อัจฉริยะสมองเพชร 1842-1845

 ตอนที่ 1842 อำมาตย์เฉินชิง

อำมาตย์เฉินชิงมักวางตัวเป็นกลาง ไม่ยอมเข้าข้างใคร แต่คราวนี้เขาเลือกร่วมมือกับอำมาตย์เฉินหลิงเพื่อลอบสังหารอำมาตย์เฉินหย่ง สิ่งนี้ฝังรากลึกอยู่ในใจของอำมาตย์เฉินหย่งตลอดมา


ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิงก่อนแล้วค่อยเผชิญหน้ากับอำมาตย์เฉินชิง แต่การพลิกผันอย่างปุบปับของเหตุการณ์ทำให้แผนการเดิมของเขาไม่เป็นผล ใครจะไปคิดว่าอำมาตย์เฉินชิงจะปรากฏตัวตอนที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว?


ขณะที่ทุกคนจับตามองอำมาตย์เฉินชิงอย่างหวาดระแวงเพราะเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง อำมาตย์เฉินชิงก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอย่างปุบปับและร่ำร้อง “ผมมาชดใช้ความผิดของผม, อำมาตย์เฉินหย่ง นี่คือร่างกายท่อนล่างของอำมาตย์ไอ้โหด ผมเก็บมันไว้เพื่อแทนคำขอโทษสำหรับความโง่เขลาของผมที่ผ่านมา!”


ด้วยการสะบัดข้อมือ กระดูกท่อนขา 2 ข้างก็ปรากฏตรงหน้าอำมาตย์เฉินชิง แผ่รังสีที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งออกมา


มันคือขาและเท้าทั้งสองข้างของไอ้โหด


ไม่น่าเชื่อเลยว่าอำมาตย์เฉินชิงครอบครองสิ่งนี้มาตลอด


“ปกป้องตัวเองทันทีที่รู้สึกว่าอะไรๆไม่เป็นอย่างที่คิดงั้นหรือ? ง่ายดีนะ!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามลั่น


เขามีอารมณ์ร้อนอยู่เสมอ และทนไม่ไหวกับใครก็ตามที่ไร้ศักดิ์ศรีจนสามารถแปรพักตร์สลับไปมาได้เพื่อไปหาใครก็ตามที่มีอำนาจมากกว่า


แม้จะเห็นท่าทีเหยียดหยามของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง แต่อำมาตย์เฉินชิงก็ยังคงก้มศีรษะขณะพูดต่อ “ผมเต็มใจยอมรับการลงโทษใดๆก็ตามที่คุณจะลงโทษผม, อำมาตย์เฉินหย่ง!”


แม้เขาจะยังคงบาดเจ็บสาหัสจากการที่อำมาตย์เฉินหย่งโจมตีเขาที่วิหารแห่งขงจื๊อ แต่การสูญเสีย อำมาตย์เฉินหลิงซึ่งเป็นพันธมิตรไปก็ถือเป็นเรื่องใหญ่


อีกอย่าง อำมาตย์เฉินชิงรู้ดีว่าตัวเขาคือเป้าหมายต่อไปของอำมาตย์เฉินหย่ง ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งตายไปเดี๋ยวนี้ ทั้งผู้สืบทอดและพันธมิตรของอีกฝ่ายก็จะต้องตามล่าตัวเขาเพื่อล้างแค้น


“เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวง แต่คุณก็หลบลี้หนีหน้า คุณรอให้การสู้รบจบสิ้นก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าควรมาภักดีกับใคร ใช่ไหม?” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตด้วยน้ำเสียงดูถูก


การสู้รบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงสั่นสะเทือน ในฐานะหนึ่งในสามอำมาตย์ ไม่มีทางที่อำมาตย์เฉินชิงจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น


แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ปรากฏตัวจนกระทั่งทุกอย่างจบสิ้นลง, เมื่ออำมาตย์เฉินหลิงตายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจปรากฏตัวเมื่อทุกอย่างสิ้นสุด


ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงคือผู้ที่มีชีวิตรอด ก็เป็นไปได้ว่าอำมาตย์เฉินชิงคงจะวิ่งโร่เข้าไปสวามิภักดิ์พร้อมกับสมบัติล้ำค่าเพื่อวิงวอนร้องขอความเมตตา


“ผมคือผู้ที่อ่อนแอที่สุดเสมอมาในบรรดาสามอำมาตย์ นี่เป็นวิธีเดียวที่ผมและเชื้อสายของตระกูลของผมจะเอาตัวรอด” อำมาตย์เฉินชิงตอบขณะยังก้มหน้า


อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหัว เขาหันไปถามหลิวหยาง “คุณคิดว่าควรจัดการกับเขาอย่างไร?”


คำถามนี้คือบททดสอบเพื่อประเมินความสามารถของผู้สืบทอดของเขา


“อำมาตย์เฉินชิงรวมหัวกับอำมาตย์เฉินหลิงเพื่อลอบสังหารคุณ, ฝ่าบาท นั่นคือการฝ่าฝืนกฎ อย่างรุนแรงที่ส่งผลต่อสันติภาพในหมู่เผ่าพันธุ์จิตวิญญาณของพวกเรา ต่อให้ฝ่าบาทอยากยกโทษให้เขา แต่ข้อเท็จจริงก็คือเขาได้นำพาทั้งเผ่าพันธุ์ของเราไปสู่ความเสี่ยง จึงสมควรถูกลงโทษ เราไม่อาจปล่อยให้เรื่องแบบนี้ผ่านไปโดยง่าย” หลิวหยางส่ายหน้า “ไม่อย่างนั้น เรื่องนี้จะลดทอนความชอบธรรมของกฎเกณฑ์ของเราและทำให้คนอื่นๆเหิมเกริมทำอะไรตามอำเภอใจ ผมคิดว่าเราควรสังหารเขาเหมือนกับอำมาตย์เฉินหลิง!”


กฎเกณฑ์เป็นเพียงถ้อยคำ แต่สิ่งที่ให้อำนาจและความชอบธรรมแก่กฎเกณฑ์ก็คือการลงมือทำตามกฎนั้น


ทุกครั้งที่เกิดเรื่องซึ่งไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ความชอบธรรมก็จะลดลง หากไม่มีกฎเกณฑ์เพื่อรักษาคนส่วนใหญ่เอาไว้ อำมาตย์จะสร้างความเป็นผู้นำเหนือเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณทั้งเผ่าได้อย่างไร?


จะต้องมีเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มหนึ่งที่พยายามตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของกฎเกณฑ์ของทั้งสามอำมาตย์


นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะพลิกผันไปเป็นแบบนี้ทั้งที่เขายื่นข้อเสนอจะมอบร่างกายท่อนล่างของไอ้โหดให้แล้ว อำมาตย์เฉินชิงหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น “อำมาตย์เฉินหย่ง ผมขอวิงวอนให้คุณไว้ชีวิตผมด้วย ผมถูกอำมาตย์เฉินหลิงหลอกลวง…”


“ในฐานะนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดและหนึ่งในสามอำมาตย์ คุณคิดว่าผมจะเชื่อจริงๆหรือว่าคุณถูกคนอื่นหลอกลวง?” หลิวหยางคำราม “คุณคิดว่าทั้งโลกจะยอมรับเหตุผลแบบนี้หรือ?”


ในฐานะหนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่ อำมาตย์เฉินชิงจะหวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่นๆง่ายๆได้อย่างไร?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ระยะเวลาเนิ่นนานหลายปีที่เขาใช้ไปกับการฝึกฝนวรยุทธก็ย่อมสูญเปล่า


ในท้ายที่สุด ทุกอย่างที่อำมาตย์เฉินหลิงพูดมาก็เป็นแค่คำแก้ตัว


เหตุการณ์นั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร อำมาตย์เฉินหลิงชักชวนเขาให้ร่วมโจมตีอำมาตย์เฉินหย่ง และเขาก็ถูกดึงดูดจากผลประโยชน์มากมายมหาศาลที่จะได้รับหากปฏิบัติการนี้สำเร็จ เพราะถ้าอำมาตย์เฉินหย่งตาย เขาก็จะได้กุมอำนาจและครอบครองทรัพยากรในส่วนที่เคยเป็นของอำมาตย์เฉินหย่ง


เพียงแต่เขาเลือกผิดข้างและพ่ายแพ้ จึงส่งผลให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้


“ผมจะทำตามเจตจำนงของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่” อำมาตย์เฉินหย่งพูดขณะถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีใจกับความจริงที่ว่าผู้สืบทอดของเขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจโลเล


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากังวลใจเสมอเรื่องความขัดแย้งที่มีต่ออำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิง จึงพยายามรับมือกับทั้งคู่ด้วยสันติ แม้จะรับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายที่อีกฝ่ายมีต่อเขา ซึ่งถ้าเขาจัดการทั้งคู่อย่างเด็ดขาดกว่านี้ ก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก


การได้รู้ว่าผู้สืบทอดของเขาจะไม่เจริญรอยตามทำให้เขารู้สึกสบายใจมาก


หลิวหยางพยักหน้าและหันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงและนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง “ผมขอรบกวนให้คุณทั้งสองจัดการแทนผมได้ไหม แล้วในอนาคตผมจะตอบแทนคุณ!”


ฟึ่บ!


ได้ฟังคำพิพากษาโทษ อำมาตย์เฉินชิงหันหลังกลับแล้วเผ่นหนี


แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล ลูกไฟขนาดมหึมาก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ ขวางทางเขาไว้ และ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็เข้าสกัดกั้นด้านหลัง


ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสังหารอำมาตย์เฉินชิง


อำมาตย์เฉินชิงคือผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่สามอำมาตย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับที่วิหารแห่งขงจื๊อ จึงไม่มีทางที่จะรับมือกับการผนึกกำลังกันของสองนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้


“นายน้อย…” เห็นปัญหาเรื่องอำมาตย์เฉินชิงจบสิ้นไป อำมาตย์เฉินหย่งหันไปพูดกับจางเซวียน “ผมจะให้หยางหลิวนำพาคนของเราเข้าสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผมขอวิงวอนให้คุณเมตตาเผ่าพันธุ์ของเราด้วย…”


อันที่จริง สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่ใช่เรื่องสองอำมาตย์ แต่เป็นเรื่องของจางเซวียน


ด้วยอัตราการพัฒนาวรยุทธของจางเวียน เขาน่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ขงอีกคนหนึ่ง และเมื่อถึงตอนนั้น เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณคงไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงต่อเขา


ถ้าจางเซวียนปรารถนา เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณก็อาจหายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์


บางที จางเซวียนอาจยังละเว้นเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณไว้ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่เมื่อเขาเสียชีวิตไป ก็คงไม่มีอะไรยับยั้งจางเซวียนจากการเล่นงานเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้


อีกอย่าง ผู้สืบทอดที่เขาเลือกไว้ก็ดูจะอ่อนแอเกินไป ถ้าจางเซวียนคิดร้าย ทุกอย่างก็จะจบสิ้น


ดังนั้น ตราบใดที่จางเซวียนยังอยู่ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณก็จะต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไว้


ความจริงที่ว่าชะตากรรมของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณทั้งเผ่าถูกบงการโดยความปรารถนาของชายเพียงคนเดียวทำให้อำมาตย์เฉินหย่งรู้สึกเสียศักดิ์ศรีและจนปัญญาอย่างล้ำลึก แต่นั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ต่อให้เขาจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับ


“วางใจเถอะ ผมไม่คิดจะเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจหรอก ตราบใดที่คนของคุณทำตัวให้เหมาะสม” จางเซวียนพูด


พูดกันตามตรง จางเซวียนบรรลุเป้าหมายของเขาในการขจัดภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว


ด้วยการถ่ายทอดวรยุทธของเขา การทดสอบสายฟ้าน้อยจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงสำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ทำนายได้เลยว่าผู้ที่จะก้าวขึ้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ในอนาคตจะมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ และไม่ช้าไม่นาน พวกเขาก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกต่อไป


แถมอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็เป็นลูกศิษย์ของเขาเอง ด้วยสิ่งนี้ เขาจะกุมอำนาจทางการเมืองของเผ่าพันธุ์ปีศาจและเล่นงานกลุ่มก๊วนใดๆก็ตามที่มีเจตนาร้ายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างง่ายดาย


ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ใช่ภัยคุกคามแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรเกินเลย ในทางกลับกัน การมีอยู่ของพวกมันจะช่วยป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์หลงระเริงเกินไป ทำให้แน่ใจได้ว่ามนุษย์จะประสบความเจริญรุ่งเรือง


“ขอบคุณนายน้อย!” รู้ดีว่าจางเซวียนจะรักษาสัญญา อำมาตย์เฉินหย่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันไปพูดกับผู้สืบทอด “รีบขอบคุณในความเมตตาของนายน้อยเสียสิ!”


หลิวยางรีบทรุดตัวลงคุกเข่า “ขอบคุณ, ปรมาจารย์จาง!”


“พอเถอะ ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นกับผมหรอก ผมพูดอะไรไปแล้วย่อมไม่คืนคำแน่ ตอนนี้บอกผมทีว่าผมจะติดต่อลั่วชิงได้อย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เมื่อในที่สุดเรื่องราวที่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้รับการคลี่คลาย ก็ถึงเวลาที่เขาจะจัดการธุระส่วนตัวเสียที


“ถ้าคุณอยากติดต่อกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ คุณจะต้องติดตั้งแท่นบูชาที่ภูเขาพันใบ” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย


“ภูเขาพันใบ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาเคยได้ยินชื่อภูเขานั้นเมื่อตอนที่เข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจครั้งแรก มันเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในบริเวณนี้ สูงเสียดฟ้าขึ้นไปหลายหมื่นเมตร


“ใช่ ภูเขานี้ใกล้ชิดกับสวรรค์มากที่สุด การจัดพิธีกรรมที่นั่นจะทำให้เข้าถึงเทพเจ้าได้ง่ายขึ้น” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย “หยางหลิว ผมถ่ายทอดวิธีการประกอบพิธีกรรมให้คุณแล้ว พานายน้อย กับผมไปที่นั่น ผมจะคอยดูแลพิธีกรรมให้”


“ได้!” หลิวหยางพยักหน้า เขาหันไปสั่งการกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานที่ยืนอยู่ใกล้ๆก่อนจะพยุงอำมาตย์เฉินหย่งขึ้น จากนั้นก็หันไปพูดกับจางเซวียนอย่างนอบน้อม “เชิญทางนี้”


“อือ”


จากนั้น ทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางภายใต้การนำของหลิวหยาง


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามไป


ตอนที่ 1843 พบเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง?

ภูเขาพันใบมีหน้าผาสูงชันมากมายที่พุ่งตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูเหมือนหอกที่ปักอยู่กับพื้น


“มีตำนานร่ำลือว่าครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยสู้กับเทพเจ้าที่สันเขาแห่งนี้ ซึ่งสิ่งนี้ก็เกิดจากการที่อีกฝ่ายขว้างอาวุธลงมา” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเปรยขณะบินผ่านสันเขา


จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงกับภูมิประเทศอันแปลกประหลาด


ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็มาถึงยอดเขาที่สูงที่สุด มีที่ราบซึ่งมีขนาดราว 30 หมู่อยู่บริเวณยอดเขา และที่ใจกลางที่ราบนั้นมีแท่นหินรูปกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 3 เมตร เมื่อมองจากระยะไกล มันดูเหมือนแท่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ


“นี่คือสถานที่ที่เราสามารถติดต่อกับสวรรค์ได้หรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าอย่างอ่อนแรง


“เราต้องใช้ของล้ำค่าหรืออะไรทำนองนั้นเพื่อเริ่มพิธีกรรมไหม? ผมจะได้เตรียมเสียตั้งแต่ตอนนี้” จางเซวียนพูด


แท่นบูชาของอำมาตย์เฉินหลิงรายล้อมไปด้วยสมุนไพร สินแร่ และโลหะหายากมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้น ยังต้องใช้เลือดของนักรบกว่าแสนคนเป็นบรรณาการด้วยกว่าจะเปิดปราการของมิติเพื่อเรียกเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนมาได้ ดูเหมือนการที่เขาจะติดต่อกับหลัวลั่วชิงคงเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก


“ไม่ต้องหรอก สิ่งที่จำเป็นสำหรับพิธีกรรมถูกจัดเตรียมไว้แล้ว” อำมาตย์เฉินหย่งพูดขณะหันไปมองหลิวหยาง


หลิวหยางพยักหน้าตอบรับทีท่าของอำมาตย์เฉินหย่ง เขาเดินไปยังแท่นบูชาและรอคอยอย่างอดทน ไม่ช้านักรบขั้นชั่วกัลปาวสานที่เขาได้มอบหมายภารกิจไว้ก่อนหน้านี้ก็มาถึงพร้อมกับแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งในมือ


หลิวหยางรับแหวนเก็บสมบัติมาแล้วสะบัดข้อมือ ธงสีทองจำนวนมากปรากฏขึ้นกลางอากาศ พวกมันหาที่ทางของตัวเองรอบแท่นหินอย่างรวดเร็ว


“เริ่มพิธีกรรมกันเถอะ” หลิวหยางหันกลับมา


นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานพยักหน้าก่อนจะจากไป


คราวนี้ ทั้งกลุ่มรออยู่อีกราว 2 ชั่วโมงก่อนที่จะจางเซวียนจะรู้สึกถึงการกระตุกในหัวใจ เขารีบเงยหน้าขึ้น และเห็นลำแสงมากมายนับไม่ถ้วนแผ่มาจากทุกทิศทาง ลำแสงนั้นดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าสู่แท่นบูชา


“พวกมันมาจากวิหารแห่งการกำเนิดทั้งแปด ผู้คนหลายหมื่นกำลังสวดอ้อนวอนสวรรค์พร้อมๆกัน อำนาจแห่งศรัทธาของพวกเขาหลอมรวมกันกลายเป็นพละกำลังไร้เทียมทาน” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งข้อสังเกต


“วิหารแห่งการกำเนิด?”


“มันคือวิหารที่เผ่าพันธุ์ปีศาจใช้เป็นสถานที่สักการะบรรพบุรุษ เมื่อไรก็ตามที่พิธีกรรมถูกจัดขึ้น จะมีนักบวชคอยดูแลพิธีกรรมเพื่อรวบรวมศรัทธาของเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายหมื่นตัวเข้าด้วยกัน และดำเนินพิธีกรรมจนสำเร็จ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบาย “มีแต่อำมาตย์เฉินหย่งเท่านั้นที่มีอำนาจรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายหมื่นตัวให้มาสวดอ้อนวอนพร้อมกันที่วิหารแห่งการกำเนิดทั้งแปดได้ แม้แต่อีกสองอำมาตย์ก็ทำไม่ได้อย่างเขา”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ครั้งหนึ่งอำมาตย์เฉินหย่งเคยบอกเขาว่า พวกเขาต้องสังหารอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงเสียก่อน และเรียกคืนการสนับสนุนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดให้ได้เพื่อให้ประกอบพิธีกรรมได้สำเร็จ ซึ่งเท่าที่เห็น ก็น่าจะเป็นแบบนั้น


พิธีกรรมขนาดใหญ่ระดับนี้คงไม่ใช่สิ่งที่จะดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์ได้หากปราศจากการสนับสนุนของมหาชน


ดูเหมือนหลิวหยางจะได้สั่งการนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานให้จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า


ขณะที่ลำแสงทั้ง 8 ลำพุ่งตรงเข้าสู่ธงค่ายกล แท่นหินบูชาก็ถูกโอบล้อมด้วยสีสันอบอุ่น หลังจากที่รวบรวมลำแสงมากมายเอาไว้แล้ว พวกมันก็ถูกสะท้อนกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับกระจกเงา


“ในที่สุดก็ถึงตาของผมเสียที” อำมาตย์เฉินหย่งพึมพำพร้อมกับยิ้มน้อยๆขณะเดินโซเซไปยังใจกลางแท่นบูชา จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ


หลิวหยางนัยน์ตาแดงก่ำเมื่อเห็นภาพนั้น เขาก้มหน้าลงขณะกำมือที่สั่นสะท้านจนแน่น


“ผม, หวู่เฉิน, ยินดีมอบชีวิตของผมเป็นบรรณาการต่อสวรรค์ เพื่อขอให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมาเยือน…”


บึ้มมม!


ขณะที่เสียงของเขาดังก้อง ลูกไฟก็ดูเหมือนจะระเบิดออกภายในร่างของอำมาตย์เฉินหย่ง มันแผดเผาอย่างเกรี้ยวกราด กลืนกินร่างของอำมาตย์เฉินหย่งในชั่วพริบตา


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


เขาเคยคิดว่าพิธีกรรมคงต้องใช้แค่ทรัพย์สมบัติล้ำค่าหรืออะไรทำนองนั้น ไม่รู้เลยว่าอำมาตย์เฉินหย่งจะต้องพลีชีพด้วย


ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งจะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปไม่พ้นคืนนี้ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายต้องสละชีวิตของตัวเองเพื่อประโยชน์ของเขา


จางเซวียนรี่เข้าไปและใช้พลังปราณเทียบฟ้าคลุมร่างของอำมาตย์เฉินหย่งไว้ เขาตะโกนก้อง “หยุดพิธีกรรมเดี๋ยวนี้!”


แน่นอนว่าเขาปรารถนาจะได้พบหลัวลั่วชิง แต่ไม่รู้สึกว่ามันถูกต้องที่จะปล่อยให้เกิดการนองเลือดขึ้นเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา


อำมาตย์เฉินหย่งไม่ยอมรับพลังปราณเทียบฟ้าที่จางเซวียนพยายามถ่ายทอดให้ เขาตอบยิ้มๆ “ถึงอย่างไรผมก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว มันเป็นความปรารถนาของผมที่จะได้ทำอะไรให้คุณบ้าง,นายน้อย!”


ใบหน้าที่ดูแก่ชราของเขาปรากฏสีหน้าอ่อนโยน ดูเหมือนเขาอยู่ท่ามกลางกระแสลมในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นมากกว่าจะเป็นเปลวไฟ


การที่นักรบจะจบชีวิตของตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว แล้วกระบวนการทั้งหมดก็จะจบลงโดยปราศจากความเจ็บปวดหรือทรมาน แต่ในทางตรงกันข้าม การต้องพลีชีพในกองเพลิงนั้นขึ้นชื่อว่าคือวิธีจบชีวิตที่เจ็บปวดที่สุด เนื้อหนังของผู้นั้นจะหลอมละลาย เลือดเดือดพล่านภายใต้ความร้อนแผดเผา แต่ความเจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์ทรมานนั้นจะอยู่กับตัวไปจนกว่าสติสัมปชัญญะจะสูญสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความตายก็ไม่ได้เข้ามาปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมานโดยง่าย มันเหมือนกับถูกเชือดเป็นร้อยเป็นพันครั้ง


จางเซวียนรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ เขาโบกมืออย่างร้อนรน “ผมจะหาวิธีพบลั่วชิงด้วยตัวเอง ไม่ต้องทำแบบนี้แล้ว!”


ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบตกลง เขาก็จะทำลายแท่นหินและธงค่ายกลเสียเพื่อยับยั้งพิธีกรรม


เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อประโยชน์ของเขา และไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งที่กัดกร่อนภายใน


แต่ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ทำลายแท่นหินบูชาและธงค่ายกล รังสีทรงพลังก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ครอบคลุมร่างของอำมาตย์เฉินหย่งไว้


เมื่อถูกรังสีนั้นโอบล้อม เปลวไฟที่แผดเผาร่างของอำมาตย์เฉินหย่งก็ค่อยๆมอดดับ และก็น่าประหลาดใจที่ร่องรอยของพลังชีวิตเริ่มงอกเงยขึ้นในจิตวิญญาณและกายเนื้อของเขา


ฟึ่บ!


ราวกับมีประตูบานใหญ่เปิดออกสู่โลก ร่างสูงตระหง่านปรากฏขึ้นเหนือแท่นบูชา แผ่ความมีอำนาจในแบบที่ใครไม่อาจต้านทานได้ออกมา


“ลั่วชิง?” จางเซวียนรีบเงยหน้า แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย “คุณเป็นใคร?”


เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่ถูกแท่นบูชาเรียกมาไม่ใช่หลัวลั่วชิง แต่เป็นคนอื่น!


ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทางหรือสายตาที่อีกฝ่ายมองเขา เขาก็แน่ใจว่าเขาไม่เคยพบกับเทพเจ้าองค์นี้มาก่อน


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณกลับไปยังที่ที่เป็นของเธอแล้ว ฉันเป็นแค่บริวารของเธอเท่านั้น” ร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางอากาศตอบ เธอลดสายตาลงมองจางเซวียนขณะตั้งข้อสังเกต “คุณคงเป็นจางเซวียน”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนกำหมัดแน่น


ร่างนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่รอปฏิกิริยาตอบรับจากเขา “ก่อนที่เธอจะจากไป เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้ร้องขอให้ฉันมอบความช่วยเหลือในสิ่งที่คุณต้องการ ฉันไม่เต็มใจนักหรอก แต่สุดท้ายก็ต้องตอบรับคำขอของเธอ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากจะให้คำแนะนำคุณสักข้อหนึ่ง เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคือผู้ทรงเกียรติที่อยู่ไกลเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างคุณจะเอื้อมถึงคุณควรจะทิ้งความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอไปเสีย ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้ทั้งเธอและตัวคุณเองเจ็บปวด!”


คำพูดเหล่านั้นมีแรงกดดันมหาศาล แม้จางเซวียนจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของอีกฝ่าย ราวกับร่างกายของเขาแสดงความยำเกรงออกมาโดยสัญชาตญาณ


เทพเจ้าที่เขาเรียกมานั้นเป็นเพียงร่างอวตารที่ปรากฏในโลกใบนี้ แต่เธอก็แข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมามาก!


“คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผม แค่บอกผมมาก็พอว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเป็นใคร และตอนนี้เธออยู่ที่ไหน!”


“ดูเหมือนคุณจะมีความกล้าบ้าบิ่นอยู่ไม่น้อยเลยนะ ถ้าคุณก้าวข้ามปราการแห่งมิติได้เหมือนอย่างปรมาจารย์ขง ก็มาพบฉันที่พระราชวังของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แล้วฉันจะบอกคุณว่าเธออยู่ที่ไหน ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ อย่าแม้แต่จะฝัน” ร่างสูงตระหง่านคำราม


ด้วยการสะบัดข้อมือ ร่างนั้นก็เลือนหายไป


“รอเดี๋ยว” จางเซวียนพูด


ร่างนั้นลดสายตาลงมองจางเซวียนอีกครั้ง


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณสั่งการให้คุณมอบความช่วยเหลือใดๆตามที่ผมต้องการ ถูกไหม?” จางเซวียนถาม


ร่างนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ลงท้ายเธอก็พยักหน้ารับ “ใช่ แต่ฉันจะช่วยคุณเพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้นคิดให้ดี อย่าปล่อยให้โอกาสล้ำค่าต้องสูญเปล่า”


“ผมตัดสินใจแล้ว!” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ เขาชี้ไปที่อำมาตย์เฉินหย่ง “ผู้ที่อยู่ตรงนี้คือหวู่เฉิน บริวารที่รับใช้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณในโลกใบนี้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายเต็มที ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยชีวิตเขา”


“นายน้อย…” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งนัยน์ตาแดงก่ำ


ตอนที่ 1844 เขาเป็นลูกศิษย์ของผม

อาการบาดเจ็บของอำมาตย์เฉินหย่งนั้นหนักหนาสาหัสมาก ไม่เพียงแต่รากฐานของร่างกายของเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แม้แต่จิตวิญญาณก็เริ่มเสื่อมสลายด้วยเพราะผลจากอาการบอบช้ำเกินพิกัดที่ต้องแบกรับไว้


เมื่ออำมาตย์เฉินหย่งตัดสินใจเล่นงานสองอำมาตย์เพื่อล้างแค้น เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะอยากมีชีวิตอยู่ต่อหลังจากจัดการกับสองอำมาตย์นั้น ใครจะไปรู้ว่านายน้อยของเขาจะมอบโอกาสล้ำค่าให้ถึงขนาดนี้


ถ้าก่อนหน้านี้เขายอมรับจางเซวียนเพราะความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ในตอนนี้เขาก็ยอมจำนนให้จางเซวียนด้วยหัวใจ


ถึงนายน้อยของเขาจะเชื่อถือไม่ค่อยได้ในบางครั้ง และมักทำอะไรขัดแย้งกับกฎระเบียบและธรรมเนียมเสมอ แต่ก็เป็นบุคคลที่ยืนหยัดในหลักการ ไม่ว่าเรื่องราวต่างๆจะยากเย็นสักแค่ไหน ตราบใดที่เขาไม่ถอดใจ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป


บางที นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่แท้จริงของเขา และอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบรรดาศิษย์สายตรงและอสูรอีกมากมายถึงเต็มใจมอบชีวิตให้


“ท่านอาจารย์…” หลิวหยางกำหมัดแน่น


ถ้าเขาอยู่ในฐานะของจางเซวียน คงไม่มีวันละทิ้งโอกาสที่ได้จากเทพเจ้าเพื่อไปช่วยชีวิตคนอื่นอย่างง่ายๆแบบนั้น ดูเหมือนตัวเขากับท่านอาจารย์จะยังห่างชั้นกันมาก


“เป็นเกียรตินักที่มีนายท่านแบบนี้!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น


สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดสำหรับอสูรที่ยอมจำนนก็คือการฝากชีวิตไว้ในมือของผู้ที่ไม่ใส่ใจทุกข์สุขของใครๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายท่านของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความช่างคิดและเอาใจใส่ผู้อื่น ทั้งยังไม่เคยบังคับให้เขาทำอะไรที่ขัดแย้งกับความต้องการของเขาด้วย เขาพร้อมยอมสละชีวิตเพื่อนายท่าน!


ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในหัวใจของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างเกิดความคิดของตัวเอง อารมณ์สลับซับซ้อนเต้นระริกอยู่ในดวงตาของพวกเขา


“นายน้อย ไม่จำเป็นต้องช่วยชีวิตผมหรอก อย่าสละโอกาสล้ำค่าของคุณเพื่อผม…” อำมาตย์เฉินหย่งพยายามส่ายหน้า


เขารู้ดีว่าความปรารถนาของนักรบนั้นล้ำค่าแค่ไหน เพียงแค่จางเซวียนเอ่ยปากขอพละกำลัง ก็อาจฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้ทันที มันเป็นความสูญเปล่าที่ใช้โอกาสล้ำค่าครั้งนี้กับคนที่ใกล้ตายอย่างเขา


“ผมตัดสินใจเองได้ว่าอะไรที่คู่ควรหรือไม่!” จางเซวียนพูดก่อนจะหันกลับไปมองร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางอากาศ “ว่าอย่างไรล่ะ? ในเมื่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณร้องขอให้คุณช่วยผม ก็แปลว่าคุณคงไม่ปฏิเสธคำขอของผมแน่ ใช่ไหม?”


“เขา…” ร่างนั้นลดสายตาลงมองอำมาตย์เฉินหย่งอีกครั้งพร้อมกับขมวดคิ้ว “คุณแน่ใจหรือว่านี่คือคำร้องขอของคุณ?”


“ผมแน่ใจ” จางเซวียนพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้น…”


ร่างนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พลังชีวิตของเขาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ในโลกที่พลังงานแร้นแค้นแบบนี้ ทางเลือกเดียวของเขาคือฉันต้องพาเขาไปยังโลกบาดาล แต่ฉันก็จะต้องเผชิญกับแรงตีกลับจากกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้หากฉันพยายามฝ่าปราการแห่งมิติและพาใครสักคนข้ามไป…ฉันจะพาจิตวิญญาณของเขาไปและพยายามเยียวยามัน แต่ส่วนกายเนื้อของเขานั้น ฉันช่วยอะไรไม่ได้!”


“เท่านั้นผมก็พอใจแล้ว” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เขารู้ดีว่ารากฐานของชีวิตอยู่ที่จิตวิญญาณ ตราบใดที่จิตวิญญาณยังอยู่ การจะสร้างร่างที่เหมาะสมขึ้นใหม่ก็ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้”


ร่างนั้นลดมือลงและกำมันเบาๆ


พริบตาต่อมา ศีรษะของอำมาตย์เฉินหย่งก็เอียงพับไปด้านหนึ่งขณะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ในกำมือของร่างนั้นก่อนจะถูกห่อหุ้มไว้อย่างรวดเร็วด้วยกระแสพลังงานบางอย่าง


ฟึ่บ!


หลังจากเสร็จสิ้น ร่างนั้นก็กลับสู่รอยแยกของมิติขณะที่ค่อยๆเลือนหายไป เทพเจ้ากำลังจะฝ่าปราการแห่งมิติและกลับสู่โลกของเธอ


แต่แล้วเธอก็หยุดอย่างปุบปับและพูดว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณถึงมีความผูกพันกับคุณอย่างล้ำลึก แต่การเดินทางของคุณเพื่อแสวงหาเจตจำนงของเธอนั้นจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ฉันหวังว่าคุณจะต้านทานไหว ไม่ว่าจะต้องลำบากลำบนสักแค่ไหนก็ตาม…”


หลังจากพูดจบ ร่างนั้นก็หายไป หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับจิตวิญญาณของอำมาตย์เฉินหย่ง


“ผมจะ…” เห็นลำแสงที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในพื้นที่นั้น จางเซวียนกำหมัดแน่น


ฟึ่บ!


ลำแสงลำสุดท้ายกระจายตัวออกไป บ่งบอกถึงการเสร็จสิ้นพิธีกรรม


จางเซวียนยืนนิ่ง เงียบงันด้วยความรู้สึกหม่นหมอง


แม้เขาจะไม่ได้ข่าวคราวของหลัวลั่วชิง แต่ก็เข้าใจแล้วว่าการเดินทางที่เขาต้องเดินไปกับเธอนั้นมีความยากลำบากรออยู่มากมาย…และบททดสอบแรกของเขาก็คือการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติให้ได้!


ด้วยการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติเท่านั้นที่จะทำให้เขามีโอกาสก้าวสู่มิติเบื้องบนเพื่อตามหาคนรักของเขา


“นายท่าน!”


“ท่านประธาน!”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเข้ามาส่งเสียงเรียก


จางเซวียนหันกลับไปมองทั้งคู่


“สามอำมาตย์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว ทำให้ตอนนี้พวกเขาปราศจากผู้นำ แม้หยางหลิวจะเป็นผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ในแง่ของประสบการณ์และวรยุทธ เขายังคงอ่อนด้อยอยู่ ทำไมเราถึงไม่…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเสนอแนะ เจตนาสังหารฉายวาบในดวงตาของเขา


หลายชั่วคนมาแล้วที่สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณต้องพำนักอยู่ในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากและการดูถูกเหยียดหยามที่ว่าพวกเขาอาจถูกกวาดล้างจนราบคาบสักวันหนึ่ง ตอนนี้โอกาสมาถึงมือแล้ว ด้วยความสามารถของท่านประธาน เขาน่าจะเล่นงานหยางหลิวและเข้าสวมตำแหน่งของอีกฝ่ายได้!


ได้ยินคำพูดของทั้งคู่ จางเซวียนส่ายหน้าและหัวเราะหึๆก่อนจะส่งเสียงเรียก “หลิวหยาง!”


หลิวหยางรีบเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าจางเซวียน “ศิษย์สายตรงหลิวหยางคารวะท่านอาจารย์จาง!”


“ศิษย์สายตรง? ท่านอาจารย์จาง?”


นักปราชญ์โบราณทั้งสองมองหน้ากันอย่างงงงัน ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


จางเซวียนรับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นศิษย์สายตรงตั้งแต่เมื่อไหร่?


“ผมคือศิษย์สายตรงของอาจารย์จาง ผมอยู่ภายใต้การชี้แนะของเขามาหนึ่งปีแล้ว…” หลิวหยางอธิบายยิ้มๆขณะขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธเพื่อกลับคืนสู่ภาวะปกติ


ไม่ช้า เจตนาสังหารในตัวเขาก็หายไป ความสูงของเขาลดลง หลิวหยางกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม


“คะ-คุณ…คุณเป็นมนุษย์หรือ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตาโตอย่างแทบไม่อยากเชื่อ


“ใช่แล้ว” หลิวหยางพยักหน้า


ตอนนี้ไม่มีคนนอก เขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังความจริง


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงงุนงงอย่างหนักกับเหตุการณ์ที่พลิกผัน


อำมาตย์เฉินหย่งเป็นคนขี้ระแวงและไม่เคยปล่อยให้มีสายลับอยู่ข้างกาย เชื้อสายของตระกูลผู้พยากรณ์จิตวิญญาณสามารถแทรกซึมเข้าสู่ตระกูลของอีกสองอำมาตย์มาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยมีใครได้เข้าใกล้อำมาตย์เฉินหย่ง ใครจะไปรู้ว่าผู้สืบทอดที่อำมาตย์เฉินหย่งเพิ่งพบไม่นานจะเป็นศิษย์สายตรงของจางเซวียน?


นั่นจะไม่หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นตกอยู่ใต้การควบคุมของเขาแล้วหรือ?


“ใช่ ผมเชื่อว่าพวกคุณคงไม่มีข้อคัดค้านนะ หลิวหยางเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ ดังนั้นก็ย่อมมีหลายเสียงต่อต้าน ผมจึงอยากให้คุณทั้งสองช่วยสนับสนุนเขาในเวลานี้ กำจัดเสียงฝ่ายตรงข้ามหลิวหยางให้ได้ภายใน 1 เดือนและรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ เขาจะเป็นผู้นำเพียงคนเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!” จางเซวียนสั่งการอย่างหนักแน่น


ถึงอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงจะถูกสังหารไปแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังมีบริวารอยู่ใต้บังคับบัญชาอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาขุนน้ำขุนนางของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีอำนาจไม่น้อย ในเมื่อหลิวหยางเพิ่งได้รับมรดกตกทอดของอำมาตย์เฉินหย่งและยังตั้งตัวไม่ติด เขาก็ย่อมต้องการความช่วยเหลือจากนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดทั้งสองเพื่อสั่งสมเกียรติยศและชื่อเสียง


ด้วยความช่วยเหลือของทั้งคู่ จะไม่มีใครในเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สามารถยืนหยัดต้านทานหลิวหยางได้ ไม่ช้าหลิวหยางก็จะกลายเป็นอำมาตย์เพียงคนเดียวและหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!


“วางใจเถอะ พวกเราจะสนับสนุนนายน้อยหลิวหยางอย่างเต็มที่ในการรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียว” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพยักหน้ารับ


“เอาล่ะ ไปได้แล้ว ผมอยากปลีกวิเวกสักครู่ มาพบผมหลังจากที่พวกคุณควบคุมสถานการณ์ได้และรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วก็แล้วกัน!” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


ทุกคนพยักหน้ารับ


การรวบรวมกลุ่มก๊วนต่างๆของทั้งสามอำมาตย์ไม่ใช่งานง่าย แต่ในเมื่อพวกเขาสังหารเทพเจ้าได้สำเร็จ อีกทั้งยังมีเจตจำนงของอำมาตย์เฉินหย่งที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ถือว่าพวกเขามีความชอบธรรม คงไม่ยากเกินไปที่หลิวหยางจะได้การยอมรับจากมหาชน


จางเซวียนเฝ้ามองฝูงชนจากไป เขาทรุดตัวลงนั่งเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าสู่รังนางพญามด


เมื่อในที่สุดเขาก็พอมีเวลาเป็นของตัวเอง ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้พยายามขัดเกลาศพของเทพเจ้าให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ


พร้อมกับนั้น เขาจะได้นำท่อนขาและเท้าของไอ้โหดที่เพิ่งได้จากอำมาตย์เฉินชิงมาให้ไอ้โหดทำการซึมซับด้วย บางทีการฟื้นคืนชีพของไอ้โหดอาจทำให้เขามีหนทางฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จ


ตอนที่ 1845 หนึ่งเดือนต่อมา

หัวสมองของเขาดำดิ่งเข้าสู่ร่างของศพอันใหญ่โตนั้น สภาวะจิตของจางเซวียนมั่นคงหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไประยะหนึ่ง จิตวิญญาณของเขาก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใต้สำนึก


ผ่านไป 20 วันแล้วนับตั้งแต่เขาเริ่มต้นขัดเกลาศพของเทพเจ้า


ครั้งแรกที่จางเซวียนนำศพของเทพเจ้าออกมา อย่าว่าแต่จะขัดเกลามัน แม้แต่จะใช้จิตวิญญาณ เข้าถึงศพนั้นก็ยังทำได้ยาก แต่หลังจากเพียรพยายามอย่างหนักอยู่หลายวัน ในที่สุดจิตวิญญาณของเขาก็เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายในศพของเทพเจ้า ทำให้เขาควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติช่างไร้เทียมทานเสียจริง พวกเขามีสภาวะพื้นฐานของร่างกายที่แตกต่างจากนักปราชญ์โบราณทั่วไปมาก…”


หลังจากสำรวจและศึกษาอยู่หลายวัน จางเซวียนก็ได้รู้ว่าความแข็งแกร่งของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิตินั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดจากพลังปราณที่เข้มข้นเหนือชั้นหรือจิตวิญญาณที่มีอำนาจ แต่เป็นเพราะกายเนื้ออันทรงพลัง ด้วยกายเนื้อไร้เทียมทานนี้ที่ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าในมิติได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความบอบช้ำใดๆ


ในฐานะนักรบที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างนวโลหะ ร่างกายของจางเซวียนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ยังห่างชั้นมากหากเปรียบเทียบกับร่างกายของเทพเจ้า


จากการสู้รบครั้งก่อน เขาตกตะลึงที่พบว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรไม่อาจเอาชนะปราการป้องกันตัวที่ทำจากพลังปราณขั้นพื้นฐานของเทพเจ้าได้ แต่หลังจากศึกษาศพของเทพเจ้าอย่างถี่ถ้วน ก็รู้แล้วว่าต่อให้เขาเอาชนะปราการป้องกันตัวที่ทำจากพลังปราณขั้นพื้นฐานของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็ไม่มีทางทะลุผ่านกายเนื้อของอีกฝ่าย หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่มีทางสร้างความบอบช้ำให้กับเทพเจ้าได้เลย


โชคดีที่เขายังเก็บหน้าหนังสือสีทองไว้ ทำให้พลิกผันสถานการณ์ได้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างคงไม่จบลงแบบนี้


“ทางเดินพลังปราณในร่างกายของเทพเจ้าดูจะคล้ายคลึงกับของเรา…”


ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่จางเซวียนพบก็คือทางเดินพลังปราณในกายเนื้อของเทพเจ้ามีความซับซ้อนกว่านักรบคนอื่นๆในโลก มันเหมือนกันอย่างมากกับทางเดินพลังปราณในร่างกายของเขาที่ได้รับการปรับเปลี่ยนแล้ว


เครือข่ายพลังปราณรูปแบบนี้จะทำให้นักรบขับเคลื่อนพลังปราณได้เร็วกว่าปกติ นำมาซึ่งประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือกว่านักรบทั่วไป


…..


ขั้นตอนสุดท้าย…ซึมซับ!


อีก 7 วันผ่านไป รู้ดีว่าเวลาเริ่มงวดลงทุกที จางเซวียนเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนสุดท้าย


ฟึ่บ!


เขาขับเคลื่อนจิตวิญญาณเข้าสู่ศพของเทพเจ้าและทำลายกลไกของสัญชาตญาณการป้องกันตัวที่ยังอยู่ในนั้นไปทีละอย่าง


ศพที่มีร่างใหญ่โตค่อยๆลืมตา จางเซวียนพยายามควบคุมมัน ครู่ต่อมา เขาก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังไร้ขีดจำกัดที่พวยพุ่งออกจากร่าง


“ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกก็เสียชีวิตได้ด้วยหมัดเดียว…” จางเซวียนแทบระงับความตื่นเต้นไม่ไหว


เขายังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ โดยเลือกที่จะกดข่มวรยุทธไว้ที่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก สำหรับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกคนหนึ่งที่สามารถสังหารนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกได้ด้วยหมัดเดียว…คงไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้จริง!


หลังจากใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อซึมซับพละกำลังมหาศาลจากศพนั้น จางเซวียนก็แทบไม่อยาก ถอดจิตวิญญาณของเขาออกจากศพและกลับสู่ร่างเดิม


“นี่จะเป็นไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของเรานับจากนี้ไป” จางเซวียนพึมพำอย่างตื่นเต้น


ด้วยสิ่งนี้ เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรอีกแล้ว!


“นายท่าน ผมซึมซับท่อนขาและเท้าสำเร็จแล้ว สำหรับพละกำลังของผมในตอนนี้ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าถึงวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ หากได้แรงบันดาลใจที่เหมาะสม ผมคงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ” ไอ้โหดพูด


หลังจากเข้าสู่รังนางพญามด จางเซวียนได้มอบท่อนขาและเท้าให้ไอ้โหด ผ่านไป 1 เดือน ไอ้โหดก็ซึมซับร่างกายท่อนล่างได้อย่างสมบูรณ์ วรยุทธของมันพุ่งพรวดจนเหนือกว่านักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกโดยทั่วไป


“ผมมีหยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอยู่ 10 ขวด ซึมซับมันพร้อมกับชุดฟาง แล้วคุณก็จะสร้างเลือดเนื้อขึ้นใหม่ได้และฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จ” จางเซวียนพูดขณะยื่นขวดหยกจำนวนหนึ่งให้ไอ้โหด


โชคดีที่เขาเก็บหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณไว้ได้มากมายจากการสู้รบ 2-3 ครั้งก่อน มันน่าจะเพียงพอสำหรับการฟื้นคืนวรยุทธของไอ้โหด


“ขอบคุณมาก นายท่าน!” ไอ้โหดตอบอย่างสำนึกในบุญคุณขณะรับขวดหยกไป


เขาตั้งใจจะซึมซับชุดฟางมานานแล้ว แต่พบว่ายังมีพลังงานไม่มากพอที่จะฟื้นคืนพละกำลังให้กับร่างกาย จึงเลือกที่จะรอไปก่อน ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เขาก็จะได้ฟื้นคืนพละกำลังอย่างสมบูรณ์แบบเสียที


หลังจากยื่นขวดหยกให้ไอ้โหด จางเซวียนก็ปล่อยอีกฝ่ายไว้ตามลำพัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไอ้โหดต้องดำเนินกระบวนการฟื้นฟูวรยุทธและพละกำลังด้วยตัวเอง


จางเซวียนนั่งอยู่กับพื้น เขาเริ่มใคร่ครวญถึงสิ่งที่เพิ่งได้มา ไม่ช้ารังสีของเขาก็ค่อยๆพร่าเลือน เปลี่ยนจากบางอย่างที่มีความเฉียบคม กลายเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและดูไม่น่าประทับใจอะไร


ในตอนนี้ ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ไม่อาจมองเห็นพละกำลังที่แท้จริงของเขาได้โดยง่าย


“เมื่อนับรวมทั้งกายเนื้อ พลังปราณ จิตวิญญาณ และตัวโคลนของเรา เราผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึง 4 ครั้ง หากเราอยากฝ่าด่านวรยุทธอีก ก็จะต้องทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของโลกหรือไม่ก็เข้าถึงทักษะที่เหนือชั้นกว่าเทคนิคเทียบฟ้าให้ได้”


เป็นเพราะทั้งกายเนื้อ พลังปราณ และวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนเข้าถึงระดับที่เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว เขาจึงสามารถต่อสู้กับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้ ทั้งๆที่เป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน


แต่เพียงเท่านั้นก็ยังไม่มากพอสำหรับเขา จางเซวียนเลือกที่จะยังไม่ฝ่าด่านวรยุทธเพราะอยากพัฒนาตัวเองจนเหนือชั้นกว่าสวรรค์ในแง่ของการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลก


เขารู้ดีว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จเหนือกว่าปรมาจารย์ขงและกลายเป็นสุดยอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องทำให้ได้อย่างนั้นหากอยากพบหลัวลั่วชิง


“แต่เราจะคิดค้นทักษะที่เหนือชั้นกว่าเทคนิคเทียบฟ้าได้อย่างไร?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างหมดหวัง


วิธีเดียวที่เขาจะเหนือชั้นกว่าเทคนิคเทียบฟ้าได้ก็คือต้องค้นหาเส้นทางของตัวเองให้เจอ แม้จางเซวียนจะมีความปราดเปรื่องในแบบที่ไม่อาจมีใครเทียบได้ ซึ่งทำให้เขาเชี่ยวชาญเทคนิคใดๆก็ตามได้ภายในชั่วพริบตา แต่การจะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเป้าหมาย ที่ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่เหนือคนอื่นๆ


จางเซวียนครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่หลายวัน แต่ก็ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาในหัวสมอง ลงท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากรังนางพญามดและกลับสู่ยอดเขาของภูเขาพันใบด้วยความผิดหวัง


“ลองคิดดู เดือนหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว อยากรู้จริงว่าหลิวหยางกับคนอื่นๆทำอะไรอยู่…”


หลังจากใช้เวลากว่า 1 เดือนในการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาออกจะมีสนิมเกาะเล็กน้อย เขาอยากจะไปตรวจสอบว่าลูกศิษย์ของเขาทำอะไรอยู่หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่อยู่ไม่ห่างออกไป จากนั้นสองร่างก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง


ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งคู่ยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกมาก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดกว่านั้นก็คือกลิ่นอายของความตายที่ติดตามพวกเขามา แค่มองแวบเดียวก็เห็นชัดว่าทั้งคู่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายตลอดระยะเวลา 1 เดือน


“พวกเราขอคารวะ!”


ชายคนหนึ่งกับอสูรตัวหนึ่งทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความยำเกรงและและแสดงการคารวะ


“เป็นอย่างไรบ้าง?” จางเซวียนตรงเข้าประเด็น


“นายน้อยประสบความสำเร็จในการกำจัดเสียงต่อต้าน วันนี้เป็นวันที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งอำมาตย์เฉินหย่งอย่างเป็นทางการ” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพูด


“ขุนน้ำขุนนางเผ่าพันธุ์ปีศาจจากหลายพื้นที่ต่างเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีสถาปนาของนายน้อย ท่านประธาน…คุณอยากไปดูไหม?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง


“พิธีสถาปนาหรือ? ดีสิ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


ดูเหมือนหลิวหยางจะเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ศิษย์สายตรงของเขารับมือกับเรื่องต่างๆได้อย่างมีเหตุมีผลกว่าที่เขาคิดไว้


แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าหลิวหยางได้รับอำนาจจากอำมาตย์เฉินหย่ง อีกทั้งได้การถ่ายทอดวรยุทธอีกฝ่าย แต่อายุที่ยังน้อยและวรยุทธที่อ่อนด้อยของเขาก็ดูจะสร้างความไม่พอใจในหมู่ชนชั้นนำของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่มีทางที่คนเหล่านั้นจะยอมจำนนให้กับชายหนุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองได้โดยง่าย


ดังนั้น หากเขารีบร้อนจัดพิธีสถาปนา ไม่เพียงแต่จะไม่ได้สมัครพรรคพวก ยังอาจลงเอยด้วยความล้มเหลวซึ่งจะบั่นทอนอำนาจของเขาลงไป


แต่หลังจากจัดการเสียงต่อต้าน และแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของเขาอีก พิธีสถาปนาของหลิวหยางก็จะกลายเป็นแรงบันดาลใจครั้งใหม่ที่รวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียว ในฐานะอำมาตย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่าจะยึดตัวเขาเป็นศูนย์กลาง หลิวหยางจะกลายเป็นศูนย์รวมของพละกำลังและอำนาจที่ไม่มีใครกล้าต่อต้าน


“ในฐานะอาจารย์ของหลิวหยาง ไม่มีทางที่ผมจะยอมพลาดพิธีสถาปนาที่ประกาศศักดาถึงตำแหน่งของเขาในฐานะผู้นำหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…ไปกันเถอะ!” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


หลิวหยางมักเดือดร้อนใจกับความไม่มั่นใจในตัวเองเสมอ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าบรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้อง แต่ในที่สุดเขาก็ทำลายเปลือกของตัวเองได้สำเร็จและได้รับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ในฐานะอาจารย์ของเขา จางเซวียนยิ่งกว่าภาคภูมิใจ แน่นอนว่าเขาจะต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อเป็นสักขีพยานกับความให้กับความรุ่งโรจน์ของลูกศิษย์ของเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)