ท่านเทพมาแล้ว 185-188

 บทที่ 185 มาตามข้าสิ

โดย

Ink Stone_Romance

สีหน้าอ๋าวเจียงเริ่มเขียวคล้ำ มือที่ถือแก้วก็สั่นเล็กน้อย


เจ้าเด็กเหลือขอนี่!


หลายปีมานี้เนินอารามเปลี่ยนอาชีพมาปล้นแล้วหรือ!


“ข้า…”


“ได้ยินว่าเมื่อครู่เจ้าตีแม้แต่เสือน้อยบ้านเรา?”


ไม่รอให้เขาเปิดปาก ซ่างกวนสุ่นเริ่มกดดันอีก “อาฝูไม่เพียงเป็นลูกหลานเผ่าเทพ แต่ยังเป็นเสือที่อาจิ่วช่วยกลับมา สัตว์ที่นางช่วยกลับมาอย่างยากลำบาก เจ้าบอกว่าจะตีก็ตี หากไม่ให้ของหรือขอโทษยังสบายใจได้อีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังมาขอร้องให้ทำธุระให้ เจ้ามาจากที่เล็กๆ ไม่เคยเผชิญโลกกว้าง ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้ว?”


ขี้เหนียว! ไม่รู้หรือว่าในลานบ้านพวกเขามีบรรพบุรุษอยู่ด้วยคนหนึ่ง เขาเข้ามาติดกับเองจะโทษใครได้?


คิดไม่ถึงว่ากล้ารังแกอาจิ่วของพวกเขา ประเสริฐนัก!


หน้าอ๋าวเจียงอดกลั้นจนเขียวออกม่วง ผลุงตัวยืนขึ้น นำสิ่งของมีค่าทั้งตัวออกมาส่งให้ซ่างกวนสุ่น จ้องเขาอยู่นาน คิดจะพูดอะไรสักหน่อย สุดท้ายจำต้องนั่งลงไปอย่างอึดอัด


ซ่างกวนสุ่นนำของที่ได้มาทั้งหมดส่งให้เสี่ยวซิง แล้วมองอ๋าวเจียงอย่างละเอียดทั้งหน้าและหลังว่านอกจากกระบี่ที่ข้างเอวแล้วไม่มีของอย่างอื่นอีก จึงค่อยเอนตัวไปด้านหลัง ใส่ใบชาลงไป ชงชามาถ้วยหนึ่ง


อ๋าวเจียงยื่นมือรับ ซ่างกวนสุ่นกลับชักมือกลับ พูดว่า “ชาถ้วยหนึ่ง ราคาสองพันเหรียญหยก”


อ๋าวเจียง “…”


………………..


มู่จิ่วเข้าไปในห้องลู่ยา เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ลู่ยาลูบคางสงสัย “ป่วยหนักได้บังเอิญขนาดนี้?”


“ดูแล้วอ๋าวเจียงไม่ได้พูดโกหก” มู่จิ่วพูด “เจ้าว่าข้าควรไปหรือไม่?”


ลู่ยาลุกขึ้น เดินวนไปมาสองรอบก่อนเอ่ย “เจ้ายังจำของวิเศษกองใหญ่ที่หายไปจากถ้ำเขาเมฆาเพลิงได้หรือไม่?”


มู่จิ่วอึ้ง พยักหน้าตอบ “จำได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกันด้วยหรือ?”


ลู่ยามองนาง “คราวก่อนของวิเศษหายไป คราวนี้สิ่งที่หายไปก็ยังเป็นของวิเศษ”


มู่จิ่วอึ้งตะลึง พลันลืมหายใจ!


แต่ไม่ใช่หรอก! กุญแจจันทราหยางเป็นของวิเศษ แต่ยังเทียบกับของในถ้ำเขาเมฆาเพลิงไม่ได้!


“เจ้าหมายความว่า การหายไปของอาวุธวิเศษทั้งสองครั้งเกิดจากกลุ่มคนเดียวกัน?”


“นี่ยังยืนยันไม่ได้” ลู่ยาโบกพัด “ข้าเพียงแต่รู้สึกบังเอิญเท่านั้น แต่นอกจากความบังเอิญที่ว่า เรื่องนี้มีความประจวบเหมาะมากนัก เพราะกุญแจจันทราหยางยังเกี่ยวข้องกับคนอื่นอีกนอกจากตระกูลอวิ๋น แต่ออกไปดูหน่อยก็ไม่เลว เป็นไปได้ว่าอาจจะให้พวกเราคลำเจออะไรบางอย่าง?”


มู่จิ่วก็คิดเช่นนี้อยู่ลึกๆ


ถึงแม้คดีของอู่เต๋อผ่านไปแล้ว แต่ที่อยู่ของของวิเศษที่หายไปกลับยังติดอยู่ในใจพวกเขา ไม่ได้คลี่คลายปัญหานี้ ทำให้รู้สึกว่าในใจแขวนหินอะไรไว้ตลอด ยังมีที่อยู่ของกุญแจจันทราหยางของอ๋าวเชินที่ก็ช่างเข้าใจยาก ดังนั้นนางจึงดึงสติคืนมา ก่อนพูด “แบบนั้นข้าจะรับปากเขา ตามเขากลับไปสักรอบ!”


พูดแล้วก็จะเดินออกไป


ลู่ยาดึงนางกลับมา “โง่นัก ถึงแม้จะไป ก็รายงานหลิวจวิ้นก่อน แล้วไปในนามของหน่วยลาดตระเวน หากสามารถช่วยตระกูลอ๋าวคลี่คลายปัญหา ทัพทหารจะบันทึกความดีของเจ้าไว้ได้ สำหรับเจ้าไม่มีประโยชน์หรือ?”


มู่จิ่วเหมือนรู้แจ้ง เมื่อครู่ไม่ได้คิดถึงขั้นนี้อย่างแท้จริง เพียงแต่เรื่องที่ตนเองไม่ได้ใส่ใจ เขากลับจดจำได้ละเอียดว่านางต้องทำความดี ในใจพลันอบอุ่น ย้ายเรื่องขัดแย้งก่อนหน้านี้ไปอยู่ข้างหลัง ยิ้มไปพลาง “รู้แล้ว” พูดไปพลาง “เจ้าไปกับข้าหรือไม่?”


ลู่ยาคิดแล้วกลับตอบ “ครั้งนี้ข้าไม่ไป แต่ให้อาฝูตามเจ้าไปด้วย เขาก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน รอจนถึงเวลา เขาก็สามารถพูดได้แล้ว”


อาฝูเป็นสัตว์เทพ ฝึนฝนภายใต้มือเขามาปีกว่า ก็ถึงเวลาเลื่อนขั้น


แต่การเลื่อนขั้นของเผ่าพันธุ์สัตว์เทพไม่เหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาเกิดมามีร่างศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเรียกในการเลื่อนขั้นที่เป็นทางการไม่เอ่ยถึง พูดเพียงฝึกฝนจากร่างสัตว์จนถึงพูดได้ จากนั้นฝึกจนเปลี่ยนร่างคน ก็นับว่าสำเร็จเล็กน้อยแล้ว เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนตามปกติ สามารถใจจดใจจ่อฝึกฝนมนต์คาถากำลังภายใน


มู่จิ่วได้ยินว่าอาฝูจะพูดเป็นแล้ว ก็ดีใจแทนเขาอย่างมาก ดูเขาวันนี้ท่าทางน่าเกรงขาม หากพูดได้แล้วภายหลังต้องเลื่อนขั้นเร็วขึ้นแน่นอน ไปคราวนี้แค่เพราะเรื่องงาน แท้จริงก็ไม่ต้องยกขบวนไปใหญ่โต


“มีเรื่องอะไรจะสั่งอีกหรือไม่?” นางถาม


ลู่ยาไม่รีบร้อนตอบ เพียงหมุนตัวไปมองอ๋าวเจียงที่ถูกพวกซ่างกวนสุ่นล้อมอยู่ในลาน


เรื่องอื่นเขาไม่กังวล แต่การมาเยือนของอ๋าวเจียง…


อ๋าวเจียงตอนแรกมองมู่จิ่วเป็นศัตรู ถึงตอนนี้ลำบาก จึงมาขอให้นางช่วยถึงประตูโดยไม่สนสิ่งใด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาไม่สบายใจ ที่จริงล้วนเป็นชายหนุ่มหญิงสาว ตอนแรกให้นางไปทิวเขาริ้วหยกกับเขาก็ไม่ค่อยพอใจแล้ว ครั้งนี้ไปอีก และยังเป็นหลังจากที่พวกเขาญาติดีกันแล้ว นี่หาก…


เขาพลันคิดอยากพนันดู


เดิมพันว่าในใจนางแท้จริงมีเขาหรือไม่


เขาส่ายหัวพูด “ไม่มีแล้ว”


สายตาของมู่จิ่วมีความผิดหวังพาดผ่าน


ตั้งแต่คราวก่อนผ่านไปจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่ได้อยู่กันตามลำพังอีกเลย ทุกวันยามค่ำ การฝึกฝนของนางเปลี่ยนเป็นนางฝึกเอง


หากเป็นแต่ก่อน มู่จิ่วคงอยากลบความทรงจำนี้ในสมองเขาให้สะอาดหมดจด แต่ตอนเขาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง นางกลับเป็นคนที่ตอนยังไม่ได้ก็กลัวไม่ได้ พอได้มาแล้วก็กลัวเสียไป เรียกว่านางย้อนแย้งใช่หรือไม่?


ตอนริมฝีปากเขาปัดผ่านแก้มนางยังคงหลงเหลือความร้อนอยู่ นางยังจำได้ชัดเจนดี…


พ่อหนุ่มนี่ ทำแล้วคิดจะสะบัดมือไม่ยอมรับหรือ?


นางเหลือบมองเขา พูดอย่างอึดอัด “แบบนั้นข้าไปแล้ว”


แต่ตอนออกประตูเท้ากลับหนักราวกับถ่วงตะกั่วไว้ มาตาม มาตามนางสิ!


ไม่รู้สึกว่านางไปแบบนี้น่าเสียดายหรือ?


ชอบดึงดันกับนางไม่ใช่หรือไร?


ไม่สนใจนางแล้วหรือ?


คนระยำ!


แต่เดินไปถึงธรณีประตู ด้านหลังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่เล็กน้อย


นางรู้สึกเจ็บปวดทันใด


ฝีเท้ายิ่งหนักขึ้นเหมือนกับก้าวสู่เส้นทางยาวไกล


ตอนนางอยู่หงชาง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าแยกจากหลิวหยางมาแล้วจะยังมีคนแบบนี้ฝ่าลมฝนเคียงข้างนาง หากสิ่งที่นางเหยียบไปเป็นเส้นทางยาวไกล เช่นนั้นก็เป็นมือคู่นี้ที่คอยพยุงนางขึ้นมาตลอด นางมีกระทั่งความหวังเล็กๆ ว่ามือคู่นี้จะสามารถเดินเคียงข้างนางไปยังภูเขาที่ยิ่งไกลออกไปอีก ยิ่งสูงขึ้นไปอีก


ตรงข้ามระเบียงทางเดินมีต้นดอกไหวบานอย่างสดใส สุดท้ายมู่จิ่วหยุดเท้าลง หันไปมองในห้อง ลู่ยายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งวางบนโต๊ะชา กำลังมองนาง สายตาจับจ้องเหมือนมองอนาคตภายหน้าไปไกล


ช่างเป็นคนระยำนัก…


นางกัดปาก


ช่างเถอะ แต่เดิมก็ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกรา บางทีคราวก่อนเขาที่เป็นมหาเทพอาจแค่หาความสำราญไปเรื่อยเท่านั้น ที่จริงนางก็ไม่มีพรสวรรค์ ไม่งดงาม ไม่มีความสามารถ เขาเห็นความงามมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงตอนนี้ จะมาชอบนางได้อย่างไร!


คิดแบบนี้ พอหมุนตัวเขาก็ก้าวเท้ามา


คราวนี้เดินอย่างเร็วรี่ หายใจคราวเดียวก็ก้าวไปสองสามก้าว


วินาทีก่อนลู่ยายังนั่งไม่ขยับ วินาทีถัดมาเขากลับขวางทางนางไว้แล้ว


นางที่ถูกขวางกะทันหันขอบตาร้อนผ่าวอยู่บ้าง ดวงตาที่มองเขาเต็มไปด้วยประหลาดใจ


ใจของลู่ยาพลันเปลี่ยนเป็นน้ำ จับมือทั้งสองของนาง ก่อนเอ่ย “กลับมาเร็วหน่อย มาผัดปลาให้ข้ากิน!”


ขอบตาแดงเรื่อของนางพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ


…ไร้ยางอาย! ใครจะผัดปลาให้เขากิน? ไสหัวไปให้ไกลเลย…


แต่เขาไม่ได้ไป น้ำตากลับไหลลงมาก่อน


ลู่ยาดึงนางเข้ามาในอ้อมอก ยกริมฝีปากพลางมองกระหม่อมที่เต็มไปด้วยดอกไหว “จำไว้ ภายหลังผัดให้ข้ากินได้คนเดียว”


คิดได้ประเสริฐ นางไม่ใช่คนใช้เขาเสียหน่อย…


มู่จิ่วอยากต่อต้าน แต่เพิ่งมีอาการ ก็ถูกเขากดไว้ในอก


……………………………………………………


บทที่ 186 เจ้าชอบหรือไม่

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนมู่จิ่วออกจากห้องลู่ยา เสี่ยวซิงทำอาหารเสร็จ พวกซ่างกวนสุ่นก็ไม่ได้กลั่นแกล้งอ๋าวเจียงอีก แต่อ๋าวเจียงชัดเจนว่านั่งไม่ติดแล้ว เห็นนางเดินมาแต่ไกลก็รีบลุกขึ้นไปรับ “พวกเราสามารถออกเดินทางได้เมื่อไหร่?” พูดจบเห็นแก้มที่แดงทั้งสองข้างของนางก็อึ้งไป “เจ้าเป็นอะไร?”


มู่จิ่วปิดบังหน้าพลางพูด “ไม่มีอะไร ในห้องร้อนอย่างประหลาด ข้าไปแจ้งหัวหน้าหลิวก่อนก็ออกเดินทางได้แล้ว ลู่ยาบอกว่าเรื่องนี้ต้องไปในฐานะหน่วยลาดตระเวนถึงจะสะดวก มิฉะนั้นแล้วหากข้าไปส่วนตัว ตระกูลอวิ๋นคงไม่สนใจข้า”


อ๋าวเจียงก็คิดเช่นนั้น แต่ยังคงมองหน้านางอย่างสงสัย


มู่จิ่วหลีกเลี่ยงไม่ให้คนล้อเลียน จึงร้องบอกเสี่ยวซิงค่อยไปหาหลิวจวิ้น


มาถึงถนนสายหลักก็ถอนหายใจยาว เจ้าคนสมควรตาย หรือคิดว่าแกล้งนางสนุกนัก?


แต่ปากด่า ในใจกลับรู้สึกล่องลอยราวกับมีลมพัด มีเมฆกำลังลอย เป็นรสชาติที่บอกไม่ถูก


สุดท้ายแล้วเขาคิดจะเอาอย่างไรกับนาง?


นางเศร้าอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกคาดหวังอยู่เล็กน้อย หยุดอยู่ตรงถนน เดินต่อไม่ไหวแล้ว


พ่อหนุ่มนั่น คิดจะก่อกวนนางจนตายจริงๆ…


แต่ลู่ยาจะคิดก่อกวนนางได้อย่างไร?


หลังจากนางไป เขาหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เพราะในอกยังมีไออุ่นของนางอยู่ เขาที่อยู่มานานหลายแสนปี พลันเปลี่ยนไปเหมือนเด็กคนหนึ่ง ละสายตาจากยิ้มเดียวไม่ได้ เพราะความแน่ชัดเล็กน้อยทำให้ใจเต้นไม่หยุด การหันหลังกลับของนางครั้งนั้น กลับทำให้เขาตัดสินใจตามนางอย่างไม่ลังเล


การมาครั้งนี้แล้วได้พบนาง ทำให้เขารู้สึกว่ากระดิ่งนั่นก็ไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้น


มู่จิ่วอารมณ์อ่อนไหวแบบนี้ไปจนถึงหน่วยลาดตระเวน นางมีธุระต้องทำ ไม่อาจจมดิ่งอยู่กับเรื่องส่วนตัวจนไม่มีหนทางดึงตนเองออกมา อย่างไรก็ตาม หลิวจวิ้นเลิกงานแล้ว นางทำได้เพียงตามไปที่พักเขา เขากำลังเชิญนายพลหลายคนมาดื่มเหล้าพูดคุยที่บ้านพอดี


นางเข้าประตูไปก็เชิญหลิวจวิ้นออกมา เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง หลิวจวิ้นที่เท้าข้างเดียวเหยียบอยู่บนเก้าอี้ยิ้มเยาะ “อ๋าวเชินนั่นตอนแรกมิใช่ว่าอวดเบ่งอย่างมากหรือ? ทำไมเรื่องเล็กแค่นี้ต้องให้พวกเราหน่วยลาดตระเวนออกหน้าช่วย?”


มู่จิ่วรีบพูด “ครั้งนี้เป็นองค์ชายสามบ้านพวกเขาขอร้องข้า ไม่ใช่เขา ข้ากลับรู้สึกว่าไปดูสักหน่อยได้ ในเมื่ออ๋าวเจียงมาหาข้า ก็นับได้ว่าทำตามขั้นตอนปกติ หากพวกเราไม่ให้ความสนใจ ภายหลังผู้คนจะไม่ครหากันหรือว่าพวกเราประพฤติผิดต่อหน้าที่หรือ?”


เรื่องชิงชิวทำให้เกิดคดีฆาตกรรมปีศาจงูเขียวเนินอาราม ตอนนั้นก็มีคนพูดว่าหน่วยลาดตระเวนไร้กำลัง หากไม่แล้วคงไม่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขนาดนั้น หลิวจวิ้นไม่ใช่ไม่รู้ เพราะเรื่องนี้หลังจากนั้นจึงเพิ่มจุดตรวจลาดตระเวนมากขึ้น มู่จิ่วยกเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็โล่งอกแล้ว


เขาโบกมือ “เจ้าไปเถอะ พรุ่งนี้เช้ามาเอาใบอนุญาตที่หน่วยไป”


มู่จิ่วรีบขอบคุณแล้วบอกลา


นางกลับบ้านไปแจ้งข่าว อ๋าวเจียงผ่อนคลายลง ทุกคนจึงรู้จากเรื่องนี้ว่านางต้องตามอ๋าวเจียงไปทิวเขาริ้วหยก


เสี่ยวซิงที่ถือจานหมูสามชั้นพะโล้มีปฏิกิริยาแรกคือกังวล “ตระกูลอวิ๋นนั่นคงไม่ทำให้เจ้าลำบากนะ?”


อ๋าวเจียงกำลังออกมาปกป้อง ลู่ยากลับพูดขึ้นแล้ว “เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงที่จริงตกต่ำแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีทิวเขาริ้วหยกที่สวรรค์ประทานให้เป็นเขตแดน เกรงว่าคงไม่มีใครเห็นพวกเขาเป็นอาณาจักรจริง อาจิ่วเป็นเจ้าหน้าที่ที่สวรรค์ส่งไป อย่างมากที่สุดพวกเขาก็คงไม่ร่วมมือไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จะกล้ารังแกหรือ?”


ตั้งแต่เสี่ยวซิงรู้จากซ่างกวนสุ่นว่าลู่ยาคือลู่ยาเต้าจู่ที่เล่าลือกัน ก็ยอมศิโรราบกับเขานานแล้ว ในเมื่อเขาบอกว่ามู่จิ่วไม่เป็นไร นางก็วางใจ ก่อนวางหมูสามชั้นพะโล้วางไว้ตรงหน้าอ๋าวเจียง


อาฝูได้ยินว่าสามารถออกไปทำงานกับมู่จิ่วได้ ก็ดีใจจนรีบคาบขาหมูในชามให้รุ่ยเจี๋ย


รุ่ยเจี๋ยก็ดีใจแทนอาฝู จากนั้นหมอบลงพูดเบาๆ อยู่ข้างหูเขา ความรู้สึกสองพี่น้องไม่อาจดีไปกว่านี้ได้แล้ว


เพราะเรื่องนี้ หลังจบมื้ออาหารทุกคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ย้อนคิดกลับไปถึงเรื่องราวของอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบ


มู่จิ่วอาบน้ำเสร็จกลับห้อง กำลังจะถอดเสื้อพักผ่อน พลันมีคนมาเคาะหน้าต่าง


นางกระชับเสื้อค่อยเปิดประตู ลู่ยาจับมือนางทันที ใช้เวทอำพรางกายแล้วบินออกจากประตูไป


“ไปไหน?” นางถาม


ลู่ยาพูดอย่างยินดีเหมือนหงส์ร้อง “ไปหาที่นั่งสักหน่อย”


พูดจบ เขาลากนางไปทางภูเขาเซียนที่ห่างไกลซึ่งดวงดาวสว่างไสวที่สุด


ระหว่างทางใต้เมฆ ดาวเต็มฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล ที่พำนักเซียนงดงามซ้อนทับกัน รอบด้านมีนกหลากชนิดเต้นรำ ท่ามกลางสายรุ้งทะเลเมฆพลิกไหว คือทิวทัศน์เซียนที่สวยที่สุดที่มู่จิ่วเคยเห็นมา


ในเมื่อออกมาแล้ว ก็ทำได้เพียงทำใจให้สงบ


จุดที่ดาวเยอะที่สุดบนฟ้าคือทางช้างเผือก ถึงภูเขาเซียนแล้ว นางถึงได้รู้ว่าที่แท้ระหว่างทิวเขาสูงนี้ล้อมรอบไปด้วยทางช้างเผือก มันเหมือนกับเข็มขัดหยกที่ฝังเพชรหลากสีที่สีดีที่สุดไว้ ส่องสว่าง งดงาม แม้แต่ทิวเขาที่เมฆหมอกปกคลุมสองฝั่ง ยังถูกส่องจนสว่างเป็นประกายสีทอง


ลู่ยาจูงมู่จิ่วเดินลงชั้นหินบนเขา


เดินลงไปก็ถึงริมแม่น้ำ


ยิ่งเดินลงไปอีก ทิวทัศน์ของผิวแม่น้ำยิ่งชัดเจน ที่แท้ดาวทั้งหมดล้วนเป็นแสงสว่างบนทางช้างเผือก น้ำในแม่น้ำสะอาดใส ผิวน้ำกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยอดเขาตรงข้ามพร่าเลือนในยามค่ำคืน แต่นานๆ ครั้งกลับมีเสียงเบาๆ ของเหล่าสัตว์น้อยและเสียงเดิน ริมแม่น้ำไม่มีลม แต่ตลอดทางเดิน ดอกไม้ป่าริมทางพากันโยกหัวสะบัดหางเบาๆ


แสงจันทร์จากด้านหลังทำให้เงาของพวกเขาทาบลงบนพื้น บางครั้งใกล้ บางครั้งไกล


มู่จิ่วหยุดอยู่ใกล้น้ำ ยกมือขึ้นป้องตามองไปที่ไกลๆ ลู่ยานั่งลงบนหินข้างตัวนาง หยิบเอาขลุ่ยจากในแขนเสื้อออกมาเป่า


เสียงขลุ่ยสูงต่ำ แสงจันทร์งดงาม มู่จิ่วนั่งลงเข้าใกล้เขา กอดเข่าเคลิบเคลิ้มอยู่ในแสงจันทร์


ไกลออกไปพลันมีหงส์ทองส่องสว่างบินมาหลายตัว พร้อมกับเสียงหงส์ร้องร่ายรำกลางอากาศ จากนั้นมีวิหคเขียวมาอีกหลายตัว ตามด้วยตี้เจียงและชิงหลวน ในเขานี้ บนทางช้างเผือก ทั้งผืนฟ้ากลายเป็นที่เต้นรำของพวกนาง! พวกนางแต่ละคนงดงามไม่ธรรมดา จับกลุ่มเต้นรำอยู่บนท้องฟ้าเหนือทางช้างเผือก มีผลกระทบต่อสายตาคู่นี้อย่างหาใดเปรียบ


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ค้ำหินยืนขึ้นมา หงส์ที่นำหน้าพาคนที่เหลือมาล้อมนางไว้ตรงกลาง พวกนางยังคงเต้นรำ ขนนกส่องสว่างรวมกันกลายเป็นกระโปรงของมู่จิ่ว ล้อมรอบนางจนลอยพลิ้วอยู่กลางอากาศ ราวกับกลายเป็นร่างแปลงของพวกนั้น!


“พวกนางเป็นนางรำของวังชิงเสวียน”


เสียงขลุ่ยไม่รู้หยุดลงเมื่อไหร่ กลางอากาศเหลือเพียงเสียงดนตรีที่ไม่รู้มาจากไหน และเสียงหงส์ร้องไม่หยุดหย่อน


เสียงของลู่ยาออกจะเกียจคร้าน เขาที่ยืนเผชิญหน้ากับแสง มีดวงตาที่เปรียบกับทางช้างเผือกแล้วยังสว่างกว่า แผ่นหลังที่มีแสงกระจายนั้นแน่นิ่งเหมือนภูเขา


“เจ้าตั้งใจพาข้ามาดูพวกนางเต้นรำ?” มู่จิ่วถาม


“ไม่ชอบหรือ?” เขาเก็บขลุ่ยไป


“ชอบ” มู่จิ่วชะงักไปครู่ “แต่ข้าชอบดูผู้ชายหน้าตาดีมาเต้นล้อมรอบข้ามากกว่า”


ลู่ยาค้อนนาง “ไม่มีผู้ชาย”


มู่จิ่วพูดจริงจัง “ก็รับไว้สักหลายคนหน่อยสิ”


สายตาลู่ยาเหมือนมีดพุ่งไปทางนาง


มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง เสียงกระจ่างใสจนแม้แต่น้ำในแม่น้ำยังวูบไหวตามไปด้วยอย่างยิ่งยินดี


…………………………………………


บทที่ 187 ใต้เท้าเจ้าหน้าที่สวรรค์

โดย

Ink Stone_Romance

ยามมู่จิ่วกลับมาเป็นเวลาฟ้าใกล้สว่างแล้ว ตอนนั้นเสี่ยวซิงตื่นนอนขึ้นมาดื่มน้ำพอดี จึงเห็นนางกับลู่ยาพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไหวในลาน


เดิมทีนางไม่รู้ว่ามู่จิ่วออกไปข้างนอก แต่เห็นดินโคลนที่ลืมเช็ดออกบนเท้าก็เดาออกได้


นางรู้สึกว่าช่วงนี้พวกเขาประหลาดนัก เดี๋ยวไม่คุยกันหลายวัน เดี๋ยวต้องอยู่ด้วยกันลำพังในห้องถึงค่อยพูดได้ และกลับมาค่ำมืดยังคุยกันเสียงเบาอยู่ใต้ต้นไม้เสียนาน แท้จริงมีเรื่องอะไรสำคัญขนาดนั้น?


ดังนั้นกลางดึกนางจึงนอนไม่หลับ ตอนเช้าตื่นมาซ่างกวนสุ่นก็เห็น “เมื่อคืนเจ้าออกไปลักไก่หรือ?”


“เจ้าสิลักไก่! ข้าเป็นกระต่ายจะลักไก่ไปทำไม!” ช่วยไม่ได้ นอนไม่หลับก็อยากลุกจากเตียง ยังมาประจวบเหมาะเจอเขาปากเสียอีก


ซ่างกวนสุ่นลูบจมูก หัวไวขึ้นมาบ้าง “นี่ไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงเจ้าหรือ”


เสี่ยวซิงค้อนเขาไปหนึ่งที


ตอนมู่จิ่วตื่นนอน ทุกคนล้วนตื่นแล้ว เมื่อคืนดูดาวที่ทางช้างเผือกมีความสุขยิ่ง วันนี้จึงอารมณ์ไม่เลวนัก


พูดคุยกันบนโต๊ะอาหารล้วนเป็นเรื่องทิวเขาริ้วหยก หลังอาหาร นางไปหน่วยงานหาหลิวจวิ้นเพื่อนำใบอนุญาตมา นำลูกน้องไปสองคน กลับมาค่อยเรียกอ๋าวเจียงกับอาฝูให้ออกเดินทาง


เสี่ยวซิงอาบน้ำอาฝูและหวีขนให้เขา จับเสือแต่งตัวสวยงามออกจากบ้าน


อ๋าวเจียงมีพาหนะของตนเอง ส่วนมู่จิ่วขี่อาฝู ไปครั้งนี้กลับไม่ได้ช้าเสียเท่าไร เมื่อเทียบกับที่ตามอ๋าวเชินไปวันนั้น เจ้าหน้าที่สวรรค์ที่ตามมาคนหนึ่งชื่อหยวนจิน อีกคนชื่อหลัวถ่า แต่ละคนมีเขตพลังเคลื่อนย้ายของหน่วยงาน


ระหว่างทางมู่จิ่วไม่ได้พูดอะไร อ๋าวเจียงกลับหันมามองนางบ่อยครั้ง มองจนสุดท้ายทนไม่ได้ ถามขึ้นว่า “ลู่ยาเป็นคู่หมั้นของเจ้าจริงหรือ?”


มู่จิ่วค้อนเขาคราหนึ่ง ไม่ได้พูดสิ่งใด


เจ้าเด็กเวร เรื่องอะไรไม่ถาม กลับมาถามเรื่องเหล่านี้


อ๋าวเจียงก็รู้ว่าตนเองล้ำเส้นไปแล้ว จึงทำคอให้โล่งและไม่พูดอะไรอีก


ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามก็ถึงเขตทิวเขาริ้วหยก มู่จิ่วชี้วังหงส์เพลิงที่อยู่ยอดเขาให้อาฝูดู เห็นสองพาหนะพุ่งไปทางเขานั้นเหมือนกับดาวตก


วังหงส์เพลิงเหมือนกับวันนั้นที่มาไม่ผิดเพี้ยน บางทีตอนพวกเขาปรากฏตัว ตระกูลอวิ๋นก็ได้รับข่าวคราวแล้ว ตอนอาฝูลงถึงพื้น มีผู้ติดตามนำคนหลายคนมาทำความเคารพอยู่ตรงสะพานหยกที่นำไปสู่ประตูวัง


อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากเสือคือมู่จิ่วที่คราวก่อนอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินพามายังวัง กลุ่มคนนี้ก็ตะลึงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย! รอจนเห็นอ๋าวเจียงที่ด้านหลังนาง ทั้งหมดล้วนยิ่งนิ่งอึ้งไป


“ใต้เท้ากัวจากหน่วยลาดตระเวนแห่งสวรรค์ ยินดีต้อนรับ พวกเจ้ายังไม่รีบเปิดประตูต้อนรับอีก!”


อ๋าวเจียงนำใบอนุญาตที่ออกโดยทัพสวรรค์ส่งให้ เหล่าผู้ติดตามตกใจทันที รีบเชิญเข้าไป แล้ววิ่งกลับไปรายงาน


มู่จิ่วนำอาฝูเดินข้ามสะพานหยกไปอย่างมั่นคง จากนั้นตามผู้ติดตามไปยังวังที่วันนั้นอวิ๋นชือฉางอยู่


เพิ่งถึงประตูวัง อวิ๋นชือฉางออกมารับแล้ว เห็นมู่จิ่วที่จูงเสือขาวมาเป็นพาหนะก็อึ้งไปนิด แต่อย่างไรเขาก็เป็นราชาของเผ่าพันธุ์หนึ่ง จึงปรับสีหน้ากลับมาได้ภายในพริบตาเดียว ก่อนประสานมือ “ยินดีต้อนรับใต้เท้าจากหน่วยลาดตระเวน”


ตั้งแต่รู้เรื่องราวหลังม่านของตระกูลอวิ๋น เมื่อมาพบคนตระกูลนี้อีก จิตใจเหมือนเปิดผ้าปิดหน้าออกมาดูโลกอย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมือนเดิมอย่างยิ่ง ถึงที่สุดแล้วเขาก็เป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์เทพ มู่จิ่วจึงยิ้มน้อยๆ เป็นการตอบรับ “ราชาหงส์สบายดีหรือไม่?”


อวิ่นชือฉางพยักหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ จากนั้นมองอ๋าวเจียงที่อยู่หลังนาง ไม่รู้ทำไมในสายตานั้นสาดประกายเย็นเยียบที่ทำให้คนยากที่จะละเลยได้


มู่จิ่วไม่เข้าใจความหมาย มองอ๋าวเจียง อ๋าวเจียงก็ไม่เข้าใจ


“เชิญในตำหนัก”


ทางนี้กำลังสับสน อวิ๋นชือฉางกลับยื่นมือมาเชิญแล้ว


หลังเข้าตำหนักก็นั่งลงโดยแบ่งแยกแขกกับเจ้าบ้าน อวิ๋นชือฉางพูด “ตระกูลอวิ๋นของข้ากับหน่วยลาดตระเวนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่รู้ว่าใต้เท้ากัวเดินทางไกลมาด้วยเรื่องอันใด? ตอนที่ใต้เท้ากัวมาคราวก่อน มิใช่พูดว่าต้องทำหน้าที่อยู่ทะเลสาบน้ำแข็งห้าเดือนหรือ? หากข้านับไม่ผิด นี่ยังไม่ครบห้าเดือนเลย? อ๋าวเชินไม่สนใจคำสั่งของฝ่าบาท ปล่อยใต้เท้ากลับไปแล้วหรือ?”


อวิ๋นชือฉางถามคำถามนี้ มู่จิ่วไม่อาจไม่ชื่นชมในหนังหน้าของเขาได้


พวกเขาร่วมมือกับอวิ๋นเฉี่ยน วางแผนหลอกลวงอ๋าวเชิน เรื่องของวังมังกรเขาจะไม่รู้ได้หรือ? สามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับมาชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ปกครองบ้าน


มู่จิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูด “ในเมื่อราชาหงส์ยังไม่แน่ชัด ข้าบอกท่านสักคำก็ได้ ตั้งแต่วันนั้นที่กลับจากทิวเขาริ้วหยกถึงวังมังกร ราชามังกรได้เขียนขอยกเลิกคำสั่งปฏิบัติงานห้าเดือนของข้าให้แก่ฝ่าบาทด้วยตนเอง หวังหมู่เหนียงเหนียงก็รู้สึกว่าที่ข้าสังหารเฉินผิงเป็นเรื่องมีสาเหตุ ไม่ควรได้รับโทษหนัก ดังนั้นฝ่าบาทจึงอนุญาตเขา”


“ส่วนเหตุผลที่ข้ามาครั้งนี้” พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไป ชี้อ๋าวเจียงพลางพูด “อ๋าวเจียง องค์ชายสามแห่งวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งมาที่หน่วยลาดตระเวน ร้องขอสวรรค์ให้ออกหน้าทำธุระสองเรื่อง เขาเชิญข้ามาเป็นคนกลาง ขอกุญแจจันทราหยินที่เป็นของตระกูลอ๋าวกลับคืนจากตระกูลอวิ๋น”


พูดถึงกุญแจจันทรา สีหน้าของอวิ๋นชือฉางเย็นชาขึ้นมา แต่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยกวาดสายตามองอ๋าวเจียง พูดช้าๆ ว่า “กุญแจจันทรานี้ ตอนแรกเป็นอ๋าวเชินที่ยินดีมอบให้ตระกูลอวิ๋นแทนคำสัญญา องค์ชายสามต้องการเอาคืน นี่อ๋าวเชินตั้งใจผิดคำพูด หรือเป็นความต้องการขององค์ชายสามเอง?”


“ผิดคำพูดอะไร! พวกเจ้ายังมีหน้ายกเรื่องความน่าเชื่อถือสองคำนี้ต่อหน้าข้าอีก ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่คือของแทนคำสัญญา เจ้าก็ไม่ควรทำเรื่องสกปรกทำร้ายคนอื่นลับหลัง!” อ๋าวเจียงทนไม่ได้ ลุกขึ้นมาด่าทอ “พวกเจ้าวางแผนถึงวันนี้ไว้นานแล้ว สองเดือนก่อน อวิ๋นซีตั้งใจมาปะทะกับข้า จากนั้นทำข้าบาดเจ็บ รู้ว่าข้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ต้องเอาคืนแน่ ดังนั้นจึงใช้เรื่องนี้หลอกข้า”


“ต่อมาที่โลกมนุษย์ เขายังตั้งใจเข้ามาในกับดักที่ข้าวางไว้ ซ้อนแผนให้อวิ๋นเฉี่ยนมาทวงคนถึงหน้าประตู ล่อพ่อข้าออกจากวังมังกร แล้วอาศัยโอกาสนี้เข้าวังมาขโมยของ พวกเจ้ากลุ่มขโมยชั่วต่ำช้าไร้ยางอาย ยังมีหน้ามาพูดเรื่องความน่าเชื่อถือกับข้า?!”


บางทีเขาอาจโกรธจนถึงขีดสุด พูดถึงตอนสำคัญยังตะกุกตะกักอยู่บ้าง มู่จิ่วสามารถเข้าใจความรู้สึกเขา แต่นางยังไม่รีบแสดงความเห็น และมองไปทางอวิ๋นชือฉาง


“พูดได้ดี!”


อวิ๋นชือฉางหัวเราะเยาะไม่หยุด แต่จากนั้นกลับไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงกล่าวอะไรกับผู้ติดตามด้านข้างสองประโยค ผู้ติดตามคนนั้นเดินออกไป


มู่จิ่วกับอ๋าวเจียงล้วนไม่รู้ว่าเขาเล่นตุกติกอะไร หลังจากแลกสายตากัน จึงตัดสินใจรอดูสถานการณ์


สีหน้าของอวิ๋นชือฉางตรงที่นั่งประธานกลับค่อยๆ เต็มไปด้วยความเย็นชา


ไม่นาน ประตูด้านข้างมีเสียงเสื้อผ้าเสียดสีดังขึ้น ตามมาด้วยกลิ่นหอม หลังม่านมีคนสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเดินออกมา มองอย่างละเอียดกลับเป็นอวิ๋นเฉี่ยน!


ทำไมต้องมองอย่างละเอียด?


เพราะวันนี้นางแต่งหน้าแต่งตัวไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก่อนนางแต่งหน้าหนาสีสด ทั้งร่างประดับไปด้วยมุกและหยก ไม่ว่ามุมไหนดูไปล้วนเต็มไปด้วยความยั่วเย้า แต่นางตรงหน้า ทั้งร่างมีเพียงกำไลหยกที่ข้อมือเท่านั้น ที่เหลือไม่มีเครื่องประดับอื่น และบนหน้าคือความเรียบง่ายที่หาได้ยาก ไม่เพียงไม่แต่งหน้าหนา แม้แต่ผมดำยาวระดับเข่าก็เพียงม้วนไว้ด้านหลังลวกๆ เท่านั้น


ถึงแม้มู่จิ่วชื่นชมความงามตอนแต่งหน้าหนาของนาง แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ตอนแต่งหน้าพื้นๆ ความงามหมดจดของนางยิ่งทำให้รู้สึกหวั่นไหว


…………………………………………………………



บทที่ 188 เรื่องที่น่าตกใจ

โดย

Ink Stone_Romance

อวิ๋นเฉี่ยนก้มหน้าลงเล็กน้อยตลอดทาง จนถึงกลางวังถึงค่อยหยุดเท้าลง


นางมองมู่จิ่วคราหนึ่ง จากนั้นหันไปหาอ๋าวเจียง “เจ้าบอกว่าพวกเราวางแผนนานแล้ว หรือไม่รู้ว่า อ๋าวเชินก็วางแผนลงมือกับพวกเราเหมือนกัน?”


อ๋าวเจียงกำหมัดหันหน้าไปทางอื่น สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ


มู่จิ่วกลับฟังแล้วชักอยากรู้ “คำพูดนี้ของเจ้าหมายถึงอะไร?”


มุมปากอวิ๋นเฉี่ยนเจือความเยาะเย้ย “ที่อ๋าวเจียงพูดไม่ผิด เรื่องนี้ทั้งหมดพวกเราวางแผนไว้หมดแล้ว แต่ความลึกซึ้งที่แท้จริงของใจคน พวกเจ้ากลับไม่มีวันคาดเดาได้ ข้าไปวังมังกร แน่นอนว่าเพื่อหาโอกาสนำกุญแจจันทราอีกอันมา แต่ไม่รู้พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ เรื่องที่ให้พาอ๋าวเจียงกับเจ้ามาทิวเขาริ้วหยกเพื่อรับโทษ อ๋าวเชินเป็นคนพูดขึ้นเอง”


มู่จิ่วนิ่งไปทันที!


วันนั้นนางอยู่ที่เกิดเหตุ ตอนนั้นที่ยกคำแนะนำนี้ขึ้นมา แท้จริงเป็นเพราะอวิ๋นเฉี่ยนเป็นตายก็ต้องการเอาเรื่องนางให้ได้ อ๋าวเชินจึงหลุดปากเรื่องที่ให้พวกเขาทั้งสองมาทิวเขาริ้วหยก ครุ่นคิดดูแล้วก็ไม่ใช่อวิ๋นเฉี่ยนพูดจริง อย่างน้อยคนที่ตัดสินใจคืออ๋าวเชิน ตอนนั้นนางยังเข้าใจว่าพวกเขาทั้งสองรวมหัวกัน ดังนั้นจึงไม่ได้สืบสาวต่อ หรือว่า…


“นี่แสดงถึงอะไร?” นางรู้สึกว่าน้ำเสียงถามของตนเองเปลี่ยนไป ความหมายของนางคืออ๋าวเชินก็โกหก?


อวิ๋นเฉี่ยนมองนาง สายตากวาดไปทางอ๋าวเจียง ในดวงตานิ่งลึกจนมองไม่เห็นคลื่นใด “เขาฉลาดกว่าที่พวกเจ้าคิดไว้เยอะนัก พวกเจ้าคิดหรือว่าคนหน้าตาน่าเกลียดจิตใจจะไม่ร้ายกาจ?”


“วันนั้นข้าไปก่อเรื่องถึงวังมังกร เขาไม่ส่งคนไปตรวจสอบตำหนักของเจ้า แต่กลับพาข้ากับแม่ลูกพี่น้องมากมายขนาดนั้นมุ่งตรงไป เจ้าไม่สงสัยหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ ตั้งแต่คืนนั้นที่เจ้าพาอวิ๋นซีกลับวังไป เขาก็รู้แล้ว เรื่องในภายหลังล้วนเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น”


มู่จิ่วราวกับถูกฟ้าผ่า!


อ๋าวเชินรู้ตั้งแต่แรก? หลังจากรู้ยังตั้งใจพาคนมากมายไปทำให้อ๋าวเจียงลำบาก?


นางหมายความว่าอ๋าวเชินมีแผนของตนเอง?


“จริงหรือไม่? เขาทำอย่างนี้ทำไม!”


ถึงแม้นางพูดเหมือนเป็นความจริง แต่มันก็ต้องมีเหตุผล!


“ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังต้องโกหกอีกหรือ?”


ความเย็นชาที่มุมปากอวิ๋นเฉี่ยนกลายเป็นยิ้มเศร้า “เรื่องที่เขาทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อนำกุญแจจันทราหยินกลับไป เรื่องอ๋าวเจียงกับอวิ๋นซีทะเลาะกันได้รับบาดเจ็บ เจ้าคิดว่าเขาไม่รู้งั้นหรือ? ผู้อารักขาวังมังกรทั้งหมดล้วนอยู่ในมือเขาคนเดียว พวกเจ้าเข้าๆ ออกๆ เขาเพียงแค่อยากรู้ จะไม่รู้ได้อย่างไร?”


“อ๋าวเจียงคิดหาเรื่องอวิ๋นซีอยู่ตลอดเพื่อเอากุญแจจันทราหยินคืน จากจุดนี้ เขาตรงไปตรงมากว่าพ่อของเขาเยอะ”


“แต่อ๋าวเชินทำได้อย่างไร? เขารู้ชัดเจนว่าอ๋าวเจียงได้รับบาดเจ็บ จงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ ละเลยให้อ๋าวเจียงกล้าหลอกอวิ๋นซีลงจากภูเขาเข้ามาในกับดักของเขา จากนั้นเขาคิดไว้แล้วว่าข้าต้องมาหาถึงที่เพื่อถามหาความยุติธรรม ดังนั้นจึงพาพวกเราทั้งหมดไปวังเทียมบูรพา อาศัยโอกาสให้ราชินีมังกรอับจนคำพูด และจงใจเข้าข้างข้าต่อหน้านาง กระตุ้นให้ราชินีมังกรกับข้าวิวาทกัน”


“จากนั้นไหลไปตามน้ำ ใช้เรื่องนี้พาพวกเจ้ามาทิวเขาริ้วหยก”


หลังคอมู่จิ่วเย็นวาบ อ๋าวเชินแท้จริงเป็นคนแบบนี้?


นางยังคงไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง…


นี่ฟังดูแล้วเหมือนนางกำลังสาดน้ำโคลนใส่อ๋าวเชิน!


“เจ้ามีหลักฐานอะไร?” นางกวาดมองอวิ๋นเฉี่ยนอย่างสงสัย


“หลักฐาน?” อวิ๋นเฉี่ยนยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปทางตำหนักด้านหลังก่อนกล่าว “คืนนั้นที่ทิวเขาริ้วหยก เจ้าน่าจะเห็นราชาจื่อเยวี่ยของพวกเราแล้ว ไม่รู้พวกเจ้าอยากเห็นอีกหรือไม่?”


พูดถึงอวิ๋นรอง มู่จิ่วใจหนักขึ้นมา มองดูอ๋าวเจียง อ๋าวเจียงก็ทำหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก


ในเมื่อนางพูดแบบนี้ แสดงว่าอวิ๋นซีทายถูกว่าคืนนั้นมู่จิ่วไปที่อาคารเล็กนั่น ตอนนี้นางต้องการพาพวกเขาไปดูอีก ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร?


แต่อวิ๋นเฉี่ยนไม่รอพวกเขาตอบ หันไปพยักหน้าให้อวิ๋นชือฉาง ก่อนเดินไปยังทางเดินสู่ตำหนักหลัง


มู่จิ่วทำได้เพียงเดินตามไป


ตลอดทางเดินในคืนนั้นจนถึงวังถนนตะวันออก เลี้ยวไปหลายระเบียงทางเดิน จากนั้นถึงหน้าทางเดินเข้าสู่กลางไหล่เขา ทิวทัศน์รอบด้านต่างจากที่มาคราวก่อนเล็กน้อย สี่ฤดูในโลกเซียนเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แต่ดอกไม้ริมทางเดินกลับร่วงโรยเหี่ยวเฉา ราวกับที่นี่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก่อน


ฝีเท้าของอวิ๋นเฉี่ยนไม่เร็วไม่ช้า ไม่เหมือนก่อนพวกเขามาที่โกรธจนทำอะไรไม่ถูก มองจากด้านหลังเหมือนใจเต็มไปด้วยความกังวลตลอดทาง มู่จิ่วนึกสงสัยอวิ๋นเฉี่ยน ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆ เม้มแน่น


ไม่นานก็เดินผ่านไหล่เขาไปถึงหน้าอาคารเล็ก จากนั้นเป็นกำแพงส่องสว่างที่ไม่เหมือนในความทรงจำ อาคารเล็กตรงหน้าคืนนี้ทะมึนเป็นพิเศษ ไม่เพียงไม่มีคน แม้แต่แสงสว่างก็มีเพียงห้องที่อวิ๋นซีเข้าไปวันนั้นส่องออกมาบางๆ


มู่จิ่วมองอวิ๋นเฉี่ยนอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเฉี่ยนกลับไม่มอง มุ่งตรงเข้าไปด้านใน


ในประตูใหญ่แสงมืดทึบ สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงแม้การเดินทางไม่เป็นปัญหา แต่การมองเห็นกลับลำบากไปนิด


รอจนเข้ามาฝั่งตะวันออกห้องที่จุดไฟไว้ การมองเห็นสว่างขึ้นมาทันที


ในห้องสิ่งของประณีตงดงามอย่างมาก เปรียบกับวังจิ้งจอกชิงชิวแล้วไม่แย่กว่าเลย


อวิ๋นเฉี่ยนอยู่กลางห้องหน้าฉากกั้นลมอันใหญ่ หันมาพูด “นี่คือห้องของพี่รองของข้า และราชาหงส์รุ่นก่อนของพวกเรา ข้าคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเขา อ๋าวเชินต้องบอกกับพวกเจ้าแล้ว”


มู่จิ่วมองไปรอบๆ ห้องอันเงียบสงบนี้ ก่อนพูด “ราชาจื่อเยวี่ยล่ะ?”


อวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้พูด เดินต่ออ้อมไปหลังฉากกั้นลม


มู่จิ่วกับอ๋าวเจียงรีบเดินตามเข้าไป ในฉากกั้นลมมีเตียงสี่เสางดงามอยู่หลังหนึ่ง หัวเตียงจุดตะเกียงน้ำมัน แต่บนเตียง…บนเตียงมีคนนอนอยู่! เขานอนนิ่งๆ ไม่ขยับ เทียบกับนอนหลับแล้วยังสงบกว่า!


“นี่…”


มู่จิ่วมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี นางรีบเดินเข้าไปหน้าเตียง มองอวิ๋นรองที่เสื้อเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เงียบสงัดและซีดขาว “นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“เขาจากไปแล้ว”


อวิ๋นเฉี่ยนพูดสั้นๆ ด้านหลังของแต่ละขีดตัวอักษรกลับเหมือนแบกหินหนักพันจินไว้


มู่จิ่วเบิกตากว้างปากอ้าค้าง พริบตาเดียวไร้คำพูดตอบกลับ!


“ตายแล้ว?!”


เร็วขนาดนี้?!


ถึงแม้เมื่อครู่ตอนเห็นท่าทาง นางก็สงสัยแล้วว่าเป็นแบบนี้ แต่พอได้ยินคำนี้จริงยังอดตกใจมากไม่ได้


อวิ๋นรองตายแล้ว ไม่ใช่บอกว่า ถึงแม้เอากุญแจจันทราหยางมาไม่ได้ ช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาก็ยังไร้อุปสรรคหรือ? ทำไมตายไปกะทันหัน!


นางอดไม่ได้ เดินเข้าไปมองเขาบนเตียงอย่างละเอียด หน้าตาเขาเหมือนอวิ๋นซีสักเจ็ดส่วน แต่ตอนนี้ไม่มีลมหายใจแม้แต่น้อย ถึงแม้พลังบำเพ็ญนางไม่ล้ำลึก แต่ยังมีความสามารถในการรับรู้ว่าเขายังมีหรือไม่มีสัญญาณชีวิตอยู่ นางจับชีพจรเขา ตายแล้วจริงๆ และหากนางเดาไม่ผิด คงจะตายแล้วหลายวัน


“นี่เกิดอะไรขึ้น?” ตอนนี้อ๋าวเจียงก็อดไม่ได้ เอ่ยอย่างตกใจ


ตั้งแต่ตอนที่ลู่ยาพูดว่าเหยี่ยวพิษไม่ได้ขโมยกุญแจจันทราหยางไป พวกตนรู้ว่ากุญแจจันทราหยางไม่อาจอยู่ในมือตระกูลอวิ๋นได้ แต่ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะพลาดพลั้งจนแม้แต่อวิ๋นรองก็ตายไป หรือพวกเขาเดาออกว่าตระกูลอ๋าวจะมาคิดบัญชี จึงสร้างเหตุการณ์หลอกขึ้นมา?


……………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)