อัจฉริยะสมองเพชร 1820-1827

 ตอนที่ 1820 ปะทะนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

บึ้มมมม!


ถ้ำสั่นสะเทือน ลาวากระฉอกเดือดพล่าน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหรี่ตาขณะพูดด้วยน้ำเสียง แหบห้าวราวกับจะทลายโลกนี้ให้พินาศ “คุณว่าอะไรนะ?”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเข้าไปขนาบข้างจางเซวียนแล้วตั้งคำถาม “คุณคิดจะทำอะไร?”


เขานึกไม่ถึงว่าท่านประธานจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ แต่ในเมื่อเขาเลือกจะติดตามท่านประธานแล้วก็ไม่อาจถอยได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม


“ผมได้ยินว่าเผ่าพันธุ์ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณของพวกคุณหยิ่งผยองมาก เป็นเพราะพวกคุณปฏิเสธที่จะยอมจำนนให้ปรมาจารย์ขง เผ่าพันธุ์ของคุณจึงลงเอยด้วยการถูกสภาปรมาจารย์สังหารและถูกเนรเทศให้ต้องอพยพมาที่นี่…เมื่อก่อนผมคิดว่ามันเป็นแค่ตำนาน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง!”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก้าวออกมาก้าวหนึ่ง คลื่นความร้อนแผดเผาอันทรงพลังแผ่ออกไปโดยรอบ


หลายพันปีมาแล้วที่เขารับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าพันธุ์อสูรที่อยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครพยายามจะทำให้เขาตกเป็นอสูรของผู้นั้น แม้แต่อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่เคยกล้าพูดอะไรแบบนี้ แล้วเจ้าหนุ่มที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานคนหนึ่งกลับอาจหาญพูดออกมา…บังอาจนัก!


ถ้าเขาไม่สั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่าย แล้วเกียรติยศศักดิ์ศรีของเขาจะเหลืออะไร?


“ไม่ใช่เรื่องของคุณที่จะมาพูดว่าเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณของเราทำอะไรลงไปบ้าง!”นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคำราม


“อ้อ อย่างนั้นหรือ?”


ศีรษะขนาดใหญ่เอนเข้ามา เปลวเพลิงเจิดจ้าแผดเผาลงมาจากด้านบน นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหรี่ตาด้วยความทึ่งขณะรีบก้าวออกไปและชูแขนทั้งสองขึ้นปัดป้องกระแสเปลวเพลิงนั้น


พลั่ก!


กระแสเปลวเพลิงก่อให้เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ใต้ร่างของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง แรงกดดันมหาศาลผลักดันให้เขาถอยไปหลายสิบก้าว


เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปิดการโจมตีโดยไม่บอกไม่กล่าว ด้วยความขัดใจ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรวบรวมพละกำลังของเขาและพุ่งเข้าใส่อย่างโกรธเกรี้ยว ในชั่วพริบตานั้น พายุเย็นเยือกก็พัดกระหน่ำไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้พื้นที่นั้นปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง


แม้ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะหวาดกลัวเปลวไฟ แต่ด้วยการขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธที่ท่านประธานถ่ายทอดให้ เขาพบว่าความร้อนแผดเผานั้นค่อยๆบรรเทาลง ด้วยสิ่งนี้ เขารู้สึกว่าหากเปิดการต่อสู้กับอีกฝ่าย ก็มีโอกาสชนะ!


ยังไม่ทันที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะได้เข้าใกล้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านล่าง


“ไม่ต้องห่วง ผมจัดการเอง!”


เขารีบชะงักฝีเท้าก่อนจะมองปีศาจยักษ์เปลวเพลิงขนาดมหึมาที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาหวาดระแวง


ฟึ่บ!


จางเซวียนก้าวเข้าไปยืนใกล้กับแอ่งลาวา เขาเงยหน้ามองนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนจะพูดว่า “ทำไมเราไม่พนันกันล่ะ?”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยังไม่ตอบ เขาจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงไม่เคยพบนักปราชญ์โบราณโม่หลิงมาก่อน แต่ตามเรื่องราวที่ได้ยินมา อีกฝ่ายเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก การที่เขามาฟังคำสั่งของชายหนุ่มคนนี้อย่างจงรักภักดี ก็เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มน่าจะมีความเก่งกาจอย่างน่าทึ่ง


“เดิมพันของผมนั้นง่ายนิดเดียว ผมจะต่อสู้กับคุณ ถ้าคุณแพ้ คุณต้องยอมจำนนและมาเป็นอสูรของผม ส่วนถ้าคุณชนะ ผมจะนำตัวอำมาตย์เฉินหย่งมาที่นี่ แล้วให้เขายอมรับเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์กับเผ่าพันธุ์อสูรของคุณ” จางเซวียนพูด


“ว่าอย่างไรล่ะ? คุณคงไม่กลัวที่จะต้องสู้กับคนที่มีวรยุทธระดับผมหรอกนะ ใช่ไหม?”


“ฮึ่มมมม!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามขณะเงื้อกรงเล็บขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตวัดเข้าใส่จางเซวียน “ขอผมชื่นชมความเก่งกาจของท่านประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณสักหน่อยเถอะ”


ครืนนนน!


เมื่อนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถอนกรงเล็บออก มิติที่อยู่โดยรอบก็ดูจะแตกกระจาย พลังงาน มหาศาลโอบรอบจางเซวียนไว้ ทำให้เขาต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่


เห็นภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น


พละกำลังที่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงสำแดงออกมายิ่งใหญ่กว่าที่เขาคาดไว้มาก ต่อให้ตัวเขาก็คงลำบากหากต้องรับมือกับความแข็งแกร่งระดับนี้ หรือว่าวรยุทธของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถูกยกระดับให้สูงขึ้นอีกหลังจากที่หายตัวไปเป็นเวลาหลายหมื่นปี?


“ไม่ใช่หรอก…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพลันนึกได้ “เป็นเพราะความได้เปรียบของพื้นที่”


ต่อให้การฝ่าด่านวรยุทธในระดับที่เล็กที่สุดของผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ก็ยังถือเป็นภารกิจที่ยากเย็นแสนเข็ญ


เหตุผลหลักที่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงดูเหมือนจะมีพละกำลังน่าทึ่งก็เพราะเขาสามารถเรียกพลังจากลาวาที่อยู่ภายในถ้ำมาใช้ได้ ทำให้สามารถปลดปล่อยพลังตามแบบของปีศาจยักษ์เปลวเพลิงออกมา


ซึ่งในสภาพนี้ ตัวเขาเองไม่มีทางรับมือกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงได้เลย


หนทางที่ดีที่สุดที่จะทำได้ก็คือหนีเอาชีวิตรอด


ซึ่งในเมื่อแม้แต่ตัวเขายังไม่มีโอกาสเอาชนะ แล้วท่านประธานล่ะ?


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบหันไปมอง และเห็นท่านประธานชักหอกออกมาพร้อมกับหัวเราะหึๆ


ด้วยการกระโดดอันทรงพลัง เขากระโจนเข้าใส่หลุมลาวาแล้วโผขึ้นไป จางเซวียนทุ่มจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาเข้าสู่หอก และดูเหมือนจะกลายร่างเป็นมังกรตัวมหึมาที่โผขึ้นสู่สวรรค์ทั้ง 9 ชั้น พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างเกรี้ยวกราด


ครืดดดด!


วินาทีที่มังกรคำรามกึกก้อง รอยร้าวก็ดูเหมือนจะปรากฏทั่วทั้งถ้ำ แรงกดดันมหาศาลทำให้เพดานร่วงกระจายเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน


“นี่มัน…แปดโน้ตมังกรสวรรค์?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับผงะ


มีเสียงคำรามชนิดหนึ่งที่เขารู้ว่าสามารถทำลายเจตจำนงของศัตรูและทำให้พวกมันหมดสภาพ ซึ่งนั่นก็คือแปดโน้ตมังกรสวรรค์ แต่ว่ากันว่าเฉพาะผู้มีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะเปล่งเสียงนี้ออกมาได้


หอกสวรรค์กระดูกมังกรไม่ได้เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธเมื่อเร็วๆนี้ไม่ใช่หรือ?


อีกอย่าง สายเลือดของมันก็ไม่ได้บริสุทธิ์..แล้วเปล่งเสียงคำรามได้อย่างไร?


ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังตกตะลึง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็แทบไม่อยากเชื่อ เขาถูกบีบให้ถอยไปหลายก้าว นัยน์ตาฉายแววของความตกใจ


เพราะเขาไม่มีสายเลือดมังกร แปดโน้ตมังกรสวรรค์จึงไม่อาจสร้างแรงกดดันใดๆต่อเขาได้ แต่ ความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณที่มีต่อฮ่องเต้ของเผ่าพันธุ์อสูรก็ยังสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในสภาวะจิตของเขา ทำให้เขาเกิดความยำเกรงในตัวคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า


ควั่บ!


หลังจากถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มังกรสีดำก็ฟาดหางอันทรงพลังของมัน ลาวาที่อยู่ใต้ร่างนั้นเดือดพล่านและกระฉอกอีกครั้ง พายุเฮอริเคนพัดกระหน่ำไปทั่วทั้งถ้ำ เกิดเป็นมังกรลาวาหลายสิบตัว


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงส่ายหน้าแล้วจ้องมองอีกครั้ง ก่อนจะได้รู้ว่ามันไม่ใช่พละกำลังจากมังกรสีดำ ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ขณะเขย่าลาวาให้กระฉอกด้วยหอกของเขา บังคับมังกรตัวใหญ่ให้พุ่งทะยานไปตามทิศทางที่เขาต้องการ


“นี่คืออาณาเขตของผม ถ้าคุณคิดจะใช้ดินแดนของผมเล่นงานผมล่ะก็ คุณประเมินผมต่ำไปแล้ว!”


นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้ฐานที่มั่นของเขามาเล่นงานตัวเขาเอง และถึงกับสำแดงพละกำลังออกมาได้อย่างน่าทึ่ง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหายใจออกมาเป็นเปลวไฟลูกใหญ่ ขณะยกขาขึ้นและกระทืบเท้าอย่างแรง


ครืดดดด!


รอยแยกสีทองกระจายตัวไปทั่ว มังกรลาวาจำนวนนับไม่ถ้วนกลับสู่หย่อมลาวาและสลายตัวไป


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว และลาวาในบริเวณนี้ก็ได้รับการขัดเกลาจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้อีกฝ่ายจะควบคุมลาวาไว้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่หากเขาลงมือ ก็ย่อมตอบโต้ได้ไม่ยาก


จางเซวียนชักหอกกลับแล้วถามยิ้มๆ “แค่นี้หรือ?”


ไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวที่เห็นอีกฝ่ายทำลายการโจมตีของเขาได้ เพราะอันที่จริง จางเซวียนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม


หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็ไม่กล้าประมาทชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีก “คุณมีความเก่งกาจอย่างไม่ธรรมดาจริงๆที่ได้เป็นประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…แต่ข้อเท็จจริงก็คือคุณเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เหตุผลหลักที่คุณสำแดงพละกำลังอันน่าทึ่งออกมาได้ก็เพราะหอกในมือของคุณ ถูกไหม?”


การต่อสู้ระยะสั้นๆเมื่อครู่นี้ทำให้เขาเห็นว่าผู้ที่ได้รับการเรียกขานว่าเป็นประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก เหตุผลที่อีกฝ่ายสู้กับเขาได้ก็เพราะหอกที่อยู่ในมือ


“ใช่!” จางเซวียนยอมรับตามตรง


ได้ยินการยอมรับของจางเซวียน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพยักหน้าอย่างพอใจ “อาวุธไม่อาจสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริงออกมาได้หากปราศจากผู้ควบคุม การที่คุณสามารถสำแดงพละกำลังอันน่าทึ่งออกมาและเกือบทำให้ผมจนมุมได้ก็บ่งบอกแล้วว่าคุณคือนักรบที่เก่งกาจ…”


ในตอนนั้น น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปทันทีขณะที่คำรามออกมา “แต่นั่นแหละ ถ้านั่นคือทั้งหมดที่คุณมี ผมบอกได้เลยว่าคุณโง่เง่าเกินกว่าที่จะมาท้าทายผม!”


ลาวาเดือดพล่านขึ้นอีกครั้งขณะพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ไม่ต่างอะไรกับคลื่นยักษ์


ตอนที่ 1821 ความหยิ่งผยองของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

ไม่ใช่แค่นั้น ลูกไฟมากมายยังร่วงลงมาจากเพดานถ้ำ ทำให้ทั่วทั้งถ้ำมอดไหม้


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความร้อนแผดเผาระดับนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับล่าถอย


แม้เขาจะได้รับเทคนิควรยุทธจากท่านประธาน ซึ่งทำให้สามารถต้านทานเปลวเพลิงในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับมือกับทะเลเพลิงที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ โชคดีที่เขายังอยู่ในกายเนื้อ ถ้าในตอนนั้นถอดจิตวิญญาณออกมา คงได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่!


ท่านประธานเป็นอะไรหรือเปล่า? นักปราชญ์โบราณโม่หลิงนึกกังวลขึ้นมา


จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่น ก่อนจะเห็นร่างของท่านประธานลอยตัวอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ แทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนกับลูกไฟที่ร่วงพรูลงมา อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยอย่างสบายใจ


“ไม่เลวนี่!”


ฟิ้วววว!


จากนั้น แรงดึงดูดมหาศาลก็แผ่ออกจากร่างของชายหนุ่มราวกับปลาวาฬลงเล่นน้ำ เปลวเพลิงที่อยู่โดยรอบพุ่งเข้าใส่เขาอย่างดุเดือด


พลังงานแผดเผาที่เข้ามารวมตัวกันอย่างปุบปับทำให้ร่างของชายหนุ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็สูงขึ้นจนมีความสูงราว 10 เมตร เขายืนตระหง่านอยู่บนลาวาสีแดงก่ำ ดูเหมือนยักษ์เปลวเพลิงตัวใหญ่


“คุณ…”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะทรงพลังขนาดนั้น เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบใช้ไม้ตายสูงสุดของตัวเอง แต่ในตอนนั้น เปลวเพลิงที่อยู่ในร่างของชายหนุ่มก็ระเบิดออกมา


ฟึ่บ!


ลูกไฟสีแดงก่ำที่พุ่งออกมาจากร่างของชายหนุ่มตรงเข้าแผดเผาสิ่งที่อยู่โดยรอบทันที เพลิงสีแดงก่ำทำให้ทุกอย่างดำคล้ำไป พื้นที่โดยรอบดูจะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท


“นี่มัน…เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด?”


เมื่อรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของเปลวเพลิงสีดำ นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถึงกับขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัวขณะรีบล่าถอย


เพราะเติบโตมากับเปลวเพลิง ปีศาจยักษ์เปลวเพลิงจึงไม่หวาดกลัวการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่ทำให้นักรบคนอื่นๆหวาดกลัวจับใจ


แต่นั่น…ก็หมายถึงเฉพาะเปลวเพลิงสวรรค์ทั่วไปเท่านั้น ถ้าเป็นสิ่งที่มีความเข้มข้นระดับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดล่ะก็ ต่อให้ปีศาจยักษ์เปลวเพลิงก็ไม่อาจต้านทานอะไรแบบนั้นได้!


ซรืดดดด!


เพียงแค่แตะครั้งเดียว นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็รู้สึกเหมือนร่างกายจะมอดไหม้ กลิ่นไหม้คลุ้งออกมาจากร่างของเขาขณะที่เขารีบถอยไปอีกครั้ง


เขาต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเองหวาดกลัวการโจมตีของชายหนุ่ม!


เขาเคยคิดว่าด้วยความได้เปรียบตามธรรมชาติที่เขามีต่อเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีองค์ประกอบของพลังหยิน เขาคงเล่นงานอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย นี่คือเหตุผลที่เขาเชิญนักปราชญ์โบราณโม่หลิงให้เข้ามาถึงถิ่นโดยไม่หวาดกลัวอะไร


ใครจะไปคิดว่าลงท้าย แม้แต่เปลวเพลิงที่เขาอยู่กับมันมาชั่วชีวิตก็จะย้อนกลับมาเล่นงานเขาเอง?


เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดคือไฟที่สามารถแผดเผาทุกอย่างในโลกให้มอดไหม้ ต่อให้นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันตรงๆ


เห็นนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถอยไปจนเกือบจะสุดขอบแอ่งลาวา จางเซวียนหัวเราะหึๆก่อนจะชูหอกสวรรค์กระดูกมังกรขึ้นและพุ่งเข้าใส่


“คุณบอกไม่ใช่หรือว่าผมโง่เง่าเกินกว่าจะเข้าท้าทายคุณด้วยสิ่งที่ผมมี? ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ทำไมไม่หยุดทำตัวขี้ขลาดเสียทีล่ะ?”


วู้ววววววว!


มังกรสีดำคำรามก้องไปทั่วทั้งถ้ำ ขณะที่เปลวเพลิงสีดำสนิทลุกโพลง พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่เข้าขวางทาง


ในตอนนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบบินหนีออกจากถ้ำ เพราะรู้ดีว่าต้องตายแน่หากยังอ้อยอิ่งอยู่แถวนั้น


ในเมื่อเขาไม่อาจรับมือได้แม้แต่กับเปลวเพลิงทั่วไป หากเข้าใกล้เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ก็มีแต่จะต้องเอาชีวิตไปทิ้ง!


ว่าแต่…สามารถใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกลับมาเล่นงานเขาได้…ท่านประธานทำได้อย่างไร?


อันที่จริง จางเซวียนเองก็ไม่คาดหวังผลลัพธ์แบบนี้ และไม่ได้จงใจโจมตีด้วย แต่เมื่อนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเรียกลูกไฟของเขาออกมา ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณที่จางเซวียนได้ใช้เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดบ่มเพาะก็เกิดการสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ดูกระหายที่จะกลืนกินเปลวเพลิงของอีกฝ่าย


ดังนั้น เขาจึงดูดลูกไฟเหล่านั้นเข้าสู่ร่าง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทันทีที่เปลวเพลิงของอีกฝ่ายมาสัมผัสกับพลังปราณเทียบฟ้าของเขา มันก็แปรสภาพกลายเป็นเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดอย่างรวดเร็ว


พลังปราณเทียบฟ้าเปรียบเหมือนออกซิเจนที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ ทำให้เพลิงนั้นปลดปล่อยความร้อนที่ดุเดือดเข้มข้นกว่าเดิมออกมา


ซรืดดดดด!


เมื่อถูกเพลิงสีดำต้อนให้จนมุมอยู่ที่มุมหนึ่งของถ้ำ เส้นขนของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงมอดไหม้ไปหมดทั้งตัว เลือดเนื้อของเขาเริ่มจะเหือดแห้ง กระดูกสีทองปูดโปนออกมาให้เห็นหลายแห่ง


หากเป็นแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานบรรพบุรุษเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเชี่ยวชาญในการใช้เปลวเพลิงจะต้องมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านแน่ ช่างย้อนแย้งอะไรอย่างนั้น!


“คุณจะยอมจำนนหรือไม่?” จางเซวียนถามอย่างสุขุม


“ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงผู้ดื้อดึงคำราม


ในฐานะบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูร, นักรบขั้นที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด เขามีความหยิ่งผยองในตัวเอง


เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่ศักดิ์ศรี แต่ยังเป็นชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์อสูรทั้งเผ่าด้วย ถ้าผู้นำเผ่าพันธุ์อสูรแห่งสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจยอมจำนนให้กับชายหนุ่มที่เป็นเพียงนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เขาคงจะกลายเป็นตัวตลกให้ทั้งเผ่าพันธุ์หัวเราะเยาะแน่!


“พูดอีกอย่างก็คือ คุณคิดจะเบี้ยวข้อตกลงของเราหรือ?” จางเซวียนถามอย่างไม่แยแส


“คุณก็พูดเองเออเองอยู่คนเดียว ผมไม่เคยยอมรับข้อตกลงนั้นสักหน่อย!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำราม


จริงอยู่ว่าจางเซวียนเป็นคนยื่นข้อเสนอเรื่องเดิมพัน แต่เขาก็ไม่เคยบอกว่าพึงพอใจกับเรื่องนั้น


“คุณอยากตายจริงๆใช่ไหม?”


ด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละของหอกสวรรค์กระดูกมังกรและความร้อนแผดเผาของเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด บาดแผลของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอาการหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่แสดงอาการว่าจะยอมจำนน


จางเซวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้


เทคนิคการฝึกอสูรโดยการอัดให้น่วมของเขาใช้ได้ผลไม่ใช่เพียงเพราะเขามีพละกำลังเหนือชั้นกว่าอสูรตัวนั้น แต่ยังเป็นเพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่ช่วยบ่มเพาะอสูรและขัดเกลาสายเลือดของมัน ทำให้มันผ่านด่านคอขวดไปได้


พูดให้ง่ายเข้าก็คือเป็นการใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ


ด้วยหอกสวรรค์กระดูกมังกรและเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด เขาสามารถเล่นงานนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้จนมุมได้ แต่ด้วยวรยุทธที่มีจำกัดของเขา ประสิทธิภาพของพลังปราณเทียบฟ้าที่จะใช้กับอีกฝ่ายได้จึงยังมีจำกัด


ซึ่งเมื่อปราศจากพลังปราณเทียบฟ้า ก็หมายความว่าเขาจำเป็นต้องใช้เฉพาะวิธีการรุนแรงเท่านั้นเพื่อทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน และแน่นอนว่าประสิทธิภาพของมันย่อมลดลงมาก


แถมนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยังเป็นถึงบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรและเคยชินกับการใช้ชีวิตอิสระ อีกฝ่ายคงยอมตายมากกว่าจะยอมสละเสรีภาพและมาเป็นบริวารของมนุษย์คนหนึ่ง


“อยากทําอะไรก็เชิญเลย! แต่ทายาทของผมไม่เคยทำอะไรให้พวกคุณขุ่นเคืองนะ และในฐานะประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณและนักปราชญ์โบราณ ผมก็คิดว่าคุณคงไม่ลดตัวลงไป เกลือกกลั้วกับพวกเขาเหมือนกัน” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกัดฟัน


เขาผิดเองที่อ่อนแอ และพร้อมยอมตาย โดยเฉพาะหลังจากที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานแล้ว แต่ทายาทของเขาอีกมากมายที่อยู่ข้างนอกนั่นยังเป็นอนาคตของเผ่าพันธุ์อสูร ถ้าชายหนุ่มคนนี้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์อสูรแห่งสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจคงต้องสูญพันธุ์แน่


แม้สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะให้ความสำคัญกับการเอาตัวรอดเป็นที่สุด แต่การกระทำของนักปราชญ์โบราณที่สังหารผู้อ่อนแอกว่าก็ย่อมทำให้กลุ่มอำนาจหลักไม่พอใจ เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมลดศักดิ์ศรีลงมาทำอะไรที่ไร้ยางอายขนาดนั้น!


“ทายาทของคุณหรือ?” คำนั้นทำให้นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววคาดหวัง “ผมคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมไม่ใช่นักปราชญ์โบราณ เป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน จึงไม่มีชื่อเสียงอะไรให้ต้องรักษามากนัก ผมขอแนะนำคุณให้คิดดูให้ดี ยอมจำนนให้ผมเสีย แล้วผมจะนำพาเผ่าพันธุ์อสูรของคุณออกจากสันเขาทุรกันดารแห่งนี้ แต่ถ้ายังต่อต้านผมอยู่ล่ะก็ ทันทีที่คุณตาย คุณคงรู้นะว่าต่อให้ผมไม่ทำอะไร เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ย่อมฉวยโอกาสนี้กำจัดเหล่าทายาทของคุณจนสิ้นซาก!”


จางเซวียนคงจนปัญญาถ้านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงไม่ปรารถนาอะไรในโลกนี้แล้ว แต่ดูเหมือนยังมีบางอย่างที่เขายังพอนำมาใช้เจรจาต่อรองกับอีกฝ่ายได้


“ชีวิตและความตายน่ะถูกลิขิตไว้แล้ว ผมอาจปกป้องพวกเขาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ปกป้องตลอดไปคงไม่ได้ ถ้านั่นคือโชคชะตาที่รอคอยเผ่าพันธุ์อสูรของเราอยู่ ผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงตอบอย่างถอดใจ


เห็นอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่ จางเซวียนก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “คุณไม่เต็มใจยอมจำนนให้ผมก็เพราะทั้งเผ่าพันธุ์กำลังเฝ้ามองคุณอยู่ ในฐานะบรรพบุรุษเก่าแก่ ไม่มีทางที่คุณจะทำลายชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์ของคุณด้วยการยอมจำนนให้มนุษย์ ว่าแต่…คุณจะว่าอย่างไรถ้าเหล่าทายาทของคุณยอมสนับสนุนให้คุณมาเป็นอสูรของผม?”


นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามเยาะ “ทายาทของผมน่ะล้วนแต่หยิ่งผยอง พวกเขาไม่ยอมจำนนให้แม้กระทั่งผม แล้วจะยอมจำนนให้คุณได้อย่างไร? คุณฝันไปแล้วล่ะ!”


หัวสมองของชายหนุ่มถูกกระทบกระเทือนหรือเปล่า? ต่อให้ทายาทของเขาจะโง่เง่าสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่พวกนั้นจะนั่งดูบรรพบุรุษเก่าแก่ตกไปเป็นอสูรของคนอื่นได้!


เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ทั้งเผ่าพันธุ์จะเป็นอย่างไร? พวกเขาคงได้แต่ก้มหน้าด้วยความอับอาย


“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็รอดูกัน” จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะสะบัดข้อมือและเก็บหอกสวรรค์กระดูกมังกร เขาหันไปที่ทางออกและสั่งการนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “ผมจะฝากให้คุณเฝ้านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ที่นี่นะ อย่าให้เขาออกจากถ้ำนี้ไปได้ ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่…”


จากนั้น จางเซวียนก็รีบออกจากถ้ำ


ตอนที่ 1822 ยอมจำนนให้ผมซะ!

“คุณคิดจะทำอะไร?” เห็นชายหนุ่มพรวดพราดออกจากถ้ำ นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที เขาอยากยับยั้งชายหนุ่มไว้ แต่รังสีเย็นเยือกก็พุ่งเข้ามาปะทะ


ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาควรจะเอาชนะพละกำลังระดับนั้นได้อย่างง่ายดายและตอบโต้ได้ด้วย แต่เพราะอาการบาดเจ็บที่ต้องทนทุกข์อยู่ นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพบว่าตัวเองไม่อาจสำแดงพละกำลังออกมาได้แม้แต่น้อย


“นักปราชญ์โบราณโม่หลิง, แก ไอ้สารเลว! ผมสาบานว่าผมจะฆ่าคุณทันทีที่ได้พละกำลังกลับคืนมา!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง


“ผมจะรอนะ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบอย่างไม่แยแสขณะปล่อยพละกำลังต่อไป ตรึงอีกฝ่ายให้ติดอยู่กับผนัง


“วู้วววววว!”


ขณะที่สองนักปราชญ์โบราณกำลังห้ำหั่นกัน เสียงร้องของอสูรมากมายนับไม่ถ้วนก็ดังกึกก้องอยู่นอกถ้ำ ราวกับชายหนุ่มได้จัดการสังหารหมู่ทันทีที่ออกจากถ้ำไป


“ไม่นะ, แก ไอ้สารเลว! ฉันสาบานเลยว่าฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆและเผาจิตวิญญาณของแกให้สิ้นซาก!” ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหล่านั้น นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงตัวสั่นด้วยแรงโทสะขณะคำรามกร้าว “พวกแก ไอ้ชั่วช้า! สังหารคนอ่อนแอกว่าแบบนั้นได้อย่างไร? ศักดิ์ศรีของแกอยู่ไหน?”


เสียงของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงดังก้องไปทั่วสันเขา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้ยินสักนิด


เสียงร้องโหยหวนครวญครางยังคงลั่นระงมต่อไป


ในเมื่อเขาไม่อาจหลบหนีได้ และตะโกนไปก็ไม่มีใครได้ยิน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรีบหันไปพูดกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ “โม่หลิง คุณก็เป็นนักปราชญ์โบราณ ถึงเราไม่เคยพบกัน แต่ผมก็พอรู้วีรกรรมของคุณและพอจะรู้จักนิสัยใจคอของคุณอยู่บ้าง คุณเป็นคนรักความชอบธรรม และไม่เห็นดีเห็นงามกับการใช้กำลัง แล้ว…คุณจะนั่งมองท่านประธานของคุณฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างนี้น่ะหรือ? สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตกต่ำถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”


“คือ…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก้มหน้าลงอย่างอับอาย


แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าท่านประธานจะพรวดพราดออกไปและใช้พละกำลังเล่นงานอสูรเหล่านั้น ต่อให้ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่มีขื่อแป ก็ยังมีกฎเกณฑ์ที่เป็นที่รู้กัน ถ้าเหล่านักปราชญ์โบราณได้รับอนุญาตให้สังหารผู้อ่อนแอกว่าได้อย่างง่ายๆ ทุกอย่างก็คงยุ่งเหยิงไปหมดแน่


แต่ในฐานะบริวาร นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตัดสินใจแล้วที่จะทำตามทุกคำสั่งของชายหนุ่มไม่ว่าคำสั่งเหล่านั้นจะเป็นอะไร ดังนั้น ถึงจะยังแคลงใจ แต่ก็ตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้


“ต้องขอโทษด้วย ผมแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงส่ายหน้าขณะปล่อยพลังออกไปอย่างต่อเนื่องเพื่อตรึงร่างของอีกฝ่ายให้ติดอยู่กับผนัง


“คุณ…” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงโมโหจนเสียงสั่น “ถ้าผมมีชีวิตรอดออกไปได้นะ สาบานเลยว่าผมจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณของคุณ!”


เขาโมโหเดือดเอาจริงๆ


ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่แม้แต่ตัวเขายังรับมือด้วยไม่ไหวทำการสังหารหมู่บรรดาลูกหลานของเขา ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายเหลือเกิน!


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เป็นผล เสียงร้องโหยหวนครวญครางระงมยังคงดังก้องอยู่ในหู มันยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบกริบ ในตอนนั้น หัวใจของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเย็นเยียบด้วยความสิ้นหวัง


ไม่ช้า ชายหนุ่มก็กลับมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


“แก ไอ้สารเลว! แกฆ่าคนของฉัน ทำลายเผ่าพันธุ์ของฉัน ถ้าฉันเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ ฉันจะทำลายทุกสิ่งที่แกรัก คอยดู!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงร้องโหยหวน ความโกรธเกรี้ยวฉายชัดออกจากดวงตาของเขา พร้อมจะทำลายทุกอย่างที่อยู่ในสายตาให้ราบคาบ


“ฆ่าคนของคุณ?” เห็นนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงออกอาการโมโหเดือด จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “คุณคิดมากไปแล้วล่ะ ผมน่ะเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมที่รักความสงบ จะทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้อย่างไร? นักปราชญ์โบราณโม่หลิง ปล่อยเขาออกไป ให้เขาไปเห็นด้วยตาตัวเอง!”


“เอ่อ…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนพละกำลัง


ตุ้บ!


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงร่วงลงจากผนัง เขากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนก่อนจะพรวดพราดออกจากถ้ำ จางเซวียนกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงตามไปติดๆ


ที่ด้านนอกถ้ำ แสงสว่างจากพระจันทร์สีเลือดเปล่งประกาย นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรีบมองไปรอบๆ เห็นทายาทจำนวนมากมายของเขารวมตัวกันอยู่ด้านนอก ทุกตัวดูสดชื่นและมีชีวิตชีวาดี ต่างกำลังคำรามอย่างพออกพอใจ นัยน์ตาแดงก่ำฉายแววของความตื่นเต้น


“วรยุทธของพวกคุณ…” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถึงกับผงะ


เขาใช้เวลาเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วนกับเหล่าทายาทในสันเขาทุรกันดารแห่งนี้ และรู้ระดับวรยุทธของพวกนั้นดี หลังจากถูกบีบให้ต้องอพยพมายังดินแดนแห่งนี้ ด้วยพลังจิตวิญญาณที่มีอยู่จำกัด จึงถือเป็นพรจากสวรรค์ทีเดียวหากแต่ละตัวยังสามารถรักษาระดับวรนยุทธเดิมเอาไว้ได้ การยกระดับวรยุทธใดๆนั้นเรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…


แต่ในตอนนั้น อสูรหลายหมื่นตัวต่างฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ พละกำลังและประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก!


โดยเฉพาะสำหรับตัวที่มีความสำคัญในเผ่า ไม่เพียงแต่จะยกระดับวรยุทธได้สำเร็จ ยังดูเหมือนพวกมันจะได้แรงบันดาลใจและภูมิปัญญาบางอย่างด้วย พวกมันดูพร้อมจะก้าวไปสู่วรยุทธขั้นที่สูงขึ้นได้ทันทีที่โอกาสอำนวย


ยิ่งไปกว่านั้น ผิวพรรณของพวกมันก็ไม่ได้ดูซีดเหลืองเหมือนอสูรที่ขาดสารอาหารอีกต่อไป ทุกตัวดูสดชื่น แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณ ราวกับได้เกิดใหม่


เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง


“คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่!”


อสูรมากมายโค้งคำนับเพื่อแสดงการคารวะนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง


“พวกคุณ…” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงปากสั่น มีคำถามมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ตัวสั่นเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้


อสูรที่พาจางเซวียนมาที่ถ้ำเมื่อครู่นี้โน้มตัวลงกับพื้นและพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่, นายท่านของพวกเราคือผู้ที่มีความเมตตากรุณามาก พวกเรายอมจำนนให้เขากันหมดแล้ว เราขอวิงวอนให้คุณรีบตัดสินใจด้วย!”


“พวกคุณยอมจำนนให้เขากันหมดแล้ว?” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรู้สึกราวกับฝันไป “นี่พวกคุณยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้วหรือ?”


“ใช่!” เหล่าอสูรพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง พวกมันหันไปมองจางเซวียนและโค้งคำนับให้อีกครั้ง “คารวะนายท่าน!”


“อือ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะหันกลับไปมองนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง “ว่าอย่างไร? คนของคุณน่ะยอมรับผมเป็นเจ้านายแล้ว และพวกเขาก็พร้อมสนับสนุนให้คุณยอมจำนนให้ผมด้วย ตอนนี้ยังมีอะไรที่คุณต้องลังเลอีก?”


“บรรพบุรุษเก่าแก่ เราขอวิงวอนให้คุณเข้าร่วมกับพวกเรา”


นัยน์ตาของเหล่าอสูรเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


“พวกคุณ…”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรู้สึกเหมือนมีระเบิดลูกย่อมๆอยู่ในศีรษะของเขา เขาถอยไปหลายก้าวขณะจ้องภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ให้นึกสงสัยว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงหรือเปล่า


นี่คือชนชั้นนำของเหล่าทายาทของเขา ในครั้งนั้น สมัยที่ทำสงครามกับอำมาตย์เฉินหย่ง อสูรพวกนี้เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวแล้วตัวเล่าอย่างโหดเหี้ยม ไม่หวั่นเกรงการโจมตีใดๆทั้งสิ้น แต่กลับมายอมจำนนให้ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนหนึ่ง…


ไม่ใช่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเพียงคนเดียวที่มีสีหน้าแบบนั้น แม้แต่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ทำหน้าราวกับเห็นผี


นี่ท่านประธานออกจากถ้ำไปนานแค่ไหนกัน?


10 นาที? 20 นาที?


ภายในระยะเวลาอันสั้นแค่นั้น เขาทำให้อสูรหลายหมื่นตัวยอมจำนนได้…


ต่อให้ใครสักคนโปรยอาหารให้ลูกไก่เป็นสิบๆตัว พวกมันก็คงไม่เชื่องเร็วขนาดนั้น ใช่ไหม?


เขารู้แล้วว่าท่านประธานติดตั้งค่ายกลได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้เร็วกว่าเดิมเมื่อเป็นเรื่องของการฝึกอสูร!


“บรรพบุรุษเก่าแก่ ถ้าคุณยอมรับเจ้านายของพวกเรา พวกเราจะยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว…คุณไม่ควรลังเลนะ”


“ความรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์ของเราขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแล้ว ได้โปรดอย่าปฏิเสธความปรารถนาดีของนายท่านเลย”


“ภายใต้การนำของนายท่าน พวกเราจะได้ชำระชื่อเสียงของเราให้ขาวสะอาด ขจัดการดูถูกเหยียดหยามที่เคยได้รับ เผ่าพันธุ์อสูรของเราจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว!”


อสูรมากมายคำราม รับเป็นเสียงเดียวกัน


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถึงกับพูดไม่ออก


ก่อนหน้านี้ เขายังคิดว่าเหล่าทายาทของเขาจะยืนหยัดและไม่ยอมจำนนง่ายๆ ใครจะไปคิดว่าพวกนั้นจะยอมแพ้รวดเร็วขนาดนี้?


เท่าที่เห็น หากเขาไม่ตอบตกลง ทายาทของเขาก็คงจะกดดันเขาต่อไปจนกว่าเขาจะยอมแพ้


“คุณรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีเอาไว้ก็เพื่อต้องการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทายาทของคุณ ทำให้พวกเขาได้มีชีวิตอย่างภาคภูมิใจ แต่ผมสามารถให้ในสิ่งที่คุณอยากให้กับเผ่าพันธุ์ของคุณได้นะ ยอมรับผมเป็นเจ้านายของคุณซะ ผมสาบานว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!” จางเซวียนพูด


“ผมจะไม่บีบบังคับให้คุณตัดสินใจตอนนี้ แต่ผมมีเทคนิควรยุทธที่ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณฟื้นคืนพละกำลังกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม แต่จะยังสามารถสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าทึ่งออกมาได้อีกด้วยโดยไม่จำเป็นต้องใช้ลาวาในถ้ำ”


ยังไม่ทันที่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงจะได้ตอบโต้ ก็รู้สึกได้ถึงอาการกระตุกในหัวสมอง เทคนิควรยุทธใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นในสมองของเขา


“เอ่อ…”


เมื่ออ่านรายละเอียด ร่างของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงสั่นสะท้านไม่หยุด เขาตื่นเต้นเสียจนพูดอะไรไม่ออก


ตอนที่ 1823 อำมาตย์เฉินหย่งมาถึง

เทคนิควรยุทธที่ชายหนุ่มถ่ายทอดให้นั้นไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในวรยุทธของเขา แต่ยังเพิ่มพละกำลังด้วย ถ้านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงฝึกฝนวรยุทธตามนั้น ต่อให้ไม่มีลาวาอยู่ในถ้ำ ก็สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 หรือสูงกว่านั้นได้อย่างง่ายดาย!


คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าเทคนิควรยุทธนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ขอแค่เขาฝึกฝนตามนั้น ระดับวรยุทธก็จะก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


หลังจากศึกษาเทคนิควรยุทธในหัวสมองอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็รับรู้ได้ ไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าชายหนุ่มคือนักรบที่เก่งกาจ ที่ในท้ายที่สุดก็จะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดของโลก เขาจึงค้อมตัวลงและปล่อยเลือดหยดหนึ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของชายหนุ่ม “เปลวเพลิงคารวะนายท่าน!”


แม้ก่อนหน้านี้เขาจะยังลังเล แต่ตอนนี้ทุกข้อสงสัยถูกสลัดออกจากหัวใจแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะยังอายุน้อยและมีวรยุทธอ่อนด้อย แต่ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเจ้านายของเขา การติดตามอีกฝ่ายจะทำให้เขาพัฒนาขึ้นอีกมาก


ส่วนจางเซวียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง


ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้ของเขาจะไม่สูญเปล่า นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดกับอสูรอีกมากมายในสังกัด…ต่อให้เขาต้องปะทะกับอำมาตย์เฉินหลิงอีกครั้ง ก็มีพละกำลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว


…..


นักรบกลุ่มหนึ่งบินไปอย่างรวดเร็ว


พวกเขาคืออำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินที่แยกทางกับจางเซวียนก่อนหน้านี้


ที่ตามหลังพวกเขาคือนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์จำนวน 4 คน


แม้ทั้งสี่จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าผู้นำทั้งสอง แต่ก็แน่นอนว่าทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ หากเป็นการต่อสู้ พละกำลังของพวกเขาก็เป็นอันพึ่งพาได้


ทั้งสี่คือนักปราชญ์โบราณที่อำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเรียกมาเป็นสมัครพรรคพวกได้สำเร็จในช่วงเวลาที่ผ่านมา


เห็นมิติที่อยู่ตรงหน้าแตกกระจายครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่กำลังมุ่งหน้าไป นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ตามหลังอดตั้งคำถามไม่ได้ “ฝ่าบาท เรากำลังจะไปไหน?”


“เรากำลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบแห่งขนนกไฟ!” อำมาตย์เฉินหย่งตอบ


“สนามรบแห่งขนนกไฟ?” นักปราชญ์โบราณที่เพิ่งตั้งคำถามเมื่อครู่ครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ที่นั่นกันดารและห่างไกล คงไม่มีนักปราชญ์โบราณอยู่หรอก ใช่ไหม?”


“ถ้าผมจำไม่ผิด นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงแห่งเผ่าพันธุ์อสูรอยู่ที่นั่น” นักปราชญ์โบราณอีกคนหนึ่งเสริม


“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง?”


เมื่อได้ยินชื่อนั้น สมาชิกที่เหลือในกลุ่มพากันตัวงอด้วยความพรั่นพรึงก่อนจะรีบหันไปมองอำมาตย์เฉินหย่ง


ไม่มีใครในสนามรบแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่เคยได้ยินเรื่องความขัดแย้งระหว่างนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอำมาตย์เฉินหย่ง แล้วมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่ายแบบนี้…ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ?


“ผมไม่ปฏิเสธว่าระหว่างผมกับเขาเคยมีความขัดแย้ง แต่ถ้าเราอยากเปิดโปงอาชญากรรมที่อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงทำไว้ เราก็จำเป็นต้องอาศัยพละกำลังของหมอนั่น”


ในเมื่อเขารวบรวมนักปราชญ์โบราณเหล่านี้มาเป็นสมัครพรรคพวกแล้ว จึงไม่คิดจะปิดบังอะไร


“แต่ความขัดแย้งในครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งคู่ย่ำแย่…”


“จะย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่มีทางเลือก ผมได้แต่คิดในแง่ดีไว้ก่อนเท่านั้น…” อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้า


ถ้าเขาเลือกได้ เขาคงไม่ยอมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากศัตรูแน่ เพราะรู้ดีว่าจะต้องถูกเหยียดหยาม และสิ่งนี้อาจย้อนกลับมาแว้งกัดเขาในภายหลัง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือก


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหันมามองและตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสจางเซวียนพูดไว้ไม่ใช่หรือว่าเขาจะหาทางทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนนหลังจากที่หาเลือดมังกรพบแล้ว? แล้วเราจะไม่รอเขาหรือไง?”


“ยอมจำนน?” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้า “คุณคิดว่าเจ้าเปลวเพลิงนั่นจะยอมลดตัวลงมาเป็นอสูรของมนุษย์คนหนึ่งหรือ?”


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเงียบกริบ


เขาเองก็ไม่แน่ใจหากว่าเป็นอสูรตัวอื่น แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง หมอนั่นคืออสูรที่ดื้อด้านที่สุดในโลก ในอดีต อำมาตย์เฉินหย่งเคยใช้ทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน แต่หมอนั่นก็ดูจะไม่ใส่ใจทั้งไม้แข็งและไม้นวมที่อำมาตย์เฉินหย่งใช้ เขายินยอมที่จะถูกเนรเทศไปยังดินแดนทุรกันดารที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ โดยปฏิเสธที่จะยอมจำนนให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ


เพียงเท่านี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดไหน


จะเป็นไปได้หรือที่อสูรซึ่งหยิ่งผยองขนาดนั้นจะยอมจำนนให้กับมนุษย์ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่นักปราชญ์โบราณ?


“นายน้อยไม่เคยพบเปลวเพลิงมาก่อน จึงไม่น่าแปลกอะไรที่เขาจะไม่คุ้นเคยกับนิสัยของหมอนั่น ส่วนเรา ในฐานะผู้ที่เคยพบและพูดคุยกับเขามาก่อน แน่ใจได้เลยว่าไม่มีทางทำให้หมอนั่นยอมจำนนได้!”


ในตอนนั้น อำมาตย์เฉินหย่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ แทนที่จะมัวหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราควรมุ่งหน้าไปที่นั่นและพูดจากับเจ้าเปลวเพลิงดีๆ ในสมัยนั้น ผมคือผู้ที่บีบให้เขาต่อสู้ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องเป็นคนแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น!”


“ผมก็คิดว่าเราคงได้แต่หวังเท่านั้นแหละ” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพยักหน้า


ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งคือตัวการที่ผลักดันให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ หากพวกเขาอยากจะโน้มน้าวนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้มาเป็นสมัครพรรคพวก ก็จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นจากอำมาตย์เฉินหย่ง


“เรามาถึงแล้ว…”


ระหว่างการหารือ เหล่านักปราชญ์โบราณก็มาถึงดินแดนที่อยู่ในอาณาบริเวณของสนามรบแห่งขนนกไฟ สันเขาอันแห้งแล้งทุรกันดารปรากฏตรงหน้า


“นี่คือสนามรบแห่งขนนกไฟหรือ? ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็ได้หรือไง?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตอย่างตกตะลึง รับรู้ได้ถึงพลังจิตวิญญาณในอากาศที่แสนจะเบาบาง


เมื่อปราศจากทรัพยากรและพลังจิตวิญญาณ สิ่งเดียวที่ใครสักคนจะทำได้ในสถานที่แบบนี้ก็คือเอาชีวิตรอด ไม่มีทางที่จะยกระดับวรยุทธในที่แบบนี้ได้เลย


เมื่อพิจารณาจากการที่อำมาตย์เฉินหย่งเนรเทศนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงมายังดินแดนทุรกันดารแบบนี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ยอมช่วยเหลือในการรับมือกับสองอำมาตย์ สถานการณ์ดูจะไม่เป็นใจนัก


รู้สึกได้ถึงความกังวลของสมาชิกที่เหลือ อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “รีบหาอสูรให้พบแล้วถามมันเถอะว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ไหน”


ด้วยการกระดิกนิ้ว เขาก็ไปปรากฏตัวตรงหน้าอสูรตัวหนึ่งที่เพ่นพ่านอยู่บริเวณสันเขา


อสูรตัวนั้นเตรียมถอยอย่างหวาดระแวง


อำมาตย์เฉินหย่งรีบเข้าไปยับยั้งอสูรไว้ไม่ให้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ และส่งโทรจิตพลังปราณหามัน “ผมเป็นสหายของบรรพบุรุษเก่าแก่ของคุณ, นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง คุณพอจะพาผมไปหาเขาได้หรือเปล่า?”


เมื่อถูกบีบให้อยู่ในจุดที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือใดๆไม่ได้ อสูรตัวนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตอบรับอย่างว่าง่าย “บรรพบุรุษเก่าแก่ของเรา…กำลังอยู่ระหว่างการสั่งการให้พรรคพวกของเราเก็บข้าวของ…”


“เก็บข้าวของ? พวกคุณจะไปไหนกัน?”


นักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มมองหน้ากันอย่างสงสัย


ก็จริงอยู่ว่าสภาพแวดล้อมของสนามรบแห่งขนนกไฟทุรกันดารมาก แต่เหล่าอสูรก็อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ทำไมจู่ๆถึงคิดจะเก็บข้าวของขึ้นมา?


“เรากำลังจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวง” อสูรตัวนั้นรีบตอบ


มันเป็นแค่อสูรที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 1 และอาศัยอยู่บริเวณรอบนอกของสันเขา จางเซวียนจึงไม่ได้เสียเวลามาทำให้มันยอมจำนน


“คุณกำลังจะกลับเมืองหลวง?” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “หรือว่า…อำมาตย์เฉินหลิงดำเนินการตัดหน้าเราและโน้มน้าวนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้เป็นพรรคพวกของเขาได้แล้ว?”


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่พวกมันมีความคิดแบบนี้ ในเวลานี้ เมืองหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของอำมาตย์เฉินหลิง และในเมื่อนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเขา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อำมาตย์เฉินหลิงจะพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่ายให้หันมาเล่นงานเขาด้วย


“เมื่อเร็วๆนี้ มีแขกมาเยือนไหม?” อำมาตย์เฉินหย่งตั้งคำถาม


อสูรตัวนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อไม่นานมานี้ นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ชื่อโม่หลิงมาที่นี่พร้อมกับนายท่านของบรรพบุรุษเก่าแก่ของเรา ตอนนี้พวกเขาคงยังอยู่แถวนี้แหละ!”


“เดี๋ยวก่อน…นายท่าน?”


อำมาตย์เฉินหย่งกำลังจะถามว่านายท่านคือใคร ก็พอดีกับที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินขัดขึ้น “นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในเวลานี้ เขาเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ที่สุดคนหนึ่งของอำมาตย์เฉินหลิง มีบทบาทสำคัญในการวางแผนปิดล้อมคุณ…”


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินได้ข่าววงในมาเล็กน้อยจากบริวารและทายาทของเขาหลังจากที่ออกจากภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ จึงพอรู้รายละเอียดบางอย่าง


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดที่รับใช้อำมาตย์เฉินหลิง เป็นธรรมดาที่ใครๆจะติดตามความเคลื่อนไหวของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเพื่อพยายามล้วงความลับเรื่องแผนการของอำมาตย์เฉินหลิง


“ในเมื่อนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเป็นบริวารของอำมาตย์เฉินหลิง และนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็ยอมรับใครคนหนึ่งเป็นเจ้านายของเขาแล้ว จะเป็นไปได้หรือเปล่าว่าผู้นั้นคืออำมาตย์เฉินหลิง? อำมาตย์เฉินหลิงทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนนได้แล้วจริงๆหรือ?”


หัวใจของอำมาตย์เฉินหย่งกระตุก


ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเขาก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว


หลังจากไต่ถามอีกสองสามคำเพื่อให้แน่ใจเรื่องที่อยู่ของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง อำมาตย์เฉินหย่งก็เคาะนิ้วลงบนศีรษะของอสูรเพื่อจัดการให้มันสลบ ก่อนจะหันมาสั่งการ “เราแอบไปที่นั่นอย่างเงียบๆเถอะ ระวังอย่าให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรู้ตัว…”


ในเมื่ออำมาตย์เฉินหลิงยังอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็ต้องไปดูให้เห็นกับตา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม


“ได้!”


รู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญขนาดไหน สมาชิกที่เหลือต่างพยักหน้า พวกเขาปกปิดรังสีของตัวเองและมุ่งหน้าไป โดยบินเรี่ยพื้นเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว


ตอนที่ 1824 กลับเมืองหลวง

หลังจากผ่านภูเขามากมายหลายลูก ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็เห็นอสูรฝูงใหญ่ลอยตัวอยู่เหนือถ้ำ พวกมันจัดเรียงตัวกันเป็นค่ายกลอย่างเป็นระเบียบ ราวกับกองทัพที่กำลังรอคอยคำสั่ง


“ที่นี่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณไม่ใช่หรือ? ทำไมจิตวิญญาณของอสูรพวกนี้ถึงรวมกันเป็นหนึ่งได้ แถมยังดูเหมือนประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกมันจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย…” อำมาตย์เฉินหย่งผงะไปอีกครั้ง


ตอนที่เขาผลักดันให้อสูรพวกนี้อพยพ เขาต้องใช้กองกำลังทหารจำนวนมากเพื่อรับมือกับพวกมัน แม้อสูรพวกนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า


เขาคิดว่าคงเป็นโชคดีมากแล้วหากพวกมันสามารถรักษาระดับวรยุทธไว้ได้หลังจากถูกเนรเทศ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกมันจะพัฒนาตัวเองได้อีกมากหลังจากนั้น!


ขณะที่กำลังตกตะลึง อำมาตย์เฉินหย่งก็เห็นมิติบิดเบี้ยวบริเวณตรงหน้าถ้ำ สองร่างปรากฏตรงนั้น


ร่างแรกถูกไฟคลอกทั้งตัว ปื้นสีดำปรากฏเป็นหย่อมๆบนผิวหนังสีทองของมัน แสดงอาการว่ากำลังค่อยๆเปลี่ยนสี


ความร้อนแผดเผาที่แผ่ออกจากร่างนั้นทำให้รู้สึกเหมือนมันกำลังถูกย่างด้วยมิติและกาลเวลา


“ทรงพลังอะไรขนาดนี้…” อำมาตย์เฉินหย่งกำหมัดแน่นอย่างเคร่งเครียด


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงที่เขาตั้งใจจะมาหว่านล้อมให้มาเป็นสมัครพรรคพวก ระหว่างสงครามในครั้งนั้น เขาได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่ายหลายครั้ง จึงรู้ระดับวรยุทธของมันเป็นอย่างดี เขาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่ที่อีกฝ่ายจะยกระดับวรยุทธได้อีกหลังจากถูกเนรเทศมาที่นี่ แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงจะสามารถพัฒนาวรยุทธได้อีกมาก?


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ พูดได้เลยว่าหมอนั่นเทียบชั้นกับเขาในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดได้เลยทีเดียว


ไม่น่าเชื่อว่าเผ่าพันธุ์อสูรจะแข็งแกร่งทนทานถึงขนาดเพิ่มพละกำลังขึ้นได้เรื่อยๆแม้จะถูกเนรเทศมายังดินแดนห่างไกลทุรกันดารแบบนี้…


มันเกิดอะไรขึ้น?


ก่อนหน้านี้ อำมาตย์เฉินหย่งคิดว่ายังพอมีความเป็นไปได้ที่จะโน้มน้าวอีกฝ่ายให้มาเป็นพรรคพวกของเขาด้วยการยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจบางอย่าง แต่ด้วยพละกำลังของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงในตอนนี้ ดูเหมือนข้อเสนอของเขาคงไม่อาจดึงดูดใจอีกฝ่ายได้แล้ว


“คนที่อยู่ตรงนั้นคือนักปราชญ์โบราณโม่หลิงหรือเปล่า? ทำไมถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น? ผมเคยพบเขาเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนั้นเขายังไม่แข็งแกร่งเท่านี้เลย!” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งอุทานออกมา


ได้ยินเสียงนั้น อำมาตย์เฉินหย่งหันกลับไปมองอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง แค่มองเพียงแวบเดียว เขาก็เลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาเคยพบนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเช่นกัน และแน่นอนว่าอีกฝ่ายคือคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก โชคดีที่การยกระดับวรยุทธของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจึงไม่ได้เป็นภัยคุกคามกับเขามากนัก แต่ตอนนี้ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ระดับวรยุทธของหมอนั่นพุ่งพรวดจนถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้


หรือสวรรค์กำลังส่งสัญญาณบอกว่ายุคสมัยของเขาสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ?


“นายท่าน พวกเราสำนึกในบุญคุณอย่างมากสำหรับการชี้แนะอันแสนเป็นประโยชน์ของคุณ เราจะเผชิญหน้ากับอันตรายใดๆก็ตามพร้อมกับคุณโดยไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!”


ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงจะยังไม่รู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งกับพรรคพวกซ่อนตัวอยู่หลังเขา เขาประสานมือและโค้งคำนับอย่างงามไปยังถ้ำที่อยู่ตรงหน้า


หลังจากยอมรับเจ้านายคนใหม่แล้ว เขาก็ยังไม่รีบร้อนอพยพ แต่ใช้โอกาสนี้นำลาวาจากใต้ดินมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเองก่อน ด้วยการใช้เทคนิควรยุทธที่นายท่านของเขาถ่ายทอดให้ ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขายังรู้สึกว่าระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นอีกมากด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นจนสุดจะบรรยาย และความรู้สึกสำนึกในบุญคุณต่อนายท่านของเขาก็ล้ำลึกกว่าเดิม


“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก” ชายหนุ่มตอบอย่างสุขุมขณะเดินช้าๆออกจากถ้ำ


เมื่อเห็นร่างนั้น อำมาตย์เฉินหย่งถึงกับสะดุ้ง


เขาเคยคิดว่าผู้ที่ออกมาจะต้องเป็นอำมาตย์เฉินหลิง และเตรียมหาโอกาสคร่าชีวิตอีกฝ่ายแล้ว แต่เมื่อมองใกล้ๆ สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขาต้องอัศจรรย์ใจ


“นายน้อย…”


ร่างนั้นคือนายน้อยที่เดินทางไปเมืองหลวงเพื่อตามหาเลือดมังกร!


เขาไม่ได้ไปที่วังของอำมาตย์เฉินหลิงหรือ?


ทำไมถึงอยู่ที่นี่?


หรือว่านายท่านที่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพูดด้วยก่อนหน้านี้ก็คือเขา?


พูดอีกอย่างก็คือ นายน้อยทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนนได้แล้ว!


แม้จะเป็นถึงฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ไม่อาจทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า


ระหว่างที่กำลังประหลาดใจอยู่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆดังอยู่ไม่ไกลนัก


“ออกมาเถอะ ถ้าพวกคุณมาถึงแล้วน่ะ!”


แม้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอสูรตัวอื่นๆจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงอำนาจของแม่เหล็กที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ เขาจึงเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ไม่ช้าก็จับร่องรอยของอำมาตย์เฉินหย่งได้


ฟึ่บ!


เมื่อรู้ตัวว่าถูกพบแล้ว อำมาตย์เฉินหย่งบินตรงเข้าไปหาจางเซวียนโดยไม่ลังเล


“อำมาตย์เฉินหย่ง…” เมื่อเห็นศัตรูเก่า นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหรี่ตาอย่างโกรธขึ้ง เปลวไฟพุ่งออกจากร่างของเขา ดูเหมือนพร้อมจะเปลี่ยนทั้งสันเขาให้กลายเป็นขุมนรกได้ทันที


“หยุดก่อน!” จางเซวียนรีบยกมือขึ้นยับยั้งอีกฝ่าย


“ได้” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงไม่กล้ากระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งของนายท่าน แต่นั่นก็ไม่อาจยับยั้งความโกรธขึ้งที่แผดเผาส่วนลึกในหัวใจของเขา ขณะที่กำลังสงสัยว่านายท่านยับยั้งเขาไว้ทำไม ก็เห็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 ประสานมือพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงามและทักทาย “นายน้อย!”


“นายน้อย?”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถึงกับชะงัก เขาหันขวับไปมองนักปราชญ์โบราณโม่หลิง และเห็นอีกฝ่ายแทบไม่เชื่อสายตาเช่นกัน


ข้อเท็จจริงที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งเรียกขานชายหนุ่มว่า ‘นายน้อย’ ก็หมายความว่าเขาเป็นบริวารของชายหนุ่ม…ว่าแต่ มันเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?


อำมาตย์เฉินหย่งผู้ยิ่งใหญ่, ผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ยอมรับใช้เป็นบริวารของมนุษย์คนหนึ่ง…จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่!


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอดตั้งคำถามไม่ได้ “นายท่าน เขาเป็นบริวารของคุณหรือ?”


จางเซวียนพยักหน้ายิ้มๆ “อำมาตย์เฉินหย่งถือได้ว่าเป็นบริวารของผม อำมาตย์เฉินหย่ง,ผมเพิ่งรับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นอสูรของผม เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าคุณจะละวางความขัดแย้งใดๆก็ตามที่มีต่อเขาไปเสีย ตกลงไหม?”


แม้อำมาตย์เฉินหย่งจะตกใจไม่แพ้กัน แต่ก็พยักหน้ารับโดยอัตโนมัติก่อนจะหันไปมองนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “เราพบกันอีกแล้วนะ…”


ทั้งคู่จัดว่าเป็นสองผู้เชี่ยวชาญตัวฉกาจในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องสงครามระหว่างพวกเขา และสงครามครั้งนั้นก็ถือเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา


แต่แล้ว สำหรับคู่กรณีทั้งสอง…คนหนึ่งกลายเป็นบริวาร ขณะที่อีกตัวหนึ่งกลายเป็นอสูรผู้ยอมจำนน…


ที่น่าสะพรึงกว่านั้นก็คือพวกเขากำลังรับใช้ชายหนุ่มคนเดียวกันที่ชื่อจางเซวียน!


แค่คิดก็เหลวไหลสิ้นดีแล้ว!


“ได้…” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพยักหน้า


พูดกันตามตรง มันเคยคิดว่าคำกล่าวอ้างของชายหนุ่มที่สัญญาว่าจะนำพาเผ่าพันธุ์อสูรกลับสู่ดินแดนที่พวกมันมีสิทธิ์อย่างชอบธรรมเป็นแค่คำสัญญาลมๆแล้งๆ แต่เมื่อได้เห็นว่าแม้แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังเป็นบริวารของเขา ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มจริงจังกับเรื่องนี้


“อำมาตย์เฉินหย่ง ผมเพิ่งตอบตกลงที่จะช่วยนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้กลับสู่ดินแดนที่พวกเขาเคยพำนักอยู่ ผมจึงอยากให้คุณให้สัญญาว่าจะสร้างความร่วมมือกันระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรกับเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ คุณจะต้องไม่มองเผ่าพันธุ์อสูรเป็นคนนอกและขับไล่พวกเขาอีก!” จางเซวียนสั่งการ


“ผมจะทำตามคำสั่งของคุณ, นายน้อย” อำมาตย์เฉินหย่งรีบพยักหน้ารับ


ต่อให้เขาอยากปฏิเสธ เขาก็ไม่มีอำนาจพอที่จะทำแบบนั้น โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มมีนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นสมัครพรรคพวกแล้ว


ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายน้อยจะเข้าตาเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เขาเป็นบุคคลที่พิเศษจริงๆ!


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคือคู่ต่อสู้ที่เขาต้องรับมือด้วยอย่างระมัดระวังสุดๆ แต่ในชั่วพริบตา มันก็ถูกทำให้ยอมจำนนและเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย อำมาตย์เฉินหย่งอดอัศจรรย์ใจไม่ได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร


“ดีแล้วล่ะ! ตอนนี้เราก็มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงแล้ว ถึงเวลากลับเมืองหลวงและจบปาหี่ครั้งนี้เสียที!”


ยังคงมีบรรยากาศของความตึงเครียดระหว่างนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอำมาตย์เฉินหย่ง แต่เขารู้ดีว่าการจะคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งคู่คงต้องใช้เวลา จึงไม่อยากรีบร้อนเรื่องนั้น


ตอนนี้ พวกเขามีนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดเป็นสมัครพรรคพวกอยู่ 4 คน, รวมกับอำมาตย์เฉินหย่ง นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง หากพวกเขาได้ผนึกกำลังกันกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรและไอ้โหด ก็จะกลายเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดถึง 6 คน


ส่วนนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์นั้น พวกเขาหามาได้ทั้งหมด 4 คน


เมื่อรวมกันกับหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่จางเซวียนเพิ่งหลอมเมื่อไม่นานมานี้ สรรพกำลังของพวกเขาก็เหนือชั้นกว่าอำมาตย์เฉินหลิงแล้ว


ต่อให้อำมาตย์เฉินชิงต่อสู้เคียงข้างอำมาตย์เฉินหลิง จางเซวียนก็มั่นใจว่าพวกเขาจะคว้าชัยชนะ!


นี่หมายความว่าถึงเวลากลับสู่เมืองหลวงแล้ว เพื่อประกาศความจริงว่าอำมาตย์เฉินหย่งยังคงมีชีวิตอยู่ และในที่สุดก็กลับมา!


“ได้!”


ฝูงชนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


รู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหันกลับไปสั่งการ “พวกคุณ, รอผมอยู่ที่นี่นะ หลังจากที่เราปฏิบัติภารกิจที่เมืองหลวงแล้ว ผมจะกลับมาพาพวกคุณไปยังที่ที่เป็นของพวกคุณอย่างแท้จริง…”


ไม่มีทางที่เขาจะพาเหล่าอสูรกลับเมืองหลวงไปด้วยกันได้ เพราะมันอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรกับเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่อยากเห็น


ในเวลานี้ เป็นการดีที่สุดหากจะปล่อยเผ่าพันธุ์อสูรไว้ที่นี่ก่อน จนกว่าพวกเขาจะจับตัวการใหญ่คืออำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงและคืนอำนาจให้อำมาตย์เฉินหย่งได้ แล้วหลังจากนั้น ทุกอย่างก็จะง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!


ตอนที่ 1825 อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่ตาย?

ที่เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ มีห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยฉนวนทุกชนิดที่ปิดกั้นพื้นที่นั้นจากโลกภายนอก สกัดกั้นการรับรู้จิตวิญญาณของทุกคนไม่ให้ผ่านเข้าไปได้


ปัง!


เกิดเสียงตบโต๊ะดังสนั่น ชายวัยกลางคนที่มีคิ้วเข้มลุกพรวดและตะโกน “ไอ้สารเลวนั่น! นี่ไม่ต่างอะไรกับการยึดอำนาจเลย!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่หนุ่มกว่าตัวหนึ่งกวาดสายตามองฝูงชนและตวาดก้อง “สามอำมาตย์ใหญ่ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเคยเกื้อกูลกันเสมอมา แต่ไอ้สารเลวนั่นฝ่าฝืนกฎและร่วมมือกับมนุษย์เพื่อสังหารอำมาตย์เฉินหย่ง มันคือทรราชย์ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ! ในฐานะพลเมืองผู้มีศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ เราจะต้องผนึกกำลังกันเพื่อเอาชนะความไร้ยางอายครั้งนี้!”


ถ้าจางเซวียนอยู่ตรงนั้น ก็จะบอกได้ทันทีว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนี้คือลูกศิษย์ของเขาที่แทรกซึมเข้าไปในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…หลิวหยาง!


ในเวลานี้ เขาได้ตั้งกลุ่มก๊วนที่ชื่อว่า ‘นักรบประจัญบาน’ ขึ้นมาเพื่อต่อต้านอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิง


ราว 1 เดือนก่อน อำมาตย์เฉินหลิงกลับสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งถูกผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ลอบโจมตีและสังหาร และเพราะพยายามช่วยชีวิตอีกฝ่าย ทั้งตัวเขาและอำมาตย์เฉินชิงจึงลงเอยด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้


ในเวลานั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณต่างเชื่อถือคำพูดของเขา แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อ นักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มเข้าสู่อาณาจักรใต้ดิน ข่าวลือใหม่ก็แพร่สะพัดไปทั่ว ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วอำมาตย์เฉินหลิงได้รวมหัวกันกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพื่อกำจัดอำมาตย์เฉินหย่ง แล้วตัวเขาจะได้ยึดอำนาจ!


ตอนแรก ทุกคนคิดว่าข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วนั้นเป็นอุบายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่จะสร้างรอยร้าวในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เมื่ออำมาตย์เฉินหลิงเริ่มเข้ายึดครองกองกำลังของอำมาตย์เฉินหย่งและสังหารหมู่เหล่าแม่ทัพของอีกฝ่าย ทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


และเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน ผู้สืบทอดคนสำคัญของอำมาตย์เฉินหย่งก็ได้เรียกพวกเขามารวมตัวกัน เพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกอย่างปะติดปะต่อเข้ากันอย่างลงตัว และความจริงที่ปรากฏก็ทำให้พวกเขาโมโหเดือด


ก็เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่สามอำมาตย์ที่ทำให้เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณสร้างความหวาดกลัวต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์มาได้เนิ่นนานหลายปี แน่นอนว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้อยู่บนรากฐานของสมดุลแห่งอำนาจอันบอบบาง แต่มันก็เป็นฐานที่มั่นให้พวกเขามาหลายหมื่นปีแล้ว แต่จู่ๆ…1 ใน 3 อำมาตย์ก็ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อเล่นงานพรรคพวกของตัวเอง แม้จะเป็นในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่มีขื่อแป แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นการทรยศที่ให้อภัยไม่ได้!


“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงเป็นนักรบผู้ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง อยู่ในระดับต้นๆ ของบรรดานักปราชญ์โบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้พวกเรารู้ความชั่วร้ายของพวกเขาแล้ว แต่ก็จะทำอะไรได้? พวกเราไม่มีทางตอบโต้ได้เลย!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งส่ายหน้าและพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ


เขาเข้าใจความรู้สึกของทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน ทั้งคู่ก็ยังคงเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก เป็นคู่ต่อสู้ที่แม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งกลุ่มอย่างพวกเขาก็รับมือด้วยไม่ไหว


เหตุผลที่สถานภาพของสามอำมาตย์มั่นคงไม่คลอนแคลนตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งทางการเมืองและการสนับสนุนจากบรรดาสมัครพรรคพวกของเขาเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ เพราะพวกเขามีพละกำลังที่สามารถเอาชนะทุกๆการลุกฮือได้!


“ผมก็เข้าใจเรื่องนั้น แต่วางใจเถอะ ทุกอย่างยังไม่หมดหวัง ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าเขาจะต้องกลับมาเล่นงานพวกคนทรยศแน่ ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา แล้วจัดการควบคุมกลุ่มก๊วนต่างๆให้ได้เพื่อรักษาความมั่นคงเอาไว้ให้ได้เหมือนเดิม!” หลิวหยางพูด


“จริงด้วย เราอาจเข้าร่วมในสงครามระหว่างนักปราชญ์โบราณไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด การกระทำของพวกเราก็จะช่วยลดความสูญเสียของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้”


“ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องใช้ช่องโหว่ในการป้องกันตัวของพวกเรามาเล่นงานพวกเราแน่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณคงหมดไม่มีเหลือ!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2-3 ตัวพยักหน้ารับ


ความขัดแย้งระหว่างสามอำมาตย์บานปลายใหญ่โตเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ยังสามารถรวบรวมกองกำลังและพลเมืองเพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นให้ มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้


เมื่อเห็นว่าสามารถเอาชนะใจและได้รับการสนับสนุนแล้ว หลิวหยางถอนหายใจอย่างโล่งอก “ในเมื่อพวกเรามีความคิดเห็นแบบเดียวกัน ผมก็จะถือว่าเราได้สร้างความเป็นพันธมิตรต่อกันแล้ว ในฐานะพันธมิตร เราต้องการผู้นำกลุ่มที่ไว้วางใจได้เพื่อประสานงานในทุกการเคลื่อนไหวของพวกเรา เพราะหากต่างคนต่างเคลื่อนไหว วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็อาจเลวร้ายกว่าเดิม”


“ผมเห็นด้วย พวกเราต้องการผู้นำกลุ่มที่จะคอยนำพาพวกเราไป ในเมื่อพี่หยางเป็นผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่งและมีระดับวรยุทธสูงที่สุดในหมู่พวกเรา เขาก็ควรจะรับตำแหน่งผู้นำกลุ่ม!”


“คุณคือคนเดียวที่จะช่วยพวกเราตอบโต้และควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้”


…..


ฝูงชนพากันประสานมือ


นอกเหนือจากนักปราชญ์โบราณ ผู้ที่มีความสามารถในการโน้มน้าวและรวบรวมพวกเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ก็คือหลิวหยาง ถ้าไม่ใช่เพราะความโด่งดังของเขาในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ อำมาตย์เฉินหลิงคงสังหารเขาไปนานแล้ว แต่เป็นเพราะหลิวหยางเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกซึ่งยังพอควบคุมได้ และความตายของเขาอาจนำมาซึ่งปัญหา อำมาตย์เฉินหลิงจึงตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตเขา


แน่นอนว่าหลิวหยางคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม


“ในเมื่อทุกคนเสนอชื่อผม ผมก็จะขอน้อมรับตำแหน่งนี้ พูดก็พูดเถอะ มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากบอก และผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะยึดถือมันเอาไว้” หลิวหยางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็กำหมัดทาบไว้ที่หัวใจและพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมั่นคง “ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกอย่างก็เพื่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา!”


หลังจากเข้าสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น หลิวหยางก็ไม่อาจใช้ชื่อเดิมของเขา เขาจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘หยางหลิว’ และเป็นพี่หยางที่ใครๆต่างพูดถึง


ในเมื่อเขาไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เพียงแค่สลับชื่อแซ่


สิ่งที่หลิวหยางทำตอนนี้คือรวบรวมทุกคนที่อยู่ในเครือข่ายของเขา และพยายามสร้างกองกำลัง ขึ้นมาต่อต้านอำมาตย์เฉินหลิงกับคนอื่นๆ มันคือภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้เขาก่อนจะเข้าสู่วังของอำมาตย์เฉินหลิง


“ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกอย่างก็เพื่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆต่างลุกขึ้นยืนและปฏิญาณอย่างมุ่งมั่น


สมกับเป็นผู้สืบทอดที่ได้รับเลือกจากอำมาตย์เฉินหย่ง เขาคือบุคคลที่จะเป็นเสาหลักค้ำจุนเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้ในอนาคตอันใกล้!


“ในเมื่อเราทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันแล้ว ก็มาตกลงเรื่องภารกิจต่อไปกันเถอะ…” เมื่อเห็นว่าโน้มน้าวใจทุกคนได้แล้ว หลิวหยางกำลังจะพูดถึงภารกิจต่อไปของกลุ่ม ก็พอดีกับที่ตัวเขาเงียบไปอย่างปุบปับ


หลิวหยางย่นหน้าผากและสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


ตราหยกสื่อสารมาอยู่ในมือของเขา


แค่มองแวบเดียว หลิวหยางก็หรี่ตาอย่างดุร้าย


“พี่หยาง เกิดอะไรขึ้น?” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งถาม


หลิวหยางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเคร่งเครียด “อำมาตย์เฉินหลิงได้ยกแท่นบูชาที่ใจกลางเมืองหลวงขึ้นแล้ว และเขาก็ตระเวนจับกุมบรรดานักรบที่มีวรยุทธเหนือกว่าระดับเซียนขั้น 1 เพื่อมาเป็นเครื่องบูชายัญ ตามข่าวที่ผมได้รับมา มีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่าสามหมื่นคน…”


“สามหมื่นคน?”


“เจ้าสัตว์ร้ายนั่น…”


เมื่อได้ยินข่าว ฝูงชนอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาลุกพรวดด้วยแรงโทสะ


แม้เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณจะมีสติปัญญาและความปราดเปรื่องเหนือชั้น แต่จำนวนของผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนก็ยังคงมีจำกัด แต่อำมาตย์เฉินหลิงกำลังใช้ชีวิตของคนเหล่านั้นเป็นเครื่องบรรณาการ และสังหารไปถึงสามหมื่นคนในคราวเดียว…เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า?


“พี่หยาง เราควรทำอย่างไรดี?”


ทุกคนในห้องหันขวับมามองหลิวหยาง รอคอยที่จะเคลื่อนไหวเพราะหมดความอดทน


“เท่าที่ดูจากพฤติกรรมของเขาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าอำมาตย์เฉินหลิงตั้งใจจะมอบบรรณาการให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและการได้พละกำลังกลับคืนมา” หลิวหยางพูด


ฝูงชนพยักหน้ารับ


แม้จะไม่มีข่าวที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับสภาวะร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิงรั่วไหลออกมา แต่ข้อเท็จจริงที่เขาหายหน้าไปจากฝูงชนระยะหนึ่งแล้วก็พอจะบ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสภาวะร่างกายของเขาได้ ถ้าการจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บด้วยวิธีการแบบธรรมดามีความหวังเพียงริบหรี่ เดิมพันที่ดีที่สุดของเขาก็คือหันไปขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ


แต่การจะได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณนั้นต้องแลกด้วยเดิมพันมหาศาล ไม่เพียงแต่จะต้องใช้ของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนเป็นเครื่องบรรณาการ ยังต้องใช้เลือดสดๆบูชายัญด้วย


กฎเกณฑ์ของโลกบอกไว้ว่าไม่มีทางที่จะได้อะไรมาโดยไม่เสียบางอย่างไป ซึ่งเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!


การที่อำมาตย์เฉินหลิงไล่เข่นฆ่าผู้คนมากมายหลายหมื่น ก็หมายความว่าเขากำลังเตรียมพิธีกรรมครั้งใหญ่


“สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือรวบรวมกองกำลังและขัดขวางพิธีกรรมให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ที่ไม่อาจเยียวยาต่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของเรา!” หลิวหยางคำราม


“ได้!”


ฝูงชนพยักหน้ารับ


พวกเขาต้องยับยั้งอำมาตย์เฉินหลิงให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมแล้วก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าจะมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องถูกสังหารไปเพียงเพื่อให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น?


ครืนนนน!


ขณะที่หลิวหยางกำลังเตรียมการเพื่อขัดขวางพิธีกรรมของอำมาตย์เฉินหลิง พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ได้ยินเสียงเหมือนสายฟ้าฟาดดังอยู่ไกลๆ


หลิวหยางพรวดพราดออกจากห้องและมุ่งหน้าไปยังต้นเสียง ไม่ช้าเขาก็เห็นกระแสพลังงานขนาดใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่ใจกลางเมืองหลวง สถานที่ที่อำมาตย์เฉินหลิงกำลังเตรียมพิธีกรรมของเขา


ถ้าเกิดระเบิดขึ้นที่นั่น ก็หมายความว่าพิธีกรรมล้มเหลวหรือเปล่า?


“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวหยางหันไปถามองครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ


“องครักษ์อุทานเสียงสูงและตอบอย่างตื่นเต้น “อำมาตย์เฉินหย่ง…อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่ตาย…เขากลับมาแล้ว!”


ตอนที่ 1826 เมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจ

“อำมาตย์เฉินหย่งยังมีชีวิตอยู่?”


“เขากลับมาแล้วจริงๆหรือ?”


ฝูงชนที่ติดตามหลิวหยางไปอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ


พวกเขายังข้องใจเล็กน้อยตอนที่ฟังเรื่องเล่าของหลิวหยาง แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าขององครักษ์ ความสงสัยทั้งหมดก็หายวับไป


ดูเหมือนอำมาตย์เฉินหย่งจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือพูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่อำมาตย์เฉินหลิงบอกคนทั้งโลกนั้นเป็นเรื่องโกหก…ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อสังหารอำมาตย์คนหนึ่ง เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้!


“เร็วเข้า รีบไปกันเถอะ!” หลิวหยางร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกทั้งความโล่งอกและดีใจ


คนอื่นๆอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาได้พูดคุยกับอำมาตย์เฉินหย่งและท่านอาจารย์แล้ว จึงรู้ว่าทั้งคู่เตรียมการอะไรไว้


พวกเขาได้รวบรวมกลุ่มอำนาจทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ และการที่พวกเขามาอยู่ที่นี่ ก็แปลว่าสามารถรวบรวมกองกำลังที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานกลุ่มของอำมาตย์เฉินหลิงได้แล้ว การต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังจะเริ่มต้น!


ฟิ้วววว!


หลิวหยางกับสมาชิกในกลุ่มนักรบประจัญบานรีบบินตรงไปยังใจกลางเมืองหลวง


ไม่ช้าก็ถึงที่หมาย บริเวณที่พิธีกรรมถูกจัดเตรียมไว้มีแท่นสูงตระหง่านที่พุ่งตรงขึ้นสู่หมู่เมฆ ขั้นบันไดที่เวียนรอบแท่นนั้นเปรอะเลือดสดๆอย่างน่าสยดสยอง


ธงมากมายที่ปักอยู่บนขั้นบันไดโบกสะบัดอย่างโกรธเกรี้ยว หมู่เมฆดำดูเหมือนจะปกคลุมทั่วท้องฟ้า พายุทอร์นาโดก่อตัวขึ้นที่ใจกลางแท่น ดึงดูดพลังงานนับไม่ถ้วนเข้าสู่ศูนย์กลางของมัน


ในตอนนั้น อำมาตย์เฉินหลิงกำลังลอยตัวอยู่เหนือแท่น ปล่อยให้กระแสบรรยากาศพลุ่งพล่านหมุนติ้วรอบตัวเขา


ด้านล่างแท่นคือเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมาย ราวกับพวกมันสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว ทุกตัวคุกเข่าลงและนิ่งจังงังอยู่ตรงหน้าแท่น ไม่สะทกสะท้านกับกระแสลมเกรี้ยวกราดที่พุ่งเข้าใส่ รวมแล้วก็ตกราวหลายหมื่นตัว เห็นได้ชัดว่าพวกมันคือเครื่องบรรณาการ


ที่วางอยู่บนขั้นบันไดถัดไปจากนั้นหลายขั้นคือของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งสมุนไพรและสินแร่ จางเซวียนจดจำข้าวของบางส่วนได้เพราะเขาเคยประเมินมันเมื่อตอนที่สวมรอยเป็นอู๋เทาที่วังของอำมาตย์เฉินหลิง


ที่ยืนประจันหน้ากับอำมาตย์เฉินหลิงคืออำมาตย์เฉินหย่ง เขามองพื้นที่เกลื่อนไปด้วยซากศพและเลือดสดๆด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว


“อำมาตย์เฉินหลิง คุณรวมหัวกับมนุษย์เพื่อสังหารผม นั่นคือความกระด้างกระเดื่อง! คุณเลือกที่จะสังหารเผ่าพันธุ์ของเรามากมายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของคุณเอง นั่นคือความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ! คนโหดเหี้ยมอย่างคุณไม่สมควรมีชีวิตอยู่ วันนี้แหละจะเป็นวันตายของคุณ!”


เขารู้ว่าอำมาตย์เฉินหลิงสนอกสนใจแต่ตัวเอง แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรที่เหลวไหล และย่ำแย่ขนาดนี้?


การที่อำมาตย์เฉินหลิงจะร่วมมือกับมนุษย์เพื่อสังหารเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับจับคนของตัวเอง เป็นแสนคนเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องบรรณาการ…คงไม่มีกระดาษเยื่อไผ่ที่ไหนที่ใหญ่พอจะบันทึกรายละเอียดของความชั่วร้ายของเขาไว้ได้ทั้งหมดแน่!


“คุณจะฆ่าผมหรือ?” อำมาตย์เฉินหลิงคำราม นัยน์ตาฉายแววเยาะเย้ย


ถ้าเป็นอำมาตย์เฉินหย่งในอดีต เขาอาจจะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายก็ใกล้ตายเต็มที แค่จะรักษาชีวิตเอาไว้ก็ยากเอาการแล้ว ถึงขนาดนี้…ยังมีหน้าจะอยากฆ่าเขาอีก ฝันไปเถอะ!


“แล้วถ้าพวกเราที่เหลือล่ะ?”


ฟิ้ววววว!


ลมหอบใหญ่พัดมา หลายร่างปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ พวกเขาคือนักปราชญ์โบราณโม่หลิง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง และคนอื่นๆ


“โม่หลิง คุณมันไอ้กระจอกชั่วร้าย…” อำมาตย์เฉินหลิงหรี่ตา “อำมาตย์เฉินหย่ง คุณอยากร่วมมือกับคนแบบเขาจริงๆหรือ? คงไม่รู้สินะว่าเขามีบทบาทแค่ไหนในการทำให้คุณตกอยู่ในสภาพนี้!”


ถ้าไม่ใช่เพราะนักปราชญ์โบราณโม่หลิงร่วมมือกันกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ก็คงไม่มีทางที่อำมาตย์เฉินหลิงซึ่งมีประสิทธิภาพการต่อสู้จำกัดจะยื่นมือไปแตะต้องอำมาตย์เฉินหย่งได้


“คุณคิดหรือว่าข่าวนี้จะทำให้ผมรู้สึกอะไร?” อำมาตย์เฉินหย่งคำราม


แน่นอนว่าเขาจงเกลียดจงชังนักปราชญ์โบราณโม่หลิงที่ตลบหลังเขาและร่วมมือวางแผนลอบสังหาร แต่ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจน ศัตรูตัวฉกาจที่เขาอยากสังหารให้ได้เดี๋ยวนี้คืออำมาตย์เฉินหลิง และนักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็คือผู้ที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ


คงโง่เง่าเต็มทีหากจะคิดร้ายกับใครสักคนที่เป็นพันธมิตรของเขาในเวลานี้


“ไม่ทำให้คุณรู้สึกอะไร?” อำมาตย์เฉินหลิงหัวเราะลั่น “คุณพังแน่ อำมาตย์เฉินหย่ง!”


เขาหันไปมองอสูรตัวมหึมาที่ยืนอยู่ข้างนักปราชญ์โบราณโม่หลิง สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง, อำมาตย์เฉินหย่งคือผู้เนรเทศคุณกับคนของคุณออกจากถิ่นฐานบ้านเกิดนะ ผมเชื่อว่าคุณน่าจะมีเรื่องที่ต้องสะสางกับเขา ศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองของคุณยอมให้คุณลดตัวลงมาร่วมมือกับศัตรูด้วยหรือ? ขอแค่คุณช่วยผม ไม่เพียงแต่ผมจะรักษาสันติภาพกับเผ่าพันธุ์อสูรของคุณไว้ตราบเท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยังจะมอบถิ่นฐานบ้านเกิดกลับคืนให้พวกคุณ และชดเชยสิ่งที่เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราเคยทำผิดพลาดไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย!”


ถ้ามีแค่นักปราชญ์โบราณโม่หลิง เขายังแน่ใจว่าจะเอาชนะได้ แต่ถ้าคู่ต่อสู้ของเขารวมถึงนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงด้วย ทุกอย่างก็จะยากขึ้นอีกมาก


ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าตัวเขาเสียอีก ตัวเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้เป็นที่สองรองจากอำมาตย์เฉินหย่ง หากต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงในสภาพนี้ โอกาสที่เขาจะต้องจบชีวิตก็มีสูง


“อย่างที่ผมเคยบอกคุณนั่นแหละ พวกเราเผ่าพันธุ์อสูรมีศักดิ์ศรีที่ต้องรักษาไว้ ถ้าผมอยากร่วมมือกับคุณ ผมคงยอมตกลงเป็นพันธมิตรกับคุณไปนานแล้ว!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงโบกกรงเล็บอย่างไม่แยแส


อันที่จริง ก่อนที่อำมาตย์เฉินหย่งจะมาตามหาเขา อำมาตย์เฉินหลิงเคยมาขอพบเขาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกไล่กลับไป


ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหลิงหรี่ตา


เขาเคยคิดว่าด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของอำมาตย์เฉินหย่ง อีกฝ่ายคงทำได้แค่รวบรวมกองกำลังง่อยๆมาตอบโต้เขา นึกไม่ถึงเลยว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะทรยศเขาอย่างเปิดเผย แถมนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็ยอมจำนนให้อีกฝ่ายด้วย…


อำมาตย์เฉินหย่งทำได้อย่างไร?


“อำมาตย์เฉินหย่ง ผมยอมรับว่าคุณน่ะมีไม้เด็ดซ่อนอยู่เยอะ คุณเก่งกาจกว่าที่ผมคิดไว้มาก แต่ถ้าคุณคิดว่าจะฆ่าผมได้ง่ายๆล่ะก็ ขอบอกเลยว่าคุณประเมินผมต่ำไป!”


รู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ อำมาตย์เฉินหลิงระบายลมหายใจยาวก่อนจะยืดตัวขึ้นและวางท่า “พวกคุณออกมาได้แล้ว!”


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา นักปราชญ์โบราณมากมายที่จางเซวียนเคยพบที่วังของอำมาตย์เฉินหลิงก็มารวมตัวกันและตั้งแถวอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาแผ่รังสีอันทรงพลังอย่างน่าทึ่งที่สั่นสะเทือนได้แม้แต่ชั้นบรรยากาศ


“มีบางอย่างไม่ธรรมดา…”


เมื่อมองดูนักปราชญ์โบราณเหล่านั้น อำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงสบตากันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


เหตุผลที่นักปราชญ์โบราณเหล่านั้นยอมช่วยอำมาตย์เฉินหลิงในอดีตก็เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของผลประโยชน์นั้นไม่น่าจะคงทนยาวนานนัก


แต่ในเวลานี้ พวกเขากลับอารักขาพื้นที่อย่างเหนียวแน่น ดูยินยอมพร้อมใจที่จะมอบให้แม้แต่ชีวิตเพื่อปกป้องอำมาตย์เฉินหลิง


คนพวกนี้จงรักภักดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


“เขาต้องใช้เล่ห์กลบางอย่างควบคุมคนพวกนั้นแน่” จางเซวียนขมวดคิ้วพร้อมกับตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งเครียด


ด้วยความเข้าใจอันล้ำลึกของเขาที่มีต่อศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ เขาดูออกว่าแม้นักปราชญ์โบราณกลุ่มนี้จะยังคงมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง แต่สติสัมปชัญญะของพวกเขาถูกใครคนหนึ่งนำไปแล้ว ทุกคนดูไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอก


ถ้าเป็นแค่ความสัมพันธ์แบบพันธมิตรที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน พวกเขาก็สามารถยกเลิก ความสัมพันธ์ได้ด้วยการสละผลประโยชน์ แต่สิ่งเดียวที่หุ่นกระบอกทำได้คือทำตามคำสั่ง ดูเหมือนพวกเขาจะเผชิญปัญหาอยู่สักหน่อยในการจะเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิง


เป็นไปได้ว่าคงเป็นการต่อสู้ที่ไม่สวยงามนัก!


“เขาใช้จิตวิญญาณของเขาควบคุมนักปราชญ์โบราณพวกนั้นให้เป็นเหมือนหุ่นกระบอก? นะ-นี่…เป็นไปได้อย่างไร?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น


เขาใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาเรื่องจิตวิญญาณ และความเข้าใจของเขาต่อเรื่องนี้ก็อยู่ในระดับที่ลึกซึ้งอย่างน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่อาจโน้มน้าวเจตจำนงของนักปราชญ์โบราณได้


แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังควบคุมนักปราชญ์โบราณมากมายซึ่งไม่ได้มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าเขาเลย มันเป็นภาพที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแทบไม่อยากเชื่อ แม้จะเห็นกับตาตัวเอง


อำมาตย์เฉินหย่งพลันนึกอะไรได้ เขาตัวแข็งทื่อ “มันคือเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจ”


จางเซวียนกับคนอื่นๆมีสีหน้างุนงง “เมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจ?”


ดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจจะเป็นสิ่งที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และคนอื่นๆไม่ได้นึกถึง


“มันคือของล้ำค่าที่ผู้แทนอมตะคนหนึ่งทิ้งไว้ สิ่งนี้จะถูกฝังเข้าไปในร่างของใครคนหนึ่ง และเมื่อมันถูกเปิดใช้งาน ผู้นั้นจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ที่ฝังเมล็ดพันธุ์ลงไปโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจระเบิด เขาก็จะตายโดยไม่มีข้อยกเว้น” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย


“ผู้แทนอมตะ?”


“ในครั้งนั้น ตอนที่ท่านปู่ของผมถูกปรมาจารย์ขงสังหารในสงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง คนของผมอยู่ใน สภาพที่อ่อนแอมาก เสี่ยงต่อการถูกกำจัดได้ทุกเวลา เมื่อจนมุม พวกเขาจึงเริ่มวิงวอนสวรรค์ หลังจากยื่นข้อเสนออันสูงส่งล้ำค่า พวกเขาก็เรียกผู้แทนอมตะคนหนึ่งจากโลกเบื้องบนลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ เพื่อควบคุมสถานการณ์ ผู้แทนอมตะได้ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจเข้าไปในร่างของนักปราชญ์โบราณทุกคน ท่านพ่อของผมก็มีเมล็ดพันธุ์นี้อยู่ในร่างของเขาเช่นกัน!” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย


“แต่ในท้ายที่สุด ผู้แทนอมตะก็ถูกปรมาจารย์ขงกำจัด และอานุภาพของเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจก็เสื่อมสลายไป ทำให้ทุกคนรอดพ้นจากหายนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณทั้งเผ่าจะต้องไม่เหลือซากแน่!”


ตอนที่ 1827 ผู้แทนอมตะ

“ถูกปรมาจารย์ขงกำจัด?” จางเซวียนรู้สึกราวกับกำลังฟังเทพนิยายเพ้อฝัน


สามารถฝังบางสิ่งไว้ในร่างของท่านพ่อของอำมาตย์เฉินหย่งได้…ความแข็งแกร่งของผู้แทนอมตะคนนั้นจะต้องเหนือกว่าแม้แต่นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แล้วถ้าปรมาจารย์ขงจับตัวผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้ ตัวเขาจะต้องทรงพลังแค่ไหน?


ไม่น่าแปลกใจที่ปรมาจารย์โขงสร้างความหวาดกลัวอย่างล้ำลึกให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจนพวกมันไม่กล้าเคลื่อนไหวอยู่หลายหมื่นปี ด้วยพละกำลังของเขา ไม่มีใครกล้าต่อต้าน


“ต่อให้พวกนั้นถูกควบคุม ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ก็คงเอาชนะได้ เพียงแต่…” อำมาตย์เฉินหย่งขมวดคิ้วอย่างกังวล


“คุณกำลังกังวลเรื่องต้นกำเนิดของเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


เมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจมาพร้อมกับผู้แทนอมตะ ซึ่งมันควรจะหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ไม่ควรจะมีอยู่ที่ไหนอีกแม้แต่ภายใต้การควบคุมของสามอำมาตย์ แต่อำมาตย์เฉินหลิงกลับนำมันออกมาได้ และใช้มันอย่างได้ผลด้วย…เขาได้มันมาจากไหน?


สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?


“ใช่ การปรากฏของเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจย่อมหมายความว่าเจตจำนงของผู้แทนอมตะยังคงอยู่ และนั่นคือนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ที่มีความสามารถในการทำลายล้างมิติและยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าได้โดยไม่เป็นอันตราย ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงได้รับความช่วยเหลือจากคนระดับนั้นจริง เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ต่อให้มีสมัครพรรคพวกมากมายแค่ไหนก็ตาม!” อำมาตย์เฉินหย่งพูด


มันอาจเป็นความแตกต่างเพียงขั้นเดียวระหว่างนักปราชญ์โบราณขั้น 4 กับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 แต่ในแง่ของความเก่งกาจนั้นห่างกันหลายเท่า


ผู้หนึ่งสามารถทำลายล้างมิติและเข้าสู่มิติที่สูงกว่าได้ ในขณะที่คนอื่นๆยังต้องย่ำอยู่ที่เดิมไปชั่วชีวิต ลำพังแค่สิ่งนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพละกำลังของพวกเขาห่างชั้นกันมาก


ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ปรากฏนักปราชญ์โบราณขึ้นในเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มากเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังคงมีนักปราชญ์โบราณอยู่หลายพันคน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็มีพละกำลังเทียบเท่ากับเขา คือเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก ส่วนผู้ที่สำเร็จวรยุทธนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ก็มีแต่ปรมาจารย์ขงกับไอ้โหดเท่านั้น


ส่วนคนอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างหนักหน่วงแค่ไหน ก็ไม่อาจก้าวข้ามด่านคอขวดด่านสุดท้ายไปได้


ถ้าในตอนนี้มีผู้แทนอมตะสักคนหนึ่งปรากฏตัว อย่าว่าแต่จะแก้แค้นเลย พวกเขาน่าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่กันหมด!


ด้วยวรยุทธระดับนี้ ต่อให้กองกำลังมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจอุดช่องว่างในความเหลื่อมล้ำของพละกำลังได้


“ใจเย็นก่อน! โลกของเราน่ะมีกฎเกณฑ์ของมัน ผู้แทนอมตะไม่อาจลงมาสู่โลกของเราได้ง่ายดายขนาดนั้น ขอแค่เราเคลื่อนไหวให้รวดเร็วพอและเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิงเสีย ก็ไม่น่ามีอะไรที่ต้องกังวล!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำราม


เขาเองก็หวาดกลัวผู้แทนอมตะเช่นกัน แต่…หมอนั่นก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวนี่ ใช่ไหม?


ไม่มีความจำเป็นจะต้องกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงตาย ใครกันที่จะเล่นงานพวกเขาได้?


“คุณพูดถูก!” อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


เขายกมือขึ้นและกำลังจะสั่งการทุกคนให้เปิดการโจมตีพร้อมๆกัน ก็พอดีกับที่อำมาตย์เฉินหลิงหันขวับมาพร้อมกับส่งยิ้มให้


เขาดูออกว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายกำลังหารือกันถึงเรื่องอะไรบางอย่าง แต่เลือกที่จะปล่อยไป ไม่เข้าไปขัดขวาง นั่นเป็นเพราะเขามั่นใจในชัยชนะ และมันก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งที่จะฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวลงในหัวใจของอีกฝ่าย


“อำมาตย์เฉินหย่ง คุณรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้?” อำมาตย์เฉินหลิงตั้งคำถาม


คำนั้นทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผากของอำมาตย์เฉินหย่งทันที


“ง่ายนิดเดียว เรื่องจริงก็คือคุณไม่โหดเหี้ยมเท่าผม ผมยอมรับว่าผมอ่อนด้อยกว่าคุณในแง่ของพละกำลังและความเฉลียวฉลาด แต่สำหรับความโหดเหี้ยมน่ะผมเหนือชั้นกว่าคุณมาก ผมสามารถสังเวยชีวิตคนของเรามากมายนับไม่ถ้วนเพื่อให้ผมฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ผมพร้อมจะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อให้คุณถูกสังหาร อันที่จริง ผมพร้อมจะมอบทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ เพื่อรับใช้ผู้อื่น เพียงเพื่อให้คุณถึงแก่ความตาย! คุณไม่มีความเด็ดเดี่ยวอย่างที่ผมมี และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงทำอะไรที่สำคัญๆไม่สำเร็จสักอย่างในยุคสมัยของคุณ!” อำมาตย์เฉินหลิงเยาะเย้ย


“มอบทั้งชีวิตและจิตวิญญาณของคุณ? คุณหมายความว่าอย่างไร?” อำมาตย์เฉินหย่งเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


เขาจับความผิดปกติในคำพูดของอำมาตย์เฉินหลิงได้ทันที สำหรับ 2 เรื่องก่อนหน้านี้คือการร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์และการใช้ชีวิตผู้คนมากมายเป็นเครื่องบูชายัญนั้น เขาเข้าใจ แต่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องที่อำมาตย์เฉินหลิงมอบชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อรับใช้คนอื่นมาก่อน!


นั่นหมายความว่าอย่างไร?


“เรื่องนั้นไม่ใช่กงการของคุณ ทั้งหมดที่คุณต้องรู้ก็คือ วีรบุรุษทุกคนน่ะมีความโหดเหี้ยมอยู่ในตัวทั้งนั้น ถ้ามัวแต่สนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คุณขาดความโหดเหี้ยม และนั่นคือเหตุผลที่การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องจบลงด้วยการที่ผมได้ชัยชนะ!” อำมาตย์เฉินหลิงหัวเราะลั่นก่อนจะโบกมืออย่างวางมาด “ฆ่าพวกมันให้หมด!”


“ได้!”


ฟิ้วววว!


เมื่อได้ยินคำสั่ง นักปราชญ์โบราณทุกคนพุ่งเข้าใส่เพื่อโจมตีจางเซวียนกับคนอื่นๆทันที


ในเวลาเดียวกัน อำมาตย์เฉินหลิงก็กดนิ้วลงไป พละกำลังมหาศาลพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา ในตอนนั้นมันให้ความรู้สึกราวกับว่าโลกเดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายของมัน


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ศีรษะของบรรดานักรบที่คุกเข่าอยู่รอบแท่นระเบิดเละไม่เหลือชิ้นดี เลือดสดๆกระจัดกระจายไปทั่วก่อนจะหยดลงบนขั้นบันได เพียงเท่านี้ ขั้นบันไดก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงก่ำเป็นหย่อมๆ


“คุณ…”


นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโหดเหี้ยมถึงขนาดสังหารคนของตัวเองมากมายขนาดนี้ อำมาตย์เฉินหย่งแทบเสียสติ นัยน์ตาของเขาแดงก่ำด้วยโทสะขณะพุ่งเข้าใส่อำมาตย์เฉินหลิง อยากจะฉีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆ


ถึงเขาจะยังบาดเจ็บสาหัส แต่ในตอนนั้นก็ไม่ใส่ใจแล้ว


อำมาตย์เฉินหย่งมีความคิดเดียวอยู่ในหัวใจ -ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงไม่ตายวันนี้ เขาก็จะลากหมอนี่ลงนรกไปกับเขาด้วย!


ไม่อย่างนั้น เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณก็มีแต่จะตกต่ำลงไปเรื่อยๆภายใต้การนำของอีกฝ่าย และอาจลงท้ายด้วยการถูกทำลายล้างจนสิ้นซาก


“คู่ต่อสู้ของคุณน่ะคือผม!”


ฟึ่บ!


แต่ยังไม่ทันที่อำมาตย์เฉินหย่งจะทันได้เคลื่อนไหว นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายกวัดแกว่งอาวุธเข้าใส่ใบหน้าของอำมาตย์เฉินหย่ง


เขาคือหนึ่งในนักปราชญ์โบราณที่ถูกเมล็ดพันธุ์แห่งการยินยอมพร้อมใจควบคุมไว้


แม้นักปราชญ์โบราณคนนี้จะเป็นเพียงนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่ด้วยสภาวะร่างกายที่อ่อนแอของอำมาตย์เฉินหย่ง ต่อให้เขาสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ก็คงยากที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้


อาวุธกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศ เกิดเป็นภาพติดตาเหมือนกับม่านที่ถูกดึงขึ้น พละกำลังที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของอาวุธนั้นทำให้คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติลามไปจนถึงอำมาตย์เฉินหย่ง กักขังเขาไว้ให้อยู่กับที่


ด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละของนักปราชญ์โบราณ อำมาตย์เฉินหย่งหน้าซีดลงเรื่อยๆ แม้แต่ลมหายใจก็ดูจะแผ่วเบาไป


หากเป็นในอดีต เขาคงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว แต่ทั้งหมดที่เขาทำได้ในเวลานี้คือหลบเลี่ยงการโจมตี ทำให้ต้องตามน้ำไป


เพียงแค่คิดว่าตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรงแค่ไหน ก็ทำให้เขาอกคับใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว


“ฝ่าบาท พวกเรามาช่วยคุณ!”


ในตอนนั้นเอง เสียงตวาดก้องก็ดังขึ้นจากด้านล่าง เมื่อมองลงไป อำมาตย์เฉินหย่งเห็นหลิวหยางกับพรรคพวกมาถึงพร้อมกับกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน


บึ้มมมม!


เมื่อรวมพละกำลังของพวกเขาเข้าด้วยกัน พละกำลังนั้นก็พุ่งสูงขึ้นสู่กลางอากาศ แล้วตรงเข้าเล่นงานอาวุธของนักปราชญ์โบราณ ทำให้มันหักเป็น 2 ท่อน


มีความเหลื่อมล้ำอยู่มากระหว่างพละกำลังของนักปราชญ์โบราณกับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันได้ แน่นอนว่ามันย่อมเป็นการสังหารฝ่ายเดียว


แต่เพราะหลิวหยางกับพรรคพวกใช้พละกำลังนับหมื่นของพวกเขารวมตัวกันในรูปแบบของค่ายกลผนึกกำลัง ทำให้ปล่อยพลังออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถรับมือได้แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


หากสามารถใช้พละกำลังของคนหมู่มากได้อย่างถูกวิธี แม้แต่กองทัพมดก็ยังสามารถกัดช้างตัวหนึ่งให้ถึงตายได้ กองทัพที่ได้รับการจัดระเบียบอย่างดีก็สามารถสร้างความหวาดกลัวได้แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


แต่แน่นอนว่าพละกำลังที่ผ่านค่ายกลผนึกกำลังนั้นมีขีดจำกัด ทันทีที่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดมีเวลามากพอที่จะหลบเลี่ยง ในที่สุดพวกเขาก็จะพบช่องโหว่ของค่ายกลผนึกกำลังและเล่นงานทั้งกองทัพให้พ่ายแพ้ได้


“พวกคุณรนหาที่ตายแล้ว!”


เห็นอาวุธของเขาถูกนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักรบระดับเซียนกลุ่มหนึ่งทำลาย นักปราชญ์โบราณผู้นั้นหรี่ตาด้วยความโมโห เขาคำรามกึกก้อง จากนั้นก็เงื้อฝ่ามือขึ้นและปล่อยพลังเข้าใส่หลิวหยางกับคนอื่นๆ


ทันทีที่การโจมตีเข้าถึงเป้าหมาย ก็แน่นอนว่าหลิวหยางกับพรรคพวกจะต้องจบเห่แน่!


“ฮึ่มมม!”


แต่ขณะที่การโจมตีกำลังจะถึงตัวหลิวหยาง เสียงคำรามก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้น หอกเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากที่ไหนสักแห่ง


ฉึกกก!


ปลายหอกปักเข้าที่มือของนักปราชญ์โบราณผู้นั้น ทำให้เลือดสดๆของเขาไหลออกมา


จากนั้น ขณะที่นักปราชญ์โบราณคิดว่าผู้ที่โจมตีเขาอย่างปุบปับคงจะดำเนินการโจมตีอย่างต่อเนื่องและสังหารเขา ก็กลับเห็นอีกฝ่ายนำขวดหยกออกมาแล้วค่อยๆบรรจุเลือดที่เขาเก็บได้อย่างระมัดระวัง


สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกความตื่นเต้นขณะเก็บหยดเลือดของเขา แววตาดูทุ่มเทสุดๆ


“….” นักปราชญ์โบราณ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)