ยอดหญิงสกุลเสิ่น 183.1-184.1

ตอนที่ 183-1 กลับเมืองหลวงเสียที

 

เสิ่นเวยทิ้งเซียงเหมยกับหลี่จื้อหย่วนไว้ในห้อง พวกเจ้าพูดคุยทะเลาะกอดคอร้องไห้กันตามสบาย พูดเสร็จทะเลาะเสร็จร้องไห้เสร็จแล้วก็รีบไปใช้ชีวิตดีๆ เสีย ข้าขี้เกียจจะสนใจพวกเจ้าแล้ว


 


 


ตกบ่ายเสิ่นเวยเพิ่งจะได้เห็นเซียงเหมยและครอบครัว ในมือหลี่จื้อหย่วนอุ้มนิวหนิ่วอยู่ เซียงเหมย


 


 


อยู่ข้างกายเขา ดวงตาแดงก่ำ แต่กลับมีความเคอะเขินอย่างถึงที่สุด


 


 


“คุณหนู” เซียงเหมยยังไม่ทันเอ่ยปากน้ำตาก็ร่วงลงมาก่อนแล้ว สะอื้นไห้พูดไม่ออก


 


 


หลี่จื้อหย่วนเห็นท่าทีก็ส่งนิวหนิ่วไปไว้ในอ้อมอกนาง “คุณหนูเสิ่น ท่านช่วยภรรยาและลูกสาวของข้าไว้ก็เท่ากับว่าได้ช่วยครอบครัวของข้า ข้าหลี่จื้อหย่วนไม่ใช่คนลืมบุญคุณ บุญคุณนี้ข้าจะจดจำไว้ ตอนนี้พวกเราอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแล้ว คุณหนูเสิ่นโปรดเมตตาปล่อยภรรยาและลูกสาวของข้ากลับบ้าน ค่าตัวพวกนางเท่าไร ข้าน้อยยินดีจ่ายให้สิบเท่า อ้อไม่ ร้อยเท่าเพื่อไถ่ตัวพวกนาง หวังว่าคุณหนูจะช่วยให้ข้าน้อยสมปรารถนา” เขามองเสิ่นเวยแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “หรือว่าพี่เซียงเหมยไม่ได้บอกท่านหรือว่านางกับนิวหนิ่วเป็นนั้นอิสระ” คืนสิบเท่าร้อยเท่า พูดราวกับว่าเขามีเงินเยอะนักอย่างนั้นแหละ


 


 


หลี่จื้อหย่วนตกตะลึง มองภรรยาของตน เซียงเหมยเช็ดน้ำตาตรงหางตา ถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห “ใครจะกลับบ้านกับเจ้า ใครให้เจ้าไถ่ตัว พวกข้าแม่ลูกติดตามคุณหนูมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนใจร้อน ข้ายังพูดไม่ทันจบเจ้าก็จะลากข้ามาพบคุณหนูให้ได้ ข้าก็คิดว่าเจ้าจะทำอะไรเสียอีก ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ แต่ไหนแต่ไรคุณหนูไม่เคยให้ข้ากับนิวหนิ่วลงสัญญาขายตัวเป็นทาสเลย กระทั่งยังเตรียมจะส่ง


 


 


นิวหนิ่วไปเรียนหนังสือในโรงเรียนเมื่อนางโตกว่านี้ พวกข้าติดตามคุณหนูมีชีวิตที่สบายใจยิ่งนัก ไม่กลับไปกับเจ้าหรอก”


 


 


นิวหนิ่วในอ้อมอกนางก็เห็นคล้อยตามเช่นกัน “ใช่ๆ ติดตามคุณหนู คุณหนูใจดี คุณหนูใจดีที่สุด” นางยกยิ้มชื่นมื่นให้เสิ่นเวย น่ารักอย่างถึงที่สุด


 


 


เสิ่นเวยยิ้ม ยื่นมือออกไปหานิวหนิ่ว นิวหนิ่วกลิ้งลงมาจากอ้อมอกมารดานางเข้าไปในอ้อมอกเสิ่นเวยแทนทันที “คุณหนูดีที่สุด” แขนของนางกอดคอของเสิ่นเวยแนบแน่น ราวกับว่ากลัวใครจะชิงตัวนางไป


 


 


หลี่จื้อหย่วนแสดงสีหน้าสะเทือนใจ ความซาบซึ้งในเบื้องลึกจิตใจก็มากยิ่งขึ้น เขาสะบัดเสื้อคลุมคุกเข่าลงทันที เสิ่นเวยรีบให้คนมาห้าม ทว่าเซียงเหมยกลับกล่าว “คุณหนู ท่านให้เขาคุกเข่าไปเถอะ ไม่มีท่านก็ไม่มีพวกข้าแม่ลูก อย่างไรเสียนิวหนิ่วก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขามิใช่หรือ เขาจะขอบคุณท่านก็เป็นเรื่องสมควร” เซียงเหมยกล่าวด้วยความจริงจังมากเป็นพิเศษ


 


 


เสิ่นเวยกระตุกมุมปาก เด็กผู้หญิงเช่นนางให้ขุนนางราชสำนักมาคุกเข่าให้ จะได้อย่างไรกัน แต่เพราะว่าคำยืนกรานของสองสามีภรรยาคู่นี้ เสิ่นเวยยังคงต้องรับการคารวะจากหลี่จื้อหย่วน “คุณหนูเสิ่น บุญคุณใหญ่หลวงไม่เพียงแต่พูดกล่าว ข้าน้อยจะไม่เอ่ยคำพูดสวยหรู หลังจากวันนี้ก็ขอให้ท่านดูการกระทำของข้าน้อยเองแล้วกัน”


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับกล่าว “ใต้เท้าหลี่พูดผิดแล้ว ตอนที่ข้าช่วยคนไม่ได้คิดถึงการตอบแทนของใคร ไม่ได้ลำบากอะไรเลย เพียงแค่ไม่ทำให้ต้องละอายต่อใจของตนก็เท่านั้นเอง เอาล่ะ ในเมื่อพวกท่านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ท่านก็พาพวกนางไปเถอะ” จากนั้นจึงกล่าวกับเซียงเหมย “เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่ชอบเห็นคนร้องห่มร้องไห้ที่สุด ตอนนี้สามีท่านดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมพระคลัง อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ท่านยังกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกหรือ นิวหนิ่ว แม่เจ้าดูเหมือนปราดเปรียว แต่ความจริงแล้วทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หลังจากนี้หากมีใครมารังแกพวกเจ้า เจ้าก็มาหาคุณหนู คุณหนูจะช่วยเจ้าเอง” นางก้มหน้ากล่าวกับนิวหนิ่วในอ้อมอก


 


 


นิวหนิ่วพยักหน้ายิ้มแย้มไม่หยุด “ไปหาคุณหนู ให้คุณหนูช่วย”


 


 


หลี่จื้อหย่วนยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มแต่ไม่พูด ในใจเขาเข้าใจดีว่าคำพูดนี้ตั้งใจพูดให้เขาฟัง และเป็นการเตือนสติเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ไม่พอใจ อีกทั้งยังซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิม ดูท่าแล้วคุณหนูท่านนี้จะเป็นห่วงภรรยาและลูกสาวของเขามากจริงๆ


 


 


เซียงเหมยถูกเสิ่นเวยไล่ออกจากวัดต้าเจวี๋ยด้วยความอาลัยอาวรณ์ ตลกแล้ว หาพ่อของลูกเจอแล้วยังคิดจะอยู่เปลืองเสบียงของนางต่ออีก ฝันไปเถอะ ฉวยโอกาสจากไปเงียบๆ ตอนที่ออกจากจวนมาขอพรครั้งนี้ หากกลับเมืองหลวงแล้วค่อยไปคนที่ตกใจก็จะยิ่งเยอะ ไม่ดีเท่าไรนัก


 


 


หลี่จื้อหย่วนมองภรรยาที่ปาดน้ำตาหันหลังกลับไปมองไม่หยุด โอบไหล่นางแล้วกล่าวปลอบ “ข้ายังต้องอยู่ทำงานในกรมพระคลังอีกหลายปี ออกจากเมืองหลวงไม่ได้พักใหญ่ หากเจ้าตัดใจไม่ได้จริงๆ หลังกลับไปจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้วค่อยส่งเทียบเชิญขอเยี่ยมเยียนก็ได้”


 


 


ลาภที่ได้มาด้วยความทุกข์ ตอนแรกที่นายอำเภอเมืองหนิงผิงผู้นั้นสั่งคนมาทำร้ายเขา โชคดีที่ถูกใต้เท้าโจวผู้แทนพระองค์ที่มาตรวจตราเจียงหนานพบเข้าพอดีจึงถูกเขาช่วยเอาไว้ ใต้เท้าโจวชื่นชมในบุคลิกความสามารถของเขาจึงเก็บเขาไว้ ต่อมาในการสอบบรรจุขุนนางเขาสอบระดับสองได้ลำดับที่ยี่สิบเจ็ด อาศัยความช่วยเหลือจากใต้เท้าโจวก็ได้รับตำแหน่งที่ไม่เลวนักในกรมพระคลัง


 


 


เซวียเซียงเหมยมีสีหน้าดีใจก่อน แต่หลังจากนั้นกลับส่ายหน้า “อย่าเลยดีกว่า ประตูจวนโหวไหนเลยจะเข้าง่ายเพียงนั้น ข้าอย่าสร้างปัญหาให้คุณหนูเลยดีกว่า เดือนหน้าคุณหนูก็จะสมรสแล้ว ข้าควรปักของให้นางเยอะๆ จึงจะถูก”


 


 


“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูสิ! คุณหนูให้มา” นิวหนิ่วที่นั่งเรียบร้อยอยู่ข้างๆ พลันชูกระเป๋าเงินใบเล็กให้แม่นางดู


 


 


เซวียเซียงเหมยรับเข้ามาดูก่อน เป็นกระเป๋าเงินที่งามประณีตจริงๆ ข้างบนปักลายแมวสีขาวตัวเล็กหนึ่งตัว ดูจากรอยเย็บเหมือนเป็นฝีมือของหลีฮวา นางจึงยิ้มแล้วจิ้มจมูกเล็กๆ ของลูกสาว “คุณหนูให้แล้วเจ้าก็เก็บไว้เองสิ!”


 


 


ทว่านิวหนิ่วกลับแสยะปากขึ้น กล่าวอย่างไม่พอใจ “แต่คุณหนูบอกว่าให้เอาให้ท่านแม่” นางชอบกระเป๋าเงินใบนี้จริงๆ


 


 


เซวียเซียงเหมยตกใจ เปิดกระเป๋าเงินออกทันที หยิบของที่พับเป็นสี่เหลี่ยมๆ ออกมา คลี่ออกดู คาดไม่ถึงว่าเป็นตั๋วเงินห้าพันตำลึง


 


 


หลี่จื้อหย่วนเองก็ตกตะลึง “นี่?” คุณหนูหมายความว่าอย่างไร


 


 


“นิวหนิ่ว คุณหนูพูดอะไรกับเจ้า” เบ้าตาของเซวียเซียงเหมยแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


นิวหนิ่วเบิกตาดวงโตที่มึนงงทั้งคู่ เอียงคอคิด ส่ายหน้าแล้วจึงกล่าว “ไม่มี คุณหนูบอกแค่ว่าให้เอากระเป๋าให้ท่านแม่”


 


 


น้ำตาของเซวียเซียงเหมยร่วงลงมาอีกครั้ง ทรุดตัวลงในอ้อมอกของหลี่จื้อหย่วนสะอื้นไห้ ร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกยิ่งนัก คุณหนู ชีวิตนางได้พบคุณหนูที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่ได้ทำเพื่อนิวหนิ่ว นางก็อยากจะหันหลังกลับไปแล้วจริงๆ


 


 


หลี่จื้อหย่วนกอดปลอบภรรยาเสียงเบา แววตามีประกายความสับสนแวบผ่าน คุณหนูเสิ่นผู้นี้เป็นห่วงภรรยาและลูกสาวของเขามากเกินไปแล้ว ชาตที่แล้วครอบครัวเขาสั่งสมบุญบารมีมากมายเพียงใดถึงได้คุ้มครองภรรยาและลูกสาวของเขาเช่นนี้


 


 


ส่งเซียงเหมยไปแล้ว เสิ่นเวยกับหลีฮวาก็ทอดถอนใจ ถอนใจที่ชีวิตคนช่างแปลกประหลาดจริงๆ ตอนแรกพวกนางตั้งใจหาหลี่จื้อหย่วน ผลสุดท้ายไม่ได้อะไรแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เลิกหาแล้วเขากลับมาหาเองถึงที่ สมกับวลีที่กล่าวว่า ‘ย่ำจนรองเท้าเหล็กกสึกไม่พานพบ บทจะพบกลับเจอโดยง่ายไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย’ จริงๆ


 


 


เมื่อส่งเซียงเหมยไปแล้ว ซู่เหนียงก็คุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นเวยทันที เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ “ลุกเดี๋ยวนี้ คุกเข่าทำไม” บอกเป็นนัยให้หลีฮวาไปพยุงซู่เหนียงขึ้น


 


 


ทว่าซู่เหนียงกลับดึงดันไม่ยอมลุก “คุณหนู ซู่เหนียงมีเรื่องจะขอหนึ่งเรื่อง หวังว่าคุณหนูจะตอบรับได้”


 


 


เสิ่นเวยจนปัญญาอย่างยิ่ง “เรื่องอะไร เจ้าลุกขึ้นมาพูดเถอะ หากรับปากได้ข้าจะต้องรับปากแน่นอน” รู้มาจากปากของหลีฮวา ซู่เหนียงผู้นี้เรียบร้อยรู้ประสา ความประทับใจที่เสิ่นเวยมีต่อนางไม่เลวเลยทีเดียว เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ใช้ชีวิตในสังคมนี้เดิมก็ยากลำบากอยู่แล้ว หากช่วยได้เสิ่นเวยก็ยินดีที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย


 


 


ซู่เหนียงยังคงคุกเข่าอยู่ “ซู่เหนียงไม่มีที่จะไป หวังว่าคุณหนูจะรับซู่เหนียงไว้” เดิมนางยังลังเลไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นแล้วว่าคุณหนูปฏิบัติต่อพี่เซียงเหมยอย่างไร นางก็ตัดสินใจได้ทันที


 


 


เมื่อวานคำพูดเหล่านั้นที่คุณหนูพูดกับเซียงเหมยนางอยู่ในห้องด้านในได้ยินหมดแล้ว นางอิจฉาเซียงเหมย ตอนแรกที่นางตกต่ำลดตัวลงมาเป็นนางโลมหากได้พบคุณหนูที่ใจดีเช่นนี้ก็คงจะดีอย่างยิ่ง ต่อให้จะต้องเป็นบ่าวก็คงจะดีกว่าตอนนี้


 


 


พี่เซียงเหมยบอกแล้วว่า เจ้านายที่ดีอย่างคุณหนูใต้หล้านี้หาได้ยากยิ่ง นางโง่หรือไรที่จะพลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ไป


 


 


“แม้ซู่เหนียงจะต่ำต้อยเป็นนางโลม แต่ก็เป็นบุตรสาวในตระกูลที่ดี แขกผู้นั้นที่ไถ่ตัวซู่เหนียงบอกแล้วว่า อนุญาตให้ซู่เหนียงเป็นอิสระ แต่ซู่เหนียงเป็นหญิงสาวตัวคนเดียวก็ยากจะใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ดังนั้น ซู่เหนียงจึงแบกหน้ามาขอให้คุณหนูรับตัวไว้ ซู่เหนียงไม่ร้องขอเงินทองความมั่งคั่ง เพียงแค่ข้าวปลาอาหารธรรมดาๆ อยู่อย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว” ดวงตาซู่เหนียงใสกระจ่าง มองออกว่าตัดสินใจมาดีแล้ว


 


 


เสิ่นเวยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนหน้านี้เห็นซู่เหนียงจริงจังเช่นนั้น ยังคิดว่าจะขอเรื่องยากอะไรเสียอีก ไม่คิดว่าแค่อยากให้รับเลี้ยง นี่ง่ายดายอย่างยิ่ง อย่างไรเสียนางก็รับเลี้ยงคนมากมายอยู่แล้ว มีที่ให้ซู่เหนียงคนนี้แน่นอน


 


 


“นี่จะยากอะไร หลังจากนี้เจ้าก็ติดตามข้าเท่านั้นเอง รีบลุกขึ้นเถอะ” เสิ่นเวยกล่าว


 


 


หลีฮวาก้าวขึ้นไปพยุงอย่างรู้หน้าที่ คราวนี้ซู่เหนียงถือโอกาสลุกขึ้นยืนแล้ว “ซู่เหนียงขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”


 


 


เสิ่นเวยกล่าวต่อ “ในเมื่ออนุญาตให้เจ้าเป็นอิสระแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าลงสัญญาขายตัวเป็นทาสอะไร ใช้สัญญาทำงานลงนามหนึ่งฉบับก็พอ ข้าจ้างเจ้ามาทำงาน ให้เงินเดือนเจ้า อ้อจริงสิ เจ้าถนัดอะไรบ้าง หรือว่าชอบทำอะไร”


 


 


เมื่อซู่เหนียงได้ยินว่าไม่ต้องลงสัญญาขายตัวเป็นทาสก็วางใจยิ่งขึ้น นางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเผยสีหน้าลำบากใจ “คุณหนู นอกจากด้านการแต่งหน้าแต่งตัวและบำรุงร่างกายที่ซู่เหนียงมีประสบการณ์เล็กน้อยแล้ว ด้านอื่นก็ไม่ถนัดเลยเจ้าค่ะ” แม้นางจะเติบโตมาในหอนางโลม แต่ก็ถูกเลี้ยงอย่างประคมประหงม ยกชารินน้ำ เย็บปักถักร้อยล้วนทำไม่เป็นเลย


 


 


เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้ว สตรีในหอนางโลมต้องเอาใจแขก ก็ต้องถนัดในด้านการแต่งหน้าแต่งตัวบำรุงร่างกายไม่ใช่หรือ ดูจากคำพูดกิริยาของซู่เหนียงผู้นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เคยเรียนหนังสือ หรือว่าจะไปเป็นอาจารย์หญิงในเรือนนาง สอนหนังสือและการแต่งหน้าแต่งตัวให้สาวใช้ทั้งหลายก่อน


 


 


ทว่าดวงตาของหลีฮวากลับลุกวาว ถามซู่เหนียง “ผิวดำมีวิธีเปลี่ยนให้ขาวหรือไม่”


 


 


ซู่เหนียงกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าดำธรรมชาติหรือว่า…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหลีฮวาแย่งไปแล้ว “ไม่ได้ดำธรรมชาติ แต่ว่าไปตากแดดข้างนอกจนดำ มีวิธีให้กลับมาขาวได้เร็วๆ หรือไม่”


 


 


ซู่เหนียงพยักหน้า “ง่ายอย่างยิ่ง” ในหอนางโลมพวกนางมีวิธีบำรุงให้ขาวสวยมากมายถมไป แม้แต่ผิวดำตามธรรมชาติก็ยังมีวิธีบำรุงให้ดีขึ้น นับประสาอะไรกับการตากแดดจนดำ


 


 


หลีฮวาดีใจอย่างยิ่ง “คุณหนูๆ ท่านได้ยินที่ซู่เหนียงพูดหรือยัง ถือโอกาสตอนที่ยังไม่กลับจวน รีบให้ซู่เหนียงบำรุงให้ท่าน จะได้กลับมาขาวไวๆ”


 


 


เสิ่นเวยไม่ออกความคิดเห็น นางกลับรู้สึกว่าสีผิวตอนนี้ของนางดูสุขภาพดีอย่างยิ่ง ปัจจุบันมีคนมากน้อยเพียงใดที่เสียเงินเพื่ออาบแดดให้ได้สีนี้ แต่เห็นหลีฮวาพร่ำบ่นทุกข์ใจอยากให้นางกลับมาขาวเช่นนี้ นางเองก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร


 


 


“คุณหนูท่านวางใจ ซู่เหนียงจะต้องทำให้ผิวของท่านกลับมาขาวใสนิ่มนวลเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน” ซู่เหนียงกล่าวอย่างจริงจัง


 


 


ด้วยเหตุนี้ เสิ่นเวยจึงใช้ช่วงเวลาหลายวันสุดท้ายที่วัดต้าเจวี๋ยอยู่ในขั้นตอนการบำรุงผิว


 


 


เสี่ยวตี๋ส่งข่าวมา บอกว่าท่านเสิ่นโหวและคนอื่นๆ จะเข้าเมืองได้ในวันพรุ่งนี้ เสิ่นเวยสั่งคนในเก็บของตลอดทั้งคืน เช้าวันที่สองก็ออกจากวัดต้าเจวี๋ยกลับจวนโหว 

 

 


ตอนที่ 183-2 กลับเมืองหลวงเสียที

 

“เร็วๆ คุณหนูกลับมาแล้ว!” คนทุกระดับชั้นในเรือนเฟิงหวาคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะ เหอฮวาเถาจือ


 


 


สั่งกลุ่มคนใช้ทั่วเรือนจนวิ่งหัวหมุน เตรียมน้ำ เตรียมอาหาร ห้องของคุณหนูก็ตรวจตรากว่าสามรอบแล้ว จะต้องมั่นใจได้ว่าแม้แต่มุมห้องก็ไม่อาจมีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยไปนางออกไปทางประตูเล็กของเรือนเฟิงหวา ทว่าขากลับกลับมาทางประตูใหญ่ของจวนโหว ไม่ต้องสั่งคน บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งที่ประตูใหญ่ก็เปิดประตูกลางออกอย่างฉับไว


 


 


หลีฮวากับซู่เหนียงประคองเสิ่นเวยซ้ายขวา ข้างหลังตามมาด้วยเถาฮวากับเหล่าสาวใช้และหญิงชราจำนวนมาก เสิ่นเวยก้าวเข้าจวนโหวช้าๆ เถาจือเหอฮวาที่รออยู่นานแล้วก็ล้อมเข้ามาทันที “คุณหนู คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาแล้ว!”


 


 


เสิ่นเวยมองใบหน้าที่ตื่นเต้นอย่างยิ่งแต่ละใบๆ รู้สึกว่าในใจอบอุ่น มุมปากของนางยกขึ้นน้อยๆ รอยยิ้มไล่ขึ้นมาถึงดวงตาทั้งคู่ “ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว ไป พวกเรากลับไปให้บำเหน็จตามความดีความชอบที่เรือนเฟิงหวากันเถอะ”


 


 


ทุกคนตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ติดตามเสิ่นเวยไปที่เรือนเฟิงหวาเป็นขบวน ส่วนบ่าวรับใช้ที่อยู่ในเรือนอื่นก็ได้แต่ทำสีหน้าอิจฉาทั้งใบหน้า


 


 


ยังคงเป็นเรือนตัวเองที่สบายที่สุด! หลังเสิ่นเวยอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็พิงตั่งนุ่มงีบหลับ


 


 


หลีฮวาทนดูไม่ได้ สะกิดนางเบาๆ กล่าวเตือน “คุณหนู ควรไปเคารพเหล่าไท่จวินก่อนเจ้าคะ คารวะนางเสร็จแล้วท่านค่อยนอนก็ไม่สาย”


 


 


แม้ว่าก่อนจะไปขอพรที่วัดต้าเจวี๋ยเสิ่นเวยก็ไปเคารพที่เรือนซงเฮ่ออย่างไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก ดีไม่ดีก็ลาป่วย แต่นี่ก็อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยมาหลายเดือนแล้ว วันแรกที่กลับจวนยังคงต้องไปแสดงตัวที่เรืองซงเฮ่อบ้าง มิเช่นนั้นโทษอกตัญญูหล่นทับหัวก็คงจะไม่ดีนัก


 


 


เสิ่นเวยไปเรือนซงเฮ่อแล้ว เห็นข้างกายท่านย่านางมีสตรีแปลกหน้าเพิ่มมาหนึ่งคน นางเพียงแค่กวาดตามองไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับเป็นสตรีผู้นั้นที่เข้ามาคุยกับนางอย่างสนิทสนม “ท่านก็คือพี่เวยบ้านอาสามใช่หรือไม่ ข้าคือน้องฟัง ท่านย่ารับข้ามาอยู่ช่วงนี้ หลังจากนี้พวกเราพี่น้องจะต้องสนิทกันแน่ๆ”


 


 


นี่คือหลานสาวฝั่งท่านย่าหรือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าว่าเป็นลูกสาวของลูกผู้พี่หรือลูกผู้น้องคนไหนของท่านพ่อ เสิ่นเวยไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับญาติฝั่งท่านย่า อีกทั้งยังไม่อยากสนิทด้วยเท่าไรนัก


 


 


ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ พยักหน้าให้นาง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร


 


 


สนิทสนมงั้นหรือ อย่าเลยดีกว่า แม่นางผู้นี้หน้าตาไม่เลว แต่แผนการในสมองนั่นมีอะไรบ้าง คิดว่านางไม่เห็นความละโมบในแววตานางหรือ ซ้ำยังเป็นคนที่ตาไม่มีแวว เสิ่นเวยไม่อยากพูดคุยกับนางให้มาก


 


 


กลับเป็นเหล่าไท่จวินที่ชื่นชมอย่างมาก “ฟังเอ๋อร์พูดถูก พวกเจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ต้องสนิทกันไว้จึงจะถูก เวยเอ๋อร์ เจ้าโตกว่าฟังเอ๋อร์เล็กน้อย ต้องดูแลน้องให้ดีๆ รู้หรือไม่”


 


 


เสิ่นเวยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับตำหนิ ใครเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางกัน ลูกพี่ลูกน้องของข้าคือคนแซ่หร่วนทั้งหลายเข้าใจหรือไม่ คนตระกูลหลิวเช่นพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น อย่ามาขวางหูขวางตาข้าให้มาก หากหาเรื่องข้าเจ้าได้เห็นดีแน่


 


 


“ท่านย่ามีอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วหลานขอตัวก่อน ท่านปู่เข้าวังแล้ว หลานพักผ่อนเต็มที่แล้วจะได้ไปคารวะท่านปู่” เสิ่นเวยไม่อยากรับมือเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวดักทางทันที


 


 


เหล่าไท่จวินหน้าขรึม ตั้งใจจะตำหนิสักสองสามประโยค แต่เมื่อนึกถึงสามีที่กำลังจะกลับมา ชั่วขณะก็ไม่มีกะจิตกะใจ โบกมือให้เสิ่นเวยออกไป


 


 


ช่างเถอะๆ หลานสาวคนนี้ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น อย่าให้นางมาขวางหูขวางตาจะดีกว่า


 


 


เสิ่นเวยเดินออกไปอย่างไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เหล่าไท่จวินมองแผ่นหลังของนางรู้สึกว่าในใจอึดอัดยิ่งนัก ฟังเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ดวงตากะพริบวาบ บนใบหน้ามีความน้อยใจหลายส่วน กล่าว “ท่านย่า พี่เวยไม่ชอบข้าใช่หรือไม่”


 


 


เหล่าไท่จวินชอบหลานสาวที่ปากหวานเชื่อฟังผู้นี้มากเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวปลอบนาง “เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบพูด ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเจ้า”


 


 


หลิวรุ่ยฟังที่ได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้ม จับมือของเหล่าไท่จวิน บนใบหน้ามีความเคอะเขินหลายส่วน “ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าพี่เวยไม่ชอบข้าเสียอีก ประเดี๋ยวว่างๆ ข้าจะไปเล่นกับพี่เวย” ปิ่นอัญมณีเคลือบเงาอันนั้นบนศีรษะของพี่เวยสวยจริงๆ ปักอยู่บนผมตนแล้วจะต้องสวยยิ่งกว่าแน่ๆ อืม จะต้องคิดหาวิธีเอามาให้ได้


 


 


เหล่าไท่จวินตบมือของฟังเจี่ยเอ๋อร์ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เด็กผู้หญิงฉลาดหน่อยจึงจะดี


 


 


ท่านเสิ่นโหวออกจากพระราชวัง บำเหน็จก็ตามมาถึงจวน


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนทรงอนุมัติคำขอเกษียณยกตำแหน่งให้ผู้อื่นของท่านเสิ่นโหวแล้ว เสิ่นหงเหวิน


 


 


กลายเป็นจงอู่โหวคนใหม่ได้สำเร็จ เสิ่นผิงยวนย่อมกลายเป็นนายท่านผู้เฒ่าโหว


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนไม่ได้ปฏิบัติต่อขุนนางผู้สร้างคุณูปการอย่างไม่เป็นธรรม เสิ่นผิงยวนเกษียณแล้ว จักรพรรดิยงเซวียนเองก็พอใจในการอ่านสถานการณ์ของเขา จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เขาเป็นราชครูของรัชทายาท แม้ว่าจะไม่มีอำนาจ แต่ตำแหน่งก็สูงส่ง! นอกเหนือจากนี้แล้ว จักรพรรดิยงเซวียนยังพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เสิ่นซื่อหลานสาวของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเป็นจวิ้นจู่อีกด้วย


 


 


เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ประกาศออกไป ทั่วทั้งจวนต่างก็ปากอ้าตาค้าง แม้แต่เสิ่นเวยเองยังรู้สึกเหมือนโชคหล่นทับ


 


 


ตำแหน่งจวิ้นจู่ บุตรสาวของไท่จื่อหรือชินอ๋องเท่านั้นที่จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ได้ คุณหนูจวนโหวเล็กๆ เช่นนางคาดไม่ถึงว่าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ คาดว่าเมืองหลวงทั้งเมืองก็คงจะสั่นสะเทือน


 


 


คนที่สงบนิ่งเพียงหนึ่งเดียวก็คือนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหว เพราะว่าหนึ่ง ในพระราชวังจักรพรรดิก็แอบแสดงเจตนาเงียบๆ แล้ว สอง จากมุมมองของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหว คุณงามความดีของเจ้าสี่ของเขาสมควรจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นผู้ปกครองเมืองด้วยซ้ำ ตำแหน่งจวิ้นจู่เล็กๆ อีกทั้งยังเป็นจวิ้นจู่ที่ได้ข้าวเป็นเงินเดือนไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เพียงแค่ชื่อเพราะก็เท่านั้น เขายังรู้สึกเดือดร้อนแทนเจ้าสี่เสียด้วยซ้ำไป


 


 


แล้วจักรพรรดิยงเซวียนคิดอย่างไรเล่า พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เสิ่นเวยเป็นจวิ้นจู่ หนึ่งคือชดเชยให้จวนจงอู่โหว สองคือ เสิ่นเวยเป็นว่าที่ภรรยาของอาโย่ว สุดท้ายแล้วก็ต้องแต่งเข้าราชวงศ์ ข้อได้เปรียบนี้ก็ไม่ถูกคนนอกยึดชิงไป


 


 


นอกจากเลื่อนตำแหน่งขุนนางแล้ว จักรพรรดิยงเซวียนยังพระราชทานบำเหน็จเป็นเงินทองของล้ำค่าเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่ สรุปแล้ว เสิ่นหงเหวินเห็นบิดาเขาน้อมรับพระราชโองการด้วยความดีใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ฉีกปากกว้างครึ่งวันก็ยังหุบไม่ลง


 


 


คืนนั้น นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเรียกเสิ่นหงเหวินพี่น้องทั้งสามและสวี่ซื่อฮูหยินโหวคนใหม่สดๆ ร้อนๆ มาที่ห้องหนังสือเรือนหน้า นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวเข้าประเด็นทันที “ข้ามอบจวนโหวให้ลูกคนโตแล้ว เจ้าสามก็ใช้ความสามารถของตัวเองทำงานอยู่ในกรมพิธีได้ไม่บกพร่อง มีแต่เจ้ารองที่ใจไม่สู้เล็กน้อย แต่ข้าก็ให้เจ้าแต่งงานกับภรรยาที่มีสินเดิมมากมาย ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐี แต่ก็ไม่อดตาย สำหรับพวกเจ้าทั้งสาม สิ่งที่ให้ได้ข้าก็ให้หมดแล้ว สิ่งที่ทำได้ข้าก็ทำหมดแล้วเช่นกัน ข้าแก่แล้ว ลำบากมากว่าครึ่งชีวิต คืนวันที่เหลืออยู่หลังจากนี้ข้าก็อยากใช้ชีวิตที่สบายเป็นอิสระหน่อย ต่อไปนี้พวกเจ้าก็อาศัยความสามารถของตัวเองก็แล้วกัน”


 


 


สามพี่น้องสบตากับปราดหนึ่ง พากันกล่าว “ดูท่านพ่อพูดเข้า ประสบการณ์แค่นี้ของลูกจะพอได้อย่างไร จวนโหวของพวกเรายังต้องให้ท่านหนุนหลังอยู่ เพียงแต่ท่านพ่อวางใจ ลูกจะเชื่อฟังคำสอนของท่านเป็นอย่างดี”


 


 


เสิ่นหงเหวินกล่าวคำนี้จากใจจริง เขาเป็นบุตรคนโต ตั้งแต่เล็กก็รู้หน้าที่ที่ตนแบกรับอยู่ มีใจแต่กำลังไม่พอ ยังต้องลำบากให้ท่านพ่อดูแลซีเจียงจนแก่เฒ่า ทุกครั้งที่คิดถึงเขาก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวโบกมือ “ข้าจะหนุนหลังเจ้าไปตลอดชีวิตได้อย่างไร เจ้าหัวอ่อนเกินไป หากเจ้าเป็นเหมือนกับเชียนเกอเอ๋อร์ได้ ข้าคงจะไม่ขายชีวิตอยู่ข้างนอกจนแก่ปูนนี้หรอก”


 


 


หนึ่งประโยคกล่าวจนเสิ่นหงเหวินก้มหน้าอย่างเหยเก


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวต่อ “ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า ข้าเตรียมจะยกมรดกของข้าให้เวยเจี่ยเอ๋อร์”


 


 


“มีสิทธิ์อะไร” นายท่านผู้เฒ่าโหวยังพูดไม่ทันขาดคำ เสิ่นหงอู่บุตรชายคนที่สองก็ลุกขึ้นคัดค้านทันที ท่าทางของเขาน้อยใจอย่างถึงที่สุด “ท่านพ่อ มรดกของท่านควรแบ่งให้พวกข้าสามพี่น้องไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงข้ามหัวพวกข้าไปให้เด็กน้อยเล่า ท่านชิงตำแหน่งจวิ้นจู่มาให้นางแล้วไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหว บ้านสามก็มีจวิ้นจู่ มีเพียงพวกข้าบ้านสองที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ท่านพ่อ ท่านจะลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้! หรือว่าข้าไม่ใช่ลูกท่านแล้ว”


 


 


นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นเลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าตำแหน่งจวิ้นจู่ของเวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นข้าที่ขอมาจากฝ่าบาทงั้นหรือ ไม่ใช่ นั่นเป็นตำแหน่งที่เวยเจี่ยเอ๋อร์อาศัยคุณงามความดีของตนแลกมาเองต่างหาก”


 


 


เสิ่นหงอู่ไหนเลยจะเชื่อ พึมพำกล่าว “เด็กผู้หญิงเช่นนางจะมีคุณงามความดีอะไรได้ ก็แค่ไปคัดคัมภีร์ไม่กี่เล่มที่วัดต้าเจวี๋ยไม่ใช่หรือ ท่านพ่ออย่ามาหลอกลูก ลูกเป็นบุตรอนุภรรยา ลูกไม่ขอแบ่งมรดกของท่านเท่าๆ กับพี่ใหญ่น้องสาม แต่แบ่งเป็นสามส่วนก็เป็นสิ่งสมควรมิใช่หรือ” เขาพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง เงินเป็นของดี ไม่มีเงินแล้วเขาจะไปดื่มสุราอย่างไร จ้าวซื่อเป็นคนขี้เหนียว คิดจะขอเงินจากนางยังยากกว่าปีนขึ้นฟ้าเสียอีก

 

 

 


ตอนที่ 184-1 เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้ชาย

 

ท่านเสิ่นโหวนิ่งเงียบ ละสายตามองไปทางลูกชายคนโตและลูกชายคนที่สาม “พวกเจ้าสองคนเล่า คิดเหมือนกันหรือไม่ว่าข้าลำเอียงรักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า”


 


 


เสิ่นหงเหวินกับฮูหยินสวี่สบตากันปราดหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าการที่พ่อเขารักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสม แม้แต่นิ้วมือทั้งสิบยังมีสั้นยาว บิดาก็ยังลำเอียงมาทางเขาอยู่มาก


 


 


แต่ท่านพ่อจะยกมรดกทั้งหมดให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็เกินไปหน่อยหรือไม่ สตรีไม่ช้าไม่เร็วก็เป็นน้ำที่ต้องถูกสาดออกไป เป็นคนของตระกูลอื่น ท่านพ่อรักเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ให้สินเดิมนางมากหน่อยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยกมรดกทั้งหมดให้นางก็ได้


 


 


“ท่านพ่อ นี่เองก็เกินไปหน่อยหรือไม่ เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้ประสา แต่อย่างไรเสียนางก็จะออกเรือนแล้ว” เสิ่นหงเหวินเรียบเรียงคำพูดแล้วกล่าว


 


 


ฮูหยินสวี่เองก็คิดเช่นเดียวกัน นายท่านผู้เฒ่าโหวรักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่านางก็ไม่ได้มีความคิดเห็น แต่ลำเอียงเกินไปนางก็ไม่เห็นด้วย เป็นหลานสาวเหมือนกันทั้งหมด มีสิทธิ์อะไร อีกทั้งนางเป็นฮูหยินผู้ดูแลบ้าน ไม่เหมือนสามีที่ไม่ได้คิดถึงเงินทองเช่นนั้น นายท่านผู้เฒ่าโหวสู้รบมาทั้งชีวิต ของดีในมือจะน้อยได้อย่างไร ของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมรดกที่ตกทอดมาถึงลูกชายของนาง


 


 


ทว่าลูกชายคนที่สามเสิ่นหงเซวียนกลับมีสีหน้าซับซ้อน สำหรับการตัดสินใจนี้ของท่านพ่อ ในใจเขาก็คาดเดาได้รางๆ แล้ว อย่างไรเสียเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ต่อสู้อย่างสุดชีวิตอยู่ที่ซีเจียง เขาที่เป็นบิดาของเวยเจี่ยเอ๋อร์จะยังพูดอะไรได้อีก


 


 


“ลูกเชื่อฟังคำสั่งของท่านพ่อทั้งหมด ลูกไม่มีความคิดเห็น” เสิ่นหงเซวียนหลุบตาลง เขากลับไม่โง่ที่จะผลักไส เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นลูกสาวของเขา เวยเจี่ยเอ๋อร์ได้ผลประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ต่อบ้านสามเช่นเดียวกัน เห็นเวยเจี่ยเอ๋อร์ปกป้องเจวี๋ยเกอเอ๋อร์เช่นนี้ นางได้ผลประโยชน์แล้วจะไม่คิดถึงเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ได้อย่างไร


 


 


“พวกเจ้าบ้านสามได้เปรียบอย่างยิ่ง เจ้าย่อมไม่มีความคิดเห็นอยู่แล้ว” เสิ่นหงอู่ตะคอกอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อท่านเองก็เห็น พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย พวกข้าไม่ได้เป็นห่วงมรดกของท่าน เพียงแต่ทนเห็นท่านลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้” เขายังคงกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ


 


 


สายตานายท่านผู้เฒ่าโหวปรายผ่านใบหน้าลูกสายทั้งสามช้าๆ อันที่จริง ในใจเขาไม่ใช่ว่าไม่ผิดหวัง แต่ต่อให้ผิดหวังก็ยังคงเป็นลูกชายของเขา แต่เมื่อนึกถึงเวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กผู้หญิงที่ไม่สนระยะทางไม่ห่วงอันตรายวิ่งมาถึงสนามรบซีเจียงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนเขา เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนจวนโหว แม้แต่สินเดิมของฝั่งแม่นางยังมอบให้ เขาก็รู้สึกผิด อีกทั้งยังเสียใจ ยิ่งแน่วแน่ต่อการตัดสินใจว่าจะมอบมรดกให้เวยเจี่ยเอ๋อร์


 


 


“ใครบอกพวกเจ้าว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ย ไม่ นางไม่ได้อยู่ที่นั่น! นางอยู่ซีเจียง! เมื่อรายงานรบที่ซีเจียงเข้ามาในเมืองหลวงนางก็นำคนคุ้มกันเสบียงสามหมื่นต้านไปซีเจียง หลายเดือนมานี้นางก็อยู่ที่ซีเจียงตลอด” นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


“เป็นไปไม่ได้!” เสิ่นหงอู่เอ่ยปากค้านทันที “ท่านพ่อท่านอย่าหลอกพวกลูก เวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวจะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร” ใช่เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นวรยุทธ์เล็กน้อย แต่เป็นวรยุทธ์กับลงสนามรบเป็นคนละเรื่องกัน นางไหนเลยจะกล้าหาญเพียงนั้น เสิ่นหงอู่ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว


 


 


เสิ่นหงอู่ตกใจอย่างยิ่ง อาจารย์ลูกชายเขาก็เคยเอ่ยถึงเจ้าสี่อะไรสักอย่าง เขาคิดว่าเป็นลูกหลานคนไหนของฝั่งหมู่บ้านตระกูลเสิ่นจึงไม่ได้สนใจ


 


 


ฮูหยินสวี่เองก็ใจเต้น จริงด้วย เวยเจี่ยเอ๋อร์ไปซีเจียงจริงๆ ด้วย มิน่าเล่าท่านเสิ่นโหวถึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้ ในใจนางมีความคิดร้อยพันแวบผ่าน แววตาคลุมเครือไม่หยุด


 


 


เสิ่นหงเซวียนยังคงก้มหน้า เขารู้ข่าวนี้จากรู้ชายนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินท่านพ่อเอ่ยขึ้นอีกครั้งความรู้สึกของเขาก็ยังคงซับซ้อนเช่นเคย


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยหรือ แม่ทัพอู่เลี่ยกับ


 


 


หย่งติ้งโหงสามารถยืนยันได้ ท้องพระคลังเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ รวบรวมทั้งหมดทั้งมวลแล้วราชสำนักก็ส่งเสบียงมาซีเจียงได้เพียงหนึ่งหมื่นต้าน ด้วยเสบียงแค่นี้พ่อเจ้าคงจะหิวตายอยู่ที่ซีเจียง


 


 


เวยเจี่ยเอ๋อร์นำสินเดิมทั้งหมดของแม่นางมาให้จึงเลี้ยงกองทัพหลายหมื่นนายของซีเจียงได้ ข้าจึงชนะศึกกลับมาอย่างปลอดภัยได้ พวกเจ้าหาว่าข้ารักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า เหตุใดถึงไม่คิดเสียบ้างว่าตอนที่ซีเจียงตกอยู่ในอันตรายมีเพียงเด็กผู้หญิงเช่นนางที่ก้าวออกมา พวกเจ้ามีใครบ้างที่คิดจะส่งเสบียงสักคันส่งเงินสักเล็กน้อยมาให้ข้า ไม่มี พวกเจ้าไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน! ข้าเสิ่นผิงยวนมีลูกชายสามคนหลานชายหกคน ไม่มีสักคนที่มีประโยชน์เท่าเวยเจี่ยเอ๋อร์เลย”


 


 


เสียงที่น่าเกรงขามของนายท่านผู้เฒ่าโหวดังก้องอยู่ภายในห้อง เสิ่นหงเซวียนก้มหน้างุด มองไม่เห็นสีหน้าของเขา สีหน้าเสิ่นหงอู่เหยเก เสิ่นหงเหวินรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด เขาเองก็เกลียดที่ตนเองไร้ประโยชน์ แบ่งเบาภาระบิดาไม่ได้


 


 


แม้ฮูหยินสวี่จะไม่พูด แต่ในใจกลับไม่ยอมรับ เมื่อข่าวนายท่านผู้เฒ่าโหวถูกยิงธนูสลบเข้ามาในเมืองหลวง สามีของนางก็ไปขอร้องฝ่าบาททั้งคืนมิใช่หรือ เชียนเกอเอ๋อร์ก็วิ่งไปซีเจียงมิใช่หรือ ตอนนี้ลูกชายยังอยู่ที่ซีเจียงอยู่เลย จะเทียบเวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กผู้หญิงคนเดียวไม่ได้ได้อย่างไร ในมือเวยเจี่ยเอ๋อร์มีเงิน แต่นางจะมีความสามารถมากกว่าเชียนเกอเอ๋อร์ได้อย่างไร เชียนเกอเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นหลานชายคนโตที่ถูกต้องตามกฎหมาย นายท่านผู้เฒ่าโหวยกยอเด็กผู้หญิงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร


 


 


นางคิดเช่นนี้ บนใบหน้าก็ออกสีเล็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยง


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นคนที่มีสติปัญญามาก มอบแวบเดียวก็รู้ความคิดของนาง แค่นเสียงในใจอย่างอดไม่ได้ ฮูหยินสวี่ลูกสะใภ้คนโตผู้นี้เป็นคนที่เขาตั้งใจขอมาให้ลูกชายคนโต หลายปีมานี้อบรมสั่งสอนลูกชายลูกสาวทำหน้าที่ภรรยาได้ดีอย่างยิ่งมาโดยตลอด เขาเองก็พอใจอย่างมาก ทว่าความรู้ของนางก็ยังคงน้อยเกินไป เห็นเพียงแต่ว่าตนรักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า ไม่คิดว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์จะนำผลประโยชน์มาให้จวนโหวได้


 


 


หากเป็นเขา อย่าว่าแต่มรดกของพ่อสามี ต่อให้จะเพิ่มจวนโหวไปอีกครึ่งจวนก็ยังยินดี เพียงแค่เวยเจี่ยเอ๋อร์มีความเกี่ยวข้องกับจวนโหวแน่นแฟ้น ภายหลังหากจวนโหวเจอปัญหานางจะต้องช่วยอย่างสุดกำลังแน่


 


 


ตนวางแผนให้พวกเขาเช่นนี้ พวกเขาแต่ละคนยังตระหนักไม่ได้อีก นี่ทำให้นายท่านผู้เฒ่าโหวผิดหวังในใจอย่างยิ่ง เหตุใดเวยเจี่ยเอ๋อร์ถึงไม่เป็นเด็กผู้ชายเล่า ความคิดนี้เข้ามาเกาะกุมหัวใจเขาอีกครั้ง


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวละสายตามองลูกชายคนโต “เจ้าคิดว่าข้าปฏิบัติต่อเชียนเกอเอ๋อร์อย่างไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่ โง่นัก! ข้าจะบอกเจ้าให้ชัดๆ ก็ได้ หากเวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กผู้ชาย บรรดาศักดิ์จงอู่โหวไหนเลยจะตกยังเป็นของเจ้า ข้าจะขอพระราชโองการให้เวยเจี่ยเอ๋อร์โดยตรง เจ้าลองไปเดินสำรวจเมืองชายแดนดู ในกองทัพก็ดี ประชาชนก็ดี ดูว่าพวกเขารู้จักคุณชายสี่หรือว่ารู้จักคุณชายใหญ่ ข้าจะบอกเจ้าให้ ชื่อเสียงของคุณชายสี่แซ่เสิ่นที่ซีเจียงยังดังยิ่งกว่าพ่อเจ้าเสียอีก!”


 


 


หยุดหายใจครู่หนึ่งเขาจึงกล่าวต่อ “แม้แต่เชียนเกอเอ๋อร์ ก็ได้เสิ่นเวยปกป้องถึงได้รอดชีวิตจากอันตรายในทุกครั้ง ข้ามอบมรดกทั้งหมดให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้เชียนเกอเอ๋อร์เองก็เห็นด้วย เขายังแย้งว่าให้น้อยไปด้วยซ้ำ อย่างไรเสียมรดกแค่นั้นของข้าดูเหมือนจะเยอะ แต่อันที่จริงยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่เสิ่นเวยนำออกมาเลย ที่เวยเจี่ยเอ๋อร์นำเข้าไปไม่ได้มีแต่สินเดินของหร่วนซื่อ ยังมีร้านค้ายี่สิบกว่าร้านภายใต้ชื่อนางอีกด้วย! หากเป็นเจ้า เจ้ายอมตัดใจให้ได้หรือไม่ ความสามารถของเจ้าที่ธรรมดาๆ ข้าจะไม่เอ่ยถึงแล้ว แต่เจ้าเป็นถึงลุงใหญ่ก็ไม่ควรไร้หัวใจถึงเพียงนี้ เจ้าเทียบไม่ได้แม้แต่เชียนเกอเอ๋อร์! เชียนเกอเอ๋อร์ยังรู้จักไปปรึกษากับเวยเจี่ยเอ๋อร์เมื่อมีปัญหา เพราะเขารู้ว่าตนสู้นางไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องใจกว้าง ก็ต้องเมตตา ก็ต้องวางท่าทางที่พี่ชายคนโตควรจะมี! เพราะเขารู้ว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์ทำทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาควรทำแต่ทำไม่ได้ เวยเจี่ยเอ๋อร์จึงทำแทนเขา!”


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวกล่าวเสียงทรงพลัง น้ำเสียงเฉียบขาดยิ่งขึ้น ราวกับค้อนหนึ่งอันที่เคาะลงในใจทุกคน สั่งสอนลูกสะใภ้ไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ยังสั่งสอนลูกชายได้ไม่ใช่หรือ


 


 


ความเสียใจบนสีหน้าเสิ่นหงเหวินมากขึ้นแล้ว “ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ท่านอย่าโมโห ลูกเชื่อฟังท่าน ลูกเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ท่านยกมรดกให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ ลูกไม่มีความคิดเห็น รอเวยเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือน ลูกจะเพิ่มสินเดิมให้อีก” เสิ่นหงเหวินเป็นลูกกตัญญู เขาไม่อาจแบ่งเบาภาระพ่อเขาได้ก็รู้สึกผิดอย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้บิดาเขากลับเมืองหลวงทั้งที เขาจะทำให้บิดาเขาโมโหได้อย่างไร ตอนนี้เขาขอเพียงแค่บิดาเขาใจเย็นโดยเร็ว สำหรับมรดกของบิดา จะให้ก็ให้เถอะ


 


 


ฮูหยินสวี่เองก็รีบเปลี่ยนท่าที “มรดกท่านพ่อเดิมก็ควรจะจัดการโดยท่านพ่อเอง ให้ใครไม่ให้ใครพวกข้าที่เป็นชนรุ่นหลังไม่มีความคิดเห็นแม้แต่นิดเดียว เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กที่น่าสงสาร ทั้งยังพยายามเพื่อจวนของพวกเรามามาก ท่านพ่อปูนบำเหน็จนางสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร ลูกไม่มีความคิดเห็นใดๆ”


 


 


นายท่านผู้เฒ่าไหนเลยจะสั่งสอนลูกชาย คำพูดนั้นชัดเจนว่าพูดให้นางฟังต่างหาก ฮูหยินสวี่นึกถึงคำแนะนำของบิดานาง ในใจก็ตกใจชั่วขณะ ตอนนี้สิ่งที่นางดีใจที่สุดก็คือเวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง มิเช่นนั้นจวนโหวนี้ก็อาจจะตกอยู่ในมือคนอื่น อุบายของนายท่านผู้เฒ่าโหวบิดาของนางยังหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง หากนายท่านผู้เฒ่าโหวมีความคิดจะยกบรรดาศักดิ์ให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ บ้านใหญ่ของพวกเขาก็หมดหนทางแล้ว


 


 


สีหน้าบนใบหน้านายท่านผู้เฒ่าโหวเพิ่งจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย กระทั่งกล่าวกับลูกชายคนรองที่สีหน้ายังคงไม่ยินยอมเล็กน้อย “พวกเจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ต่างก็เป็นหลานของข้าเสิ่นผิงยวนทั้งหมด ข้ารักเวยเจี่ยเอ๋อร์มากกว่า นั่นก็เพราะว่านางแบกความรับผิดชอบของพวกเจ้าทั้งหมด ครั้งนี้หากไม่มีเวยเจี่ยเอ๋อร์ ข้าก็คงตายอยู่ที่ซีเจียง อย่าว่าแต่คว้าชัยชนะปูนบำเหน็จเลย จวนโหวของพวกเราคงจะต้องถูกคนอื่นเหยียบย่ำจมดินมิใช่หรือ”


 


 


คนในห้องหนังสือต่างก็หวาดกลัว แม้แต่คนโง่อย่างเสิ่นหงอู่ยังรู้ว่าหลายปีมานี้ความรุ่งโรจน์ของจวนจงอู่โหวเกี่ยวพันกับบิดาเขาเพียงผู้เดียว หากบิดาเขาไม่อยู่แล้ว จวนโหวก็จะจมลงในชั่วพริบตา พี่ใหญ่น้องสามยังดี เลี้ยงคนในครอบครัวได้ แต่เขาที่อาศัยจวนโหวอยู่ไปวันๆ คงไม่ได้แล้ว ถึงตอนนั้นจวนโหวจะต้องแยกบ้าน พี่ใหญ่เขาจะต้องเลี้ยงเขาไม่ได้อีก เช่นนั้นเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร เสิ่นหงอู่หวาดกลัว ไม่กล้าคิด ความคิดที่อยากแย่งมรดกก็ลดลงไปมาก


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นพวกเขาคล้ายครุ่นคิด ก็กล่าวต่อ “วันนี้ข้าเองก็มีเรื่องมาบอกพวกเจ้า ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นจวิ้นจู่ก็เพราะว่าประมุขซีเหลียงและองค์ชายทั้งหมด กระทั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดถูกนางและองค์ชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องนำคนแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลวงซีเหลียงเพื่อจับเป็นเชลยกลับมา ข้อเสนอในการนำเงินมาแลกคนและขอค่าชดใช้ความเสียหายก็เป็นนางที่เสนอ คุณงามความดียิ่งใหญ่เพียงนี้พระราชทานตำแหน่งจวิ้นจู่ยังไม่พอด้วยซ้ำ เดิมฝ่าบาทยังคิดจะเสนอตำแหน่งขุนนางของเจ้าสาม ยังคิดจะพระราชทานตำแหน่งว่างให้น้องชายแท้ๆ ของเวยเจี่ยเอ๋อร์ แต่ถูกข้าปฏิเสธไป ยิ่งสูงยิ่งหนาว ตอนนี้จวนโหวของเราเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างนอก อยู่เงียบๆ ไว้หน่อยจะดีกว่า เรื่องนี้พวกเจ้ารู้กันเองก็พอแล้ว จำไว้ว่าอย่าพูดมั่วซั่วออกไป! โดยเฉพาะเจ้ารอง อย่าเมายมายจนไม่รู้ว่าตนเป็นใคร หากมีใครในพวกเจ้าสร้างปัญหา อย่ามาว่าข้าที่ลงโทษตามกฎตระกูล!” นายท่านผู้เฒ่าโหวเตือนเสียงเด็ดขาด


 


 


“ขอรับ / เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว” พี่น้องทั้งสามรวมถึงฮูหยินสวี่ตอบพร้อมกัน เรื่องเช่นนี้ใครกล้าพูดออกไปกัน


 


 


เสิ่นหงเหวินพี่น้องทั้งสามออกไปจากห้องหนังสือแล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวยืนมือไพล่หลังอยู่ ใบหน้าครึ่งฝั่งอยู่ในแสงและเงา ทำให้คนมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน


 


 


“ท่านโหวอย่าได้เสียใจไปเลย พวกคุณชายเหวินต่างก็เป็นลูกกตัญญู” เสิ่นฉงอันทหารคนสนิทยังคงเรียกตามคำเรียกเก่า


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครา กล่ว “ฉงอัน เจ้าว่าชะตาข้าไม่ดีหรือไม่”


 


 


เสิ่นฉงอันคัดค้านทันที “ใครบอกกัน ชะตาของท่านโหวดีอย่างยิ่ง ท่านเริ่มจากศูนย์จนได้มาซึ่งครอบคัวใหญ่ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเช่นนี้ ชะตาของท่านดีที่สุด”


 


 


ทว่านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวกลับไม่คิดเช่นนี้ หากเขาชะตาดีก็ควรจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตไปตั้งนานแล้ว หากเขาชะตาดี ไหนเลยจะต้องทุกข์ใจเพื่อลูกหลานทั้งที่อายุปูนนี้แล้ว หากเขาชะตาดี ลูกหลานเต็มจวนไหนเลยจะเลือกคนมารับภาระสำคัญไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว


 


 


หรือว่าชีวิตคนที่เขาคร่ามาเยอะเกินไปจนสวรรค์ไม่เมตตา กระทั่งสวรรค์ยังลงโทษเขาเช่นนี้ คิดถึงตรงนี้เขาก็สั่งเสิ่นฉงอัน “ฉงอัน แม้ตอนนี้ใกล้จะถึงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศก็ยังคงหนาวยิ่งนัก พรุ่งนี้เอาเงินหนึ่งพันตำลึงไปซื้อข้าวสารและผ้ามาแจกจ่ายบ้านคนจนที่ฝั่งตะวันตกของเมืองเงียบๆ ให้คนที่ดูไม่ค่อยคุ้นหน้าไปทำ และอย่าได้เอ่ยถึงชื่อจวนโหวของเรา” ทั้งหมดก็เพื่อสั่งสมบุญกุศลให้ลูกหลาน


 


 


ตนแก่แล้ว ไม่ได้มีปณิธานยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน บางทีก็ควรจะทำอย่างที่เวยเจี่ยเอ๋อร์เคยว่าไว้จริงๆ ลูกหลานมีโชคของลูกหลานเอง ไม่ต้องไปเป็นทุกข์แทนลูกหลาน เขาเองก็ควระจะปล่อยวางเพื่อเสพสุขได้แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)