อัจฉริยะสมองเพชร 1850-1853

 ตอนที่ 1850 คนจริงน่าสะพรึง

ร่างนั้นไม่ได้สูงหรือดูสง่างามนัก รังสีที่เขาแผ่ออกมาก็ไม่มีอะไรพิเศษ แต่การปรากฏตัวของเขาทำให้ทั้งสองฝ่ายยับยั้งการโจมตีทันทีและยืนตัวแข็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว


“เกิดอะไรขึ้น?” ฝูงชนที่อยู่ในจัตุรัสพากันงงงันกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างปุบปับ


เมื่อครู่นี้ทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ใช่หรือ? แล้วจู่ๆมาหยุดเพียงเพราะใครคนหนึ่งสั่งห้าม?


“ผู้นั้นจะต้องสกัดกั้นมิติโดยรอบไว้โดยใช้อำนาจพิเศษบางอย่างเพื่อกดข่มพวกเขา ทำให้ไม่มีใครเคลื่อนไหวได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ฝูงชนกำหมัดแน่นขณะตั้งข้อสังเกต


เขาเคยได้ยินว่าผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ก้าวสู่จักรวาล จะสามารถใช้การสกัดกั้นมิติเป็นวิถีทางในการโจมตีและเล่นงานคู่ต่อสู้ให้จนมุมได้ เป็นไปได้ว่าชายที่เพิ่งปรากฏตัวน่าจะใช้วิธีการนั้นกับอำมาตย์เฉินหย่งและกลุ่มผู้ลอบสังหาร


ไม่อย่างนั้น ทำไมทั้งสองฝ่ายจึงหยุดการโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับวางแผนไว้ล่วงหน้า?


“ถ้าเขาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่กับคนอื่นๆได้พร้อมกันในคราวเดียว…เขาจะต้องทรงพลังแค่ไหน?”


“หรือว่าชายผู้นั้นคือ…เทพเจ้าผู้ชี้แนะอำมาตย์เฉินหย่ง?”


“พอคุณพูดขึ้นมา ร่างนั้นก็ดูจะคล้ายคลึงกับชายที่ปรากฏตัวในวันนั้น แต่ระหว่างการต่อสู้ พวกเขาบินสูงมาก ผมจึงมองเห็นไม่ชัด แต่ก็…ดูเหมือนเขามากทีเดียว!”


“ไม่แปลกใจแล้วที่เขาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ของทุกคนได้…”


…..


ฝูงชนต่างนัยน์ตาเบิกโพลงและเต็มไปด้วยความยำเกรง


ถ้าพวกเขาเคยแคลงใจในสิ่งที่ได้ฟังจากนักเล่านิทานว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มีผู้ชี้แนะที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเทพเจ้า แต่หลังจากเห็นภาพนี้ ทุกความแคลงใจก็สลายไป


พละกำลังของบุคคลนั้นดูจะเหนือชั้นเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้


“ว่าอย่างไร?”


นักปราชญ์โบราณจำนวนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนส่งโทรจิตหากัน


“ผมมองไม่เห็นวรยุทธของเขา แต่การที่เขายับยั้งผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้พร้อมกันในคราวเดียวก็บ่งบอกแล้วว่าพละกำลังของเขาน่าจะเข้าถึงระดับการฟื้นคืนชีพของสายเลือด!”


“เป็นไปได้จริงๆหรือที่จะมีผู้เ****วชาญที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในโลกของเรา?”


“อย่าลืมอำมาตย์ไอ้โหดและปรมาจารย์ขงสิ ในยุคสมัยของพวกเขา ระดับวรยุทธอย่างพวกเราน่ะเทียบชั้นอะไรกับเขาไม่ได้เลย…”


“คุณพูดถูก การที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิดและเทพเจ้าลงมาจากสรวงสวรรค์…ก็ไม่น่าประหลาดใจอะไรที่นักรบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งคนหนึ่งจะปรากฏตัวในตอนนี้ เขาสำแดงการสกัดกั้นมิติได้พร้อมๆกับปกปิดสายตาของพวกเราได้ด้วย ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย…ผมหยั่งไม่ถึงจริงๆว่าแท้ที่จริงแล้วเขาทรงพลังแค่ไหน!”


…..


นักปราชญ์โบราณจำนวนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนหารือกันอย่างเคร่งเครียด ยิ่งพูดกันมากเท่าไหร่ ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งซีดเผือด


ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามองไม่เห็นวรยุทธของร่างที่อยู่กลางอากาศนั้นก็ถือเป็นเหตุผลหลักที่จะสร้างความหวาดกลัวแล้ว


แน่นอนว่าอาจเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะคิดมากไป แต่ด้วยพละกำลังมหาศาลที่ชายผู้นั้นสำแดงออกมาระหว่างการต่อสู้ครั้งใหญ่เมื่อเดือนก่อน ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะหวาดผวาอย่างหนัก


สามารถสังหารเทพเจ้าที่ลงมาจากมิติเบื้องบนได้ด้วยการขว้างหนังสือเล่มหนึ่งใส่เขา…ถ้าชายผู้นั้นมีพละกำลังมากขนาดนั้นจริงๆเพียงแค่จากการขว้างหนังสือ พวกเขาก็จินตนาการไม่ถูกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากอีกฝ่ายขว้างดาบหรือหอกเข้าใส่พวกเขา!


…..


“ท่านอาจารย์…”


เห็นร่างนั้น หลิวหยางไม่กล้าขยับตัว ขณะที่เขากำลังสงสัยว่าท่านอาจารย์จะทำอะไร ก็เห็นอีกฝ่ายเดินไปหาเจิ้งหยาง จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะเสยยอดอกของเจิ้งหยางโดยไม่บอกไม่กล่าว


เจิ้งหยางตัวงอด้วยความหวาดกลัวแรงเตะนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบโต้ ก็ถูกสอยกระเด็นไปกองกับพื้น


“เมื่อครู่นี้คุณมัวทำบ้าอะไร? ถ้ายั้งมือไว้สัก 1 ใน 3 อึดใจ พละกำลังของหอกนั้นก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก! แต่คุณก็รีบร้อน…ไม่มีเวลาขนาดนั้นเลยหรือไง! จะรีบไปเกิดใหม่หรือ?”


“ส่วนคุณ! เป็นบ้าอะไรถึงกวัดแกว่งดาบไปทั่วอย่างนั้น กระแสดาบฉีของคุณอยู่ไหน? เจตจำนงเพลงดาบอยู่ไหน? คิดจริงๆหรือว่าจะเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าครึ่งๆกลางๆแบบนี้ได้?”


“ส่วนคุณ ไม่มีสมองหรือไง? คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานเพียงเพราะมีความสามารถในการป้องกันตัวเหนือชั้นกว่าคนอื่นใช่ไหม? ใช้แผงอกของตัวเองรับหมัด ภาคภูมิใจในความถึกของตัวเองงั้นสิ? แล้วหมัดของคุณน่ะมีไว้ทำอะไร? สมงสมองหายไปไหนหมด? รู้จักแต่จะเดินพล่านไปทั่วเท่านั้น! เป็นควายหรือไงถึงคิดไม่เป็น?”


“พวกคุณน่ะไม่ได้เรื่อง! กล้าเรียกสิ่งที่ทำอยู่ว่าการต่อสู้หรือ? ถ้าผมต้อนหมูมาสักฝูงและฝึกพวกมันสัก 3 วัน พวกมันก็คงทำได้ดีกว่าพวกคุณทุกคนเสียอีก!”


…..


จางเซวียนยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาชี้กราดไปที่ศิษย์สายตรงทุกคนและตำหนิอย่างรุนแรง


คำสอนของผมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของพวกคุณใช่ไหม?


ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แล้วดูสิว่าทักษะของพวกคุณแปรสภาพไปเป็นอะไร? ผมคงอับอายขายหน้าจนตายแน่หากใครรู้ว่าพวกคุณเป็นศิษย์สายตรงของผม!


ในฐานะปรมาจารย์ผู้หยิ่งผยองในศักดิ์ศรี มันเกิดอะไรขึ้น ผมถึงต้องมีลูกศิษย์งี่เง่าอย่างพวกคุณ!


ได้ยินคำตำหนิของท่านอาจารย์ ใบหน้าของจ้าวหย่า เจิ้งหยางและคนอื่นๆต่างแดงก่ำด้วยความละอาย ถ้ามีหลุมมีรูอยู่ที่พื้น พวกเขาคงมุดลงไปเสียแล้ว


ทุกคนต่างคิดว่าท่านอาจารย์จะภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาหมั่นเพียรฝึกฝนมาตลอด 2 เดือน แต่ใครจะไปรู้ว่าจะทำให้ท่านอาจารย์บันดาลโทสะขนาดนี้?


แต่ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์พูดมีเหตุผล เพราะถึงแม้ระดับวรยุทธของพวกเขาจะก้าวหน้าขึ้นอีกมาก แต่ลงท้ายทุกคนก็ละเลยทักษะที่ตัวเองมี ทำให้กระบวนท่าที่สำแดงออกไปออกจะสะเปะสะปะ


ไม่อย่างนั้น ด้วยการผนึกกำลังกันของพวกเขา พวกเขาก็น่าจะเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ได้อย่างง่ายดายไปแล้ว!


หลังจากตำหนิเจิ้งหยางกับคนอื่นๆแล้ว จางเซวียนก็หันไปหาหลิวหยางแล้วตั้งต้นติเตียนตั้งแต่หัวจรดเท้า


“คุณเองก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน! คิดจะทำอะไร? ทั้งหวาดกลัวและลังเลในทุกกระบวนท่า…นี่คือสิ่งที่อำมาตย์อย่างคุณควรทำหรือ? อำมาตย์บ้านคุณน่ะสิ! ทุกกระบวนท่าของคุณล้วนแต่ปราศจากจิตวิญญาณ ถ้าก่อนหน้านี้คุณพุ่งเข้าใส่และยืนหยัดต้านทานพวกเขา ก็จะทำลายศิลปะเพลงดาบของเธอและจัดการเจ้าหนุ่มที่ใช้หอกให้กระเด็นไปได้อย่างสบาย การต่อสู้ก็จะจบลงทันที คุณจะไม่ต้องเจอปัญหามากมายอย่างตอนนี้!”


ผ่านไปแค่ 1 เดือน วรยุทธของหลิวหยางก็ผิดเพี้ยนไปหมด ไม่ต่างอะไรกับการวิ่งหาความตาย


เขาควรจะเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนและมีมารยาท แต่เมื่อเห็นทั้งกลุ่มเกะกะเพ่นพ่านแบบนี้ ความสุขุมเยือกเย็นที่มีก็หายวับไปหมด


“ท่านอาจารย์ ผม…” หลิวหยางหน้าแดงก่ำขณะพยายามจะพูด แต่ก็พูดไม่ออก


จางเซวียนคร้านจะเสียเวลา เขาโบกมือและพูดต่อ “พอที ผมจะพาเจ้าพวกนี้ไป ดำเนินพิธีการสถาปนาของคุณต่อ และมาพบผมเมื่อเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว”


ฟึ่บ!


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆถูกจับโยนเข้าไปในรังนางพญามดก่อนที่จางเซวียนจะหายวับไป


“นี่มันการต่อสู้ในตำนานชัดๆ ว่าแต่ในสายตาของเขา…มันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ? ถึงขนาดที่เขาหมดความอดทนจนต้องเข้าขัดขวางการดวลเพื่อให้คำชี้แนะ?”


“เพราะฉะนั้น เหตุผลที่เขายับยั้งการต่อสู้ก็เพราะรู้สึกว่ามันย่ำแย่เกินไปจนทนดูไม่ไหวใช่ไหม?”


“แต่นั่นคือการต่อสู้ที่ล้ำลึกมากเลยนะ! ถ้าเขาทนดูอะไรแบบนี้ไม่ได้ แล้วพวกเราจะถูกฆ่าตายกันหมดไหมถ้าสำแดงกระบวนท่าให้เขาเห็น?”


…..


ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างพากันตัวสั่น พูดอะไรไม่ออก


การต่อสู้ระหว่างอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่กับทีมลอบสังหารนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ควรค่าพอจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ นับเป็นเกียรติยศไปอีกหลายพันหลายหมื่นปี แต่ในสายตาของเทพเจ้าองค์นั้น มันไม่ต่างอะไรกับคบเด็กสร้างบ้าน!


ความจริงข้อนี้ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ แม้จะได้เห็นกับตา


“หัวหน้า พวกเราจะยัง…ดำเนินการโจมตีต่อไหม?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ฝูงชนถามขึ้นอย่างปุบปับ


“โจมตีบ้านคุณน่ะสิ! ผมยังไม่เข้าใจการสู้รบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเราดำเนินการโจมตีต่อ จะไม่ถูกเล่นงานจนตายหรือ? ฟังคำสั่งของผมนะ! นับจากวันนี้ไป ไม่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะสั่งการอะไร เชื้อสายตระกูลของพวกเราจะต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข ห้ามใครออกเสียงคัดค้านแม้แต่คนเดียว!” หัวหน้ากัดฟันกรอดและสั่งการ


อาจดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งตั้งข้อสังเกตง่ายๆเพียงไม่กี่ข้อ แต่ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบแหลมของเขา หัวหน้าดูออกว่าคำพูดเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา เพียงแค่การทำความเข้าใจเศษเสี้ยวหนึ่งของภูมิปัญญานั้นก็อาจทำให้คนคนหนึ่งเห็นทางสว่างแล้ว


นี่คุณถามผมจริงๆใช่ไหมว่าเราควรจะโจมตีหรือเปล่า หลังจากได้เห็นแล้วว่าผู้นั้นมีสติปัญญาเรื่องการต่อสู้ล้ำลึกขนาดไหน? คุณมันบ้า! หาสมองมาใส่หัวหน่อยเถอะ!


สิ่งที่เราควรทำตอนนี้น่ะคือไม่ทำอะไรเลย! ถ้ายังอยากเห็นพระจันทร์สีเลือดขึ้นทางทิศเหนือในวันพรุ่งนี้ ก็ควรปิดปากไว้ให้สนิท!


ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นทั่วไปในหมู่ฝูงชน


แม้อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะใช้พละกำลังกำราบฝ่ายตรงข้ามแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานภาพของเขายังไม่มั่นคงนัก ยังมีผู้คนอีกมากมายที่อยากทำลายเสถียรภาพของเขาเพื่อให้ได้ผลประโยชน์บางอย่าง แต่นับจากวินาทีที่ผู้ชี้แนะของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ปรากฏตัวและทำการสกัดกั้นมิติ ทำให้ทั้งสองฝ่ายยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะตวาดกร้าวใส่ทุกคนเพื่อตำหนิเรื่องการใช้เทคนิคที่ไม่ดีพอของพวกเขา…นั่นแหละ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำลายความกล้าหาญของพวกเขาได้เท่าสิ่งนั้น


พวกเขาเห็นแล้วว่าชะตากรรมเลวร้ายรอคอยอยู่หากบังอาจลุกขึ้นต่อต้านอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่


อีกฝ่ายมีผู้ให้คำชี้แนะที่น่าสะพรึงจริงๆ!


ตอนที่ 1851 จางเซวียนเทศนา

“เจ้าพวกโง่เง่า! ลืมสิ่งที่ผมสอนพวกคุณมาตลอดทั้งปีแล้วหรือไง?”


จางเซวียนถลึงตาใส่บรรดาลูกศิษย์ที่คุกเข่าเป็นแถวตรงหน้าเขา เขาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว แค่เห็นหน้าเจ้าพวกนี้ ความโกรธของเขาก็พุ่งปรี๊ดทะลุเพดานแล้ว


หากใครสักคนอยากยกระดับวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ก็จะต้องบ่มเพาะทั้งวรยุทธ พลังงาน และสภาพจิตใจอย่างต่อเนื่อง กระบวนการการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องจะสร้างความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในร่างกายของผู้นั้น และเมื่อถึงตอนนั้นจึงจะพอมีความหวังว่าจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติและก้าวเข้าสู่มิติเบื้องบนได้


แต่เจ้าพวกนี้ปล่อยให้ระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่พยายามกดข่มไว้เลยแม้แต่น้อย…แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด


มีกันอยู่ถึง 6 คน แต่เกือบจะพ่ายแพ้ให้หลิวหยางทั้งที่ผนึกกำลังกัน เรื่องนี้เลวร้ายมาก! ตลอด 1 ปีที่ผ่านมานี้พวกเขาร่ำเรียนอะไรกัน?


ทำแบบนี้ยังเรียกว่าการผนึกกำลังได้หรือ?


หากหมูสักฝูงหนึ่งฟังคำชี้แนะของผม ก็คงทำได้ดีกว่านี้เสียอีก!


“ท่านอาจารย์ คุณคงคิดว่าพวกเราให้ค่ากับวรยุทธเหนือสิ่งอื่น…” เจิ้งหยางพึมพำ แต่แล้วก็ถูกขัดด้วยคำพูดของจางเซวียนที่ทะลุทะลวงราวกับกริช


“เรากำลังพูดกันถึงการศึกษาเล่าเรียนของคุณนะ! ในสมองของคุณน่ะคงล่องลอยทะลุไปถึงท้องฟ้าแล้วกระมังเพียงเพราะคุณได้เป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว!” จางเซวียนคำราม


เขาหันไปสั่งการลู่ชง “คุณมีระดับวรยุทธสูงที่สุดในหมู่พวกเขา ปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณเข้าใส่ผมเดี๋ยวนี้!”


“ผม?”ลู่ชงผงะ “แต่ท่านอาจารย์ คุณเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก…”


ตัวเขาเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้วขณะที่ท่านอาจารย์ของเขายังเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ถ้าเขาควบคุมพละกำลังไว้ได้ไม่ดีพอและพลั้งมือทำร้ายท่านอาจารย์จนได้รับบาดเจ็บ…


“แล้วไง? คุณสบประมาทอาจารย์ของคุณเพียงเพราะตอนนี้คุณแข็งแกร่งขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนตวาดลู่ชงอย่างหงุดหงิด


“มะ-ไม่ใช่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…” ลู่ชงลนลานส่ายหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี หุบปากแล้วสำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา!” จางเซวียนสั่งการ


“ดะ-ได้” ลู่ชงกัดฟัน จากนั้นก็ถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้วและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน


ลำพังแค่พลังจิตวิญญาณที่พวยพุ่งออกจากร่างของเขาก็มากพอจะทำให้เกิดพายุปั่นป่วนแล้ว


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจ้องเขม็ง เตรียมพร้อมเข้าช่วยหากพบว่าท่านอาจารย์ตกอยู่ในอันตราย


แน่นอนว่าท่านอาจารย์ของพวกเขามีทั้งความสามารถและความปราดเปรื่อง แต่ช่องว่างระหว่างวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานกับขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดนั้นห่างกันเกินไป หากท่านอาจารย์ได้รับบาดเจ็บเพราะความเลินเล่อของพวกเขา ก็จะกลายเป็นตราบาปครั้งใหญ่


ขณะที่ทุกคนกำลังกังวลใจเรื่องจางเซวียน เจ้าตัวก็ยกแขนขึ้นและสะบัดเบาๆโดยแทบไม่ชำเลืองมอง


พลั่ก!


ก่อนที่ลู่ชงจะทันได้โต้ตอบ จิตวิญญาณอันใหญ่โตของเขาก็ถูกสอยร่วงลงไปกองกับพื้น เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ราวกับถูกหินก้อนใหญ่ทับอยู่


“นี่หรือคือพละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดที่คุณภูมิใจนักหนา?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


“ผม…” ลู่ชงหน้าแดงก่ำขณะพูดอะไรไม่ออก


คนอื่นๆก็พากันตาโตอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นภาพนั้น


พวกเขารู้ดีว่าลู่ชงแข็งแกร่งแค่ไหน เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงของจางเซวียน แต่แม้ตัวเขาก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีแบบเบาะๆของท่านอาจารย์ได้…


ท่านอาจารย์เป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกจริงๆหรือ?


“อย่ามัวเสียเวลาน่ะ พวกคุณน่ะเข้ามาหาผมพร้อมกันเลย ใช้กระบวนท่าที่คุณตั้งใจจะสำแดงออกไปเพื่อยับยั้งอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ ส่งมันมาเล่นงานผมให้หมด!” จางเซวียนคลายแรงกดดันที่กดทับลู่ชงไว้และคำราม


“ได้…” จ้าวหย่า เจิ้งหยาง กับคนอื่นๆมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง


เมื่อครู่นี้พวกเขายังคงกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านอาจารย์ แต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายเล่นงานลู่ชงจนหมดสภาพได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ความกังวลเหล่านั้นก็หายไปจากใจจนหมดสิ้น


แม้จะมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนทุกอย่างระหว่างพวกเขากับท่านอาจารย์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ท่านอาจารย์ยังคงตำหนิพวกเขาและให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธ การเห็นความไม่เปลี่ยนแปลงอันนี้ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ทั้งอบอุ่นและปั่นป่วนในเวลาเดียวกัน


ทั้ง 6 คนพร้อมใจกันปล่อยรังสีของพวกเขาออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบเกิดเสียงกึกก้องราวกับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรที่กำลังซัดสาด


ฟึ่บ!


จ้าวหย่าเป็นคนแรกที่โจมตี กระแสดาบฉีของเธอแผ่ซ่านไปทั่วพื้นที่ กวาดทุกอย่างที่อยู่โดยรอบด้วยพละกำลังมหาศาลของพายุเฮอริเคน พร้อมกันนั้น อีก 5 คนก็สำแดงกระบวนท่าของตัวเองโดยผนึกกำลังกัน พยายามทำให้แน่ใจว่าปิดกั้นจุดอ่อนทั้งหมดเอาไว้ได้และเสริมการโจมตีของจ้าวหย่าให้เฉียบคมและน่าสะพรึงยิ่งขึ้น


จางเซวียนยืนอยู่ท่ามกลางพายุ เขาดูเหมือนประภาคารโดดเดี่ยวที่ยืนตระหง่านอยู่ในทะเลปั่นป่วน พร้อมที่จะถูกคลื่นอันเกรี้ยวกราดกลืนกินได้ทุกขณะ


หากมองจากสายตาของคนนอก นี่ไม่ใช่การดวลที่ยุติธรรมเลย


จางเซวียนก้าวออกมาก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย


บึ้มมม!


ราวกับคลื่นพลังงานขนาดใหญ่นั้นถูกบังคับไว้ได้อย่างสิ้นเชิง กระแสพลังงานเกรี้ยวกราดที่กวาดอยู่กลางอากาศหยุดกึก ทั้งจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆถอยกรูดไปหลายก้าวขณะที่รู้สึกได้ถึงการกระตุกอย่างแรงของพลังปราณที่อยู่ภายใน ทำให้ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด


“นี่คือข้อบกพร่องข้อแรกของพวกคุณ!” จางเซวียนประกาศขณะเดินหน้าช้าๆ “ทำต่อไป!”


จ้าวหย่ากับพรรคพวกมองหน้ากันก่อนจะเข้าตีวงล้อมจางเซวียนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่การผนึกกำลังกันของพวกเขาจะเสร็จสิ้น จางเซวียนก็ดีดนิ้ว แล้วทุกคนก็ถูกสอยกระเด็นไป


คราวนี้แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่าเดิม


“ทำต่อไป!”


ทุกคนเกือบหมดความอดทนแล้ว แต่ด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของท่านอาจารย์ พวกเขาก็ได้แต่กัดฟันและเดินหน้า


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ในทุกครั้ง แต่ละคนจะถูกสอยกระเด็นไปอย่างง่ายดายภายในช่วงเวลาเพียง 2 อึดใจ อาการบาดเจ็บรุนแรงเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกราวกับว่าจะทรุดฮวบลงไปได้ทุกขณะ


สิ่งนี้ดำเนินไปหลายสิบหนกว่าที่จางเซวียนจะหยุดกระบวนการ เขาปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างของบรรดาลูกศิษย์ด้วยการโบกมือ พร้อมกันนั้นก็โยนขวดหยกขึ้นไปกลางอากาศและแบ่งหยดเลือดนักปราชญ์โบราณที่อยู่ภายในขวดให้ลูกศิษย์แต่ละคน


ฟิ้วววว!


การได้ซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดทำให้บรรดาลูกศิษย์ของจางเซวียนฟื้นคืนพละกำลังได้อย่างรวดเร็ว บาดแผลก็สมานตัวและหายไป ภายใต้สถานการณ์ปกติ ระดับวรยุทธของพวกเขาควรจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แทนที่จะเพิ่มสูงขึ้น มันกลับลดลง


ภายในไม่ถึง 10 นาที วรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์ขั้นต้นของเจิ้งหยางก็ร่วงลงไปเป็นนักปราชญ์ขั้น 1-การสืบทอดสายเลือด และยังมีทีท่าว่าจะร่วงต่อไปอีก


วรยุทธของจ้าวหย่าร่วงจากขั้นการสืบทอดสายเลือดโลกจารึกลงไปเป็นสมบูรณ์แบบ


แต่สิ่งที่น่างุนงงก็คือแม้ระดับวรยุทธของพวกเขาจะตกฮวบ แต่กลับพบว่าประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้น


โดยเฉพาะกับลู่ชง เขาเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นต้น แต่ก็ถอยลงไปเป็นขั้นบรมครูนักปราชญ์หลังจากถูกท่านอาจารย์สั่งสอน แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของเขาเพิ่มสูงและเข้มข้นกว่าเดิม ทำให้ปลดปล่อยพละกำลังที่มีอานุภาพทำลายล้างได้มากขึ้น


ไม่เพียงเท่านั้น จิตวิญญาณของเขายังแสดงสัญญาณของการปกปิดตัวเองด้วย หากเขาเปิดเผยตัว ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ยังทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเป็นแค่จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา


“แก่นสารของวรยุทธไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการยกระดับวรยุทธหรือความแข็งแกร่งที่คุณสำแดงออกมา ถ้าคุณไม่อาจสร้างรากฐานของคุณให้มั่นคง ก็ไม่มีทางจะไปได้ไกล ทำได้แค่สร้างปราสาททรายกลางอากาศ” เมื่อเห็นว่าบรรดาลูกศิษย์เริ่มจะเข้าใจรางๆถึงสิ่งที่เขาพยายามทำ จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังและตั้งข้อสังเกต


การศึกษาคือการชี้แนะลูกศิษย์ให้เดินไปตามเส้นทางที่เหมาะสมกับแต่ละคนมากที่สุด บรรดาลูกศิษย์ของเขาไม่ใช่เด็กน้อยที่จะต้องคอยตามประกบทุกย่างก้าวแล้ว แต่ทุกคนก็ยังมีทีท่าที่จะหลุดไปจากเส้นทางที่ถูกต้องทันทีที่พ้นจากคำชี้แนะของเขา


ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่ชี้แนะวรยุทธหรือสั่งสอนคนเหล่านี้ด้วยการบีบบังคับให้เดินตามเส้นทางเดียวกับเขา สิ่งที่เขาอยากบอกกับบรรดาลูกศิษย์ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าวรยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะรีบร้อนทำให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น


กุญแจคือความอดทน


นี่คือเรื่องเดียวกันกับการที่เขายอมเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกมาเกือบเดือน เขาไม่รีบร้อนฝ่าด่านวรยุทธ แต่กลับรอคอยอย่างอดทนให้เกิดแรงบันดาลใจและภูมิปัญญาขึ้นมา


“ความคาดหวังของผมที่มีต่อพวกคุณไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นนักปราชญ์โบราณ ผมอยากให้พวกคุณไปได้ไกลกว่านั้น!” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม


“ถ้าพวกคุณไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้ ก็ไม่จำเป็นต้องติดตามผมอีกแล้ว ลู่ชง ผมมอบพลังจิตวิญญาณให้คุณมากพอที่จะทำให้คุณสามารถสร้างรากฐานอันมั่นคงขึ้นได้ แต่คุณกลับทุ่มเททุกอย่างไปกับการยกระดับวรยุทธ ดังนั้น ผลที่ได้ก็คือพลังจิตวิญญาณของคุณที่หละหลวมมาก นี่คือสิ่งที่ผมสั่งสอนคุณหรือ? ในสภาพนี้ หากคุณพยายามฝ่าด่านคอขวด หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดล่ะก็ คุณจะถูกการทดสอบสายฟ้าเล่นงานจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านแน่!”


ทุกคนหน้าชาด้วยความอับอาย


พวกเขาเคยคิดว่าจะได้รับคำชมจากการที่ยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว ใครจะไปคิดว่ากลับกลายเป็นความล้มเหลว?


แต่เรื่องนี้ก็บ่งบอกชัดว่าท่านอาจารย์เอาใจใส่พวกเขามากแค่ไหน ทุกคนรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทันที


ในตอนนี้ บางสิ่งที่ดูจะเป็นความรู้สึกใหม่เริ่มเบ่งบานในสภาวะจิตของทุกคน


ตอนที่ 1852 อำมาตย์แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พวกคุณแยกย้ายกันฝึกฝนวรยุทธ!” จางเซวียนสั่งการ


เมื่อมีวรยุทธเหนือระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว การบรรยายของเขาก็ส่งผลช่วยเหลือบรรดาลูกศิษย์ได้น้อยเต็มที ที่สำคัญกว่าคือสติปัญญาและความขยันหมั่นเพียรของแต่ละคน


เพราะเขาถ่ายทอดทุกอย่างให้บรรดาลูกศิษย์มากเกินไป คนเหล่านั้นจึงสูญเสียความสามารถในการคิดค้นและสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวครั้งนี้


…..


หลังจากฝึกฝนวรยุทธไปได้ครู่หนึ่ง จู่ๆจ้าวหย่าก็ตั้งคำถาม “ท่านอาจารย์ อำมาตย์เฉินหย่งเป็นลูกศิษย์ของคุณด้วยหรือ?”


คนอื่นๆหันขวับมามอง


พวกเขารู้มาว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มีผู้ให้คำชี้แนะที่เก่งกาจทัดเทียมกับเทพเจ้า ทุกคนเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายต่อเติมเสริมแต่งขึ้นเองเพื่อเพิ่มอำนาจ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้ให้คำชี้แนะที่ถูกกล่าวขานถึงนั้น แท้ที่จริงแล้วจะเป็นท่านอาจารย์ของพวกเขาเอง!


“พวกคุณยังจำเขาไม่ได้อีกหรือ?” จางเซวียนส่ายหัว


“จำ?”


ทุกคนชะงัก


หวังหยิ่งเป็นคนแรกที่คิดออก เธอตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็ตั้งคำถามด้วยริมฝีปากสั่นเทา “หรือว่า…เขาคือศิษย์น้องหลิวหยาง?”


เมื่อครู่ก่อน เธอยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆระหว่างการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ อีกฝ่ายดูจะล่วงรู้ข้อบกพร่องของพวกเธอเป็นอย่างดีและจู่โจมได้ในช่วงเวลาคับขัน ทำให้สถานการณ์พลิกผันไป เรื่องแบบนี้อาจเป็นความบังเอิญหากเกิดขึ้นเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดการสู้รบก็บ่งบอกแล้วว่ามีบางอย่างน่าคิด


เธอยังสงสัยอยู่ว่าบางทีพวกเธออาจมีบางอย่างคล้ายคลึงกับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าอีกฝ่ายคือศิษย์น้องที่หายตัวไปจริงๆ ทุกอย่างก็จะเข้าทาง!


ว่าแต่…หลิวหยางเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ? แล้วเขากลายเป็นอำมาตย์เฉินหย่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้อย่างไร แถมการปลอมตัวของเขาก็แนบเนียนถึงขนาดที่ไม่มีใครมองออก!


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆถึงกับผงะกับการเปิดเผยครั้งนี้ พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทุกคนรีบหันไปมองจางเซวียน รอฟังคำยืนยันจากปากของท่านอาจารย์


“ใช่แล้ว” จางเซวียนพยักหน้า “เขาคือหลิวหยางจริงๆ เพราะความโชคดีบางอย่างที่หลิวหยางบังเอิญพบที่ทำให้เขาลงเอยด้วยสถานภาพนี้ แต่พวกคุณห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนะ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาและอันตรายใหญ่หลวง”


แม้พิธีสถาปนาของหลิวหยางจะทำให้เขาได้รับตำแหน่งอำมาตย์เพียงหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างชอบธรรม แต่อำนาจของเขาก็ยังต้องอาศัยความจริงที่ว่าเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ถ้าใครๆรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าจะต้องถูกเล่นงานภายในชั่วอึดใจเดียว สถานการณ์ที่เพิ่งเข้าที่เข้าทางจะกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ และความพยายามทั้งหมดของพวกเขา ก็จะสูญเปล่า


“เขาคือหลิวหยางจริงๆ…”


ได้ฟังคำยืนยันจากปากของท่านอาจารย์ จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเกิดความรู้สึกที่ปั่นป่วนระคนกันอยู่ข้างใน


พวกเขาเคยคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะยังคงรักษาตัวอยู่ และอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชำระมลทินให้กับชื่อเสียงของท่านอาจารย์ แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ของพวกเขาแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆได้ทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก?


เมื่อหลิวหยางได้เป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์อีกต่อไป


จางเซวียนส่งบรรดาลูกศิษย์ของเขาเข้าสู่รังนางพญามดและสั่งการให้คนเหล่านั้นฝึกฝนวรยุทธที่นั่น ก่อนตัวเขาจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง


…..


พิธีสถาปนายังคงดำเนินต่อไปตอนที่จางเซวียนกลับถึงจัตุรัส


ถ้าหากก่อนหน้านี้จะยังคงมีความไม่พอใจอยู่บ้างในตัวอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ที่เข้ามาช่วงชิงอำนาจของสามอำมาตย์ใหญ่ไปทั้งหมด แต่หลังจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านอีก


“นี่คืออำมาตย์เพียงคนเดียวและหนึ่งเดียวของพวกเรา ผู้ที่ไม่มีใครแทนที่ได้”


“ดูเหมือนยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์กำลังจะมาถึงเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราในอีกไม่ช้า…”


นัยน์ตาของทุกคนเปล่งประกายตื่นเต้น


หลิวหยางนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงใหญ่ หัวใจของเขาเต้นตึกตัก


เมื่อนึกย้อนกลับไป หากเขาไม่ได้พบท่านอาจารย์ ก็คงจะเป็นแค่นักเรียนต๊อกต๋อยคนหนึ่งในโรงเรียนหงเทียนแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน บางทีป่านนี้คงยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธนักรบขั้น 3 เลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองนั่งเป็นศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์ทั้งเผ่า กลายเป็นบุคคลที่ได้ควบคุมบงการภัยคุกคามอันใหญ่หลวงที่สุดต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์


ถ้าเป็นเมื่อ 1 ปีก่อน เขาจะไม่มีวันแม้แต่จะกล้าฝันถึงเรื่องแบบนี้


“ถ้าไม่มีใครคัดค้าน…”


ขณะที่หัวใจของเขายังคงเต้นแรง หลิวหยางลุกขึ้นยืนและกวาดสายตามองฝูงชนที่อยู่ด้านล่างอย่างวางอำนาจ


“…วันนี้ผมจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นอำมาตย์ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ!”


…..


“เดี๋ยวก่อน? คุณกำลังบอกผมว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีอำมาตย์คนใหม่ และในวันสถาปนาของเขา เขาได้ประกาศจะยับยั้งความขัดแย้งและสั่งการให้สร้างความร่วมมือกันเพื่อก่อเกิดสันติภาพไปอีกพันปีหรือ?”


“เขายังร้องขอให้สร้างความสัมพันธ์ด้านการติดต่อค้าขายกับสภาปรมาจารย์ด้วยการก่อตั้งตลาดแห่งใหม่ขึ้นภายในอาณาจักรใต้ดิน?”


“ถ้ามีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างเป็นทางการขึ้นในอาณาจักรใต้ดินล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปรมาจารย์มากมายจะต้องมุ่งหน้าไปที่นั่น พวกเขาไม่กลัวหรือว่าพวกเราจะใช้โอกาสนี้เข้าโจมตีและกำจัดพวกเขาจนราบคาบ?”


“นั่นยังไม่ใช่ข่าวที่น่าตกใจที่สุดนะ ตามที่ผมได้ยินมา อำมาตย์คนใหม่สนับสนุนค่านิยมเรื่องการสั่งสอน เขาให้ความสำคัญกับแบบแผน พิธีการ และความเคารพ เขาแนะนำเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ฟังคำบรรยายของเหล่าปรมาจารย์ และผลักดันให้ลดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ ดูเหมือนเขาจะมุ่งมั่นจริงจังให้เกิดสันติภาพ…”


บรรดานักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์ที่รอดชีวิตกลับมาไม่ได้เข้าสู่การจำศีลทันทีที่กลับจากวิหารแห่งขงจื๊อ พวกเขาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้มา แต่ละคนมีสีหน้าราวกับเห็นผี


ทันที่พวกเขารู้ข่าวว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก้าวขึ้นสู่อำนาจและรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมรับการสู้รบ แต่กลับตรงกันข้าม อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ มีทีท่าเป็นมิตรอย่างมากกับเผ่าพันธุ์มนุษย์


ถ้าแผนการเหล่านั้นทำได้จริง ก็มีแนวโน้มที่ทุกอย่างจะก่อเกิดเป็นผลดีกับมนุษย์


เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งขณะที่บรรดานักปราชญ์โบราณต่างระดมสมองเพื่อค้นหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็โพล่งออกมา “ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ของผม!”


หยางชวน


“ศิษย์พี่ที่คุณพูดถึงคือปรมาจารย์ฟ้าประทาน จางเซวียนใช่ไหม?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งตั้งคำถาม


ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์หยางได้แจ้งให้บรรดานักปราชญ์โบราณรู้ว่าศิษย์พี่ของเขาคือปรมาจารย์ฟ้าประทาน เช่นเดียวกันกับปรมาจารย์ขง เขาเป็นบุคคลที่ได้การยอมรับแม้แต่จากสวรรค์


“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ จากข่าวที่ผมได้มา เขาพำนักอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจมากว่า 2 เดือนแล้ว” ปรมาจารย์หยางพูด


“คุณคงไม่คิดจริงๆหรอกนะว่าภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 2 เดือน เขาแก้ไขปัญหาเรื่องภัยคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้แล้วด้วยการโน้มน้าวให้เจ้าพวกนั้นสร้างสันติภาพกับเรา ใช่ไหม?” นักปราชญ์โบราณอีกคนหนึ่งคำราม


เรื่องนี้เป็นความพยายามที่แม้แต่พวกเขากับเหล่าบรรพบุรุษที่เหนื่อยยากมานานหลายหมื่นปีก็ยังทำไม่สำเร็จ แล้วนักรบคนหนึ่งที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่นักปราชญ์โบราณกลับทำได้ภายในเวลา 2 เดือน…


คุณคิดว่าเรื่องนี้เหมือนการเล่นสร้างบ้านหรือ?


“นักปราชญ์เฉียนพูดถูก ปรมาจารย์หยาง คุณใคร่ครวญดีแล้วหรือยัง?”


หลายเสียงตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน


“ไม่ว่าผมจะใคร่ครวญดีแล้วหรือไม่ วิเคราะห์ไม่นานเราก็จะรู้” ปรมาจารย์หยางยังคงรักษาความสุขุมไว้ได้แม้จะรู้ว่าความคิดเห็นของเขากำลังถูกท้าทาย เขาจ้องหน้าบรรดานักปราชญ์โบราณอย่างเยือกเย็นก่อนจะพูดต่อ “ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงรู้ชื่อของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่แล้วใช่ไหม?”


“ชื่อของอำมาตย์?” เหล่านักปราชญ์โบราณก้มหน้าดูข้อมูลที่ได้มา คนหนึ่งตอบพร้อมกับพยักหน้า “หยางหลิว”


“ใช่ ชื่อของเขาคือหยางหลิว…อย่างที่คุณรู้ ศิษย์พี่ของผมมีศิษย์สายตรง 8 คน และหนึ่งในศิษย์สายตรงของเขาที่หายตัวไประยะหนึ่งแล้วมีชื่อว่าหลิวหยาง”


“หลิวหยาง?” ฝูงชนมองหน้ากัน “หยางหลิว…คุณกำลังสงสัยว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่, หยางหลิว คือหลิวหยางอย่างนั้นหรือ?”


“ใช่ ไม่เพียงแต่ชื่อจะเหมือนกัน ข้อเท็จจริงที่ว่ามีข่าวลือว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มีผู้ให้คำชี้แนะที่ทรงพลังมากก็เป็นเรื่องที่เราควรนำมาพิจารณา” ปรมาจารย์หยางเปิดเผยการปะติดปะต่อเรื่องราวของเขา


“ระหว่างพิธีสถาปนา มีทีมลอบสังหาร 6 คน ซึ่งจากคำให้การที่ผมได้มา ก็ตรงกันกับจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆ จากคำให้การของพยาน พวกเขาตั้งใจฟังคำพูดของผู้ให้คำชี้แนะของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นอย่างมาก ทำตามคำสั่งของเขาโดยปราศจากข้อคัดค้าน ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่มีอิทธิพลต่อพวกเขาทั้ง 6 ได้มากกว่าศิษย์พี่ของผม!”


ทุกคนต่างเงียบกริบ


ด้วยหลักฐานมากมายที่ปรากฏตรงหน้า ทุกคนคงสูญเสียสติปัญญากันไปหมดแล้วหากยังคงปฏิเสธ


ปรมาจารย์จางนำลูกศิษย์ของเขาเข้ายึดครองเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นทั้งเผ่าได้ด้วยมือเปล่า…ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!


ตอนที่ 1853 ความลึกลับของอาณาจักรโบร่ำโบราณ

จางเซวียนไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นที่รับรู้ของปรมาจารย์หยางกับคนอื่นๆแล้ว เขายังคง พุ่งทะยานไปกลางอากาศพร้อมกับบรรดาศิษย์สายตรงที่ตามหลัง


ราว 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่หลิวหยางสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นอำมาตย์เฉินหย่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ปีใหม่เพิ่งมาถึง ทั้งเมืองหลวงมีแต่ความคึกครื้นรื่นเริง


ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา จางเซวียนได้ให้คำชี้แนะกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขา มีบางช่วงเวลาที่เขารู้สึกราวกับได้หวนกลับไปยังวันคืนที่อาณาจักรเทียนเซวียน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องแบกรับ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มีแต่ความสัมพันธ์เรียบง่ายระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ แต่ละวันที่ผ่านไปคือการแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งความรู้ รวมถึงความรื่นรมย์ในการคิดค้นกระบวนท่าใหม่หรือเรียนรู้เทคนิควรยุทธใหม่ๆ


หลังจากผ่านกระบวนการฝึกฝนอย่างเป็นระบบของจางเซวียน พลังปราณของจ้าวหย่ากับพรรคพวกก็ถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งและเข้มข้นกว่าเดิม ส่งผลให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาพุ่งพรวด ในเวลาเดียวกัน หยวนเทาก็ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ


ส่วนหลิวหยาง หลังจากฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกได้สำเร็จ ก็กุมอำนาจในเผ่าพันธุ์ปีศาจไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปราบทุกเสียงต่อต้านจนราบคาบ


วรยุทธของจางเซวียนยังคงติดแหงกอยู่ที่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้น รังสีของเขาก็สุขุมเยือกเย็นกว่าแต่ก่อน สภาวะจิตมั่นคงขึ้น ดูเหมือนเขาพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะหากต้องการ


การขัดเกลาวรยุทธตลอด 2 เดือนทำให้จางเซวียนมีความรู้ความเข้าใจในอำนาจและพละกำลังของนักปราชญ์โบราณ อีกทั้งประสิทธิภาพการต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นอีกมาก ด้วยหอกสวรรค์กระดูกมังกรในมือ ก็ไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าจางเซวียนคือนักรบที่ไม่มีนักรบคนไหนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นผู้ทำลายล้างมิติจะเทียบชั้นได้


ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าอีกครั้ง ก็คงไม่จนปัญญาถึงขนาดพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว


แม้จางเซวียนจะพัฒนาวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีอีกคนที่ก้าวหน้าเร็วกว่าเขาเสียอีก-ไอ้โหด


เมื่อร่างกายถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ประกอบกับชุดฟางที่ทำให้เขาได้เลือดเนื้อกลับคืนมา ไอ้โหดก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้อย่างเต็มตัว ซึ่งหมายความว่าเขาพร้อมที่จะทำลายปราการแห่งมิติของโลกใบนี้แล้ว


“ถึงผมจะสามารถทำลายล้างปราการแห่งมิติเพื่อเปิดทางเข้าสู่มิติเบื้องบนได้ แต่กายเนื้อของผมก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะจากโลกนี้ไป อย่างน้อยที่สุด วรยุทธของผมจะต้องเข้าถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกเสียก่อน” ไอ้โหดอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำนั้น


ในตอนนั้นเอง หลิวหยางก็บินตรงมาจากระยะไกลและประสานมือ “ท่านอาจารย์ ผมตรวจสอบหนังสือทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว พบว่า ‘เทพเจ้า’ ที่ปรากฏตัวเมื่อครั้งที่ผ่านมานั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าจริงๆ แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขามาจากมิติอื่น!”


ตลอดช่วงระยะเวลานั้น จางเซวียนไม่ได้ทุ่มเทเวลาของเขาเพียงเพื่อให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธกับบรรดาลูกศิษย์เท่านั้น แต่ยังสั่งการให้หลิวหยางใช้อำนาจในฐานะอำมาตย์เฉินหย่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำนานของเทพเจ้าด้วย โดยหวังว่าจะสามารถหาเงื่อนงำบางอย่างที่เกี่ยวกับหลัวลั่วชิงได้


“มิติอื่น?”


“ใช่ มิติอื่นคืออีกมิติหนึ่งที่แตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเทพเจ้าที่เคยลงมาก่อนหน้านี้ก็มาจากที่นั่น สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นเต็มไปด้วยนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่เป็นชั้นยอด เหมาะแก่การฝึกฝนวรยุทธเสียยิ่งกว่าดินแดนสวรรค์ประทานใดๆในโลกของเรา!” หลิวหยางอธิบาย


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมีความสามารถในการสื่อสารกับเทพเจ้า ดังนั้น แม้ตำนานที่กล่าวขานกันทั่วไปจะเป็นเพียงเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา แต่ก็มีเศษเสี้ยวของความจริงอยู่มาก


รู้ดีว่าท่านอาจารย์ตั้งใจจะทำอะไร หลิวหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย “แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางที่นำไปสู่มิติอื่นนั้นถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง เทพเจ้าองค์ไหนก็ตามที่ปรารถนาจะลงมาสู่โลกของเราจะต้องเสียเงินทองมากในการประกอบพิธีกรรม และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะก้าวขึ้นไปสู่มิติอื่น”


“เส้นทางที่นำไปสู่มิติอื่นถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง?” จางเซวียนทวนคำอย่างร้อนรน


อันที่จริงเขาเองก็คาดเดาไว้แล้ว เนิ่นนานเต็มทีที่เคยมีเทพเจ้าลงมายังโลกใบนี้ และนับตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขง ก็ไม่มีนักรบคนไหนอีกเลยที่สามารถก้าวขึ้นสู่มิติอื่นได้


“คุณสั่งการให้ผมสืบเสาะเรื่องราวเกี่ยวกับปรมาจารย์ขงด้วย” หลิวหยางพูดต่อ “เท่าที่ผมพบ ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะหายตัวไปทันทีหลังจากที่จับตัวผู้แทนอมตะไว้ได้ จากเงื่อนงำที่ผมรวบรวมไว้ เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะเดินทางไปยังมิติอื่น”


“ไม่นานหลังจากการจากไปของปรมาจารย์ขง, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็จากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปเพื่อไปยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่ง ผมพยายามสืบเสาะเรื่องราวนั้นให้ลึกลงไป แต่ดูเหมือนเงื่อนงำจะหยุดอยู่เท่านี้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่า100 สำนักแห่งนักปราชญ์รู้รายละเอียดไม่น้อยเกี่ยวกับการหายตัวไปของปรมาจารย์ขง”


จางเซวียนพยักหน้า


ในโลกนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เรื่องปรมาจารย์ขงมากไปกว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากปรมาจารย์ขง จึงรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายดี


จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “คุณรู้หรือไม่ว่าพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อยู่ที่ไหน?”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคือผู้ทำการติดต่อกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพื่อร่วมโจมตีอำมาตย์เฉินหย่ง ดังนั้น แม้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะไม่รู้ว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อยู่ที่ไหน แต่ไม่มีทางที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะไม่รู้!


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเขาน่าจะอยู่ที่อาณาจักรคุนฉื่อ”


“อาณาจักรคุนฉื่อ?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


เขาเคยได้ยินชื่อของอาณาจักรลึกลับมามากมาย แต่ไม่เคยได้ยินชื่ออาณาจักรคุนฉื่อมาก่อน


“ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีอาณาจักรโบร่ำโบราณอยู่มากมาย ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินมา 2-3 ชื่อแล้ว แม้อิทธิพลของสภาปรมาจารย์จะครอบคลุมไปไม่ถึงอาณาจักรโบร่ำโบราณเหล่านั้น แต่พวกมันก็มีพลังดึกดำบรรพ์ของตัวเอง ซึ่งคอยบ่มเพาะผู้ที่มีสายเลือดไม่เข้มข้นพอ “นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้า


อาณาจักรเทียนเซวียนก็เป็นอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งหนึ่ง ด้วยความหวังว่าจะฟื้นคืนสายเลือดฮ่องเต้ขึ้นได้ หยวนเทาจึงถูกส่งตัวไปยังอาณาจักรเทียนเซวียนให้ดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจางเซวียนก็เป็นแบบเดียวกัน


“พูดตามตรงนะ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่ออยู่ที่ไหน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ กุมความลับนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ที่ผมแน่ใจก็คือ อาณาจักรคุนฉื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาณาจักรโบร่ำโบราณเหล่านี้ พูดได้เลยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่อจะอยู่ใน หนึ่งในอาณาจักรโบร่ำโบราณพวกนั้น!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูด


เขาพอมีช่องทางที่จะเข้าถึงพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่ก็ไม่เคยไปเยือนอาณาจักรคุนฉื่อด้วยตัวเอง และไม่มีทางที่พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะยอมเสี่ยงเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งของมันให้กับเขา


“ว่าไงนะ? มันอยู่ในหนึ่งในอาณาจักรโบร่ำโบราณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ “ผมคิดว่าจะกลับอาณาจักรเทียนเซวียนสักพักหนึ่ง พวกคุณอยากไปกับผมไหม?”


พูดกันตามตรง เขารู้สึกว่าอาณาจักรเทียนเซวียนยังมีความลับบางอย่างที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ทวีปแห่งปรมาจารย์ใหญ่โตขนาดนั้น แต่เขาถูกส่งทะลุมิติมายังอาณาจักรเทียนเซวียน แถมยังได้พบลูกศิษย์อีก 2 คนที่มีสภาวะพิเศษอันแสนหายากที่นั่น


แน่นอนว่ามันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่จางเซวียนรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เห็น เขาจึงตั้งใจจะเริ่มต้นการสืบเสาะค้นหาของเขาจากที่นั่น


“ฉันจากที่นั่นมากว่า 1 ปีแล้ว ถึงเวลาที่จะกลับไปพบหน้าท่านพ่อเสียที” จ้าวหย่าพูดยิ้มๆ


เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพร้อมกับท่านอาจารย์ และตลอด 1 ปีที่ผ่านมาก็ได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ อีกทั้งยังเป็นนักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังด้วย ถึงเวลาแล้วที่ควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเสียที


“ฉันก็อยากไปด้วย” หวังหยิ่งรีบพยักหน้า


คนอื่นๆตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาอยากหวนคืนสู่รากเหง้าของตัวเอง กลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา


“หลิวหยาง ตอนนี้คุณยังต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ไปกับพวกเราไม่ได้นะ ส่วนคนที่เหลือ เตรียมตัวได้เลย เราจะออกเดินทางเร็วๆนี้!” จางเซวียนสั่งการพร้อมกับยิ้มออกมา


ถึงพวกเขาจะรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว แต่ก็ยังมีการจัดการอีกหลายอย่างที่ต้องคอยควบคุมดูแล ถ้าผู้นำสูงสุดคืออำมาตย์เฉินหย่งหายตัวไปในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ก็มีโอกาสที่อะไรๆจะผิดพลาดและบานปลาย


หลิวหยางฮึดฮัดขัดใจก่อนจะพยักหน้า “…ผมเข้าใจ!”


จางเซวียนหันไปสั่งการอสูรตัวมหึมาที่อยู่ข้างหลิวหยาง “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง ผมขอรบกวนให้คุณคอยช่วยเหลือหลิวหยางด้วย”


“ปล่อยเป็นหน้าที่ของผมเถอะ” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงตอบอย่างจริงใจ


“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันได้!”


หลังจากจัดการเรื่องราวต่างๆแล้ว จางเซวียนนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและเปิดรอยแยกของมิติขึ้นตรงหน้า เขานำทางเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ มีคนอื่นที่เหลือตามหลังไปติดๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)