กระบี่จงมา 185.2-186.1

 บทที่ 185.2 ตัวอ่อนกระบี่อยู่ในมือ

โดย

ProjectZyphon

“ไม่รู้จักได้อย่างไร!” ผู้เฒ่าตบต้นขาที่แน่นตึงเด้งมือของสตรีข้างกาย “ขอให้น้องชายได้เล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน โลกใบนี้ของพวกเรามีหอใหญ่แห่งโชคชะตาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างอยู่เก้าแห่ง ซึ่งต่างก็ตั้งแยกกันอยู่ในเก้าสถานที่ แบ่งออกเป็นสยบภูเขา สยบแคว้น สยบสมุทร สยบมาร สยบปีศาจ สยบเซียน สยบกระบี่ และสยบมังกร หอสูงเสียดเมฆ ยิ่งใหญ่จนแทบจะเท่าเทียมท้องนภาทั้งแปดแห่งนี้ล้วนมีชื่อสองตัวอักษร มีเพียงแห่งสุดท้ายเท่านั้นที่มีชื่อสามคำ ประหลาดที่สุด มันชื่อว่า…”


ชายฉกรรจ์ตบตะเกียบกับโต๊ะ กล่าวอย่างเดือดดาล “พอที เฉาซีเจ้าจะไม่แล้วไม่เลิกจริงๆ ใช่ไหม?!”


ขณะเดียวกันกับที่ตะเกียบตบลงบนโต๊ะ สตรีชาวเรือทุกคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ทว่าไม่ส่งผลต่อการหายใจของพวกนาง มือไม้ของพวกนางยังขยับคล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนว่าแขกต่างถิ่นสองคนบนเรือที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดจะมองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรเลย


“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว และอีกไม่นานสถานะของพวกเราสองคนก็จะถูกเปิดเผย จะดีจะชั่วเจ้าเซี่ยสือก็เป็นบุคคลที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู หากจงใจปิดบังตัวตนกลับยิ่งจะทำให้คนสงสัย ไม่สู้ทำเหมือนข้าที่เดินอาดๆ เข้ามาในเมืองเล็ก แถมไม่แน่ว่าอาจจะยังไปต่อยตีกับคนอื่นด้วย ให้ต้าหลีได้เปิดหูเปิดตาซะบ้าง พวกเขาจะได้ไม่ทำเป็นมองไม่เห็นเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งอยู่ในสายตา”


เฉาซีกล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหลือบตามองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มตาหยี “ต่างก็พูดกันว่าเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ประหนึ่งดวงตะวันร้อนแรงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ชั่วชีวิตไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ทำไมครั้งนี้ถึงแหกกฎได้เล่า?”


เฉาซีโน้มตัวมาด้านหน้า คีบหัวไชเท้าดองชิ้นหนึ่งจากจานกระเบื้องใบเล็กสีเขียวอ่อน ส่งเข้าปาก “ก็แค่เครื่องเคลือบบิ่นแตกชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ ขอแค่เจ้าเปิดปากแล้วก็พยักหน้ารับ ข้าจะช่วยออกหน้าแก้ไขให้เจ้าเอง เซี่ยสือหนอเซี่ยสือ ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าเองก็อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้คนจูงจมูกเดินอยู่อีก? ไม่สมเพชตัวเองหรือไง?”


ชายฉกรรจ์หลุดหัวเราะพรืด “ไม่กลัวว่าลมแรงจะพัดลิ้นให้ขาดบ้างเลยรึ? (เป็นคำกล่าวให้คนระวังคำพูด อย่าพูดอะไรพล่อยๆ) คนที่ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าเป็นคนที่พูดง่ายนักหรือไง?”


เฉาซีทำหน้าตะลึง “ทำไม เหล่าเซี่ยข่าวสารของเจ้าไม่รวดเร็วพองั้นหรือ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเด็กรุ่นหลังในตระกูลข้าเพิ่งจะหมั้นหมายกับสตรีผู้หนึ่งที่เป็นลูกหลานสายตรงของสกุลเฉินผู้มากความรู้? สกุลเฉินเชิญให้ยอดฝีมือตระกูลลู่มาช่วยดูดวงให้ เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร แปดคำมงคล! กิ่งทองใบหยก คู่สร้างคู่สม! เรื่องนี้ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ เพราะในทวีปของพวกเรา ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวเล็กเลย”


เซี่ยสือแค่นหัวเราะ “เรื่องแบบนี้เจ้าเฉาซีไม่อับอายก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำหน้าภาคภูมิใจอีกรึ? ใครเขาให้หน้าเจ้ากัน?”


เฉาซีผู้หน้าหนาดั่งกำแพงถามย้อน “น่าอายตรงไหน? หลานชายของข้าอาศัยความสามารถที่แท้จริงหลอกว่าที่หลานสะใภ้มาได้ ข้าที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ทำไมจะไม่ยินดี?”


เซี่ยสือยกมือสองข้างกอดอก หรี่ตาเอ่ยเสียงหนัก “ว่ามาเถอะ สรุปว่าเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร? หากเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องปั้นชิ้นนั้น เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าไม่มีทางรับปากเจ้า เพราะนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของข้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้าเฉาซี”


เฉาซีร้องปัดโธ่แล้วขยี้ตาตัวเอง “ไม่เสียแรงที่เป็นจอมยุทธ์ใหญ่เซี่ยผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ความซื่อตรงเที่ยงธรรมที่มีอยู่ทั่วร่างช่างเจิดจรัสสะดุดตา ทำเอาข้าต้องรีบขยี้ตาตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงทนไม่ไหว…”


เชือกสีเขียวบนข้อมือของผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนไม่สลักสำคัญเผยตัวอีกครั้ง


คนทั่วทั้งทักษินาตยทวีปต่างก็รู้ดีว่าวิชากระบี่ของเฉาซีไม่ถือว่าเป็นสุดยอดในบรรดาเซียนกระบี่พสุธา แต่กระบี่ประจำกายของเขาที่เป็นอาวุธอาคมชิ้นหนึ่งมากพอจะทำให้เขาอยู่ในสิบอันดับแรกของหนึ่งทวีปได้


และในความเป็นจริงแล้วบนข้อมือของเฉาซีได้ผูกน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งกำลังไหลกรากเอาไว้


แม่น้ำสายนี้ก็คือกระบี่ประจำกายของเฉาซี


สำหรับข่าวของทวีปอื่นที่ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรพวกนี้ เซี่ยสือเคยได้ยินมานานแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังถามไปตรงๆ ว่า “เจ้าคิดว่าต้องตีกันสักรอบก่อน ถึงจะหุบปากได้?”


เฉาซีที่เอาแต่ดื่มเหล้ากินกับแกล้มโคลงศีรษะพูด “คนในทักษินาตยทวีปต่างก็พูดว่าข้าเฉาซีอารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ นิสัยวิตถาร เซี่ยสือ เจ้ารู้สึกว่าคนอย่างข้าคบหาได้ยากมากใช่หรือไม่?”


เซี่ยสือเริ่มหลับตาทำสมาธิ


ทุกครั้งที่เรือทัศนาจรจอดรับผู้โดยสารเพื่อตกลงเรื่องการค้า สตรีชาวเรือจะปลดโคมดวงหนึ่งที่แขวนอยู่บนตำแหน่งซึ่งกำหนดไว้ตรงหัวเรือออก แสดงให้รู้ว่าเรือลำนี้มีแขกเต็มแล้ว ไม่รับแขกอีก


เฉาซีโบกตะเกียบ “ผิดแล้ว ผิดมหันต์เลย บนโลกนี้คนที่คบหาได้ยากที่สุดคือคนอย่างเจ้าเซี่ยสือ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดความในใจ”


เซี่ยสือหลับตา “ความอดทนของข้ามีจำกัด”


เฉาซีกลอกตาใส่อีกฝ่าย “ก็ได้ พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน มีคนไม่ต้องการเห็นสกุลซ่งแห่งต้าหลีลุกผงาด เจ้าเซี่ยสือกลับดื้อด้าน ยึดมั่นในคำสัญญา จำต้องออกมาจากภูเขา เป็นเหตุให้การเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวถูกถ่วงให้ล่าช้าออกไป”


“ไม่บังเอิญเลยก็คือ สกุลเฉินผู้มากความรู้ไม่อาจทนเห็นฉีจิ้งชุนมีชีวิตที่ดีได้ แม้แต่ความประทับใจที่มีต่อต้าหลีในอดีตก็แย่ตามไปด้วย เพียงแต่ว่าวันนี้พวกเขาเปลี่ยนความคิดแล้ว จะด้วยสาเหตุใดก็ไม่รู้ แล้วข้าเองก็ไม่ได้สนใจ สรุปก็คือสกุลเฉินผู้มากความรู้ไม่เพียงแต่อาศัยนามของสกุลเฉินเมืองหลงเว่ยแห่งแจกันสมบัติทวีปสร้างโรงเรียนขึ้นในเมืองเล็ก ยังให้ข้าเดินทางไกลมาขัดขวางเจ้าเซี่ยสือเอาไว้ โดยจะจ่ายเงินเป็นของขวัญในวันแต่งงานให้แก่หลานชายของข้า”


“แม้จะไม่รู้แผนการอย่างเป็นรูปธรรม แต่เมื่อข้าปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว หลังจากนี้ก็จะต้องจับตามองเจ้าให้ดี”


เซี่ยสือไม่ได้ลืมตา แต่ปากกลับเอ่ยเยาะหยัน “เจ้าจะขวางข้าไว้ได้จริงๆ รึ?”


ในที่สุดเฉาซีก็กินกับแกล้มทั้งหลายในจานเล็กๆ จนหมด เขาวางตะเกียบลง กล่าวอย่างมาดมั่น “ข้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้หรือไม่ แต่มั่นใจว่าขวางเจ้าไว้ได้”


เซี่ยสือพลันลืมตาหันขวับมามอง


มือกระบี่หน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ไม่ได้พกกระบี่ยาวหรือสะพายกระบี่ยาว แต่วางกระบี่ยาวพาดเป็นแนวขวางไว้ด้านหลัง ข้อศอกสองข้างค้ำไว้บนฝักกระบี่กำลังมองสบตากับเซี่ยสือด้วยรอยยิ้มบางๆ


ตอนอยู่ที่จวนของผีสาวสวมชุดแต่งงานที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำใสลมแรง’ คนผู้นี้ดึงกระบี่ออกจากฝักแค่หนึ่งชุ่น ก็สามารถดึงเทือกเขาขนาดจิ๋วมาไว้ตรงหน้า ต้านรับกระบี่ที่คมกริบของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาเอาไว้ได้


ตอนอยู่เมืองหงจู๋ เขาเคยพบหน้าและดื่มเหล้ากับอาเหลียง ตอนอยู่บนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา เขาเคยได้พูดคุยกับเฉินผิงอัน ตอนนั้นดูเหมือนว่ายังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้จักกุมหมัดคารวะคนอื่นอีกด้วย สุดท้ายก็เป็นเขากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งนามว่าหลิวอวี้ที่พาเว่ยป้อแห่งเขาฉีตุนเดินทางไปที่หลงเฉวียน


ตอนนั้นเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนเรียกเขาว่า ‘คนผู้นั้นจากสำนักโม่’


……


เฉินผิงอันนั่งตรงข้ามกับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นอยู่ในห้องเป็นนาน สุดท้ายเขาค้นพบว่าไม่ว่าทำอย่างไรก็ทำใจให้สงบไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ได้ ฝึกคัดตัวอักษรไม่ได้ แม้แต่ฝึกเดินนิ่งและท่าเจี้ยนหลูก็ยังทำไม่ได้


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงสะพายตะกร้าไม้ไผ่ เอากระบี่ไม้ไหวใส่ไว้ด้านใน ออกจากบ้านบรรพบุรุษ เดินออกมานอกตรอกหนีผิง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว


รอจนเขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ตกใจกันยกใหญ่


เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ หัวใจของเขาพลันสงบนิ่ง


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคิดจะเดินตามไปด้วย แต่ถูกเด็กชายชุดเขียวคว้าคอเอาไว้ เขาเอ่ยสั่งสอนเสียงเบา “เจ้านี่มันโง่จริงๆ ดูไม่ออกหรือไงว่านายท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูทำหน้าเหลอหรา


เด็กชายชุดเขียวลากนางมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก พูดจามาดมั่นน่าเชื่อถือ “ด้วยนิสัยของนายท่านเรา มีแค่สองสถานการณ์เท่านั้นแหละที่ทำให้เขาผิดปกติแบบนี้ได้”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงี่ยหูรับฟังอย่างตั้งใจ


เด็กชายชุดเขียวยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง กดเสียงต่ำ “สถานการณ์อย่างแรก คือเงินหาย อีกทั้งจำนวนยังไม่ใช่น้อยๆ”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นด้วยอย่างยิ่ง


เด็กชายชุดเขียวหัวเราะชั่วร้าย “อีกอย่างหนึ่งก็คือนายท่านได้รับบาดเจ็บทางอารมณ์อย่างรุนแรง ยกตัวอย่างเช่นนอนพลิกตัวไปมาอยู่เพียงลำพัง ข้างหมอนไร้คนเคียงคู่จึงยากจะหลับตาลง แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดแผลงๆ จึงวิ่งไปบอกรักแม่นางหร่วนซิ่ว ผลคือถูกนางปฏิเสธมา หรือไม่ก็ตอนที่บอกรักสตรีในดวงใจทำตัวได้คืบจะเอาศอก คิดจะจูบปากนาง กอดนาง แต่กลับถูกแม่นางหร่วนตบบ้องหูอย่างแรง ด่าเขาว่าเป็นอันธพาลตัวเหม็น ทำเอานายท่านของพวกเราขุ่นเคือง จำต้องมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “นายท่านไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก”


เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจด้วยความเศร้าสลดหนึ่งที “เจ้านี่ไม่เข้าใจผู้ชายเอาเสียเลย”


เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นสอง มองลอดผ่านช่องว่างของรั้วระเบียงไปยังทิศไกล


เขาหยิบตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นออกมา ก้มหน้าจ้องมองมันนิ่งๆ เวลานี้ตัวอ่อนกระบี่เป็นเหมือนวัตถุที่ตายแล้วซึ่งอยู่นิ่งอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคลื่อนไหวผิดปกติเหมือนตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิง


ไม่รู้ว่าเหตุใด จิตใจของเฉินผิงอันถึงได้สงบสุข ถึงขั้นจิตใจมั่นคงกว่าตอนที่ฝึกวิชาหมัดในเวลาปกติ หัวสมองโล่งโปร่ง ความคิดกระจ่างชัดแจ่มแจ้ง


เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กำตัวอ่อนกระบี่ที่อยู่กลางฝ่ามือแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ของที่ไม่ใช่ของข้า ต่อให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า พอข้าหยิบขึ้นมา มันก็จะเป็นฝ่ายตามหาเจ้าของที่หายไป สุดท้ายก็ยังเป็นของผู้อื่นอยู่ดี แต่หากเป็นของข้า ก็คือของข้า เจ้าจะไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต่อให้เจ้าหนีไปจนสุดขอบฟ้า ข้าก็จะไปตามจับเจ้ากลับมา”


ตัวอ่อนกระบี่สีเงินเริ่มเปลี่ยนมาเป็นอุ่น ผ่านไปไม่นานก็เริ่มร้อนลวกมือ


เฉินผิงอันกัดฟันแน่น ใช้มือเดียวกำมันไว้ มืออีกข้างว่างไว้บนกระบี่ไม้ไหวเบาๆ ให้มันช่วยเป็นที่พึ่งทางใจ มาถึงช่วงท้ายก็ถึงกับต้องกำตัวกระบี่ไว้แน่น


ใจกลางฝ่ามือถูกลวกจนกลายเป็นสีแดงก่ำอยู่นานแล้ว


ความเจ็บปวดแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ สะเทือนไปยันจิตวิญญาณ


ความเจ็บปวดที่มาจากการแผดเผาของตัวอ่อนกระบี่ นอกจากจะส่งไปถึงเลือดเนื้อผิวหนังแล้ว ที่มากไปกว่านั้นคือความน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่งซึ่งคล้ายเอาน้ำทองแดงร้อนๆ ราดรดลงบนหัวใจ


วิธีการโคจรลมปราณสิบแปดหยุดไหลเวียนเองโดยอัตโนมัติ พยายามสุดชีวิตที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนซึ่งความร้อนแผดเผานั้นนำมาให้ระหว่างที่คอยจู่โจมไปยังช่องโพรงลมปราณต่างชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า


ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมักจะหยุดชะงักอยู่ที่การโคจรลมปราณหกและเจ็ดหยุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจข้ามผ่านธรณีประตูบานนั้นไปได้


ไม่ว่าเฉินผิงอันจะตั้งใจฝึกท่าหมัด ฝึกยืนเดินแค่ไหน ไม่ว่าจะขัดเกลาร่างกายและจิตใจกับเด็กชายชุดเขียวอย่างไรก็ล้วนไม่อาจทำได้ จึงจำเป็นต้องหาวิถีทางอย่างอื่น


เพื่อลดทอนระดับความเจ็บปวดให้เหลือน้อยลงมากที่สุด เฉินผิงอันที่ร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจึงต้องพยายามแบ่งสมาธิไปคิดถึงเรื่องอื่น คิดถึงเนื้อหาในตำราอริยะปราชญ์ที่ชุยตงซานเคยท่องเสียงดัง คิดถึงตัวอักษรในเทียบยาที่นักพรตหนุ่มลู่เฉินเขียนไว้ให้ คิดถึงหนึ่งกระบี่ที่ทะลวงหมื่นคาถาของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ คิดถึงภาพมหัศจรรย์ยามที่กระบี่บินส่องประกายแสงสีขาวโจมตีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิและสายลมฤดูใบไม้ร่วงในตรอกหนีผิง…


แต่ละเรื่องราว คิดแล้วก็ล้วนแต่มีประโยชน์


นอกจากเลือดเนื้อกลางฝ่ามือของเฉินผิงอันที่อยู่ติดกับตัวอ่อนกระบี่ซึ่งอยู่ในสภาพเหวอะหวะแล้ว เลือดยังเริ่มไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขา ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ รูขุมขนเล็กๆ ทั่วร่างเริ่มมีเลือดซึมซิบๆ สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นหยดเลือดมากมาย มองดูแล้วน่าอกสั่นขวัญผวา


สภาพภายนอกของเขาว่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุดแล้ว ภายในกลับยิ่งสาหัส เส้นชีพจรที่อยู่ระหว่างช่องโพรงลมปราณเหมือนถูกกีบเท้าม้าเหล็กควบผ่าน จึงทำให้ดินโคลนเปรอะกระเซ็นไปทั่ว


สุดท้ายเฉินผิงอันคิดถึงแม่นางคนหนึ่ง


เขายิ้มอยู่ในใจ


แล้วก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจเท่านั้น


เพราะใบหน้าของเฉินผิงอันบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสีหน้าที่ดุร้ายแข็งกระด้าง ไม่อาจมองเห็นอารมณ์อื่นๆ ได้นานแล้ว


เฉินผิงอันยังคงทนรับความเจ็บปวดมหาศาลอยู่เงียบๆ


ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว


จิตสำนึกของเขาเริ่มพร่าเลือน ท่ามกลางความมึนงง เฉินผิงอันนึกถึงชื่อของคนหลายคน หากเป็นคนที่คุ้นเคยหน่อย ภาพเหตุการณ์ที่พบเจอกันก็จะชัดเจนและยาวนาน แต่หากไม่สนิทสนม ภาพก็จะผ่านวูบไปอย่างรวดเร็ว


บ้างชื่นชอบ บ้างเลื่อมใส บ้างเคารพ บ้างหวาดกลัว บ้างรังเกียจ บ้างอคติ บ้างก็สงสาร บ้างก็เคียดแค้น และบ้างก็สงสัย…


ตึกๆๆ …


เหมือนมีคนใช้นิ้วเคาะหัวใจของเด็กหนุ่ม


คล้ายกำลังสอบถามอะไรบางอย่าง


ตรงดิ่งไปที่หัวใจดวงเดิม


เด็กหนุ่มที่หลงเหลือจิตสำนึกซึ่งประคับประคองไม่ให้เขายอมแพ้เพียงเสี้ยวเดียวได้แต่ใช้เสียงหัวใจตอบกลับ คำตอบนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร


พละกำลังของคนต้องมีช่วงเวลาที่หมดลง


ในที่สุดเฉินผิงอันก็ประคองตนต่อไปไม่ไหว เขาหงายตึงไปด้านหลัง ตอนที่ท้ายทอยกระทบกับพื้นไม้ไผ่สีเขียวมรกตก็พอจะดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย


หวึ่งๆๆ


เขารู้สึกเพียงว่าในท้องมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ เกิดขึ้น


ร่างกายของคนก็คือฟ้าดินขนาดเล็ก และทันใดนั้นเสียงกระบี่ก็ร้องดังไม่หยุด!


 ————————–


บทที่ 186.1 เฝ้าคืน

โดย

ProjectZyphon

หลังจากที่เฉินผิงอันหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ตรงหน้าบันไดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ในที่สุดเด็กชายชุดเขียวก็ยอมปล่อยมือเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ฝ่ายหลังวิ่งพรวดเข้าไปหาเฉินผิงอัน น้ำตานองเต็มใบหน้า ร้องไห้จนหน้าลายเป็นแมวน้อย นางจับชีพจร ตรวจดูทิศทางการเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณเฉินผิงอันพลางหันไปพูดสะอึกสะอื้นกับเด็กชายชุดเขียว “ทำไมเจ้าต้องห้ามข้าด้วย เจ้ามันคนเนรคุณ ใจทมิฬหินชาติ…หากนายท่านตายไป ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า…”


สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวนิ่งสนิทดุจผิวน้ำ “บอกว่าเจ้าโง่ เจ้ายังไม่ยอมรับ ทะเล่อทะล่าเข้ามารบกวนการโคจรลมปราณของเฉินผิงอัน เจ้าจะถูกปราณกระบี่ขุมนั้นมองเป็นศัตรู ไม่เพียงแต่มันจะเล่นงานเจ้าเสียอ่วม ยังจะส่งผลกระทบต่อโอกาสพิสูจน์มรรคาของเฉินผิงอันด้วย และนั่นแหละที่จะทำให้เขาตายจริงๆ โชควาสนาดีๆ จะถูกเจ้าทำให้กลายเป็นหายนะเอาได้”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจ “ทั้งร่างของนายท่านมีแต่เลือด นายท่านใกล้จะตายแล้ว คราวนี้เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม? ข้าไม่ได้โง่! เจ้าละโมบอยากได้หินดีงูของนายท่าน นายท่านไม่ควรพาเจ้ากลับมาด้วย เจ้ามันไร้จิตสำนึกสิ้นดี นายท่านดีต่อพวกเราถึงเพียงนี้…”


เด็กชายชุดเขียวกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งยองบนราวระเบียงไม้ไผ่ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เฉินผิงอันจะตายหรือไม่ เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ ตบะน้อยนิดของเจ้าจะไปเข้าใจกะผีอะไร”


เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาลงเรื่อยๆ เพราะนางค้นพบว่าลมปราณสองขุมในร่างของเฉินผิงอันซึ่งตอนแรกวุ่นวายและพลุ่งพล่านอย่างชัดเจน ค่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะมั่นคงขึ้น เหมือนน้ำในภูเขาที่มาเจอกัน แม้ว่าตอนแรกน้ำจะกระทบกับหินจนก่อให้เกิดคลื่นพันชั้นซัดรุนแรง มองดูเหมือนอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสงบนิ่งมั่นคง จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนรุนแรงเพราะได้รับความเจ็บปวดก็ถูกปลอบโยนให้สงบลงไปด้วย เปลี่ยนจากเสียงโหยหวนเมื่อแรกเริ่มมาเป็นเสียงครวญครางเบาๆ


เฉินผิงอันหลับลึกมาก ใบหน้าดำเกรียมที่บิดเบี้ยวค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติ สุดท้ายเหมือนทารกน้อยในห่อผ้าอ้อมที่หลับสนิทอย่างเป็นสุข


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดีใจอย่างถึงที่สุด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พูดกับเด็กชายชุดเขียวเบาๆ ว่า “นายท่านไม่เป็นอะไรแล้ว แค่หลับจริงๆ แล้ว”


เด็กชายชุดเขียวเหลือกตาใส่ ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินเล่นเหมือนเห็นราวระเบียงเป็นทางเดิน


เด็กชายชุดเขียวเดินไปเดินมาอยู่บนราวระเบียง ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆ อันที่จริงเขาเองก็แค่พอจะรู้เรื่องคร่าวๆ อย่างพร่าเลือนเท่านั้น หลังจากนี้ควรจะจัดการกับเฉินผิงอันอย่างไร เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจแล้ว เขาอยากได้หินดีงูของเฉินผิงอันนั้นไม่ผิด แต่จะให้ทำเรื่องชั่วช้าในขณะที่อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตราย ก็นับว่าดูถูกเขาที่เป็นสหายรักของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงเกินไป เขายินดีต่อยให้เฉินผิงอันตายด้วยหมัดเดียวแล้วค่อยแย่งชิงหินดีงูที่กองกันเหมือนภูเขาขนาดย่อมมาอย่างเปิดเผย ดีกว่าจะทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้น


ออกมาอยู่ในยุทธภพต้องมีคุณธรรมกันบ้าง


นี่คือกฎเกณฑ์ในยุทธภพที่เขายึดมั่นปฏิบัติมาโดยตลอด


มีครั้งหนึ่งสหายเทพวารีดื่มเหล้าจนเมามายได้พูดกับเขาประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีเหตุผล “คุณธรรมในยุทธภพจะมีมากเกินไปไม่ได้ แต่ก็ควรจะยึดมั่นอยู่บ้าง หากไม่มีเสียเลย ต่อให้เป็นมังกรที่แท้จริง ไม่ช้าก็เร็วต้องจมน้ำตายอยู่ในยุทธภพ”


เด็กชายชุดเขียวใจหายวาบ จากนั้นเบื้องหน้าของเขาก็ดำมืด พอเงยหน้ามองจึงเห็นว่ามีเทพเซียนชุดขาวคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างกายตน อีกฝ่ายกำลังก้มหน้ามองตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกวนโอ๊ย


เจ้าคนที่ชื่อเว่ยป้อยิ้มบางๆ ให้เด็กชายชุดเขียว “งูน้ำน้อย เจ้าไม่คิดจะฆ่านายท่านของตัวเอง ทำให้ข้าแปลกใจมาก”


เด็กชายชุดเขียวเกลียดใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหล่อเหลาผู้นี้มากที่สุด ราวกับว่าคนทั้งสองเกิดมาก็เป็นศัตรูทางธรรมชาติต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อเว่ยป้อที่อยู่สูงกว่าหลุบตามองต่ำพูดหยอกเย้าตน เขาจึงอดหลุดปากด่าไปไม่ได้ “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสไม่ได้เย่อแม่เจ้า ทำให้ข้าเสียใจมาถึงทุกวันนี้!”


ชายแขนเสื้อของเว่ยป้อสะบัดไหว เขากระโดดลงมาจากราวระเบียงอย่างสง่างาม ระหว่างนั้นยังตบศีรษะเล็กของเด็กชายชุดเขียวเบาๆ พลางหัวเราะระรื่น “เกเรจริง”


มองดูเหมือนเป็นการตบเบาๆ แต่ถึงกับทำให้ขาทั้งสองข้างของเด็กชายชุดเขียวที่ถูกตบแหกอ้า ล้มเผละลงไปนั่งบนราวระเบียง เจ็บจนเขาต้องเอามือกุมก้น แยกเขี้ยวหรา


หากเปลี่ยนไปอยู่สถานที่แห่งอื่น ต่อให้เป็นภูเขาทองแดง ภูเขาเหล็กก็ถูกเขานั่งทับจนถล่มลงมาได้ แต่เรือนไม้ไผ่ขนาดเล็กแห่งนี้กลับแข็งแรงทนทานผิดจากปกติ


เว่ยป้อนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ยกมือข้างหนึ่งจับข้อมือของเขา ชีพจรของอีกฝ่ายหนักแน่น ถือว่าเป็นลางดี


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามเบาๆ “เว่ยเซียนซือ (เซียนซือเป็นคำเรียกเซียนซึ่งแสดงถึงความเคารพ) ต้องย้ายนายท่านของข้าเข้าไปไว้ในห้องหรือเปล่า?”


เว่ยป้อเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าเป็นเจียวหลง เกิดมาก็มีภูมิต้านทานต่ออากาศหนาวเหน็บและร้อนระอุได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก อันที่จริงเรือนไม้ไผ่แห่งนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือหน้าหนาวอบอุ่น หน้าร้อนเย็นสบาย ต่อให้เป็นแค่คนธรรมดา แต่หากถอดเสื้อผ้าอยู่ในเรือนไม้ไผ่วันที่หิมะตกหนักก็ไม่มีทางรู้สึกหนาวถึงขั้วกระดูก ดังนั้นปล่อยให้นายท่านของเจ้านอนหลับอยู่ตรงนี้ อย่าไปขยับเขยื้อนเขาจะดีกว่า”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบโค้งคำนับขอบคุณเว่ยป้อ


เว่ยป้อไม่เห็นสำคัญกับเรื่องนี้ เพียงถามยิ้มๆ “เฉินผิงอันได้นำเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูส่ายหน้า “นายท่านขึ้นเขามาครั้งนี้คงไม่ได้คิดจะอยู่นาน ในตะกร้าสะพายหลังจึงไม่มีเสื้อผ้าใส่มาด้วย”


เว่ยป้อขมวดคิ้ว มองเสื้อผ้าบนร่างของเฉินผิงอันที่เหมือนเพิ่งไปจุ่มเลือดมา หากเขาตื่นมาแล้วยังสวมชุดนี้คงไม่เหมาะนัก จึงพูดแนะนำ “พวกเจ้าจะไปซื้อเสื้อผ้าที่เมืองเล็กก็ดี หรือจะไปเอาเสื้อผ้าของเขาที่ตรอกหนีผิงก็ได้ รีบไปรีบกลับ อีกไม่นานเฉินผิงอันก็น่าจะตื่นแล้ว”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วเตรียมจะจากไป


เด็กชายชุดเขียวจ้องเว่ยป้อเขม็งด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”


เว่ยป้อคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่ที่นี่”


เด็กชายชุดเขียวโยนทองก้อนหนึ่งให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “นอกจากซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นายท่านแล้ว พวกเราสองคนก็ต้องมีชุดใหม่ด้วย”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มตอบ “ข้าไม่ต้องใช้หรอก”


เด็กชายชุดเขียวตีหน้าเคร่ง “ข้าก็แค่พูดกับเจ้าไปตามมารยาทเท่านั้น”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางวิ่งปรู๊ดลงจากเรือนไม้ไผ่ ดิ่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็นั่งอยู่บนราวระเบียง หันหลังให้กับเฉินผิงอันที่นอนและเว่ยป้อที่นั่งอยู่บนพื้น ความคิดของเขาล่องลอยไปไกล


เฉินผิงอันนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มกว่าจะตื่น หลังจากอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมชุดใหม่ เขาก็รู้สึกสดชื่นไปทั้งกาย ไม่ได้สวมรองเท้าสานเหมือนเวลาปกติ เขาเปลือยเท้ายืนอยู่กลางระเบียงชั้นสองของหอไม้ไผ่ ฝ่าเท้าของเขาเต็มไปด้วยรอยด้านชั้นหนาเหมือนหินเหล็ก รอยด้านแรกที่ได้มาตอนเด็กเพราะถูกรองเท้าสานเนื้อหยาบเสียดสี ภายหลังเริ่มหนาขึ้นทีละนิดเพราะย่ำเดินเหยียบหินกรวดและหนามต้นไม้บนภูเขา


บนมวยผมของเฉินผิงอันยังปักปิ่นหยกสีขาวชิ้นนั้นเอาไว้ บนปิ่นสลักตัวอักษรเล็กแปดตัวที่เขาแกะสลักเองกับมือ


เขาโอบกระบี่ไม้ไหวมาไว้ในอ้อมอก ทอดสายตามองเหม่อไปทางทิศใต้


เว่ยป้อที่จากไปย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาเอายาบางส่วนกลับมาด้วย บอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยต้ม ยานี้นำมาใช้บำรุงพลังต้นกำเนิดและให้ความอบอุ่นแก่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง จึงคิดจะลงมือเอง แต่ให้ตายนางก็ไม่ยอมให้เขาทำ ดวงหน้าเล็กๆ สีแดงก่ำนั้นขมวดมุ่นจนยับย่น ท่าทางน่าสงสารราวกับว่าพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำ เฉินผิงอันไม่อาจทนมองได้ จึงได้แต่วางมืออย่างไม่สบายใจนัก


เด็กชายชุดเขียวเดินเตร่ไปทั่วทิศ คล้ายราชาแห่งแคว้นที่เดินสำรวจดินแดนของตัวเอง วันนี้เขาขึ้นไปบนภูเขา บนยอดเขามีศาลเทพภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในจัดวางรูปปั้นเทพภูเขาประหลาดที่มีศีรษะเป็นสีเหลืองทอง ตัวศาลยังก่อสร้างไม่เสร็จ ยังเหลือเก็บงานช่วงท้ายอีกเล็กน้อย ดังนั้นที่นี่จึงมีขุนนางของกรมโยธาธิการต้าหลี นักพรตที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้มาช่วยงาน บวกกับชาวบ้านร่างกำยำของเมืองเล็กและชาวบ้านผู้ลี้ภัยอยู่ปะปนกันมั่วไปหมด


เวลานี้เว่ยป้อยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “จะดีจะชั่วก็ไม่เจ็บตัวเปล่าเพราะการปะทะที่วุ่นวายครั้งนั้น ในที่สุดก็ใกล้จะขยับเข้าขอบเขตสามแล้ว”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก เดิมทีนึกว่าอย่างน้อยยังต้องรออีกสามถึงห้าปี”


“คุยกันได้ยาก น่าเบื่อ ไปล่ะ”


เว่ยป้อหลุดหัวเราะพรืด โคลงศีรษะเดินจากไป คราวนี้เขาไม่ได้บินไปบินมา แต่เดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเรือนไม้ไผ่ไปทีละก้าว


หลังจากร่างของเว่ยป้อหายไป เฉินผิงอันก็ตบไปที่หัวใจตัวเองแล้วพูดพึมพำ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ค่อยเต็มใจ ไม่อยากอยู่กับข้า”


เสียงของเฉินผิงอันแผ่วต่ำ “เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่คนนั้นต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่น ถึงทำให้เจ้าตื่นเต้นได้ขนาดนี้ นี่เป็นเรื่องปกติ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตแปดขอบเขตเก้า เทพเซียนบนภูเขาที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าข้ามากมาย แต่ช่วยไม่ได้ ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเป็นผู้มอบเจ้าให้กับข้า ดังนั้นหากข้ายังไม่ตาย เจ้าก็ไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น…”


ความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้านส่งมาจากหัวใจของเฉินผิงอันระลอกหนึ่ง ลูกกระเดือกเขาขยับเคลื่อนเบาๆ เพราะเลือดสดจะพุ่งออกจากปาก


เฉินผิงอันกัดฟันแน่น ฝืนกลืนเลือดอึกนั้นลงไป คำพูดที่ดังออกมาจึงคลุมเครือไม่ชัดเจน “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่า เจ้าสามารถสังหารข้าได้อย่างง่ายดาย ทว่าด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่อาจฆ่าข้าได้ ดังนั้นสภาพการณ์ของเจ้าจึงน่ากระอักกระอ่วนอย่างมาก ถูกไหมล่ะ?”


ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันใช้มือปาดคราบเลือดสองเส้นที่ไหลออกมาจากรูจมูก “ไม่เป็นไร ข้ายังมีเสื้อผ้าสะอาดอยู่บนภูเขาอีกหลายตัว อีกอย่างสาวใช้ตัวน้อยของข้าเป็นงูหลามไฟ ถอดเสื้อซักเมื่อไหร่ก็สามารถตากให้แห้ง แล้วเอามาใส่ต่อได้ทันที เจ้ามีความสามารถก็พุ่งชนช่องลมปราณข้าต่อได้เลย หึหึ ข้าเฉินผิงอันไม่ได้โม้กับเจ้าหรอกนะ แต่ความลำบากแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย ตอนอายุห้าขวบ ข้าเคยเจอมายิ่งกว่านี้แล้ว”


นั่นคือตอนที่ในท้องปวดบิดเหมือนถูกมือเคล้น ดุจแม่น้ำซัดโหม ดั่งทะเลพลิกคว่ำ


เฉินผิงอันที่ยืนเปลือยเท้าอยู่กลางระเบียง ยังคงกอดกระบี่ไม้ไหวไว้ในอ้อมอก สายตาเด็ดเดี่ยว เพียงแต่น้ำเสียงสั่นสะท้านน้อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ “หากข้าร้องออกมาแม้แต่เอะเดียว วันหน้าเจ้าก็คือบรรบพบุรุษของข้า”


ช่องโพรงลมปราณสิบแปดแห่ง ด่านสิบแปดด่าน ระหว่างช่องที่หกกับเจ็ด สิบสองกับสิบสามดูเหมือนจะมีปราการธรรมชาติสองแห่งที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้


ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันโคจรลมปราณก็ผ่านแค่หกช่องโพรงในรวดเดียว แม้ว่าลมปราณเฮือกนั้นจะยังไม่ถึงกับหมดแรงเป็นม้าตีนปลาย แต่ก็เหมือนว่าไม่มีทางเบื้องหน้าให้เดินต่ออีกแล้ว ได้แต่พุ่งเข้าชนกำแพง และย้อนกลับมามือเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้หลังจากผสานตัวอ่อนกระบี่สีเงินเข้ากับกลางฝ่ามือได้อย่างน่าประหลาด ก็ยังได้แค่แตะสัมผัสเข้ากับด่านอันตรายที่เจ็ดในรวดเดียว เพราะดูเหมือนคอขวดอันเป็นอุปสรรคระหว่างด่านที่หกและเจ็ดจะยังได้แค่คลายตัวนิดหน่อยเท่านั้น


ก็เหมือนกับว่ามีคนที่มุมานะซ่อมถนนสร้างสะพาน แรกเริ่มยังมองเห็นภาพของฝั่งตรงข้ามอย่างเลือนราง แต่ก็จะเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่ขยับเข้าใกล้


อีกทั้งเมื่อเทียบกับการหล่อหลอมร่างกายด้วยการฝึกวิชาหมัดและฝึกเดินนิ่ง การที่ปราณกระบี่อาละวาดอยู่ในร่างกายจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่า เฉินผิงอันที่ค่อนข้างกดดันจำเป็นต้องใช้วิธีฝึกควบคู่กันไปทั้งภายในและภายนอก


ก็เหมือนกับมีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันคิดอยากจะเปิดภูเขาสร้างทางมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้ลงมือ กว่าฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม ความก้าวหน้าจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า


แต่เมื่อตัวอ่อนกระบี่ผสานเข้าไปในช่องโพรง ผลก็เหมือนตอนที่เด็กชายชุดเขียวเผยร่างจริงเลื้อยผ่านกลางป่าเขา ต่อให้มี ‘ทางภูเขา’ ที่ขรุขระปรากฏขึ้นมา เฉินผิงอันก็แค่ต้องเดินตามก้นมัน คอยซ่อมแซมบำรุง คอยขุดคอยเติมอย่างต่อเนื่องก็พอ


เฉินผิงอันไม่กลัวความลำบาก แต่ใต้หล้านี้ก็ไม่มีสักกี่คนที่ชื่นชอบความลำบากจริงๆ แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


แต่หากความลำบากสามารถเปลี่ยนมาเป็นผลประโยชน์ได้ เฉินผิงอันก็ยอมหาความลำบากใส่ตัวอย่างไม่ลังเล


เพราะอยู่อย่างเดียวดาย ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาหลายปี เฉินผิงอันจึงเข้าใจหลักการข้อหนึ่งนานแล้ว มนุษย์เราอยู่บนโลกใบนี้ หลายคนต้องทำอะไรหลายอย่าง ลำบากก็คือลำบาก ก็แค่ต้องทนรับให้ได้เท่านั้น


หว่านพืชใดย่อมได้ผลของพืชนั้น? ก็ต้องดูว่าเทวดาที่ชอบงีบหลับจะอนุญาตหรือไม่


คงต้องเอาทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ไปเก็บไว้ที่ร้านตีเหล็กของบ้านแม่นางหร่วน ภูเขาลั่วพั่วมีคนเยอะเกินไป เฉินผิงอันไม่วางใจ


ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะมีหลี่ซีเซิ่งอยู่ด้วย ต่อให้เฉินผิงอันอยู่หน้าบ้านตัวเองในตรอกหนีผิง เกรงว่าก็คงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่อยู่ดี


มิน่าเล่าเด็กชายชุดเขียวถึงชอบพร่ำท่องประโยคว่ายุทธภพอันตรายอยู่ตลอดเวลา


เฉินผิงอันเอียงศีรษะไปด้านหนึ่ง ยื่นมืออุดปากฉับพลัน ทันใดนั้นเลือดสดๆ ก็ไหลลอดนิ้วมือของเขาออกมา


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แบมือออกดูก็เห็นแต่เลือดสีแดงสด


 —————————

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)