยากรู้ไม่ไหว “ท่านอาจารย์ คุณรู้เรื่องนี้ด้วย? ถ้าอย่างนั้น ผมอยากรู้ว่าเจิ้งหยางเป็นนักรบขั้นจื้อจุนแล้ว…หรือว่าสูงกว่านั้น?”


ความคิดแรกของเขาเมื่อได้เห็นพละกำลังของเจิ้งหยางก็คืออีกฝ่ายฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นจื้อจุนได้สำเร็จ แต่หลังจากได้กินยาเม็ดนั้นและยกระดับวรยุทธของตัวเองไปเป็นนักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2-พลังต้นกำเนิดแล้ว โม่วเซียวก็พบว่าเขายังคงประเมินความแข็งแกร่งของเจิ้งหยางไม่ได้ ในตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าเพื่อนรักก้าวหน้าไปถึงขนาดที่แม้แต่ท่านอาจารย์ของเขาก็ได้แต่แหงนมอง


“วรยุทธของเจิ้งหยางในตอนนี้น่ะไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถรับรู้ คุณรู้ไว้ก็พอว่าถ้าเมื่อครู่นี้เพื่อนรักของคุณต่อสู้อย่างจริงจังล่ะก็ อาณาจักรเทียนเซวียนทั้งอาณาจักรอาจหายสาบสูญไปจากแผนที่เลยก็ได้” ลู่ฉวินตอบอย่างจนปัญญา


“อาณาจักรเทียนเซวียนทั้งอาณาจักร…หายสาบสูญไปจากแผนที่?” โม่วเซียวอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ


…..


เมื่อออกจากห้องประชุม จางเซวียนกับบรรดาลูกศิษย์ของเขามุ่งหน้าไปยังห้องเรียนที่พวกเขาเคยร่ำเรียนในสมัยก่อน


ห้องเรียนยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเล็กและแคบเหมือนเดิม


หลังจากมองไปรอบๆห้องเรียนได้สักครู่ จางเซวียนก็โบกมือและพูดว่า “พวกคุณกลับไปหาญาติมิตรและครอบครัวเถอะ”


“ได้”


หวังหยิ่ง จ้าวหย่าและคนอื่นๆพยักหน้าก่อนจะจากไป


หวังหยิ่งมาจาก 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ดังนั้นพี่ชายและท่านพ่อของเธอจึงพำนักอยู่ในเมือง ส่วนท่านพ่อของจ้าวหย่าเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารสูงสุดของอาณาจักรเทียนเซวียน และตอนนี้รับตำแหน่งขุนนางแห่งเมืองไป๋หยู จึงเป็นธรรมดาที่เมื่อกลับมาแล้วเธอก็จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ


ส่วนเว่ยหรูเหยียนกับลู่ชง ทั้งคู่สูญเสียครอบครัวและญาติมิตรไปหมดแล้ว จึงไม่มีใครที่ต้องไปพบปะเป็นพิเศษ


หลังจากจ้าวหย่ากับหวังหยิ่งจากไปได้ไม่นาน เจิ้งหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “ศิษย์น้องหรูเหยียน ผมรบกวนให้คุณมากับผมหน่อยได้ไหม?”


“มีอะไร?” เว่ยหรูเหยียนย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


บางที อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากเรื่องราวในอดีตของเธอหรือไม่ก็สภาวะกายพิษแต่กำเนิด เว่ยหรูเหยียนจึงมีบุคลิกเย็นชา นอกจากจางเซวียน เธอก็แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แม้อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของเธอก็ตาม


ถึงเธอจะค่อนข้างสนิทกับเจิ้งหยาง แต่เรื่องจริงก็คือทั้งคู่พูดคุยกันน้อยมาก


“ผมอยากให้คุณช่วยอะไรสักหน่อย…มันเป็นหนึ่งในความเสียใจที่ผมเก็บงำไว้มาเนิ่นนาน” เจิ้งหยางตอบอย่างลังเล


“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็ได้ มันคืออะไรล่ะ?” เว่ยหรูเหยียนตอบ


ท่านอาจารย์ของเธอบอกเสมอให้ดูแลบรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้อง ซึ่งในเมื่อเจิ้งหยางต้องการความช่วยเหลือ หากไม่ลำบากเกินไป เธอก็ยินดีจะช่วยเขา


“ผมอยากพาคุณไปพบใครคนหนึ่ง…”


“คุณอยากให้ฉันพบใครคนหนึ่ง?” เว่ยหรูเหยียนถามอย่างงุนงง


อย่างกับเจิ้งหยางไม่รู้อย่างนั้นแหละว่าเธอไม่ค่อยญาติดีกับใครนอกจากท่านอาจารย์ แล้วทำไมถึงยังขอร้องแบบนี้?


เห็นทีท่าของเว่ยหรูเหยียน เจิ้งหยางรีบอธิบายอย่างละอายใจ “คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก แค่อยู่นิ่งๆก็พอ…”


“แล้วเขาเป็นใครกัน? ถ้าอีกฝ่ายทรงพลังมากล่ะก็ คุณรายงานท่านอาจารย์และขอความช่วยเหลือจากเขาก็ได้นี่” เว่ยหรูเหยียนพูด


“ไม่, ไม่ได้! ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เพียงแต่เธอจะไม่แข็งแกร่ง ยังอ่อนแอมากด้วย…”


ถึงตอนนี้ เจิ้งหยางกัดฟันกรอดราวกับกำลังชั่งใจก่อนจะอธิบาย “บอกคุณตามตรงนะ ก่อนผมจะมาเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ของเรา ผมมีผู้หญิงที่ผมรักอยู่คนหนึ่ง ผมมอบหัวใจของผมให้เธอ แต่ก็ได้กลับคืนมาแค่คำปฏิเสธและการเย้ยหยันอย่างเย็นชา…ในเมื่อผมกลับมาที่นี่แล้ว ผมก็อยากพบเธออีกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมยังคงมีใจให้เธออยู่ แต่ผมอยากจบความเสียใจของผมเสียที…”


“พูดง่ายๆก็คือคุณอยากให้ฉันแสดงละครเป็นคนรักของคุณใช่ไหม?” เว่ยหรูเหยียนคำราม


ศิษย์พี่ของเธอเป็นถึงหัวหน้าสภายอดขุนพลและนักปราชญ์โบราณ ใครจะไปคิดว่าเขาจะอ่อนหัดขนาดนี้เมื่อเป็นเรื่องของหัวใจ?


เพราะในอดีตเขาเคยถูกแม่สาวคนนั้นปฏิเสธ จึงอยากจะหาคนที่สวยกว่ามารับบทเป็นคนรักของเขาเพื่อทำให้หล่อนเสียดายที่ปฏิเสธเขาใช่ไหม?


ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ความคิดราวกับเด็กน้อย!


ถ้าเธอเป็นเขาล่ะก็ ไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรไร้ประโยชน์แบบนี้ ถ้าอีกฝ่ายกล้าปฏิเสธเธอ เธอก็จะ วางยาพิษแม่นั่นให้ตาย เสียเวลาเหลือเกินที่จะมัวทำหรือพูดอะไรที่เหลวไหลไร้ประโยชน์!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)