ข้ามกาลบันดาลรัก 184.2-187.1
ตอนที่ 184-2 มาหาถึงบ้าน
ช่วงสาย รถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาแต่ไกล เมิ่งชื่อที่คอยชะเง้อชะแง้เฝ้ามองอยู่หน้าประตูนึกว่าแม่สื่อหลิวกลับมาแล้ว ปลาบปลื้มยินดีมาก กำลังจะเดินเข้าไปถาม กลับพบว่าไม่ใช่รถม้าของบ้านตัวเอง ขณะที่กำลังกังขาอยู่นั้น ชายคนหนึ่งลงมาจากรถม้าถามเมิ่งชื่อ “นี่ก็คือบ้านของเมิ่งเสียน?”
เมิ่งชื่อพยักหน้า กำลังจะอ้าปากถามว่าเขาเป็นใคร ชายคนนั้นกลับแผดเสียงร้องตะโกนลั่น “ให้เมิ่งเสียนไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
เมิ่งชื่อได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเขา ตกใจร้องถาม “ท่านเป็นใคร?”
ซุนวั่งแค่นเสียงหัวเราะ “ข้าเป็นใคร? ข้าคือบิดาของซุนเชี่ยน! เมิ่งเสียนเจ้าคนไร้ยางอาย กระทำเรื่องให้บุตรสาวข้าต้องเสื่อมเสีย วันนี้ข้าจะมาคิดบัญชีกับเขา รีบให้เขาไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เมิ่งชื่อกำลังจะพูด ซุนวั่งก็ถามขึ้นอย่างหมดความอดทน “เจ้าเป็นใคร?”
ไม่รอให้เมิ่งชื่อตอบ เขาก็พูดขึ้นอีก “ยังไม่รีบไปเรียกเมิ่งเสียนออกมาอีก”
เมิ่งชื่อไม่ขยับ พูดว่า “ข้าเป็นแม่ของเมิ่งเสียน มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยพูดค่อยจากัน”
พอได้ยินว่าเป็นแม่ของเมิ่งเสียน ซุนวั่งก็ยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่าน ยืนหน้าประตูร้องโวยวายเสียงลั่น “ได้ยินว่าสกุลเมิ่งของพวกเจ้าเป็นครอบครัวซิ่วไฉ ทุกคนต่างรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้ แต่เหตุใดถึงให้บุตรชายเจ้ากระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้ กลัวว่าบุตรสาวข้าจะไม่ยอมแต่งงานด้วย จึงทำลายชื่อเสียงของนางจนย่อยยับก่อน จะได้บีบให้พวกเรารับปากงานแต่งงานนี้ สกุลเมิ่งของพวกเจ้าสอนสั่งลูกหลานกันเช่นนี้เองเรอะ”
ถูกกล่าวหาว่าร้ายรุนแรงเช่นนี้ เมิ่งชื่อตกใจเสียขวัญ ลนลานพูด “ท่านเข้าใจผิดแล้ว มิใช่อย่างที่ท่านพูดสักนิด…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกซุนวั่งพูดแทรก “ข้าเข้าใจผิดอย่างไร? เรื่องในตอนนี้แม้แต่บ่าวไพร่สาวใช้ในบ้านต่างก็รู้เรื่องหมดแล้ว เจ้ายังคิดจะเฉไฉอีกเรอะ?”
เสียงร้องโวยวายของซุนวั่งสร้างความตกใจให้กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนในบ้าน ทุกคนต่างวางงานในมือวิ่งออกมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ สะใภ้โจวทั้งสองคนก็ตามออกมาด้วย
ผู้หญิงคนหนึ่งเห็นซุนวั่งยืนร้องโวยวายมะเทิ่งอยู่หน้าประตูอย่างไม่ลดราวาศอก รีบไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนที่ลานใหญ่บอกเรื่องนี้กับพวกเขา
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนรีบเร่งวิ่งมาหน้าประตู
ซุนวั่งเห็นเมิ่งเสียนมาแล้ว พลันแผดเสียงพูดอย่างเกรี้ยวกราด “เมิ่งเสียน เจ้าคนหยาบช้ายิ่งกว่าหมูหมา เห็นบ้านพวกเรามีเงิน ก็คิดจะอาดเอื้อมป่ายปีนพวกเรา บุตรสาวข้าอย่างไรก็ไม่ยอมตกลง ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าใช้วิธีต่ำช้า ทำลายชื่อเสียงของนาง”
เมิ่งเสียนถูกเขาชี้หน้ากล่าวตำหนิ อายจนหน้าแดง รีบพูดโต้แย้ง “ข้าเปล่า…”
ซุนวั่งไม่เชื่อเขา แผดเสียงลั่น “เจ้ายังจะไม่ยอมรับ เจ้าไม่กลัวฟ้าจะผ่าบ้างหรือไร?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเมิ่งเสียนและซุนเชี่ยน ได้ยินก็ให้ขุ่นเคือง พูดว่า “ท่านจะพูดอะไรก็ช่วยให้มีมูลความจริงบ้าง ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าบุตรชายข้าทำลายชื่อเสียงของแม่นางซุน?”
ซุนวั่งโมโหร้องลั่น “สิทธิ์อะไร? ก็สิทธิ์ที่พวกเขายังไม่ได้หมั้นหมายกันก็ลักลอบพบเจอกัน ก็สิทธิ์ที่พวกเขายังไม่ได้หมั้นหมายกันเขาก็แอบเข้าไปในห้องนอนบุตรสาวข้า กระทำเรื่องต่ำช้ายิ่งกว่าหมูหมา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่เชื่อ “พูดจาเหลวไหล แม้สกุลเมิ่งจะไม่ใช่ตระกูลผู้มีการศึกษาอะไร แต่อย่างไรบุตรชายข้าก็เคยร่ำเรียนในสถานศึกษามาหลายปี ยังพอรู้เรื่องมารยาทเกียรติและความน่าละอายอยู่บ้าง ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนั้นได้เด็ดขาด”
ซุนวั่งถ่มถุยเสียงลั่น “จนถึงตอนนี้ยังมีหน้าพูดเช่นนี้ เจ้าถามบุตรชายเจ้าดูว่าได้ทำเรื่องเช่นนี้หรือไม่”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหันไปมองเมิ่งเสียน “เสียนเอ๋อร์ เจ้าบอกเขาไป เจ้าไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น”
เมิ่งเสียนหน้าแดง พูดเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ ข้า ข้า…”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตกตะลึง ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้ากระทำเรื่องหยาบช้านั้นจริงๆ?”
เมิ่งเสียนลนลานโบกมือ “เปล่าๆ ข้าเพียงมอบปิ่นดอกไม้ให้แม่นางซุนเท่านั้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็โล่งอก หันไปพูดกับซุนวั่ง “พวกเขาชอบพอกัน ให้สิ่งของแก่กันก็ยากจะเลี่ยง อีกทั้งวันนี้พวกเราก็ให้คนไปทาบทามสู่ขอแล้ว”
ได้ฟังว่าพวกเขาให้แม่สื่อไปทาบทามสู่ขอแล้ว ซุนวั่งก็ยิ่งเดือดดาล “บุตรสาวข้าถูกตีตราหมั้นหมายแล้ว แม้แต่ใบบันทึกวันเดือนปีเกิดก็แลกกันแล้ว ใครจะไปคิดว่าบุตรชายของพวกเจ้าจะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ตอนนี้คนทั้งตำบลต่างก็หัวเราะขบขันพวกเรา ต่อไปเจ้าจะให้บุตรสาวข้าออกไปพบเจอคนอย่างไร จะให้พวกเราสกุลซุนเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
ครั้งนี้เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อตกใจมึนงงจริงๆ แล้ว ถามขึ้น “เสียนเอ๋อร์ มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ?”
เมิ่งเสียนรีบร้อนอธิบาย “ท่านพ่อ ท่านแม่มิใช่อย่างนั้น การหมั้นหมายนั้นของแม่นางซุนถือเป็นโมฆะ…”
ซุนวั่งพูดตัดบทอย่างฉุนเฉียว “การหมั้นหมายนั้นข้าเป็นคนจัดการให้นางเอง ใบบันทึกวันเดือนปีเกิดข้าก็เป็นคนแลกเปลี่ยนให้นางเองกับมือ จะเป็นโมฆะได้อย่างไร”
เมิ่งเสียนยิ่งกระวนกระวายยิ่งพูดไม่ออก
ซุนวั่งเห็นดังนั้น ดวงตากลิ้งกลอก แผดเสียงร้องโวยวาย “ทุกคนมาดูเถิด สกุลเมิ่งเห็นพวกเราสกุลซุนมีการค้าใหญ่โต ไม่รู้ว่าแฝงแผนการอะไรไว้ เริ่มจากพูดกล่อมบิดาข้า ให้ส่งบุตรชายมาอยู่กับพวกเขา ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ก็ทารุณกรรมบุตรชายข้าจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ตอนนี้ก็มีแผนการร้ายใหม่ ให้เจ้าคนต่ำช้ายิ่งกว่าหมูหมาคนนี้ทำลายชื่อเสียงบุตรสาวข้า ทำลายชีวิตสมรสที่ดีของนาง”
คนในหมู่บ้านเข้ามาเพราะเสียงโวยวาย พอได้ฟังคำพูดของเขาต่างก็ชี้มือชี้ไม้ วิพากษ์วิจารณ์สองสามีภรรยาเมิ่งและเมิ่งเสียน
สองสามีภรรยาเมิ่งต่างเป็นคนซื่อ ไม่เคยทะเลาะกับใครมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจอคนก่อกวนต่อแยอย่างซุนวั่งเช่นนี้ พลันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
เมิ่งเสียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
คนทั้งหมดเห็นพวกเขาไม่โต้แย้ง ยิ่งวิพากษ์เสียงขรม
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีพาซุนเหลียงไฉเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกลับมาจากแปลงมันฝรั่ง เห็นผู้คนมารุมล้อมหน้าประตูบ้านแต่ไกล ซุนเหลียงไฉยังสงสัยถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้าน เหตุใดที่มีคนมากมายมามุงล้อมหน้าประตู?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่นพูดว่า “พี่รอง ท่านวิ่งไปดูก่อนเถิด”
เมิ่งฉีรับคำ รีบวิ่งตรงไป ซุนเหลียงไฉก็วิ่งตามหลังไปอย่างหวังดี ยังไม่ถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงแปดหลอดของซุนวั่ง รีบแหวกกลุ่มคนออก เดินเข้าไป ถามอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร?”
ซุนวั่งเห็นซุนเหลียงไฉ เข้าไปกอดเขาแน่น แล้วคร่ำครวญโหยไห้พูดว่า “ไฉเอ๋อร์เอ๋ย ครอบครัวใจร้ายพวกนี้ทำร้ายพี่สาวเจ้าแล้ว”
ซุนเหลียงไฉรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นอย่างดี พลันถามด้วยความประหลาดใจ “ใครทำร้ายท่านพี่หรือ?”
ซุนวั่งชี้เมิ่งเสียน “ก็คือเขา เขาไม่สนใจว่าพี่สาวเจ้ามีคู่หมั้นหมายแล้ว กระทำการล่วงละเมิดนางอย่างต่ำช้าไม่ต่างจากหมูหมา ตอนนี้ยังให้แม่สื่อไปทาบทามสู่ขอ ต่อไปจะให้พี่สาวเจ้ามองหน้าคนอื่นอย่างไร”
ซุนเหลียงไฉพูดตามความสัตย์ “พี่ใหญ่เมิ่งมิได้กระทำเรื่องเช่นนั้น ตอนที่เขาไปพบท่านพี่ ข้าก็อยู่ข้างๆ ด้วย”
ซุนวั่งตะลึงจังงัง ฝืนพูดโต้แย้ง “พี่สาวเจ้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ทั้งยังส่งของหมั้นหมายมาแล้ว เมิ่งเสียนไปลักลอบพบพี่สาวเจ้า ก็คือการทำลายชื่อเสียงของนาง”
ตอนที่ 185-1 ใครก็ได้ เอาเชือกให้เขาเส้นหนึ่ง
ซุนเหลียงไฉพูดว่า “คนที่ส่งของหมั้นมาถูกท่านพี่ไล่ตีไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ถือเป็นโมฆะแล้ว”
ซุนวั่งสะอึกกึก พูดว่า “แต่ใบบันทึกวันเดือนปีเกิดก็แลกไปแล้ว จะเป็นโมฆะได้อย่างไร?”
ซุนเหลียงไฉยังคิดจะพูดอีก ซุนวั่งรีบคว้าเขามากอดแนบอก “ลูกที่น่าสงสารของพ่อ เจ้าถูกบ้านเมิ่งกรอกยาหลอนประสาทอะไรเข้าไป ถึงเอาแต่ช่วยพูดแทนพวกเขา แม้แต่คำพูดของพ่อก็ไม่เชื่อ”
ซุนเหลียงไฉคิดจะสะบัดออกช่วยเมิ่งเสียนแก้ต่าง ซุนวั่งกลับกอดรัดเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พูดอย่างเศร้าโศก “ไฉเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าดูตัวเองเถิด ตอนนี้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว พวกคนบ้านเมิ่งอำมหิตเกินไปแล้ว จะทารุณเจ้าจนตายหรืออย่างไร ไม่ต้องกลัว พ่อจะพาเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก็ลากซุนเหลียงไฉเดินหันหลังกลับ
น้ำเสียงเจือความเยาะหยันของเมิ่งเชี่ยนโยวดังแว่วมาจากกลุ่มคน “ท่านอุตส่าห์ลงแรงมาถึงที่นี่ ยังไม่ได้เข้าไปดื่มชาสักคำก็จะกลับแล้ว หากเรื่องแพร่งพรายออกไป ผู้คนจะหัวเราะเยาะว่าพวกเราสกุลเมิ่งต้อนรับแขกไม่เหมาะสม”
ซุนวั่งได้ยินเสียงนางก็ผวาตัวสั่น ห่อหดเนื้อตัวอย่างไม่รู้ตัว
กลุ่มคนที่มามุงดูแหวกเปิดทาง เมิ่งเชี่ยนโยวนำเมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน คลี่ยิ้มพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านพ่อตามาหาถึงบ้าน เหตุใดท่านถึงไม่รู้จักต้อนรับให้ดีเล่า”
ซุนวั่งได้ฟังคำเรียกที่บาดหู ร้องพูดทันควัน “ใครเป็นพ่อตาของเขา ครอบครัวยาจกอย่างพวกเจ้า หมายจะมาขอบุตรสาวข้าแต่งงาน ข้าจะบอกให้ว่าไม่มีทาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียง “อ่อ” แล้วยิ้มถาม “เช่นนั้นคนอย่างไรถึงจะคู่ควรกับบุตรสาวของท่านเล่า?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าหาบ้านสามีที่ดีเอาไว้ให้นางแล้ว เมื่อวานฝ่ายชายเพิ่งจะเข้ามามอบของหมั้น อีกสองเดือนให้หลังก็จะจัดงานแต่งงาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามอย่างสุภาพ “เช่นนั้นวันนี้ท่านมาทำอะไร?”
ซุนวั่งได้ยินคำถามอย่างสุภาพของนาง ในใจกลับยิ่งทวีความหวาดกลัว ถอยหลังไปสองก้าวอย่างลืมตัว แล้วโก่งคอพูดว่า “ก็มาเตือนพวกเจ้าอย่างไร อย่าได้คิดหวังต่อบุตรสาวข้าอีกเด็ดขาด”
“แล้วถ้าพวกเราคิดหวังต่อบุตรสาวท่านแล้วเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม
ซุนวั่งกะพริบตาปริบๆ มองดูกลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุก เปล่งเสียงดังพูด “หากพวกเจ้ากล้าคิดหวังต่อบุตรสาวข้า ข้าจะแขวนคอตายที่หน้าบ้านเจ้า”
สิ้นเสียงเขา กลุ่มคนพลันส่งเสียงเซ็งแซ่
ซุนวั่งเห็นว่าบรรลุเป้าประสงค์ตนเองแล้ว มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเห่อเหิมใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคืองขุ่นเลยแม้แต่น้อย กลับยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “เมื่อท่านมีความต้องการเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์ให้ท่านเอง”
ซุนวั่งตกตะลึง พลันดึงสติกลับมา แผดเสียงร้องเอ็ดตะโร “เจ้ากล้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม หันไปตะโกนบอกด้านข้าง “ใครก็ได้ เอาเชือกเส้นหนึ่งให้เขา”
ได้ยินเสียงคนมาก่อกวน พวกอู๋ต้าที่รีบวิ่งออกมาไล่คน ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะเบ็งเสียงขานรับคำทันควัน “ได้ขอรับ นายหญิง เชือกมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
พูดจบ อู๋ต้าก็รีบวิ่งไปหยิบเชือกที่หลังเรือน
ซุนวั่งถอยหลังไปอีกก้าว “นังตัวดี หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้ บิดาข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดอะไร
ไม่นานอู๋ต้าก็ถือเชือกเข้ามา ยื่นไปตรงหน้าซุนวั่ง แสร้งพูดอย่างสุภาพและมีมารยาท “คุณชายซุน เอาเชือกมาให้ท่านแล้วขอรับ”
น้ำเสียงเย็นเยียบของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “เห็นแก่ที่เหลียงไฉเรียกข้าว่าพี่สาว ข้าอนุญาตให้ท่านเลือกต้นไม้แขวนคอได้ตามความพอใจ”
ซุนวั่งตกใจหลบไปอยู่ข้างหลังซุนเหลียงไฉ ยังคงฝืนพูดว่า “นังตัวดี เจ้ากล้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม พูดว่า “อู๋ต้า ในเมื่อคุณชายซุนไม่อยากเลือกเอง พวกเจ้าไปช่วยเลือกให้เขาหน่อยเถิด”
พวกอู๋ต้าขานรับ เดินไปลากซุนวั่งออกมาจากด้านหลังซุนเหลียงไฉ
ซุนวั่งตกใจร้องสุดเสียง “ไฉเอ๋อร์ ช่วยพ่อด้วย”
ซุนเหลียงไฉเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนมาลากตัวซุนวั่งไปจริงๆ ก็สะดุ้งตกใจ รีบร้อนพูด “พี่สาวเมิ่ง…” คิดจะขอร้องนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร แต่เจ้าลองคิดดูหากวันนี้ควบคุมเขาไม่ได้ การแต่งงานของพี่สาวเจ้าและพี่ใหญ่ข้าคงไม่อาจสำเร็จได้ เจ้าอยากเห็นเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรือ?”
“แต่อย่างไรเขาก็เป็นบิดาข้า ข้าไม่อาจทนเห็นเขาต้องได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสนี้” ซุนเหลียงไฉเร่งเร้าพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “เช่นนั้นเจ้าทนเห็นพี่สาวเจ้าต้องโดดเดี่ยวลำพังไปทั้งชีวิตได้หรือ?”
ซุนเหลียงไฉนิ่งอึ้ง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงตัดสินใจพูดว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าอย่าให้เลยเถิดเกินไปนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าวางใจ ข้าเพียงแค่จะข่มขู่เขาเท่านั้น ให้ภายหน้าเขาไม่กล้ามาหาเรื่องอาละวาดที่นี่อีก”
ซุนเหลียงไฉถึงยอมวางใจ
พวกอู๋ต้าเจตนาหิ้วปีกซุนวั่งเดินวนรอบต้นไม้ใหญ่หลายต้น ถามอย่างสุภาพ “คุณชายซุน ท่านจะเลือกต้นไม้ต้นไหน?”
ซุนวั่งดิ้นรนสุดชีวิต ร้องตะโกนสุดเสียง “ต้นไหนข้าก็ไม่เลือก พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
พวกอู๋ต้าไม่พอใจแล้ว พูดว่า “ได้อย่างไรกัน เรื่องที่นายหญิงของพวกเราสั่งการ หากพวกเราทำไม่สำเร็จ จะถูกลงทัณฑ์ได้ เมื่อท่านเลือกไม่ได้ พวกเราจะช่วยเลือกให้เองก็แล้วกัน”
พูดจบก็หิ้วปีกร่างเขาไปตรงหน้าต้นไม้ต้นที่สูงที่สุด แล้วถามอีกครั้ง “ท่านว่าต้นไม้นี้เป็นอย่างไร?”
ซุนวั่งส่ายหน้าสุดชีวิต
อู๋ต้าส่งสายตาให้คนที่เหลือ “พี่น้องเอ๋ย ช่วยคุณชายซุนหน่อย”
คนที่เหลือขานรับคำ นำเชือกไปแขวนบนต้นไม้ใหญ่ แล้วผูกเงื่อนตาย หันมาพูดกับซุนวั่ง “คุณชายซุน เตรียมเชือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านลงมือเถอะ”
ซุนวั่งตกใจหัวหดไปหมดแล้ว ขาอ่อนยวบยาบ แม้แต่แรงที่จะก้าวถอยหลังยังไม่มี หากไม่เพราะพวกโจวอู๋หิ้วปีกไว้ คงนอนแผ่หลาไปกับพื้นนานแล้ว เห็นเชือกที่ผูกเงื่อนเสร็จดี ก็ร้องเสียงลั่นสุดชีวิต “ข้าไม่แขวนคอ ข้าไม่แขวนคอ”
คนที่มาดูเรื่องสนุกเห็นสภาพหวาดผวาของเขา หัวเราะลั่นเสียงขรม
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม พูดว่า “คุณชายซุนจะล้อพวกเราเล่นหรืออย่างไร? ท่านพูดต่อหน้าคนมากมายเองว่าจะแขวนคอ ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจดีให้คนช่วยไปเอาเชือกมาให้ ทั้งยังช่วยเลือกต้นไม้ให้ ช่วยเหลือท่านอย่างไม่คิดเหน็ดเหนื่อยเหมือนคนไร้สติ ตอนนี้ท่านกลับบอกว่าจะไม่แขวนคอแล้ว ท่านทำใจได้หรือ?”
ซุนวั่งก้มหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างสั่นผวา “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างมีเลศนัย “คำพูดนี้ท่านพูดผิดแล้ว ไม่ใช่ข้าต้องการอะไร แต่ท่านต่างหากที่ต้องการจะทำอะไร?”
ซุนวั่งริมฝีปากสั่นระริกไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับพวกอู๋ต้า “ดูท่าสมองของคุณชายซุนจะยังไม่แจ่มแจ้งพอ ยังคิดไม่ออก พวกเจ้าทั้งหมดช่วยให้เขากระจ่างแจ้งหน่อยเถิด”
พวกอู๋ต้าเข้าใจพลัน ขานรับอย่างฮึกเหิมใจ แก้ปมเชือกออก นำลงมา มัดซุนวั่งไว้ แล้วนำไปแขวนไว้บนต้นไม้
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบร้อนเข้ามาห้ามปราม “โยวเอ๋อร์ อย่างไรเขาก็เป็นบิดาของคุณหนูซุน เจ้าทำเช่นนี้ ต่อไปพวกเราจะดองญาติกันอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ท่านพ่อ เรื่องเกี่ยวดองเป็นญาติท่านไม่ต้องคิดแล้ว ท่านไม่เห็นหรือว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคุณชายซุนก็ไม่ยินยอม? ประจวบเหมาะที่ข้าก็ไม่อยากเห็นพี่ใหญ่ต้องมีพ่อตาเช่นนี้ เรื่องงานแต่งงานของพี่ใหญ่และคุณหนูซุนให้จบเพียงเท่านี้เถอะ ทว่า เหลียงไฉเรียกข้าเป็นพี่สาวมาก็นาน ความปรารถนาที่บิดาเขาอยากจะแขวนคอ ข้าช่วยทำไม่สำเร็จ ทำได้เพียงจับเขาไปแขวนห้อยเอาไว้ ถือได้ว่าไม่ติดค้างสิ่งใดต่อเขาแล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นฟังคำกล่าวของนางจบ ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คิดจะเกลี้ยกล่อมอีก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขยิบตาส่งสัญญาณให้เขา เมิ่งเอ้ออิ๋นคาดเดาว่าเรื่องนี้จะต้องยังมีสิ่งอื่นแฝงอยู่ จึงไม่ขยับอีก เพียงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “เจ้าก็อย่าให้หนักข้อเกินไป แขวนไว้สามวันก็พอ”
หากไม่เพราะสถานที่ไม่เหมาะ เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะปรบมือให้กับคำพูดสุดยอดนี้ของเมิ่งเอ้ออิ๋นจริงเชียว
เป็นดังคาด พอได้ยินคำพูดของเมิ่งเอ้ออิ๋น ซุนวั่งยิ่งดิ้นทุรนทุรายรุนแรงขึ้น ร้องตะโกนเสียงลั่น “ไฉเอ๋อร์ ช่วยพ่อด้วย”
ซุนเหลียงไฉเห็นซุนวั่งถูกจับแขวน เจ็บปวดใจมาก คิดอยากจะไปปล่อยตัวเขาลงมา แต่พอคิดว่าหากครั้งนี้กำราบเขาไม่ได้ งานแต่งงานของพี่สาวก็จะไม่สำเร็จ ตัดสินใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวแหงนหน้าพูดกับซุนวั่ง “หากเขากล้ามาช่วยเจ้า ข้าก็จะจับเขามาแขวนด้วย เจ้าเชื่อหรือไม่?”
ซุนวั่งร้องก่นด่า “นังตัวดี เจ้าปฏิบัติต่อผู้อาวุโสเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกฟ้าผ่าตาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา เดินเอื่อยเฉื่อยกลับเข้าไปในบ้าน
ตอนที่ 185-2 ใครก็ได้ เอาเชือกให้เขาเส้นหนึ่ง
ไกลออกไปมีรถม้าสองคันแล่นเข้ามา เมื่อถึงหน้าประตูก็หยุดลง ซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนลงมาจากรถม้าคันหนึ่งในนั้น ซุนเชี่ยนเร่งเร้าถาม “แม่นางเมิ่ง บิดาข้ามาที่นี่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่แล้วพูดว่า “อยู่ทางนั้น”
ซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนเห็นซุนวั่งถูกแขวนอยู่ใต้ต้นไม้ ตกตะลึงพรึงเพริด
ซุนซ่านเหรินร้องกล่าว “แม่นางเมิ่ง เอ่อ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “หลังจากคุณชายซุนมาถึง ก็เอาแต่พร่ำร้องอาละวาด บอกว่าพี่ใหญ่ข้าทำลายชื่อเสียงของแม่นางซุน ทำให้ต่อไปเขาไม่มีหน้าไปเจอใครได้อีก ทั้งบอกว่าหากพวกเรากล้ามีแผนการต่อคุณหนูซุน เขาก็จะแขวนคอตายอยู่หน้าประตูบ้านข้า ข้าคิดทบทวนหลายตลบ คิดว่าพี่ใหญ่ข้าและคุณหนูซุนรักชอบกัน จะแยกพวกเขาจากกันไม่ได้ จำต้องช่วยทำความปรารถนาของคุณชายซุนให้สำเร็จ”
ฟังนางพูดจบ ซุนซ่านเหรินก็เข้าใจทันที นี่เป็นวิธีที่เมิ่งเชี่ยนโยวคิดขึ้นเพื่อลงโทษซุนวั่ง จึงไม่แยแสอีก กลับพูดกับสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างรู้สึกผิด “วันนี้พวกท่านส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอ เจ้าลูกไม่เอาถ่านคนนี้ได้ยินเข้า ฉวยโอกาสตอนที่พวกเราไม่ทันระวัง แอบหนีออกมา ตอนที่พวกเรารู้ตัว ถึงได้รู้ว่าเขาให้บ่าวรับใช้บังคับรถม้ามาที่บ้านพวกท่าน พวกเราถึงได้รีบเร่งตามมา ไม่คิดว่าจะสายไปก้าวหนึ่ง ให้เขาก่อเรื่องลุกลามบานปลายเช่นนี้ ข้าขอขมาพวกท่านแทนเขาด้วย หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการแต่งงานของเชี่ยนเอ๋อร์และคุณชายเมิ่ง”
สองสามีภรรยาเมิ่งโบกมือเป็นพัลวัน เมิ่งเอ้ออิ๋นกล่าวว่า “ซุนซ่านเหรินกล่าวหนักเกินไปแล้ว เป็นเสียนเอ๋อร์ของพวกเราที่เสียมารยาทก่อน ทำให้คุณชายเกิดอารมณ์ชั่ววูบบันดาลโทสะก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง วิธีการของโยวเอ๋อร์นั้นก็รุนแรงไปบ้าง ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
ซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินเข้ามา นึกว่าจะมาช่วยตัวเอง ดีใจลิงโลด แผดเสียงร้องตะโกน “ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่ ท่านรีบมาช่วยข้าเร็ว”
ไม่คิดว่าซุนซ่านเหรินกลับไม่แยแสเขาแม้แต่น้อย พูดคุยกับครอบครัวเมิ่งอย่างสนุกสนานถูกคอ
ซุนวั่งร้อนรน ร้องด่าซุนเชี่ยน “นังลูกไม่รักดีหน้าไม่อาย กระทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้น ยังให้ข้าต้องติดร่างแหมารับเคราะห์กรรมด้วย คอยดูเถอะกลับไปข้าจะไล่เจ้าออกไปจากบ้าน”
ซุนเชี่ยนไม่แม้แต่จะมองเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ดูท่าคุณชายซุนจะยังไม่สำนึกตัวได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เช่นนั้นพวกเราเข้าไปดื่มน้ำชา รอให้เขาคิดได้แล้ว พวกท่านค่อยพาเขากลับไป”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า จากนั้นตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในบ้าน
แม่สื่อหลิวเดินลงมาจากรถม้าอีกคัน พูดกับเมิ่งชื่อด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก “ข้าเป็นแม่สื่อมาหลายปีดีดัก ยังไม่เคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ข้ายังพูดไม่ทันจบ เจ้าของบ้านต่างก็หนีหายกันไปหมด”
เมิ่งชื่อรีบร้อนพูด “เรื่องที่เกิดวันนี้กะทันหันไปบ้าง ทำท่านลำบากแล้ว เอาเช่นนี้ ตอนนี้คนทั้งหมดต่างก็อยู่ในบ้านข้า ไม่เช่นนั้นท่านก็ใช้โอกาสนี้หารือเรื่องการหมั้นหมายให้เรียบร้อย”
แม่สื่อหลิวโบกมือ “ข้าว่าสถานการณ์ของพวกเจ้าสองครอบครัว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าออกหน้าอีกแล้ว พวกเจ้าปรึกษากันเอาเองเถิด ข้าคงไม่เข้าไปแล้ว”
เมิ่งชื่อยิ้มพูด “เรื่องการแต่งงานพ่อแม่เป็นคนจัดการ แม่สื่อเป็นคนจัดหา จะให้ไม่มีแม่สื่ออย่างท่านได้อย่างไร อีกอย่าง พวกเราก็ให้ความสำคัญต่อคุณหนูซุนคนนี้มาก ดังนั้นเรื่องเป็นหน้าเป็นตานี้พวกเราจะต้องทำอย่างครบถ้วน ท่านวางใจ แม้ท่านจะไม่ได้ออกแรง ค่าตอบแทนแม่สื่อก็จะไม่ให้ท่านน้อยลงแน่นอน”
ไม่ต้องเปลืองแรงพูดสู่ขอก็ได้รับค่าตอบแทนแม่สื่อ แม่สื่อหลิวพลันฉีกยิ้มหน้าบาน เอี้ยวตัวเดินตามเมิ่งชื่อเข้าไปในบ้าน
เมิ่งชื่อเดินนำแม่สื่อหลิวเข้ามาในบ้านแล้วยิ้มพูดว่า “วันนี้พวกเราเชิญแม่สื่อหลิวไปพูดทาบทามสู่ขอ เพราะอยากจะกำหนดวันหมั้นหมาย ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องคุณชายซุนขึ้น ทำให้ติดขัดล่าช้า เมื่อตอนนี้ทุกคนอยู่กันครบ พวกเราก็ไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องระเบียบประเพณีอะไรมากแล้ว กำหนดวันกับแม่สื่อหลิวเลยเถอะ”
เดิมทีพอแม่สื่อหลิวเข้าเรือนไม่นาน บ่าวรับใช้ก็เข้ามาบอกว่าซุนวั่งหายไปแล้ว หลังจากซุนซ่านเหรินส่งคนออกไปตามหา ก็คิดว่าเขาจะต้องมาบ้านเมิ่ง จึงรีบให้บ่าวรับใช้บังคับรถม้าตรงมา ไม่ทันได้สนใจหารือกำหนดวันหมั้นหมาย ตอนนี้ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนี้ ก็รับปากด้วยความยินดี
สองสามีภรรยาเมิ่งและซุนซ่านเหรินต่างคิดว่าเรื่องหมั้นหมายยิ่งกำหนดได้เร็วยิ่งดี ดังนั้นจึงมีความเห็นพ้องกันให้จัดวันหมั้นหมายให้พวกเขาให้อีกสามวันข้างหน้า
แม่สื่อหลิวก็ไม่พูดแทรก คิดว่าตัวเองเป็นไม้ประดับ รอให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว ถึงกล่าวคำมงคลแสดงความยินดีตามท่าทีรูปแบบเยี่ยงแม่สื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวนำเงินหลายสิบอีแปะวางใส่มือนาง พูดว่า “วันนี้ลำบากท่านแล้ว ท่านนำเงินเล็กน้อยนี้ไปซื้อแป้งทาหน้า รอให้กำหนดฤกษ์แต่งงานของพี่ใหญ่ข้าและคุณหนูซุนเมื่อไหร่ ข้าจะใส่ซองแดงหนาๆ ให้ท่านอีกครั้ง”
ไม่ได้ทำอะไรก็ได้เงินตบรางวัล แม่สื่อหลิวดีใจลิงโลด กล่าวขอบคุณไม่หยุด
หลังจากเมิ่งชื่อพาแม่สื่อหลิวที่ยินดีปรีดากลับไปแล้ว กลับเข้ามาในบ้าน อดใจไม่ได้ถามถึงระเบียบการต่างๆ ของคนในเมืองว่าเป็นอย่างไร
ซุนซ่านเหรินเป็นผู้ที่รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่สุด ในตอนนี้เชี่ยนเอ๋อร์ได้เจอสามีที่สมดังใจหมาย ได้มีบ้านสามีที่ดี พิธีการที่ว่ามาเหล่านั้นจึงไม่สำคัญอีกต่อไป จึงหัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “แต่ละพื้นที่ย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติแตกต่างกัน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือห่างกันเพียงใด เมื่อเชี่ยนเอ๋อร์จะแต่งงานมาอยู่กับสกุลพวกท่าน ก็ทำตามระเบียบการของพวกท่านเถอะ พวกเราไม่มีความเห็นต่าง”
เมิ่งชื่อกำลังจะสอบถามความคิดเห็นของซุนเชี่ยน เสียงอู๋ต้าก็ดังแว่วมา “นายหญิง คุณชายซุนร้องขอชีวิตแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นเดินออกไป ซุนเหลียงไฉเดินไล่หลังไปติดๆ เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามปรามเขา “เจ้าไม่ต้องตามมา เลี่ยงไม่ให้เจ้าเห็นสภาพของบิดาแล้วใจอ่อนขอร้องแทนเขา”
แม้ซุนเหลียงไฉจะปวดใจ แต่ก็ชะงักฝีเท้าไปเท่านั้น กล่าววิงวอนเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สาวเมิ่ง เจ้าจักต้องออมมือต่อบิดาข้านะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าวางใจเถอะ หนึ่งข้าจะไม่ตีเขา สองจะไม่ด่าเขา ที่แขวนเขาเอาไว้ ก็เพียงต้องการข่มขู่เขาเท่านั้น ให้ต่อไปเขาไม่กล้าขัดขวางการแต่งงานของพี่สาวเจ้า และไม่กล้ามาอาละวาดบ้านพวกเราอีก”
ซุนเหลียงไฉคิดถึงวิธีการกลั่นแกล้งคนของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจวาดหวังให้ครั้งนี้บิดาจะรู้สึกตัวบ้าง อย่าได้ยั่วโทสะเมิ่งเชี่ยนโยวอีก ไม่เช่นนั้นแม้แต่ท่านปู่ก็ช่วยเขาไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปใต้ต้นไม้ แหงนมองซุนวั่ง คลี่ยิ้มพูดว่า “ได้ยินว่าคุณชายซุนร้องขอชีวิตแล้ว ท่านไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงต้องร้องขอชีวิตด้วย?”
ซุนวั่งเห็นพวกซุนซ่านเหรินต่างก็เข้าไปในบ้านเมิ่ง เริ่มแรกยังแหกปากร้องก่นด่าคนสกุลเมิ่ง แต่พอผ่านไปนานเข้า ก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าถูกมัดเจ็บปวดไปทั้งร่าง คิดจะร้องขอชีวิต แต่พอคิดว่าหากตนเองร้องขอชีวิต เช่นนั้นงานแต่งงานของซุนเชี่ยนและเมิ่งเสียนก็จะบรรลุผล ตนเองก็จะมาเสียเที่ยว? จึงกัดฟันอดทนยืนหยัด แต่เขาใช้ชีวิตมีเกียรติมั่งคั่งมาจนชินแล้ว ไหนเลยจะทนรับความทุกข์ระทมนี้ได้ ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ พอทนไม่ไหวจริงๆ ถึงพูดร้องขอชีวิตกับพวกอู๋ต้าอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรง
พวกอู๋ต้ารู้ว่าซุนวั่งคือว่าที่พ่อตาของเมิ่งเสียน ไม่กล้ารอช้า รีบเข้าไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางมาจัดการ
ซุนวั่งได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามตนเองเช่นนี้ รู้ว่านางไม่ยอมปล่อยตัวเองไปง่ายๆ จึงถามขึ้น “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มหวานพูดว่า “ไม่ใช่ข้าจะเอาอย่างไร แต่เป็นท่านที่จะเอาอย่างไร?”
ซุนวั่งไม่พูด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เมื่อคุณชายซุนยังคิดไม่ตก ก็คิดให้ถี่ถ้วนก่อนเถิด” พูดจบก็กลับหลังหันเดินกลับไป
ซุนวั่งรีบร้อนพูด “ข้ายอมเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า หันหลังกลับ “ยังมีอีกเล่า?”
ซุนวั่งเห็นนางยิ้มหวานมองมาที่ตัวเอง ประมาณว่าหากไม่พูดจะถูกแขวนเช่นนี้ไปทั้งวัน ร้อนรนพูดทันควัน “ข้าก็จะไม่มาอาละวาดบ้านพวกเจ้าอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดว่า “ยังมี…”
ซุนวั่งคิดใคร่ครวญครู่หนึ่งก็คิดไม่ออกว่ายังมีอะไร ลุกลนพูดขึ้น “ยังมีอะไร เจ้าพูดออกมาสิ ข้าว่าตามเจ้าก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ยังมีก็คือ ต่อไปท่านห้ามนำสถานะของตัวเองมารังแกข่มเหงพี่ชายข้า และห้ามให้เขาทำเรื่องลำบากใจ หากให้ข้ารู้ว่าท่านทำให้เขาลำบากใจ ข้าจะไม่ใช่แค่จับท่านมาแขวนง่ายดายเช่นนี้”
ซุนวั่งคิดแต่อยากจะถูกปล่อยตัวลง พูดขึ้นทันควัน “ข้ารับปาก ข้ารับปากทุกอย่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้น พวกอู๋ต้าก็ปล่อยตัวซุนวั่งลงมา ซุนวั่งนอนราบไปกับพื้น หายใจกระหืดกระหอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้พวกอู๋ต้แก้มัดเชือกให้เขา แย้มยิ้มพูดกับเขาว่า “ตอนนี้ทุกคนหารือเรื่องหมั้นหมายอยู่ในบ้าน ไม่เช่นนั้นท่านก็เข้าไปเสนอความคิดเห็นตัวเองด้วยเถอะ”
ซุนวั่งค่อยๆ ลุกขึ้นยืน โบกมือเป็นพัลวัน “ข้าไม่มีความคิดเห็นๆ” พูดจบก็วิ่งตุปัดตุเป๋ไปที่รถม้าของตัวเอง ขึ้นไปนั่งอย่างทุลักทุเล สั่งการคนรถด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “เร็ว รีบกลับบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูรถม้าของเขาวิ่งออกไปไกล ถึงก้าวเท้ากลับเข้าบ้าน
คนที่มามุงดูเรื่องสนุกเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกดูแล้ว จึงส่งเสียงวิพากษ์แยกย้ายกลับไป
กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนก็กลับเข้ามาในบ้าน
สะใภ้โจวทั้งสองคนหันสบตากัน เห็นความเหลือเชื่อในสายตากันและกัน ทว่าต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอย่างรู้ใจกัน แต่กลับเข้าไปในบ้าน เย็บกระเป๋านักเรียนพร้อมกับผู้หญิงคนอื่นๆ
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาลำพัง ซุนเหลียงไฉร้อนรนถาม “ท่านพ่อเล่า?”
ตอนที่ 186-1 วิชาการวางแผน
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “บิดาเจ้าบอกว่า เขาไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องการแต่งงานของคุณหนูซุนโดยสิ้นเชิง ภายหน้าก็จะไม่แทรกแซง แล้วกระวีกระวาดกลับบ้านไปทันที”
ซุนเหลียงไฉถามอย่างเป็นห่วง “ท่านพ่อไม่เป็นอะไรหรอกนะ?”
“ด้วยร่างกายของคุณชายซุน คาดว่ากลับไปคงต้องนอนหลายวัน ทว่าพวกท่านวางใจ ไม่เป็นอะไรหนักหนาแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ซุนเหลียงไฉถึงวางใจลง
ซุนซ่านเหรินถอนใจโล่งอก แล้วกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง “แม่นางเมิ่ง ขอบใจเจ้ามากจริงๆ หากไม่เพราะเจ้าสั่งสอนเขาจนเข็ดหลาบ เกรงว่าเรื่องการแต่งงานของเชี่ยนเอ๋อร์และคุณชายเมิ่งได้ถูกเขาก่อกวนจนพังพินาศเป็นแน่แท้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านเกรงใจแล้ว ที่วันนี้ข้าปฏิบัติกับคุณชายซุนเช่นนี้ ก็เพราะไม่มีทางเลือก ท่านอย่าถือสาข้าก็เป็นพอ”
ไม่ว่าซุนวั่งจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดเขาก็คือบุตรชายเพียงคนเดียวของตนเอง การเห็นเขาถูกแขวนใต้ต้นไม้กับตา ซุนซ่านเหรินก็ให้เจ็บแปลบในใจ ได้ยินว่าเขากลับบ้านไปแล้ว ก็นั่งไม่ติดอีก หลังจากตกลงหารือเรื่องทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย ก็พูดว่ายังมีธุระที่บ้าน ลุกขึ้นบอกลากลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความคิดอ่านของเขา ไม่ได้ดึงรั้งเขาไว้อีก ออกมาส่งเขาที่ด้านนอกประตูใหญ่พร้อมสองสามีภรรยาเมิ่ง
ซุนเหลียงไฉก็เป็นห่วงซุนวั่ง จึงตามขึ้นไปบนรถม้ากลับไปด้วย
เห็นพวกเขาไปไกลแล้ว เมิ่งชื่อถึงถอนใจเฮือกใหญ่ พูดว่า “โยวเอ๋อร์ วันนี้เจ้ากระทำเช่นนี้ แม้ซุนซ่านเหรินจะไม่พูดออกมา แต่ภายในใจจะต้องมีช่องว่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบนาง “ท่านแม่ ไม่หรอก ซุนซ่านเหรินเป็นคนฉลาดเฉลียว แบ่งแยกถูกผิดได้ชัดแจ้ง อย่างไรซุนวั่งก็เป็นบุตรชายเขา เขาก็เพียงปวดใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น มิได้มีความเห็นต่างต่อการกระทำของข้าหรอก”
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกเฮือกใหญ่ “ขอให้เป็นอย่างที่เจ้าพูดเถิด ไม่เช่นนั้นพอพี่ใหญ่เจ้าและแม่นางซุนแต่งงานกันแล้ว เกรงจะต้องตัดขาดกับญาติฝ่ายสะใภ้ไปเสียเปล่า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็เห็นด้วยกับคำกล่าวของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “โยวเอ๋อร์พูดถูกต้อง ซุนซ่านเหรินไม่คิดหยุมหยิมกับเรื่องนี้หรอก เจ้าเลิกกังวลใจไปเปล่าได้แล้ว รีบไปเตรียมสิ่งของสำหรับงานหมั้นเถอะ”
พอพูดถึงงานหมั้น เมิ่งชื่อก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ความกังวลเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น พูดอย่างยินดี “ใช่ๆๆ ข้าต้องไปเตรียมตัวให้ดีๆ ข้าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เดี๋ยวนี้ ให้พรุ่งนี้นางเข้าเมืองไปซื้อของกับข้าด้วย”
พูดจบ เดินจากไปอย่างกระฉับกระเฉง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองแผ่นหลังนางแล้วหัวเราะพูด “ท่านแม่นี่จริงๆ เลย พอเอ่ยถึงงานหมั้นของพี่ใหญ่ ก็มีชีวิตชีวาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันที”
เมิ่งเสียนยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าประดักประเดิด “น้องสาว พี่ใหญ่สร้างเรื่องยุ่งยากให้เจ้าอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกล้อกับเขา “ความยุ่งยากนี้ไม่หนักหนาอะไร ขอเพียงท่านแต่งงานกับแม่นางซุนแล้ว ไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ข้าอีกก็พอ”
เมิ่งเสียนหน้าแดงระเรื่อ
ต่อจากนั้นอีกสามวัน เมิ่งชื่อและสะใภ้เมิ่งต้าจินก็เอาแต่ตระเตรียมสิ่งของสำหรับหมั้นหมายมาตลอด นอกจากขนมชั้นดีและผ้าละเอียดเนื้อดีอีกหนึ่งเท่าตัวตามที่สะใภ้ใหญ่โจวบอก แม้แต่เครื่องประดับก็ซื้อครบชุด ยังมีเนื้อหมู หากไม่เพราะเมิ่งเอ้ออิ๋นห้ามปรามไว้ เมิ่งชื่อคงได้หาบหมูไปทั้งตัวแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้านาง “ท่านแม่รอคอยสะใภ้จนเสียสติไปแล้ว แทบอยากจะแต่งกลับมาเสียวันนี้พรุ่งนี้”
เดิมทีเป็นคำพูดหยอกเย้า ไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะคิดเป็นจริง ถึงกับพูดว่า “จริงด้วย ทำไมแม่ถึงคิดไม่ถึงนะ เอาไว้ตอนหมั้นจะให้แม่สื่อหลิวแอบกระซิบถามพวกเขา ดูว่าพอจะให้พี่ใหญ่และคุณหนูซุนแต่งงานกันเร็วขึ้นได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผาก แสร้งพูดอย่างขวัญผวา “ท่านพ่อ แย่แล้ว ท่านแม่ธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว”
ทั้งครอบครัวหัวเราะครื้นเครง
เมิ่งชื่อก็รู้สึกว่าตนเองใจร้อนไปบ้าง หัวเราะตามด้วยความเก้อเขิน
กระทั่งถึงวันหมั้นอย่างเป็นทางการ เมิ่งชื่อที่ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืนก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าแต่เช้าตรู่ หลังจากเร่งเร้าให้คนทั้งครอบครัวกินข้าว ก็บอกเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งฉีให้บรรจุสิ่งของสำหรับหมั้นหมายให้เรียบร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนข้างประตู พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านแม่ ตอนนี้ยังเช้าเกินไป บ้านคนอื่นยังไม่ได้กินข้าวกันเลย ท่านให้พวกเราบรรจุของหมั้นตอนนี้จะเร็วเกินไปหรือไม่”
เมิ่งชื่อตอบกลับ “ไม่เช้าแล้ว ไม่เช้าแล้ว รอให้บรรจุของเสร็จ พวกเราทำการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ ดูว่ามีอะไรตกหล่นหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างแหนงหน่าย “ท่านแม่ ท่านเอาแต่เฝ้าดูของหมั้นพวกนี้ทุกวัน ตอนนี้หลับตาก็ยังรู้ว่ามีอะไรบ้าง จะยังตกหล่นสิ่งใดได้อีก”
“ก็ตอนนี้แม่ตื่นเต้นนี่นา พอตื่นเต้นก็จะขาดตกบกพร่อง เจ้าอย่าเอาแต่ยืนพูด รีบมาช่วยแม่ดูของหมั้นพวกนี้ว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวจนใจ จำต้องเดินขึ้นหน้า กวาดตามองผ่านๆ แวบหนึ่ง พูดอย่างขอไปที “ถูกต้องแล้ว ไม่ขาดเลยสักชิ้น”
เมิ่งชื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ นับมานับไป ถึงวางใจลงได้
หลังจากบรรจุของทั้งหมดดีแล้ว เมิ่งชื่อก็ร้องเรียกเหวินเปียว “เจ้ารีบไปรับแม่สื่อหลิวมา พวกเรารีบไปแต่เนิ่นๆ ทางเข้าเมืองยาวไกล อย่าให้ล่าช้า”
เหวินเปียวขานรับคำ บังคับรถม้าไปรับแม่สื่อหลิว
เมิ่งชื่อรบเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าแต่งตัว ประเดี๋ยวแม่สื่อหลิวมาพวกเราจะได้ออกเดินทาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้อง เปลี่ยนชุดสีชมพูด แล้วประดับผมด้วยปิ่นผีเสื้อเงินที่เมิ่งฉีซื้อให้ ถึงเดินออกมา
เมิ่งชื่อไม่พอใจการแต่งตัวของนาง “ปิ่นผีเสื้อเงินดูไร้ราคาเกินไป ไปเปลี่ยนเป็นปิ่นผีเสื้อทองที่อี้เซวียนซื้อให้เจ้าด้ามนั้นดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันหมั้นหมายของพี่ใหญ่ ข้าประดับปิ่นปักผมทองจะเด่นสะดุดตาเกินไป”
“เจ้าจะไปรู้อะไร วันนี้พวกเรามิได้ไปเพื่อหมั้นหมายเท่านั้น ยังไปกู้หน้าคืนให้แม่นางซุนด้วย เราต้องทำให้คนในเมืองรู้ว่า แม่นางซุนได้ครอบครัวที่ดี ภายหน้าพวกเราจะต้องปฏิบัติดีต่อนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าเมิ่งชื่อพูดมีเหตุผล จึงเข้าไปเปลี่ยนปิ่นผีเสื้อทองมาประดับบนศีรษะแทน หลังจากเดินออกมา ยืนอยู่หน้าประตู พระอาทิตย์ที่เพิ่งจะพ้นขอบฟ้าสาดแสงกระทบศีรษะนาง เปล่งประกายระยิบระยับไปทั้งเรือนร่าง
เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนกำลังจะไปเรียนหนังสือ เห็นนางประดับปิ่นผีเสื้อทองที่ตนเองมอบให้ ดวงตาทาบทอแสง ยินดีปรีดา หยุดชะงักฝีเท้า จ้องมองนางเขม็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกมองจนเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวเอง จงใจพูดเอ็ดเขา “ยังจะยืนเซ่อทำอะไร ยังไม่รีบไปเรียนหนังสือ?”
เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มสุกสกาวเจิดจ้า หันหลังเดินจากไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นอุบอิบ “ตัวเสนียด มาไม้นี้อีกแล้ว”
เมิ่งชื่อได้ยินนางพูดเอ็ดอี้เซวียน รู้สึกไม่พอใจ “โยวเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าดีกับอี้เซวียนให้มากหน่อย อย่าเอาแต่ดุว่าเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลอกตาขาวขึ้นฟ้าอย่างระอาใจ
เหวินเปียวรับแม่สื่อหลิวเข้ามา สะใภ้เมิ่งต้าจินก็แต่งกายด้วยชุดใหม่เข้ามาพอดี หลังจากที่คนทั้งหมดขึ้นไปบนรถม้า เหวินเปียวและเหวินหู่ก็บังคับรถม้าคนละคันมุ่งหน้าเข้าเมือง
ซุนซ่านเหรินก็สั่งการบ่าวรับใช้ให้ปัดกวาดเช็ดถูทั่วทั้งเรือนจนสะอาดเอี่ยมแต่เช้าตรู่ จัดวางสิ่งของ รอคนสกุลเมิ่งเข้ามา
บนรถม้ามีของหมั้นหมาย เหวินหู่ไม่กล้าบังคับรถม้าเร็วเกินไป ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่งถึงมาถึงหน้าประตูบ้านซุนซ่านเหริน
บ่าวเฝ้าประตูเห็นรถม้าเข้ามา รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
หญิงชราและซุนซ่านเหรินรีบร้อนออกมา ซุนวั่งและภรรยาเดินตามติดมาอย่างไม่ยินดี
เมิ่งชื่อและคนทั้งหมดลงจากรถม้า หญิงชราเข้าไปต้อนรับอย่างชื่นบาน กล่าวว่า “พวกท่านมาแล้ว เดินทางเหนื่อยสินะ รีบเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
แม่สื่อหลิวเอ่ยปาก “อ๊ายโยว ฮูหยินชรา ธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเราชนบทคือต้องกางของหมั้นหมายก่อน จากนั้นถึงจะผ่านเข้าประตูได้”
หญิงชราย่อมเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ที่เชิญพวกเขาเข้าไปเป็นเพียงคำพูดตามมารยาท ได้ฟังก็เอื้อนเอ่ยด้วยความยินดี “ได้ๆๆ กางของหมั้นหมายก่อน”
สองวันก่อนซุนเชี่ยนขับไล่ขบวนขันหมากของบ้านหูต่อหน้าทุกคน คนในเมืองต่างส่ายหน้าเสียดาย คิดว่าต่อไปแม่นางสกุลซุนคนนี้คงไม่มีใครกล้ามาทาบทามสู่ขอแล้ว ไม่คิดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ก็มีคนปล่อยข่าวลือว่า คุณหนูสกุลซุนกำลังจะหมั้นหมายแล้ว ผู้คนต่างแตกตื่น คาดเดากันว่านางได้หมั้นหมายกับคนเช่นไร บางคนก็คาดเดาว่าชื่อเสียงซุนเชี่ยนย่อยยับไปแล้ว จะต้องแต่งกับพ่อหม้ายสูงวัย บางคนก็คาดเดาว่าต่อให้หาคู่ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็จะต้องเป็นคนที่มีโรคประจำตัว
ต่อมาได้ยินว่าเป็นคนชนบท การคาดเดาต่างๆ นานา ก็ยิ่งทวีความรุนแรง ดังนั้นแต่เช้าตรู่ ผู้ปรารถนาดีทั้งหลายจึงมาออกันอยู่หน้าประตูเรือนซุน มาดูว่าซุนเชี่ยนจะได้คนเช่นไรมาสู่ขอ
เมิ่งชื่อและคนทั้งหมดลงจากรถม้า กลุ่มคนเห็นชายหนุ่มรูปงามใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด แต่งกายเหมาะสมเรียบร้อยลงมาจากรถม้า ก็เริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบ กระทั่งแม่สื่อหลิวกางของหมั้นหมายออก ทุกคนต่างก็ถลึงตาโต เพ่งดูว่ามีของสิ่งใดบ้าง
เหวินเปียวและเหวินหู่จอดรถม้าดีแล้ว นำสิ่งของทั้งหมดบนรถม้าลงมา จัดวางเรียงไว้ทีละอย่างด้านนอกประตู
กลุ่มคนต่างตาลายกับสิ่งของที่ถูกนำลงมา เป็นผู้ชายดี แค่ผ้าละเอียดเนื้อดีก็แปดพับแล้ว จัดวางเรียงเป็นพับๆ ที่หน้าประตู ภายใต้แสงกระทบสาดส่องของดวงอาทิตย์ ระยิบระยับจนใครก็ลืมตาไม่ขึ้น
ยังมีขนมชั้นดีเหล่านั้น คนส่วนใหญ่อย่าว่าแต่กินเลย แค่เห็นก็ยังไม่เคยเห็น
เมิ่งชื่อมองกลุ่มคนด้วยความพึงพอใจ ส่งสัญญาณให้แม่สื่อหลิวเดินไปเปิดกล่องบรรจุเครื่องประดับออก
แม่สื่อหลิวเดินขึ้นหน้าไปเปิดกล่องเครื่องประดับออก เครื่องประดับครบชุดวางเปิดหลาต่อหน้ากลุ่มคนที่มามุงดู
กลุ่มคนส่งเสียงสูดลมหายใจเข้าปาก
แม่สื่อหลิวเปล่งเสียงดังพูด “เดิมทีพวกเราคิดจะสั่งทำเครื่องประดับชุดนี้เป็นพิเศษให้แม่นางซุน แต่เวลากระชั้นชิดเกินไป พวกเราทำได้เพียงซื้อเครื่องประดับชุดนี้มา”
กลุ่มคนยิ่งสูดลมหายใจแรงกว่าเดิม ต่างคาดเดาว่าซุนเชี่ยนได้คนเช่นไรมาสู่ขอกันแน่
หญิงชราและซุนซ่านเหรินเห็นบ้านเมิ่งให้เกียรติพวกเขามากเช่นนี้ ต่างดีใจจนยิ้มไม่หุบ
ซุนวั่งเห็นของหมั้นหมาย กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไร
เมื่อกางของหมั้นหมายเสร็จ ท่าทีของหญิงชรายิ่งทวีความสนิทสนมเป็นกันเอง นำเมิ่งชื่อและคนทั้งหมดเข้าไปในบ้านด้วยตัวเอง
ซุนซ่านเหรินกำชับบ่าวรับใช้ให้เก็บของหมั้นหมายเข้ามา
บรรดาบ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ หลายรอบ ถึงขนย้ายข้าวของทั้งหมดเข้ามาเสร็จ
ตอนที่ 186-2 วิชาการวางแผน
คนทั้งหมดเข้ามานั่งในบ้านเป็นที่เรียบร้อย แม่สื่อหลิวดันเมิ่งเสียนไปตรงหน้าหญิงชราและซุนซ่านเหริน พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “นี่ก็คือบุตรเขยที่ข้ามาพูดทาบทามให้คุณหนูซุน ประพฤติตัวดี รูปลักษณ์ก็ดี อีกทั้งยังมีความสามารถด้านการค้า ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นแล้วพึงพอใจหรือไม่?”
หญิงชราเพิ่งเคยเห็นเมิ่งเสียนครั้งแรก เห็นเขาสง่างามมีราศี กิริยามารยาทเรียบร้อย ก็ให้ยินดีในใจ พยักหน้าพูดด้วยอารามดีใจ “พอใจๆ”
แม่สื่อหลิวหันไปถามซุนวั่งและภรรยาอีกครั้ง “ท่านทั้งสองพึงพอใจหรือไม่?”
ซุนวั่งมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง ลนลานพูด “พอใจๆ”
ภรรยาซุนวั่งก็พูดว่าพอใจ
แม่สื่อหลิวตบมือ “เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ เช่นนั้นให้แม่นางซุนออกมาพบหน้าเสียหน่อยเถอะ”
หญิงชราสั่งการสาวใช้ “รีบไปเรียกคุณหนูซุนออกมา”
สาวใช้รับคำแล้วจากไป ไม่นาน ซุนเชี่ยนที่แต่งกายสะอาดหมดจดก็ตามสาวใช้เข้ามา เริ่มจากทำความเคารพพวกเมิ่งชื่อก่อน ถึงมายืนด้านหลังหญิงชราอย่างขวยเขิน
เมิ่งเสียนมองนางตาไม่กะพริบ
แม่สื่อหลิวมองดูทั้งหมดนี้ พูดหยอกเย้า “พวกท่านดูว่าที่บุตรเขยนี้ว่าพึงพอใจเพียงใด พอเห็นคุณหนูซุนก็ละสายตาไม่ได้อีกเลย”
เมิ่งเสียนเขินหน้าแดงเปล่ง
ซุนเชี่ยนก็เขินก้มหน้าก้มตา
เดิมทั้งสองฝ่ายก็พึงพอใจกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องต่อจากนั้นจึงราบรื่นมาก หลังจากที่ทุกคนกล่าวถ้อยคำพอเป็นพิธีแล้ว คนบ้านเมิ่งก็ลุกขึ้นกล่าวลา
ซุนซ่านเหรินและหญิงชราพาพวกเขาออกมาส่งนอกประตู เห็นรถม้าไปไกลแล้วถึงหันหลังกลับเข้าเรือน
หญิงชราเห็นบ้านเมิ่งประกาศศักดาในวันนี้ ก็พูดกับซุนซ่านเหรินอย่างปลื้มปริ่ม “บ้านเมิ่งดีต่อเชี่ยนเอ๋อร์เช่นนี้ ท่านและข้าถือว่าวางใจได้แล้ว”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า พูดว่า “บ้านเมิ่งรู้ว่าเชี่ยนเอ๋อร์ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ยังเข้ามาสู่ขอหมั้นหมายอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก”
พูดจบ พูดกับซุนวั่งเสียงเขียว “หากเจ้ายังกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย กล้าไปอาละวาดบ้านเมิ่ง ไม่ต้องให้แม่นางเมิ่งลงมือ ข้าจะจับเจ้าแขวนใต้ต้นไม้ให้ทนหิวเสียสองวันเอง”
ซุนวั่งตกใจคอหัวหด ไม่กล้าพูดอะไร
หญิงชราก็ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ได้ดั่งใจ หันหลังกลับเข้าห้อง
หลังงานหมั้นของเมิ่งเสียน เมิ่งชื่อขจัดโรคใจไปได้หนึ่งเปราะ จิตใจกระชุ่มกระชวยเป็นอย่างมาก แม้แต่ตอนทำอาหารให้คนงานก็เอาแต่ยิ้มแย้ม
พริบตาเดียวก็ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า เรือนของครอบครัวปลูกเกือบเสร็จแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อมองดูนอกจากตัวเรือนสี่ประสานหลักแล้ว ด้านข้างยังมีเรือนหลังเล็กๆ ขนาบข้างอีกหนึ่งแถบ ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกังขาว่ามีไว้ทำสิ่งใด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย “ที่เห็นทั้งแถบนั้นเป็นเรือนย่อย ภายหน้าการค้าของครอบครัวเราใหญ่โตขึ้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องซื้อคน ตอนนี้ปลูกเตรียมไว้ก่อน พอมีคนมากขึ้นจะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มอีก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อต่างก็เป็นคนบ้านนอกซื่อๆ แม้ครอบครัวจะมีเงินแล้ว แต่พอได้ยินว่าจะซื้อคน ก็รีบออกปากคัดค้าน “ไม่ได้ พ่อแม่ยังไม่แก่ไม่ต้องการใครมาปรนนิบัติ ไม่ว่าอย่างไรบ้านเราก็ห้ามซื้อคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ต่อให้ไม่ซื้อคน ครอบครัวของพวกเหวินเปียวยังมีพวกอู๋ต้าก็ควรจะย้ายเข้ามาอยู่ จะให้ไปอยู่บ้านอาสี่และบ้านยายหลี่ตลอดก็คงไม่ได้”
พอคิดถึงพวกเหวินเปียวเหวินหู่ เมิ่งชื่อก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงแค่บอกนางว่า “มีคนพวกนี้ก็พอแล้ว ต่อไปห้ามซื้อคนอีกเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาไม่ได้คัดค้านรุนแรง ก็แอบถอนใจโล่งอก พยักหน้ารับคำ “หากไม่มีสถานการณ์พิเศษ ข้าจะไม่ซื้อคนอีก”
ทางด้านโรงงานเพียงแค่สร้างเป็นโครงโรงอาคาร ดังนั้นงานจึงค่อนข้างเร็ว สร้างเสร็จแต่เนิ่นๆ แล้ว สำหรับเรือนส่วนที่เหลืออีกหลายหลังกลับล่าช้าลง
เมิ่งต้าจินไม่รู้จักภาพแปลน เพียงแค่คอยเฝ้าตรวจตราคนงานทำงานในแต่ละวัน กระทั่งสร้างมาได้ครึ่งทางถึงพบว่ามีเรือนหลังใหญ่ประกบหน้าหลังอีกหลายหลัง ให้รู้สึกกังขา เมิ่งเชี่ยนโยวจะปลูกเรือนมากเช่นนี้ไปทำอะไร แต่ก็ไม่ได้ถามมาก ยังคงตรวจตราคนงานทำงานอย่างขยันขันแข็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นบอกเมิ่งต้าจินแล้วว่าเรือนหลังนี้ปลูกให้พวกเขา เมิ่งเอ้ออิ๋นก็นึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบอกแล้ว ดังนั้นทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครเอ่ยกับเมิ่งต้าจิน
หลังจากที่อาจารย์โจวเข้ามาอาศัยในเรือนหลังใหม่ เมิ่งเหรินก็เอาแต่หงุดหงิดงุ่นง่าน เมิ่งอี้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา ซักถามเขาว่ามีเรื่องอะไรในใจหรือไม่
เมิ่งเหรินส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
ใบมันฝรั่งในแปลงดินเลื้อยคลุมไปทั่วทั้งคันดินแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขุดขึ้นมาต้นหนึ่ง เห็นมันฝรั่งใหม่งอกออกมาแล้ว ก็ให้ดีใจยกใหญ่
ฉั่งฉิกบนภูเขาก็เจริญเติบโตดีเกือบทั้งหมด นอกจากจะรับสมัครคนมารดน้ำเพิ่ม เมิ่งเชี่ยนโยวยังจ่ายเงินค่าแรงให้คนหมู่บ้านหลี่ตรงตามเวลา เห็นคนงานใช้แรงงานไม่ต้องไปไกลบ้าน หนึ่งเดือนยังหาได้ถึงหนึ่งตำลึงห้าเฉียน คนในหมู่บ้านอิจฉาตาร้อนผ่าว ต่างทยอยกันมาออหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน ให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยพูดแทนพวกเขาด้วย
คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่รอดพ้นจากปัญหาปากท้อง มีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องอดยากอีก ผู้ใหญ่บ้านปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก ยิ้มแย้มบอกชาวบ้านว่า คนที่ถูกเลือกไปทำงานบนภูเขาล้วนเป็นคนขยันตั้งใจ ทนกับความลำบากได้ หากพวกเขาก็อยากทำงาน จักต้องปรับเปลี่ยนนิสัยเกียจคร้านของตัวเองก่อน
หลังจากผู้ใหญ่บ้านกล่าวเช่นนี้ ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในหมู่บ้านหลี่ ในหมู่บ้านไม่เหลือคนเกียจคร้านให้เห็นอีก ชาวบ้านนอกจากไปทำงานในแปลงดินของตัวเอง ก็เข้าไปรับจ้างทำงานในเมือง
ผู้ใหญ่บ้านมองทั้งหมดไว้ในสายตา ยิ่งให้ซาบซึ้งใจต่อเมิ่งเชี่ยนโยวอีกหลายเท่าตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีนี้เลย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังวางแผนเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
นางต้องการร้องหาทักษะความสามารถมาให้เมิ่งอี้เซวียนไว้ติดตัวตั้งหลัก
หลังจากขบคิดอย่างถี่ถ้วน ฉวยโอกาสวันหยุดพักของเมิ่งอี้เซวียน มายังหน้าประตูบ้านท่านอาจารย์ พูดกับบ่าวเฝ้าประตูอย่างมีมารยาท “รบกวนท่านไปรายงานหน่อยเถิด บอกว่าข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านอาจารย์”
บ่าวรับใช้จำนางได้แล้ว รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
ท่านอาจารย์กำลังฝึกเขียนอักษร ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงาน วางพู่กันในมือลง ล้างมือจนสะอาด ถึงพูดกับบ่าวรับใช้ว่า “เชิญแม่นางไปที่ห้องรับแขกเถอะ”
บ่าวรับใช้รับคำ ย้อนกลับออกมา พูดกับนาง “นายท่านของพวกเราเชิญแม่นางเข้าไปขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามบ่าวรับใช้มาถึงเรือนท่านอาจารย์ หลังจากร้องบอกอีกครั้ง ถึงเดินเข้าไปในห้องรับแขก
ท่านอาจารย์กล่าวทักทายนางอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ “แม่นางมาแล้ว รีบนั่งก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกสุด
ท่านอาจารย์เอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าวันนี้แม่นางมาหาข้า ด้วยเรื่องอันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ้อมค้อมอีก พูดว่า “ข้ามาหาท่านอาจารย์วันนี้เพราะมีเรื่องจะขอให้ช่วย”
ท่านอาจารย์มองประเมินนางเล็กน้อย “แม่นาง พูดมาตามตรงเถอะ ขอเพียงข้าทำได้ จักต้องรับปากเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนอาการ พูดอย่างขึงขัง “ข้าต้องการขอร้องท่านอาจารย์สอนวิชาการวางแผนให้อี้เซวียน”
สิ้นเสียง ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
ครู่ใหญ่ ท่านอาจารย์ถึงเอ่ยปากถามขึ้น “แม่นาง เหตุใดถึงอยากให้อี้เซวียนเรียนวิชาการวางแผน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านเป็นตี้ซือมาหลายปีย่อมต้องรู้ว่า แผนอยู่ที่ใจ ผลอยู่ที่คน อี้เซวียนเป็นคนฉลาดเฉลียว เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก แต่อย่างไรเขาก็เติบโตในชนบท ยังคาดเดาอ่านใจคนไม่แตก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ภายหน้าเขาต้องเสียเปรียบ ข้าอยากให้ท่านสอนวิชาการวางแผนให้เขา ภายหน้าเมื่อเขาต้องเข้าไปอยู่ในราชสำนักจะได้ไม่เสียเปรียบ”
ตอนที่ 187-1 เสวนาอย่างลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์มองนาง ถามอย่างลึกซึ้ง “แม่นางอยากให้อี้เซวียนรับราชการเป็นขุนนาง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “นี่เป็นปณิธานของเขา ข้าทำได้เพียงช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ”
“แม่นางรู้หรือไม่ว่า หากเขาปรากฏตัวอยู่ในราชสำนัก จะก่อเกิดความปั่นป่วนโกลาหลอย่างไร ทั้งจะทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างไรขึ้นบ้าง?” ท่านอาจารย์ถามอย่างมีนัยแฝง
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือสิ่งที่เขาปรารถนา ข้าจะต้องทำให้ได้สมความปรารถนา”
ท่านอาจารย์เงียบขรึม พินิจมองอากัปกิริยาแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของนาง ครู่ใหญ่ถึงส่ายหน้า “อภัยที่ข้าไม่อาจรับปากคำขอของแม่นางได้ ดั่งเช่นที่แม่นางเคยกล่าวไว้ ข้าออกห่างจากราชสำนักมาแล้ว ข้าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเรื่องจริงๆ เท็จๆ ของที่นั่นอีก ข้าเพียงต้องการเป็นอาจารย์ให้อี้เซวียนสามปี แล้วกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านอย่างสงบ นับจากนี้ไปจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ขอใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงเทพเซียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ท่านอาจารย์ผิดแล้ว นับแต่วินาทีที่ท่านรับปากจะสอนสั่งอี้เซวียน ไม่สิ นับแต่วินาทีที่ท่านได้พบอี้เซวียน ท่านก็พัวพันเข้ามาอยู่ในเรื่องจริงเท็จนี้แล้ว ท่านลองคิดดู หากมีวันหนึ่งอี้เซวียนปรากฏกายขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คน ก็จะต้องมีคนสืบหาอดีตยิบย่อยของเขาอย่างละเอียดยิบ เรื่องที่ท่านมาเป็นท่านอาจารย์ให้เขาก็จะต้องมีคนรับรู้ ถึงตอนนั้น ท่านยังจะใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างสงบอีกหรือ?”
ท่านอาจารย์ตกตะลึง แล้วพูดว่า “ก็แล้วอย่างไร ข้าก็เพียงตอบแทนบุญคุณท่านแม่ทัพฉู่ ถึงสอนสั่งเขา หาได้กระทำสิ่งอื่นไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ท่านเพิ่งจะออกจากวังหลวง ก็ตรงมาที่นี่ ท่านคิดว่าจะมีคนเชื่อว่าท่านมาเพื่อสอนหนังสือเขาเพียงเท่านั้น?”
ท่านอาจารย์เริ่มโมโห “แม่นางกำลังข่มขู่ข้าหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านอาจารย์อยู่ในราชสำนักมานาน น่าจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางโลกดีกว่าข้า ดั่งคำกล่าวที่ว่าบุคคลในสถานการณ์นั้นจะมองไม่เห็นรอบด้าน ข้าเพียงแยกแยะข้อดีข้อเสียให้ท่านอาจารย์ก็เท่านั้น”
ท่านอาจารย์ถามอย่างเย็นเยียบ “แม่นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นนี้ ไม่กลัวข้าแพร่งพรายเรื่องชาติกำเนิดของอี้เซวียนหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มมีท่าทีขึงขังดุดัน “ชาติกำเนิดของอี้เซวียน สักวันจะต้องถูกเปิดเผย หากท่านอาจารย์ไม่พูด พวกเรายังจะได้อยู่อย่างสงบอีกหลายปี หากท่านพูดออกมา อี้เซวียนก็เพียงต้องกลับไปเร็วขึ้น ข้ามิได้สูญเสียอันใด ไม่แน่ว่าครอบครัวพวกเราจะยังได้รับปูนบำเหน็จอีกเล่า แต่กับท่านก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางทีท่านอาจจะต้องกลับไปราชสำนัก หรืออาจจะถูกคนสะกดรอยตามทุกฝีก้าว ชีวิตอย่างสงบสุขคงไม่ได้มีอีก”
ท่านอาจารย์แค่นเสียงหึ “แม่นางคิดอ่านแยบยลนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าคงไม่มาขอร้องให้ข้าสอนวิชาการวางแผนให้เขาหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ “ท่านอาจารย์คงยังไม่รู้ บิดาข้าเป็นคนเก็บอี้เซวียนกลับมา เพราะโชคชะตาเล่นตลก บังเอิญช่วยเหลือชีวิตข้าเอาไว้ บิดามารดาข้าซาบซึ้งใจ จึงหมั้นหมายพวกเราเอาไว้ แต่ตอนนี้สถานะของพวกเราแตกต่างกันมาก วันที่ชาติกำเนิดของเขาปรากฎ ก็คือเวลายกเลิกการแต่งงานของพวกเรา ที่ข้าให้ท่านอาจารย์สอนวิชาการวางแผนให้เขา เพราะไม่อยากให้หลังจากที่เขากลับคืนสู่ฐานันดรศักดิ์แล้ว ต้องถูกคนลอบวางแผนเพียงฝ่ายเดียว บิดามารดาข้าฟูมฟักเลี้ยงดูเขามา พวกเราพี่น้องก็รักใคร่กันมาก หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเขา หัวใจของพวกเราก็คงไม่อาจะเป็นสุขไปได้”
ท่านอาจารย์ไม่เชื่อ “แม่นางคิดเช่นนี้จริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าขอสาบานต่อฟ้า แต่ละคำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ข้าเกิดในชนบท โตในชนบท เกี่ยวกับเรื่องราวจริงเท็จในเมืองหลวง ข้าไม่เคยสนใจ และไม่อยากข้องเกี่ยว ข้าเพียงต้องการอยู่ดูแลท่านพ่อท่านแม่และคนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขอเพียงเขาสุขสบายดี พวกเราก็จะสบายใจไปด้วย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเขา เกรงว่าพวกเราก็คงไม่อาจเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนได้ ดังนั้นขอร้องท่านอาจารย์สอนวิชาการวางแผนให้เขา ไม่เพียงเพื่อภายหน้าเขาจะได้มีชีวิตที่สงบสุข ยังได้สร้างความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งให้กับพวกเราด้วย”
ท่านอาจารย์แค่นเสียงหึอีกครั้ง “พูดมาพูดไป แม่นางก็ยังคงทำเพื่อตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านอาจารย์อย่าได้คิดเช่นนี้ ข้าก็ไม่ขอโต้แย้ง สรุปคือตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากต้องการให้คลื่นลมสงบ ก็จักต้องเตรียมการเอาไว้ก่อน”
ท่านอาจารย์มองประเมินนางอย่างละเอียดอีกครั้ง พูดว่า “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าแม่นางจะมีความคิดที่แยบยลเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหน้า “ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว ข้าไฉนเลยจะมีความคิดแยบยล เพียงแค่เตรียมการไว้ล่วงหน้า กันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้น”
ท่านอาจารย์ไม่ได้พูดอะไร นั่งลงขบคิดบนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รบกวนเขา นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างๆ
ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป คล้ายว่าท่านอาจารย์จะตัดสินใจได้แล้ว ถามขึ้น “หากข้าสอนวิชาการวางแผน เมื่อชาติกำเนิดของอี้เซวียนปรากฏ แม่นางพอจะรับปากคำขอร้องสักข้อจากข้าได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก ยิ้มพูด “เป็นครูหนึ่งวัน ดั่งบิดาชั่วชีวิต ท่านมีคำขออะไร ขอให้กล่าวมาเถิด อี้เซวียนเป็นคนจิตใจดี จะต้องยอมรับปากท่าน”
ท่านอาจารย์พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้ารับปากจะสอนวิชาการวางแผนให้เขา ทว่าข้ามีเงื่อนไข”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “ข้าทราบ ท่านเพียงสอนเขาว่าต้องคิดอ่านวางแผนอย่างไรก็พอ สำหรับเรื่องอื่นคิดว่าเขาก็คงไม่ได้ใช้”
ท่านอาจารย์ก็ให้โล่งอก “ได้ นับแต่พรุ่งนี้ไปข้าจะสอนวิชาการวางแผนให้เขา ทว่าเวลาเรียนจำกัด ระเบียบการพักเรียนสองวันคงต้องยกเลิกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “สองวันนี้จักต้องให้พัก นอกจากเรียนกลอนกวี การวางแผนแล้ว ข้ายังอยากให้เขาเป็นพ่อค้าที่โดดเด่น ภายหน้าแม้นเขาได้กลับคืนสู่ฐานันดรศักดิ์ ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดเหตุการณ์พลิกผัน มีการค้าไว้ติดตัว ย่อมจะต้องดีกว่า”
ท่านอาจารย์กล่าวชื่นชม “แม่นางคิดการณ์ให้อี้เซวียนมากมายนัก เรียกได้ว่าเจ้าได้ปูเส้นทางในอนาคตไว้ให้เขาเป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าเขาเดินไปทางไหน ก็จะราบรื่นไร้อุปสรรค”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านอาจารย์กล่าวผิดแล้ว ไม่เพียงอี้เซวียน ทั้งพี่ชาย น้องชายของข้า ข้าก็คิดการณ์ไว้ให้พวกเขาหมดแล้ว”
ท่านอาจารย์กล่าวชื่นชมอีกครั้ง “ครอบครัวชาวนาเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง มีหญิงสาวอัศจรรย์เยี่ยงเจ้ามาเกิดได้ ไม่รู้ว่าต้องสะสมบุญบารมีมากี่ภพชาติ”
เห็นท่านอาจารย์ยอมรับปากคำขอร้องของตนเองแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็กล่าวลาจากไป ท่านอาจารย์มองดูแผ่นหลังนางจากไปไกล ทอดถอนใจฟ้าดินช่างเล่นตลกนัก คิดว่าหากผู้หญิงเช่นนี้เติบโตอยู่ในเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตที่รุ่งโรจน์เพียงใด จากนั้นก็กล่าวเตือนคนในครอบครัวตัวเอง ต่อไปเมื่อพบเมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องเคารพเกรงใจ อ่อนน้อมมีมารยาท ไม่ว่าใครก็ห้ามล่วงเกินนางเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน
วันถัดมา ท่านอาจารย์บอกเมิ่งอี้เซวียนนับจากนี้ไปตอนเช้าเรียนหนังสือ ตอนบ่ายเรียนวิชาการวางแผน
เมิ่งอี้เซวียนมุ่งมั่นแต่จะเดินตามเส้นทางขุนนาง ย่อมรู้ว่าวิชาการวางแผนสำคัญต่อตนเองเป็นที่สุด ได้ฟังท่านอาจารย์พูดจบก็ให้ยินดีปรีดา รีบกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท
ท่านอาจารย์ไม่ได้บอกว่านี่เป็นคำขอร้องของเมิ่งเชี่ยนโยว เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “เจ้าต้องจำไว้ให้ดี วิชาการวางแผน มิได้นำมาวางแผนหาประโยชน์ แต่มีไว้เพื่อวางแผนรับมือต่อจิตใจคน ไม่ว่าภายหน้าเจ้าจะอยู่ในตำแหน่งใด ก็ห้ามสูญเสียความเป็นคน และต้องระวังอย่าให้ใครมาคิดวางแผนต่อเจ้าได้”
อี้เซวียนพยักหน้าเหมือนเข้าใจเหมือนไม่เข้าใจ
ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน อาคารเรือนสร้างเสร็จหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวทำเหมือนครั้งก่อน จ่ายเงินค่าแรงให้ทุกคนในวันเดียวกันนั้นเลย ช่างใหญ่ช่างเล็กที่โหย่วเหรินพามาต่างพากันปิติยินดี
โหย่วเหรินก็ดีใจพูดอย่างเกรงใจ “แม่นางเมิ่ง ต่อไปบ้านพวกท่านปลูกเรือนอีกก็ให้คนมาส่งข่าวบอกข้า ข้ารับประกันจะสร้างให้สวยสดงดงามทีเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านอาโหย่วเหริน ข้ามีเรือนมากพอแล้ว ข้าคงไม่เชิญท่านมาอีกแล้ว”
โหย่วเหรินลูบหัวแก้เก้อ หัวเราะแหะๆ
คนที่มาทำงานจากหมู่บ้านข้างๆ ก็ดีใจลิงโลด เดิมทีบอกเพียงว่าให้มาทำความสะอาดที่ดิน ไม่คิดว่าทำความสะอาดที่ดินเสร็จแล้ว ยังได้ปลูกเรือนต่อด้วย ไม่เพียงได้กินผัดผักรวมที่มีเนื้อ แต่ละคนยังหาเงินได้หนึ่งตำลึงกว่า นี่เป็นเรื่องดีที่จุดโคมไฟก็ยังหาไม่เจอ
คนในหมู่บ้านมองดูเรือนหลังใหญ่ซ้อนเป็นแถว แม้จะริษยาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำอะไร ต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
คนบ้านเมิ่งไม่มีใครได้ยินเสียงวิพากษ์เหล่านี้ ยังคงทำงานในมือตนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น