อัจฉริยะสมองเพชร 1846-1849

 ตอนที่ 1846 ทีมลอบสังหาร

ในวันนั้น เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างรวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีสถาปนาอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ ถนนหนทางภายในเมืองหลวงกว้างใหญ่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ไปทั่ว


ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธสูงจนยากจะหยั่งถึงเดินไปมาตามสองข้างทางเป็นระยะๆ ทำให้นักรบระดับเซียนขั้น 9 ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคือนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นมักได้ครอบครองดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ซึ่งไม่มีใครกล้าต่อต้าน อำนาจการปกครองของพวกเขา แต่ในเมืองหลวง พวกเขาไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ได้ปราบปรามฝ่ายต่อต้านจนราบคาบและรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว ทั้งกลุ่มอำนาจใหญ่ๆและเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นนำล้วนแต่ยอมจำนนให้เขา


หากใครกล้าสร้างความปั่นป่วน…ก็อาจพบว่าบุคคลที่ยืนอยู่ถัดไปจากเขาอาจเป็นนักปราชญ์โบราณที่ใครๆหวาดกลัวซึ่งได้ยอมจำนนให้กับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่แล้วก็ได้


“อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นนักรบที่ไร้เทียมทานที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจของเรา ในตอนนั้น ทั้งอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงได้ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อทำร้ายอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่า…เพื่อแก้แค้นให้บรรพบุรุษของเขา อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ได้เผชิญหน้ากับอีก 2 อำมาตย์ที่เหลือ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำลายแผนการของทั้งคู่ เขายังเล่นงานเทพเจ้าที่มาจากมิติเบื้องบนได้ภายในกระบวนท่าเดียว ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังอย่างน่าทึ่ง!”


ตามถนนหนทาง นักเล่านิทานที่กำลังโบกพัดในมือสาธยายวีรกรรมของอำมาตย์เฉินหลงคนใหม่อย่างออกรสออกชาติ


“เดี๋ยวก่อน เรื่องเล่าของคุณดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดพลาดนะ ไม่ใช่หรือ? ผมอยู่ในการสู้รบครั้งใหญ่ที่เมืองหลวงเมื่อ 1 เดือนก่อน และเห็นกับตาเลยว่าตอนนั้นอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีทางที่เขาจะขัดขวางการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้หรอก เป็นนักปราชญ์โบราณนิรนามคนหนึ่งต่างหากที่ยืนหยัดและสังหารเทพเจ้าได้สำเร็จ!” นักรบที่บังเอิญผ่านมาคนหนึ่งทักท้วง


การสู้รบครั้งใหญ่ผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้ว และผู้คนมากมายในเมืองหลวงก็ได้เห็นภาพนั้นกับตา สิ่งที่พวกเขาเห็นต่างจากสิ่งที่นักเล่านิทานสาธยายมาก


นักเล่านิทานยกย่องสรรเสริญวีรกรรมและความสำเร็จของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ แต่ทุกคนที่ได้เห็นการสู้รบกับตารู้ดีว่าผู้ที่โดดเด่นที่สุดและยืนหยัดตลอดการต่อสู้ครั้งนั้นไม่ใช่อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ แต่เป็นนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน


เมื่อถูกผู้ฟังทักท้วง นักเล่านิทานถามยิ้มๆ “แล้วคุณรู้ไหมว่านักปราชญ์โบราณนิรนามผู้นั้นเป็นใคร?”


“ผม…ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!” นักรบที่เดินทางผ่านมาตอบพร้อมกับส่ายหน้า


ผู้ฟังคนอื่นๆพากันสับสนเล็กน้อย


“ชายผู้นั้นไม่เคยบอกชื่อของเขา อันที่จริง เขายังไม่ปรากฏตัวอีกเลยด้วยซ้ำนับจากวันนั้น หรือว่าคุณรู้ว่าเขาเป็นใคร?”ผู้ฟังคนหนึ่งตั้งคำถาม


ได้ยินคำนั้น ทุกคนต่างหูผึ่ง


ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่อยากรู้อยากเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญนิรนามผู้นั้นเป็นใคร มันเป็นเรื่องราวที่สร้างความสงสัยซึ่งไม่อาจบรรเทาได้จนกว่าจะได้รู้จักภูมิหลังของนักรบลึกลับผู้นั้น


“แน่นอนว่าผมรู้!”


เมื่อเห็นว่าดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้แล้ว นักเล่านิทานหัวเราะหึๆก่อนจะลูบเคราอย่างลิงโลด เขาใช้นิ้วเคาะขันทองแดงที่อยู่ตรงหน้าราวกับกำลังพยายามบอกใบ้อะไรบางอย่าง


“บอกพวกเรามาเถอะ!”


ชายร่างอ้วนที่สวมผ้าคลุมหน้าสะบัดข้อมือและโยนเหรียญหย่ง 2-3 เหรียญลงไปในขันทองแดง เหรียญกระทบกันเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋ง


นัยน์ตาของนักเล่านิทานเบิกกว้างเมื่อเห็นเงิน เขารีบเก็บเหรียญหย่งเหล่านั้นเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาพร้อมกับลดเสียงลง “ว่ากันว่านักปราชญ์โบราณลึกลับผู้นั้นเป็นผู้ให้คำชี้แนะของอำมาตย์เฉินหย่ง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เคยเข้าสู่การปลีกวิเวกเป็นเวลานาน เพราะคำชี้แนะของเขาที่ทำให้อำมาตย์เฉินหย่งสร้างวีรกรรมอันน่าทึ่งในการรวบรวมพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวได้แม้จะอายุยังน้อย ไม่เพียงเท่านั้น ว่ากันว่านักปราชญ์โบราณลึกลับผู้นี้มีความสามารถแม้กระทั่งทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน รวมถึงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงด้วย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งสองจึงยินยอมพลีชีพเพื่อปกป้องอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่…”


“อาจารย์ของอำมาตย์เฉินหย่งหรือ?”


“คุณแน่ใจใช่ไหมว่ารู้เรื่องที่ตัวเองกำลังพูด?” อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่น่ะได้รับมรดกตกทอดจากอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่านะ เพราะฉะนั้นผู้ให้คำชี้แนะของเขาก็ควรจะเป็นอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าไม่ใช่หรือ?”


ผู้ฟังบางคนแสดงความแคลงใจในเรื่องเล่าของนักเล่านิทาน


“แน่นอนว่าไม่! อำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าไร้เทียมทานมากก็จริง เรื่องนั้นปฏิเสธไม่ได้ แต่เขาก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะได้เป็นอาจารย์ของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ อันที่จริง ผมได้ยินว่าแม้กระทั่งอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าก็ยังก็ยังต้องโค้งคำนับและเรียกขานบุคคลผู้นั้นด้วยความเคารพว่า ‘นายน้อย’!” นักเล่านิทานพูดต่อ


“ขนาดอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าก็ยังเรียกเขาว่านายน้อยหรือ? คุณโม้หรือเปล่า? หรือจะบอกว่านักปราชญ์โบราณลึกลับผู้นั้นก็เป็นเทพเจ้าเหมือนกัน?” ชายร่างอ้วนที่สวมผ้าคลุมหน้าคำรามเยาะ


“เขาเป็นเทพเจ้าแน่นอน! ถ้าเขาไม่ใช่เทพเจ้า จะสังหารเทพเจ้าที่มาจากมิติเบื้องบนอย่างง่ายดายแบบนั้นได้อย่างไร?” นักเล่านิทานตอบตามข้อเท็จจริง “หลายหมื่นปีที่ผ่านมา นอกจากไอ้โหดแห่งเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณของพวกเราและปรมาจารย์ขงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ คุณเคยได้ยินหรือว่ามีใครที่มีพละกำลังขนาดนี้?”


ทุกคนต่างไม่รู้จะพูดอะไร


เทพเจ้า


ลำพังชื่อก็เป็นสัญลักษณ์ของความไร้เทียมทานแล้ว


ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่สามารถสังหารเทพเจ้า แต่แล้วจู่ๆนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในยุคสมัยของพวกเขาและสังหารเทพเจ้าองค์หนึ่งได้อย่างง่ายดาย…ยากที่จะเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเทพเจ้าเหมือนกัน!


“เพราะอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นศิษย์สายตรงของเทพเจ้า เขาจึงสามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เขาคือบุรุษที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากสวรรค์ เทพเจ้ากำลังเข้าข้างเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราแล้ว เมื่อมีผู้นำแบบนี้ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณก็มีแต่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ!” นักเล่านิทานใส่อารมณ์มากขึ้นในทุกคำพูด


“ก็จริง ถือเป็นเกียรติที่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่”


“ความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองกำลังรอคอยเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราอยู่…”


“นี่คือช่วงเวลาของพวกเรา ยุคสมัยของพวกเรา!”


…..


ผู้ฟังพากันตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำพูดนั้น


“เฮ่ออออ! พวกคุณพูดพล่ามอะไรกันอยู่น่ะ ผมว่าคุณจงใจแต่งเรื่องเพื่อล่อลวงคนพวกนั้น ภายใต้การชี้นำของ…” ชายร่างอ้วนคำราม


แต่พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ก็รู้สึกว่ามีใครกระตุกชายเสื้อ


เขาขมวดคิ้วแล้วหันกลับไป เห็นสาวน้อยร่างสูงอ้อนแอ้นคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเรียบๆไม่สะดุดตา “กลับกันเถอะ”


ชายร่างอ้วนชะงัก รีบคีบเนื้อชิ้นสุดท้ายเข้าปากก่อนจะซักถามอีกฝ่าย “ทำไมล่ะ? รอเดี๋ยวสิ ผมมาหาข่าวที่นี่ ไม่ได้มากิน ขอเวลาอีกเดี๋ยว…”


สิ่งที่เขาต้องเผชิญหลังจากนั้นคือน้ำเสียงเย็นเยียบของสาวน้อย “ศิษย์พี่บอกฉันให้มาตามคุณกลับไป ถ้าไม่กลับล่ะก็ ให้คุณอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต!”


“….”


ชายร่างอ้วนตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “คุณพูดอะไรน่ะ ผมน่ะหรือจะกล้าขัดคำสั่งของศิษย์พี่? รีบไปกันเถอะ ปล่อยให้ศิษย์พี่รอนานจะไม่ดี…”


แล้วทั้งสองก็ออกเดิน ภายใต้การนำของสาวน้อย พวกเขาเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยมากมาย ก่อนจะมาหยุดที่ลานบ้านขนาดเล็ก สาวน้อยผลักประตูที่เปิดออกสู่ลานบ้านและเดินเข้าไป


ที่อยู่เลยทางเข้าไปเล็กน้อยคือห้องที่มีฉนวนปิดสนิท ห้องนั้นถูกปิดตายไว้โดยใช้วิธีการพิเศษมากมาย ไม่ว่าสุ้มเสียงใดๆหรือการรับรู้จิตวิญญาณแบบไหนก็ไม่อาจทะลุเข้าไปหรือเล็ดลอดออกจากห้องนั้นได้


มีหลายคนนั่งอยู่ในห้อง เท่าที่เห็น พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เป็นมนุษย์


เมื่อเจอกับการขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดของสาวน้อยที่นั่งอยู่ใจกลางห้อง ชายร่างอ้วนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วนและอธิบาย “ฮ่าฮ่า ผมก็แค่ออกไปหาข่าว…”


“แล้วคุณได้ข่าวอะไรมา? บอกพวกเราบ้างสิ!” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างถามยิ้มๆ ด้านหลังตัวเขามีหอกซึ่งส่งประกายเย็นเยียบวางพิงอยู่กับผนัง


“เอ่อ…ก็ดูเหมือนว่าอำมาตย์เฉินหย่งที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่จะเป็นคนน่าทึ่งไม่เบา ไม่เพียงแต่จะปราบฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบคาบ ยังจัดการให้นักเล่านิทานทั่วทั้งเมืองหลวงแพร่ข่าวออกไปว่าเขาคือผู้ได้รับมอบหมายภารกิจจากสวรรค์ด้วย ตอนนี้ แทบทุกคนในเมืองหลวงเชื่อว่าเขาคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ให้มาเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์ปีศาจไปสู่ความยิ่งใหญ่!” ชายร่างอ้วนตอบหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


“ผมได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นคนเข้มงวดมาก ภายใต้การนำของเขา เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจมากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกที่นั่งลำบากอย่างเลี่ยงไม่ได้” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


เขาหันไปตั้งคำถามกับสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลาง “ศิษย์พี่ ตอนนี้คุณมีความเห็นอย่างไร?”


“ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่กำลังจะเข้าพิธีสถาปนา เขาก็ย่อมอยากได้การประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อเอาชนะใจและให้ได้รับความจงรักภักดีจากเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่า การที่เขาแพร่กระจายข่าวออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร” สาวน้อยเคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ


“แต่ก็อย่างที่เจิ้งหยางพูดนั่นแหละ การรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณไม่ส่งผลดีต่อพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเริ่มโจมตีก่อน หากเราลอบสังหารเขาระหว่างพิธีสถาปนาได้สำเร็จ ก็จะสามารถสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ รวมทั้งปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ทำให้พวกนั้นแตกฉานซ่านเซ็นไปอย่างที่เคยเป็น!”


ตอนที่ 1847 แผนการ

ลอบสังหาร?


ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด


การโจมตีอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ระหว่างพิธีสถาปนาย่อมหมายถึงความตาย เพราะนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดทุกคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ซึ่งหากเกิดอะไรผิดพลาด พวกเขาไม่เหลือซากแน่!


“เราจำเป็นต้องทำในระหว่างพิธีสถาปนาด้วยหรือ?” ชายร่างอ้วนตั้งคำถาม “เราจะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นไหมหากลอบสังหารเขาในเวลาอื่น?”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของอำมาตย์เฉินหย่งจะต้องเข้มงวดสูงสุดในช่วงเวลาของพิธีสถาปนา สมควรแล้วหรือที่พวกเขาจะลอบโจมตีในตอนนั้น?


“มีข้อดีอยู่ 3 ข้อนะ!”


ผู้พูดไม่ใช่สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลาง แต่เป็นสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่พาชายร่างอ้วนเข้ามา “ข้อแรก พิธีสถาปนาเป็นหนึ่งในงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ถ้าการลอบสังหารของพวกเราสำเร็จ คำร่ำลือที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่คือผู้ได้รับมอบหมายภารกิจจากสวรรค์ก็จะถูกปัดตกไป ซึ่งจะทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เพิ่งรวมตัวกันได้แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าอย่างรวดเร็ว และการที่ใครสักคนจะรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งก็ย่อมยากขึ้น”


ชายร่างอ้วนพยักหน้ารับ


ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ถูกสังหารภายในเวลาไม่นานหลังจากที่มีข่าวลือว่าเขาคือผู้ที่สวรรค์มอบหมายภารกิจให้ ผลกระทบต่อเรื่องนี้ก็จะรุนแรงและแพร่กระจายออกไป ฝูงชนจะพากันหวาดกลัวและตื่นตระหนก ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจระส่ำระสายกว่าที่เคย


“ข้อสอง, ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันของสามอำมาตย์ใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้อำนาจของชายคนเดียวอย่างปุบปับ ถึงอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะปราบปรามฝ่ายตรงข้ามอย่างราบคาบแล้วและไม่มีใครกล้าต่อต้าน อำนาจล้นพ้นของเขา แต่ปัญหาก็คือเขายังขาดความชอบธรรมอยู่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับกฎเกณฑ์ของอำมาตย์เฉินหย่ง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องสั่งการให้นักเล่านิทานทั่วเมืองหลวง แพร่ข่าวออกไปว่าเขาคือผู้ที่สวรรค์มอบหมายภารกิจให้” สาวน้อยอธิบาย


“เหตุผลที่พวกเขาทำการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่ก็เพราะเกรงว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะไม่ได้การยอมรับจากมหาชน ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะเข้าโจมตี”


“โอกาสดีที่สุดที่จะเข้าโจมตี?” ชายร่างอ้วนยังคงไม่เข้าใจ


“แน่นอนว่าผู้ที่ต่อต้านกฎเกณฑ์ของอำมาตย์เฉินหย่งจะต้องจับตามองพิธีสถาปนาอยู่เช่นกัน หากพวกเขาเห็นใครสักคนเข้าขัดขวางพิธีสถาปนาของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะเข้าร่วมสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หากพวกเราทำการโจมตีอย่างปุบปับ ก็มีโอกาสจะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น” สาวน้อยอธิบาย


“เอ่อ…” ชายร่างอ้วนครุ่นคิดหนัก


ในแง่ของการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น เขาเทียบชั้นไม่ได้เลยกับสาวน้อยทั้งสอง


ปัจจัยที่พูดมาทำให้พวกเขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นจริงๆ


กลุ่มก๊วนของอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงนั้นไม่ได้สลายไปอย่างสิ้นซากพร้อมกับการเสียชีวิตของทั้งคู่ ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งกำราบกองกำลังของทั้งสองกลุ่มให้ยอมจำนนต่อเขาแล้ว แต่ก็มีโอกาสสูงที่คนเหล่านั้นจะยังมีความเป็นปฏิปักษ์ต่ออำมาตย์เฉินหย่งอยู่


ด้วยเหตุนี้ ถ้าใครสักคนพยายามลอบสังหารอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ต่อหน้าต่อตา พวกเขาก็น่าจะยิ่งกว่าเต็มใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ


“ฉันจะพูดข้อสามเอง” สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องเสริม “เมื่อเช้า ฉันเห็นนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรีบร้อนออกจากเมืองหลวงไป ทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดที่คอยช่วยเหลืออำมาตย์เฉินหย่งในตอนนี้ ซึ่งตราบใดที่พวกเขาไม่อยู่ โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็จะมีมากขึ้น”


“ตาเฒ่า 2 คนนั่น รีบร้อนออกจากพิธีสถาปนาไปหรือ? เขาเป็นผู้คุ้มกันอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงจากไปในช่วงเวลาคับขันแบบนี้?” ชายร่างอ้วนพึมพำด้วยความสงสัย


“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเรื่องเหตุผล แต่มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาออกจากพื้นที่ไปเพื่อจัดการกับกลุ่มต่อต้านกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดระหว่างพิธีสถาปนา” สาวน้อยตอบ


“อีกอย่าง จากการสืบเสาะของฉัน ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่แสดงการคารวะบรรพบุรุษของพวกเขาระหว่างพิธีสถาปนา ซึ่งระหว่างกระบวนการนั้น อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะต้องรับฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษอย่างถ่อมตัว จึงไม่อาจใช้การรับรู้จิตวิญญาณหรือพลังปราณใดๆได้ พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นโอกาสงามที่พวกเราจะเข้าโจมตี ขอแค่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง!”


ได้ฟังการวิเคราะห์ ชายร่างอ้วนพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้น…ผมก็จะทำตามแผนการของคุณ, ศิษย์พี่!”


“ดี ในเมื่อเรามีความเห็นตรงกันแล้ว ก็เตรียมตัวเถอะ”


เมื่อพูดจบ สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ลุกขึ้นยืน เธอมองอีก 5 ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าและพูดต่อ “ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนกำลังคิดอะไร ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ของเราถูก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์บังคับให้จบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพราะเหตุที่เขาไปร่วมมือกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ…”


“…พวกเรารู้ดีว่ามันเป็นแค่การปกปิดตัวตนของเขาเพื่อจะได้ลักลอบเข้าสู่ดินแดนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่อาการบาดเจ็บของท่านอาจารย์ก็สาหัสเสียจนเขาไม่อาจฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ถึงอย่างนั้น พิธีสถาปนาอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่และการรวมตัวกันเป็นหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็จ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว เราไม่มีเวลาตามหาท่านอาจารย์ของเราอีก!”


“ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือสังหารอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อกำจัดศักยภาพในการคุกคามของเขา มันเป็นวิธีเดียวที่เราจะล้างมลทินให้ท่านอาจารย์ที่เขาทำให้สภาปรมาจารย์เสื่อมเสียเกียรติ และทั้งโลกจะได้รู้ว่าท่านอาจารย์ของเราอยู่ข้างเดียวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เสมอ ซึ่งสิ่งนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง และในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเรามีชื่อเสียง ท่านอาจารย์ก็จะหาตัวพวกเราพบได้ง่ายขึ้น”


ในเมื่อทุกคนไม่รู้ว่าท่านอาจารย์อยู่ที่ไหน ก็จำเป็นจะต้องยืนอยู่ในบริเวณที่แสงไฟสาดส่องชัดเจนที่สุด เพื่อให้ท่านอาจารย์หาตัวพวกเขาพบ


“พวกเราเข้าใจ!” คนอื่นๆพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง


ทั้งกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ในห้องก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงทั้ง 6 คนของจางเซวียน


จ้าวหย่า หวังหยิ่ง เจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียน หยวนเทา และลู่ชง


2 เดือนมาแล้วนับตั้งแต่ท่านอาจารย์ของพวกเขาจบชีวิตลงที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เพราะเกรงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ทุกคนจึงลงไปที่อาณาจักรใต้ดินเหมือนกับนักรบคนอื่นๆและทำการค้นหาทุกตารางนิ้ว แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวของท่านอาจารย์เลยทั้งๆที่พยายามจนสุดกำลัง


แต่ถึงอย่างนั้น การสืบเสาะครั้งนี้ก็นำพาให้พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทุกคนได้รู้ว่าภัยคุกคามครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่สนามรบแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ และรู้ดีว่าอาจจะสายเกินไปหากไม่รีบกำราบภัยนั้นแต่เนิ่นๆ พวกเขาจึงเลือกที่จะมารวมตัวกันในเมืองหลวงเพื่อหารือเรื่องแผนการตอบโต้


“ในเมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ก็มายืนยันระดับวรยุทธในตอนนี้ของพวกเรากันเถอะ” จ้าวหย่าพูด “นับตั้งแต่ท่านอาจารย์จากไป เจิ้งหยางก็ได้ใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดแล้ว ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เขารับมือได้แม้กับนักรบขั้นบรมครูนักปราชญ์ส่วนใหญ่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด ถูกไหม?”


“ถูก” เจิ้งหยางตอบ


ตอนที่เขาได้ยินว่าท่านอาจารย์ของเขาจบชีวิตที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นการจัดฉากบังหน้า แต่ความคิดที่ว่าท่านอาจารย์ต้องถูกเหยียดหยามก็ทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่ง


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงขังตัวเองอยู่ในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงและตั้งอกตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ จากการทุ่มเทอย่างหนักและการได้พบกับความโชคดีบางอย่างที่วิหารแห่งขงจื๊อ ในที่สุดเจิ้งหยางก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ จากนั้น เขาก็ใช้เวลาอีกเกือบ 1 ปีในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อขัดเกลาวรยุทธ ทำให้วรยุทธของเขาเข้าถึงระดับการสืบทอดสายเลือดโลกจารึก


แม้เขาจะยังเป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 1 แต่ด้วยเทคนิควรยุทธกับเทคนิคการต่อสู้อันเหนือชั้น ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาย่อมไม่เป็นรองแม้กับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์โดยทั่วไป


“เจิ้งหยาง คุณกับฉันจะเป็นแนวหน้าในการโจมตี” จ้าวหย่าพูด จากนั้นก็หันไปมองสาวน้อยอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ “หรูเหยียน คุณก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้วใช่ไหม? ถึงจะยังไม่แข็งแกร่งเท่าลู่ชง แต่ความเชี่ยวชาญด้านยาพิษก็ทำให้คุณเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงมาก ต่อให้นักรบขั้นบรมครูนักปราชญ์ก็อาจตายเพราะยาพิษของคุณได้หากพวกเขาไม่ทันระวัง”


สาวน้อยที่จ้าวหย่าพูดถึงนั่งเงียบตลอดการสนทนา เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงของจางเซวียนที่มีสภาวะกายพิษและจิตวิญญาณเป็นพิษแต่กำเนิด, เว่ยหรูเหยียน


ถึงเธอจะเงียบ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเธออาจเป็นนักรบที่น่าสะพรึงที่สุดในหมู่พวกเขาเมื่อถึงคราวต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ


“ใช่ ฉันพยายามเล่นงานคนอื่นๆเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปสนับสนุนอำมาตย์เฉินหย่ง หากใครกล้าฝ่าฝืน ยาพิษของฉันจะออกฤทธิ์กัดกร่อนพวกเขาจากภายในร่างกาย ถ้าฉันต้องการล่ะก็ ต่อให้ทั้งเมืองหลวงฉันก็สังหารหมู่ได้!” เว่ยหรูเหยียนตอบอย่างเฉยเมย


ขนาดกำลังพูดถึงการสังหารหมู่ทั้งเมืองหลวง แต่สีหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ราวกับกำลังพูดถึงการฆ่ามดตัวหนึ่ง


ที่วิหารแห่งขงจื๊อ เว่ยหรูเหยียนได้รับมรดกตกทอดของท่านอาจารย์และผลโพธิ์ ทำให้เธอฝ่าด่านวรยุทธของสภาวะจิตได้สำเร็จ และเมื่อประกอบกับความโชคดีบางอย่างที่ได้พบในตอนนั้น เธอก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ตั้งแต่เมื่อ 1 เดือนก่อน แม้จะยังอ่อนด้อยกว่าเจิ้งหยางเล็กน้อยในแง่ของประสิทธิภาพการโจมตี แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาพิษของเธอจะเป็นไม้ตายชั้นยอดเมื่อต้องรับมือกับคู่ต่อสู้จำนวนมากพร้อมๆกัน


ใครก็ตามที่กล้ารุกล้ำเข้าสู่อาณาเขตของการโจมตีจะต้องพ่ายแพ้ให้กับยาพิษ สิ่งนี้จะทำให้ความได้เปรียบหลายข้อของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ต้องไร้ความหมาย


“เอาล่ะ เรื่องนั้นฉันขอพึ่งพาคุณก็แล้วกัน ส่วนหยวนเทา เราจะมอบหมายหน้าที่ตั้งรับให้ การทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 ของคุณจะมาถึงเมื่อไหร่?” จ้าวหย่าหันไปมองชายร่างอ้วน พร้อมกับย่นหน้าผากเล็กน้อย


หยวนเทาเข้าท้าทายการทดสอบนักปราชญ์มาแล้วครั้งหนึ่งที่วิหารแห่งขงจื๊อ แต่เขาเลือกที่จะกดข่มวรยุทธไว้ จนถึงตอนนี้ การทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 ของเขาก็ยังไม่มา หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้เขาจะมีพละกำลังมากมาย…แต่ก็ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณ!


ตอนที่ 1848 โจมตี

“ผม…ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน!” หยวนเทาเกาหัวอย่างลำบากใจ


บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณกันหมดแล้ว ทิ้งเขาให้รั้งท้าย เรื่องนี้ทำให้เขาเจ็บปวดใจมาก


การที่วรยุทธของเขาพัฒนาได้อย่างเชื่องช้า ถือเป็นการสร้างความอับอายให้กับท่านอาจารย์!


“ถ้าเรารู้ คงจะไม่มัวกินเพื่อปลอบใจตัวเองอยู่แบบนี้” หยวนเทารำพึงอย่างหม่นหมองขณะส่งของกินเต็มกำมือเข้าปาก จากนั้นก็เคี้ยวเสียงดังกรอบแกรบน่ารำคาญ


จ้าวหย่าไม่ใส่ใจความตะกละตะกรามนั้น เธอหันไปถามลู่ชงด้วยความกังวล “ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมานี่ ฉันคิดว่าคุณพัฒนาตัวเองรวดเร็วไปหน่อยนะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?”


หลังจากที่จางเซวียนจากไป ลู่ชงก็กลับคืนสู่ภาวะเงียบงันอีกครั้ง บุคลิกของเขาเย็นชาและแข็งทื่อราวกับศพ แต่ในส่วนของวรยุทธนั้น มันพุ่งพรวดราวกับถูกฉีดเสตียรอยด์เข้าไป


เจิ้งหยางสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดด้วยการใช้การเร่งเวลาที่มีอยู่ในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ลู่ชง…เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นต้นแล้ว!


สำเร็จวรยุทธระดับนั้นได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน…ช่างเหลือเชื่อจริงๆ


ลู่ชงพยักหน้าแล้วตอบห้วนๆ “ผมสบายดี”


“หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ การฝ่าด่านวรยุทธทุกครั้งจะต้องใช้พลังงานมาก ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่คุณยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้ ถ้าคุณไม่ขัดเกลาวรยุทธให้ดี อาจเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคต” เจิ้งหยางเสริมด้วยความเป็นห่วง


หากเขาจะต้องหาข้อบกพร่องสักข้อของศิษย์น้องคนนี้ ก็คงจะเป็นความดื้อดึง เขาเหมือนกับน้ำเต็มแก้วเสียจนรู้สึกท้อใจที่จะพูดด้วย


หากลู่ชงแบ่งปันปัญหาของตัวเองกับพวกเขา ก็ยังพอจะหารือและมอบคำชี้แนะให้กันได้ แต่ศิษย์น้องของเขาคนนี้ดื้อดึงและเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ทั้งยังทุ่มเททุกสิ่งให้กับการฝึกฝนวรยุทธ ถ้าไม่ได้พบกับท่านอาจารย์ ใครจะรู้ว่าตอนนี้ลู่ชงจะเป็นอย่างไร?


เห็นทุกสายตาจับจ้องที่เขา ลู่ชงเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนอธิบาย “ท่านอาจารย์มอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณให้ผม”


ทุกคนพยักหน้า


ก่อนจะจากไป จางเซวียนได้แบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่เขาได้มาจากวิหารแห่งขงจื๊อให้กับศิษย์สายตรงทุกคน


ฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือสัญลักษณ์ของหัวหน้าสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ซึ่งลู่ชงก็ไม่ได้ปิดบังความจริงที่ว่าเขาได้รับสิ่งนี้จากท่านอาจารย์


“สิ่งที่อยู่ภายในฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือพลังจิตวิญญาณเข้มข้นจากจิตวิญญาณ 110,000 ดวงของนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไป ผมได้ใช้เวลา 1 เดือนที่ผ่านมาซึมซับมัน ทำให้พลังจิตวิญญาณของผมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” ลู่ชงอธิบาย


“จิตวิญญาณ 110,000 ดวง?”


“ทุกคนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไป?”


ผู้ฟังถึงกับผงะ


พวกเขาจินตนาการไม่ถูกว่าพลังจิตวิญญาณที่มีนั้นจะมีปริมาณมหาศาลขนาดไหน นั่นอธิบายได้ว่าทำไมลู่ชงถึงยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีพลังจิตวิญญาณปริมาณมากขนาดนั้นเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ การที่เขาจะก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ก็ไม่ยากเกินไป


“ก่อนจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ท่านอาจารย์ของพวกเราได้สังหารกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ 110,000ตัว และแก้ไขวิกฤตการณ์ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่าจิตวิญญาณพวกนี้จะมาจากที่นั่น?” เจิ้งหยางตั้งคำถามอย่างปุบปับ


เพราะสภายอดขุนพลจับตาดูสถานการณ์ในอาณาจักรใต้ดินอย่างใกล้ชิด เขาจึงรับรู้วีรกรรมของท่านอาจารย์ที่เกิดขึ้นที่นั่น จิตวิญญาณ 110,000 ดวงของนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไปไม่ใช่จะมาจากที่ไหนก็ได้ และนั่นคงเป็นเหตุการณ์เดียวที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น


“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ท่านอาจารย์ไม่ได้ซึมซับอะไรไว้เลย และเลือกจะมอบทุกอย่างให้ผมแทน” ลู่ชงพยักหน้าขณะกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงเลือกจะทิ้งพลังจิตวิญญาณมากมายขนาดนี้ไว้ให้เขาแทนที่จะซึมซับไว้เอง แต่เขาก็ปฏิญาณไว้แล้วว่าจะใช้ของขวัญชิ้นนี้ในทางที่เป็นประโยชน์


เมื่อรู้แล้วว่าลู่ชงได้ความแข็งแกร่งมาด้วยวิธีการที่เหมาะสม ไม่ได้ใช้การบีบบังคับให้เกิดพละกำลัง จ้าวหย่าถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ศิษย์น้องลู่ชง ด้วยระดับวรยุทธของคุณ คงจะดีที่สุดถ้าคุณผนึกกำลังกันกับฉันและเจิ้งหยางในการโจมตีอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ คุณจะเป็นผู้โจมตีหลัก ส่วนเรา 2 คนจะคอยช่วยเหลือ!”


ลู่ชงพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ


“ส่วนหวังหยิ่ง…” จ้าวหย่าหันไปพูดกับหวังหยิ่ง “แม้คุณจะเพิ่งเป็นนักปราชญ์โบราณได้ไม่นาน แต่ตลอดระยะเวลา 20 วันที่เรามาถึงเมืองหลวง คุณก็คงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมดีแล้ว”


“ฉันร่ายมนต์ใส่ตึกรามบ้านช่องหลักๆและกำแพงเมืองหลวงไว้แล้ว พวกมันพร้อมรบ แค่รอคอยคำสั่งของฉันเท่านั้น ทันทีที่การโจมตีเริ่มต้น ตึกทุกหลังและกำแพงเมืองจะพุ่งเข้าทำลายทั่วทั้งพื้นที่จนไม่เหลือซาก!” หวังยิ่งตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


ตลอดระยะเวลาไม่กี่วันในเมืองหลวง เธอได้ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดไปกับการร่ายมนต์ใส่ทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ


“อีกอย่าง ฉันยังได้ฝังรากไม้ไว้ในพื้นดินแล้ว เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว ฉันก็สามารถเปลี่ยนเมืองหลวงทั้งเมืองให้กลายเป็นทะเลทรายได้ ใครก็ตามที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจะไม่มีวันหนีพ้นจากทะเลทรายนี้เลย”


จางเซวียนได้มอบไม้ทรายเหลืองวิปลาสให้หวังหยิ่ง และมันก็เป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง


“เยี่ยมเลย ในเมื่อพร้อมแล้ว ก็เดินหน้ากันเถอะ เมื่อเราไปถึงพิธีสถาปนา ก็เตรียมตัวให้พร้อมโจมตีทุกเวลาก็แล้วกัน!” จ้าวหย่าสั่งการอย่างเคร่งขรึม


“ได้” ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงขณะลุกขึ้นยืน


พวกเขาอาจตายในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่จะไม่ยอมล้มเหลวเด็ดขาด


ทุกคนปลอมตัวโดยปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาก่อนจะออกเดินไปตามถนน ตอนนี้บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างพากันมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสที่อยู่หน้าพระราชวังของอำมาตย์เฉินหย่ง


กลุ่มของจ้าวหย่าแทรกตัวไปกับฝูงชนและตามพวกเขาไปยังจัตุรัส


เมื่อถึงจัตุรัส ก็มีเผ่าพันธุ์ปีศาจออกันอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เสียงพูดคุยซุบซิบอย่างตื่นเต้นดังขึ้นทุกหนแห่ง ทุกคนรอคอยอย่างกระวนกระวายให้พิธีสถาปนาเริ่มต้น


ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงปรบมือดังสนั่น ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ รอยแยกแห่งมิติถูกเปิดออกเหนือจัตุรัสขนาดใหญ่ แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมมงกุฏและเสื้อคลุมสีทองสง่างามก็ก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น


เขาประกาศเสียงดังฟังชัด “บรรดาสมาชิกของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา ผมขอต้อนรับพวกคุณเข้าสู่พิธีสถาปนาของผม วันนี้จะเป็นวันที่ผมสานต่อเจตจำนงของเหล่าบรรพบุรุษให้สมความปรารถนา ผมได้รับการสถาปนาให้เป็นอำมาตย์เฉินหย่งคนต่อไป!”


ขณะที่พูด อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็ร่อนลงมายังแท่นสูงตระหง่านที่อยู่ใจกลางจัตุรัสอย่างช้าๆ


…..


ในเวลาเดียวกัน ในหอคอยที่อยู่ห่างออกไปจากจัตุรัส จางเซวียนเฝ้ามองร่างสูงตระหง่านค่อยๆร่อนลงสู่แท่น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะหวนนึกถึงความทรงจำที่มีต่อหลิวหยาง


หลิวหยางเป็นเด็กที่ชอบการประชันขันแข่งมาตลอด เขามักเปรียบเทียบตัวเองกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องโดยไม่รู้ตัวเสมอ แต่ก็บ่อยครั้งที่การเปรียบเทียบนั้นทำให้เขาวิตกกังวลและหนักใจ เมื่อไม่อาจแบกรับความกดดันนั้นได้ จึงเลือกที่จะจากไปโดยไม่กล่าวลา


ใครจะไปคิดว่าหลิวหยางจะได้พบกับความโชคดีครั้งใหญ่ และลงเอยด้วยการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขนาดนี้?


ทันทีที่เขามีอำนาจควบคุมเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป


“มีเขาอยู่ พวกเราก็จะได้เป็นอิสระจากความโหดเหี้ยมของเผ่าพันธุ์ปีศาจเสียที” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูดพร้อมกับยิ้มอย่างโล่งอก


สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณต้องแบกรับความทุกข์ทรมานและการถูกเหยียดหยามตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเขามีความหวังอันริบหรี่ว่าวันหนึ่งมวลมนุษยชาติจะเป็นอิสระจากภัยคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ไม่เคยคิดว่าวันคืนนั้นจะเป็นจริงขึ้นมาได้ในช่วงชีวิตของเขา


“จริงด้วย มันจบสิ้นเสียที…” จางเซวียนพยักหน้า


แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องขมวดคิ้ว


ฟิ้ววววว!


ทันใดนั้น รังสีดุเดือดก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากด้านล่าง มันตรงเข้าหาอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่


จากนั้น หอกและดาบอย่างละเล่มก็พุ่งเข้าใส่อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ โดยมาจากคนละทิศทาง ในเวลาเดียวกัน มิติที่อยู่โดยรอบก็แข็งทื่อ สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของทุกคนในบริเวณนั้น


“การลอบสังหาร?”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหรี่ตา เจตนาสังหารพวยพุ่งออกจากร่างของทั้งคู่


พวกเขาปฏิบัติภารกิจอย่างหนักตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพิธีสถาปนาของหลิวหยาง ใครจะไปคิดว่ายังมีพวกโง่เง่าไร้สมองที่คิดจะโจมตีในวันสำคัญแบบนี้?


“นายท่าน ผมจะไปสังหารเจ้าพวกงี่เง่านั่นเดี๋ยวนี้แหละ!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามขณะเงื้อกรงเล็บขึ้นอย่างดุร้าย


“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” จางเซวียนเองก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา


“รอดูอะไร?”


นักปราชญ์โบราณทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมจางเซวียนยังนิ่งเฉยอยู่ได้


“ไม่ต้องห่วงน่ะ นี่คือบททดสอบที่หลิวหยางจะต้องข้ามผ่านไปด้วยตัวเอง ถ้าเขาเอาชนะมันได้ ก็จะได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลนจากหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ถ้าเขาล้มเหลว…ก็ยังไม่สายเกินไปที่พวกเราจะเข้าไปยับยั้ง” จางเซวียนพูดขณะลุกขึ้นยืน


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักศิลปะเพลงดาบและศิลปะเพลงหอกนั่น ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล


…..


ที่จัตุรัส เมื่ออำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มองเห็น 3 ร่างที่พุ่งเข้าหาเขา ก็อดไม่ได้ที่จะตัวแข็งไปในทันที


กระบวนท่าและเทคนิควรยุทธพวกนี้…หลิวหยางหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


กระแสพลังงาน 3 สายที่พุ่งเข้าใส่เขานั้นดูคุ้นตามาก


มันมาจากศิษย์น้องลู่ชง ศิษย์น้องเจิ้งหยาง และศิษย์พี่จ้าวหย่า!


พวกเขา…พวกเขามาทำอะไรที่นี่?


ตอนที่ 1849 การดวลกันระหว่างศิษย์สายตรง

หลิวหยางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพลันนึกได้ถึงสถานภาพของตัวเอง


ตอนนี้เขาไม่ใช่หลิวหยางอีกแล้ว แต่เป็นอำมาตย์คนใหม่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ส่วนบรรดาศิษย์น้องกับศิษย์พี่ของเขาก็เป็นกองกำลังชั้นนำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่คนเหล่านี้บุกเข้ามาในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและพยายามจะคร่าชีวิตเขา


สัญชาตญาณแรกของหลิวหยางบอกให้เขาส่งโทรจิตหาคนเหล่านั้นเพื่อยืนยันตัวตนที่แท้จริง แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญของพิธีสถาปนา คงไม่ดีแน่หากเขาละทิ้งทุกอย่างโดยยอมเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกไป มันอาจทำลายสิ่งที่ท่านอาจารย์ของเขาตั้งใจจัดเตรียมไว้ ดังนั้น หลิวหยางจึงยับยั้งตัวเอง


แต่แล้วความงุนงงของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้


เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน! พูดกันตามตรง เราก็อยากรู้ว่าพวกนั้นพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน!


บึ้มมมม!


หลิวหยางหันกลับมาและปล่อยหมัดเข้าใส่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่พุ่งเข้าหาเขา พละกำลังมหาศาลจากหมัดนั้นเกือบทำให้โลกพังทลาย ราวกับมีโลกสองใบปะทะกัน ในชั่วพริบตา จิตวิญญาณของลู่ชงก็ถูกสอยร่วงลงไปกองกับพื้น


ช่างเป็นเทคนิคเพลงหมัดที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้ ลู่ชงคิดพร้อมกับหรี่ตา


คนไม่กี่คนที่เขารู้ว่ามีเทคนิคเพลงหมัดอันทรงพลังก็คือท่านอาจารย์ของเขากับศิษย์พี่หลิวหยาง ใครจะไปคิดว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะมีความสามารถแบบนั้นด้วย?


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวได้ พละกำลังของเขาน่าสะพรึงจริงๆ!


หลังจากสอยลู่ชงร่วงด้วยหมัดเดียว หลิวหยางก็ง้างหมัดอีกครั้งเพื่อรับมือกับหอกของเจิ้งหยางและดาบของจ้าวหย่า


แม้จะเป็นการสู้รบแบบหนึ่งต่อสอง แต่หลิวหยางก็ดูจะไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง


หลังจากได้ซึมซับอำนาจที่อำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าถ่ายทอดให้ ระดับวรยุทธของหลิวหยางก็เข้าถึงระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นสูง อีกไม่ไกลก็จะสำเร็จขั้นโลกจารึก ถึงบรรดาศิษย์พี่ศิษย์กับศิษย์น้องของเขาจะพัฒนาได้มากตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังอ่อนด้อยอยู่เล็กน้อยหากเปรียบเทียบกับเขา


พลั่ก! พลั่ก!


เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น 2 ครั้ง แล้วทั้งเจิ้งหยางกับจ้าวหย่าก็กระเด็นไป


ในเวลาเดียวกัน กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจก็รีบเข้ามาอารักขาอำมาตย์คนใหม่ของพวกเขา


“อย่าเคลื่อนไหวจนกว่าผมจะออกคำสั่ง!” หลิวหยางคำรามและยับยั้งเหล่าทหารไว้ ระหว่างที่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังจัดเตรียมค่ายกลผนึกกำลัง เขาก็หันไปหาจ้าวหย่า


ด้วยพละกำลังมหาศาล จ้าวหย่ารู้สึกราวกับว่าดาบของเธอพร้อมจะหลุดจากมือได้ทุกขณะ


รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของจ้าวหย่าขณะที่หรี่ตา เธอคิดไม่ถึงว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะทรงพลังถึงขนาดมองเห็นข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของเธอได้ทันที ทั้งยังพยายามจะผลักดาบออกจากมือของเธอด้วย


รู้ดีว่าความพยายามลอบสังหารของพวกเขาจะล้มเหลวถ้าอีกฝ่ายผลักดาบให้กระเด็นหลุดจากมือของเธอได้ จ้าวหย่าคำราม “เปิดใช้งาน!”


บึ้มมมม!


จ้าวหย่าขับเคลื่อนสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์จนเต็มพิกัด ในชั่วพริบตา พื้นที่ภายในรัศมี 100 ลี้จากตัวเธอก็กลายเป็นน้ำแข็งและเริ่มมีหิมะตก ราวกับฤดูหนาวมาเยือน


ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วงนั้น วรยุทธของจ้าวหย่าก็ก้าวข้ามด่านคอขวดเข้าสู่ขั้นใหม่


นักปราชญ์โบราณขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์!


เมื่อตอนอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว ด้วยผลโพธิ์และคริสตัลเยือกแข็งที่ท่านอาจารย์มอบให้ ระดับวรยุทธของเธอก็พุ่งพรวด แม้จะไม่มีหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงให้ใช้ แต่ก็ตามเจิ้งหยางทัน


ถ้าไม่อย่างนั้น หยวนเทาคงไม่หวาดกลัวจ้าวหย่า


พร้อมกันกับการฝ่าด่านวรยุทธ ดาบของจ้าวหย่าก็คมกริบและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ในชั่วพริบตา ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า กระแสดาบฉีมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของดาบ ราวกับน้ำตกที่พลุ่งพล่านไม่มีที่สิ้นสุด


พร้อมกันนั้น เจิ้งหยางก็พุ่งเข้ามาแล้วจ้วงแทงหอกอย่างดุเดือด เกิดเป็นลำแสงสว่างวาบ เขาเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงจนดูเหมือนจะทำลายทุกอย่างที่ขวางทางได้


“เฮ้ย…”


จางเซวียนเฝ้าดูเหตุการณ์วุ่นวายอย่างสงบจากระยะไกล แต่เมื่อเห็นภาพนั้นก็ขมวดคิ้ว ความโกรธกริ้วเดือดพล่านอยู่ในหัวใจ


จากกันไปเพียง 2 เดือน เจ้าพวกนี้เละเทะขนาดนี้ได้อย่างไร?


ไม่เพียงแต่จะละเลยคำสอนทั้งหมดของเขา ยังบิดเบือนเทคนิคที่เขาถ่ายทอดให้จนกลายเป็นบางอย่างที่สุดแสนจะน่าขยะแขยง ช่างน่าอับอายเสียจริง!


ขณะที่จางเซวียนกำลังโมโหลูกศิษย์ของเขา การโจมตีของทั้งจ้าวหย่าและเจิ้งหยางก็มาถึงตัวหลิวหยาง หลิวหยางเงื้อฝ่ามือขึ้นตอบโต้ด้วยพละกำลังหนักหน่วง


พลั่ก! พลั่ก!


เจิ้งหยางกับจ้าวหย่าถูกสอยกระเด็นไปอีกครั้ง


“ศิษย์พี่!”


เมื่อทนดูไม่ไหวอีกต่อไป หวังหยิ่ง เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทารีบเข้ามาช่วย


หยวนเทาใช้ร่างกายของเขาพุ่งเข้าใส่เพื่อเล่นงานหลิวหยาง แม้เขาจะยังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ได้กลืนกินร่างอวตารของปรมาจารย์ขงและผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณแล้ว ทำให้กายเนื้อมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ ด้วยเหตุนี้ พละกำลังที่เขาแผ่ออกมาจึงหนักหน่วงอย่างน่าทึ่ง


ในเวลาเดียวกัน เว่ยหรูเหยียนก็ใช้สภาวะกายพิษแต่กำเนิดของเธอปล่อยยาพิษให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งพื้นที่ ป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ มิติที่อยู่โดยรอบดูจะบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยด้วยยาพิษที่มีปริมาณและความเข้มข้นมากเกินขนาด


แม้หวังหยิ่งจะยังไม่ได้ขับเคลื่อนวัตถุที่เธอร่ายมนต์ใส่เอาไว้ แต่วรยุทธของเธอก็เข้าถึงระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดแล้ว ด้วยความช่างสังเกต เธอจึงสามารถผนึกกำลังกับคนอื่นๆได้อย่างไร้ที่ติเพื่อโจมตีจุดอ่อนที่พอจะมองเห็น ทำให้หลิวหยางรับมือได้ยาก


การเคลื่อนไหวของนักรบทั้ง 6 รวมตัวกันเป็นหนึ่ง หลิวหยางพบว่าตัวเขาไม่อาจต้านทานไหวอีกต่อไป ต้องถอยกรูดครั้งแล้วครั้งเล่า


แม้ระดับวรยุทธของเขาจะเหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ แต่ทั้ง 6 คนที่เขาเผชิญหน้าด้วยเป็นศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ของเขา ทุกคนได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่ล้ำลึกที่สุด ขนาดหลิวหยางใช้มรดกตกทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็ยังเทียบชั้นกับพวกนั้นไม่ได้


แต่ถ้าเขาเลือกใช้มรดกตกทอดของท่านอาจารย์เมื่อไหร่ พวกนั้นก็จะรู้ทันทีว่าเป็นเขา และการต่อสู้จะต้องสิ้นสุด


พลั่ก! พลั่ก!


เพราะครุ่นคิดมากไป ปฏิกิริยาโต้ตอบของหลิวหยางจึงช้าลงเล็กน้อย เขาเจอการปล่อยพลังเข้าใส่อย่างหนักหน่วงถึง 2 ครั้งจนต้องถอยกรูดไปหลายก้าว หลิวหยางรู้สึกได้ถึงรสปร่าที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในลำคอ เลือดซึมออกจากมุมปากของเขา


เขาเคยคิดว่าตัวเองน่าจะเอาชนะคนอื่นๆได้อย่างง่ายดายหลังจากได้รับพละกำลังและมรดกตกทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกนั้นจะทรงพลังขนาดนี้?


“เจ้าอำมาตย์เฉินหย่งนี่ออกจะแปลกๆนะ…”


หลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง จ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


แน่นอนว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของอำมาตย์เฉินหย่งเหนือชั้นกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก บางทีเธออาจคิดไปเอง แต่รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายคุ้นเคยกับกระบวนท่าและการผนึกกำลังกันของพวกเธอเป็นอย่างดี


“ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะแปลกประหลาดหรือไม่ แต่เราต้องรีบปราบเขาให้ได้เดี๋ยวนี้ ถ้านักปราชญ์โบราณคนอื่นๆเข้ามาช่วยล่ะก็ พวกเราตายกันหมดแน่!” เจิ้งหยางร้องออกมาอย่างร้อนใจ


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวได้ แม้จะอายุยังน้อย แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้เลย พวกเขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดแล้วในบรรดานักรบรุ่นเดียวกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าทั้งๆที่อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะอายุเพียงเท่านี้ แต่ก็รับมือกับพวกเขาทั้ง 6 คนได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ?


หรือว่า…เขาเป็นศิษย์สายตรงของเทพเจ้าจริงๆ?


ไม่อย่างนั้น จะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?


ขณะที่ทั้ง 7 ต่อสู้กันอยู่ ท้องฟ้าโดยรอบก็ส่งเสียงกึกก้อง ได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดเป็นระยะ ใบหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวที่กำลังเฝ้ามองการต่อสู้อยู่ต่างแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการต่อสู้อย่างเข้มข้นระหว่างนักปราชญ์โบราณด้วยตาตัวเอง!


ที่สำคัญกว่านั้น อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ยังสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ถึง 6 คนพร้อมๆกัน…พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนี้ทั้งที่อายุยังไม่มาก


ขณะที่ทุกคนกำลังจังงังกับสิ่งที่เห็น เสียงตวาดลึกก็ดังขึ้น มันก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวง


“พอที!”


เมื่อได้ยินเสียงนั้น ร่างของเจิ้งหยาง จ้าวหย่า และคนอื่นๆแข็งทื่อไปทันที พวกเขารีบล่าถอย


ในเวลาเดียวกัน อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็ตัวแข็ง


ฟึ่บ!


ร่างหนึ่งที่เอาสองมือไพล่หลังไว้ร่อนลงมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)