ยอดหญิงสกุลเสิ่น 184.2-185.1
ตอนที่ 184-2 เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้ชาย
เรือนเฟิงหวาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน แม้หลายเดือนนี้ที่คุณหนูไม่อยู่พวกนางจะระมัดระวัง แต่เมื่อคุณหนูกลับมาก็ปูนบำเหน็จก้อนใหญ่ แม้แต่หญิงชราที่เฝ้าประตูเรือนยังได้เงินถึงห้าตำลึง ใครบ้างจะไม่ดีใจ
ในบ้าน เสิ่นเวยเงียบฟังน้องชายเล่าเรื่องและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงและจวนหลังจากที่นางจากไป “ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความคิดนี้ได้อย่างไร นางโน้มน้าวท่านย่า อยากขอตัวฉาฮวาไปที่เรือนนาง ข้าคิดว่านี่คือสาวใช้ของท่านพี่ ท่านพี่ไม่อยู่ ไม่อาจให้นางวางแผนร้ายได้ จึงยืนกรานไม่อนุญาต ภายหลังนางก็หาเรื่อง ฉวยโอกาสคิดจะปล่อยฮูหยินหลิวออกมาตอนที่นางจะออกเรือน ข้าเองก็ไม่อนุญาต”
เสิ่นเจวี๋ยมองพี่สาวของเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ท่าทางออดอ้อนของคำชม เสิ่นเวยอดยิ้มไม่ได้ ชมอย่างใจกว้าง “น้องเจวี๋ยทำดีมาก โตแล้ว รู้เรื่องแล้ว”
บนใบหน้าเสิ่นเจวี๋ยเคอะเขินเล็กน้อย “อันที่จริงล้วนเป็นอาจารย์เกิ่งและอาจารย์ซูที่สอนมาดี ข้าคิดว่า สาวใช้ของพี่ข้ามีสิทธิ์อะไรต้องให้นาง พี่ข้าแก้ไขปัญหาอย่างยากลำบาก ข้าจะต้องปกป้องไว้ให้ได้”
เสิ่นเวยเองก็หัวเราะเยาะ “อยากได้ฉาฮวางั้นหรือ เหอะ นางกล้านักนะ! ฐานะของฉาฮวาไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าเจ้าเลย” ฉาฮวาเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ในเจียงหนาน เมื่อกลับบ้านเก่า ฐานะของนางก็ไม่ต่างอะไรจากบุตรสาวบ้านสามจวนโหวแห่งนี้
เสิ่นเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ตกใจ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินจางจู้จื่อเอ่ยมาบ้างแล้ว รู้ว่าสาวใช้ข้างกายท่านพี่ล้วนไม่ใช่สาวใช้จริงๆ
หลังจากนั้นเสิ่นเจวี๋ยก็รบเร้าถามพี่สาวเขาถึงสงครามที่ซีเจียง เสิ่นเวยเองก็เล่าให้เขาฟังอย่างเต็มใจ ผู้ชายน่ะ ต้องรู้เรื่องราวภายนอกบ้าง เช่นนี้จะได้ไม่อ่อนแอ
เสิ่นเจวี๋ยฟังด้วยความตื่นเต้นดีใจดวงตาทั้งคู่ลุกวาว หมัดของเขากำแน่น อยากจะรีบโตแล้วไปแสดงความองอาจห้าวหาญในสนามรบจะแย่อยู่แล้ว
เสิ่นเวยอ่านความคิดของเขาออก หัวเราะเบาๆ หนึ่งครา กล่าวชี้แนะด้วยความจริใจ “น้องเจวี๋ย ลูกผู้ชายมีโอกาสสร้างผลงานเสมอ แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังต้องเรียนรู้ฝึกฝนให้ดี มีคำกล่าวไว้ว่า ‘จะตีเหล็กตนก็ต้องมีความสามารถด้วย’ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในสนามรบ หรือว่าการยืนอยู่ในราชสำนัก ก่อนอื่นตัวเจ้าเองก็ต้องมีความสามารถ เช่นนี้คนอื่นก็จะไม่ดูถูกเจ้า เหมือนข้า เหตุใดข้าถึงมีความมั่นใจพอ เหตุใดท่านปู่ถึงรักพวกเราสองพี่น้องมากกว่า ไม่ใช่เพราะว่าข้ามีความสามารถ ช่วยเหลือจวนโหวได้หรอกหรือ”
เห็นสีหน้าเสิ่นเจวี๋ยคล้ายมีความคิดแวบผ่าน ในนั้นคล้ายยังมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกชนิดหนึ่งอยู่ด้วย เสิ่นเวยก็เข้าใจดี กล่าว “น้องเจวี๋ย เจ้าเองก็อย่าโกรธท่านปู่เลย การหาผลประโยชน์เป็นการให้ชนิดหนึ่ง มีราคาในการหาผลประโยชน์ก็ยังดีกว่าไม่มีราคาในการหาผลประโยชน์เลยไม่ใช่หรือ”
เสิ่นเจวี๋ยเอียงคอคิด หลังจากนั้นก็สบายใจลงแล้ว “ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้ว” ทว่าในใจกลับตัดสินใจเงียบๆ ต่อให้จะถูกใช้ประโยชน์เช่นนั่นก็ต้องใช้ประโยชน์จากเขา ต่อไปนี้เขาจะไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์พี่สาวของเขาอีก แม้ว่าจะเป็นตัวเองก็ไม่ได้
วันที่สองนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวมอบกุญแจคลังส่วนตัวให้เสิ่นเวย “เจ้าสี่ นี่คือของที่ปู่รับปากเจ้า เจ้าคิดว่าจะขนของกลับเรือนเจ้า หรือว่าเจ้าจะส่งคนมารับต่อ”
เสิ่นเวยมองกุญแจในมือแล้วขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “ท่านปู่ ท่านให้ข้าจริงๆ หรือ ในมือท่านไม่เหลือสมบัติไว้เลย ไม่กลัวท่านลุงใหญ่และคนอื่นๆ จะอกตัญญูต่อท่านหรือ”
แม้ว่าตอนที่อยู่ซีเจียงนางจะรบเร้าขอเงินทองทรัพย์สินส่วนตัวจากท่านปู่นาง แต่ความจริงแล้วก็เพียงแค่พูดไปอย่างนั้น เตือนท่านปู่นางว่าอย่าลืมเงินที่นางออกไปก็เท่านั้นเอง ในใจนางไม่คิดจะรับมรดกของปู่นางอย่างสิ้นเชิง
เงินออกไปแล้วแย่งกลับมาก็สิ้นเรื่อง เงินเยอะจนถึงระดับหนึ่งก็เป็นเพียงตัวเลข นางขอเพียงแค่ไม่ขาดเงินใช้สอย ไม่ได้เห็นเงินอยู่ในสายตาจริงๆ นางชอบตอนที่เงินเพิ่ม แต่กลับไม่ได้คิดจะเป็นทาสของเงิน นางเพียงแค่แสดงออกว่าเป็นคนตระหนี่มาก อันที่จริงกลับเห็นเงินเป็นเพียงปุ๋ยดิน
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวถลึงตายิ้มติเตียน “ให้เจ้าก็รับไว้เถอะ เอาเรื่องเหลวไหลที่ไหนมาพูด ลุงใหญ่เจ้าและคนอื่นๆ อกตัญญูก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ หรือว่าเจ้าไม่ใช่หลานข้า ไม่สนใจข้าได้ด้วยหรือ”
เสิ่นเวยมีความสุขขึ้นมาทันที เก็บกุญแจคลังส่วนตัวอย่างรวดเร็ว “แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านปู่ ข้ารู้สึกว่าความคิดนี้ของท่านไม่เลวเลยจริงๆ ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้คุณชายใหญ่สวีเป็นจวิ้นอ๋องแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเขาจะต้องมีจวนอื่นอีกแน่นอน ท่านปู่ตามไปอยู่กับข้าเถอะ ที่บ้านมีผู้อาวุโสประหนึ่งมีสิ่งของล้ำค่า หลานจะกตัญญูต่อท่านผู้อาวุโสแน่นอน” เสิ่นเวยยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว มองท่านปู่อย่างตั้งหน้าตั้งตารอ
ในใจนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวอบอุ่น แต่สีหน้ากลับนิ่งเฉยเขกศีรษะหลานสาวหนึ่งครา กล่าวตำหนิ “เคยได้ยินสินเดิมที่เป็นเงินทอง ร้านค้า ที่ดิน ยังไม่เคยได้ยินสินเดิมที่เป็นปู่มาก่อน เจ้าจะทำให้คนนอกนินทาลุงใหญ่ของเจ้าลับหลังหรือ!” ทว่ารอยยิ้มในดวงตาจะซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไว้ไม่อยู่
เสิ่นเวยเผยสีหน้าผิดหวัง ยุคโบราณก็ไม่ดีตรงนี้ สตรีที่แต่งออกก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป แม้ว่าในบ้านจะไม่มีลูกชาย พ่อแม่ก็ไม่อาจตามลูกสาวคนเดียวไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้
“ท่านปู่ หรือว่าหลานเหลือเรือนไว้ให้ท่านดี ท่านมาพักค้างคืนบ่อยๆ จะได้พักผ่อนหย่อนใจ” เสิ่นเวยเสนอต่อ นางอยากดูแลปู่นางจริงๆ ด้วยความรู้ความสามารถของนาง ชีวิตแต่งงานของนางจะต้องสบายแน่นอน อีกทั้งเสิ่นเวยชอบปู่นางจริงๆ ความคิดเปิดกว้างไม่คร่ำครึ แม้ว่าจะเป็นเพียงแผนการนางก็ยังเปิดเผยให้เห็น
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเขกหลานสาวอีกครั้ง “คุณชายใหญ่สวีมีผู้อาวุโสของตัวเอง ไหนเลยจะมีที่ให้ปู่เจ้าเข้าไปอยู่ อีกทั้งเจ้าจะเป็นใหญ่แทนคุณชายใหญ่สวีได้หรือ” เขาชายตามองเสิ่นเวยแล้วกล่าว
“ผู้อาวุโสของเขาไม่ใช่มีจวนอ๋องหรือไร ไหนเลยจะสนใจจวนจวิ้นอ๋องเล็กๆ ได้” เสิ่นเวยย่นจมูกเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่สนใจ “เหตุใดจะเป็นใหญ่ไม่ได้เล่า หลานท่านหน้าตางดงามราวกับบุปผา ทั้งฉลาดทั้งเก่ง นิสัยก็ดี จัดการชายแก่ป่วยเรื้อรังคนหนึ่งไหนเลยจะทำไม่ได้ เขาแต่งข้าเป็นภรรยาได้ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วจุดธูปไปมากน้อยเพียงใด ทำไมเล่า ยังกล้าไม่เชื่อฟังด้วยหรือ” ศีรษะของเสิ่นเวยเชิดสูง ท่าทางพอใจอย่างยิ่ง ‘เขา’ ผู้นี้ย่อมต้องหมายถึงคุณชายใหญ่สวีแน่นอน
หากคำพูดนี้สวีโย่วได้ยินเข้า จักต้องพยักหน้าด้วยสีหน้าโปรดปรานทั้งใบหน้าแน่นอน ‘ใช่แล้วๆ น้องสี่พูดอะไรก็ถูก’ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด สวีโย่วเองก็บอกไม่ได้ว่าเหตุใดเขาถึงชอบเด็กปีศาจคนนี้มากขนาดนั้น
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวก่ายหน้าผาก ไม่อยากยอมรับเลยว่าเด็กสาวขี้อวดตนคนนี้เป็นหลานสาวของเขา
สุดท้ายเสิ่นเวยก็ไม่ได้ขนมรดกของปู่นางกลับเรือนเฟิงหวา และไม่ได้ส่งคนมารับ เพียงแค่เก็บกุญแจไว้ เสิ่นเวยมั่นอกมั่นใจ “ในเรือนของท่านปู่ มีคนของท่านดูแล หลานยังมีอะไรให้ไม่สบายใจอีก”
พระราชโองการพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้สวีโย่วเป็นจวิ้นอ๋องมาถึงเรือนจิ้นอ๋องแล้ว ทั้งยังได้ยินว่าฝ่าบาทพระราชทานสวนชิงหยวนที่มีชื่อแห่งนั้นให้เขาเป็นจวนจวิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องสีหน้ายิ้มแย้มยินดี แต่เล็บในแขนเสื้อลับจิกเข้าเนื้อแล้ว
สวนชิงหยวน คือบ้านพักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รัชสมัยก่อน ข้างในงดงามหรูหรา เพียงแค่สร้างเรือนหลังนี้ก็ใช้เงินไปกว่าล้านตำลึงแล้ว ตอนนั้นฝ่าบาททรงมิอาจตัดใจให้ได้แม้แต่องค์หญิงใหญ่ ตอนนี้กลับพระราชทานให้สวีโย่วเป็นจวนจวิ้นอ๋อง นี่จะไม่ทำให้นางริษยาเคียดแค้นได้อย่างไร
“พี่ใหญ่ น้องยินดีกับท่านด้วย” สวีเยี่ยซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องยิ้มให้สวีโย่วแล้วกล่าว ไม่ว่าในใจเขาจะคิดอย่างไร สีหน้ากลับจริงใจอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วยกมุมปาก กล่าว “ขอคุณมาก” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
โชคดีที่สวีเยี่ยรู้ว่าพี่ใหญ่ของตนมีนิสัยไม่ชอบพูดคุย กลับไม่ได้สนใจ ยุ่งอยู่กับการช่วยขันทีผู้ประกาศพระราชโองการ
สวีเหยียน สวีฉั่งและสวีสิงเองก็เข้ามาแสดงความยินดี โดยเฉพาะสวีฉั่ง ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา ทั้งยังหงุดหงิด หากรู้ก่อนว่าคุณูปการสร้างง่ายเพียงนี้เขาเองก็คงจะตามไปซีเจียงด้วย ดูพี่ใหญ่สิ เป็นเพียงแค่คนป่วยออดแอด ไปซีเจียงเที่ยวเดียว กลับมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงจวิ้นอ๋อง เขาร่างกายแข็งแรงกว่าพี่ใหญ่ตั้งเยอะ พี่ใหญ่ยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง แล้วเขาจะไม่ได้ได้อย่างไร
ตอนที่ 185-1 คดีความกับเสิ่นเสวี่ย
ช่วงนี้ข่าวลือในเมืองหลวงที่โด่งดังที่สุดก็คือจวนจงอู่โหว ผู้เฒ่าจงอู่โหวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นราชครูของรัชทายาท คุณหนูสี่บ้านสามได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ ด้วยเหตุนี้คนที่ส่งของขวัญอวยพรให้จวนโหวจึงเนืองแน่นไม่ขาดสาย แม้ว่าจวนจงอู่โหวคิดจะอยู่เงียบๆ ก็ไม่อาจเลี่ยงการเลี้ยงแขกขอบคุณได้ โหวฮูหยินสวี่ซื่อหาคนให้คิดคำนวณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังปรึกษากับแม่นมคนสนิทอยู่นาน กว่าจะกำหนดฤกษ์งามยามดีได้
บ้านฝ่ายหญิงมีงานมงคล เหล่าลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนย่อมต้องกลับจวนแสดงความยินดี คุณหนูใหญ่เสิ่นอิ๋งออกเรือนไกลเกินไปไม่ต้องพูดถึงแล้ว เสิ่นซวง เสิ่งอิงและเสิ่นเสวี่ยในเมืองหลวงก็กลับบ้านฝั่งตนตั้งแต่วันที่สองแล้ว บ้านสามีของพวกนางก็เตรียมของขวัญมากมายไล่ลูกชายให้กลับบ้านฝ่ายหญิงเป็นเพื่อนลูกสะใภ้พร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย อ้างให้ดูดีว่า ‘หลานเขยยังไม่เคยพบท่านปู่ ควรไปเคารพท่านปู่เสียหน่อย’
ผู้ที่เสิ่นซวงแต่งงานด้วยคือญาติผู้พี่ตระกูลของท่านน้า ทั้งสองครอบครัวเดิมก็เป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีเสิ่นซวง ตระกูลสวี่ก็ต้องมารอถึงหน้าประตู เดิมฮูหยินโหลวก็ชอบลูกของน้องสาวหรือลูกสะใภ้คนปัจจุบันผู้นี้อยู่แล้ว ตอนนี้พ่อแท้ๆ ของลูกสะใภ้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจงอู่โหวรุ่นใหม่ พี่ชายอยู่ดูแลซีเจียง ลูกพี่ลูกน้องก็ยังเป็นจวิ้นจู่ นี่ก็เป็นแรงสนับสนุนต่อเส้นทางอนาคตของลูกชายตนอย่างถึงที่สุด
สำหรับลูกพี่ลูกน้องของลูกสะใภ้ผู้นี้ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ ฮูหยินโหลวกลับไม่ได้โง่เขลาจนริษยาไม่พอใจ แม่นางผู้นี้ประพฤติตัวรอบคอบระมัดระวัง เคยช่วยลูกสาวคนเล็กของนางไว้ อีกทั้งยังไม่เคยมีข่าวลือที่ไม่ดีใดๆ เลย นี่ก็เพียงพอให้นางซาบซึ้งไปชั่วชีวิตแล้ว
ตระกูลเหวินที่เสิ่นอิงแต่งงานด้วยก็ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง แม้ว่าลูกสะใภ้ผู้นี้จะเป็นบุตรอนุภรรยา แต่การอบรมเลี้ยงดูก็ไม่ได้ด้อย หน้าตาสะสวย นิสัยอ่อนโยน ความรู้สึกของสองสามีภรรยาก็ค่อนข้างไม่เลว ตอนนี้ท่านปู่ตระกูลฝ่ายหญิงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นราชครูของรัชทายาท น้องสาวก็เป็นจวิ้นจู่ ไอ๊หยา การแต่งงานครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ
เหวินฮูหยินก็ยิ่งชอบใจลูกสะใภ้มากเป็นพิเศษ ทั้งยังกำชับลูกชายไม่หยุดว่าให้ดูแลภรรยาให้ดีตลอดทาง ถึงจวนโหวแล้วก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน
หลังสองสามีภรรยาไปแล้วเหวินฮูหยินก็ยังยิ้มแย้มทั้งใบหน้า “นายท่าน ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ จะบรรจุท่านลงในตำแหน่งรองผู้พิพากษาประจำศาลต้าหลี่จริงหรือไม่” สีหน้าเหวินฮูหยินเฉินซื่อเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
พวกเขาเข้าเมืองหลวงรอตำแหน่งว่ามาได้สักพักแล้ว เพียงแต่ตลอดมาไม่มีเค้าลางใดๆ เลย กระทั่งลูกชายแต่งงานกับคุณหนูผู้นี้ของจวนจงอู่โหว เพิ่งจะได้รับการยืนยัน บอกว่าจะพยายามเตรียมการให้เร็วที่สุด พวกเขาเตรียมตัวจะกลับที่เดิมอย่างจริงจังแล้ว ใครจะรู้เมื่อนายท่านผู้เฒ่าโหวบ้านลูกสะใภ้เข้าเมืองหลวงก็มีคนมาแอบบอกข่าวพวกเขาอย่างมีไมตรีจิต บอกว่ามีหวังว่าจะสามารถบรรจุตำแหน่งรองผู้พิพากษาประจำศาลต้าหลี่ได้ บอกว่ามีความหวัง ในใจใต้เท้าเหวินก็รู้ดีว่านี่จะต้องเป็นการตัดสินใจแล้วแน่นอน
ใต้เท้าเหวินยิ้มน้อยๆ พยักหน้า “นี่จะเป็นข่าวเท็จได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ข้าหลุดปากพูดว่าพวกข้ากับจวนจงอู่โหวเป็นทองแผ่นเดียวกัน ท่าทีของพวกเขาก็ดีไม่น้อย โดยเฉพาะครั้งนี้” ท่าทางประจบประแจงนั้นทำให้เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ มีคนมีอำนาจให้พึ่งพิงจึงได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
เฉินซื่อลูบอกท่องบทสวดอมิตาพุทธ “ดี ดีจริงๆ ครั้งนี้พวกเราก็อยู่ในเมืองหลวงต่อได้แล้ว”
ใต้เท้าเหวินเองก็ดีใจอย่างยิ่ง รองผู้พิพากษาประจำศาลต้าหลี่ ขุนนางระดับสี่ชั้นเอก เป็นตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ในใจเขาเองก็ทราบดี หากอาศัยความสามารถของเขาเองได้ตำแหน่งขุนนางระดับห้าก็ไม่เลวแล้ว เขาได้รับบารมีจากลูกสะใภ้ ได้รับบารมีจากจวนจงอู่โหว
“หลังจากนี้เจ้าก็เอาใจใส่ภรรยาเทาเกอเอ๋อร์ให้มากหน่อย สาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกายเทาเกอเอ๋อร์ก็ตักเตือนเสียหน่อย อย่าให้ภรรยาเขาเป็นทุกข์ใจ” ใต้เท้าเหวินกล่าวเตือน
ฮูหยินเฉินชายตามองเขาปราดหนึ่งอย่างงอนง้อ “ดูนายท่านพูดเข้า นี่ยังต้องให้ท่านเตือนอีกหรือไร นางเป็นภรรยาลูกชายของพวกเรา ข้าจะปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นลูกสะใภ้ผู้นี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าเองก็ชอบยิ่งนัก” แม้ว่าจะเกิดในจวนโหว แต่ก็ไม่ทะนงตนอย่างไม่น่าเชื่อ กตัญญูต่อนาง เอาใจใส่ลูกชาย ตระกูลฝ่ายหญิงก็มีอำนาจ นางไม่ใช่แม่ยายใจร้ายเหล่านั้น คนในครอบครัวใช้ชีวิตด้วยความรักใคร่ปรองดองดียิ่งนัก จะหาเรื่องไปเพื่ออะไรกัน
ใต้เท้าเหวินพยักหน้าช้าๆ กล่าวชม “ลำบากฮูหยินแล้ว อ้อจริงสิ ไม่รู้ว่าภรรยาของเทาเกอเอ๋อร์กับน้องสาวจวิ้นจู่ผู้นั้นของนางมีความสัมพันธ์กันอย่างไร กลับมาแล้วเจ้าก็ถามนางหน่อย หากว่าพวกนางพี่น้องสนิทกัน ผู้ที่จวิ้นจู่ผู้นี้แต่งงานด้วยคือคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง ตอนนี้คุณชายใหญ่ผู้นี้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นอ๋อง เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงโปรดปราน นี่ถือเป็นน้องเขยของเทาเกอเอ๋อร์ สนิทสนมกันไว้ก็มีแต่จะเป็นประโยชน์กับอนาคตของเทาเกอเอ๋อร์”
เมื่อเฉินซื่อได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับอนาคตของลูกชายก็จริงจังขึ้นมาทันที “นายท่านวางใจเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว” สำหรับลูกสะใภ้ที่มีฐานะสูงส่งผู้นี้ นางยังต้องทำดีให้มากๆ จึงจะถูก ใครให้นางมีฐานะอำนาจมากเล่า ตอนนี้ในใจนางคิดคำนวณดีแล้ว ควรจะเปลี่ยนสาวใช้หลายคนที่รับใช้อยู่ข้างกายลูกชายเป็นเด็กรับใช้ให้หมดเลยดีหรือไม่ นางเป็นผู้หญิง ย่อมเข้าใจจิตใจของผู้หญิง ขอเพียงแค่เทาเกอเอ๋อร์ปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ดี ตระกูล เหวินของพวกเขาปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ดี จะยังกลัวลูกสะใภ้ทำลายบ้านสามีอีกหรือ
ความรู้สึกของฮูหยินหย่งหนิงโหวฮูหยินอวี้ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่นางเคยรังเกียจและถูกนางถอนหมั้นกลายเป็นจวิ้นจู่ ในใจของนางเสียใจอย่างถึงที่สุด หากตอนนั้นไม่ได้ถอนหมั้น เช่นนั้นจวิ้นจู่ผู้นี้ก็จะเป็นลูกสะใภ้ของนางแล้ว นี่เป็นเกียรติสูงส่งเพียงใด
ด้วยเหตุนี้นางจึงมองเสิ่นเสวี่ยลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่เข้าตาขึ้นมา ใช้อุบายเช่นนั้นเข้ามาในจวนก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว สินเดิมก็ธรรมดาๆ ตอนนั้นนางยอมให้เสิ่นเสวี่ยแต่งเข้ามาก็เพราะสนใจที่นางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของฮูหยิน หลิว มีสินเดิมมหาศาล สามารถช่วยเหลือลูกชายได้
ตอนนี้แย่แล้ว สินเดิมของลูกสะใภ้ไม่เพียงแต่น้อยกว่าที่หวัง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความทะนงตน วันทั้งวันเอาแต่พัวพันลูกชาย วันนี้แต่งกลอน พรุ่งนี้แต่งโคลง ลูกสะใภ้บ้านไหนละเลยหน้าที่เช่นนี้บ้าง สตรีเฉลียวฉลาด เหอะ ทั่วทั้งเมืองหลวงดูไว้เสีย ลูกสะใภ้บ้านใครบ้างที่เอาแต่แต่งกลอนโคลงไปวันๆ บ้าง
แม้ว่าเสิ่นเสวี่ยจะแต่งเข้ามาได้เดือนกว่าๆ แต่ฮูหยินอวี้ก็ไม่พอใจนางเต็มทนแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่อาจแสดงออกมาได้ อย่างไรเสียจวนจงอู่โหวก็มีอำนาจมาก ตอนนี้นายท่าผู้เฒ่าโหวเข้าเมืองหลวง จวนจงอู่โหวก็ยิ่งมีเกียรติ ฮูหยินอวี้เองก็ยิ่งอัดอั้น นางไม่อาจทำลูกสะใภ้เสียหน้าได้เป็นอันขาด ยังต้องพูดจาดีๆ ยิ้มแย้มแสร้งรักใคร่กลมเกลียว นางอยากอาเจียนแทบตายแล้ว
ฮูหยินอวี้กำชับลูกชายและลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง เสิ่นเสวี่ยตอบรับด้วยสีหน้าเชื่อฟัง ทว่าในใจกลับเกลียดจนกัดฟันกรอด เสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นั้นได้คู่หมั้นดีก็พอแล้ว ตอนนี้คาดไม่ถึงว่ายังได้เป็นจวิ้นจู่ จะให้นางสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร แม่สามีก็ยังให้ตนไปปฏิบัติตัวดีๆ ต่อนาง พูดจาเชื่อมสัมพันธไมตรีอ่อนน้อยถ่อมตนต่อหน้านาง เหอะ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งนางกัน
เสิ่นเสวี่ยไม่อยากไปจวนจงอู่โหวแม้แต่นิดเดียว นางไม่อยากไปเห็นใบหน้าที่ภูมิอกภูมิใจใบนั้นของพี่สาว แต่นางเองก็รู้ว่านางไม่ไปไม่ได้ สาเหตุที่แม่สามีทำอะไรนางไม่ได้ ก็เพราะว่าตระกูลฝั่งตนที่อยู่ข้างหลังนางมีอำนาจมากไม่ใช่หรือ
เอ่ยถึงฮูหยินอวี้แม่สามีผู้นั้น ผ้าเช็ดหน้าในมือเสิ่นเสวี่ยก็กำแน่น ยายแก่ไม่ลงโลงผู้นี้ ตั้งแต่ที่ตนแต่งเข้ามาวันแรกก็สร้างความหงุดหงิดให้นางแล้ว ตั้งกฎสิบวันให้ตนเต็มๆ อีกทั้งยังหวังจะยึดสินเดิมของตน เห็นว่าแผนชั่วไม่สำเร็จก็คิดจะยกสาวใช้ข้างกายสามีให้เป็นอนุภรรยา โชคดีที่สามีปฏิเสธโดยอ้างเรื่องเรียนหนังสือ นี่เองก็ทำให้เสิ่นเสวี่ยยิ่งเกลียดแม่สามี ตายไปเสียตอนนี้ก็คงจะดี
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า สตรียังต้องมีอำนาจที่ตระกูลฝ่ายหญิงจึงจะมีชีวิตที่ดีในบ้านสามี
เสิ่นซวง เสิ่นอิงและเสิ่นเสวี่ย บุตรสาวที่ออกเรือนสามคนนี้มาถึงพร้อมกัน รอยยิ้มบนใบหน้าโหวฮูหยินสวี่ซื่อไม่จืดจางเลยทั้งวัน นางมีลูกสามทั้งหมดสองคน ลูกสาวคนโตออกเรือนไกล หลายปีแล้วก็ไม่ได้พบหน้า โชคดีที่ลูกสาวคนเล็กแต่งอยู่ในเมืองหลวง ยังพบหน้ากันได้บ่อยๆ ปลอบโยนความคิดถึงของนางได้ไม่มากก็น้อย
เสิ่นเวยกลับไม่ได้หลบอยู่ในเรือนเฟิงหวา แต่มาสนทนาเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง นอกจากเสิ่นเสวี่ย พี่รองและพี่สามนางก็ยังคงมีความผูกพันอยู่เล็กน้อย
เว่ยจิ่นอวี้นางเคยเห็นแล้ว สำหรับอดีตคู่หมั้นของนางที่ตอนนี้กลายเป็นสามีของน้องสาวผู้นี้ นางไม่มีความประทับใจเลยแม้แต่น้อย กระทั่งมองข้ามเขาไปมองสวี่หรงพี่เขยรองและเหวินเทาพี่เขยสามแทน
พี่เขยรองสง่างามมากเป็นพิเศษ มีกลิ่นอายของผู้ปัญญาทั่วทั้งร่าง เห็นแล้วทำให้คนเกิดความรู้สึกสนิทสนม พี่เขยสามก็มีลักษณะเป็นปัญญาชน เพียงแต่ส่วนสูงสูงกว่าพี่เขยรองเล็กน้อย แววตาก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังที่พยายามซ่อนไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองคนต่างก็หน้าตาดีอย่างยิ่ง แววตาซื่อตรง มองดูก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของตระกูลที่ซื่อสัตย์
อันที่จริงจะว่าไปแล้วในสามคนนี้ก็ยังคงเป็นใบหน้าของเว่ยจิ่นอวี้ที่โดดเด่นที่สุด แต่ว่าเนื่องจากเสิ่นเวยมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อเว่ยจิ่นอวี้ ดังนั้นตอนที่แสดงความเคารพจึงลืมเขาไปอย่างสิ้นเชิง อย่างไรเสียเขาก็เป็นสามีของน้องสาว จะยังหาเรื่องนางผู้เป็นพี่สาวได้อีกหรือ
สวี่หรงกับเหวินเทาคารวะกลับอย่างมีมารยาท ทุกคนต่างก็ทราบว่าคนผู้นี้ก็คือน้องสาวที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ผู้นั้นของภรรยา ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้านาง
ความรู้สึกของเว่ยจิ่นอวี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง สตรีที่งดงามผู้นี้เกือบจะได้เป็นภรรยาของตนแล้ว ตอนนี้นางคล้ายสวยขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เว่ยจิ่นอวี้มองเสิ่นเวยอย่างตะลึงงัน มองเหม่ออย่างอดไม่ได้
นี่ทำให้เสิ่นเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ โมโหแย่แล้ว เชิดหน้ายิ้มดึงแขนเสื้อของเว่ยจิ่นอวี้ กล่าวเสียงหวาน “ท่านพี่ ท่านไม่ต้องอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าหรอก ไปเคารพท่านปู่กับสามีของพี่เขยรองก็ได้ เขายังไม่เคยพบพวกท่านเลย”
นางพูดไปพลางยังถลึงตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่งไปพลาง หางตาเสิ่ยเวยไม่แม้แต่จะปรายมองนาง คิดว่านางตาเป็นตะคริวไปเสีย วันดีเช่นนี้ นางขี้เกียจจะทะเลาะกับเสิ่นเสวี่ย
“พี่รอง พี่สาม ขออภัยจริงๆ พวกท่านออกเรือน แต่ข้ากลับมาส่งพวกท่านไม่ได้” เสิ่นเวยแสดงความเสียใจของตนออกมาอีกครั้ง
เสิ่นซวงเม้มปากยิ้ม ไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว “เจ้าไม่สะดวกไม่ใช่หรือ ลำบากเจ้าต้องไปขอพรที่วัดต้าเจวี๋ย จวนโหวกับท่านปู่จึงราบรื่นปลอดภัยได้ ดูเจ้าสิ ดำหมดแล้ว ผอมด้วย” เสิ่นซวงมองเสิ่นเวยด้วยความสงสาร นางชอบน้องสาวผู้นี้อย่างยิ่งจริงๆ ช่วงเวลาเช่นนั้น มีเพียงนางที่คิดจะไปขอพรให้ท่านปู่ที่วัดต้าเจวี๋ย สภาพแวดล้อมของวัดต้าเจวี๋ยไม่เหมือนในจวน ดูสิน้องเวยผอมลงขนาดไหนแล้ว ทำให้คนปวดใจจริงๆ
เสิ่นอิงเองก็พูดเสริม “ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่มสินเดิมให้ล่วงหน้าแล้วหรือ หากรู้สึกเสียใจจริงๆ ก็เอาของดีในมือเจ้ามาแบ่งให้พวกข้าอีกสิ” นางกล่าวทีเล่นทีจริง
ทว่าเสิ่นเวยกลับกระตุกมุมปาก มองเสิ่นอิงและกล่าวอย่างจริงจังมากเป็นพิเศษ “พี่สาม ท่านพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้พี่เขยสามรู้หรือไม่”
เสิ่นอิงชะงักทันที สีหน้ามีความเขินอายแวบผ่าน ในตอนที่เสิ่นซวงคิดว่าทั้งสองอาจจะทะเลาะขึ้นมาจึงคิดจะเกลี้ยกล่อม แต่เสิ่นอิงกลับยิ้ม ตบบ่าเสิ่นเวยแล้วก่นด่าเล็กน้อย “เจ้าเด็กนี่ ปากเจ้าคายสุนัขออกมาได้หรือไม่”
เสิ่นเวยเองก็ยิ้ม กล่าวหยอกล้อ “ไม่ได้ ปากข้าพ่นออกมาได้แต่ภาษาคน พ่นสุนัขออกมาไม่ได้” หลังจากนั้นก็จ้องมองเสิ่นอิงด้วยความเจ้าเล่ห์ กล่าว “ดูท่าแล้วพี่สามจะพอใจพี่เขยสามยิ่งนัก”
เสิ่นอิงตำหนินางหนึ่งครา “ชู่ว์ เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ในรอยยิ้มเป็นสิ่งที่มีแต่พวกนางเข้าใจ
น้องสี่ ขอบใจเจ้ามาก ขอบใจที่เจ้าช่วยดึงข้ากลับมาจากหน้าผาได้ทันเวลา มิเช่นนั้นตอนนี้ข้าคงจะเหลวแหลกเป็นฝุ่นผงไปแล้ว ไหนเลยจะยังได้สามีที่ดีเช่นนี้
เสิ่นซวงเห็นนางสองคนเพียงแค่หยอกเล่น จึงวางใจลง กล่าว “พอแล้ว อายุเท่าไรแล้วยังหยอกล้อเช่นนี้อยู่อีก ระวังจะทำให้สาวใช้เห็นเป็นเรื่องตลก”
เสิ่นเวยปิดปากหัวเราะ หัวเราะจนเสิ่นซวงรู้สึกว่าใช่บนร่างตนมีอะไรผิดปกติหรือไม่ “เป็นอะไรเล่า เจ้าหัวเราะอะไร”
“หัวเราะพี่รองอย่างไรเล่า!” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “นี่ ตั้งแต่พี่รองแต่งงานก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูท่าแล้วพี่เขยรองคงจะสั่งสอนไว้เป็นอย่างดี” พูดพลางส่ายหน้าราวกับเป็นเรื่องใหญ่ ท่าทางเสียดายอย่างยิ่ง
ครั้งนี้ถึงตาเสิ่นซวงตีเสิ่นเวยแล้ว “ชู่ว์ๆๆ พี่สามเจ้าพูดไว้ไม่มีผิด เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นคนใบ้ไปเถอะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น