อัจฉริยะสมองเพชร 1830-1831

 ตอนที่ 1830 การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นนักปราชญ์โบราณ (2)

“หนังสือหรือภูมิปัญญาของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ?” ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเกือบร่วงลงจากกลางอากาศ


คุณกล้าดีอย่างไร!


ยังไม่มีทั้งภูมิปัญญาหรือเทคนิควรยุทธ แต่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธให้ได้ดื้อๆแบบนี้…


คุณคิดว่าวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณเหมือนวรยุทธขั้นอื่นที่จะฝ่าด่านกันได้ง่ายๆหรือไง?


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูดไม่ออก เขาสะบัดข้อมือเพื่อนำหนังสือกองหนึ่งออกมา จากนั้นก็โยนให้จางเซวียน “นี่ไง!”


ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่ผันตัวเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดอย่างสมบูรณ์แบบมา และตัวนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเองก็เป็นนักปราชญ์โบราณผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากมาย


จางเซวียนใช้พลังจิตวิญญาณสร้างมือขนาดใหญ่ขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อรวบรวมหนังสือเหล่านั้นไว้ ก่อนจะกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว กระแสข้อมูลไหลบ่าเข้าสู่สมองและกลายเป็นความรู้ของเขา


แต่ไม่ช้าเขาก็ส่ายหน้า


หนังสือพวกนี้รวบรวมเอาประสบการณ์และกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในอดีตเอาไว้ แต่ไม่มีประโยชน์กับเขาเท่าไหร่


ในฐานะนักรบที่ฝึกฝนศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า เส้นทางที่เขาเลือกเดินแตกต่างจากผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนอื่นๆ หากเขาพยายามฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้วิถีทางแบบทั่วไปตามที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนอื่นๆใช้กัน วรยุทธของเขาก็อาจถูกธาตุไฟเข้าแทรก


ดูเหมือนเราคงต้องพึ่งพาตัวเอง ในเมื่อผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนแรกค้นหาเส้นทางที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณจนเจอ เราก็ต้องหาเส้นทางของตัวเองจนได้เหมือนกัน! จางเซวียนคิดขณะรีบสลัดทุกอย่างที่ได้อ่านออกจากหัวสมอง จากนั้นก็ปรับสภาพจิตใจให้สงบ


ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะต้องการประสบการณ์และภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษเพื่อชี้ทาง ลงท้าย ผู้นั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะแผ้วถางเส้นทางของตัวเอง


พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ไหลบ่าเข้าสู่จิตวิญญาณของเขาราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากและบ่มเพาะมัน แต่อะไรที่มากเกินไปก็ย่อมไม่ส่งผลดี สติสัมปชัญญะของจางเวียนเริ่มพร่าเลือนเพราะการแบกรับพลังงานที่มากเกินไป


จิตวิญญาณของนักรบระดับเซียนกว่า 1 แสนคนก่อเกิดเป็นพลังงานเข้มข้นที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่พละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ถึงจิตวิญญาณของจางเซวียนจะได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด เขาก็ยังรู้สึกจนปัญญา


สุดท้าย ภาพหลอนก็ค่อยๆปรากฏต่อหน้าต่อตาของเขา


แม้ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์จะมีอานุภาพขจัดจิตใต้สำนึกที่อยู่ภายในจิตวิญญาณและแปรเปลี่ยนพวกมันให้เป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้ แต่ก็ไม่อาจกำจัดรังสีที่อบอวลอยู่ในจิตวิญญาณเหล่านั้น


นักรบระดับเซียนทั้ง 1 แสนคนได้ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธมาเนิ่นนานหลายปี แต่แล้วก็ต้องมาจบชีวิตกะทันหันเพียงเพราะอำมาตย์เฉินหลิงต้องการเครื่องบรรณาการสำหรับเยียวยาอาการบาดเจ็บของเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่เผ่าพันธุ์ปีศาจแต่ละตัวที่ถูกนำชีวิตมาเซ่นสังเวยจะเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นและโกรธเกรี้ยว


หากมีจิตวิญญาณเพียง 1 หรือ 2 ดวงก็คงไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อความโกรธเกรี้ยวของจิตวิญญาณกว่า 1 แสนดวงมาผนวกรวมกัน พละกำลังที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ใครคนหนึ่งสมควรหลีกเลี่ยง


“หัวใจใสกระจ่าง สมองว่างเปล่า!”


ภายใต้การไหลบ่าของกระแสความโกรธเกรี้ยว จางเซวียนรู้สึกราวกับเจตจำนงของเขากำลังถูกทำลาย เหลือไว้แค่ความใสกระจ่างที่ล่องลอยอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ปกปักรักษาสิ่งที่เขาหวงแหนเอาไว้


เพราะผ่านภูเขาหนังสือและมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้มาแล้ว จางเซวียนจึงได้อ่านหนังสือและซึมซับความรู้มากมายนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ จิตวิญญาณของเขาจึงหนักแน่นกว่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวโดยทั่วไปและแม้แต่นักปราชญ์โบราณบางคน


สมองของจางเซวียนเริ่มเลอะเลือน แต่ก็ยังจับใจความสำคัญได้ ความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับการสังหารและการนองเลือดแวบเข้ามาในหัวสมอง เขารู้สึกราวกับตัวเองมีชีวิตอยู่พร้อมกันทีเดียวในหลายๆชาติ แต่ไม่ว่าประสบการณ์เหล่านั้นจะสับสนขนาดไหน จางเซวียนก็ยังจดจำข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ได้ ต่อให้เขาต้องเสียชีวิต แต่ก็ยังมีหลักการและค่านิยมบางอย่างที่เขาต้องยึดถือไว้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม


เรื่องนี้ก็เป็นความคิดของผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนในทวีปแห่งปรมาจารย์


ในครั้งนั้น หลังจากปราบไอ้โหด ปรมาจารย์ขงก็มีทั้งพละกำลังและวิถีทางมากมายที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ราบคาบ แต่ก็ไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนั้น


นั่นเป็นเพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ขงเห็นด้วย เขายืนหยัดในศรัทธาที่ว่าการให้ความรู้คือกุญแจที่นำไปสู่การพัฒนา และมุ่งมั่นจะยึดถือในความเชื่อนั้น


ตัวจางเซวียนก็มีความเชื่อที่เขามุ่งมั่นจะยึดถือเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับปรมาจารย์ขง เขาไม่ใช่ นักปราชญ์ที่กินอุดมคติ ไม่ใช่ว่าจางเซวียนไม่เห็นด้วยกับวิสัยทัศน์ของปรมาจารย์ขง แต่ต่อให้เขาเลือกจะยึดถือวิสัยทัศน์แบบเดียวกัน มันก็ต้องถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของการรับประกันความปลอดภัยให้กับผู้ที่เขาต้องการปกป้อง


ดังนั้น นอกจากสืบเสาะหาที่อยู่ของหลัวลั่วชิงแล้ว เป้าหมายหลักของเขาที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือคลี่คลายภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปทีเดียว


แน่นอนว่าจางเซวียนอยากใช้วิถีทางแห่งสันติภาพมากกว่าหากรู้สึกว่าพอจะเป็นไปได้ แต่ลงท้าย เขาก็คิดว่าออกจะอันตรายเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกปล่อยให้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ


“จิตวิญญาณของเราจะไม่มีวันถูกทำลาย เจตจำนงของเราจะคงอยู่ต่อไปชั่วกัลปาวสาน…ไม่ว่าเราจะก้าวหน้าไปแค่ไหน เราจะไม่มีวันหลงลืมรากเหง้าของตัวเอง นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเรา!”


ทุกอย่างที่จางเซวียนได้พบเจอมาตลอด 1 ปีตั้งแต่เขามาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง


ฟึ่บ!


จิตวิญญาณที่ไม่อาจถูกทำลายล้างได้ของเขาค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นหยดน้ำสีทองที่เข้าโอบล้อมพลังจิตวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่ช้า หยดน้ำสีทองนั้นก็สร้างคลื่นน้ำวนที่โอบรอบจิตวิญญาณของเขาไว้ มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นในทันที


คลื่นน้ำวนบีบอัดพลังจิตวิญญาณไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ช้า หยดน้ำหยดที่ 2 ก็ก่อตัว ตามมาด้วยหยดที่ 3 แล้วหยดน้ำมากมายหลายหยดก็รวมตัวกันไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา บ่มเพาะร่างนั้น


จิตวิญญาณที่ถูกบีบอัดให้กลายเป็นของเหลว-นี่คือเครื่องหมายของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ…จางเซวียนตาโต


เขารู้ตัวว่าการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณใกล้จะสำเร็จเต็มทีแล้ว


ด้วยธรรมชาติของจิตวิญญาณที่ไร้รูปร่างและจับต้องไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่ผู้ที่ไม่ใช่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณและไม่ได้ครอบครองดวงตาหยั่งรู้จะมองเห็นมันได้ ต่อให้ใช้การรับรู้จิตวิญญาณก็ตาม


แต่การที่จิตวิญญาณของจางเซวียนถูกบีบอัดจนกลายเป็นของเหลว ก็หมายความว่าจิตวิญญาณของเขาสูญเสียธรรมชาติของการจับต้องไม่ได้ไป โดยแปรสภาพไปอยู่ในรูปของเหลวที่เคลื่อนไหวได้แทน


แน่นอนว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้หมายถึงของเหลวจริงๆ แต่หมายถึงการที่ความบริสุทธิ์ของพลังจิตวิญญาณของเขาก้าวเข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ทำให้สภาพโดยธรรมชาติของมันเปลี่ยนแปลงไปมาก


พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในสภาพเหมือนกับของเหลวจะทำให้เขาสำแดงพละกำลังได้รุนแรงและหนักหน่วงกว่าเดิม


เร็วขึ้นอีก!


เมื่อรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขาที่เกือบจะระเบิดอยู่เมื่อครู่เริ่มสงบลง จางเซวียนก็เร่งกระบวนการแปรสภาพ


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตาค้างขณะจับจ้องการเคลื่อนไหวของจางเซวียน


เขารู้จักก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย และสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นและทรงอานุภาพที่อยู่ในก้อนหินนั้น แม้แต่ตัวเขาก็ยังถูกอำนาจของมันดึงดูด


แม้จะเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่อาจกลืนกินพละกำลังมหาศาลขนาดนั้นได้ในคราวเดียว ร่างของเขาคงระเบิดเสียก่อนตั้งแต่กลืนกินมันเข้าไปเพียง 1 ใน 10 แล้ว แต่อีกฝ่ายกล้าแตะต้องพลังงานมหาศาลขนาดนั้นเพียงเพื่อจะฝ่าด่านวรยุทธจากนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกไปเป็นนักปราชญ์โบราณ


คนคนหนึ่งจะเอาชีวิตรอดด้วยวิธีนี้ได้อย่างไร?


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคิดว่าไม่ช้าจางเซวียนก็คงหยุด แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะซึมซับพลังจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที พลังจิตวิญญาณกว่าครึ่งของจิตวิญญาณกว่า 1 แสนดวงที่เป็นเครื่องบรรณาการของอำมาตย์เฉินหลิงก็ถูกเขากลืนกินไป


ในตอนนั้น จิตวิญญาณของจางเซวียนมีความสูงราว 100 เมตร ทำให้เขากลายเป็นยักษ์ปักหลั่นสูงตระหง่าน


“บีบอัดทุกอย่างให้กลายเป็นของเหลวและฝ่าด่านวรยุทธ!”


ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังตกตะลึง จิตวิญญาณขนาดมหึมานั้นก็ตะโกนก้อง ร่างสูงตระหง่านของมันเริ่มหดตัวลงด้วยความเร็วอย่างน่าทึ่ง


ในเวลาเดียวกัน ภาพวาดภาพหนึ่งก็คลี่ตัวเองออกกลางอากาศ จากภาพวาดนั้น รังสีโบร่ำโบราณ พวยพุ่งออกมา มันเป็นรังสีโบร่ำโบราณที่หายไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์เนิ่นนานจนนับปีไม่ถ้วน


นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ!


ภายใต้การพุ่งของรังสีนั้น จิตวิญญาณของจางเซวียนบริสุทธิ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว เร่งกระบวนการบีบอัดจิตวิญญาณให้เป็นของเหลวให้เร็วขึ้นอีก


ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จิตวิญญาณของเขาก็กลับสู่สภาพเดิม แต่ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่บีบอัดอยู่ในจิตวิญญาณทำให้เขารู้สึกว่าเพียงแค่โบกมือเบาๆก็แทบจะฉีกกระชากมิติให้แยกออกจากกันได้แล้ว จิตวิญญาณทั้งดวงของเขาแผ่รังสีของความโบร่ำโบราณที่ดูราวกับนักรบผู้เป็นอมตะออกมา


“นักปราชญ์โบราณ…จิตวิญญาณของท่านประธานสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว!” เห็นการแปรสภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะทั้งร่างสั่นสะท้าน


แม้กระบวนการฝ่าด่านวรยุทธที่จางเซวียนใช้จะแตกต่างไปจากกระบวนการใดๆที่เขาเคยเห็นมาก่อน แต่ข้อเท็จจริงก็คือจิตวิญญาณของอีกฝ่ายสามารถรองรับพละกำลังและรังสีไว้ได้มากมาย ถึงขนาดก้าวผ่านด่านคอขวดที่สกัดกั้นเขาไว้แล้วสำเร็จวรยุทธขั้นใหม่ได้


ถึงเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่อยู่ในสนามรบแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจะรักษาวงศ์วานว่านเครือของตัวเองไว้ได้สำเร็จ แต่ก็เหลือจำนวนน้อยมาก แถมมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถส่งต่อศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของตัวเองให้กับผู้อื่นได้


อันที่จริง นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเป็นนักปราชญ์โบราณเพียงคนเดียวที่สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมีอยู่ในเวลานี้ จึงไม่เป็นการเกินจริงหากจะพูดว่าเขาคือผู้เดียวที่โดดเด่นอยู่ในสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ


แต่การฝ่าด่านวรยุทธของท่านประธานบ่งบอกถึงการเริ่มต้นครั้งใหม่ของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ภายใต้การนำของท่านประธาน เขาเชื่อว่าไม่ช้าไม่นาน สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะต้องกลับมารุ่งเรืองและยิ่งใหญ่อีกครั้ง!


ครืนนนน!


พร้อมๆกันกับการเจริญเติบโตของพลังจิตวิญญาณของจางเซวียน ท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มสั่นสะท้าน เมฆดำกลุ่มใหญ่รวมตัวกัน สายฟ้าฟาดและลูกไฟมากมายนับไม่ถ้วนเกรี้ยวกราดอยู่ในนั้น พละกำลังทำลายล้างกำลังก่อตัวอยู่ด้านบน


การทดสอบนักปราชญ์โบราณมาถึงแล้ว!


ตอนที่ 1831 การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า

จางเซวียนเงยหน้ามองท้องฟ้าขณะตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งเครียด “มันทรงพลังยิ่งกว่าการทดสอบวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติเสียอีก”


เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สภาวะจิตของเขาจึงสุขุมเยือกเย็นกว่าที่เคย แม้จะมีพละกำลังอันน่าสะพรึงก่อตัวอยู่เหนือศีรษะ พร้อมที่จะเล่นงานเขาได้ตลอด แต่จางเซวียนก็ไม่สะทกสะท้าน


“ต้องลองดูสักหน่อย…”


นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกายเมื่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบดึงจิตวิญญาณกลับเข้าสู่กายเนื้อ


“ท่านประธานคิดจะทำอะไร?”


เห็นภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิด


สิ่งเดียวที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จคือจิตวิญญาณของจางเซวียน แต่กายเนื้อของเขายังคงมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกอยู่ การดึงจิตวิญญาณกลับเข้ากายเนื้อก็หมายความว่าเขากำลังจะนำกายเนื้อเข้าสู่การทดสอบวรยุทธ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!


“เขาคิดจะใช้แรงกดดันจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อและพลังปราณ จะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณพร้อมๆกันอย่างนั้นหรือ?” อำมาตย์เฉินหย่งหรี่ตาด้วยความสงสัย


เหตุผลที่เขามีพละกำลังมหาศาลก็เพราะเขาได้ผลักดันตัวเองให้ก้าวข้ามขีดจำกัดตั้งแต่เมื่อครั้งยังหนุ่ม เพราะความบ้าบิ่นนี้ที่ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเป็นที่ 1 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนายน้อย ดูเหมือนความบ้าบิ่นของเขาในครั้งนั้นจะเทียบชั้นไม่ได้เลย!


ด้วยความปราดเปรื่องของนายน้อย ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงแบบนี้ แต่นายน้อยกลับเลือกที่จะใช้วิธีการสุดโต่งเพื่อบ่มเพาะร่างกายและเร่งความก้าวหน้าของเขา!


การท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณด้วยกายเนื้อและพลังปราณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกนั้นจัดเป็นการกระทำที่อันตรายมาก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความตาย เรียกได้ว่าไม่คุ้มค่าสักนิดที่จะเสี่ยง


บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!


พฤติกรรมของจางเซวียนดึงดูดสายตาทุกคู่ที่อยู่บริเวณนั้น พวกเขาหยุดการสู้รบโดยอัตโนมัติเพื่อเฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป


ฟึ่บ!


ทันทีที่จิตวิญญาณของจางเซวียนกลับเข้าสู่กายเนื้อ พลังปราณของเขาก็พลุ่งพล่าน กายเนื้อสั่นสะท้าน จากนั้นเมฆดำ 2 กลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามา พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว


เปลวเพลิงสวรรค์และสายฟ้าฟาดตั้งต้นเล่นงานจางเซวียนอย่างดุเดือด กลบร่างของเขาไว้มิด


เปลวเพลิงนั้นเป็นสีดำสนิท บ่งบอกชัดว่ามันคือเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด อีกทั้งยังมีพละกำลังทำลายล้างมากกว่าที่จางเซวียนเคยเผชิญเมื่อครั้งเข้าท้าทายการทดสอบของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ ต่อให้ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณก็คงหลอมละลายไม่มีเหลือ


“นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ!”


จางเซวียนตวาดก้อง ม้วนภาพวาดคลี่ออกอีกครั้ง แล้วนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณก็พุ่งเข้าสู่ร่างของจางเซวียนอย่างรวดเร็ว


ในชั่วพริบตานั้น ดูราวกับใครสักคนปลุกเลือดทุกหยดในร่างของเขาให้ฟื้นคืนชีพ เรียกพลังงานมหาศาลให้แผ่ออกจากร่างนั้นเพื่อกลบความร้อนแผดเผาที่อยู่โดยรอบ


แต่เพียงไม่นาน ผิวหนังและกล้ามเนื้อของจางเซวียนก็เริ่มมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน เกิดบาดแผล เปรอะเปื้อนเลือดทั่วร่างของเขา


แม้จางเซวียนจะทรงพลังกว่านักรบทั่วไป แต่ทั้งกายเนื้อและพลังปราณของเขาก็อยู่ในขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเท่านั้น ไม่มีทางจะต้านทานการทดสอบนักปราชญ์โบราณอันทรงพลังได้


ถ้าไม่ใช่เพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่คอยเยียวยากายเนื้อของเขา ร่างของจางเซวียนคงแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว


เราไม่มีทางทำได้จริงๆหรือ? จางเซวียนคิดขณะกัดฟันกรอดเพื่ออดทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เกาะกุมร่างของเขา


เขารู้ดีว่าการทดสอบนักปราชญ์โบราณนั้นทรงพลังมาก ซึ่งก็เป็นอย่างที่อำมาตย์เฉินหย่งคิดไว้ เหตุผลที่เขาเลือกดึงจิตวิญญาณกลับสู่กายเนื้อก็เพราะหวังจะใช้แรงกดดันจากการทดสอบวรยุทธเพื่อผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้สำเร็จ


แม้การกระทำนี้จะอันตราย แต่จางเซวียนก็รู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจหายากที่เขาสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธได้ อีกอย่าง ก็ไม่ใช่ทุกวันที่ใครสักคนจะมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับพละกำลังระดับนี้


ในสายตาของคนอื่นๆ จางเซวียนคือนักรบที่ไม่เคยพบกับด่านคอขวดในการฝึกฝนวรยุทธ พวกเขาต่างรู้สึกว่าไม่ช้าไม่นานจางเซวียนจะต้องฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จแน่


ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะทำสำเร็จภายในอีก 100 ปีข้างหน้า


การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นวีรกรรมปาฏิหาริย์ ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์หรือสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผู้ที่ทำสำเร็จมีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น


แต่จางเซวียนไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้!


เขาต้องการพบหลัวลั่วชิงและฟังเหตุผลจากปากของเธอ ไม่อย่างนั้นคงได้เสียสติแน่ เขาพยายามระงับอารมณ์ให้สุขุมเยือกเย็นมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้อีกนานแค่ไหน


ดังนั้น ไม่ว่าเรื่องนี้จะเสี่ยงอย่างไร ขอแค่ยังพอมีโอกาสให้เขาปีนป่ายไปสู่ความก้าวหน้า เขาก็จะคว้ามันไว้ แม้โอกาสนั้นอาจหมายถึงการลงเอยด้วยความตาย!


เปรี้ยงงงง!


สายฟ้าฟาดและเปลวเพลิงสวรรค์โจมตีจางเซวียนอย่างไม่ลดละ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกย่างทั้งเป็นอยู่ในหม้อหลอมยา ร่างกายของเขาเหี่ยวแห้ง พลังปราณถูกสูบออกไปในปริมาณมาก จางเซวียนใกล้หมดความอดทนเต็มที


หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณ!


จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำขวดหยกออกมาก่อนจะดื่มสิ่งที่อยู่ข้างใน


หลังจากกลืนเลือดของนักปราชญ์โบราณลงไปราวกับเป็นน้ำเปล่า เขาก็สามารถเรียกพลังงานที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้และประทังชีวิตไปได้อีกระยะหนึ่ง


เราต้องเดินหน้า!


ภาพของกระบี่เปลวเพลิงสีดำ หยวนเทา และหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จแวบเข้ามาในสมองของจางเซวียน เขากัดฟันอย่างมุ่งมั่น


ในเมื่อพวกนั้นผ่านการทดสอบวรยุทธไปได้อย่างง่ายดาย เราก็จะแพ้ไม่ได้!


ด้วยความคิดนั้น จางเซวียนพุ่งเข้าสู่หมู่เมฆดำ


“บ้าไปแล้ว! นี่มันบ้าสิ้นดี!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอุทานออกมาขณะที่ตัวสั่นไม่หยุด


แม้จะเกิดมาพร้อมกับศักยภาพของร่างกายที่เหนือชั้น แต่เมื่อครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณ ก็ยังไม่กล้าดำดิ่งเข้าสู่ใจกลางของเมฆดำแบบนี้


ในเมื่อนายท่านเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ การทำแบบนี้จะไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือ?


ต่อให้นักรบผู้หนึ่งจะได้รับพละกำลังมหาศาลแค่ไหนจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ย่อมไม่มีความหมายอะไรเลยหากเขาต้องเสียชีวิตระหว่างกระบวนการนั้น


ครืดดดด!


เมื่อถูกยั่วยุจากการกระทำของจางเซวียน หมู่เมฆดำเกิดความเกรี้ยวกราดขึ้นมา สายฟ้าฟาดขนาดใหญ่แลบแปลบปลาบทั่วทั้งท้องฟ้า เกิดรอยแยกสีดำสนิทขึ้นท่ามกลางมิติ จากนั้น สายฟ้าฟาดและเปลวเพลิงที่อยู่โดยรอบก็รวมตัวกันรอบๆรอยแยกสีดำสนิท เกิดเป็นพละกำลังทำลายล้าง ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น


เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนมีกระบี่สีดำขนาดยักษ์ที่เปี่ยมด้วยพละกำลังทำลายล้างกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ


“นี่มัน…เดี๋ยวก่อน! หรือว่ามันจะเป็น…การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้! การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์ของสายฟ้าเรียกได้ว่าเป็นหายนะที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้นั้นพยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4-ผู้ทำลายล้างมิติเท่านั้น!” อำมาตย์เฉินหย่งหน้าซีดเผือดขณะที่หัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากลำคอ


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจและหลานชายของไอ้โหด เขาได้อ่านหนังสือมากมายที่เกี่ยวข้องกับนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ


หนังสือเหล่านั้นบอกรายละเอียดไว้ว่าในการจะสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ผู้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า มันคือการทดสอบที่เปลวเพลิงสวรรค์กับสายฟ้าฟาดจะรวมตัวกันและก่อตัวขึ้นในรูปแบบของอาวุธที่มาจากสวรรค์


อาวุธแต่ละชิ้นจะมีพละกำลังทำลายล้างมากพอที่จะทำลายทั้งโลกนี้ให้ราบคาบ ถึงขนาดที่ตัวเขา ก็จะถูกเฉือนเป็น 2 ท่อนได้อย่างง่ายดายหากต้องเผชิญหน้ากับมัน


นายน้อยของเขาแค่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณเท่านั้น…ทำไมถึงเรียกการทดสอบอันทรงพลังขนาดนี้มาได้? ดูไม่สมเหตุสมผลเลย!


“จบเห่แล้ว…”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพรั่นพรึงจนพูดอะไรไม่ออก


แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าคืออะไร แต่ก็รู้ดีว่ากระบี่ขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าด้วยพละกำลังที่มีอยู่ได้ อันที่จริง เพียงแค่จ้องมองกระบี่ก็รู้สึกเหมือนหัวจิตหัวใจจะแตกสลายด้วยความหวาดหวั่นแล้ว


อำมาตย์เฉินหลิงที่ลอยตัวอยู่เหนือแท่นบูชาหยุดการซึมซับพลังงานปริมาณมหาศาลอย่างกะทันหัน และในเวลาเดียวกัน รอยแยกของมิติที่ถูกเปิดออกจากการประกอบพิธีกรรมก็ค่อยๆปิดตัวลง


ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ไม่ยำเกรงอานุภาพทำลายล้างของธรรมชาติ


การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณโดยทั่วไปไม่อาจนำการทดสอบวรยุทธอันทรงพลังขนาดนี้มาได้ แม้แต่กับตัวเรา แต่เราก็พยายามเผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณด้วยจิตวิญญาณ กายเนื้อ และพลังปราณ แถมยังพยายามยั่วยุมันด้วยการพุ่งเข้าใส่ด้วย…


แม้แต่จางเซวียนก็ไม่อาจคงความสุขุมไว้ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังน่าพรั่นพรึงระดับนี้ เขาขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว


จางหงเทียนและนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเคยบอกเขาไว้ว่ายิ่งพยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ ลงท้ายความสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ในอดีต ปรมาจารย์ขงเข้าท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณรวมทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งในที่สุดก็เลือกฝ่าด่านวรยุทธในครั้งที่ 4


หยวนเทาก็เคยท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เลือกที่จะกดข่มระดับวรยุทธไว้และยับยั้งตัวเองไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ


ในเมื่อจางเซวียนเรียกการทดสอบวรยุทธมาได้ระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณ เขาก็ควรจะเผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณเพียงครั้งเดียว แต่เขากลับนำกายเนื้อและพลังปราณเข้าสู่การทดสอบวรยุทธด้วย ซึ่งนั่นเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างไป


พูดง่ายๆก็คือ เขากำลังเผชิญหน้ากับพละกำลังของการทดสอบนักปราชญ์โบราณถึง 3 ครั้งในคราวเดียว และนั่นคือเหตุผลที่การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าถูกเรียกมา


ถ้าเขาเอาชนะมันได้ ก็จะเท่ากับเอาชนะการทดสอบนักปราชญ์โบราณได้ถึง 3 ครั้งในคราวเดียว มันจะช่วยบ่มเพาะทั้งกายเนื้อ พลังปราณ และจิตวิญญาณของเขา สร้างรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธในอนาคต แต่หากเขาล้มเหลว ทุกอย่างก็จบเห่ มันหมายถึงการสิ้นสุด


เขากำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายและทุ่มสุดตัว


“คุณอาจมีพละกำลังไร้เทียมทาน แต่ผมคือผู้ที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนถึงขนาดนี้ ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเล่นงานผมสำเร็จด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ล่ะก็ จะได้รู้กันว่าคุณคิดผิด!” จางเซวียนคำรามลั่นขณะพุ่งเข้าใส่กระบี่ขนาดมหึมาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ


ควั่บ!


วินาทีที่กำปั้นของจางเซวียนกำลังจะถึงเป้าหมาย กระบี่ขนาดมหึมานั้นก็กวัดแกว่งลงมาจากท้องฟ้า แรงกดดันมหาศาลจากการร่วงลงมาของกระบี่ทำให้มือของจางเซวียนได้รับบาดเจ็บทันที เลือดไหลนองไปตามแขน ผิวหนังของเขาถูกฉีกกระชากออกไป เผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)