อัจฉริยะสมองเพชร 1836-1841

 ตอนที่ 1836 เทพเจ้าลงมา (2)

ไร้ยางอาย, ปลิ้นปล้อนหลอกลวง และเก่งกาจปราดเปรื่องราวกับปีศาจ คนแบบนี้ปรากฏตัวขึ้นในเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ถ้าชายผู้นี้รอดไปได้ ในท้ายที่สุดเขาจะต้องกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณแน่


ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงรู้เสียก่อนว่ามีศัตรูที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาคงไม่มีวันหักหลังอำมาตย์เฉินหย่ง เขาควรจะร่วมมือกับอำมาตย์เฉินหย่งเพื่อกำจัดภัยคุกคามนี้มากกว่า


แม้จะยังหนักใจ แต่ไม่ช้าอำมาตย์เฉินหลิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


เมื่อหมอนั่นได้นิ้วเท้ากลับคืนมาแล้ว ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องซึมซับพลังงานอีก เพราะฉะนั้น เขาก็จะได้ใช้พลังงานที่เหลือเพื่อเยียวยาตัวเอง


ซึ่งเมื่อเขาฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม ก็มั่นใจว่าจะฉีกเจ้าสารเลวนั่นให้เป็นชิ้นๆได้


อำมาตย์เฉินหลิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันกลับไปใช้สมาธิกับการซึมซับพลังงาน ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่ช้าอีกฝ่ายก็ได้นิ้วเท้ากลับคืนมา เขาคิดว่าคราวนี้จะได้เร่งความเร็วของกระบวนการเยียวยาตัวเองเสียที แต่กลับตรงกันข้าม เพราะจู่ๆหมอนั่นก็นำภาพวาดออกมาและดูดพลังงานโดยรอบอย่างบ้าคลั่งให้เข้าสู่ภาพวาดนั้น


ให้ตายเถอะ…


อำมาตย์เฉินหลิงตัวสั่นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


แกมันก็แค่ไอ้สารเลวตะกละตัวจ้อยไม่ใช่หรือ?


เติมพลังจนเต็มแล้ว ยังจะดูดพลังที่เหลือไปด้วยหรือไง?


อำมาตย์เฉินหลิงรู้สึกถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาในลำคอ พร้อมจะกระอักออกมาได้ทุกขณะ


หมอนั่นทำตัวเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ!


ที่สำคัญกว่านั้น ภาพวาดบ้าบอนั่นคืออะไร? นี่คือพลังงานที่เขาร้องขอโดยตรงจากเทพเจ้า แล้วจะมีภาพวาดชนิดไหนที่สามารถเก็บกักพลังงานแบบนั้นได้?


“เดี๋ยวก่อน…นั่นคือผืนผ้าใบสี่ฤดูของปรมาจารย์ขงหรือเปล่า?”


มองปราดเดียว อำมาตย์เฉินหลิงก็พลันนึกได้


ภาพวาดนั้นมีมิติและกฎเกณฑ์แห่งมิติของตัวเอง ถึงระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโลกอีกใบ ซึ่งภาพวาดเดียวที่เป็นที่รู้กันว่ามีศักยภาพถึงระดับนี้ก็มีแต่ผืนผ้าใบสี่ฤดูของปรมาจารย์ขง


เขารู้เลยว่าหมอนั่นได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณแล้วด้วยการสัมผัสนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่ถูกขังไว้ภายในภาพวาด


แขนของอีกฝ่ายกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วราวกับพระโพธิสัตว์พันมือ ความเข้มข้นของพลังงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดขณะที่ถูกดูดเข้าสู่ภาพวาด น่าตกใจที่ระดับความเร็วในการกลืนกินพลังงานของภาพวาดนั้นเร็วกว่าตัวอำมาตย์เฉินหลิงอย่างน้อยก็ 10 เท่า!


หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาดิ้นรนซึมซับพลังงานสักแค่ไหน ผลลัพธ์เดียวที่เขาจะได้ก็คือได้ซึมซับเพียง 1 ใน 10 ของปริมาณพลังงานที่เหลือเท่านั้น


พลังเหล่านี้ควรจะเป็นของเรา! มันเป็นของเราทั้งหมด!


รู้ดีว่าถ้าเป็นอย่างนี้ คงไม่มีวันฟื้นคืนพละกำลังได้ดังเดิม อำมาตย์เฉินหลิงระงับอารมณ์ต่อไปไม่ไหว เขารวบรวมพลังทั้งหมดแล้วพุ่งออกไป


“แก ไอ้ชั่วร้าย ฉันจะฆ่าแกซะ!”


โชคร้ายที่สายตาของเทพเจ้าจับจ้องอยู่พอดี


พลั่ก!


ยังไม่ทันที่อำมาตย์เฉินหลิงจะเข้าถึงตัวจางเซวียน ฝ่ามือจากรอยแยกแห่งมิติก็ปรากฏอีกครั้ง ทำให้ร่างของอำมาตย์เฉินหลิงถูกทุ่มลงลงกับพื้นอย่างแรง


ในตอนนั้น เขาแทบปล่อยโฮ


นี่เขาจะต้องสูญเสียการสนับสนุนจากเทพเจ้าที่เขาบูชามาเนิ่นนานเพียงเพราะคำปลิ้นปล้อนหลอกลวงของอีกฝ่ายหรือ?


เหลวไหลสิ้นดี!


เห็นสีหน้าของอำมาตย์เฉินหลิง จางเซวียนส่ายหัวขณะซี้ดปาก


แน่นอนว่าเทพเจ้าไม่ได้เชื่อถือคำพูดของเขา แต่เหตุผลที่เทพเจ้าเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิงก็เพราะอีกฝ่ายฝ่าฝืนกฎและใช้กำลังโดยไม่ได้รับอนุญาต


เทพเจ้ากำลังจะออกมาจากรอยแยกแห่งมิติเพื่อตัดสินพวกเราแล้ว แต่คุณก็ยังกล้าเปิดการโจมตีต่อหน้าเขา นี่ไม่เท่ากับสร้างปัญหาหรือ?


ความเย่อหยิ่งจองหองก็ลงเอยแบบนี้แหละ! ใช้ชีวิตแบบถ่อมตัวสิ แล้วปัญหาก็จะไม่เข้ามา


การทำอะไรมากเกินไปต่อหน้าเทพเจ้ามีแต่จะส่งผลตรงกันข้าม ซึ่งเคล็ดลับก็คือรักษาความสุขุมเยือกเย็นของจิตใจเอาไว้ ดูอย่างผมสิ….ผมไม่ใช่ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบหรือ?


ขณะกำลังชื่นชมตัวเองที่มีนิสัยไม่เหมือนคนอื่น จางเซวียนก็หันกลับมาสนใจร่างกายของเขาอีกครั้ง จากนั้นนัยน์ตาก็วาววับด้วยความยินดีปรีดา


เขาสามารถฟื้นคืนสภาพร่างกายจนแข็งแกร่งถึงขีดสุดได้จากที่เคยเป็นแค่กระดูกกองหนึ่ง วิถีทางของเทพเจ้าช่างไร้เทียมทานเสียจริง


จางเซวียนยังคงโบกมือราวกับพัดต่อไปเพื่อชักนำการเคลื่อนไหวของพลังงานที่อยู่โดยรอบให้เข้าสู่ภาพวาด ภายในเวลาเพียง 3 นาที พลังงานทั้งหมดที่ยังหลงเหลืออยู่โดยรอบก็เข้าสู่ภาพวาดโดยสมบูรณ์


ด้วยพลังที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่จากเทพเจ้า ต่อให้ในอนาคตเขาได้รับบาดเจ็บอีก ก็แทบไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว


อันที่จริง ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เขาจะทำได้แม้กระทั่งใช้พลังงานนี้เพื่อช่วยไอ้โหดให้ฟื้นตัวจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอในตอนนี้ด้วย


หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็เงยหน้า และเห็นว่ารอยแยกแห่งมิติมืดครึ้มกว่าเดิม ร่างสูงใหญ่โผล่พ้นรอยแยกแห่งมิติออกมาครึ่งตัว เตรียมพร้อมจะลงมายังโลกใบนี้


ในเวลานั้น เขาแน่ใจแล้วว่าเทพเจ้าไม่ใช่หลัวลั่วชิง เพราะเทพเจ้าที่เห็นมีรูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง


ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่รังสีที่เขาแผ่ออกมานั้นล้ำลึกและเข้มข้นมาก แม้จะยังไม่ได้สำแดงกระบวนท่าใด แต่การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้มิติที่อยู่โดยรอบแตกสลายไปชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่อาจต้านทานน้ำหนักของเทพเจ้าได้


อำมาตย์เฉินหย่งส่งโทรจิตหาจางเซวียน “เขาเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ!”


“นี่คือประสิทธิภาพของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติหรือ?” จางเซวียนหรี่ตา


ความแข็งแกร่งของเทพเจ้านั้นทรงพลังเสียจนโลกนี้ไม่อาจรองรับการปรากฏตัวของเขาได้


ถ้าเปรียบโลกกับมหาสมุทร เทพเจ้าก็คือหยดน้ำมัน ต่อให้กระแสน้ำในมหาสมุทรจะเชี่ยวกรากแค่ไหน หยดน้ำมันก็จะยังคงลอยตัวอยู่บนผิวหน้าได้


“นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือผู้แทนอมตะ เมื่อครั้งที่ปรมาจารย์ขงยังมีชีวิตอยู่ มีใครบางคนบนบานอ้อนวอนต่อเบื้องบนให้ส่งผู้แทนอมตะลงมายังโลกใบนี้ ใครจะไปคิดว่าประวัติศาสตร์จะหวนคืนกลับมาที่เดิมอีกหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว”


“น่าจะเป็นเพราะการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อ…”


“วิหารแห่งขงจื๊อเกี่ยวอะไรกับการลงมาของผู้แทนอมตะ?”


“มีเรื่องเล่ากันว่าวิหารแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ในความว่างเปล่าที่ปิดกั้นเส้นทางระหว่างโลกเบื้องบนกับโลกของเรา การปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อก็หมายความว่าสิ่งที่ยับยั้งสิ่งมีชีวิตจากเบื้องบน ไม่ให้ลงมายังโลกของเรานั้นถูกปลดออกแล้ว ทำให้ผู้แทนอมตะลงมายังโลกของเราได้”


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะไม่หมายความว่า สมดุลแห่งอำนาจในทวีปแห่งปรมาจารย์จะต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในเร็วๆนี้หรือ?”


“อาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะการที่ผู้แทนอมตะจะลงมายังโลกของเราก็ไม่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องใช้เครื่องบรรณาการมากมาย ยังต้องกดข่มระดับวรยุทธให้ต่ำมากเพื่อไม่ให้ถูกโลกของเราปฏิเสธ มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะใช้วรยุทธได้เพียงแค่ผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นเท่านั้น แน่นอนว่านั่นคือระดับพละกำลังที่รับมือได้ยาก แต่หากพวกเรารวมตัวกันเป็นหนึ่ง ก็พอจะมีโอกาสต้านทาน…”


…..


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และเหล่าขุนนางเผ่าพันธุ์ปีศาจรีบหารือกัน


เทพเจ้าที่กำลังจะลงมายังโลกของพวกเขาคือผู้แทนอมตะจากมิติเบื้องบน ถ้าเทพเจ้าตัดสินใจช่วยเหลืออำมาตย์เฉินหลิง พวกเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก


นี่คือพละกำลังที่หลัวลั่วชิงมีเช่นกันหรือ? จางเซวียนนึกสงสัยขึ้นมาขณะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อประเมินพละกำลังของเทพเจ้า


ภาพเมื่อครั้งที่หลัวลั่วชิงจากไปปรากฏขึ้นในหัว


เธอคือผู้ที่ไม่อาจเข้ากับโลกใบนี้ได้เช่นกัน แต่มีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างตัวเธอกับเทพเจ้าที่กำลังจะลงมายังพื้นโลก


ดูเหมือนโลกนี้จะปฏิเสธหลัวลั่วชิงรุนแรงกว่าการปฏิเสธเทพเจ้าที่กำลังลงมา


หมายความว่าพละกำลังของหลัวลั่วชิงเหนือกว่าเทพเจ้าที่กำลังจะเข้าสู่โลกของพวกเขาอีกหรือ?


อำมาตย์เฉินหลิงใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะฟื้นตัวจากการถูกโจมตี เมื่อเขารู้สึกตัว พลังงานที่อบอวลอยู่ในอากาศก็ถูกเก็บไว้ในผืนผ้าใบสี่ฤดูหมดแล้ว เมื่อรู้ว่าไม่มีเหตุผลที่จะเปิดการโจมตีอีกต่อไป อำมาตย์เฉินหลิงกัดฟันกรอดและหันไปวิงวอนเทพเจ้าที่อยู่กลางอากาศ


“โอ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผมคืออำมาตย์เฉินหลิงตัวจริง! ส่วนเขาคือตัวปลอม!”


เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ จางเซวียนรีบตอบโต้ “ผมต่างหากที่เป็นตัวจริง เขาเป็นแค่ตัวปลอมที่หาข้ออ้างโง่ๆ คุณกล้าดีอย่างไรถึงคิดจะโกหกเทพเจ้า? คงเสียสติไปแล้วแน่ๆ!”


ประสิทธิภาพของเครื่องรางแห่งการปลอมตัวเหนือชั้นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก ด้วยศักยภาพของมัน ไม่มีความแตกต่างใดๆทางร่างกายที่จะทำให้ใครๆแยกเขาออกจากอำมาตย์เฉินหลิงได้ และเป็นไปได้ว่าต่อให้เทพเจ้าก็คงแยกไม่ออก ในเมื่อจางเซวียนมาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ต้องตามน้ำต่อไป แล้วดูว่ามันจะพาเขาไปถึงไหน


ฟึ่บ!


รอยแยกแห่งมิติกระตุกอีกครั้งหนึ่ง


ระหว่างการโต้เถียงของทั้งคู่ เทพเจ้าได้เดินทางผ่านรอยแยกแห่งมิติออกมาแล้ว เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็สูดหายใจลึกก่อนจะลืมตาทั้งสองข้างที่เหมือนกับลูกปัด


นัยน์ตาของเทพเจ้าดูจะสะท้อนกับสายฟ้า รังสีอันน่าสะพรึงแผ่ซ่านออกมา ดูราวกับว่าท้องฟ้าจะแตกสลายเป็นชิ้นๆภายใต้ความเข้มข้นของรังสีนั้น


มีความแข็งแกร่งอย่างผิดธรรมชาติแผ่ออกมาจากร่างของเขา ราวกับเขาเป็นตัวประหลาดที่ไม่เข้ากันกับโลกใบนี้


ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ย่อมตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังที่เห็น นับประสาอะไรกับมนุษย์ทั่วไป!


“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจากมิติเบื้องล่างมักมั่นใจว่าจะล่อลวงผมได้ บังอาจอะไรอย่างนั้น!” เทพเจ้าคำราม ขณะจับจ้องจางเซวียนกับอำมาตย์เฉินหลิง


พริบตาต่อมา ร่างของจางเซวียนก็ตึงเขม็งและสั่นสะท้านอย่างหนัก ราวกับถูกอสูรร้ายดึกดำบรรพ์มากมายนับไม่ถ้วนตีวงล้อม จางเซวียนเหงื่อไหลโชก


ตอนที่ 1837 อำมาตย์เฉินหลิงยอมจำนน

เราอาจไม่พ่ายแพ้ต่อเขาก็ได้ ไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องลุยเต็มที่…


ด้วยการผนึกกำลังกันของตัวเขา หอกสวรรค์กระดูกมังกร ไอ้โหด นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง และนักปราชญ์โบราณโม่หลิง ต่อให้เป็นเทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ พวกเขาก็ยังพอจะรับมือไหว


จางเซวียนรีบเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดมาเป็นไร้อารมณ์เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของเขา


สายตาของเทพเจ้าจับจ้องจางเซวียนกับอำมาตย์เฉินหลิงสลับกันไปมา สักพักหนึ่ง รอยย่นก็ปรากฏบนหน้าผาก “คุณจะต้องใช้หยดเลือดของตัวเองในการวิงวอนต่อมิติเบื้องบน มอบหยดเลือดของคุณให้ผม แล้วผมจะตัดสินว่าใครเป็นตัวจริงตัวปลอม!”


เทพเจ้าคิดว่าด้วยวิถีทางและพละกำลังของเขา เขาย่อมมองเห็นการปกปิดความจริงของทั้งคู่ แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ เขาไม่พบช่องโหว่ใดๆเลยทั้งที่พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่นาน


ทั้งคู่ไม่มีความแตกต่างใดๆด้านรูปลักษณ์ที่จะทำให้แยกออกจากกันได้


แต่ก็ไม่มีทางที่จะมีอำมาตย์เฉินหลิงถึง 2 คนในโลกใบนี้!


แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้เจ้าตัวปลอมจะปลอมแปลงรูปร่างหน้าตาจนเหมือนตัวจริงอย่างไร้ที่ติ แต่ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเลียนแบบสายเลือดของอำมาตย์เฉินหลิงได้ ถูกไหม?


ไม่ช้า หยดเลือด 2 หยดก็ถูกส่งให้เทพเจ้า เทพเจ้ารีบใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบเลือด 2 หยดนั้น แต่แล้วสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเขาก็พังทลายไม่มีชิ้นดี


เขาแทบไม่เชื่อสายตา หยดเลือดทั้ง 2 หยดเหมือนกันอย่างไร้ที่ติ!


นี่มันเกิดบ้าบออะไรขึ้น?


“โอ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ หมอนั่นปลอมตัวเป็นผมเพื่อปั่นหัวคุณ เราจะปล่อยให้การกระทำที่แสดงถึงความกระด้างกระเดื่องแบบนี้ผ่านไปโดยไม่มีการลงโทษไม่ได้!” อำมาตย์เฉินหลิงคิดว่าเทพเจ้าน่าจะพบบางอย่างในหยดเลือดแล้ว จึงก้าวออกไปและพูดเสียงดังฟังชัด


“หุบปากซะ!”


พลั่ก!


เทพเจ้าปล่อยพลังใส่อำมาตย์เฉินหลิงอีกครั้ง ทำให้เขาล้มกลิ้งไปกับพื้น


เทพเจ้ากำลังรู้สึกอับอายและว้าวุ่นระคนกันที่ไม่อาจแยกแยะทั้ง 2 คนได้ ก็พอดีกับที่อำมาตย์เฉินหลิงทะลุกลางปล้องไป แน่นอนว่าครั้งนี้เป็นการกระทำที่แสนโง่เขลา


“ผม…” อำมาตย์เฉินหลิงก้มหน้า


“อำมาตย์เฉินหลิงตัวจริงได้มอบของล้ำค่าจำนวนมากเพื่อให้ผมลงมายังโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ตัวปลอมจะรู้ว่าของล้ำค่าชนิดไหนที่ถูกใช้ไป และพวกมันมีมูลค่าเท่าไหร่ ผมอยากให้คุณทั้งคู่จดรายชื่อของล้ำค่าที่ถูกใช้และมูลค่าที่แท้จริงของมัน ผู้ที่เขียนรายการได้ถูกต้องแม่นยำกว่าก็น่าจะเป็นอำมาตย์เฉินหลิงตัวจริง!” เทพเจ้าสั่งการ


พิธีกรรมสำหรับการเรียกเทพเจ้ามานั้นเข้มงวดและเสียค่าใช้จ่ายมาก ถ้าของล้ำค่าที่ใช้เป็นเครื่องบรรณาการไม่ถึงระดับที่กำหนดไว้ ก็จะเกิดเป็นแรงตีกลับแทน ดังนั้น อำมาตย์เฉินหลิงตัวจริงจึงน่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมดของเครื่องบรรณาการที่มอบให้เขา


“เอ่อ…” อำมาตย์เฉินหลิงผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “อย่างนั้นก็ได้”


เขานำตราหยกสัญลักษณ์ออกมาและบันทึกมูลค่าของของล้ำค่าทั้งหมดที่เขารู้ลงไปบนนั้น


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำตราหยกสัญลักษณ์ออกมาและบันทึกสิ่งที่เขารู้ลงไปบนนั้นเช่นกัน


พูดกันตามตรง จางเซวียนไม่รู้ราคาที่คนคนหนึ่งต้องจ่ายเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโลกใบนี้กับมิติเบื้องบน ต้องยอมรับว่าเทพเจ้าฉลาดหลักแหลมมากที่เข้าถึงแก่นของเรื่องนี้ได้ในทันที


แต่เมื่อครั้งที่เขาปลอมตัวเป็นนักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา ก็ได้เห็นของล้ำค่ามาแล้วทุกชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณของเครื่องบรรณาการมีชีวิตที่ถูกดึงเข้าสู่ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะถูกเขากับตัวโคลนซึมซับไปนั้นก็ทำให้เขารู้จำนวนและระดับวรยุทธที่แท้จริงของพวกมัน


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็บันทึกมูลค่าและจำนวนตามจริงลงบนตราหยกสัญลักษณ์


เมื่อรับตราหยกจากอำมาตย์เฉินหลิงและจางเซวียนไป เทพเจ้ารีบตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ครู่ต่อมา เขาก็หันไปหรี่ตาใส่อำมาตย์เฉินหลิง นัยน์ตานั้นเปล่งประกายดุร้าย


เห็นเทพเจ้าจับจ้องเขา อำมาตย์เฉินหลิงเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที “เทพเจ้า ผมคืออำมาตย์เฉินหลิงตัวจริง…”


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ฝ่ามือของเทพเจ้าก็ปล่อยพลังลงมาจากกลางอากาศ


“กล้าดีอย่างไรมาโกหกผม? คุณคงอยากตายเต็มทีสินะ!”


ครืนนนนน!


ราวกับโลกทั้งโลกถล่มเข้าใส่อำมาตย์เฉินหลิง ร่างของเขาแข็งทื่อไปทันที จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ พละกำลังที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขตตระหง่านอยู่เหนือร่างของเขาราวกับกิโยติน พร้อมที่จะสับเขาให้เละเป็นเนื้อบด


“ไม่นะ!”


นึกไม่ถึงว่าเทพเจ้าที่เขาเพิ่งจ่ายเงินมหาศาลเพื่อเรียกอีกฝ่ายลงมาจะพยายามสังหารเขาจริงๆ อำมาตย์เฉินหลิงถึงกับพรั่นพรึง เขาคำรามกร้าวและขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัด ทำให้กระแสพลังปราณแผ่ซ่านออกมา


ในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็สูงขึ้นกว่า 2 จ้าง พละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกแผดเผาพลุ่งพล่านอยู่ในตัวเขาราวกับภูเขาไฟ


พรึ่บ!


แต่เปลวไฟนั้นก็มอดดับทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือของเทพเจ้า แท่นบูชาทั้งแท่นพังทลาย อำมาตย์เฉินหลิงทรุดฮวบลงกับพื้น เกิดหลุมขนาดใหญ่อยู่รอบตัว


พละกำลังของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติช่างน่าสะพรึงเสียจริง! จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


เขาดูออกว่าเทพเจ้ายังไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัดด้วยซ้ำ มันเป็นแค่การโบกมือตามธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น อำมาตย์เฉินหลิงที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกก็ยังต้านทานไม่ไหวทั้งที่ใช้พละกำลังสูงสุด


นี่คือช่องว่างระหว่างสิ่งมีชีวิตทั่วไปกับเทพเจ้าผู้เป็นอมตะหรือ?


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเคยคิดว่าด้วยการผนึกกำลังกันระหว่างตัวเขา หอกสวรรค์กระดูกมังกร และคนอื่นๆ ก็น่าจะพอรับมือกับเทพเจ้าไหว แต่ภาพที่เขาเห็นทำลายความหวังเหล่านั้นจนหมดสิ้น…มันคงจะเป็นการต่อสู้ดิ้นรนที่สูญเปล่า


ความเหลื่อมล้ำในพละกำลังของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจสร้างสะพานเพื่อเชื่อมโยงถึงกันได้


สิ่งนี้เหมือนกันกับความแตกต่างของพละกำลังระหว่างนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณ เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับขั้นต่างกัน นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จึงไม่มีวันรับมือกับนักปราชญ์โบราณได้


ขณะที่จางเซวียนกำลังอัศจรรย์ใจกับพละกำลังของเทพเจ้า ก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้น ถ้าเทพเจ้าตัดสินใจเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิง นั่นก็หมายความว่ารายการของล้ำค่าที่เขาบันทึกลงไปนั้นแม่นยำกว่าของอำมาตย์เฉินหลิงอีกหรือ?


พูดอีกอย่างก็คือ หรือว่าอำมาตย์เฉินหลิงไม่รู้มูลค่าแท้จริงของเครื่องบรรณาการที่มอบให้เทพเจ้า?


ไม่อย่างนั้น ทำไมเทพเจ้าถึงตัดสินใจเล่นงานเขา?


ข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างที่จางเซวียนคิด อำมาตย์เฉินหลิงไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของเครื่องบรรณาการ


เขาได้จัดเตรียมทรัพย์สมบัติล้ำค่าไว้มากมายนับไม่ถ้วน และพานักตรวจสอบสมบัติผู้ทรงเกียรติ เกือบทั้งหมดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเข้าวังเพื่อประเมินมูลค่าของทรัพย์สมบัติแต่ละชิ้น แม้จะลงทุนลงแรงไปมาก แต่เพราะการเปลี่ยนแผนอย่างปุบปับ เขาจึงไม่รู้รายละเอียดของมูลค่าที่แท้จริงของของล้ำค่าทั้งหมด แต่ในความคิดของของอำมาตย์เฉินหลิง คำตอบที่เขาบันทึกลงไปก็น่าจะถูกต้องแม่นยำกว่าของจางเซวียน!


แล้วคำตอบของจางเซวียนแม่นยำกว่าของเขาได้อย่างไร?


จนถึงตอนนี้ แม้แต่เขาก็เริ่มลังเลแล้วว่าตัวเขาเป็นตัวปลอมหรือเปล่า!


อำมาตย์เฉินหลิงปีนขึ้นมาจากหลุมขนาดใหญ่ เขากัดฟันกรอดอย่างโกรธเกรี้ยว ปาดเลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปากก่อนจะเผชิญหน้ากับเทพเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว


“ดูเหมือนคุณจะเชื่อว่าผมเป็นตัวปลอมใช่ไหม?”


“ยังจะดื้อดึงไม่ยอมรับอีกหรือ?”


เทพเจ้าหรี่ตาขณะปล่อยกระแสพลังงานอันน่าสะพรึงออกจากฝ่ามือ พร้อมที่จะเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิงให้แหลกเป็นชิ้นได้ทุกขณะ


“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณเลือกจะเชื่อ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ผมพูดได้แค่ว่าความสามารถในการปลอมตัวของอีกฝ่ายนั้นน่าทึ่งมาก แต่…” อำมาตย์เฉินหลิงสูดหายใจลึกขณะนัยน์ตาฉายความบ้าคลั่ง “…ผมเต็มใจจะมอบชีวิตของผมให้คุณ ผมเต็มใจยอมเป็นทาสของคุณ และจะทำตามคำสั่งของคุณไปชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น ส่วนเขาน่ะ…”


อำมาตย์เฉินหลิงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองจางเซวียนด้วยสายตาเย็นเยียบ “…เขากล้าทำแบบนั้นหรือเปล่า?”


ทันทีที่พูดจบ เลือดหยดหนึ่งก็ลอยออกจากหน้าผากของอำมาตย์เฉินหลิง ตรงเข้าหาเทพเจ้า


ขอแค่เทพเจ้ายอมรับหยดเลือดของเขา เขาก็จะไม่ต่างอะไรกับอสูรตัวหนึ่งที่ทำสัญญาจิตวิญญาณ เขาจะกลายเป็นทาสที่พร้อมทำตามคำสั่งของเทพเจ้า แม้แต่ชีวิตและความตายของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควบคุมได้อีกต่อไป


“หมอนี่…” จางเซวียนใจเต้นตึกตัก


ไม่แปลกใจแล้วที่อำมาตย์เฉินหลิงเคยพูดว่าอำมาตย์เฉินหย่งไม่ได้เด็ดเดี่ยวเหมือนเขา และตัวเขาเองสามารถสละได้แม้แต่ชีวิต…จางเซวียนนึกว่าอำมาตย์เฉินหลิงหมายถึงพิธีกรรม แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นตัดสินใจที่จะมอบทุกอย่างให้กับเทพเจ้าแล้ว?


นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความตายของเหล่านักปราชญ์โบราณในกลุ่มก๊วนของตัวเอง กลับกลายเป็นว่าไพ่ไม้ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน


ด้วยการมอบอิสระทั้งหมดของตัวเองให้กับเทพเจ้า อำมาตย์เฉินหลิงจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไขจากเทพเจ้าเป็นสิ่งตอบแทน ในฐานะเจ้านาย แน่นอนว่าเทพเจ้าจะต้องอยู่เคียงข้างอำมาตย์เฉินหลิง และช่วยเขารับมือกับศัตรูหรือแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์!


เทพเจ้าก้าวออกมาและรับหยดเลือดไว้ ในชั่วพริบตา เขาก็ควบคุมเจตจำนงและจิตวิญญาณของอำมาตย์เฉินหลิงไว้ได้ทั้งหมด เพียงแค่ความคิดแวบเดียวของเทพเจ้าก็สามารถจบชีวิตของอำมาตย์เฉินหลิงได้ทันที


หลังจากทำสิ่งนั้นแล้ว เทพเจ้าก็หันกลับมามองจางเซวียน นัยน์ตาของเขาไม่บ่งบอกความสุขุมอีกต่อไป แต่แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น


จางเซวียนแทบหายใจหายคอไม่ออกเมื่อเผชิญหน้ากับสายตานั้น


ตอนที่ 1838 พละกำลังของเทพเจ้า

“คุณคือตัวปลอม”


เสียงของเทพเจ้าดังกึกก้องราวกับโลหะกระทบกัน น้ำเสียงนั้นเฉยเมยทว่าเฉียบขาด


ความคิดของอำมาตย์เฉินหลิงทำให้เทพเจ้าเห็นชัดว่าใครคือตัวปลอม


ในฐานะผู้ที่มาจากมิติเบื้องบน ถือเป็นความอับอายใหญ่หลวงของเขาที่ถูกผู้ที่มาจากมิติต่ำกว่า ล่อลวงและปั่นหัว ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เขาคงต้องตายเพราะความอับอาย แน่นอนว่าสิ่งนี้ คือโทสะที่แผดเผาลึกอยู่ในหัวใจของเขา


“อ้าว ดูเหมือนเราจะถูกจับได้เสียแล้ว!”


ความตั้งใจมุ่งมั่นของอำมาตย์เฉินหลิงที่จะมอบจิตวิญญาณให้เทพเจ้าทำให้เกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะนั่นคือสิ่งที่จางเซวียนจะไม่มีวันยอมทำ ดังนั้น มันจึงเป็นจุดอ่อนยิ่งใหญ่ในการปลอมตัวของเขา


จางเซวียนหัวเราะเจื่อนๆ จากนั้นก็เงื้อแขนขึ้นและพุ่งเข้าใส่


ฟึ่บ!


หอกสวรรค์กระดูกมังกรลอยเข้าสู่มือของเขา เขาจ้วงแทงหอกเข้าใส่เทพเจ้าด้วยพละกำลังหนักหน่วง


ความแข็งแกร่งจากกายเนื้อ พลังปราณ และจิตวิญญาณของจางเซวียนมารวมกันอยู่ที่ปลายหอกสวรรค์กระดูกมังกร ก่อเกิดเป็นพละกำลังที่ทำลายได้แม้แต่มิติและกาลเวลา


มันเป็นการโจมตีที่เอาชนะได้แม้แต่อำมาตย์เฉินหลิงในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที อาจทำให้เขาต้องถึงตายราวกับกวางง่อยๆตัวหนึ่งโดยปราศจากความปรานี


ในเมื่อการปลอมตัวของจางเซวียนไม่เป็นผล เขาจึงต้องเปิดการโจมตีก่อน เพราะถ้าเป็นไปได้ ก็มีโอกาสที่เทพเจ้าจะไม่ทันระมัดระวังตัวและทำให้เขาสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ ซึ่งนั่นก็จะดีที่สุด


หรือต่อให้เขาไม่อาจสังหารเทพเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็ยังพอจะได้เปรียบจากการเริ่มก่อน


ในเมื่อเทพเจ้ารับอำมาตย์เฉินหลิงเป็นบริวารแล้ว อีกทั้งยังไม่ใส่ใจสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกใบนี้ ก็แน่นอนว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางไกลเกลี่ยได้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนดีเหมือนกัน


“เฮอะ!”


เห็นการเคลื่อนไหวของจางเซวียน เทพเจ้าคำรามเยาะและเอาสองมือไพล่หลังไว้ ไม่คิดจะหลบเลี่ยง


ฟึ่บ!


ก่อนที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรจะจ้วงแทงเข้าที่แผงอกของเขา มันก็ถูกกระแสพลังงานหนึ่งกวาดออกไป ราวกับดาบไม้ที่ปะทะกับเกราะโลหะ หอกสวรรค์กระดูกมังกรไร้ประสิทธิภาพไปโดยสิ้นเชิง จางเซวียนไม่สามารถจ้วงแทงหอกลงไปลึกกว่าเดิมได้


เห็นภาพนั้น เหงื่อพรั่งพรูออกจากทุกรูขุมขนของจางเซวียน


เขารู้ว่าเทพเจ้าคือบุคคลผู้ทรงพลัง แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าที่เขาคาดไว้


เทพเจ้าปัดป้องการโจมตีของเขาได้เพียงแค่ใช้พลังปราณขั้นพื้นฐานปกป้องร่างของตัวเอง!


รู้ดีว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจ จางเซวียนรีบชักหอกกลับสุดแรง แต่มิติที่อยู่ตรงหน้าแผงอกของเทพเจ้ากลับยุบตัวลงอย่างกะทันหัน เพราะติดแหงกอยู่ในมิติที่แตกสลาย จางเซวียนพบว่าเขาไม่อาจชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรกลับได้ ไม่ว่าจะออกแรงฉุดดึงแค่ไหนก็ตาม


จากนั้น เสียงหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็แว่วเข้าหู “นายท่าน ผมบาดเจ็บ…”


จางเซวียนรีบจ้องดู เห็นความเหนื่อยอ่อนและความบุบสลายอยู่ที่ปลายหอกสวรรค์กระดูกมังกร มีรอยร้าวบนเกล็ดมังกรที่ปกคลุมผิวของมัน ดูเหมือนจะมีเลือดสีแดงก่ำซึมออกมาจากรอยร้าวเหล่านั้นด้วย


“เขาทรงพลังเกินไป เราจะรับมือกับคู่ต่อสู้ระดับนี้ได้อย่างไรกัน?”


ถ้าเทพเจ้าทรงพลังถึงขนาดนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ตอบโต้ แล้วพวกเขามิหมดสภาพหรือหากเทพเจ้าตอบโต้ขึ้นมา?


จางเซวียนเคยคิดว่าตัวเขาน่าจะเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานในหมู่นักปราชญ์โบราณ เพราะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด อีกทั้งยังมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ในมือ แต่ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าเขามองโลกในแง่ดีเกินไป


“เราต้องเคลื่อนไหวแล้วนะ ไม่อย่างนั้นได้ตายกันหมดอยู่ที่นี่แน่!”


เห็นภาพนั้น อำมาตย์เฉินหย่งรู้ตัวทันทีว่าถ้าพวกเขาไม่เคลื่อนไหว ก็คงถูกสังหารหมู่เหมือนลูกแกะง่อยภายในเวลาเพียงครู่เดียว จึงรีบชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่


ในเวลาเดียวกัน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็เงื้อกรงเล็บขนาดมหึมาขึ้น เปลวเพลิงเข้มข้นระเบิดออกจากร่างของเขา ดูเหมือนเขาจะแผดเผาทั้งโลกให้ลุกเป็นไฟ


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับคนอื่นๆก็ไม่อยู่เฉย พวกเขารีบโผขึ้นสู่กลางอากาศและเข้าผนึกกำลังกับคนอื่นๆ


ทั้งกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดในเผ่าพันธุ์ปีศาจ การผนึกกำลังกันของพวกเขาอาจเอาชนะได้แม้แต่สวรรค์


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เทพเจ้ายกมือขึ้นอย่างสบายใจและกระดิกนิ้ว


ฟิ้วววว!


คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและกาลเวลาพุ่งออกมาทันที กวาดล้างการโจมตีทั้งหมดจนสิ้นซากในชั่วพริบตา พละกำลังทำลายล้างที่เกิดจากการผนึกกำลังกันของทั้งกลุ่มก็สลายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน


แต่การขัดจังหวะของพวกเขาก็ช่วยยื้อเวลาให้จางเซวียนได้ชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและกลับไปอยู่ข้างอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ถึงอย่างนั้น ความเหลื่อมล้ำของพละกำลังระหว่างสองฝ่ายก็ถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ของพวกเขา


เมื่อเจอกับความแข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งที่อยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดก็คงถูกสังหารในชั่วพริบตา หมดหนทางตอบโต้ แต่เทพเจ้ากลับยับยั้งพวกเขาไว้ได้ด้วยการกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว


ราวกับทุกคนคือฝูงมดที่ยืนอยู่ต่อหน้ายักษ์ตัวมหึมา!


นี่คือพละกำลังของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติหรือ?


มันเหนือชั้นกว่าจินตนาการของพวกเขามาก


“ไม่เลวนี่ ดูเหมือนพวกคุณก็ไม่ไร้ประโยชน์เท่าไหร่” เทพเจ้าหัวเราะหึๆ แต่ไม่มีความรื่นรมย์แม้แต่น้อยอยู่ในคำพูดนั้น เขาชำเลืองมองทั้งกลุ่มที่อยู่ด้านล่างและพูดว่า “ทำเหมือนเขาสิ ยอมจำนนให้ผมเสีย แล้วผมจะไว้ชีวิตพวกคุณ รู้ไว้ด้วยนะว่าผมมีความอดทนให้พวกคุณไม่มาก รีบตัดสินใจด้วย”


“จะให้พวกเรายอมจำนนให้คุณหรือ? ฝันไปเถอะ!” อำมาตย์เฉินหย่งคำราม


ในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขามีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพของสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเขา หากเขาเต็มใจยอมรับใช้กลุ่มอำนาจที่สูงกว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งพละกำลัง ก็คงไม่พาตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้


“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็ขอผมดูหน่อยว่าพวกคุณมีกึ๋นขนาดไหน!” เทพเจ้าคำรามก่อนจะดีดนิ้ว


ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ปรากฏการโจมตีด้วย แต่ใบหน้าของอำมาตย์เฉินหย่งบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาทันที


พลั่ก!


เกิดรูขนาดใหญ่ที่หน้าท้องของเขา ร่างของเขาหมุนคว้างอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง เลือดสดๆทะลักออกมาจากรูนั้น ทำให้ทั้งโลกนองไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ


แต่เดิม อำมาตย์เฉินหย่งก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว การโจมตีครั้งนี้จึงทำให้เขาอาการทรุดลงกว่าเดิมมาก ถ้าไม่ใช่เพราะโทสะและความจงเกลียดจงชังที่ฝังอยู่ในหัวใจ เขาคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้


อำมาตย์เฉินหย่งรู้สึกได้ว่าร่างกายถึงขีดจำกัดของความอดทนแล้ว ดูเหมือนการโจมตีอีกเพียงครั้งเดียวก็คงทำให้ร่างของเขาแตกสลาย


จางเซวียนที่กำลังตกใจรีบเข้าไปอยู่ข้างอำมาตย์เฉินหย่งและถ่ายทอดพลังเยียวยาที่อยู่ในผืนผ้าใบสี่ฤดูเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย แต่แล้วก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่ามันใช้ไม่ได้ผล ราวกับพยายามผสมน้ำมันเข้ากับน้ำ พลังเยียวยานั้นปฏิเสธที่จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายของอำมาตย์เฉินหย่ง


อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าและอธิบายอย่างอ่อนแรง “พลังนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเยียวยาสภาพร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิงโดยเฉพาะ มันใช้การไม่ได้กับคนอื่น เหตุผลเดียวที่คุณซึมซับมันได้ก็เพราะเครื่องรางแห่งการปลอมตัวปรับเปลี่ยนร่างกายของคุณตั้งแต่รากฐาน ทำให้คุณสามารถซึมซับพลังงานนั้นได้เหมือนกัน”


พร้อมกันนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็นำยาเม็ดออกมาเม็ด 1 และกลืนลงไป ครู่ต่อมา ผิวพรรณของเขาก็ค่อยๆดูดีขึ้น


พละกำลังของเทพเจ้าจะถูกซึมซับได้โดยผู้ที่จัดเตรียมพิธีกรรมเท่านั้น แต่เพราะจางเซวียนปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิงโดยปรับเปลี่ยนตั้งแต่ระดับรากฐาน เขาจึงสามารถฉกฉวยพลังงานที่มีไว้ให้เฉพาะกับอำมาตย์เฉินหลิงได้ แต่อำมาตย์เฉินหย่งไม่อาจทำแบบนั้น


เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้ช่วยเขาปกปิดรังสีเอาไว้เพื่อปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาเป็นแค่คนรับใช้ จึงไม่มีทางที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะมอบของล้ำค่าอย่างเครื่องรางแห่งการปลอมตัวให้เขา


“เอ่อ…” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาโยนภาพวาดทิ้งไป ก่อนจะหันกลับไปจับจ้องเทพเจ้าที่อยู่กลางอากาศ


เทพเจ้าไม่ได้โจมตีต่อหลังจากเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่งแล้ว เขาจ้องมองลงมาที่ฝูงชนด้านล่างด้วยสายตาวางอำนาจ ราวกับเป็นผู้ปกครองที่มีทั้งชีวิตและความตายของทุกคนอยู่ในกำมือ


เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าไม่ได้รู้สึกว่าจางเซวียนกับคนอื่นๆเป็นภัยคุกคามต่อเขา คนเหล่านี้เป็นแค่แมลงน่ารำคาญที่เขาสามารถเล่นงานได้ในเสี้ยววินาที ชีวิตและความตายของคนพวกนี้จึงไม่มีผลอะไรต่อเขา


เทพเจ้าหันกลับไปมองฝูงชนที่เหลือซึ่งก่อนหน้านี้เคยต่อต้านเขา และตั้งคำถาม “พวกคุณที่เหลือจะว่าอย่างไร?”


เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ความลังเลระคนกับความหวาดกลัวทำให้ทุกคนพูดไม่ออก


เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เทพเจ้าดีดนิ้วอีกครั้ง


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆถูกสอยกระเด็นไปพร้อมกัน พละกำลังหนักหน่วงนั้นทำให้พวกเขาใบหน้าถอดสี เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก


“การที่ผมจะสังหารพวกคุณน่ะไม่ต้องใช้อะไรเลย แล้วก็ไม่มีอะไรที่พวกคุณจะตอบโต้ผมได้ด้วย นี่คือพละกำลังที่แท้จริง เราอาศัยอยู่ในโลกที่ความแข็งแกร่งคืออำนาจ และผู้อ่อนแอจะทำได้เพียงแค่ยอมศิโรราบด้วยความจำนน หรือไม่ก็พร้อมยอมรับความตาย ไม่มีความจำเป็นที่สมองน้อยๆของพวกคุณจะต้องใช้ความคิดให้มากเกินไป ทุกอย่างเห็นชัดเจนอยู่แล้ว พวกคุณมี 2 ทางเลือกเท่านั้น – ตายหรือไม่ก็ยอมจำนน อย่างที่ผมบอก ความอดทนของผมมีจำกัด ผมจะให้โอกาสพวกคุณเลือกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และถ้าตัดสินใจผิดล่ะก็ อย่าหวังว่าผมจะเมตตา!”


เทพเจ้าเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจเด็ดขาดราวกับทรราชย์


ดูเหมือนเขาพร้อมจะตัดหัวทุกคนที่กล้าตั้งคำถาม


“คุณจะไว้ชีวิตพวกเราหากเรายอมจำนนให้คุณอย่างนั้นหรือ?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถามอ้อมแอ้ม


“แน่นอน! ไม่เพียงแต่ผมจะไว้ชีวิตคุณ ผมยังจะช่วยคุณรวบรวมเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่ง และมอบทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพวกคุณด้วย คุณจะมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างไม่มีใครเทียบได้ อยู่เหนือเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัว เว้นเสียแต่ผมเท่านั้น” เทพเจ้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“เอ่อ…” ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น เขาเกิดความสับสนอยู่ครู่หนึ่งระหว่างแนวคิดของอิสระกับอำนาจ มันขัดแย้งกันอยู่ในสมอง แต่ใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจได้ นักปราชญ์โบราณผู้นั้นก้มศีรษะ จากนั้นก็ทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างนอบน้อมและปฏิญาณ “โอ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผมขอสัญญาว่าจะรับใช้คุณด้วยชีวิตของผม!”


เหตุผลที่เขาตัดสินใจช่วยเหลืออำมาตย์เฉินหย่งก็เพื่อผลประโยชน์ เพราะหากเขาช่วยให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้ สถานภาพในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของเขาก็จะเหนือชั้นกว่าคนอื่น แต่การปรากฏตัวของเทพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เมื่อชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปกป้องอำมาตย์เฉินหย่งอีก


ตอนที่ 1839 ไพ่ไม้ตายใบสุดท้าย

“มันคือการตัดสินใจอันชาญฉลาดที่สุดเท่าที่คุณเคยทำมา”


เห็นคำพูดของเขาสามารถชักนำนักปราชญ์โบราณให้มาเป็นพรรคพวกได้ เทพเจ้ายิ้มน้อยๆขณะพยักหน้าอย่างพอใจ เขาหันไปตั้งคำถามกับฝูงชนที่เหลือ “แล้วพวกคุณล่ะ?”


“ผม…”


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 2 อีกสามตัวที่อำมาตย์เฉินหย่งได้หว่านล้อมให้มาเป็นพรรคพวกตัวสั่นด้วยความลังเล ไม่รู้ว่าควรแสดงกิริยาอย่างไร


ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว ก็พอดีกับที่ผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับ พวกเขาไม่อาจตัดสินใจได้เพราะความกะทันหันของสถานการณ์


เกิดความเงียบงันอันตึงเครียดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งจะหันกลับไปแล้วบินตรงไปหาเทพเจ้า “อำมาตย์เฉินหย่ง ผมเสียใจด้วย ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยคุณ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้…ผมจะชดใช้สิ่งที่ผมติดค้างคุณในชาติหน้าก็แล้วกัน!”


อำมาตย์เฉินหย่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะมองนักปราชญ์โบราณอีก 2 ตัวที่เหลือก่อนจะพูดว่า “มันเป็นเรื่องของความเป็นความตาย ผมไม่ตำหนิการตัดสินใจของพวกคุณหรอก…”


นักปราชญ์โบราณที่เหลืออีก 2 ตัวมองหน้ากัน ก่อนตัวหนึ่งจะพูดขึ้น “ผมเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เต็มทีแล้ว ถ้าผมต้องตายด้วยน้ำมือของเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน อย่างน้อยชื่อของผมก็จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ชีวิตของผมจะไม่สูญเปล่า…อำมาตย์เฉินหย่ง คุณช่วยชีวิตผมไว้เมื่อหลายปีก่อน ชีวิตของผมจะเป็นของคุณจนถึงวินาทีสุดท้าย!”


“ผมก็เหมือนกัน นับตั้งแต่วินาทีที่ตัวผม, นักปราชญ์โบราณจินถ่า ตอบตกลงที่จะช่วยเหลือคุณ ผมก็ตัดสินใจแน่นอนแล้ว ผมจะกลับไปด้วยชัยชนะหรือไม่ก็ตายอย่างสมเกียรติ!”


เมื่อมีผู้ที่หวาดกลัวความตาย ก็เป็นธรรมดาที่ย่อมจะมีผู้ที่ยืนหยัดยึดมั่นในค่านิยมของพวกเขา แม้ความตายจะอยู่ตรงหน้า


ความหวาดกลัวถูกฝังรากลึกอยู่ในยีนของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณทุกตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกนั้น ก็เหมือนกับมนุษย์อีกมากมาย เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้จักความจงรักภักดีเช่นกัน


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณอย่างสูงสุดจากผม…” เห็นนักปราชญ์โบราณทั้งสองยินยอมพร้อมใจอยู่เคียงข้างเขาแม้จะต้องเผชิญกับความตาย อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมด้วยความสำนึกในบุญคุณ


จากนั้นเขาก็หันไปมองนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเพื่อขอความเห็น


“คุณจะมองผมเพื่ออะไร? ผมน่ะไม่เคยกลัวใครในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือการสูญเสียตัวตนของตัวเอง เพราะฉะนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน ก็แล้วอย่างไรล่ะ? อย่างน้อยผมก็น่าจะถลกหนังของเขาได้สักชั้นหนึ่งก่อนที่เขาจะสังหารผมได้สำเร็จ!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำราม เผยให้เห็นฟันแหลมคมน่าสะพรึง


มันเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็เป็นหนี้บุญคุณต่อนายท่านที่มอบหนทางให้กับสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบหรือล่าถอย เขาก็จะทำตามคำสั่งของนายท่านโดยไม่ลังเลสักนิด


“ผมคิดว่าสำหรับคุณทั้งสอง ผมคงไม่ต้องถาม…” อำมาตย์เฉินหย่งหันไปมองนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน และได้สบสายตาอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของทั้งคู่ รู้ดีว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว อำมาตย์เฉินหย่งจึงถามจางเซวียน “นายน้อย คราวนี้เราจะทำอย่างไรต่อ?”


“เราจะทำอะไรอื่นได้ล่ะนอกจากทุ่มเทพละกำลังเล่นงานเขา?” จางเซวียนตอบขณะชูหอกสวรรค์กระดูกมังกรขึ้นอีกครั้ง “จัดการเขาให้สิ้นซาก!”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งออกไปราวกับมังกรผงาด ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นทั่วทั้งพื้นที่ ตีวงล้อมเทพเจ้าไว้


“ตอนนี้แหละ!”


รู้ดีว่าไม่มีหนทางให้ล่าถอย อำมาตย์เฉินหย่งเปิดการโจมตีเช่นกัน


เมื่อนักปราชญ์โบราณถึง 8 คนผนึกกำลังกัน ก็ดูราวกับว่าทั้งโลกจะจมดิ่งอยู่ภายใต้พละกำลังของพวกเขา เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจสั่นสะท้านราวกับมีแผ่นดินไหว ค่ายกลและอักษรจารึกทุกชนิดถูกแรงกดดันบีบให้แผ่พลังจิตวิญญาณออกมา


นักปราชญ์โบราณคือผู้ที่สามารถสังหารชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนได้ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว นับประสาอะไรกับการที่นักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มเปิดการโจมตีพร้อมกัน


เมื่อถูกจางเซวียนกับพรรคพวกตีวงล้อม เทพเจ้าคำราม “ฝูงมดที่ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว!”


เขายกมือสองข้างขึ้นแล้วผลักมันออกไป ไม่ปรากฏกระบวนท่าโจมตีใดๆออกมา แต่ก็น่าประหลาดที่การโจมตีของอีกฝ่ายสลายไปอย่างไร้ร่องรอย


เมื่อการโจมตีถูกทำลาย จางเซวียนรีบนำหนังสือเทียบฟ้าออกมาทันที


พริบตาต่อมา มือคู่หนึ่งก็โผล่ออกมาจากภายในหนังสือและตรงเข้าคว้าตัวเทพเจ้า


ฟึ่บ!


ทันทีที่ร่างของเทพเจ้าปะทะกับมือคู่นั้น สีหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยความตื่นเต้น “นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติหรือ?”


เพียงแค่มอง เทพเจ้าก็รู้แล้วว่าไอ้โหดมีพละกำลังแค่ไหนหากอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด ก็เหมือนกับเขา ไอ้โหดก้าวเข้าสู่การเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติแล้ว อันที่จริง อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ


การที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในดินแดนที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ…เรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อ!


“คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!” เทพเจ้าคำรามขณะฉีกกระชากมิติที่อยู่รอบมือของไอ้โหดเพื่อพันธนาการมันไว้


ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ยังขาดต้นขาและเท้า ดังนั้นพละกำลังของเขาจึงยังหยุดอยู่ที่ขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นสูงสุด ยังห่างไกลนักหากจะเทียบชั้นกับเทพเจ้า


“ข้อบกพร่อง!”


เมื่อเห็นว่าในที่สุดเทพเจ้าก็ตอบโต้การโจมตีของไอ้โหดได้ จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าทันที


ฟึ่บ!


เกิดการกระตุกเล็กน้อย แต่ไม่ปรากฏหนังสือสักเล่ม


จางเซวียนเลิกคิ้ว


ถ้าเขาหาข้อบกพร่องของเทพเจ้าไม่เจอ ก็คงไม่มีวันได้ชัยชนะ แต่ในเมื่อหอสมุดเทียบฟ้าก็ยังไม่เข้าข้างเขา…แล้วเขาจะเอาชนะการสู้รบครั้งนี้ได้อย่างไร?


ว่าแต่ ทำไมหอสมุดเทียบฟ้าถึงทำให้เราผิดหวังตั้งแต่แรก?


จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


หรือว่าเป็นเพราะเทพเจ้าไม่ได้มาจากโลกใบนี้ สรวงสวรรค์ของโลกใบนี้จึงไม่อาจมองทะลุตัวตนของเขา?


เทพเจ้ามาจากมิติเบื้องบน ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ใช่พลเมืองของโลกใบนี้ อีกอย่าง ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็เข้าถึงระดับที่แม้แต่โลกก็ไม่อาจรองรับได้ หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือเกี่ยวกับเทพเจ้าไม่สำเร็จ?


“ถอย!”


เมื่อปราศจากความช่วยเหลือของหอสมุดเทียบฟ้า โอกาสที่จะได้ชัยชนะก็ริบหรี่เต็มที มีเพียงเส้นบางๆกั้นระหว่างความกล้าหาญกับความบ้าบิ่นอย่างโง่เขลา


ดังนั้น จางเซวียนจึงสะบัดหอกอีกครั้งด้วยพละกำลังเต็มพิกัดก่อนจะกระโจนกลับมา


ได้ยินคำสั่งของจางเซวียน อำมาตย์เฉินหย่งกับคนอื่นๆถอนการโจมตีอย่างไม่เต็มใจก่อนจะล่าถอยเช่นกัน


ราวกับมีดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นกลางอากาศ คลื่นความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงกวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่ภายในรัศมีหลายแสนเมตร ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ จางเซวียนใช้โอกาสนี้พยายามเปิดรอยแยกแห่งมิติทันทีโดยใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกร เพื่อจะหลบหนีไปพร้อมกับคนอื่นๆ แต่แล้วก็พบว่ามิตินั้นแข็งแกร่งราวกับเหล็ก


ดูเหมือนเทพเจ้าจะอ่านเกมออก จึงสกัดกั้นมิติในรัศมีหลายแสนลี้เอาไว้


“ผมจะปล่อยให้พวกคุณหนีไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?”


เทพเจ้ายิ้มน้อยๆและย่างสามขุมเข้าหาทั้งกลุ่ม ทุกย่างก้าวของเขาทำให้จิตวิญญาณของแต่ละคนสั่นสะท้าน


นี่คือคู่ต่อสู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ ต่อให้พวกเขาจะพยายามสักแค่ไหน ก็ไม่พบช่องโหว่ให้เข้าเล่นงานได้เลย


เมื่อรู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึงที่สะท้อนอยู่ในแววตาของคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า เทพเจ้าหัวเราะหึๆ “ส่งโครงกระดูกที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติมาให้ผม แล้วผมจะพิจารณาว่าควรไว้ชีวิตพวกคุณหรือไม่!”


“นายท่าน คุณจะปล่อยให้พวกมันหนีไปไม่ได้นะ!” อำมาตย์เฉินหลิงร้องเตือนเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


“บังอาจ คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาก้าวก่ายการตัดสินใจของผม?”


เทพเจ้าหันขวับ แล้วร่างของอำมาตย์เฉินหลิงก็กระเด็นไปราวกับถูกค้อนทุบ


เทพเจ้าสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา จากนั้นก็คำรามก่อนจะหันกลับมามองจางเซวียน “คุณว่าอะไรนะ?”


เขาดูออกว่าชายหนุ่มที่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในกลุ่มคือผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุด และแน่นอนว่าโครงกระดูกนั้นก็เชื่อฟังคำสั่งของเขา


“คุณอยากได้ไอ้โหด?” จางเซวียนจ้องหน้าเทพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่น “ฝันไปแล้วล่ะ!” ไอ้โหดติดตามเขามานานแล้ว ช่วยชีวิตเขาไว้ก็หลายครั้ง การจะมอบไอ้โหดให้คนอื่นไปง่ายๆแบบนี้…ไม่มีทาง!


ได้ยินคำตอบของจางเซวียน เทพเจ้าส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ราวกับจะสมเพชความโง่เง่าของมนุษย์ “ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมคิดว่าคงไม่มีทางเลือกอื่น…”


เขายกมือขึ้นแล้วปล่อยพลังเข้าใส่จางเซวียน


ในตอนนั้น จางเซวียนรู้สึกราวกับทั้งจักรวาลพังทลายเข้าใส่เขา มันเป็นพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าที่เขาคาดไว้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงผงธุลี


พลังนั้นดูจะบีบทั้งหัวสมองและจิตวิญญาณให้หลุดลอยออกจากร่าง ผลักดันเขาให้ร่วงหล่นไปยังประตูของโลกบาดาล


“ก็ดี ผมได้แต่หวังว่ามันจะได้ผล แล้วมาดูกันว่าใครจะหัวเราะทีหลัง!”


รู้ดีว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาควรยั้งมือ จางเซวียนกัดฟันขณะเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


ฟิ้วววว!


หนังสือเล่มหนึ่งลอยออกจากหว่างคิ้วของเขาและขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา มันก็มีความยาวและความกว้างหลายแสนจ้าง


มันคือหน้าหนังสือสีทองหน้าสุดท้ายของเขา!


จางเซวียนเก็บมันไว้ในหอสมุดเทียบฟ้ามาตลอด แต่ด้วยความคับขันของสถานการณ์ตอนนี้ นี่คือไพ่ไม้ตายใบเดียวที่เขาเหลืออยู่


“นี่มันอะไร?” เทพเจ้าคำราม


นึกไม่ถึงว่าคนที่เขากำลังจะสังหารจะใช้หนังสือเล่มหนึ่งเป็นไพ่ไม้ตายใบสุดท้าย เทพเจ้าหัวเราะลั่นจนแทบสำลัก “คุณคิดจริงๆหรือว่าหนังสือไร้ค่าเล่มนี้จะทำอันตรายผมได้ ผมไม่เคยเห็นอะไรงี่เง่าอย่างนี้มาก่อน…”


ฟึ่บ!


ยังไม่ทันที่เทพเจ้าจะพูดจบ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาก็พลันมืดมิดขณะที่หนังสือหล่นทับ


พลั่ก!


เทพเจ้าบี้แบนอยู่กับพื้นและสูญเสียลมหายใจเฮือกสุดท้าย


“….”


ความเงียบงันครอบคลุมทั่วบริเวณนั้นอยู่นาน


ตอนที่ 1840 ศักดิ์ศรีของอำมาตย์เฉินหย่ง

นัยน์ตาของอำมาตย์เฉินหลิงแทบทะลุออกจากเบ้า เรื่องนี้บ้าบอเกินไปสำหรับเขา!


เขาจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดพิธีกรรมเรียกเทพเจ้า และเคยคิดว่าน่าจะใช้อำนาจของเทพเจ้ารวบรวมเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวและเล่นงานเสียงต่อต้านได้ ใครจะไปรู้ว่า เป้าหมายของเขาจะถูกทำลายด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว?


เขาขยี้ตาครั้งแล้วครั้งเล่า หวังว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเรื่องที่เขาคิดไปเอง


นั่นคือเทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติที่ถูกเล่นงานด้วยหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม…เรื่องจบลงด้วยชัยชนะของหนังสือเล่มนั้นได้อย่างไร?


ขณะกำลังครุ่นคิด เลือดก็กระอักออกจากปากของเขาอีกครั้ง


บ้าที่สุด! นี่มันอะไรกัน?


คุณควรจะเหนือชั้นกว่าใครๆ ถึงขนาดที่ทุกคนในโลกไม่ต่างอะไรกับมดเมื่อเปรียบเทียบกับคุณไม่ใช่หรือ?


คุณควรจะเป็นบุคคลผู้สูงส่งที่บงการความเป็นความตายของใครๆใช่ไหม?


แล้วมาเสียชีวิตเพราะถูกหนังสือเล่มหนึ่งทับ…


อำมาตย์เฉินหลิงยังคงไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบเข้าไปตรวจสอบร่างของเทพเจ้า เห็นหัวกระโหลกของอีกฝ่ายแบะออก ทั้งจิตวิญญาณ สมอง และจิตใจของเทพเจ้าหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว เขาไม่อาจตายมากกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก


ก่อนที่จะทันรู้ตัว นัยน์ตาของอำมาตย์เฉินหลิงก็พร่าเลือน น้ำตาไหลเป็นทางอาบสองแก้ม


ทำไมเขาถึงโชคร้ายขนาดนี้? มันเป็นไปได้อย่างไร!


หยดเลือดมังกรที่เขาลงทุนลงแรงขัดเกลาด้วยความยากลำบากก็ถูกขโมย พลังงานที่เขาเสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่วเพื่อนำมาเยียวยาอาการบาดเจ็บก็ถูกฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตา และแม้แต่ไม้ตายของเขาก็ถูกสังหารในพริบตาเดียว


เมื่อคิดดู ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรดีเลยนับตั้งแต่เขาได้พบไอ้สารเลวจางเซวียนคนนั้น!


โชคดีที่เทพเจ้าไม่ได้มีความคิดจะให้เขาตาย จึงไม่ได้ทำลายจิตวิญญาณของเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องจากโลกนี้ไปพร้อมกับอีกฝ่าย


อำมาตย์เฉินหย่ง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และคนอื่นๆมองหน้ากันอย่างงงงัน ต่างคนต่างกระพริบตาปริบๆขณะหัวสมองว้าวุ่น พยายามหาเหตุผลในสิ่งที่เพิ่งเห็น


พวกเขาคิดว่าคงต้องแย่แน่แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าพล็อตเรื่องจะหักมุมอย่างกะทันหันในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน?


เขานำหนังสือออกมา แล้วทุ่มมันเข้าใส่เทพเจ้าราวกับกำลังกำจัดแมลงสาบตัวหนึ่ง


เรื่องนี้บ้าบอสิ้นดี!


ในเวลาเดียวกัน สองนักปราชญ์โบราณที่เพิ่งแปรพักตร์ไปเข้าข้างเทพเจ้าก็ดูหมดหวังอย่างรุนแรง ในตอนนั้น ทั้งคู่อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย


ถ้ายืนหยัดนานกว่านี้อีกสักหน่อยและเลือกติดตามอำมาตย์เฉินหย่ง ก็คงจะได้เลื่อนตำแหน่งทันทีในฐานะผู้มีส่วนร่วมก่อการปฏิวัติ แต่จากการแปรพักตร์เมื่อครู่นี้ของพวกเขา ความหวังนั้นก็ไม่มีอีกต่อไป พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอำมาตย์เฉินหย่ง และไม่ช้าไม่นานก็คงไม่มีที่ทางในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ


เทพเจ้าควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ไร้เทียมทาน แต่ทำไมถึงเชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้?


ไม่ใช่แค่ฝูงชนที่ตกตะลึงกับการพลิกผันของเหตุการณ์ จางเซวียนก็จังงังเช่นกัน


พูดกันตามตรง การนำหน้าหนังสือสีทองออกมาเป็นไพ่ไม้ตายใบสุดท้ายของเขา เขาคิดว่าหน้าหนังสือสีทองคงจะมีพละกำลังเพียงแค่สกัดกั้นเทพเจ้าไว้ได้สักระยะหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่ามันมีพลังมากพอที่จะเล่นงานอีกฝ่ายจนถึงตาย!


ถ้าเขารู้ว่าหน้าหนังสือสีทองสังหารได้แม้แต่เทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เขาคงนำมันออกมาตั้งแต่แรก และคงไม่ต้องพบเจอความยุ่งยากขนาดนี้


เพิ่งไม่นานนี้เองที่หน้าหนังสือสีทองมีปัญหาเล็กน้อยระหว่างที่กำลังพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ที่สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว แต่ตอนนี้มันกำจัดเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย นี่คือหนึ่งในอานุภาพของหอสมุดเทียบฟ้าที่ถูกยกระดับขึ้นใหม่หรือเปล่า?


ในเมื่อหน้าหนังสือสีทองมีปัญหาเล็กน้อยในการสังหารนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการสืบทอดสายเลือด เขาจึงคิดว่ามันไม่น่าจะสังหารเทพเจ้าได้ แต่ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่คิดไว้มาก เท่าที่เห็น คงจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งถูกซึมซับเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


พูดอีกอย่างก็คือ แม้หอสมุดเทียบฟ้าจะไม่อาจมองทะลุเทพเจ้า แต่พละกำลังของหน้าหนังสือสีทองก็เหนือชั้นกว่าเทพเจ้าเสียอีก


“อำมาตย์เฉินหย่ง ผมจะปล่อยหมอนี่ไว้ให้คุณ”


เมื่อเทพเจ้าเสียชีวิต อำมาตย์เฉินหลิงก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป จางเซวียนจึงโบกมือและเดินไปดูศพของเทพเจ้า


ถ้าเขาสามารถหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณจากร่างของนักรบที่มีวรยุทธขั้นการแบ่งแยกมิติได้ ก็คงจะไร้เทียมทานยิ่งกว่าเดิม!


ที่สำคัญกว่านั้น มันจะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการพาเขาก้าวสู่มิติเบื้องบน ทำให้เขามีโอกาสได้พบหลัวลั่วชิง


ส่วนความขัดแย้งระหว่างอำมาตย์เฉินหย่งกับอำมาตย์เฉินหลิงนั้น เขาช่วยอำมาตย์เฉินหย่งมาถึงขนาดนี้แล้ว จึงคิดว่าควรจะปล่อยที่เหลือไว้ให้อีกฝ่ายจัดการ


เขารู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่อำมาตย์เฉินหย่งต้องการ


“ขอบคุณมาก นายน้อย!”


เห็นจางเซวียนปล่อยให้เขาจัดการกับอำมาตย์เฉินหลิงตามใจ อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าอย่างสำนึกในบุญคุณ จากนั้นก็หันไปส่งสายตาเย็นเยียบใส่อำมาตย์เฉินหลิง “อำมาตย์เฉินหลิง ผมไม่เคยปฏิบัติต่อคุณอย่างเลวร้าย แต่คุณร่วมมือกับมนุษย์และทรยศผม ผมเชื่อว่าผมคงไม่ต้องอธิบายว่าอะไรรอคอยคุณอยู่ ถูกไหม?”


อำมาตย์เฉินหลิงเหลียวซ้ายแลขวา เห็นนักปราชญ์โบราณโม่หลิง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง และนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆสกัดกั้นมิติที่อยู่โดยรอบไว้ เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางหนีพ้น เขาระบายลมหายใจยาวและพูดว่า “ผู้ชนะทำได้ทุกอย่าง ในเมื่อผมแพ้แล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด!”


ถ้าเขาชนะ โลกย่อมเป็นของเขา แต่ในเมื่อทุกอย่างผลักดันให้เขาเป็นแบบนี้…อย่างแย่ที่สุดก็คงเป็นแค่ความตาย


ตอนที่เขาตัดสินใจหักหลังอำมาตย์เฉินหย่งโดยหวังว่าจะได้เป็นผู้นำคนใหม่ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ก็รู้อยู่แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ในตอนนั้น เขาคิดว่าไม่มีวันที่ตัวเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ จึงยอมพลีชีพรับใช้เทพเจ้า เพื่อจะได้มั่นใจว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนอยู่


แต่ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ อำมาตย์เฉินหลิงก็รู้สึกว่าตัวเองสุขุมกว่าเดิม บางทีอาจเป็นเพราะรับรู้แล้วว่าทุกอย่างถึงจุดสิ้นสุด ทำให้ความทะเยอทะยานของเขาหมดสิ้นไป


“ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจหักหลังผม” ได้ยินคำตอบของอำมาตย์เฉินหลิง อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าและพูดต่อ “นับตั้งแต่โบร่ำโบราณ สามอำมาตย์เคยอยู่ภายใต้การนำของเชื้อสายตระกูลอำมาตย์เฉินหลิง แต่เมื่อถึงยุคท่านปู่ของผม เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงก็เริ่มเสื่อมถอย”


“…การที่คุณเกิดมาถือเป็นจุดเปลี่ยนของเชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิง ความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งของคุณทำให้บรรดาสมาชิกในตระกูลฝากความหวังทั้งหมดไว้กับคุณ แล้วคุณก็อยากทำให้ได้ตามความคาดหวังของพวกเขา คุณตั้งใจไว้ว่าจะนำพาเชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ดังเดิม และมุ่งมั่นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น แต่โชคร้ายที่คุณมาพบผม”


“คุณรู้ว่าต้องเอาชนะผมให้ได้เพื่อให้เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำอีกครั้ง จึงทุ่มเททุกอย่างจนสุดตัว แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงไม่มีทางเลือกและต้องทำแบบนี้ คุณคิดว่าขอแค่ผมออกไปพ้นทาง คุณก็จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นหนึ่งและทำให้เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงกลายเป็นผู้นำตัวจริงของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้อีกครั้ง แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเท่าที่คุณเคยทำมา”


อำมาตย์เฉินหลิงถอนหายใจเฮือก


นับตั้งแต่โบร่ำโบราณ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณมีศูนย์กลางอยู่ที่เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิง นั่นคือเหตุผลที่บรรดาสมาชิกในตระกูลรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ใช้ชื่อ ‘หลิง’ เป็นชื่อของพวกเขา แต่การปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับของปรมาจารย์ขงในเผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงการปรากฏตัวของไอ้โหดในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นทำให้อำนาจแปรเปลี่ยนมาอยู่ในมือของเชื้อสายของตระกูลอำมาตย์เฉินหย่ง


ในฐานะผู้ที่เคยเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณมาเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน ไม่มีทางที่เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงจะยอมรับเรื่องนี้ ความไม่พอใจสะสมทวีคูณตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนลงเอยด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น


ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่จะระเบิดออกมาช้าหรือเร็วเท่านั้น


“คุณจะป้ายความผิดให้ผมอย่างไรก็ได้ตามแต่คุณต้องการ ถึงอย่างไรผมก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องใส่ใจคำพูดของใครต่อใครอีก?” อำมาตย์เฉินหลิงโบกมือ


“ป้ายความผิดให้คุณ?” อำมาตย์เฉินหย่งหัวเราะ “คุณประเมินผมต่ำไปแล้วล่ะ ผมไม่ทำอะไรน่าสมเพชอย่างนั้นหรอก ไม่เพียงเท่านั้นนะ ผมจะยังให้โอกาสคุณอีกครั้งด้วย เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าความแตกต่างระหว่างเราทั้งคู่นั้นเป็นสิ่งที่คุณไม่มีวันเอื้อมถึง!”


“คุณจะให้โอกาสผมอีกครั้ง?” อำมาตย์เฉินหลิงคำรามเยาะ


“ง่ายนิดเดียว ผมจะท้าทายคุณเข้าสู่การดวลอย่างชอบธรรมโดยไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาขัดขวาง ถ้าคุณเอาชนะผมได้ คุณจะได้ออกจากที่นี่ไปโดยยังมีชีวิต แต่ถ้าคุณแพ้ ก็ต้องตายที่นี่!” อำมาตย์เฉินหย่งตอบ


ในเมื่อเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกทรยศเขาก็เพราะไม่อาจทำตัวให้เหนือกว่าเขาได้ เขาก็อยากจะ ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่าช่องว่างระหว่างตัวเขากับอำมาตย์เฉินหลิงเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มีวันก้าวข้ามได้สำเร็จ!


“คุณแน่ใจหรือ?” อำมาตย์เฉินหลิงเงยหน้าขึ้นขณะหรี่ตาเพื่อหยั่งความรู้สึกของอำมาตย์เฉินหย่ง


เขาถอดใจและยินยอมพร้อมตายแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่จะโง่เง่าถึงขนาดท้าทายเขาเข้าสู่การดวลอย่างชอบธรรม?


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่มีวันเทียบชั้นกับอำมาตย์เฉินหย่งได้ แต่ตอนนี้อำมาตย์เฉินหย่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ที่ได้เปรียบในการสู้รบย่อมเป็นเขาแน่นอน


“ผมเคยผิดคำพูดด้วยหรือ?” อำมาตย์เฉินหย่งตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“อำมาตย์เฉินหย่ง…” ได้ฟังการตัดสินใจของอำมาตย์เฉินหย่ง นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถึงกับผงะ


จะง่ายกว่ากันมากถ้าสังหารเจ้าสารเลวนี่ให้ตายๆไปเสียทีเดียว ทำไมต้องให้โอกาสหมอนั่น กลับมาอีกครั้งด้วย?


ทำแบบนี้ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรือ?


“ปล่อยเขาเถอะ!” จางเซวียนโบกมือ


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาพอเข้าใจความรู้สึกของอำมาตย์เฉินหย่ง


อำมาตย์เฉินหย่งไม่ใช่ผู้ที่กระหายการนองเลือดโดยไร้เหตุผล แต่ใครสักคนจะต้องโง่เง่ามากหากคิดว่าเขาเป็นคนประนีประนอมและมีน้ำใจ อำมาตย์เฉินหย่งไม่เคยให้อภัยศัตรู และยิ่งหนักข้อไปกว่านั้นสำหรับผู้ที่บังอาจทรยศเขา บาดแผลที่ร่างกายของเขาได้รับไม่อาจเทียบได้เลยกับความเจ็บปวดในหัวใจ


สิ่งที่เขาปรารถนาไม่ใช่แค่ความตายของอำมาตย์เฉินหลิง แต่เขาอยากทำลายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายให้แตกเป็นเสี่ยงๆและทำให้หมอนั่นสิ้นหวังถึงขีดสุด!


นี่คือศักดิ์ศรีของผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ!


“พวกเราเข้าใจ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพยักหน้าก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่ง


พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของอำมาตย์เฉินหย่งดี แต่การได้เห็นต่อหน้าต่อตาก็ทำให้รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง


ตลอดวันคืนที่พวกเขาใช้เวลากับอำมาตย์เฉินหย่ง ก็ได้รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายรุนแรงแค่ไหน ไม่ง่ายเลยที่จะข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ การสู้รบอีกครั้งในเวลานี้อาจหมายถึงความตาย


ทั้งที่รู้ว่าความตายรอคอยอยู่ไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือได้ชัยชนะ แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังเลือกที่จะก้าวเข้าสู่การดวลเพียงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีในหัวใจของเขา


บางที อาจเป็นเพราะความคิดนี้ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณและรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวได้


ตอนที่ 1841 การสืบทอด

บึ้มมม! บึ้มมม! บึ้มมม!


เมื่อการดวลครั้งสุดท้ายระหว่างสองอำมาตย์เริ่มต้น รอยแยกมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางกระแสพลังงานพลุ่งพล่าน ผู้เฝ้าดูจะรู้สึกได้ถึงร่องรอยของเลือดสีแดงก่ำที่หยดลงสู่พื้น


ฝูงชนเฝ้ามองอย่างหนักใจขณะที่ใบหน้าของอำมาตย์เฉินหย่งซีดเผือดลงเรื่อยๆ เขาขับเคลื่อนร่างยับเยินของตัวเองจนเกินพิกัด


อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่ฟื้นตัวจากบาดแผลรุนแรงที่ได้รับเมื่อครั้งถูกนักรบนับไม่ถ้วนตีวงล้อมที่วิหารแห่งขงจื๊อ และเมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งถูกเทพเจ้าเล่นงานอย่างจัง คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าตอนนี้ร่างของเขาไม่เหลืออะไรแล้ว


เป็นเพราะเจตจำนงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เท่านั้นที่ทำให้เขายังยืนอยู่ได้


“เฮ่อออ…” จางเซวียนส่ายหัวขณะเบือนหน้าไป ไม่อยากเห็นการดวลอีก


แม้จะเป็นการต่อสู้อย่างสูสีระหว่างสองผู้เชี่ยวชาญ แต่จางเซวียนก็แน่ใจว่าอำมาตย์เฉินหย่งน่าจะคว้าชัยชนะและสังหารอำมาตย์เฉินหลิงได้ด้วยน้ำมือของเขา


การต่อสู้แบบชี้เป็นชี้ตายระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธทัดเทียมกันนั้นจะลงเอยด้วยการทำลายเจตจำนงของอีกฝ่าย ซึ่งเจตจำนงของอำมาตย์เฉินหย่งมีพละกำลังมากกว่า


ในตอนนั้น จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความสับสนล้ำลึกภายในใจ เพราะระหว่างวันคืนที่เขาใช้เวลากับอำมาตย์เฉินหย่ง ก็มีความเคารพในตัวอีกฝ่าย แม้จะเกิดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอำมาตย์เฉินหย่งคือบุคคลที่น่าทึ่ง พูดกันตามตรง เขาไม่อาจทนดูอำมาตย์เฉินหย่งต้องพบจุดจบได้


แต่สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความตายของอำมาตย์เฉินหย่งคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะไม่อย่างนั้น ตราบใดที่หอกข้างแคร่อันนี้ยังมีชีวิตรอดและควบคุมเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อยู่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายต่อไป


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกและหันมามองศพที่กองอยู่กับพื้น


ก็เหมือนร่างของไอ้โหด ศพของเทพเจ้ามีความแข็งแกร่งทนทานอย่างน่าอัศจรรย์ แทบจะทำให้เกิดความบอบช้ำเสียหายใดๆกับมันไม่ได้เลย แม้ชีวิตจะหลุดลอยไปแล้ว แต่ร่างนั้นก็ยังแผ่รังสีน่าสะพรึงออกมาและทำให้มนุษย์ทั่วไปไม่อยากเข้าใกล้


แม้แต่จางเซวียนซึ่งมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงเมื่อเข้าใกล้ศพ


หลังจากตรวจสอบร่างของเทพเจ้าอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนก็ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง


เขาเคยคิดว่าน่าจะมีของดีๆหลายอย่างอยู่ในร่างของเทพเจ้า เพราะอีกฝ่ายมาจากมิติเบื้องบน แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่ไม่มีอะไรอยู่กับตัวเลย?


อันที่จริง แม้แต่แหวนเก็บสมบัติสักวงก็ไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ


น่าจะเป็นเพราะการนำทรัพย์สมบัติข้ามมิติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่ก็เสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว จางเซวียนคิดขณะโยนศพเทพเจ้าเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติด้วยการโบกมือ


แม้จะน่าเสียดายที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอื่นใดให้เก็บ แต่ลำพังร่างนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าแล้ว ถ้าเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้สำเร็จ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ในทวีปแห่งปรมาจารย์!


หลังจากจางเซวียนตรวจสอบร่างของเทพเจ้าเสร็จไปไม่นาน การต่อสู้ระหว่างสองอำมาตย์ก็สิ้นสุดลง เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ แม้อำมาตย์เฉินหลิงจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้มากแล้ว แต่ลงท้ายก็ไม่อาจเทียบชั้นได้กับอำมาตย์เฉินหย่งที่บาดเจ็บสาหัส


ฟึ่บ!


ด้วยการตวัดกระบี่ ศีรษะของอำมาตย์เฉินหลิงหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ แม้เมื่อมันตกลงกระแทกพื้นแล้ว ก็ยังเห็นแววตาไม่อยากเชื่อของเขา


“ปะ-เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? คะ-คุณ…แข็งแกร่งกว่า…”


นั่นคือคำพูดสุดท้ายของอำมาตย์เฉินหลิงก่อนที่เขาจะหลับตา


ในวินาทีสุดท้าย อำมาตย์เฉินหลิงรู้สึกว่าทุกอย่างที่เขาได้เผชิญไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากความฝันอันยาวนาน ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนต่อสู้สักแค่ไหน จนแม้เมื่อทุกอย่างจบสิ้น ก็ยังไม่อาจเหนือชั้นไปกว่าร่างสูงตระหง่านของอำมาตย์เฉินหย่งได้ ไม่เคยเลยแม้สักครั้ง


ร่างไร้ชีวิตของอำมาตย์เฉินหลิงทรุดฮวบลงกับพื้น


เห็นนายน้อยของเขาจ้องศพอำมาตย์เฉินหลิงนัยน์ตาเป็นมัน อำมาตย์เฉินหย่งรีบพาร่างอ่อนระโหยเข้ามาและพูดว่า “นายน้อย ถึงอำมาตย์เฉินหลิงจะเคยทำผิดไว้มากมาย แต่เขาก็เป็นหนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ผมอยากฝังร่างของเขาไว้ที่สุสานหลวง”


แม้อำมาตย์เฉินหลิงจะทรยศ แต่ก็เคยเป็นหนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ตามธรรมเนียมของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ร่างของเขาจะต้องถูกฝังไว้ในสุสานหลวง


ถ้าเขาปล่อยให้จางเซวียนใช้ศพของอำมาตย์เฉินหลิงหลอมเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ ศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณคงป่นปี้ไม่มีเหลือ


“ถ้าอย่างนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้” จางเซวียนพยักหน้าขณะหันหน้าไปอีกทางด้วยความเสียดาย


“ขอบคุณมาก นายน้อย” อำมาตย์เฉินหย่งถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง


ทันทีที่เขาทรุดตัวลงนั่ง ก็รู้สึกได้ว่าพลังงานหยาดหยดสุดท้ายเหือดแห้งไปจากร่างของเขาราวกับน้ำที่ระเหยออกจากกระสอบ วรยุทธของเขาตกฮวบ ดูเหมือนเขาจะแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว


“หยางหลิว มานี่…” อำมาตย์เฉินหย่งร้องเรียกผู้สืบทอดที่เขาเลือกไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย


“ฝ่าบาท…” หลิวหยางเดินเข้าไปด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


เขาไม่ได้ใช้เวลากับอำมาตย์เฉินหย่งมากนัก แต่อีกฝ่ายดูแลเขาด้วยความจริงใจมาตลอด เขารู้สึกว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณต่ออำมาตย์เฉินหย่ง


“จุดจบของผมเข้ามาใกล้เต็มที คุณเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวในตระกูลของอำมาตย์เฉินหย่ง และผมก็ได้ถ่ายทอดมรดกฉบับสมบูรณ์ให้คุณแล้ว ขอให้ผมได้มอบของขวัญชิ้นสุดท้ายให้คุณด้วย”


เมื่อพูดจบ อำมาตย์เฉินหย่งก็ยกมือขึ้นแล้วยึดตัวหลิวหยางไว้


ฟึ่บ!


หลิวหยางรู้สึกได้ทันทีว่ามิติโดยรอบแข็งทื่อไป ทำให้เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


ราวกับจะรู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคิดจะทำอะไร หลิวหยางร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก “ฝ่าบาท!”


หลังจากจับหลิวหยางให้อยู่กับที่แล้ว อำมาตย์เฉินหย่งก็หันไปถามจางเซวียน “นายน้อย ผมขอยืมนิรันดร์กาลแห่งนักปราชญ์โบราณของคุณได้ไหม?”


จางเซวียนโยนผืนผ้าใบสี่ฤดูให้อำมาตย์เฉินหย่งโดยไม่ลังเล


อำมาตย์เฉินหย่งคลี่ภาพวาดออกอย่างช้าๆ แล้วดึงกระแสพลังงานจากภายในออกมา จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและทาบฝ่ามือลงบนหน้าผากของหลิวหยาง


ฟิ้ววววว!


พลังงานทั้งหมดภายในร่างของเขาพุ่งเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


“มันคือการถ่ายทอดวรยุทธ! เขารู้ว่าจุดจบของตัวเองกำลังมาถึงแล้ว และไม่อยากให้วรยุทธที่เขา สั่งสมมาชั่วชีวิตต้องหายสาบสูญไป จึงตั้งใจจะถ่ายทอดทุกอย่างให้ผู้สืบทอดของเขา” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอุทาน


การถ่ายทอดวรยุทธคือกระบวนการที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งส่งมอบวรยุทธของเขาให้กับใครอีกคน แม้จะฟังดูง่ายดาย แต่กระบวนการที่แท้จริงนั้นซับซ้อน ทั้งยังมีความเสี่ยงมาก


ข้อแรก ทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการถ่ายทอดวรยุทธจะต้องมาจากเชื้อสายตระกูลเดียวกัน เพื่อจะได้แน่ใจว่าจะไม่เกิดการปะทะกันของพลังงาน, ข้อ 2 ผู้ที่กระทำการถ่ายทอดวรยุทธจะต้องเตรียมใจยอมรับความตายไว้แล้ว เพราะความพยายามแบบครึ่งๆกลางๆจะทำให้เกิดแรงตีกลับที่ไม่อาจเยียวยาได้กับทั้งสองฝ่าย และข้อ 3 การควบคุมพลังงานจะต้องทำด้วยความละเอียดลออสูงสุด เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะส่งผลกระทบร้ายแรงตามมา


เทคนิควรยุทธที่หลิวหยางฝึกฝนคือเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย แม้เขาจะไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติของพลังงานได้อย่างอิสระเหมือนจางเซวียน แต่ก็สามารถเลียนแบบพลังปราณของเชื้อสายตระกูลอำมาตย์เฉินหย่งได้อย่างแนบเนียน นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้อำมาตย์เฉินหย่งตัดสินใจเลือกหลิวหยางเป็นผู้สืบทอด


ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนั้น อำมาตย์เฉินหย่งจะไม่มีวันกล้าทำการถ่ายทอดวรยุทธให้หลิวหยางเลย


บึ้มมมม!


ภายใต้กระแสพลังงานดุเดือด วรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกของหลิวหยางค่อยๆสลายไป ขณะที่นิรันดร์กาลแห่งนักปราชญ์โบราณไหลเข้าสู่ร่างของเขา ด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นวรยุทธไว้ก็ระเบิดออก


บึ้มมมม!


นักปราชญ์โบราณ, สำเร็จแล้ว!


รู้ดีว่าการทดสอบนักปราชญ์โบราณจะต้องตามมาเร็วๆนี้ อำมาตย์เฉินหย่งจึงไม่กล้าเสียเวลา เขาถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่ร่างของหลิวหยางอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ระดับวรยุทธของอีกฝ่ายพุ่งพรวด


เมื่อวรยุทธของหลิวหยางเข้าถึงขั้นนักปราชญ์โบราณ ทางเดินพลังปราณของเขาก็กว้างขึ้นอีกมาก ทำให้ซึมซับพลังงานได้ในอัตราความเร็วที่สูงกว่าเดิม


ราว 10 นาทีต่อมา อำมาตย์เฉินหย่งก็ถ่ายทอดพลังงานทุกหยดเข้าสู่ร่างของหลิวหยางจนหมดสิ้น ทำให้ร่างกายของเขาเหือดแห้ง


ครืนนนน!


ในตอนนั้น การทดสอบสายฟ้าก็มาถึง


หลิวหยางกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับการทดสอบสายฟ้า


กระบวนการนั้นดำเนินไปเกือบชั่วโมงก่อนที่หลิวหยางจะลงมาจากกลางอากาศ แม้จะดูยับเยินไปเล็กน้อย แต่ก็เอาชนะการทดสอบวรยุทธได้โดยไม่มีปัญหาอะไรมากนัก ทำให้กลายเป็นนักปราชญ์โบราณอย่างเต็มตัว


“ผมมอบพลังของผมให้คุณหมดแล้ว ค่อยๆซึมซับมันนะ แล้วคุณจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน…”


หลังจากสูญเสียพลังงานไปหมด อำมาตย์เฉินหย่งก็ดูแก่ไปอีกหลายสิบปี รูปลักษณ์ที่เคยงามสง่าของเขาแปรสภาพเป็นชายแก่บอบบางที่แม้แต่จะยกมือสักข้างหนึ่งก็ยังยาก


“ขอบคุณมาก ฝ่าบาท!” หลิวหยางทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงาม


ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าน้ำตาปริ่มขอบตา


แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่อำมาตย์เฉินหย่งจะหายดี ต่อให้ใช้ทักษะการรักษาโรคที่เป็นปาฏิหาริย์ของท่านอาจารย์ของเขา แต่ก็ไม่น่าจะยากเกินไปที่อีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสัก 2-3 ปี แต่การที่อำมาตย์เฉินหย่งถ่ายทอดพลังงานทั้งหมดให้เขาก็หมายความว่าความหวังเหล่านั้นหลุดลอยไปแล้ว เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจมีชีวิตรอดต่อไปไม่ได้อีกแม้แต่วันเดียว


“ผมจะมอบเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณทั้งเผ่าไว้ในมือของคุณ ได้โปรดดูแลพวกเขาให้ดีแทนผมด้วย!” อำมาตย์เฉินหย่งยิ้มอย่างอ่อนโยน “นับจากวันนี้ไป คุณจะรับตำแหน่งของผมในฐานะอำมาตย์เฉินหย่ง!”


ขณะที่พูดคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็ยกมือเหี่ยวย่นขึ้นวางไว้เหนือศีรษะของหลิวหยาง มงกุฎอันหนึ่งปรากฏขึ้นภายใต้การสัมผัสของเขา แผ่พละกำลังในแบบที่ไม่มีใครกล้ามองข้าม


นี่คือสัญลักษณ์แห่งอำนาจของผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


อำมาตย์เฉินหย่งไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นสมญานาม ใครก็ตามที่ได้รับมงกุฎจะได้รับการเรียกขานว่าอำมาตย์เฉินหย่งผู้ยิ่งใหญ่


“ผม…” หลิวหยางตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


มีคำพูดมากมายที่เขาอยากพูด แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะติดอยู่ในลำคอ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก


“ผมตัดสินใจตั้งแต่วินาทีที่ท้าทายอำมาตย์เฉินหลิงเข้าสู่การดวลแล้ว…” อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้า


แต่ขณะที่พูดไปได้ครึ่งเดียว ลมหอบใหญ่ก็พัดกรรโชกมาจากระยะไกล ร่างหนึ่งพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว


“อำมาตย์เฉินชิง?”


เมื่อเห็นว่าร่างนั้นเป็นใคร รอยย่นแห่งความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ร่างของพวกเขาตึงเขม็งด้วยความหวาดระแวง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)