กระบี่จงมา 183-185.1

 บทที่ 183 เขามีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้อน สายลมฤดูใบไม้ร่วง หิมะฤดูหนาว

โดย

ProjectZyphon

ใกล้ช่วงสิ้นปี ฟ้าหนาวดินแข็ง เส้นทางเล็กแคบในตรอกหนีผิงก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นแข็งทื่อมากเป็นพิเศษ


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มองแผ่นหลังสูงใหญ่แล้วเอ่ยเรียกเบาๆ “พี่ใหญ่หลี่”


หลี่ซีเซิ่งไม่ได้หันกลับมา เพียงยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสามารถรับมือได้ ต่อให้ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เมืองเล็กก็มีกฎของเมืองเล็ก เขาทำตัวเหลวไหลตามใจชอบไม่ได้หรอก”


มือกระบี่หนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเฉาจวิ้นหัวเราะหึหึ “เจ้าพูดถึงราชสำนักต้าหลีหรือว่าหร่วนฉงแห่งสำนักการทหาร? หากเป็นฝ่ายแรก ข้าแนะนำเจ้าว่าทำใจเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ หากตระกูลซ่งของต้าหลีมีความกล้าจริงก็คงไม่ทำตัวเป็นเต่าหดหัว แต่หากเป็นหร่วนฉง ฮ่าๆ ขอข้าอุบไว้ก่อนแล้วกัน พวกเจ้ารอดูกันได้เลย”


เฉาจวิ้นมองบัณฑิตชุดเขียวที่ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกเนื้อดี เมื่อเทียบกับตนแล้วเหมือนจะอ่อนเยาว์กว่า อีกฝ่ายคือคนหนุ่มที่หนุ่มอย่างแท้จริง นี่ทำให้เฉาจวิ้นไม่สบอารมณ์นัก เขาใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่สั้นที่พกตรงเอว “จะตีกันจริงๆ รึ? เจ้าค่อนข้างเสียเปรียบนะ ยอมๆ ไปเถอะ ไม่แน่ว่าหลังจบเรื่องอาจจะมีโชคดีตามหลังโชคร้ายก็ได้”


หลี่ซีเซิ่งยิ้มอ่อน “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเหตุผลของเจ้าอยู่ในฝักกระบี่ ข้าก็อยากจะลองฟังดู”


“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ถ้ำสวรรค์หลีจูห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด ตอนนี้ถ้ำสวรรค์ปริแตกร่วงลงสู่พื้นดิน เพิ่งจะผ่านไปปีเดียว เจ้าก็เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้แล้ว ไม่เลวเลย”


ดวงตาของเฉาจวิ้นเผยแววชื่นชม แต่ไม่นานก็ส่ายหน้า จุ๊ปากพูด “น่าเสียดายนัก”


หลี่ซีเซิ่งยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญ”


เฉาจวิ้นหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “กบใต้บ่อ ไม่รู้ว่าฟ้าสูงเท่าไหร่ ในเมื่อพวกเราไม่ได้คิดจะต่อสู้ตัดสินเป็นตาย ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกดขอบเขตลงหนึ่งระดับ เจ้าจะได้ไม่แพ้ในศึกแรกของชีวิตอย่างอยุติธรรมเกินไปนัก”


หลี่ซีเซิ่งเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด


“รอวันหน้าเจ้าออกไปจากบ่อแห่งนี้แล้วจะค้นพบเองว่าบุคคลเช่นข้า คู่ควรกับ…” เฉาจวิ้นแตะปลายเท้า โน้มตัวลงพุ่งกระโจนไปด้านหน้า แผดเสียงหัวเราะดังก้อง เมื่อเลือกจะลงมือ พลังอำนาจของมือกระบี่หนุ่มที่ใบหน้าแต้มยิ้มอยู่เป็นนิจพลันแปรเปลี่ยน ในตรอกที่เล็กแคบจนน่าอึดอัดกึกก้องไปด้วยประโยคที่เขาเอ่ยต่อท้าย “สองคำว่าคุณธรรมแล้ว!”


แสงสีขาวสว่างจ้าเส้นหนึ่งระเบิดกระจาย ปราณกระบี่ซัดพุ่งไปสี่ทิศอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วทั้งตรอก บวกกับที่ร่างของเฉาจวิ้นจู่โจมเข้ามาเร็วเกินไป เป็นเหตุให้ร่างที่พร่าเลือนของเขาผสานรวมเป็นหนึ่งกับพลังรอบด้านจนไม่อาจมองเห็นได้ ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่ามีน้ำป่าทะลักหลังจากพายุฝนผ่านพ้น โดยใช้ตรอกแห่งนี้เป็นท้องน้ำท่วมทะยานเข้าหาพวกหลี่ซีเซิ่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่า


มองไปมีแต่สีขาวโพลน ท่ามกลางกระแสปราณกระบี่อันน่าครั่นคร้ามพอจะมองเห็นได้รำไรว่ามีแสงสีขาวหิมะที่รวมตัวกันได้หนาแน่นมากกว่า คล้ายปลาสีขาวตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่ในธารน้ำอย่างเงียบเชียบ


กระแสน้ำพลันหยุดชะงัก


หลี่ซีเซิ่งเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่รีบไม่ร้อน เขายกแขนยื่นเข้าหากระบี่สั้นสีหิมะสว่างตาดุจปลาสีขาวตัวนั้น


จากนั้นก็กำข้อมือที่ถือกระบี่ของเฉาจวิ้นไว้เบาๆ อย่างแม่นยำ


เฉาจวิ้นยิ้มบางๆ ปล่อยนิ้วออก กระบี่สั้นที่อยู่ห่างจากหน้าอกของหลี่ซีเซิ่งสองสามฉื่อพุ่งสวบเข้าแทงหัวใจของเขาด้วยตัวเอง


สีหน้าของหลี่ซีเซิ่งยังคงนิ่งเฉย ประกบสองนิ้วของมือซ้ายวางไว้ด้านหน้าตัวเอง


คีบปลาสีขาวตัวนั้นไว้ได้พอดีในชั่วเสี้ยวยาแดงผ่าแปด


ปลาขาวพลิกตัวสะบัด


คมกระบี่บิดหมุนตามไปด้วย


หลี่ซีเซิ่งได้แต่ก้าวถอยหลัง เฉาจวิ้นบุกประชิด มือที่เคยถือกระบี่กำเป็นหมัดแล้วต่อยเข้าที่ลำคอของหลี่ซีเซิ่ง


หลี่ซีเซิ่งใช้ข้อศอกต้านหมัดของเฉาจวิ้น ขณะเดียวกันปลาขาวตัวนั้นก็แทงเข้ามาถึงตัว หลี่ซีเซิ่งสะบัดข้อมือของมืออีกข้างจนชายแขนเสื้อส่ายไหว


ปลาขาวตัวนั้นพาตัวเข้ามาติดกับแต่โดยดี


เฉาจวิ้นหลุดหัวเราะพรืด ยกเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องของหลี่ซีเซิ่งจนบัณฑิตชุดเขียวถอยหลังไปสี่ห้าก้าว


เขาไม่ได้ฉวยโอกาสไล่ตามมาโจมตีต่อ แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจกว้าง มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งสะบัดอย่างสง่างาม


หลี่ซีเซิ่งหยุดอาการถอยกรูดไว้ได้ สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แม้ว่าเฉาจวิ้นจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ทว่ากำลังเท้านี้ของเขาหนักหน่วงมาก ไม่เป็นรองกำลังของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุดเลย เดิมทีการหลอมลมปราณควบคู่กับการขัดเกลาร่างกายก็เป็นจุดที่น่ากลัวของผู้ฝึกกระบี่และนักพรตสำนักการทหารอยู่แล้ว ดังนั้นหลี่ซีเซิ่งที่รับเท้านี้ไปเต็มๆ จึงค่อนข้างแย่ การโคจรลมปราณในร่างกายได้รับผลกระทบไปด้วยในระดับหนึ่ง


ในชายแขนเสื้อของหลี่ซีเซิ่งที่กักกระบี่บินของเฉาจวิ้นเอาไว้ส่งเสียงปึงปังดังต่อเนื่อง จากนั้นเสียงแควกเหมือนผ้าถูกฉีกขาดเบาๆ ก็ดังออกมา ตามด้วยแสงกระบี่สีขาวหิมะเป็นเส้นๆ ที่ไหลลอดตามรอยปริแยก


มือข้างนั้นในชายแขนเสื้อของหลี่ซีเซิ่งที่มีโลกอีกใบหนึ่ง นิ้วทั้งห้าบ้างก็งอเป็นตะขอ บ้างก็ตรงดุจง้าว กำลังทำมุทราเป็นคาถาหนึ่งของลัทธิเต๋าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับท่องในใจว่า “สยบ!”


ชายแขนเสื้อที่เดิมทีเดี๋ยวก็พองขยาย เดี๋ยวก็หดรัดแน่น โกลาหลผิดปกติพลันสงบลง


เสียงกระบี่บินที่พุ่งชนชายแขนเสื้อเปลี่ยนมาเป็นเสียงครวญครางสั่นสะท้านเบาๆ


เฉาจวิ้นไม่รู้สึกแปลกใจกับภาพเหตุการณ์นี้ เขาพูดยิ้มๆ “เจ็ด”


ชายแขนเสื้อทั้งแถบของหลี่ซีเซิ่ง ไล่จากข้อศอกลงมาพากันขาดวิ่นในเสี้ยววินาที แสงกระบี่สาดส่องสั่นสะเทือนตรงบริเวณใกล้เคียงกับข้อมือ


ราวกับแสงจันทร์งามล้ำที่ส่องสว่างเต็มอุ้งมือ แต่กลับแฝงเร้นไว้ด้วยปราณสังหารอันตรายอย่างใหญ่หลวง


นิ้วมือทั้งห้าที่ทำมุทราของหลี่ซีเซิ่งแปรเปลี่ยนไป กลายมาเป็นการกำมือ ในฝ่ามือของเขาที่ทุกคนมองไม่เห็น เส้นลายมือเหมือนกระแสน้ำที่ไหลรินเอื่อยๆ เปลี่ยนแปลงทิศทางการโคจร


ทันใดนั้นแขนข้างนั้นของหลี่ซีเซิ่งก็ส่องประกายแสงสีเขียวอมม่วง ไอหมอกแผ่อบอวล


ปราณกระบี่ของปลาสีขาวที่พาคมกระบี่ล้อมพันไปทั่วแขนของหลี่ซีเซิ่งปะทะเข้ากับปราณสีเขียวม่วงที่หลี่ซีเซิ่งแผ่ออกมาจนเกิดเสียงใสกังวานเหมือนหินทองกระทบกัน ดังถี่กระชั้น สะเทือนแก้วหู


เป็นเหตุให้มีเศษฝุ่นเศษดินร่วงเผลาะๆ ลงมาจากกำแพงสูงฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิงกับกำแพงเตี้ยของประตูบ้านเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


ดวงตาหงส์ของเฉาจวิ้นที่เดิมทีหรี่ลงเป็นเส้นโค้งเล็กแคบเบิกกว้างขึ้นมาอีกนิด เอ่ยยั่วเย้า “น่าสนใจ ว่ากันว่าวิชาคาถาของลัทธิเต๋ามีเป็นล้านชนิด ที่ข้าเคยเห็นมาก็แค่สองร้อยกว่าชนิดเท่านั้น แถมยังไม่เคยเจอคาถาไหนที่ง่ายดายและใช้ได้ดีเหมือนของเจ้ามาก่อน เจ้าคนแซ่หลี่ ตบะขอบเขตหกของเจ้าจะแน่นหนาเกินไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมามีแต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกรังแกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดเท่านั้น ไหนเลยจะมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกที่ต้านทานผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดได้อย่างเจ้า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าเฉาจวิ้นจะไม่กลายเป็นตัวตลกของผู้ฝึกกระบี่ทั่วหล้าหรอกหรือ”


หลังผ่านการปรับตัวในช่วงแรกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หลี่ซีเซิ่งยังเหลือพลังอยู่มาก ถึงขั้นยังยิ้มได้ “อาจเป็นเพราะเหตุผลของเจ้ายังไม่…สูงมากพอ?”


เฉาจวิ้นพยักหน้ารับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเอ่ยคำหนึ่งออกมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “แปด!”


กระบี่บินปลาขาวที่เหมือนถูกกระตุ้นพลังชีวิตถอยกรูดกลับไปหาเจ้านายอย่างเฉาจวิ้น จากนั้นก็ลอยนิ่ง เพียงเสี้ยววินาทีกระบี่บินก็หม่นแสง กระบี่สั้นเป็นแค่กระบี่สั้น ไม่เหลือปราณกระบี่ไหลวน ไม่มีพลังอำนาจเฉิดฉายอย่างก่อนหน้านี้อีก


ปณิธานกระบี่เย็นชามืดทะมึนที่ให้ก่อนหน้านี้ความรู้สึกประหลาดแก่ผู้คนพลันแปรเปลี่ยน กลายมาเป็นสว่างไสวตรงไปตรงมา


กระบี่บินหายวับไปกลางอากาศทันใด


บนกำแพงแห่งหนึ่งของตรอกเล็กที่อยู่ระหว่างคนทั้งสองปรากฏร่องรอยที่เล็กอย่างถึงที่สุด เล็กแค่สะเก็ดฝุ่นที่ร่วงลงมาเท่านั้น


หลี่ซีเซิ่งยื่นสองนิ้วของมือขวาออกมา พยายามจะคว้าจับกระบี่บินที่อ้อมเป็นวงกลมเล่มนั้นให้ได้อีกครั้ง


แล้วหลี่ซีเซิ่งก็พลันเบี่ยงหน้าหลบ


นาทีถัดมา กระบี่บินก็เจาะผนังสูงทางฝั่งซ้ายของหลี่ซีเซิ่งจนเป็นรู


แล้วมันก็หายวับไปอีกครั้ง


ทว่าซีกหน้าฝั่งซ้ายของหลี่ซีเซิ่งกลับมีหยดเลือดหยดหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นรอยเลือดเส้นหนึ่งที่ยาวชุ่นกว่า


เป็นอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ว่า เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ ความเป็นความตายถูกขีดคั่นด้วยเส้นบางๆ เส้นเดียว


หลี่ซีเซิ่งพูดในใจ “ที่แท้นี่ก็คือแปด ร้ายกาจอย่างแท้จริง”


การที่พลังต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่ได้รับการยอมรับจากผู้คนโดยทั่วไปว่าล้ำเลิศกว่าผู้ฝึกลมปราณร้อยสำนักนั้นอยู่ที่ กระบี่บินซึ่งได้รับการบ่มเลี้ยงอย่างเหมาะสม ความคมกริบของมันอยู่ที่ ‘จุดเล็กๆ’ หรืออย่างมากที่สุดก็คืออยู่ที่เส้นๆ หนึ่ง


ไม่ว่าเทือกเขาแห่งหนึ่งจะยิ่งใหญ่สูงตระหง่านขนาดไหน หากคิดจะตอกตะปูตัวหนึ่งลงไปบนหน้าผา หรือเจาะร่องลึกสักเส้นหนึ่ง อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเลย


เป็นพวกตัวประหลาดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณเหมือนกัน ต่อให้เป็นนักพรตสำนักการทหารที่ทั้งฝึกฝนร่างกายและฝึกฝนจิตวิญญาณ ก็ยังสังหารคนได้ไม่คล่องแคล่วว่องไวเฉกเช่นผู้ฝึกกระบี่


ต่อให้เจ้าจะมีสมบัติอาคมนับพันนับหมื่น ต่อให้วิชาอภินิหารของเจ้าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ผู้ฝึกกระบี่อย่างข้าก็ยึดมั่นในการปลิดชีพด้วยการโจมตีเดียว หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม


เฉาจวิ้นยืนค้างในท่ามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกมือหนึ่งตบที่ด้ามกระบี่ยาว “เจ้ามีพรสวรรค์ในการฝึกตนขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่ตระกูลฝากความหวังไว้มากแน่นอน จะไม่มีสมบัติป้องกันตัวสักชิ้นเลยหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก ตกลงกันไว้ก่อนนะ ไม่ว่าเจ้ามีเป้าหมายอะไร แต่หากยังปิดบังอำพราง ไม่ยอมเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา จะต้องมีคนตายจริงๆ เพราะข้ากลัวว่าตัวเองไม่ทันระวังลงมือฮึกเหิมเกินไป ยั้งมือไม่อยู่ ถึงเวลานั้นเจ้าคงตายตาไม่หลับแน่ๆ”


เผชิญหน้ากับคำดูถูกของศัตรู หลี่ซีเซิ่งกลับไม่โกรธ เขายังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิม “เฉินผิงอัน อาจจะต้องรบกวนให้พวกเจ้าถอยไปอีกหน่อยแล้วล่ะ ถอยไปสักสี่ห้าจั้งจะดีที่สุด”


เฉาจวิ้นตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววน้อยเนื้อต่ำใจ “ศัตรูตัวฉกาจมารออยู่ตรงหน้า ยังมีเวลาพูดจาเหลวไหล ข้าโกรธมากเลยนะเนี่ย”


คำพูดกลั้วหัวเราะของมือกระบี่หนุ่มแฝงปราณสังหารไว้เต็มเปี่ยม


ขณะเดียวกันกับที่เฉาจวิ้นตบหน้าผากจนเกิดเสียงดัง กระบี่บินก็ได้อาศัยเสียงน้อยนิดนั้นกลบเสียงของตัวเอง แล้วพุ่งเข้าแทงไปยังหัวใจด้านหลังของหลี่ซีเซิ่งอย่างเงียบเชียบ


เคร้ง!


เสียงเสนาะหูดังก้องขึ้นกลางอากาศ สะท้อนดังไปทั่วทั้งตรอกหนีผิง


เฉาจวิ้นอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น “แบบนี้ก็ได้รึ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจจริงๆ ล่ะนะ”


ด้านหลังหลี่ซีเซิ่งมีใบไม้เขียวขจีใบหนึ่งลอยขึ้นมาต้านทานการทิ่มแทงของกระบี่บินเอาไว้


เคร้งๆๆๆ …


ในตรอกเล็ก รอบกายหลี่ซีเซิ่งเกิดเสียงดังติดต่อกันเป็นทอดๆ คล้ายเกิดความเคลื่อนไหวบางอย่าง


นอกจากใบไผ่หลายใบแล้ว ยังมีใบต้นท้อ ใบต้นหลิ่ว ใบต้นไหว…


ใบไม้ทุกใบล้วนเป็นสีเขียวมรกต


เฉาจวิ้นจ้องมองไปยังสมรภูมิรบแห่งนั้น


หลี่ซีเซิ่งยืนตระหง่านไม่ไหวติง รอบกายมีแต่ใบไม้ที่บ้างลอยสูง บ้างลอยต่ำ ล่องลอยเป็นลูกคลื่นไม่หยุดนิ่ง ส่วนกระบี่บินที่มีชื่อว่าปลาขาวก็ลอดทะลวงอยู่ท่ามกลางวงล้อม พยายามจะทำลายค่ายกลให้ได้ แต่ต้องถอยกลับมามือเปล่าเสียทุกครั้ง


แม้ว่าจะมีใบไม้สีเขียวร่วงหล่นลงพื้นและกลายเป็นสีเหลืองแห้งกรอบอยู่เป็นระยะ แต่เฉาจวิ้นก็ยังอดจนใจไม่ได้ เพราะเขาลองนับใบไม้ของบัณฑิตผู้นั้นคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยก็น่าจะมีถึงร้อยกว่าใบ


ดังนั้นอารมณ์ของเฉาจวิ้นจึงไม่ใคร่จะดีนัก


ที่บ้านของเจ้าขายใบไม้หรือไง? ต่อให้ขายแล้วจะมีคนซื้องั้นหรือ?


เฉาจวิ้นไม่อยากยอมแพ้เพราะสาเหตุนี้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกเล็กๆ คนหนึ่งจะสามารถยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุด เพราะเดิมทีการควบคุมใบไม้มากมายขนาดนั้นในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ผู้ฝึกลมปราณต้องสิ้นเปลืองสมาธิแรงใจมาก ดังนั้นเฉาจวิ้นจึงบอกตัวเองในใจว่าแม้จะชนะอย่างไม่สมเกียรตินัก แต่ก็พอจะถือได้ว่าเป็นการออกแรงโง่ๆ เพื่อขัดเกลาความคมของกระบี่ครั้งหนึ่ง เขาเองก็อยากจะรู้นักว่าบัณฑิตผู้นั้นจะต้านทานไว้ได้นานสักเท่าไหร่


กระบี่บินเล่มเล็กสั้นแต่กลับแหลมคมเริ่มพุ่งชนไปทั่วอย่างกำเริบเสิบสาน


ในตรอกเล็ก ใบไม้ร่วงระนาว พอสัมผัสพื้นก็เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง


หลี่ซีเซิ่งพลันเอ่ยเตือน “หากพวกเรายังสู้กันแบบนี้ต่อไปก็คงยาวไปถึงปีหน้าโน่นแหละ เอาอย่างนี้ดีไหม เจ้าพูดเหตุผลของกระบี่เล่มนี้ไปแล้ว ลองมาพูดถึงกระบี่อีกเล่มเป็นไง? หากเป็นไปได้ก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาพร้อมกันเลย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรให้รู้แพ้รู้ชนะกันเสียก่อน เพราะเพื่อนของข้ายังต้องไปที่อื่นต่อ”


 เฉาจวิ้นพลันเบิกตากว้าง ในที่สุดก็ยิ้มไม่ออก “เจ้าไม่โม้แล้วจะตายหรือไง?”


หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก


เขาเพียงสะบัดชายแขนเสื้อข้างนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะมีของเล่นกองโตน่าเหลือเชื่อร่วงกราวออกมาจากด้านใน


มีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิที่เหลืออยู่อีกไม่มาก แต่นอกจากนี้ยังมีสายฟ้าฤดูร้อนที่ใหญ่เท่าเล็บมือหลายชิ้น มีสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่ยาวไม่เกินนิ้วมือหลายกลุ่ม และยังมีหิมะฤดูหนาวที่ใหญ่เท่าขนห่านอีกมากมาย


ในเมื่ออีกฝ่ายมีหนึ่งกระบี่ที่สามารถทำลายหมื่นอาคม


จะทำอย่างไร?


ข้าควรจะสะสมอาคมให้ได้หนึ่งหมื่นหนึ่งวิชาหรือไม่?


ดังนั้นต่อให้ตอนนี้บัณฑิตหนุ่มที่ชื่อว่าหลี่ซีเซิ่งจะเพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง แต่เขากลับมีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้อน สายลมฤดูใบไม้ร่วงและหิมะฤดูหนาวแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังมีอย่างอื่นอีก แถมยังมีมากเสียด้วย


 —————————–


บทที่ 184.1 อีกหนึ่งดินแดน

โดย

ProjectZyphon

เฉาจวิ้นมองของเล่นมากมายซึ่งเป็นเหมือนพลทหารเกราะหนักบนสนามรบที่ตั้งแนวรบโอบล้อมแม่ทัพใหญ่อย่างหลี่ซีเซิ่งไว้อย่างแน่นหนา


เขาพอจะมองเบาะแสบางอย่างออกจึงเอ่ยอย่างนับถือ “เจ้าต้องเล่นหมากล้อมเก่งมากแน่ๆ แถมยังต้องเชี่ยวชาญวิชาการพยากรณ์ของนิกายหยินหยางด้วย”


เพราะด้วยตบะของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกแล้ว เว้นเสียแต่ว่าบัณฑิตชุดเขียวจะเป็นเซียนกลับชาติมาเกิดในระดับของบุรพาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักของสามลัทธิเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมวัตถุมากมายขนาดนั้นได้พร้อมกันในรวดเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ฉกฉวยโอกาสและใช้กลยุทธ์ช่วงชิงความได้เปรียบให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่ป้องกันการแทงทะลุจากกระบี่บินปลาขาวก็จะสามารถคำนวณทิศทางการโคจรและช่องโหว่ของกระบี่บินได้ด้วย ดังนั้นนอกจากแค่รักษาไม่ให้ใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายลมฤดูใบไม้ร่วง ฯลฯ ร่วงหล่นได้แล้ว อันที่จริงจุดที่จำเป็นต้องให้บัณฑิตกรอกปราณวิญญาณเข้าไปก็ไม่ถือว่ามากนัก


นี่ก็เหมือนศึกป้องกันและจู่โจมเมืองแห่งหนึ่ง ด้านเฉาจวิ้นมีพลังการต่อสู้เหี้ยมหาญ แต่กำลังทหารไม่มากพอ ได้แต่โจมตีกำแพงเมืองด้านเดียว ฝ่ายบัณฑิตมองดูเหมือนจัดวางกำลังทหารเฝ้าเมืองไว้เต็มกำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วสามด้านล้วนว่างเปล่า เขาแค่ต้องคำนวณทิศทางการโจมตีของเฉาจวิ้นในแต่ละครั้งให้ได้อย่างแม่นยำ เวลาที่ป้องกันจึงค่อนข้างผ่อนคลาย


เฉาจวิ้นพลันเกิดความคิดบางอย่าง กระบี่บินสีขาวหิมะจึงถอยออกมาจากสนามรบ กลับมาอยู่ตรงหน้าเจ้านาย เขาปรายตามองมันแวบหนึ่ง เห็นว่าปลายกระบี่และคมกระบี่ต่างก็มีความเสียหาย เสียหายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ยังดีที่ปณิธานกระบี่ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในกระบี่สั้นปลาขาวที่เมื่อผ่านการปะทะขัดเกลามาหลายร้อยครั้งจึงมีการยกระดับเพิ่มสูงขึ้น จะว่าไปแล้วนับว่าเป็นการค้าที่ได้กำไร


ในใจเฉาจวิ้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย ฮ่องเต้ต้าหลีอาจจะไม่กล้างัดข้อกับสามลัทธิซึ่งเป็นกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเพื่อฉีจิ้งชุนเพียงคนเดียว แต่เพื่อผู้ฝึกลมปราณฝ่ายตัวเองที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว เขาน่าจะยอมฉีกหน้าแตกหักกับสกุลเฉาที่ตั้งรกรากอยู่ในทวีปอื่นมาเนิ่นนาน


เฉาจวิ้นเกิดความลังเลอย่างที่เป็นไม่บ่อยนัก เขาเก็บปลาขาวกลับเข้าฝักกระบี่ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่ของกระบี่อีกเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าโม่ชือ (ชือคือมังกรชนิดหนึ่งที่ไม่มีเขาในนิยายจีนโบราณ โม่แปลว่าหมึก โม่ชือจึงแปลว่าชือสีหมึกหรือชือสีดำ)


เขาจงใจทำหน้าโกรธแค้น “แน่จริงก็อย่าทำตัวเป็นเต่าหดหัวสิ!”


หลี่ซีเซิ่งถามกลับยิ้มๆ “เจ้าแน่จริงเลยเป็นเต่าหดหัว?”


เฉาจวิ้นสะอึกอึ้ง เขาเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์ที่เซียนกระบี่ของทวีปหนึ่งฝากความหวังไว้ สิ่งที่เขาแสวงหาคือความคมและพลังสังหารอันไร้เทียมทานในใต้หล้า แน่นอนว่าเขาไม่มีความสามารถ แล้วก็ไม่มีความสนใจที่จะทำตัวเป็นเหมือนบัณฑิตชุดเขียวตรงหน้าที่โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ตอบโต้ อาศัยของประหลาดผุๆ ผังๆ กองใหญ่มาใช้ในการเฝ้ากำแพงเมือง ยืนกรานว่าให้ตายก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายลงมือก่อน


เคยมีคนบรรยายไว้ว่าตัวของผู้ฝึกกระบี่คือทหารม้าติดอาวุธเบาผู้ปราดเปรียว ไปมาดุจสายลม รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ส่วนกระบี่บินนั้นเหมือนคันธนูที่หากเป็นการเข่นฆ่าระดับเล็กบนถนนคับแคบ โดยส่วนมากแล้วแค่เจอหน้ากัน ศัตรูก็ตายทันที ส่วนกระบี่บินของเซียนกระบี่พสุธาที่อยู่ในห้าขอบเขตบน พลังสังหารยามอยู่บนสนามรบก็เหมือนหน้าไม้ขนาดมหึมาอันหนึ่ง ต่อให้มันแค่วางไว้บนหัวกำแพงเฉยๆ แต่สำหรับศัตรูแล้วกลับมีพลานุภาพสยบที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก


ส่วนนักพรตสำนักการทหารคือทหารม้าติดอาวุธหนัก หากพลังอำนาจและจิงชี่เสินของพวกเขาทะยานสู่จุดสูงสุดเมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าได้ปล่อยพลังของทหารม้าติดอาวุธหนักในแนวหน้าอย่างเต็มที่ ได้ทั้งรุกทั้งรับ ทำลายค่ายกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ส่วนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่คนบนภูเขามองว่าไม่มีหวังบนมหามรรคานั้นเป็นแค่ทหารเดินเท้าสวมเกราะเหล็กหนักอึ้งงุ่มง่ามซึ่งมีพลังการสังหารธรรมดา ต่อให้เป็นปรมาจารย์ขอบเขตแปดเดินทางไกลที่สามารถบังคับลมบินทะยาน หากระเบิดพลังในระยะใกล้แล้วยังไม่สามารถสังหารศัตรูได้สำเร็จ ถ้าเช่นนั้นหากถูกผู้ฝึกลมปราณทิ้งระยะห่างไปไกล แล้วตกอยู่ในการต่อสู้ที่ยาวนานก็ไม่มีทางเทียบเคียงกับผู้ฝึกลมปราณได้เลย


หลี่ซีเซิ่งเห็นว่าเฉาจวิ้นไม่พูดอะไรก็ยื่นมือออกปัดด้านหน้าเบาๆ หิมะน้อยและลมฤดูใบไม้ร่วงส่วนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าขยับหลีกทางอย่างเชื่องช้า เป็นเหตุให้การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง หลี่ซีเซิ่งเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน “เหตุผลที่กระบี่บินเล่มนี้ของเจ้าเอ่ยมาไม่ชัดเจนมากพอ”


ความหมายของเขาก็คือ เขาเต็มใจฟังเหตุผลจากโม่ชือเล่มนั้น


เฉาจวิ้นยกสองมือถูแก้มเบาๆ “เจ้านี่พูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่ข้ายอมรับว่าเจ้ามีคุณสมบัตินี้ ข้ามีคำแนะนำอย่างหนึ่ง เจ้าลองพิจารณาดูได้ พวกเรามาสู้แบบตัดสินเป็นตายกันไปเลย แล้วก็ยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกันเอาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับแคว้น ดีไหม? เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือเปล่า?”


หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “เจ้ามองออกแล้วว่าข้าไม่เชี่ยวชาญการโจมตี ดังนั้นเจ้าจึงอยู่ในสถานะมิพ่ายมาตั้งแต่ต้น”


เขาไม่ถือสาที่จะแบไต๋ของตัวเองออกมาจนหมดเปลือก


เฉาจวิ้นกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าจริงใจหรือว่าไร้สมองกันแน่?”


เฉาจวิ้นมองบัณฑิตหนุ่มคนนั้นแล้วพลันไพล่นึกไปถึงบัณฑิตคนหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุดของทักษินาตยทวีป ซึ่งเป็นประมุขรุ่นนี้ของสกุลเฉินสายผู้มากความรู้


เล่าลือกันว่าผู้เฒ่าสกุลเฉินที่เล่าเรียนจนประสบความสำเร็จมีความรู้ยิ่งใหญ่คนนั้น แขนเสื้อสองข้างซุกซ่อนลมเย็น (โดยทั่วไปเป็นคำเปรียบเปรยขุนนางที่มือสะอาด ไม่ละโมบโลภมาก นอกจากลมเย็นแล้วก็ไม่มีอะไรซุกซ่อนอยู่ในมืออีก) ไหล่ข้างหนึ่งแบกดวงจันทร์ส่องสว่าง อีกข้างหนึ่งแบกตะวันแดงฉาน


เฉาจวิ้นเก็บความคิดทั้งหมดลงไป หันหน้ากลับไปมองก็เห็นจิ้งจอกน้อยที่ทั้งร่างมีแต่สีแดงสด ยืนด้วยขาหลังสองข้างอยู่บนหลังคาบ้านเก่าหลังหนึ่งในตรอกหนีผิง มันเอ่ยกับเฉาจวิ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ต้องหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร หากเจ้าถูกหร่วนฉงตีตาย เขาก็จะฝังร่างเจ้าไว้ที่นี่ ดีชั่วก็ถือว่าใบไม้ร่วงกลับคืนสู่รากแล้ว”


เฉาจวิ้นทำสีหน้ารังเกียจ “อะไร? ไหนเจ้าลองพูดใหม่อีกครั้งสิ!”


จิ้งจอกน้อยกระแอมหนึ่งที เปลี่ยนจากท่าทีสุภาพนุ่มนวลมาเป็นดุร้ายในเสี้ยววินาที มันยกสองมือเท้าเอว ผรุสวาทเสียงดัง “เจ้าตะพาบเฒ่าเฉาซีให้บอกกับหลานเต่าอย่างเจ้าว่า รีบหยุดมือซะ หากทำให้ช่างเหล็กแซ่หร่วนโมโหจนถูกทุบตีเละเป็นเนื้อบด เขาจะไม่ช่วยแก้แค้นให้เจ้า เขามีลูกหลานสายตรงตั้งหลายร้อยคน ช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก แถมยังบอกด้วยว่าเพราะสงสารเมียที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของเจ้า หาไม่แล้วเขาไม่มีทางสั่งให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมเจ้าให้หยุดมือ ปล่อยให้เจ้าถูกคนตีตายนั่นแหละดีที่สุด เขาจะได้ถือโอกาสคาบไปกินเสียเอง”


เฉาจวิ้นพยักหน้ารับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “แบบนี้สิถึงจะถูก นี่แหละถึงจะเหมือนคำพูดของตาแก่ตะพาบเฒ่าผู้นั้น”


หลี่ซีเซิ่งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ “หากไม่สู้แล้วก็ช่วยหลีกทางด้วย”


“ไม่สู้กันแล้วๆ ข้าตีเจ้าตายไม่ได้ เจ้าเองก็ตีข้าตายไม่ได้ น่าเบื่อ”


เฉาจวิ้นเอ่ยยิ้มๆ “ไปชื่นชมอริยะที่ร้านตีเหล็กสักหน่อยดีกว่า”


เฉาจวิ้นทะยานร่างขึ้นสู่ชั้นเมฆ จากนั้นก็ร่วงดิ่งลงสู่ร้านตีเหล็กอย่างรวดเร็ว


กฎระเบียบเฮงซวยของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่บอกว่าห้ามบังคับลมทะยานกลางอากาศโดยพลการอะไรนั่น เฉาจวิ้นไม่เก็บมาใส่ใจจริงๆ


ผลก็คือเกิดเสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลือนลั่น


เฉาจวิ้นเหมือนดาวตกที่ลอยวืดออกไป สุดท้ายรอจนเขาหยุดตัวเองได้อย่างยากลำบากก็กระเด็นออกมาไกลหลายร้อยลี้แล้ว และก่อนหน้านี้ก็กลิ้งตลบอยู่ในชั้นเมฆมานับครั้งไม่ถ้วน เวลานี้เขานั่งขัดสมาธิกลางอากาศ กระอักเลือดไม่หยุด สีหน้าเหมือนกระดาษทอง ไม่ได้อับอายจนพานโกรธหรือเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ กลับกันยังคลี่ยิ้มได้ตามความเคยชินด้วย “พวกคนที่ออกมาจากศาลลมหิมะนี่นิสัยไม่ค่อยดีจริงๆ ไม่รู้ว่าเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนจะน่าตะลึงมากหรือไม่?”


จิ้งจอกที่หนังเป็นสีแดงสดตัวนั้นเดินวนรอบกายเฉาจวิ้น กล่าวอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เจ็บตัวเลยไหมล่ะ?”


เฉาจวิ้นเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ได้ตายเสียหน่อย”


จิ้งจอกจุ๊ปากพูด “ความสามารถในการรังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่งของเจ้านี่เหมือนเฉาซีจริงๆ”


เฉาจวิ้นพูด “ไม่รังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง หรือจะให้รังแกคนแข็งแกร่ง กลัวคนอ่อนแอ? สมองเจ้ามีปัญหาหรือไง?”


จิ้งจอกไม่ถือสา มันยกกรงเล็บข้างหนึ่งเกาคาง เขย่งปลายเท้ามองไปทางเมืองเล็ก “แล้วตัวอ่อนกระบี่ประหลาดที่แย่งมาไม่ได้ก้อนนั้นล่ะ จะทำยังไง?”


เฉาจวิ้นหน้าดำ “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกรึ? หากไม่เป็นเพราะเจ้าเป่าหูให้ข้าฆ่าคนชิงทรัพย์ อย่างมากข้าก็แค่ซื้อขายกับเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเป็นธรรม”


จิ้งจอกสีแดงเพลิงตีหน้าเคร่งพูดสั่งสอน “การเป็นมนุษย์น่ะ ต้องยืนหยัดในเจตจำนงเดิม เจ้าอยู่ข้างนอกเป็นอย่างไร เข้าไปในเขตการปกครองหลงเฉวียนเล็กๆ ก็ควรจะรักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ ก็แค่อริยะสำนักการทหารขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง หลังก้นเจ้าก็ไม่ใช่ว่ามีบรรพบุรุษเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดอยู่คนหนึ่งหรอกหรือ? คนหนึ่งมีฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี อีกคนหนึ่งมีทหารเทพให้ใช้งานอย่างถนัดมือ ต่างก็เป็นบุคคลที่ไร้เหตุผลในกลุ่มผู้ฝึกลมปราณ ฝีมือสูสีกัน หากพวกเขาต่อสู้กันแล้วเจ้ามองดูอยู่ด้านข้าง ไม่แน่ว่าอาจจะยังเกิดการตระหนักรู้ แล้วทำไมต้องไม่เต็มใจทำเล่า?”


เฉาจวิ้นหัวเราะเสียงเย็น “ด้วยนิสัยของเฉาซี ข้าเล่นงานเขาหนึ่งชุ่น เขาก็เอากลับคืนได้หนึ่งฉื่อ”


จิ้งจอกสีแดงเพลิงเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องที่จี้ใจดำคนฟัง “อย่างมากวันหน้าก็ให้เขานอนกับเมียเจ้าสักสองสามที ยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?!”


เฉาจวิ้นไม่พูดไม่จา ยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ จ้องนิ่งไปที่จิ้งจอกตัวนั้น รอยยิ้มของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่มีริ้วคลื่นใดๆ แม้แต่น้อย


จิ้งจอกแสร้งทำเป็นตกใจ “ว้าว โกรธจริงๆ แล้วหรือนี่ เฉาจวิ้นที่เสเพลมาหนึ่งร้อยปีก็มีเวลาเอาจริงเอาจังกับเขาด้วย?”


เฉาจวิ้นยิ้มน้อยๆ “เวลาว่างตียุง แต่จู่ๆ อารมณ์ไม่ดีก็เกิดใจสังหารยุง”


ปลาขาวออกจากฝัก ประกายแสงจ้าเปล่งวาบ


ศีรษะของจิ้งจอกแดงลอยลิ่วไปไกล แต่กลับไม่มีเลือดสดไหลออกมา


ศีรษะนั้นยังคงพูดได้ “โอ๊ะโอ ความเร็วในการชักกระบี่นี้ อืดอาดไม่ต่างจากเต่าย้ายบ้าน ยังจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ ช่างน่าอายจริงๆ”


ร่างไร้หัวของมันบิดก้นเดินอาดๆ ไม่สนใจกระบี่บินปลาขาวที่แทงทะลุร่างตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแม้แต่น้อย ศีรษะที่ลอยอยู่กลางอากาศยังคงพูดท้าทายต่อ “เข็มปักดอกไม้ของเจ้านี่ก็จั๊กจี้ดีจริง”


ท่ามกลางอากาศว่างเปล่า แสงกระบี่ระเบิดประกายเจิดจ้า แสงสีขาวพุ่งตัดสลับวน


อย่าว่าแต่เรือนกายที่ถูกฟันออกเป็นสิบเจ็ดสิบแปดชิ้นเลย แม้แต่ศีรษะนั้นก็ยังถูกแยกชิ้นส่วนเป็นแปดกลีบ แต่เมื่อกระบี่บินปลาขาวหยุดชะงักไปเสี้ยวนาทีหนึ่ง จิ้งจอกตัวนั้นก็กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์แบบทันที


วงจรนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา


สุดท้ายเฉาจวิ้นถอนหายใจ เก็บกระบี่เข้าฝัก


จิ้งจอกบิดคอ เดินมานั่งลงข้างกายเฉาจวิ้น “คนหนุ่มมีความสามารถมากเท่าไหร่ ก็ต้องคุยโวให้มากเท่านั้น”


เฉาจวิ้นพยักหน้ารับ “มีเหตุผล ข้าเชื่อเจ้า”


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้เมียเจ้าแต่งเข้าบ้านมาก็ให้ข้ายืมนอนด้วยสักคืนแล้วกัน? จะอย่างไรซะนางก็เป็นผู้หญิง ส่วนข้าก็เป็นตัวเมีย ใครจะได้เปรียบใครก็ยังบอกไม่ได้”


จิ้งจอกเริ่มออกฤทธิ์ พูดจาเสียดสีอีกครั้ง “ว้าว คนที่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนมีสมญานามว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ในทักษินาตยทวีปของเรา ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ขอบเขตเก้าในปัจจุบันนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นคนเชื่อฟังขนาดนี้ได้นะ?”


ที่แท้เฉาจวิ้นที่ ‘ยังหนุ่ม’ ก็มีอายุมากถึงหนึ่งร้อยปีแล้ว เวลานี้เขาทอดสายตามองไปไกล เม้มริมฝีปาก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดระคายหูของจิ้งจอกตัวนั้น


 ——————————


บทที่ 184.2 อีกหนึ่งดินแดน

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันวิ่งเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายหลี่ซีเซิ่งแล้วถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


หลี่ซีเซิ่งยิ้มบาง “ทะเลาะกับคนอื่นครั้งแรกก็เจอกับผู้ฝึกกระบี่เลย อันที่จริงในใจก็ตระหนกอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานับว่าไม่เลว”


เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก


ตัวอ่อนกระบี่ที่มีลักษณะเป็นก้อนเงินซึ่งอยู่ในชายแขนเสื้อเขาก้อนนั้นกลับมานิ่งสงบดังเดิม หลังจากเฉาจวิ้นจากไป มันก็ไม่สั่นสะท้านแผ่ความร้อนแผดเผาอีก


เด็กชายชุดเขียวพลันกระโจนพรวดเข้ามากอดขาของเฉินผิงอัน “น่ากลัวเกินไปแล้วๆ! เดาไม่ผิดเลยสักนิดเดียว แค่เดินอยู่บนทางโดยไม่ระวังก็จะถูกคนตีตายแล้ว เมืองเล็กนี้อยู่ต่อไม่ได้ อยู่ต่อไม่ได้เด็ดขาด นายท่าน ท่านโปรดเมตตาปล่อยข้าไปฝึกตนที่ภูเขาลั่วพั่วเถอะ ข้ารับรอง ข้าสาบานว่านับแต่วันนี้ไปจะต้องตั้งใจฝึกตนทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุดพัก อย่าว่าแต่กินเมฆดื่มน้ำค้างเลย ต่อให้ต้องกินรากหญ้าเคี้ยวดินโคลนอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็ยินดี!”


หลี่ซีเซิ่งหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงรีบพูดปลอบใจ “คนอย่างเฉาจวิ้นมีน้อยมาก แม้ข้าจะไม่เคยเดินออกไปจากเมืองเล็ก แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่า บุคคลที่ตบะสูงและนิสัยประหลาดอย่างเฉาจวิ้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นเกินไป”


เด็กชายชุดเขียวไม่ได้สนใจหลี่ซีเซิ่ง เอาแต่ขอร้องวิงวอนเฉินผิงอันไม่หยุด พอถูกเฉินผิงอันผลักหัวออกมาก็เปลี่ยนมาเป็นกอดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้แน่น แล้วทิ้งร่างเอนไปด้านหลัง ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยให้เฉินผิงอันเดินหน้าต่อ “นายท่าน ขอท่านโปรดเมตตา ขอร้องท่านล่ะ! หรือให้ข้าคืนหินดีงูธรรมดาให้ท่านหนึ่งก้อน ดีไหม?! นายท่าน ท่านรู้หรือไม่ ข้าเป็นคนขี้ขลาดมาก เวลาเดินทางตอนกลางคืนขาสองข้างยังสั่นพั่บๆ แล้วนี่เป็นไง? เราเพิ่งมาถึงเมืองเล็กนานแค่ไหนกันเชียว? พวกเราแค่เดินออกจากบ้าน ปราณกระบี่ก็บินสวบๆๆ อุตลุดไปหมด ข้ากลัวจริงๆ นะ…”


เฉินผิงอันได้แต่หยุดเดิน กล่าวอย่างจนใจ “เจ้าจำทางไปภูเขาลั่วพั่วได้งั้นรึ?”


เด็กชายชุดเขียวน้ำหูน้ำตาไหลพราก ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างหาได้ยาก “นายท่าน จนป่านนี้แล้ว ต่อให้ข้าจำไม่ได้ก็ต้องแกล้งทำเป็นจำได้อยู่ดี”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเอ่ยเบาๆ “นายท่าน ข้าจำทางได้”


เฉินผิงอันครุ่นคิด “งั้นพวกเจ้าก็ไปพักอยู่ที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วชั่วคราวก่อนแล้วกัน แต่ต้องรับปากกับข้าว่าจะไม่ก่อเรื่อง ข้าจะรีบทำธุระทางนี้ให้เสร็จแล้วไปดูพวกเจ้าทันที ก่อนปีใหม่จะต้องไปภูเขาลั่วพั่วรอบหนึ่งให้ได้”


เด็กชายชุดเขียวโค้งตัวต่ำ “นายท่านช่างปราดเปรื่อง!”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพูดเสียงแผ่ว “นายท่าน ข้าพาเขาไปส่งแล้วจะรีบกลับมา”


เฉินผิงอันยิ้ม “ไม่ต้อง เรือนไม้ไผ่เหมาะกับการฝึกตน เจ้าก็อยู่บนภูเขากับเขาด้วยนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวเขา หากเขากล้าผิดคำสัญญา แอบรังแกเจ้า ถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนจัดการเขาเอง”


เด็กชายชุดเขียวกระทืบเท้า “นายท่าน นังเด็กโง่ พวกท่านสองคนช่วยเห็นแก่ความดีของข้าบ้างได้ไหม? ข้าเป็นคนพูดจาไม่รักษาคำพูดหรือไง? ตลอดทั้งราชสำนักแคว้นหวงถิง ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเทพวารีอวี้เจี้ยนมีสหายที่รักษาคำพูดอยู่คนหนึ่ง? บอกว่าจะถอนรากถอนโคนก็ไม่เคยละเว้นแม้แต่คนเดียว บอกว่าจะเป็นบรรพบุรุษแล้วก็ไม่มีทางยอมเป็นหลานเด็ดขาด…”


เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ร้ายกาจขนาดนั้นเชียวรึ”


เด็กชายชุดเขียวรีบหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำสีหน้าเขินอาย ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกปัดเบาๆ “นายท่าน ข้าก็แค่แกล้งโม้อวดเก่งกับท่านไปอย่างนั้นเอง อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”


มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันกดศีรษะของเขาเอาไว้ อีกมือหนึ่งยื่นมาด้านหน้า “เอามา”


เด็กชายชุดเขียวงุนงงเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น “อะไร?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเตือนเบาๆ “ก่อนหน้านี้เจ้ารับปากนายท่านว่า ขอแค่ยอมให้เจ้ากลับภูเขาลั่วพั่ว เจ้าจะคืนหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งให้นายท่าน”


เด็กชายชุดเขียวเค้นรอยยิ้ม “นายท่าน ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าทำแบบนี้สิ”


เฉินผิงอันไม่ได้ดึงมือกลับ


เด็กชายชุดเขียวจึงได้แต่ควักหินดีงูก้อนที่เล็กที่สุดออกมาวางบนฝ่ามือของเฉินผิงอันแต่โดยดี


เฉินผิงอันยื่นหินดีงูก้อนนี้ส่งให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เอ่ยยิ้มๆ “พอไปถึงบนภูเขา ขอแค่เขาไม่รังแกเจ้า เจ้าก็สามารถใช้มันเป็นรางวัลมอบให้เขาได้”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรับหินดีงูมาอย่างระมัดระวัง


เด็กชายชุดเขียวกอดแขนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแล้วพูดอย่างรีบร้อน “พวกเรารีบไปที่ภูเขาลั่วพั่วกันเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน!”


เด็กน้อยสองคนเพิ่งจะเลี้ยวออกไปจากตรอกหนีผิง เด็กชายชุดเขียวก็พลันหยุดเดิน ไม่รอให้เขาเปิดปากพูดอะไร เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็รีบโยนหินดีงูไปให้เขาด้วยความเร็วเหมือนฟ้าร้องแล้วคนไม่ทันยกมือป้องหู


เด็กชายชุดเขียวเก็บหินดีงูที่เสียไปแล้วได้กลับคืนมาอีกครั้ง พยักหน้าพูดยิ้มๆ “เด็กโง่เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้าแบกหีบหนังสือแล้วกัน”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูส่ายหน้าอย่างแรง


เด็กชายชุดเขียวทอดถอนใจ “เจ้าน่ะมีชะตาชีวิตที่ต้องเหนื่อยยาก แต่ก็ดีที่เป็นคนโง่แล้วยังมีโชคของคนโง่”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มกว้าง


เด็กชายชุดเขียวยืดอกตั้ง “ไป นำทาง! กลับจวนของเรากัน!”


ทางฝั่งของตรอกหนีผิง ในเมื่อไม่ต้องไปบ้านของหลิวเสี้ยนหยางแล้ว เฉินผิงอันจึงเดินมาส่งหลี่ซีเซิ่งที่หน้าตรอก


หลี่ซีเซิ่งหยุดเดิน ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังเลือกจะกล่าวว่า “ประโยคที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ ฟังตอนนี้อาจจะเร็วเกินไป แต่ก็เหมือนที่ข้าเคยบอกให้เจ้าอ่านคำอธิบายประกอบที่เขียนไว้ในตำราซึ่งมอบให้เจ้าผ่านๆ คำพูดเหล่านี้เจ้าแค่ฟังผ่านๆ ก็พอ”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พี่ใหญ่หลี่ เชิญพูด”


หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้า “เคยได้ยินเรื่องม้าขาวมิใช่ม้าหรือไม่?”


เฉินผิงอันเกาหัว “ตอนที่เดินทางไปขอศึกษาต่อ เป่าผิงเคยทะเลาะกับหลี่ไหวเรื่องนี้ แต่ข้ายิ่งฟังก็ยิ่งสับสน”


หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้ม ใช้ความคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องคิดลึก ข้าจะเปลี่ยนวิธีพูดก็แล้วกัน ทรายหนึ่งเม็ดบวกกับทรายหนึ่งเม็ด เท่ากับกี่เม็ด?”


เฉินผิงอันตอบอย่างฉงน “ก็ไม่ใช่สองเม็ดหรือ?”


หลี่ซีเซิ่งยิ้มกว้าง “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นทรายหนึ่งกองรวมกับทรายหนึ่งกอง เท่ากับทรายกี่กอง?”


เฉินผิงอันตอบหยั่งเชิง “ยังคงเป็นหนึ่งกองกระมัง?”


หลี่ซีเซิ่งตบไหล่เฉินผิงอัน “เล่าลือกันว่าตอนที่อริยะในสมัยโบราณคิดค้นตัวอักษรขึ้นมา เทพและผีทั่วทั้งฟ้าดินต่างก็ร่ำไห้ด้วยความตกตะลึง แน่นอนว่านี่คือคุณความชอบอันใหญ่หลวง แต่เจ้าต้องเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง บางครั้งตัวอักษรก็เป็นสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นในโลกใบนี้ที่พวกเรารู้จักเช่นกัน ดังนั้นวันหน้าเมื่อเจ้าอ่านหนังสือ ไม่ต้องพยายามขบคิดตัวอักษรเหล่านั้นให้แตกทุกตัว หากเจอกับอุปสรรคก็ไม่สู้ลองถอยก่อนหนึ่งก้าว แล้วค่อยเดินหลายก้าวขึ้นสู่ที่สูง พยายามเดินขึ้นไปจุดสูงให้ได้ ถ้าไม่ขึ้นไปบนยอดเขาก็ไม่รู้ความต่างของพื้นราบ”


เฉินผิงอันฟังแล้วมึนงงไปหมด ปวดหัวแปลบๆ เหมือนตอนพลิกอ่าน ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ก่อนหน้านี้ที่รู้สึกว่าเบื้องหน้าไม่มีทางให้เดิน ด้านหลังไม่เหลือทางให้ถอย


หลี่ซีเซิ่งเอ่ยปลอบใจ “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องรีบร้อน”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “เข้าใจแล้ว”


……


หลี่ซีเซิ่งที่ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งหายไปเดินกลับบ้านที่ตั้งอยู่บนถนนฝูลวี่เพียงลำพัง พอสาวใช้ในจวนเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของคุณชายใหญ่ท่านนี้ต่างก็รู้สึกแปลกใจ คุณชายใหญ่โตมาจนป่านนี้ นอกจากจะติดตามผู้อาวุโสขึ้นเขาไปบนสุสานแล้วก็แทบจะไม่เคยออกนอกบ้าน แล้วทำไมพอนึกอยากออกไปเดินเล่นกับเขาสักที กลับมาถึงมีสภาพเละเทะเช่นนี้? คงไม่ได้ไปทะเลาะกับใครมาหรอกนะ?


หลี่ซีเซิ่งกลับไปถึงเรือนของตัวเอง เขาไปดูปูและปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ยังสุขสบายดีก่อน แล้วค่อยไปเปลี่ยนชุดใหม่ จากนั้นไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือ ‘เจี๋ยหลู’ ครู่หนึ่ง สุดท้ายไปยังห้องห้องหนึ่งที่ใส่กุญแจไว้เป็นประจำ เขาไขกุญแจผลักประตูเปิด เมื่อหลี่ซีเซิ่งผู้เป็นเจ้าของห้องมองไป ในการมองเห็นของเขาล้วนเป็นชั้นวางร้อยสมบัติ (ชื่อชั้นวางที่มีช่องวางหลายช่อง) สูงใหญ่หลายชั้นตั้งแนบติดกับกำแพง ทว่าบนชั้นวางร้อยสมบัติกลับไม่มีของเล่นโบราณล้ำค่าหรือเครื่องปั้นงามประณีตที่ผลิตในเขตการปกครองหลงเฉวียนใดๆ วางอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นตราประทับสูงๆ ต่ำๆ ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน วัสดุแตกต่างกันออกไป


ในห้องนอกจากชั้นวางร้อยสมบัติที่เต็มไปด้วยตราประทับแล้ว ก็มีแค่โต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหนึ่งตัว บนโต๊ะวางตราประทับสามชิ้นที่ยังทำไม่เสร็จ วัสดุของพวกมันแบ่งออกเป็นเนื้อไม้ หยกเหลืองและทองสัมฤทธิ์ รวมไปถึงมีดแกะสลักฝีมือประณีตในกล่องใหญ่ และยังมีตำราโบราณหายากอีกหลายเล่ม


หลี่ซีเซิ่งปิดประตูเบาๆ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะ ตราประทับสามชิ้นบนโต๊ะต่างก็ขาดตัวอักษรไปหนึ่งตัว ตราประทับทองสัมฤทธิ์สลักสามคำว่า ‘สยบสิ่งนอก’ ขาดคำว่ารีตตัวท้ายไปหนึ่งคำ ตราประทับหยกเหลืองสลักคำว่า ‘หลัก…แห่งสวรรค์’ ตรงกลางขาดคำว่าธรรม ตราประทับไม้สลักคำว่า ‘ขจีให้กำเนิดชีวิต’ ขาดคำว่าสีเขียวซึ่งเป็นคำแรกสุด


สลักตราประทับก็เหมือนกับการเขียนยันต์ พิถีพิถันในข้อที่ว่าต้องทำให้เสร็จรวดเดียว


แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่ซีเซิ่งไม่ได้ถือคตินั้น


เขาไม่เพียงแต่ไม่หยิบมีดขึ้นมาสลักตัวอักษร กลับยังหลับตาลง เริ่มนอนหลับ ลมหายใจทอดยาวเหมือนสายน้ำไหลริน แม้จะสายเล็กแต่ไหลยาว


ในห้องเล็กๆ เหมือนกลายเป็นอีกดินแดนหนึ่ง


……


เฉินผิงอันกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ แล้วพบว่ากระบี่ไม้ไหวที่วางไว้บนโต๊ะเอียงผิดไปจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่ออก


แม้ในใจของเฉินผิงอันจะสั่นสะท้านรุนแรง แต่เขากลับยังนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอย่างไม่กระโตกกระตาก


 —————————-


บทที่ 185.1 ตัวอ่อนกระบี่อยู่ในมือ

โดย

ProjectZyphon

ตอนนั้นฉีจิ้งชุนแอบขโมยกิ่งไม้ที่หลี่เป่าผิงขนมาไปทำเป็นกระบี่ จากนั้นก็แอบเอากระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นมาวางไว้ในตะกร้าสะพายหลังของเฉินผิงอัน ด้านในมีคนจิ๋วควันธูปสีทองไม่รู้ที่มาคนหนึ่งอาศัยอยู่


เพียงแต่ว่าหลังจากปรากฏกายในชั่วเวลาสั้นๆ สองครั้งที่โรงเตี๊ยมชิวหลูกับจวนจือหลันสกุลเฉาแล้ว คนจิ๋วควันธูปขี้อายก็ไม่เคยปรากฎตัวอีก สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่คิดจะบังคับหรือร้องขออะไร


ม่านราตรีมืดดำ ในร้านยาตระกูลหยาง ผู้เฒ่าสูบกระบอกยาสูบดังฟืดๆ เขาขมวดคิ้วมุ่น ยื่นมือออกไปคว้าจับ คนจิ๋วควันธูปก็ร่วงจากความว่างเปล่าลงสู่พื้น


หยางเหล่าโถวพูดเสียงเย็นชา “ฉีจิ้งชุนอุตส่าห์มานะซ่อนตัวเจ้าไว้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”


นางยืนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางขลาดเขลา มือสองข้างกำชายเสื้อไว้แน่นคล้ายหวาดกลัวผู้เฒ่าคนนี้อย่างมาก แต่ก็ยังขยับริมฝีปากเบาๆ ตอบอีกฝ่าย


หยางเหล่าโถวยิ่งฟังก็ยิ่งหน้ายับ ครุ่นคิดอยู่นานถึงเอ่ยขึ้น “ข้ารับปาก”


เขาใช้กระบอกยาสูบเคาะพื้นหนึ่งทีก็มีศาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งกลิ้งออกมาตั้งอยู่ตรงหน้าคนจิ๋วควันธูป


ใบหน้าของคนจิ๋วควันธูปเต็มไปด้วยความลิงโลด กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน แต่จู่ๆ กลับเงยหน้าขึ้น ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “หากรู้เรื่องทุกอย่าง แน่นอนว่าดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องรู้อะไรเลยเสียดีกว่า แบบนี้ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”


คนจิ๋วควันธูปคล้ายยังตัดสินใจไม่ได้ อยากกลับไปที่ตรอกหนีผิงสักรอบ อย่างน้อยก็ควรบอกลาเด็กหนุ่มคนนั้นสักคำ


หยางเหล่าโถวหยิบกระบอกขึ้นมาสูบยาใหม่อีกครั้ง พ่นควันหนาข้นโขมงคลุ้ง “เอาความฉลาดทั้งหมดเก็บใส่ท้องตัวเองไว้ถึงจะเรียกว่าคนฉลาดที่แท้จริง เจ้านึกจริงๆ หรือว่าเด็กคนนั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นใด นอกจากฝึกหมัดแล้ว วันๆ ก็รู้จักแต่จะทำความดีมีเมตตาต่อคนอื่น เป็นคนรวยน้ำใจอย่างเดียว? เสียแรงที่เจ้าเดินทางมากับเขาตลอดทาง เจ้านี่โง่จริงๆ แต่เขาน่ะไม่โง่หรอกนะ”


คนจิ๋วควันธูปมุ่ยปากอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เพียงแต่ว่าพอนางเดินเข้าไปในศาลเล็กแห่งนั้นแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไปทันที


นางเหมือนเมล็ดข้าวสารเมล็ดหนึ่งที่เล็กจ้อยอย่างถึงที่สุดซึ่งอยู่ในถังใบใหญ่


แต่ละนามที่ถูกเขียนลงบนกำแพงสูงใหญ่ในศาลเล็กส่องประกายสว่างไสว แผ่แสงหลากหลายสีสันต่างกันออกไป


เหนือศีรษะของคนจิ๋วควันธูปมีกลุ่มดาวทอแสงเจิดจรัส


ผู้เฒ่าเก็บกระบอกยาสูบ ไพล่มือสองข้างไว้ข้างหลัง เดินหลังค่อมออกจากร้านยาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกจากเมืองเล็ก ตอนที่เดินผ่านสะพานหินโค้ง เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเสียดายและไม่เข้าใจ เดินลงสะพานหินไปอย่างเชื่องช้า เลียบลำคลองหลงซวีไปถึงนอกร้านตีเหล็ก ไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน แต่มาหยุดที่ริมลำคลอง กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง สตรีผู้เป็นเทพลำคลองก็ลอยลิ่วออกมาจากใต้ลำคลอง จิตวิญญาณของนางสั่นสะเทือน หมุนตัวอย่างมึนงง พอเห็นว่าเป็นหยางเหล่าโถวก็รีบยิ้มประจบทันที “ท่านเซียนใหญ่ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เวทอภินิหารไร้เทียมทาน แค่เรียกข้าสักคำก็พอแล้ว”


หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไปที่ต้นกำเนิดของลำคลองหลงซวีเดี๋ยวนี้ แล้วจงสลายร่างทองครึ่งหนึ่งของตัวเองให้ผสานรวมกับน้ำของลำคลอง ช่วยเพิ่มน้ำหนักความอึมครึมของน้ำให้กับหร่วนฉง”


สตรีสาวอึ้งงันเป็นไก่ไม้


สลายร่างทองครึ่งหนึ่ง ผู้เฒ่าก็พูดง่าย เพราะไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญในระหว่างที่สลายร่าง หรือความเสียหายของมหามรรคาก็ล้วนมากจนมิอาจประเมินการณ์


สตรีแต่งงานแล้วอยากจะพาตัวเองหนีไปให้ไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เสียเดี๋ยวนั้น


แต่น่าเสียดายที่นางหนีไม่รอด


หยางเหล่าโถวพูดเสริม “เมื่อทำสำเร็จแล้ว และหร่วนฉงเปิดเตาหลอมกระบี่ได้สำเร็จ ข้าจะช่วยขอศาลเทพลำคลองให้เจ้าแห่งหนึ่ง อย่างมากสุดห้าสิบหกสิบปี เจ้าก็สามารถฟื้นคืนร่างทองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ร้อยปีพันปีหลังจากนั้นจะมีควันธูปให้เสพสุขไม่ขาดสาย นี่คือผลประโยชน์ที่เหมือนน้ำเส้นเล็กแต่ไหลยาวนาน เจ้าได้กำไรแน่นอน”


สตรีแต่งงานแล้วอึกๆ อักๆ พูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “สลายร่างทองครึ่งหนึ่ง เจ็บปวดเกินไป ข้ากลัวเจ็บนี่นา…”


ผู้เฒ่าไม่พูดอะไร แค่มองประกายแสงที่ส่องวิบวับอยู่บนพื้นผิวลำคลองหลงซวี


สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างระมัดระวัง “ท่านเซียนใหญ่ ข้าสามารถปฏิเสธได้หรือไ?”


หยางเหล่าโถวพยักหน้า “ได้”


ขณะเดียวกันกับที่สตรีแต่งงานแล้วแอบลอบยินดีก็ยังแปลกใจมากด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซียนใหญ่ผู้นี้หัดเข้าอกหัดเข้าใจผู้อื่น?


หยางเหล่าโถวหัวเราะเสียงเย็น “ข้าทุบร่างทองทั้งร่างของเจ้าให้แหลกย่อมได้ผลดีกว่า วางใจเถอะ รอให้จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายไปในคืนนี้แล้ว วันหน้าข้าจะชดเชยให้หลานชายของเจ้าเอง”


สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกสิ้นหวัง หลังจากชั่งน้ำหนักดีแล้วก็ถามเสียงสั่น “ท่านเซียนใหญ่ วาสนาทั้งหลายขอให้ตกอยู่ที่หลานชายของข้าคนเดียวได้หรือไม่?”


ในใจนางคาดหวังว่าจะโชคดี เพราะนางรู้ว่า ไม่ว่าเซียนใหญ่ผู้นี้จะเป็นคนยุติธรรมแค่ไหน แต่มีเพียงแค่กับหม่าขู่เสวียนหลานชายของนางเท่านั้นที่เขาทำตัวแตกต่างออกไป


ทว่าหยางเหล่าโถวกลับยังคงปฏิเสธ “ไม่ได้”


สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเหมือนขี้เถ้ามอด กล่าวอย่างห่อเหี่ยว “ถ้าอย่างนั้นข้าไปที่ต้นกำเนิดของลำคลองหลงซวีดีกว่า”


หยางเหล่าโถวไม่ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ


สตรีเทพลำคลองกัดฟัน เริ่มว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไป ลอดผ่านสะพานหินโค้งที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ตรงดิ่งเข้าไปยังภูเขาลึก


หร่วนฉงมาที่ริมตลิ่ง ยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าแล้วถามว่า “เรื่องที่บอกว่าจะช่วยเด็กสาวคนนั้นหลอมกระบี่ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ไม่รีบร้อน แล้วก็ไม่มีความคิดจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าด้วย”


“เรื่องหลอมกระบี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน”


หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “แต่ข้าสามารถปิดบังตัวตนที่แท้จริงของบุตรสาวเจ้าได้สามสิบปี แต่เจ้าต้องรีบหลอมกระบี่เล่มนั้นให้เสร็จ นี่ต่างหากคือการแลกเปลี่ยนที่ข้าต้องการ”


หร่วนฉงเอ่ยยิ้มๆ ด้วยสีหน้าปกติ “ตัวตนที่แท้จริง?”


ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบๆ “เจ้าหร่วนฉงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ”


หร่วนฉงอัดอั้นตันใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ


ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “วันหน้าเมื่อมองย้อนกลับมา มันนับว่าคุ้มค่า”


หร่วนฉงถามคำถามประหลาด “แล้วอะไรถึงเรียกว่า ‘ไม่คุ้มค่า’?”


ผู้เฒ่าตอบยิ้มๆ “หร่วนฉง แอบฟังคนอื่นคุยกันไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยนะ”


หร่วนฉงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เจ้า หลานชายคนโตตระกูลหลี่ เว่ยป้อ พวกเจ้าสามคน ข้าต้องจับตามอง”


ผู้เฒ่าพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้า “สลับตำแหน่งของข้ากับหลี่ซีเซิ่งสักหน่อย น่าจะดีกว่า”


หร่วนฉงถามยิ้มๆ “หนึ่งพันปี หรืออีกหนึ่งหมื่นปีให้หลัง?”


ผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก


เมื่อใดที่เข้าสู่กลียุคซึ่งร้อยสำนักประชันกัน เอกบุรุษผู้แกร่งกล้า อัจฉริยะมากพรสวรรค์จะเป็นเหมือนหน่อไม้ที่ผุดหลังฝนตก พวกมันจะแทงทะลุพื้นดินขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ชั่วข้ามคืนก็เปลี่ยนสภาพการณ์ของโลกให้เป็นโฉมหน้าใหม่เอี่ยม


ผู้เฒ่าเคยเห็นภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนั้นมาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว


จะอย่างไรซะหร่วนฉงก็เป็นแค่อริยะสำนักการทหาร ไม่ใช่อริยะของนิกายหยินหยาง แม้ว่าเรื่องการเติบโตของหร่วนซิ่วบุตรสาวเขาจะถือว่าเขามองการณ์ไกลมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ไกลมากพอ


ผู้เฒ่าพลันโพล่งประโยคหนึ่งออกมา “แน่นอนว่าย่อมไม่คุ้มค่า คนธรรมดาสองคน เก็บวิญญาณไว้จะมีประโยชน์อะไร ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายนั้นไม่น้อย หากเปลี่ยนมาเป็นหม่าขู่เสวียนก็เป็นอีกเรื่อง”


หร่วนฉงถามยิ้มๆ “ผู้อาวุโสไม่เห็นดีในตัวเฉินผิงอันมาตั้งแต่แรกแล้ว?”


หยางเหล่าโถวสีหน้าไร้อารมณ์ “มีคนเห็นดีในตัวเขาก็พอแล้ว”


……


ทางเดินม้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือถูกเปิดใช้ใหม่อีกครั้ง เป็นเหตุให้เมืองหงจู๋ที่เดิมทีก็คึกคักมากอยู่แล้วยิ่งคับคั่งอวลไปด้วยเสียงฟ้อนร้องระบำ


ยามค่ำคืน เรือทัศนาจรลำหนึ่งที่แขวนม่านไผ่เขียวขับเคลื่อนมาบนอ่าวเนิบช้า มุ่งหน้าเข้าหาเมืองเล็ก เพิ่งจะเข้ามาในน่านน้ำลำคลองที่แบ่งคั่นเมืองเล็กออกเป็นสองส่วนก็มีการค้ามาเยือนถึงที่ เป็นเศรษฐีเฒ่าสวมชุดแพรต่วนหรูหราคนหนึ่งกับชายฉกรรจ์วัยกลางคนสวมผ้าป่านหยาบๆ คนหนึ่ง มองดูแล้วเหมือนนายท่านผู้เฒ่าที่ร่ำรวยพาคนงานในบ้านออกมาดื่มเหล้า


เรือทัศนาจรลำนี้ถือเป็นเรือขนาดกลาง มีหญิงชาวเรืออยู่ห้าคน คนขับเรือสองคน นักดนตรีดีดพิณต้มเหล้าสองคน ที่เหลืออีกคนหนึ่งคือสาวงามที่ท่วงท่าหน้าตาโดดเด่นที่สุด นางนั่งปรนนิบัติอยู่ข้างกายผู้เฒ่าอย่างระมัดระวังประหนึ่งนกน้อยอิงแอบแนบตัวคน นี่ทำให้ผู้เฒ่าชุดแพรหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข ยื่นมือไปชี้ชายฉกรรจ์สวมชุดหยาบเรียบง่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “เป็นอย่างไร เหล่าเซี่ย คนอาศัยอาภรณ์ พระพุทธรูปอาศัยร่างทอง (คล้ายสำนวนไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งของไทย) คำโบราณว่าไว้ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ?”


ไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์คนนั้นอับอายจนพานเป็นโกรธ หรือเป็นคนตรงไปตรงมา หลังจากรับแก้วหนึ่งมาจากมือของสตรีผู้ทำหน้าที่ต้มเหล้า เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำก็พูดกับผู้เฒ่าว่า “เลิกเรียกเหล่าเซี่ยๆ สักที ข้าไม่สนิทกับเจ้าสักหน่อย”


ผู้เฒ่าเป็นคนหน้าหนา ตอนที่รับเหล้ามายังฉวยโอกาสลูบหลังมือของหญิงชาวเรือ แถมยังไม่ลืมหันไปขยิบตาใส่สตรีหุ่นอรชนผู้นั้น ทำเอานางสะอิดสะเอียนแทบแย่ เพียงแต่ต้องฝืนใจแย้มยิ้มส่งให้ ผู้เฒ่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาลิ้มรสชาติสุราอย่างตั้งใจ “เจ้าไม่สนิทกับข้า แต่ข้าสนิทกับเจ้า นามของเจ้าเหล่าเซี่ยโด่งดังมาตั้งแต่ทางตะวันตกเฉียงเหนือยันทางใต้ของพวกเรา ทุกครั้งที่พูดถึงเจ้ากับเพื่อนสนิท พอพวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นคนบ้านเดียวกับข้า แต่ละคนต่างก็ขอร้องให้ข้าช่วยแนะนำ บอกว่าวีรบุรุษยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่พบหน้าสักครั้ง นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง”


ชายฉกรรจ์เพียงแค่ขมวดคิ้ว ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า


ผู้เฒ่าไว้หนวดทรงรั้งขมวด เวลานี้กำลังนั่งขัดสมาธิ เอียงศีรษะมองไปทางแสงไฟหลากสีบนชายฝั่ง มือหนึ่งหมุนแก้วเหล้า อีกมือหนึ่งใช้นิ้วลูบหนวด ท่าทางหน้าตาเช่นนี้ ไม่ว่าคนนอกจะมองอย่างไรก็ดูสถุลต่ำช้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านั่งขัดสมาธิของผู้เฒ่ายังจงใจให้เข่าแนบติดกับสะโพกอวบอิ่มของสตรีที่นั่งอยู่ข้างกาย ขนาดสตรีที่คร่ำหวอดอยู่ในโลกโลกีย์ก็ยังรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เลือกนั่งข้างชายฉกรรจ์ที่พูดน้อยนิ่งขรึม


ตอนที่ผู้เฒ่ายกแขนขึ้นลูบหนวดเผยให้เห็นช่องว่างตรงชายแขนเสื้อช่วงหนึ่ง เหล่าสตรีชาวเรือที่เชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่างผู้คนต่างก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่แท้ตรงข้อมือของผู้เฒ่าผูกเชือกยาวสีเขียวเข้มไว้เส้นหนึ่ง หากอยู่บนมือของเด็กเล็ก อาจจะพอน่ารักน่าเอ็นดูอยู่บ้าง แต่เมื่อมาผูกอยู่บนมือผู้เฒ่าก็ช่างแปลกแยกไม่เข้ากัน


จู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถอนสายตากลับมา แล้วสอบถามสาวงามที่อยู่ข้างกาย “สตรีที่อยู่ในสถานเริงรมย์อย่างพวกเจ้า เชื่อเรื่องคำสาบานแห่งขุนเขาและทะเลหรือไม่?”


ไม่เพียงแค่นางที่ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร สตรีชาวเรือคนอื่นๆ ต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าผู้เฒ่าคิดจะสื่อถึงสิ่งใดกันแน่


ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ชี้นิ้วไปที่ชายซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มาหาเขานี่ล่ะได้ผลที่สุด เขาเป็นถึงราชาใหญ่แห่งหนึ่งขุนเขา คอยดูแลภูเขาใหญ่ๆ หลายลูก คำสาบานแห่งขุนเขาและทะเลอะไรนั่น คำว่าคำสาบานแห่งขุนเขา…”


ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ยกเหล้าดื่มเชื่องช้า ใจลอยไม่อยู่กับตัว


ผู้เฒ่าชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “อันที่จริงมาหาข้าก็ได้ผลเหมือนกัน ใต้หล้านี้มีหอเรือนหลังหนึ่งที่สูงๆ มาก ชื่อของมันเผด็จการนักล่ะ นั่นก็คือหอสยบสมุทร ตั้งอยู่ริมทะเล บ้านข้าก็อยู่ใกล้กับหอสยบสมุทรแห่งนั้น”


ในที่สุดชายฉกรรจ์ก็อดไม่ไหว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ “เจ้าคนแซ่เฉา เจ้าจะโอ้อวดกับพวกนางไปเพื่ออะไร?”


ผู้เฒ่าจิบเหล้าอึกเล็ก ใช้ตะเกียบคีบกับแกล้มชิ้นหนึ่งขึ้นมา ปรายตามองชายฉกรรจ์ “ก็เพราะพวกนางฟังไม่รู้เรื่อง ถึงคุยเรื่องนี้กับพวกนางได้สนุกไงล่ะ เอาไปอวดอ้างกับคนบนภูเขาต่างหากที่เรียกว่าน่าเบื่อ”


ใบหน้าของชายฉกรรจ์เต็มไปด้วยพยับเมฆอึมครึม กระดกเหล้าดื่มเงียบๆ อีกครั้ง


ในโลกมนุษย์ที่มีราชวงศ์กษัตริย์ปกครอง คำสาบานแห่งขุนเขาและทะเลมักจะถูกเหล่านักเล่านิทานที่เดินทางไปทั่วสารทิศยกมาพูดถึง และส่วนใหญ่จะเอามาใช้กับความรักระหว่างชายหญิง ซึ่งชาวบ้านธรรมดาไม่รู้ความหมายแฝงที่แท้จริงของมันมานานแล้ว


ในความเป็นจริงแล้วคำพูดนี้ค่อนข้างจะสำคัญกับคนบนภูเขา เป็นคำที่ใช้กับผู้ฝึกตน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นคำสาบานที่มีต่อภูเขา และคำสาบานที่มีต่อทะเล คำสาบานมีพลังแห่งการพันธนาการที่อัศจรรย์จนแทบไม่อาจบรรยาย ใช้ได้ผลยิ่งกว่าถ้อยคำที่เขียนลงในกระดาษซึ่งชาวบ้านล่างภูเขาใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเสียอีก


ภูเขาขอแค่เป็นห้าขุนเขาใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักของแคว้นก็ล้วนได้หมด ยิ่งผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสูงมากเท่าไหร่ ข้อเรียกร้องที่มีต่อระดับของภูเขาก็ยิ่งสูง ส่วนใหญ่จะนำมาใช้กับพันธมิตรระหว่างแคว้นใหญ่ หรือไม่ก็สัญญาด้านการค้าขาย เมื่อเวลาผันผ่าน คำสัญญาหมั้นหมายเริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่วนคำสาบานต่อทะเลนั้นได้สูญเสียความหมายส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว เพราะเมื่อมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายในโลกตายไป ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรของใต้หล้าไพศาล เก้าดินแดนใหญ่นอกเหนือจากเก้าทวีปก็ไม่มีผู้ครอบครอง อีกทั้งราชวงศ์ในโลกมนุษย์ก็ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งทวยเทพแห่งห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องมาออกหน้าควบคุมทะเลสาบยักษ์ห้าแห่ง รวมไปถึงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลทั้งสี่แห่งอีกต่อไป


กล่าวกันว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางภูเขาตะวันตก สถานที่ที่ตะวันขึ้นนี้จึงอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลบูรพา


ผู้เฒ่าแซ่เฉาไม่สนใจความรู้สึกของชายฉกรรจ์แม้แต่น้อย เขาเคี้ยวกับแกล้มเสียงดัง ยื่นมือไปวางบนต้นขาของสตรีข้างกาย ถามตาหยี “พี่สาวคนงามท่านนี้คงรู้จักหอพิทักษ์เมืองกระมัง?”


สตรีผู้นั้นส่ายหน้า


 —————————

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)