กระบี่จงมา 182.1-182.2

 บทที่ 182.1 เหตุผลอยู่ในฝักกระบี่

โดย

ProjectZyphon

ตอนที่เฉินผิงอันกลับไปถึงบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกำลังถือไม้กวาดกวาดลานบ้าน เด็กชายชุดเขียวนอนฟุบอยู่บนขอบอ่างน้ำ กำลังอ้าปากกว้างใส่ผิวน้ำ ยังอยู่ห่างอีกสองจั้ง แต่กลับมีสายน้ำไหลทวนขึ้นมาข้างบนแล้วถูกเด็กชายชุดเขียวสูบเข้าไปในปาก ภาพนี้ไม่ต่างจากมังกรสูบน้ำ


เฉินผิงอันนั่งลงบนธรณีประตู เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นว่านายท่านของตัวเองดูแปลกไป จึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไรที่เป็นการรบกวนอย่างคนเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี อันที่จริงลานบ้านถูกหร่วนซิ่วทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้านมากแล้ว เพียงแต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกว่าหากไม่ทำอะไรสักหน่อย จิตใจก็ยากที่จะสงบ จะรู้สึกผิดต่อนายท่านที่มอบหินดีงูให้ตนอย่างใจกว้าง


เฉินผิงอันใจลอยไปไกล แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องของซ่งจี๋ซินที่ชุยตงซานเคยพูดถึงขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นยืน หยิบกุญแจบ้านพวงที่ซ่งจี๋ซินแอบโยนทิ้งไว้ในลานบ้านของตนก่อนจะออกไปจากเมืองเล็ก วิ่งไปเปิดประตูหน้าบ้านและประตูบ้านของบ้านที่อยู่ติดกัน แล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะมีหนังสือสามเล่มวางเรียงซ้อนกันไว้ได้แก่หนังสือ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’


เฉินผิงอันยกเก้าอี้มานั่งแล้วเปิดหนังสือ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ออกอ่าน


ช่วงครึ่งหลังของการเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อมีชุยตงซานมาร่วมเดินทาง จึงมักจะได้ยินเขาท่องตำราอยู่เป็นประจำ และนั่นถึงทำให้เฉินผิงอันได้รู้ถึงความไม่ธรรมดาของ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ หากอ่านแค่ชื่ออย่างผิวเผิน อาจจะรู้สึกว่านี่คือหนังสือที่มี ‘ความรู้น้อยมาก’ แต่ฟังจากคำพูดของชุยตงซานเวลาที่พูดคุยกัน สำหรับในโรงเรียนและในบรรดาอาจารย์ผู้สอนหนังสือบนโลกมนุษย์ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ไม่มีทางถูกมองเป็นตำราสำหรับเด็กประถมวัยแน่นอน คาดว่าคงมีแค่อาจารย์ฉีเท่านั้นที่สามารถนำความคิดและสติปัญญาของปราชญ์เมธีที่ลึกซึ้งยากจะทำความเข้าใจมาถ่ายทอดด้วยภาษาง่ายๆ เป็นเหตุให้พวกหลี่เป่าผิงไม่เคยรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’


เฉินผิงอันไม่ได้เอาหนังสือทั้งสามเล่มกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษของตน หลังเปิดอ่าน ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ไปได้สิบกว่าหน้าก็รู้สึกว่าด้วยความรู้เท่าหางอึ่งของเขา แค่จะเข้าใจอย่างครึ่งๆ กลางๆ ยังเป็นไปไม่ได้ หากจะให้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกมึนงงหัวโต เหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ไม่มีที่ให้หยัดยืน


เฉินผิงอันจึงได้แต่ปิดหนังสือ หยิบตัวอ่อนกระบี่สีเงินก้อนนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ กำไว้ในฝ่ามือเบาๆ แล้วนั่งเหม่อเหมือนตอนนั่งอยู่บนธรณีประตูบ้านตัวเองก่อนหน้านี้


สองครั้งที่เดินผ่านสะพานหินโค้ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ลางสังหรณ์ทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ว่านางจะหายตัวไปเป็นเวลาหกสิบปีเต็มเพื่อลับคมกระบี่กับแท่นสังหารมังกรครึ่งก้อนนั้นให้คมกริบจริงๆ ส่วนข้อที่ว่าแท่นสังหารมังกรถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนตั้งแต่แรก โดยต้องแบ่งให้กับกองกำลังสามฝ่ายอย่างหร่วนฉง ศาลลมหิมะและเขาเจินอู่ การที่นางทำแบบนี้ จะสร้างปัญหาหรือไม่ เฉินผิงอันไม่อาจคาดการณ์ได้ และยิ่งไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรก


ค่ำคืนที่มีพายุหิมะในฤดูหนาวของปีนั้น มีเด็กสาวเป็นลมหมดสติอยู่หน้าบ้านของตน เฉินผิงอันช่วยนางเอาไว้ สุดท้ายนางกลับกลายไปเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน เปลี่ยนชื่อจากหวังจูเป็นจื้อกุย สุดท้ายยังเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับซ่งจี๋ซินที่ตัวตนแท้จริงคือองค์ชายต้าหลี


ที่ว่าการของผู้ตรวจการงานเตาเผา กรอบป้าย ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ หน้าสะพาน บ่อโซ่เหล็กที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น ต้นไหวโบราณที่ทุกใบล้วนมีการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษ สุสานเทพเซียน ภูเขาเครื่องปั้นเก่าแก่…


และยิ่งไม่ต้องพูดถึงงูเจ้าที่และมังกรข้ามแม่น้ำทั้งหลายที่อยู่ในเมืองเล็ก


ยุ่งเหยิงวุ่นวาย


มิน่าเล่าหยางเหล่าโถวถึงบอกว่า ต้องมีสักวันที่เจ้าเฉินผิงอันจะค้นพบว่าเมืองเล็กแห่งนี้ใหญ่มากแค่ไหน


นึกถึงผู้เฒ่าร้านยาที่ยึดคติการซื้อขายอย่างยุติธรรมผู้นั้น สีหน้าของเฉินผิงอันก็หมองลง พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งที กำตัวอ่อนกระบี่ที่อยู่ในฝ่ามือแน่นโดยไม่รู้ตัว หลังลุกขึ้นยืนก็เก็บตัวอ่อนกระบี่ไว้ในกระเป๋าตรงชายแขนเสื้อ เดินออกไปจากบ้านที่ซ่งจี๋ซินทอดทิ้งแล้วหลังนี้ ตอนที่กลับมาถึงบ้านของตัวเอง เฉินผิงอันมอบกุญแจบ้านของหลิวเสี้ยนหยางให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู บอกให้พวกเขาสองคนย้ายไปอยู่ที่นั่น เพราะอย่างไรซะบ้านที่ตรอกหนีผิงหลังนี้ก็คับแคบเกินไป


เด็กชายชุดเขียวยังดื่มน้ำบ่อไม่อิ่ม จึงลุกขึ้นจากอ่างน้ำอย่างอิดออด แล้วจู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามว่า “นายท่าน ท่านไม่ได้เอาหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งแลกกับขวดเฮง…ขวดมหัศจรรย์เหล่านั้นของข้าหรอกหรือ ในเมื่อท่านสนิทสนมกับแม่นางหร่วนขนาดนี้ ทำไมไม่มอบขวดเมฆหมอก ขวดแสงจันทร์ให้นางเป็นของขวัญเล่า? นายท่าน ด้วยประสบการณ์ที่ผงาดอยู่ในยุทธภพอย่างโชกโชนมาหลายร้อยปีของข้า สตรีใต้หล้านี้ ไม่ว่าจะมีสถานะสูงส่งแค่ไหนก็ล้วนชอบของฉูดฉาดสวยงามกันทั้งนั้น จะไม่ดีกว่าแผ่นไม้ไผ่ผุๆ แผ่นหนึ่งหรือ?”


เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกๆ อย่างเจ้าเล่ห์ “ทำไม หรือนายท่านตัดใจยกขวดวิเศษเหล่านั้นให้หร่วนซิ่วไม่ลง? ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอแนะนำนายท่านสักสองสามคำ หร่วนซิ่วเป็นถึงบุตรสาวโทนของอริยะสำนักการทหาร ต่อให้นายท่านมอบขวดหนึ่งหมื่นใบให้นางจนหมดตัว ก็ยังเป็นการค้าที่ได้กำไรอยู่ดี!”


เฉินผิงอันที่ช่วยจับหีบหนังสือให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะพายดีๆ ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ามองไม่ออกรึว่าช่างหร่วนไม่ชอบข้า?”


เด็กชายชุดเขียวย้อนนึกถึงสถานการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด ดูเหมือนว่านายท่านอริยะหน้าบูดผู้นั้นจะปฏิบัติต่อเฉินผิงอันอย่างไม่ร้อนไม่หนาวจริงๆ เด็กชายชุดเขียวจึงรีบช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ทันที “เขาตาบอดหรือไง ถึงได้มองไม่เห็นว่าอนาคตของนายท่านปูด้วยผ้าแพร นายท่านอย่าโมโหเลยนะ โมโหแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่คุ้มกัน…”


แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าหร่วนฉงคือเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ เมื่อเขาอยู่ที่นี่ก็เหมือนฮ่องเต้ที่นั่งบนบัลลังก์มังกร สถานที่แห่งนี้ก็ย่อมต้องเป็นผืนแผ่นดินของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงครอบครองวิชาอภินิหารมากมายที่ผู้อื่นมิอาจจินตนาการได้ถึง เด็กชายชุดเขียวรีบตบบ้องหูตัวเอง “คำพูดของเด็กไม่ควรถือสา คำพูดของเด็กไม่ควรถือสา นายท่านอริยะงีบหลับ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หากได้ยินก็โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองเลยนะ…”


เด็กชายชุดเขียวถามอีก “แต่จะมอบขวดให้กับหร่วนซิ่วหรือไม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับอริยะหร่วนชอบหรือไม่ชอบนายท่านด้วยเล่า?”


เฉินผิงอันอธิบายง่ายๆ “หากข้ามอบขวดให้นางก็ต้องมอบให้ทั้งหมด ถึงเวลานั้นแม่นางหร่วนหอบขวดมากมายกลับบ้าน เป็นไปได้มากว่าช่างหร่วนจะพบเข้า แบบนั้นมีแต่จะยิ่งทำให้เขาเกลียดขี้หน้าข้ามากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นเข้าใจผิดคิดว่าข้าคิดไม่ซื่อ อีกอย่างถ้าแม่นางหร่วนทะเลาะกับบิดานาง ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดี”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับอย่างกระจ่างแจ้ง “นายท่านคิดได้รอบคอบยิ่งนัก”


ใบหน้าของเด็กชายชุดเขียวเต็มไปด้วยความตกตะลึง “นายท่าน อะไรที่เรียกว่าเข้าใจผิดคิดว่าท่านคิดไม่ซื่อ ก็เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือว่าท่านคิดไม่ซื่อกับหร่วนซิ่วจริงๆ?”


“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า!”


เฉินผิงอันตบเข้าที่ท้ายทอยเด็กชายชุดเขียว ทำเอาเขาเซคะมำออกไปนอกธรณีประตู เด็กชายชุดเขียวจึงถือโอกาสวิ่งไปที่ลานบ้าน ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้วหันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ “นายท่านอย่าได้คิดฆ่าคนปิดปากเชียว ข้ารับรองว่าจะปิดปากให้แน่นสนิทเหมือนปิดปากขวด สนิทยิ่งกว่าคำว่าผิง (ผิงแปลว่าขวดหรือแจกัน) ของหลี่เป่าผิง สนิทยิ่งกว่าปากขวดของขวดเร่าเหลียงเสียอีก!”


เฉินผิงอันยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกไม่มีหน้าไปพบผู้คนแล้ว


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมองไปทางตรอกหนีผิงนอกประตูบ้าน แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์ ครั้งแรกคือตอนที่ได้สัมผัสกับปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นของเขตการปกครองหลงเฉวียน ครั้งที่สองคือได้เห็นคุณสมบัติแห่งขุนเขาที่ซุกซ่อนอยู่ในภูเขาลั่วพั่วลูกนั้น ครั้งที่สามคือตอนได้พบกับเว่ยป้อผู้หล่อเหลาสง่างาม ครั้งที่สี่ก็คือได้เห็นเรือนไม้ไผ่งดงามที่สามารถรวบรวมโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำ


ตอนนี้คือครั้งที่ห้า สิ่งที่ปรากฎในคลองจักษุของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคือบัณฑิตผู้มีชีวิตชีวาคนหนึ่งที่ร่างเหมือนจะลอยได้ เขายืนอยู่ในตรอกเล็กที่มืดสลัว ภาพเหตุการณ์นี้จึงเหมือนนางกำลังมองดวงตะวันที่โผล่พ้นจากขอบฟ้า


บุรุษชุดเขียวคนนั้นยิ้มตาหยีถามว่า “เป่าผิงของข้าทำไมหรือ?”


ร่างของเด็กชายชุดเขียวแข็งเกร็งทันที หันหน้ากลับไปมองอย่างแข็งทื่อ พอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาก็กวาดตามองซ้ายมองขวา ไม่เห็นคนอื่นอีก ในใจพลันบังเกิดความสงสัย เพราะเมื่อลองดูองค์ประกอบทุกอย่างถี่ถ้วนแล้ว บัณฑิตคนในท้องที่ตรงหน้าผู้นี้ไม่เห็นมีอะไรที่มหัศจรรย์เลยนี่นา


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาแรงๆ งูหลามไฟที่เติบโตมาในหอหนังสือของสกุลเฉาจือหลันค้นพบว่าประกายรัศมีเรืองรองทั้งหมดคล้ายจะหายไปจากร่างบัณฑิตผู้นี้ในฉับพลัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นแค่บุรุษในท้องที่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น


เด็กชายชุดเขียวเรียนรู้จากความผิดพลาดมาก่อนแล้ว ต่อให้มองความพิเศษอะไรจากชายหนุ่มไม่ออกก็ยังไม่พูดจาเรื่อยเปื่อยเหลวไหล เพียงหัวเราะคิกๆ แกล้งโง่ “หลี่เป่าผิงเป็นเพื่อนดีที่สนิทสนมกับนายท่านข้า ดังนั้นข้าจึงเลื่อมใสชื่นชมแม่นางน้อยคนนั้นมาก ไม่ทราบว่าเจ้าคือ?”


“พี่ใหญ่หลี่ ท่านมาได้อย่างไร?”


เฉินผิงอันเดินมาที่หน้าประตูบ้าน เป็นคนเปิดเผยปริศนาเสียอีก ด้วยเกรงว่าเด็กชายชุดเขียวจะก่อเรื่องอะไรอีก


หลี่ซีเซิ่งกล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าลืมบอกไปว่า ตำแหน่งว่างเปล่าหลายแห่งในหนังสือที่มอบให้เจ้าก่อนหน้านั้นมีคำอธิบายและคำถามที่ข้าเขียนไว้ ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกดำเป็นการทำความเข้าใจของข้าเอง ส่วนตัวอักษรหมึกแดงเป็นคำถามที่ข้าหวังว่าจะได้สอบถามจากนักปราชญ์ต่อหน้า ที่ข้ามาก็เพราะอยากบอกเจ้าว่า เจ้าอย่าเพิ่งไปสนใจตัวอักษรพวกนั้น หากไม่อ่านได้เป็นการดี หากอ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไป อย่าได้เอาความคิดของข้าไปทำให้เจ้าเข้าใจความหมายดั้งเดิมของหนังสือผิดเด็ดขาด”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะจำไว้”


หลี่ซีเซิ่งยิ้มแล้วหันไปมองเด็กชายชุดเขียว เอ่ยเสียงเบา “ล้อกันเล่นนั้นไม่เป็นไร แต่ต้องจำไว้ว่าพูดมากไปอาจนำมาซึ่งผลเสีย ตัวอักษรแต่ละคำบนโลกใบนี้ล้วนมีพลัง ตัวอักษรประกอบกันเป็นวลี วลีรวมกันเป็นประโยค ประโยครวมกันเป็นบทความ มหามรรคาซ่อนอยู่ในนี้”


เด็กชายชุดเขียวแหงนหน้าจ้องมองบัณฑิตที่จู่ๆ ก็โผล่มาตาไม่กะพริบ ในหัวสมองมีแต่คำเย้ยหยันเหยียดหยาม เพียงแค่เพราะเขาข่มกลั้นเอาไว้ด้วยความทรมาน คำเหล่านั้นจึงไม่ได้หลุดออกไปจากปากก็เท่านั้น หากไม่เป็นเพราะเพิ่งจะได้บทเรียนจากร้านตีเหล็กมาหมาดๆ เด็กชายชุดเขียวก็อยากจะเปิดปากถามนักว่าในเมื่อเจ้าชอบสั่งสอนคนอื่นขนาดนี้ ทำไมไม่ไปเป็นอริยะในสำนักศึกษา ในสถาบันศึกษาของลัทธิขงจื๊อเสียเลยล่ะ?


ราวกับว่าหลี่ซีเซิ่งมองทะลุความคิดของเด็กชายชุดเขียวได้ในปราดเดียว หรืออาจถึงขั้นได้ยินเสียงในหัวใจเขาด้วยซ้ำ จึงยิ้มอ่อนโยนและอธิบายอย่างอดทน “ลัทธิพุทธมีคำกล่าวถึงลำดับขั้นตอน ลัทธิเต๋ามีคำอธิบายถึงการเดินไปบนบันไดสวรรค์ทีละก้าว เดินไปบนสะพานอมตะทีละขั้น ลัทธิขงจื๊อของพวกเราก็มีกฎการทำตามขั้นตอน ค่อยๆ พัฒนาไปเบื้องหน้า ดังนั้นข้าต้องเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าวันหน้าจะได้เป็นอริยะของลัทธิขงจื๊อหรือไม่นั้น ยังห่างไกลเกินไป มิกล้าวาดฝันเกินตัว”


เด็กชายชุดเขียวเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง ไม่กล้ามองบัณฑิตคนนั้นอีก รีบหันหน้ากลับมามองเฉินผิงอันอย่างขอความช่วยเหลือ สีหน้าของเขาเศร้ารันทดราวกับว่าไม่เหลืออะไรในชีวิตให้ต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ถึงขนาดไม่กล้าพูดอะไรสักคำ


เหมือนกำลังฟ้องนายท่านของตัวเองว่า เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว คนท่าทางธรรมดาคนหนึ่งเดินมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่กลับเป็นถึงอริยะสำนักการทหาร คราวนี้คนธรรมดาคนหนึ่งมายืนอยู่ในตรอกก็ดันกลายมาเป็นวิญญูชน? นักปราชญ์? ที่สามารถมองความคิดของตนออก


ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าจะมีคนธรรมดาคนหนึ่งเดินมาต่อยตนให้ตายด้วยหมัดเดียวหรือเปล่า?


 ————————–


บทที่ 182.2 เหตุผลอยู่ในฝักกระบี่

โดย

ProjectZyphon

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูใบหน้าแดงก่ำ ปลุกความกล้าถามเสียงดัง “ท่านอาจารย์ ทำไมเวลาที่พวกเราอ่านหนังสือจึงมักจะไม่รู้จักตัวอักษรบางตัวขึ้นมากะทันหัน? ต่อให้เห็นพวกมันอยู่ใต้เปลือกตา เห็นพวกมันอยู่นิ่งๆ บนหน้าหนังสือ แต่พวกเรากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับพวกมัน?”


หลี่ซีเซิ่งตะลึงไปเล็กน้อย มองไปทางเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตัวเล็กน่ารัก ในใจพลันกระจ่างแจ้ง สีหน้าจึงเผยความชื่นชมออกมาเสี้ยวหนึ่ง บัณฑิตแห่งตระกูลหลี่ผู้นี้ค้อมตัวลง ขยิบตาให้นาง พูดทีเล่นทีจริงเสียงแผ่วเบา “เพราะบางช่วงเวลา อักษรบางตัวถูกอริยะบางคนแอบยืมไปใช้ยังไงล่ะ”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกโมโหเล็กน้อย หากเป็นเรื่องความรู้ในตำรา นางมักจะมีความดื้อดึงที่ผิดไปจากเวลาปกติเสมอ ถึงขั้นสั่งสอนคนอื่นอย่างที่ไม่เคยทำ “หากอาจารย์ไม่รู้คำตอบที่ถูกต้องก็ไม่ควรอธิบายมั่วซั่ว ใต้หล้านี้จะมีเรื่องที่เหลวไหลแบบนั้นได้อย่างไร! รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้…”


ยิ่งเป็นช่วงท้าย ความดุดันของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยิ่งถดถอยน้อยลง เสียงก็เบาลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้สุดท้ายกลายเป็นเสียงหงุงหงิงเหมือนยุงบิน เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่ได้ยิน


เฉินผิงอันยิ้มแล้วตบศีรษะเล็กของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ พูดกับหลี่ซีเซิ่งว่า “พี่ใหญ่หลี่ อย่าโกรธเลยนะ ปกตินางไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก”


หลี่ซีเซิ่งหัวเราะดังลั่น กล่าวอย่างใจกว้าง “แบบนี้สิถึงจะดี”


ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะไปที่อื่น หลี่ซีเซิ่งจึงออกจากตรอกหนีผิงไปพร้อมกับเขา


เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าในตรอกเบื้องหน้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนสองมือไพล่หลัง ดูจากท่าทางเขาน่าจะเป็น…มือกระบี่?


ตรงเอวด้านหนึ่งของมือกระบี่ที่หันมาทางพวกเฉินผิงอันห้อยกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่ยาวกว่ากริชเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งห้อยกระบี่ยาวที่ยาวกว่ากระบี่ทั่วไป


ฝักกระบี่ของกระบี่สั้นเป็นสีขาวหิมะ ส่วนฝักกระบี่ยาวเป็นสีดำสนิท


เค้าโครงใบหน้าด้านข้างของมือกระบี่หนุ่มดูนุ่มนวล มุมปากมักจะตวัดโค้งขึ้นตามความเคยชินที่มีมาตั้งแต่เกิด ให้ความรู้สึกราวกับว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขาไม่อมยิ้มน้อยๆ ส่วนหน้าตาของเขานั้นกลับคล้ายจิ้งจอกตัวหนึ่งอย่างมาก เวลานี้เขากำลังหรี่ตาจ้องมองบ้านหลังเก่าที่สมบูรณ์แบบกว่าที่เขาคิดไว้ไปไกลโข นี่ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้มือกระบี่หนุ่มปลาบปลื้มยินดี กลับยังรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ด้วย


มือกระบี่หนุ่มหันหน้ามา ‘ยิ้ม’ มองพวกเฉินผิงอัน แล้วเอ่ยเสียงเบาอ่อนโยนด้วยถ้อยคำนุ่มนวล “รู้หรือไม่ว่าใครซ่อมแซมบ้านหลังนี้?”


เฉินผิงอันถามกลับด้วยสีหน้าที่มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว “ทำไมหรือ บ้านพังไม่ควรซ่อมหรอกหรือ?”


มือกระบี่หนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ยังไม่ต้องพูดว่าซ่อมได้ดีหรือไม่ เอาแค่ว่าเขตปกครองหลงเฉวียนต้าหลีของพวกเจ้า มีคำพูดว่าไม่ควร ‘ขยับดินเหนือศีรษะไท่สุ้ย’ หรือไม่?”


แม้ว่ามือกระบี่หนุ่มคนนั้นจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่เฉินผิงอันไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่ามีไอเย็นๆ ผุดพุ่งขึ้นมาที่หัวใจได้


คนต่างถิ่นอายุน้อยที่มองดูเหมือนพูดง่ายคนนี้ อันตรายอย่างมาก!


หลี่ซีเซิ่งพลันเดินออกไปหนึ่งก้าว ยื่นมือมาขวางพวกเฉินผิงอันสามคนที่อยู่ด้านหลังเอาไว้พลางเอ่ยเบาๆ “ยืนอยู่ข้างหลังข้า หลังจากนี้ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่มองอย่างเดียวก็พอ”


รอยยิ้มของมือกระบี่หนุ่มยิ่งกดลึก มือสองข้างกำไว้บนด้ามกระบี่สองเล่มที่สั้นยาวไม่เท่ากัน เขาโคลงศีรษะพยายามมองหาเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดเขียว สุดท้ายถึงยืนนิ่งๆ “ทำไม บังเอิญขนาดนี้เชียว ข้ามาเจอกับตัวการพอดีเลยรึ? ส่วนเจ้า คิดจะทำอะไร รนหาที่ตาย?”


หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “คุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ได้ กระบี่ อย่าได้ชักออกจากฝักตามใจชอบ”


มือกระบี่หนุ่มยักไหล่ ยิ้มสีหน้าไร้เดียงสา “แต่เหตุผลของข้าน้อยอยู่ในฝักกระบี่นี่นา”


หลี่ซีเซิ่งร้องอ้ออย่างสบายๆ ยื่นนิ้วชี้มาที่ตัวเองแล้วพูดเหมือนคนเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ปราชญ์ดื่มสุรามิได้หวังเสพรสชาติของสุรา แต่มีเป้าหมายอยู่ที่ข้า?”


มือกระบี่หนุ่มยิ้ม “ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด ขนาดชื่อแซ่เจ้าข้าก็ยังไม่รู้ เพียงแค่ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วไม่ถูกชะตา ได้ยินเจ้าพูดจาเหลวไหลก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ แต่ก็ดีที่มีโอกาสยิงธนูลูกเดียวได้นกสองตัว สั่งสอนเจ้าพร้อมกับเจ้าเด็กคนนั้นไปพร้อมกันทีเดียว แบบนี้ไม่ยิ่งประเสริฐหรอกหรือ?”


มือกระบี่หนุ่มใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่สั้น เอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ข้าเฉาจวิ้นชักกระบี่ น้อยครั้งนักที่จะสังหารคน”


หลี่ซีเซิ่งขมวดคิ้วถาม “บรรพบุรุษของเจ้าคือเซียนกระบี่เฉาซี?”


มือกระบี่หนุ่มถอนหายใจ ตอบไม่ตรงคำถาม “เหตุใดบัณฑิตอย่างพวกเจ้าถึงชอบหาเรื่องลำบากใส่ตัว ด้วยตบะและสถานะของข้าเฉาจวิ้น ต่อให้ไม่ถูกชะตากับเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น แต่จะรังแกเขาได้ลงคอหรือ? อย่างมากสุดก็แค่ทำลายพื้นฐานวรยุทธ์ที่มีอยู่น้อยนิดของเขาให้สิ้นซาก แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าดึงดันจะออกหน้า หากความสามารถของเจ้ามีมากพอ หรือมีน้อยเกินไปก็ยังพูดง่าย แต่หากความสามารถไม่ดีไม่เลว แพ้ให้ข้าแบบครึ่งๆ กลางๆ ถึงเวลานั้นเด็กหนุ่มถูกข้าพาลโกรธ ก็ไม่เท่ากับว่าเจ้าทำร้ายเขาหรอกหรือ?”


มือกระบี่หนุ่มกล่าวจบก็แสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “เอาล่ะ ไม่อ้อมค้อมแล้ว บอกตามตรงก็แล้วกัน ข้าเฉาจวิ้นมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา สามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของสิ่งประหลาดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น…ตัวอ่อนกระบี่ก้อนหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นมายุ่งวุ่นวายกับบ้านบรรพบุรุษของข้าโดยพลการ หรือเห็นบัณฑิตอย่างเจ้าแล้วเกลียดขี้หน้าล้วน…เป็นความจริงทั้งหมด แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ สำหรับตัวอ่อนกระบี่ ข้าจะจ่ายเงินให้ แถมยังให้ราคาไม่ต่ำด้วย ส่วนพวกเจ้าจะรู้สึกว่าเป็นการฝืนใจบังคับซื้อขายหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”


หลี่ซีเซิ่งเอ่ยถาม “ก่อนที่เจ้าจะลงมือ ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าคือ?”


“ก่อนจะตีกันใครเขาถามคำถามแบบนี้บ้าง แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนน่าสนใจขนาดนี้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะตอบ” มือกระบี่หนุ่มหัวเราะพรืด ดวงตายิบหยีลงเป็นเส้นโค้ง เขาที่เอ่ยด้วยถ้อยคำเบาสบาย ตอนที่พูดถึงวิถีกระบี่และขอบเขตของตัวเองกลับประหยัดคำพูดราวกับมันล้ำค่าดุจทองคำ “กระบี่ ระหว่าง แปด เก้า”


หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”


ตัวอ่อนกระบี่ก้อนที่อยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเริ่มร้อนลวกขึ้นทุกขณะ เฉินผิงอันต้องไพล่มือซ้ายไปด้านหลังแล้วบิดข้อมือกำมันเอาไว้แน่น


……


ช่วงนี้หร่วนฉงมักจะมาที่ริมลำคลองหลงซวีบ่อยๆ เขายื่นมือลงไปในน้ำ วัดน้ำหนักความชื้นอึมครึมที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำลำคลอง


เด็กหนุ่มคิ้วยาวมักจะติดตามอยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์เป็นประจำ


หร่วนฉงที่วันนี้นั่งยองอยู่ริมตลิ่งพลันเทน้ำที่อยู่กลางฝ่ามือทิ้ง แค่นเสียงเย็นหนึ่งที “อาศัยว่าตัวเองมีบรรพบุรุษดีเลยกล้ามาทำลายกฎระเบียบของข้า? ไอ้พวกไม่รู้จักกลัวตาย”


บนผิวน้ำค่อยๆ มีภาพการคุมเชิงในตรอกหนีผิงลอยขึ้นมา


เด็กหนุ่มคิ้วยาวชี้ไปยังชายหนุ่มที่พกทั้งดาบสั้นและยาว “อาจารย์ คือเขาหรือ?”


หร่วนฉงพยักหน้า เปิดเผยความลับให้อีกฝ่ายฟัง “ในบรรดาบรรพบุรุษของเขามีคนหนึ่งเป็นเซียนกระบี่ชื่อว่าเฉาซี เหมือนกับเซี่ยสือบรรพบุรุษของเจ้า พวกเขานับว่าเป็นบุคคลที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแจกันสมบัติทวีปพวกเราที่สามารถหยัดยืน เปิดสำนักตั้งพรรค ยึดครองพื้นที่แถบหนึ่งอยู่ในทวีปใหญ่แห่งอื่นได้อย่างมั่นคง เป็นคนเก่งอย่างแท้จริง”


เด็กหนุ่มคิ้วยาวไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เขาเอาแต่จ้องภาพบนผิวน้ำ “อาจารย์ จะทำอย่างไร? ท่านจะขัดขวางลูกหลานสกุลเฉาผู้นั้นหรือไม่?”


“ขัดขวางกะผีน่ะสิ!”


หร่วนฉงหัวเราะเสียงเย็น “รอให้เขาทำร้ายคนบาดเจ็บก่อน ข้าค่อยฆ่าเขาให้ตาย นี่ต่างหากถึงจะถูกต้องตามกฎระเบียบ”


เด็กหนุ่มคิ้วยาวถามถึงสาเหตุของความขัดแย้งในครั้งนี้ หร่วนฉงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ เด็กหนุ่มได้ฟังแล้วก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “อยู่ใต้จมูกของท่านอาจารย์ เฉาจวิ้นผู้นั้นเห็นของมีค่าจนเกิดความละโมบ แถมยังกล้าบังคับให้คนอื่นขาย คนข้างนอกป่าเถื่อนไร้เหตุผลแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรือ?”


หร่วนฉงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ปรารถนาสมบัติบนสวรรค์ จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินในโลกมนุษย์ มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน ในเมื่อก่อนหน้านี้แม้แต่ข้าก็ยังมองความลี้ลับของตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นไม่ออก แต่เฉาจวิ้นกลับให้ความสำคัญถึงขนาดนี้ ก็แสดงว่าเฉาจวิ้นต้องมีสายตาที่พิเศษ รวมไปถึงตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นที่หากเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงเมื่อไหร่ ย่อมต้องสร้างความตื่นตะลึงให้ทั้งโลก แล้วก็เพราะว่าอยู่ที่นี่ เฉาจวิ้นถึงพอจะสำรวมอยู่บ้าง หากอยู่ที่อื่น อย่าว่าแต่จะจ่ายเงินเลย ป่านนี้คงฆ่าคนชิงเอาของไปแล้ว”


เด็กหนุ่มคิ้วยาวเพิ่งจะเหยียบลงบนเส้นทางแห่งการฝึกตน เดินขึ้นภูเขาได้ไม่นานเท่าไหร่รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ จึงถามว่า “อาจารย์ คนชั่วแบบนี้กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ได้อย่างไร?”


“เจ้าไม่เคยเล่าเรียนเป็นบัณฑิตเสียหน่อย จะต้องพูดเรื่องความดีความเลวไปทำไม? จำเอาไว้ว่าบนภูเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้”


หร่วนฉงลุกขึ้นยืน ทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วร่างของเขาก็พลันวูบหายไป


……


จวนใหญ่ตระกูลหลี่ ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังหยอกนกในกรงเล่น แต่แท้จริงแล้วเขาใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในดวงตาคือรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแววรอคอย พึมพำเบาๆ ด้วยประโยคที่ราวกับกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ “ตีกันเร็วเข้าๆ ให้เสร็จรวดเดียวไปเลย ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่ไม่รู้จักเจ้าอีก…”


……


ยอดเขาพีอวิ๋น เว่ยป้อผู้สวมอาภรณ์ขาวล่องลอยนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนเมฆกลุ่มหนึ่ง ห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งจั้ง เขากำลังหลับลึก บางครั้งศีรษะยังสัปหงกลงมาเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก


เบื้องใต้เมฆหมอกมีทั้งสัตว์บกสัตว์ปีกมาออกันเนืองแน่น พวกมันต่างก็หวังว่าจะได้เข้าใกล้กับเมฆกลุ่มนั้น พยายามจะสัมผัสทวยเทพชุดขาวที่ตรงติ่งหูห้อยห่วงสีทองชิ้นหนึ่งให้ได้มากที่สุด


เงาร่างหนึ่งกระแทกลงพื้นอย่างหนัก ฝูงสัตว์บนยอดเขาแตกฮือกระเจิงไปคนละทิศทาง


เว่ยป้อตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ สีหน้ามึนงง พอเห็นชายฉกรรจ์คนนั้น เมฆหมอกก็สลายหายไป ตัวเขาพลิ้วกายลงมาบนพื้นดิน “แขกหายากๆ ช่างเป็นเกียรติๆ”


หร่วนฉงพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “แค่จะมาเตือนเจ้าสักคำ ในอนาคตอีกไม่นานเซียนกระบี่เฉาซีอาจบุกมาสังหารถึงที่นี่ ถึงเวลานั้นเจ้าจะนิ่งดูดายก็ได้ แต่ห้ามกระพือลมให้ไฟลุกโหมเด็ดขาด”


เว่ยป้อเหลือบมองไปทางตรอกหนีผิงของเมืองเล็ก “มีคนจงใจใช้เฉาซีมาเล่นงานเจ้ากับต้าหลี? สกุลเกาต้าสุย? สำนักศึกษากวานหู? แคว้นหนันเจี้ยน? หรือว่ายอดฝีมือคนอื่น?”


หร่วนฉงสีหน้าเคร่งเครียด


อะไรก็ได้หมด อย่างมากทหารมาใช้แม่ทัพต้าน น้ำมาใช้ดินกลบ กลัวก็แต่ว่าจะเล่นงานลูกสาวของเขา


หร่วนฉงมองไปทางเมืองเล็ก ไม่ได้มองไปที่ตรอกหนีผิงที่ซึ่งศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มองไปยังร้านยาตระกูลหยาง


เขาถอนหายใจโล่งอก


หร่วนฉงมาถึงอย่างรีบร้อนและก็จากไปอย่างรีบร้อน


เว่ยป้อบ่นพึม “น่ารำคาญชะมัด วางแผนเล่นงานกันไปมา ไม่จบไม่สิ้นสักที”


เขาเองก็หายตัววับไป นาทีถัดมาก็มาถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เอนตัวลงนอนอยู่บนระเบียงชั้นสอง กรนครอกๆ หลับต่ออีกครั้ง


น้ำลดหินผุด เดิมเป็นถิ่นมังกรนอนขดตัว ลมพัดใบไม้ไหว กลายเป็นพยัคฆ์จ้องตะครุบ


 —————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)