ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 182-185

 ตอนที่ 182 ปล้นเรือนจำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอชายวัยกลางคนเห็นรอยแหว่งบนประตู สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็รีบส่ายหน้าแล้วพูดกับตนเองอย่างรวดเร็ว


“เดิมทีคิดว่าผู้ตรวจการเฉินไม่มีใครอยู่เบื้องหลังแล้ว เคราะห์ครั้งนี้คงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ดูท่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น อาฝู ปิดประตูให้ดี ครึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะไม่ต้อนรับแขก”


“ทราบ! นายท่าน!” ข้ารับใช้ก้มหน้าตอบรับกลับไป


ชายวัยกลางคนเดินจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด


……


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวหน้าร้านขายข้าวสารท้ายถนนแห่งหนึ่ง หลังจากที่แหงนหน้ามองป้ายร้านค้าและมองสีของทองฟ้าแล้ว ก็เดินเข้าไปโดยไม่ลังเล


พอเขาเดินออกมาแล้ว ก็รีบเดินไปยังตำแหน่งบ้านเช่าตระกูลเฉินตามที่สอบถามมาได้


ผ่านไปไม่นาน เขาก็เดินมาถึงบ้านทรุดโทรมที่ค่อนข้างลับตาคนแห่งหนึ่ง และเดินเข้าไปเคาะประตูเก่าๆ อย่างไม่เกรงใจ


ไม่นานประตูก็เปิดออกจากด้านใน ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาเดินออกมา


“ท่านมาหาใคร?” พอชายชราเห็นว่าไม่รู้จักหลิ่วหมิง ก็ถามออกไปอย่างระแวดระวัง


“ครอบครัวของผู้ตรวจการเฉินอยู่ข้างในไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ผู้ตรวจการเฉิน ผู้ตรวจการหลี่อะไรกัน เจ้ามาผิดที่แล้ว ข้าไม่รู้จัก?” พอชายชราได้ยินสีหน้าก็ดูอึมครึม และปิดประตูไล่แขกอย่างไม่ลังเล


แต่คนระดับหลิ่วหมิง เพียงแค่เคลื่อนไหวทีเดียวก็ใช้ร่างต้านทานการกระทำของชายชราไว้ได้


ชายชราเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขาขยับแขนในทันที และปล่อยหมัดใส่ไหล่ของหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง ฟังจากเสียงหมัดที่ดัง “ฟู่ๆ!” แล้ว คงมีพลังไม่น้อย


แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่คิดหลบหลีกหมัดของชายชราแต่อย่างใด


หลังจากมีเสียงดังออกมา ผู้อาวุโสก็รู้สึกถึงหมัดที่สั่นสะเทือนในทันที พลังมหาศาลทะลักออกมาจากร่างของบัณฑิตหนุ่มตรงหน้า ทำให้ร่างของชายชราสั่นสะท้านจนต้องถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว


หลิ่วหมิงอาศัยช่วงจังหวะนี้เดินเข้าไปในบ้าน หลังจากกวาดสายตามองดูแล้ว ก็พบกับหญิงวัยกลางคนใบหน้างดงามนางหนึ่ง กำลังยืนโอบกอดเด็กชายอายุห้าหกขวบอยู่ที่มุมห้อง และมองมาที่เขาด้วยความตกใจ


ดูท่านางจะเป็นฮูหยินเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย


หลิ่วหมิงคิดอย่างรวดเร็ว


“เจ้าสารเลว ไปตายซะ!” หลังจากที่ชายชราตั้งหลักได้แล้ว และมองเห็นการกระทำของหลิ่วหมิง เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความโมโห ทันใดนั้นก็หยิบเอากระบองเหล็กสีดำที่วางอยู่ด้านข้างมาไว้ในมือ และพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต


“ช้าก่อนลุงหลิน! รอดูว่าเขาพูดอะไรออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ขณะนั้นหญิงใบหน้างดงามก็พลันเอ่ยปากออกมา


พอชายชราได้เย็นเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะชะงักฝีเท้าลงด้วยความโกรธแค้น แต่ยังคงถือกระบองเหล็กยืนขวางอยู่หน้าฮูหยินเฉิน


หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และหยิบคทาหยกมงคลสีเขียวมรกตออกมาให้ฮูหยินเฉินดู


“นี่คือ……ลุงหลิน ท่านรีบนำของสิ่งนี้มาให้ข้าดูอย่างละเอียดที” พอฮูหยินเฉินเห็นคทาหยกมงคลก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที และรีบพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


พอชายชราได้ยิน ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ยังคงรับคทาหยกจากหลิ่วหมิง มาส่งให้ฮูหยินเฉิน


ฮูหยินเฉินพลิกหยกไปมาสองสามรอบ แล้วหยิบคทาหยกมงคลสีเขียวมรกตอีกอันออกมาจากแขนเสื้อ และนำมันวางเทียบกัน ขนาดและรูปร่างของมันเหมือนกันไม่มีผิด


“ข้าน้อยขอคำนับท่านเซียน หวังว่าท่านเซียนจะช่วยสามีของข้าน้อยได้ ลูกรัก เจ้ารีบคำนับท่านเซียนเร็ว” ฮูหยินเฉินไม่สงสัยอะไรอีก นางดึงเด็กชายตรงหน้าคุกเข่าลงพื้น เพื่อคำนับหลิ่วหมิงในฉับพลัน


ทีแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ส่ายหน้าและโบกแขนเสื้อออกไปในทันที ทันใดนั้นพลังไร้รูปบางอย่างก็ทะลักออกมา ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวอย่างราบเรียบ


“ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนเถอะ! ข้าไม่ใช่ท่านเซียนอะไรทั้งนั้น ที่มาครั้งนี้เพราะถูกคนไหว้วานมา ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ ข้าย่อมช่วยอย่างเต็มที่ พวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายเฉียนก็พอ”


“รับทราบ คุณชายเฉียน!” ฮูหยินเฉินรู้สึกแค่ว่ามีพลังบางอย่างประคองร่างไว้ ทำให้นางไม่สามารถคำนับได้ ภายใต้ความตกใจระคนดีใจ นางตอบกลับหลิ่วหมิงด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม จากนั้นถึงได้ดึงเด็กชายลุกขึ้นมา


ลุงหลินที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ถึงได้รู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู เขารีบโยนกระบองทิ้งไป และยืนหน้าเหยเกอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี


“ในเมื่อของยืนยันเป็นของจริง ฮูหยินเฉินคงจะไม่สงสัยสถานะของข้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าผู้ตรวจการเฉินพูดถึงข้าได้อย่างไร” เมื่อหลิ่วหมิงรับรู้ได้ว่าลุงหลินปิดประตูแล้ว ถึงได้กล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน


“ก่อนสามีข้าจะถูกคุมขัง ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมอบคทาหยกมงคลนี้ให้ข้าก่อน เขาบอกว่าถ้าเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาจริงๆ ท่านเซียนเหลยที่รู้จักกับบรรพบุรุษของเขาจะส่งคนมาช่วยตระกูลเฉิน” ฮูหยินเฉินกล่าว


“อืม! สามีท่านกล่าวไว้ไม่ผิด ท่านเซียนเหลยที่สามีท่านกล่าวถึงคืออาจารย์ลุงของข้า ท่านบอกข้ามาหน่อยว่าทำไมผู้ตรวจการเฉินจึงถูกคุมขัง” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ได้! คุณชายเฉียน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ สามีข้าเป็นผู้ตรวจการ ครึ่งปีก่อนเคยยื่นหนังสือแก่จักรพรรดิ……” ฮูหยินเฉินค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หลิ่วหมิงก็ตั้งใจฟังอย่างมาก และแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่


“……เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ สามเดือนก่อนของทางการได้บุกเข้ามาในจวนอย่างกระทันหัน และจับตัวสามีข้าไปคุมขังไว้ในเรือนจำ สองเดือนต่อมาข้าสองคนแม่ลูกก็ถูกไล่ออกจากจวนเฉิน ที่ผ่านมาถ้าไม่มีลุงหลินที่ดูแลอย่างจงรักภักดีล่ะก็ เกรงว่าข้ากับลูกชายคงไม่มีที่อยู่ที่ปลอดภัย” ฮูหยินเฉินเล่าจบใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ลูบคางไปมาซักพักใหญ่ๆ ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา


“อย่างนี้ก็แสดงว่าสามีของท่านยื่นหนังสือเรียกร้องให้ราชสำนักลดค่าเลี้ยงดูแขกของราชสำนัก แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธ จึงถูกโจมตีจากศัตรูทางด้านการเมือง และโดนถอดตำแหน่งก่อนส่งตัวไปคุมขัง”


“ถูกต้องแล้ว คุณชายเฉียน! เป็นเช่นนี้จริงๆ” ฮูหยินเฉินรีบกล่าวออกมา


“เฮ่อๆ! ข้าจะพูดถึงผู้ตรวจการเฉินว่าอย่างไรดี ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้ายื่นหนังสือแบบนี้ ข้าว่าคนที่เขาล่วงเกินไม่ใช่ศัตรูทางด้านการเมืองแต่อย่างใด แต่เป็นแขกของราชสำนักเหล่านั้นมากกว่า ด้วยอิทธิพลของพวกเขา สามารถจัดการผู้ตรวจการคนหนึ่งได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“แต่ข้าได้ยินท่านพี่เคยพูดว่า ก่อนยื่นหนังสือเขาได้สอบถามความคิดเห็นของจักรพรรดิแล้ว จักรพรรดิเองก็ยอมรับเรื่องการลดค่าเลี้ยงดูแขกราชสำนักโดยนัย แต่ไม่รู้ทำไมตอนท้ายกลับเป็นสามีข้าที่ได้รับโทษจากราชสำนัก” ฮูหยินเฉินถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


“นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยจำนวนแขกที่ราชสำนักต้องเลี้ยงดู เกรงว่าแม้แต่จักรพรรดิเองก็หวาดกลัว และไม่กล้าล่วงเกินพวกเขา ผลลัพธ์เลยต้องกลายเป็นผู้ตรวจการเฉินที่ต้องโชคร้าย” หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา


“ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักมากนัก บางทีมันอาจเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายเฉียนมีวิธีการใดสามารถช่วยสามีข้าออกมาได้บ้าง” ฮูหยินเฉยยิ้มอย่างขมขื่น และถามหลิ่วหมิงด้วยความหวังเต็มใบหน้า


“ต้องดูว่าฮูหยินเฉินคิดจะจัดการอย่างไร ถ้าเพียงแค่ช่วยให้ผู้ตรวจการเฉินออกมาล่ะก็ สำหรับข้าแล้วไม่ใช่เรื่องยากเย็นมากนัก แต่ถ้าอยากรักษาตำแหน่ง และอยู่ในเสวียนจิงต่อไปล่ะก็ มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย” หลิ่วหมิงยิ้มบางๆ ก่อนกล่าวออกมา


“เพียงแค่ช่วยสามีข้าออกมาได้ ตำแหน่งอันน่าอกสั่นขวัญแขวนนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ส่วนจะอยู่เสวียนจิงต่อหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป แค่ให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า พวกเราก็จะหาสถานที่เล็กๆ เพื่อดำรงชีวิตอยู่” ฮูหยินเฉินได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล


“ดี! ถ้าฮูหยินคิดเช่นนี้ ข้าก็ทำงานได้ง่ายขึ้น ท่านบอกรูปพรรณสัณฐานของผู้ตรวจการเฉินมาให้ข้า แล้วรีบเก็บของไปจากเสวียนจิงให้เร็วที่สุด ไปรออยู่ข้างถนนสายหลักทางประตูเมืองทิศตะวันออกที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบกว่าลี้ เช้าวันที่สองข้าจะพาสามีท่านไปพบกับพวกท่านที่นั่น ใช่สิ! พวกท่านบอกสถานที่คุมขังผู้ตรวจการเฉินให้ข้าด้วย” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ


สำหรับเขาแล้ว การแฝงตัวเข้าไปช่วยขุนนางธรรมดาคนหนึ่งจากเรือนจำของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดายเป็นอย่างมาก


เขารู้มาแต่แรกแล้วว่า ถึงแม้ในเสวียนจิงจะมีเรือนจำที่ใช้สำหรับคุมขังผู้ฝึกปราณ และศิษย์จิตวิญญาณโดยเฉพาะ แต่จะไม่ใช้คุมขังมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน


เรือนจำระดับนี้ เกรงว่าแม้แต่ค่ายกลจำกัดแบบพิเศษก็คงมีวางไว้ไม่น้อย ถ้าไปบุกรุกล่ะก็มันคนละเรื่องกับเรือนจำธรรมดาเลย


ถ้าไม่กลัวว่ามันจะเสี่ยงต่อการเปิดเผยสถานะศิษย์ตรวจตราล่ะก็ เขาเพียงแค่ยื่นป้ายศิษย์ตรวจตรา ก็สามารถนำผู้ตรวจการเฉินผู้นี้ออกมาจากเรือนจำได้อย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกระทำการลำบากยากเย็นใดๆ


ฮูหยินเฉินและลุงหลินต่างก็รู้สึกตกใจมาก เมื่อเข้าใจความหมายของหลิ่วหมิง


สีหน้าของฮูหยินเฉินเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กัดฟันตอบตกลง จากนั้นก็บอกสถานที่คุมขังและบรรยายรูปพรรณสัณฐานของผู้ตรวจการเฉินให้หลิ่วหมิงฟัง


เมื่อหลิ่วหมิงฟังจบ และคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็ขยับแขนคว้าถุงหนังตรงเอวแล้วยื่นออกไป


“ฮูหยินพกของสิ่งนี้ติดตัวไว้ชั่วคราว ถ้าระหว่างที่ไปจากเสวียนจิงเจอปัญหาอะไรล่ะก็ ให้ตบถุงหนังแรงๆ สามครั้ง พวกท่านก็จะได้รับการป้องกันให้ปลอดภัย”


ของที่อยู่ในถุงนี้คือปีศาจหัวบินตนนั้น


หัวบินตนนี้ฉลาดกว่าแมงป่องกระดูกขาวมาก ซึ่งเขาได้กำชับมันไปรอบหนึ่งแล้ว


ถึงแม้ฮูหยินเฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังคืออะไร แต่ก็รู้ว่ามันป็นความหวังดีของหลิ่วหมิง นางจึงกล่าวขอบคุณและรับมันมาเก็บไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง


เวลาต่อมาหลิ่วหมิงก็กำชับฮูหยินเฉินอีกสองสามประโยค แล้วก็จากไปอย่างเงียบๆ


เขาไม่ได้คิดจะกลับไปที่จวนเฉียน แต่กลับมุ่งตรงไปยังเรือนจำที่ฮูหยินเฉินบอก


และเมื่อฮูหยินเฉินเก็บสิ่งของเล็กน้อยแล้ว ก็จ้างรถม้ามาหนึ่งคัน ให้ลุงหลินรีบพาออกไปจากเสวียนจิงทางประตูด้านทิศตะวันออก


ช่วงเวลายามสาม สิ่งก่อสร้างบางแห่งที่ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาในเสวียนจิง เงาร่างจางๆ จนเกือบมองไม่เห็นได้พุ่งผ่านยามรักษาการณ์แต่ละแห่งโดยไร้สุ้มเสียง และมุ่งตรงไปยังใจกลางของสิ่งก่อสร้าง


ทันใดนั้นเงาร่างก็หยุดชะงักอยู่ตรงหน้าทหารยืนยามเจ็ดแปดคน ด้านหลังของพวกเขามีประตูเหล็กหนาๆ อยู่บานหนึ่ง นอกจากจะมีราวกั้นที่ทำเป็นหน้าต่างบานเล็กๆ แล้ว ก็ไม่มีสถานที่ใดอากาศสามารถเข้าออกได้อีก


เงาร่างสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีเงินจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป และค่อยๆ จมเข้าไปในร่างของทหารเหล่านี้


……………………………………….


ตอนที่ 183 ใต้เท้าซุน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทหารเหล่านี้รู้สึกตัวชาขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยืนแข็งทื่อโดยไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย


ขณะนี้เงาร่างได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าทหารอย่างพร่ามัว ร่างที่มีไอสีดำปกคลุมไปทั่วเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็ปลดกุญแจสีแดงจากเอวทหารคนหนึ่งมาได้


จากนั้นเงาร่างก็เคลื่อนไหวราวกับสายลม และเปิดประตูเหล็กด้านหลังออกก่อนที่จะหายเข้าไปในนั้น


ด้านหลังประตูเหล็ก เป็นบันไดแคบๆ ที่พุ่งยาวลงไปด้านล่าง อากาศข้างในอับมาก ราวกับว่าไม่เคยมีลมพัดผ่านมาเป็นเวลานาน


เงาร่างทำราวกับไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ เขาเคลื่อนตัวลงไปตามบันได หลังจากที่เลี้ยวไปยังมุมด้านล่างอย่างพร่ามัว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมาก็มีเสียงร้องตกใจสองสามเสียงดังมาจากบันไดที่อยู่ลึกลงไป จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาอีก


ในขณะเดียวกัน เงาร่างที่มีไอสีดำปกคลุมก็เดินลึกลงไปสิบกว่าจั้ง และผ่านหน้าห้องกักขังที่มีโซ่เหล็กคล้องไว้อย่างแน่นหนา ผ่านราวกั้นสีดำขนาดใหญ่ ข้างในห้องส่วนใหญ่ล้วนว่างเปล่า มีเพียงแค่ไม่กี่ห้องที่มีคนอยู่


และพอคนเหล่านี้เห็นบุคคลแปลกประหลาดบุกเข้ามา ก็ยื่นมือไปสะกิดนักโทษคนอื่นด้วยความตกใจ


แต่ผู้ที่อยู่ในห้องขัง ก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแต่อย่างใด ถึงแม้จะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขายังคงมีสีหน้าสงบ และไม่แหกปากตะโกนออกมา


แน่นอนว่าเงาร่างที่บุกเข้ามานี้ คือหลิ่วหมิงที่แสดงวิชาแฝงตัวเข้ามา


สำหรับคนทั่วไปแล้ว เรือนจำหลังนี้นับว่าคุ้มกันได้อย่างแน่นหนา แต่สำหรับผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญานขั้นปลายอย่างเขา มันเปราะบางราวกับกระดาษ


แต่เขาไม่อยากให้ผู้ฝึกฝนคนอื่นรู้ตัว ถึงได้ใช้ยันต์ซ่อนตัวผืนหนึ่ง ทำให้เขากลายเป็นเงาไร้รูปร่างในสายตาคนธรรมดา แล้วถึงบุกเข้ามาอย่างไม่สนใจ


ขณะนี้เขาเดินผ่านห้องคุมขังสิบกว่าห้อง ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง และสังเกตดูชายสวมชุดนักโทษที่อยู่หลังราวกั้น แล้วพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ท่านใช่ผู้ตรวจการเฉินหรือไม่!”


“ท่านคือใคร รู้จักข้าได้อย่างไร?” ชุดนักโทษที่ชายผู้นี้สวมใส่นับว่าสะอาดเรียบร้อยมาก ใบหน้าก็ดูภูมิฐาน พอเขาได้ยินก็ถามออกไปด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


“เฮ่อๆ! ไม่ใช่ว่าท่านส่งข่าวให้อาจารย์ลุงเหลยหรือ มิเช่นนั้นข้าคงไม่มาที่นี่หรอก” หลิ่วหมิงหัวเราะ ปากของเขาขยับไปมาหลายที แต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา คำพูดของเขาทั้งหมดดังขึ้นข้างหูของชายผู้นี้โดยตรง


“อะไรนะ! ที่แท้คำพูดและสิ่งของที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ปีนั้นก็เป็นความจริง ท่านคือคนที่ท่านเซียนเหลยส่งมาจริงหรือ! ฮูหยินกับลูกชายข้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ผู้ตรวจการเฉินได้ยินก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้ จึงถามออกไปด้วยความตื่นเต้น


“วางใจเถอะ! ฮูหยินกับลูกชายของท่านปลอดภัยดี ตอนนี้พวกเขาออกไปจากเสวียนจิงก่อน รอข้าพาเจ้าออกไปแล้ว ครอบครัวของเจ้าก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“อะไรนะ! ออกไปจากเสวียนจิง หรือว่าแม้แต่ท่านเซียนก็ไม่สามารถรักษาตำแหน่งของข้าไว้ได้? ถ้าข้าหนีไปจริงๆ ก็ไม่เท่ากับว่าข้าเป็นนักโทษหลบหนีของราชสำนักหรอกหรือ” ผู้ตรวจการเฉินฟังจบกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย


หลิ่วหมิงได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว และส่งเสียงออกไปอย่างราบเรียบ


“ข้ามาเสวียนจิงครั้งนี้ ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะไปคบค้าสมาคมกับคนของราชสำนัก แต่ถ้าท่านยังอาลัยอาวรณ์ตำแหน่งในราชสำนักอยู่ล่ะก็ ต้องหลบเลี่ยงเหตุการณ์เลวร้ายนี้ไปก่อน แล้วค่อยให้อาจารย์ลุงเหลยออกหน้าเรียกคืนตำแหน่งให้ท่าน ไม่แน่อาจจะได้ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอีกขั้น แต่ถ้าท่านไม่ยอมไปตอนนี้ล่ะก็ ข้าก็จะไม่บังคับ แต่หลังจากนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ท่านต้องรับผิดชอบเอง”


“ขอท่านเซียนอย่าได้ถือสาที่ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้าล่วงเกินคนเยอะขนาดนั้น ไหนเลยจะสามารถเป็นขุนนางอยู่ในเสวียนจิงได้อย่างสงบสุข ข้าจะไปพบฮูหยินกับท่านเซียนเดี๋ยวนี้ ตำแหน่งขุนนางนี้ไม่เป็นก็ได้” ผู้ตรวจการเฉินได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบเปลี่ยนความคิดแล้วกล่าวออกมา


“ดีมาก! แบบนี้ถึงเป็นการเลือกที่ชาญฉลาด ใต้เท้าเฉินถอยไปสองสามเก้าก่อนเถอะ” หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ หลังจากที่กำชับออกไปไม่กี่ประโยค ก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ฟู่!” “ฟู่!” มือทั้งสองของหลิ่วหมิงจับราวเหล็กสีดำไว้แน่น


ผู้ตรวจการเฉินเห็นเช่นนี้ก็รีบหลบไปด้านข้าง


ครู่ต่อมา แสงสีแดงก็ปรากฏออกมาตรงมือทั้งสองของหลิ่วหมิง เปลวไฟอันคุโชนลุกไหม้ขึ้นมา


ราวเหล็กที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษก็ละลายกลายเป็นของเหลวในฉับพลัน จนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ที่คนสามารถลอดออกมาได้


“ขอบคุณท่านเซียน!”


ผู้ตรวจการเฉินรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบมุดออกไปจากรู


“ตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงพูดออกไปหนึ่งประโยค และคิดที่จะพาชายผู้นี้ออกไป


แต่ในขณะนั้นเอง ห้องขังอีกห้องที่อยู่ไม่ไกล ก็มีนักโทษคนหนึ่งกระโจนมาจับราวกั้นและตะโกนพูดออกมา


“พี่เฉิน ข้าคืออาวุโสซุน อย่าเพิ่งรีบไป ท่านเซียนผู้นี้พาข้าไปด้วยเถิด ถ้าข้าออกไปได้ล่ะก็ จะต้องตอบแทนน้ำใจอย่างงาม” นักโทษผู้นี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่ฟังจากน้ำเสียงก็น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว


“เรื่องนี้……” ผู้ตรวจการเฉินได้ยินก็อดที่จะลังเลไม่ได้


“เขาเป็นใคร สนิทกับท่านหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็กวาดตามองนักโทษคนนั้นทีหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างราบเรียบ


“ไม่อาจกล่าวได้ว่าสนิทกัน เพียงแต่หลังจากเข้ามาในนี้ พวกเราต่างก็พูดคุยกันเล็กน้อย เพราะตกอยู่ในสถานการณ์น่าสงสารเหมือนกัน ใต้เท้าซุนผู้นี้เป็นขุนนางดูแลเรื่องทั่วไปของราชวงศ์ จากที่ฟังมาพอจะถือได้ว่าเป็นญาติของเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง แต่หนึ่งปีก่อน ไม่รู้ว่าไปยั่วโทสะจักรพรรดิเข้าได้อย่างไร จึงถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางแล้วนำมาขังไว้ที่นี่” ผู้ตรวจการเฉินอธิบายให้หลิ่วหมิงฟังเบาๆ


“ในเมื่อไม่ค่อยสนิทกัน ก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก ข้าช่วยท่านออกไปหนึ่งคน ถ้าแขกจิตวิญญาณทองคำของราชสำนักเหล่านั้นรู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนเหมือนกัน ส่วนมากก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และจะไม่ส่งคนไปจับพวกท่านจริงๆ แต่ถ้าพาไปเพิ่มอีกคนล่ะก็ เรื่องราวมันจะยุ่งยากขึ้น” หลิ่วหมิงฟังจบก็กล่าวโดยไม่ต้องคิด


“ได้ ข้าจะฟังท่านเซียนทุกอย่าง” ผู้ตรวจการเฉินไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย


ดังนั้นทั้งสองจึงหมุนตัวเพื่อที่จะเดินจากไปอีกครั้งโดยไม่สนใจ


“ท่านเซียนช้าก่อน ข้ารู้ความลับบางอย่าง ความลับนี้พัวพันถึงราชวงศ์นี้ แม้กระทั่งสามารถชี้ชะตาของแคว้นต้าเสวียนได้ แม้แต่ท่านเซียนเองก็ไม่อาจละเลยได้” พอใต้เท้าซุนเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาด้วยความรีบร้อน


“อะไรนะ ท่านหมายความว่าอย่างไร? รู้ไหมว่าถ้าโกหกข้าล่ะก็ ข้าจะใช้วิธีการแบบใดทำให้เจ้าจะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมาในที่สุด ร่างเขาเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัวทีเดียว ก็มาปรากฏอยู่หน้าห้องขังของ ‘ใต้เท้าซุน’ ผู้นี้ราวกับปีศาจ ดวงตาทั้งคู่จ้องมองเขาและกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ท่านเซียน ในเมื่อข้ากล้าพูดเรื่องนี้ออกมา ข้าย่อมมีหลักฐาน” ถึงแม้ใต้เท้าซุนจะถูกสายตาอันเยือกเย็นของหลิ่วหมิงจ้องมองจนขนลุกเล็กน้อย แต่ก็ยังกัดฟันกล่าวออกมา


“ดีมาก! จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี ข้าจะเชื่อเจ้าสักครา” หลิ่วหมิงเขม้นตามองใบหน้าของ ‘ใต้เท้าซุน’ อยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้ากล่าวอย่างเยือกเย็น


จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือของเขา เผยให้เห็นกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง มันตัดราวเหล็กตรงหน้าออกเป็นเจ็ดแปดชิ้น


ใต้เท้าซุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบกล่าวขอบคุณแล้วมุดออกมาในทันที


“คำพูดของท่านในก่อนหน้านั้น คนอื่นๆ ต่างก็ได้ยินกันหมดแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไม่สามารถออกไปอย่างนี้ได้ จะต้องจัดการพวกเขาก่อน” หลังจากเสร็จสิ้นการกระทำดังกล่าว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตาไปยังนักโทษที่เหลืออีกสี่ห้าคน แล้วกล่าวด้วยตาที่เป็นประกายเยือกเย็น


“ท่านเซียน หรือว่าท่านคิดที่จะ…” หลังจากฟังคำพูดของหลิ่วหมิงแล้ว ผู้ตรวจการเฉินกับใต้เท้าซุนที่เพิ่งถูกช่วยออกมาต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


เดิมทีนักโทษคนอื่นๆ ในห้องขังก็ตื่นตระหนกตกใจกับคำพูดของใต้เท้าซุนอยู่แล้ว แต่พอตอนนี้ได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็หน้าซีดขึ้นมา


“วางใจเถอะ! ถึงข้าจะไม่ใช่คนธรรมดาบนโลกนี้ แต่ก็ไม่ทำให้เลือดเปื้อนเรือนจำของราชสำนักง่ายๆ หรอก มิเช่นนั้นก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น ข้าเพียงแค่จะใช้วิชาบางอย่าง ทำให้พวกเขาลืมเรื่องก่อนหน้านั้น” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณท่านเซียนที่ถือเอาเมตตาธรรมเป็นหลัก” ผู้ตรวจการเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วรีบโค้งตัวกล่าว


หลิ่วหมิงโบกมือแล้วก็เดินไปห้องขังที่มีนักโทษ เขาบิดตัวทีเดียวร่างไก็อ่อนราวกับไร้กระดูก และเบียดผ่านราวกั้นเข้าไปในห้องขัง


สร้างความตกใจให้กับชายชราที่นั่งอยู่ในนั้นทันที เขาลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังไปสองก้าวอย่างอดไม่ได้


“เรื่องที่พวกข้าพูดคุยกันด้านนอก ท่านเองก็ได้ยินหมดแล้ว ท่านจะร่วมมือกับข้าดีๆ หรือให้ข้าใช้กระบี่แทงท่านให้ลาจากโลกนี้ไปเลย?” หลิ่วหมิงกล่าวกับชายชราอย่างไม่เกรงใจ


“ถึงแม้ข้าจะอายุมากแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่อาลัยอาวรณ์อยู่บนโลกใบนี้ ในเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน ท่านเซียนโปรดจงลงมือเถิด!” ในที่สุดชายชราก็มีสีหน้าที่สงบลง และยิ้มอย่างขมขื่นก่อนกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงพยักหน้าและสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นธูปหอมสีเหลืองอ่อนดอกหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา และเขานำมันไปปักไว้บนพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ติดไฟแล้วลุกไหม้ขึ้นมา


พริบตาเดียวธูปหอมก็ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่วห้องขัง


“โครม!” “โครม!”


ไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการเฉินที่อยู่ด้านนอก ใต้เท้าซุน หรือคนอื่นๆ ที่ถูกขังอยู่ในห้องขังต่างก็ค่อยๆ ล้มลงไปเมื่อได้กลิ่นธูป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ทำให้ไอดำที่ปกคลุมร่างสลายไป และนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น เขายกข้างหนึ่งดูดเอาร่างของชายชรามาไว้ตรงหน้า ทำให้เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขา เข็มเงินเปล่งประกายออกมาในมือ และฝังเข้าไปในร่างของชายชรา


ร่างของชายชรานั่งตรงด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็ลืมตาทั้งคู่อย่างซืมกระทือ


หลิ่วหมิงเริ่มร่ายคาถา แสงแวววาวเปล่งประกายออกจากลูกตาเขาอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันมือทั้งสองต่างก็คีบเข็มเงินไว้ และแทงไปตามจุดต่างๆ บนศีรษะของชายชราอย่างรวดเร็ว


……


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ไอดำบนร่างหลิ่วหมิงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และค่อยๆ เดินขึ้นไปตามบันได ห่างจากเขาไปหลายฉื่อ หนวดสัมผัสขนาดใหญ่สองเส้นที่กลายร่างมาจากไอสีดำ ต่างก็ม้วนเอาผู้ตรวจการเฉิน และใต้เท้าซุนที่สลบไสลเข้าไปในนั้น ทำให้พวกเขาลอยออกไปพร้อมกับเขา


……………………………………….


ตอนที่ 184 แขกระดับจิตวิญญาณทองคำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงออกจากประตูเหล็กที่แง้มไว้ และกวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้


ทหารที่ควรจะยืนแข็งอยู่อยู่นอกประตูเหล่านั้น ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว แทนที่ด้วยชายฉกรรจ์สวมชุดหนังสั้นสีเหลือง และชายชราหน้าแดงที่ตาทั้งสองรียาว


ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งมีแส้สีดำเล็กๆ พันอยู่ที่เอว อีกคนสะพายกระบี่ยาวสีเหลืองอ่อนอยู่ที่หลัง และกำลังจ้องมองหลิ่วหมิงที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ


“แขกระดับจิตวิญญาณทองคำ?”


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่แสดงท่าทีตกใจมากนัก เขาถามออกไปด้วยสีหน้าสงบ


“ไม่ผิด พวกข้าทั้งสองเป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ คืนนี้ลาดตระเวนมาที่นี่พอดี ไม่คิดว่าจะมาเจอสหายเข้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเสียจริง ขอถามหน่อย เจ้าสองคนนี้มีความสัมพันธ์อันใดกับสหาย?” ชายชราหน้าแดงถอนหายใจ แล้วกวาดตามองคนที่อยู่ข้างหลังหลิ่วหมิงก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยมีบุญคุณกับผู้อาวุโสของข้าเท่านั้น วันนี้เลยต้องมาชดใช้คืนบ้าง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“หืม! ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเสียจริง! ทั้งสองคนที่มีความสัมพันธ์กับสหายนี้ ต่างก็ได้รับโทษเหมือนกัน ทั้งยังถูกขังอยู่ในที่เดียวกัน และรอให้สหายมาช่วย?” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ได้ยิน กลับกล่าวออกมาพร้อมกับทำตามองบน


“ใช่สิ! เรื่องนี้ช่างบังเอิญเสียจริง!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“ฮึ! ถ้าพวกข้าสองคนไม่มาพบเข้า ต่อให้เจ้าจะช่วยคนในเรือนจำทั้งหมดออกไป มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกข้า แต่ในเมื่อตอนนี้พบเจอกันแล้ว เห็นแก่ที่เป็นผู้ฝึกฝนเหมือนกัน ตามหลักการแล้วพวกเราจะยอมให้เจ้าพาไปคนหนึ่ง ส่วนอีกคนต้องทิ้งไว้ที่นี่” ชายชราหน้าแดงค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ไม่ได้! ข้าจะพาไปทั้งสองคน คนเดียวก็ทิ้งไว้ไม่ได้” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล


“ดูท่าสหายจะมั่นใจในพลังของตนเองมาก คิดจะลงมือแล้วหรือ คุยกันดีๆ ก่อน พวกเราเป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำของราชสำนัก ย่อมไม่ต่อสู้กับผู้อื่นเพียงลำพัง และจะลงมือพร้อมกันอย่างแน่นอน” ชายชราหน้าแดงกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์แสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็คว้ามือไปจับแส้บนเอว พอสะบัดออกไปทีเดียว มันก็เคลื่อนไหวออกมา ความจริงแล้วมันคืออสรพิษมืดขนาดเล็กที่ยังมีชีวิตอยู่


หัวของมันแบนเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามันมีพิษร้ายแรง


“เฮ่อๆ! ไม่มีความจำเป็นเลย” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะแล้วก้าวยาวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็เสียงดัง “ฟู่!” กลิ่นไออันแข็งแกร่งระเบิดตัวออกมาอย่างรวดเร็ว


ทันใดนั้นอากาศบริเวณนี้ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ พายุบ้าระห่ำสีดำได้ปรากฏขึ้น มันหมุนติ้วๆ รอบตัวหลิ่วหมิงแล้วหมุนทะยานขึ้นไปบนฟ้า


พอชายชราหน้าแดงกับชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์เห็นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พวกเขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวที่พุ่งชนเข้ามาอย่างรวดเร็ว


ร่างของทั้งสองสั่นสะท้าน จากนั้นก็ถอย ออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว และยังขยับไปคนละข้างเพื่อเปิดทางให้หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขยับตัวพาคนทั้งสองแวบผ่านตรงกลางไป พริบตาเดียวก็หายไปหลังประตูที่อยู่ไม่ไกล


ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์จับอสรพิษมืดในมือไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา เขาไม่ได้ทำการขัดขวางใดๆ ไปชั่วขณะ


ชายชราหน้าแดงมีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก จนเมื่อหลิ่วหมิงหายลับไปแล้วถึงได้เอ่ยปากออกมา “ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย”


“ดูท่าคงจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่มีผิด แม้กระทั่งอาจจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบก็ได้ มิเช่นนั้นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นอย่างพวกเราสองคนคงไม่ดูไร้ประโยชน์เช่นนี้” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็สะบัดข้อมือเพื่อให้อสรพิษมืดกลับไปรัดพันที่เอวอีกครั้ง


“อืม! มันน่าจะเป็นไปได้ มิน่าล่ะ! เขาถึงได้กล้าทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นพวกเรา ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกับเฒ่าประหลาดในราชวงศ์นี้ ไหนเลยที่คนอย่างพวกเราจะกล้าหาเรื่อง เรื่องนี้นับว่ามีข้ออ้างสำหรับการรายงานแล้ว ถ้ารายงานไปตามจริงเช่นนี้ เบื้องบนก็คงไม่โทษพวกเรา” ชายชราหน้าแดงกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง


“คงจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่จะว่าไปแล้วบรรยากาศในเสวียนจิงนับวันยิ่งไม่ปกติเข้าไปทุกที เริ่มจากผู้ฝึกฝนระดับสูงในกลุ่มแขกระดับจิตวิญญาณทองคำกับเฒ่าประหลาดในราชวงศ์เหล่านั้น ต่างก็ประกาศเก็บตัวฝึกฝน โดยตัดขาดจากโลกภายนอก จากนั้นในช่วงสองปีนี้ ก็มีผู้ฝึกฝนอิสระแห่กันเข้ามาเสวียนจิงมากกว่าหลายปีก่อน ในกลุ่มนั้นมีหลายคนที่ดูลับๆ ล่อๆ ก็เหมือนกับวันนี้ที่พวกเราได้เจอกับศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ ทำให้รู้ว่ายังมีพวกเขาอยู่อีกหลายคน ยังมีผู้ปิดซ่อนระดับการฝึกฝนที่พวกเราไม่รู้อีกมากมายเท่าไหร่อยู่ในเสวียนจิง มันคงไม่สร้างความวุ่นวายให้เสวียนจิงหรอกนะ!” ดวงตาชายฉกรรจ์เป็นประกายออกมา ก่อนที่จะเค้นเสียงถามออกไป


“ฮึ! ยังจะต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ เกรงว่าพี่น้องหลายคนต่างก็มองเห็นความผิดปกติเหล่านี้แล้ว แต่ผู้ฝึกฝนระดับต่ำอย่างพวกเรา ไหนเลยจะมีสิทธิ์ถกปัญหาเรื่องนี้ อีกอย่างที่พวกเราเข้าร่วมเป็นแขกจิตวิญญาณระดับทองคำ ต่างก็ได้ลงนามสัญญาโลหิตแล้ว ถ้ายังไม่สิ้นสุดสัญญา พวกเราก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนักได้ ต่อให้เกิดเหตุร้ายขึ้นก็ต้องเข้าร่วมกับราชสำนัก” ชายชราหน้าแดงได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


“ถ้ามันง่ายแบบนี้ก็ดีสิ ที่สำคัญคือตอนนี้ราชสำนักเองก็ดูแปลกประหลาด เชื้อพระวงศ์เหล่านั้นรู้ทั้งรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่กลับไม่บอกแขกระดับต่ำอย่างพวกเรา ถึงแม้ข้าจะลงนามสัญญาโลหิตแล้ว แต่ก็ไม่อยากถูกคนใช้เป็นหมากบนกระดานโดยไม่รู้ตัว” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา


“น้องจวง เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?” ชายชราหน้าแดงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา ก่อนที่จะถามออกไป


“แน่นอน! ถึงแม้ระดับการฝึกฝนของข้าจะต่ำไปหน่อย เป็นเพียงแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น และเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่ไม่รู้ว่าผ่านความยากลำบากมาตั้งเท่าไหร่ กว่าจะฝึกฝนมาได้อย่างทุกวันนี้ จะยอมให้คนอื่นหลอกใช้ได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ได้ยินก็รีบชกอกกล่าว


“ในเมื่อน้องจวงพูดความในใจออกมา ข้าจะให้ที่อยู่บางแห่งกับเจ้า อีกสามวันเจ้าก็ไปที่นั่น พอถึงเวลานั้นข้าจะแนะนำสหายผู้มีอุดมการณ์เดียวกันให้เจ้ารู้จัก” ในที่สุดชายชราหน้าแดงก็ตัดสินใจกล่าวออกมา


“ได้ พอถึงเวลาข้าจะไปตามนัดอย่างแน่นอน!” ชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์ได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


ถึงแม้ชายชราจะมีระดับการฝึกฝนเท่ากับเขา แต่ในบรรดาแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ เขาเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นมากสุด ในเมื่อเขาบอกว่าจะแนะนำคนให้รู้จัก เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คำโป้ปดแต่อย่างใด


“ถึงแม้คนผู้นั้นจะไปแล้ว แต่พวกเราควรไปตรวจสอบข้างในสักหน่อย ดูว่ามีใครหายไปอีกหรือเปล่า” ชายชราหน้าแดงมองบันไดหลังประตูเหล็กทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา


“แน่นอนอยู่แล้ว ได้แต่หวังว่าคนผู้นี้จะพาไปแค่สองนั้น คงไม่ฆ่าคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างในจนหมดสิ้น” ชายฉกรรจ์ชุดหนังได้ยินก็พยักหน้า


จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในประตูเหล็ก ไม่นานก็ค้นพบว่านักโทษไม่กี่คนในนั้นยังคงสลบอยู่ ดังนั้นทั้งสองจึงแสดงวิชาเรียกให้ทุกคนฟื้นด้วยความตกใจ


แต่ผู้ที่ฟื้นขึ้นมานั้นกลับจำเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนสลบไปไม่ได้เลย


และเหลือเพียงกลิ่นของธูปหอม และจุดสีแดงบนศีรษะของพวกเขา ชายชราหน้าแดงกับชายฉกรรจ์ชุดหนังสัตว์มองหน้ากันทีหนึ่ง และก็พอจะเข้าใจได้ลางๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้พวกเขาทั้งสองได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


เห็นได้ชัดว่าวิธีการลบความจำของฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้เป็นแค่วิธีการของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปเท่านั้น แต่ยังผสมกับสมุนไพรและทักษะลับบางอย่างของมนุษย์ ความลึกลับซับซ้อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งสองจะสามารถเข้าใจได้


……


หลายชั่วยามต่อมา เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง


ด้านล่างของเนินเขาเล็กตรงข้างถนนสายหลัก มีรถม้าสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้ารถ และมองไปทางเมืองเสวียนจิงอยู่ไม่หยุดด้วยสีหน้าวิตกกังวล ราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่


“ลุงหลิน ยังไม่มีข่าวของท่านเซียนอีกหรือ?” พลันมีเสียงของฮูหยินเฉินดังมาจากในรถม้า


“ฮูหยินวางใจเถอะ! ท่านเซียนมีพลังอันน่าอัศจรรย์ แค่เรือนจำธรรมดาหลังหนึ่งจะต้านทานอะไรเขาได้ ตอนนี้ฟ้าเพิ่งจะสว่าง เชื่อว่าอีกไม่นาน นายท่านก็จะมาพบกับฮูหยินแล้ว” ลุงหลินได้ยินก็กล่าวอย่างนอบน้อม


“หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ลุงหลิน ครั้งนี้ตระกูลเฉินของเราต้องประสบกับความลำบาก มีเพียงท่านที่ไม่ทอดทิ้งกันไป รอข้ากับสามีกลับไปจัดการเรื่องที่อยู่อาศัยได้แล้ว จะต้องให้ท่านเสพสุขกับชีวิตในบั้นปลายอย่างแน่นอน” พอฮูหยินเฉินได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ


“ฮูหยิน อย่าถือเป็นคนอื่นไป ถ้าไม่ใช่ว่านายท่านช่วยข้าไว้ในปีนั้น ข้าคงเสียชีวิตไปเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว ไหนเลยจะอยู่มาได้จนถึงวันนี้” ลุงหลินรีบกล่าวออกมา


“สองสิ่งนี้มันคนละเรื่องกัน ลุงหลิน ท่านรับใช้ตระกูลเฉินด้วยความภักดีมาหลายปี ต่อให้ตระกูลเฉินมีบุญต่อท่าน แต่ก็คงถูกท่านตอบแทนไปจนหมดตั้งนานแล้ว บุญคุณครั้งนี้ ข้ากับสามีจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” ฮูหยินเฉินกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย


“ฮูหยิน ความจริง…… เอ๊ะ! ด้านหน้ามีรถม้ากำลังวิ่งมาคันหนึ่ง คนขับเหมือนจะเป็นนายท่าน” ลุงหลินกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาจากที่ไกลๆ หน้ารถมีคนเงาร่างคุ้นเคยคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาจึงร้องออกมาด้วยความดีใจ


“อะไรนะ! ใช่สามีข้าจริงๆ หรือ? คงดูไม่ผิดหรอกนะ!” ผ้าม่านหน้ารถม้าถูกเปิดออกมา ฮูหยินเฉินจูงแขนลูกชายเดินออกมานอกรถ และมองไปที่ถนนสายหลักด้วยความตื่นเต้น


“เฮ้อ! ฮูหยินวางใจได้ เป็นนายท่านเฉินไม่มีผิด”


ขณะนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะของผู้ชายดังมาจากบนอากาศ


ลุงหลินกับฮูหยินเฉินรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาแหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างรวดเร็ว ถึงค้นพบว่ามีเมฆดำก้อนหนึ่งค่อยๆ ร่อนลงมา บนนั้นมีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งคนผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


……


หนึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขา ในมือถือถุงหนังที่ฮูหยินเฉินเพิ่งจะคืนให้เมื่อครู่ เขาจ้องมองรถม้าบนถนนสายหลักที่ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีดำ และยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้


ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเขาก็ทำงานที่อาจารย์ลุงเหลยมอบให้สำเร็จแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะค่อนข้างรู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก


“ใต้เท้าซุน ตอนนี้พวกเราควรจะมาพูดคุยเรื่องความลับที่ท่านเคยกล่าวไว้” หลิ่วหมิงละสายตากลับมา แล้วหันไปกล่าวกับชายอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปีที่ยืนอยู่ด้านข้าง ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


……………………………………….


ตอนที่ 185 ความลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ในเมื่อคุณชายเฉียนช่วยข้าออกมาจากเรือนจำ ความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจข้ามานานนี้ ย่อมต้องยกออกมาให้หมด แต่หลังจากที่ข้าเปิดเผยความลับนี้ออกไปแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่เสวียนจิงได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงหวังว่าท่านเซียนจะช่วยพาครอบครัวของข้าออกจากเสวียนจิงเหมือนกับครอบครัวของใต้เท้าเฉิน หลังจากนั้นครอบครัวของข้าก็จะไปจากแคว้นต้าเสวียน และไม่เข้ามาเหยียบเสวียนจิง” ใต้เท้าซุนกล่าวอย่างนอบน้อม


“อืม! ขอเพียงความลับที่ท่านพูดเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ เงื่อนไขข้อนี้ก็ไม่ถือว่าไม่มากเกินไปนัก ข้ารับปากเจ้า” หลิ่วหมิงได้ยินนี้ก็พยักหน้าด้วยท่าทีปกติ


“ดี! คุณชายเฉียนพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ความลับที่ข้าพูดถึงก็คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันในขณะที่ยังไม่ขึ้นครองราชย์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เขาเป็นปีศาจที่แปลงร่างมา” หลังจากใต้เท้าซุนผ่อนคลายแล้ว ในที่สุดก็พูดความลับอันยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเก็บงำมานานแค่ไหนออกมา


“อะไรนะ! จักรพรรดิเป็นตัวปลอม เขาคือปีศาจที่แปลงร่างมา?” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเริ่มคาดเดาความลับที่อีกฝ่ายพูดออกมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้เขารู้สึกอึ้งขึ้นมาจริงๆ


“ไม่ผิด! คุณชายเฉียนอย่าคิดว่าข้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ความจริงข้ารู้ความลับนี้เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว คุณชายก็รู้ว่าเดิมทีข้าเป็นขุนนางดูแลเรื่องทั่วไปของราชวงศ์ รับผิดชอบจัดระเบียบบันทึกการจัดพระกระยาหาร และสภาพพระวรกายในแต่ละวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยรุนแรง”


“บันทึกหลายปีก่อนยังปกติดี เพราะยังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ พระวรกายแข็งแรงไร้โรคเป็นปกติ แต่เมื่อเจ็ดปีก่อน อยู่ๆ ก็มีข่าวว่าพระองค์ท่านประชวร จนลุกไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน และหลังจากผ่านไปสิบกว่าวันแล้วข้าถึงได้รับบันทึกที่เกี่ยวข้อง ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้สนใจ คิดเพียงว่าเป็นเพราะฮงเฮาประชวร บันทึกเลยถูกส่งมาช้า แต่ใครจะรู้ว่าในขณะที่ข้าเปิดบันทึกในคืนนั้น กลับพบจดหมายลับอยู่ในนั้นหนึ่งฉบับ และผู้ที่ลงนามในจดหมายฉบับนี้คือสนมเอกที่จักรพรรดิโปรดปราณอย่างหลี่กุ้ยเฟย หลี่กุ้ยเฟยบอกว่าก่อนจักรพรรดิประชวรได้ประทับอยู่กับพระองค์พอดี ผลลัพธ์คือพระองค์ทอดพระเนตรเห็นจักรพรรดิกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์กับตา และพระองค์ก็สลบไปเลย พอพระองค์ฟื้นมากลับถูกทหารองค์รักษ์กลุ่มหนึ่งควบคุมไว้ ต่อมาจึงพยายามตีสนิททหารเฝ้ายามคนหนึ่ง ถึงได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือฉบับนี้มาได้ เพราะว่าแผ่นกระดาษไม่ใหญ่มากนัก หลี่กุ้ยเฟยผู้นี้ก็เขียนด้วยความรีบร้อน ดังนั้นจึงมีเนื้อความเพียงคร่าวๆ แต่ในตอนท้ายกลับให้ข้าไปหาท่านเซียนอาวุโสสูงสุดในราชวงศ์เหล่านั้น เพื่อบอกเรื่องนี้ให้กับพวกเขา แต่พระองค์กลัวข้าไม่เชื่อจึงได้เขียนไว้ในจดหมายว่า เขาให้องค์รักษ์ที่ซื้อตัวไว้นำเกล็ดของปีศาจที่จักรพรรดิกลายร่างมา ไปซ่อนไว้ในสถานที่บางแห่งของพระราชวัง และให้ข้าเอาไปให้ท่านเซียนในราชวงศ์เหล่านั้นตรวจสอบดูว่าจริงเท็จประการใด” ใต้เท้าซุนเล่าทั้งหมดภายในอึดใจเดียว ดวงตาเขามีแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด


ถึงแม้สีหน้าหลิ่วหมิงจะดูปกติ แต่ก็แอบตกใจไม่น้อย


“หลังจากที่ข้าอ่านจดหมายลับแผ่นนั้นจบแล้ว แน่นอนว่ารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่เรื่องแบบนี้ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด สุดท้ายในขณะที่ข้ายังไม่ได้คิดหาวิธีเข้าวังอีกครั้ง ในวังก็ปล่อยข่าวว่าหลี่กุ้ยเฟยเสียชีวิตจากการประชวรแล้ว ตอนนั้นข้ารู้แล้วว่าที่หลี่กุ้ยเฟยบอกมาทั้งหมดนั้นส่วนมากเป็นเรื่องจริง หลังจากที่อกสั่นขวัญแขวนไปหลายวัน ในที่สุดก็หาข้ออ้างเข้าวังได้ และไปขุดเจอเกล็ดปีศาจสีเขียวสองเกล็ดตามสถานที่ที่หลี่กุ้ยเฟยได้บอกไว้ หลังจากที่ข้าได้สิ่งของนี้มา คืนนั้นจึงได้ปลอมตัวไปจ้างขอทานน้อยที่ไม่รู้เรื่องนี้ ให้นำเกล็ดหนึ่งเกล็ดกับจดหมายลับที่เขียนด้วยมือข้างซ้ายโยนเข้าไปในตำหนักของท่านเซียนอาวุโสในราชวงศ์ แต่หลังจากนั้นหนึ่งวัน ข้าได้ยินว่าผู้คนในตำหนักของท่านเซียนอาวุโสผู้นี้ล้วนถูกสังหารจนหมดเกลี้ยงภายในคืนเดียว ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นราชสำนักจึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก พวกเขากวาดล้างอิทธิพลใต้ดินตามที่ต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางน้อยใหญ่ที่เกี่ยวข้องต่างก็ถูกตัดหัวไปจนหมดสิ้น ต่อมาราชสำนักก็ปล่อยข่าวออกมาว่า กลุ่มผู้ฝึกฝนนอกรีตที่มาเป็นแขกของราชสำนักยอมรับแล้วว่าเป็นคนสังหารผู้คนทั้งตำหนักของท่านเซียนอาวุโสเอง หลังจากนั้นเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ถึงได้ค่อยๆ สงบลง ตั้งแต่นั้นมาข้าจึงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครอีกเลย เกล็ดปีศาจที่เหลือข้าได้ซ่อนไว้ในสถานที่เร้นลับบางแห่งของจวน และไม่เคยให้ผู้อื่นดูเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ข้าถูกเรื่องอื่นพัวพันจนต้องเขามาอยู่ในเรือนจำ และกลัวว่าการตัดสินคดีในอีกไม่นานนี้ จะถูกแขกของราชสำนักใช้วิชาสะกดจิตจนต้องพูดความลับนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ ข้าคงจะเก็บมันไว้ตลอดไป” ในที่สุดใต้เท้าซุนก็เล่าเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา


“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่า เกล็ดปีศาจยังซ่อนอยู่ในจวนของท่าน” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา


“มันเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีหลักฐาน ข้าก็ไม่กล้ายืนยันกับท่านในตอนที่อยู่ในเรือนจำหรอก เอาอย่างนี้เถอะ! อีกเดี๋ยวข้าจะกลับไปพร้อมท่านเซียน จะได้ไปรับครอบครัวข้าออกมา และถือโอกาสนำเกล็ดปีศาจนี้ออกมาให้ท่านด้วย” ใต้เท้าซุนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


“ได้! งั้นเอาตามนี้ ใช่สิ! ท่านบอกว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือปีศาจที่แปลงกายมา ถ้าอย่างนั้นเมื่อเทียบกันกับก่อนและหลังจากที่ท่านได้รับจดหมาย ตอนนี้องค์จักรพรรดิมีอะไรแตกต่างจากแต่ก่อนหรือไม่?” หลิ่วหมิงนึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้จึงถามออกไป


“เรื่องนี้……ข้ายังไม่เคยค้นพบความผิดปกติใดๆ ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่างไป ก็คงเป็นที่หลายปีมานี้ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะเสด็จออกมาว่าราชการน้อยกว่าแต่ก่อน และนับวันยิ่งไม่สามารถควบคุมอ๋อง และองค์หญิงองค์ชายให้อยู่ในกรอบได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ถ้าข้าไม่ซ่อนความลับนี้ไว้ เกรงว่าคงไม่ค้นพบการเปลี่ยนแปลงนี้” ใต้เท้าซุนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


“เอาล่ะ! ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้พวกเรากลับเสวียนจิงกันเถอะ! แต่เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ข้ากับเจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาเล็กน้อย” หลิ่วหมิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าวออกมา


จากนั้นเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหน้าก่อนที่จะมีแสงสีขาวจางๆ เปล่งประกายออกมา ตอนนี้รูปร่างของบัณฑิตหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีก็เปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสะโอดสะอง


จากนั้นหลิ่วหมิงก็หยิบชุดสีดำ และสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้ออย่างละหนึ่งชุด หลังจากสวมชุดสีดำให้กับตนเองแล้ว ก็โยนอีกตัวให้กับใต้เท้าซุน


ใต้เท้าซุนเรียกสติจากอาการตกตะลึงจนตาค้างมาได้ และรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว


ขณะนี้หลิ่วหมิงหยิบเม็ดสีขาวออกมาจากอก และลูบไปมาระหว่างมือทั้งสอง หลังจากเคลื่อนไหวทีเดียว แป้งบนมือก็ไปปรากฏอยู่บนหน้าของใต้เท้าซุนแล้ว


ทันใดนั้นสีผิวอันขาวซีดของใต้เท้าซุน ก็เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำแลดูหยาบกร้าน


หลิ่วหมิงพยักหน้า ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือของเขา


ใต้เท้าซุนเพียงแค่รู้สึกถึงความเย็นที่พุ่งผ่านใต้คาง หนวดยาวๆ ถูกตัดออกไปโดยไร้สุ้มเสียง ทำให้เขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นมาสิบกว่าปี


“เอาล่ะ! ประมาณนี้แหละ” หลิ่วหมิงพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังรถม้าที่อยู่ข้างล่างเนินเขา


ใต้เท้าซุนลูบดูคางโล้นๆ ของตนเองแล้วก็แสยะปากออกมา จากนั้นก็รีบเดินตามหลิ่วหมิงไป


……


ช่วงบ่าย ที่พักที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่งในเสวียนจิง หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนกับใต้เท้าซุนได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นั่น


พวกเขามาถึงได้หนึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว แต่ใต้เท้าซุนผู้นี้เป็นคนละเอียดรอบคอบ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้คนในบ้านอยู่ไม่ไกล แต่ก็ยังอดทนนั่งอยู่ในโรงน้ำชาบริเวณนั้นตั้งนาน หลังจากที่ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ แล้ว เขาถึงพาหลิ่วหมิงออกไป


หลังจากมีเสียงดัง “ปัง!” “ปัง!” ประตูที่ปิดแน่นก็ถูกเปิดออกมา คนรับใช้ชายโผล่หน้าออกมาดู


“เจ้ามาหาใคร…….หืม! นายท่าน!” เดิมทีคนรับใช้ชายกะจะถามอะไรออกมา แต่หลังจากสังเกตดูหน้าของใต้เท้าซุนอย่างละเอียดแล้ว ก็เผลอหลุดปากพูดออกมา


“เบาๆ หน่อย ฮูหยินทั้งสองอยู่ในจวนไหม?” ใต้เท้าซุนถมึงตากล่าว


“เรียนนายท่าน ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองต่างก็อยู่ในจวน เมื่อครู่ยังพูดถึงนายท่านอยู่เลย” คนรับใช้ชายรีบหลบทางให้ และกล่าวอย่างนอบน้อม


“ดี คนอยู่ครบก็ดีแล้ว รีบออกไปว่าจ้างรถม้ามาสองคัน อีกประเดี๋ยวข้าจะใช้” ใต้เท้าซุนกล่าวโดยไม่ต้องคิด


“ทราบ! ข้าจะไปจัดการนี้” ข้ารับใช้ชายได้ยินก็ตอบรับแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว


ใต้เท้าซุนพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในจวน


ไม่นานผู้คนในจวนก็ดูวุ่นวายขึ้นมา


……


สองชั่วยามต่อมา รถม้าสามคันก็ห้อเหยียดออกไปจากประตูทางด้านตะวันออกของเสวียนจิง และพุ่งไปตามถนนสายหลัก


หลิ่วหมิงที่คืนร่างมาเป็นบัณฑิตหนุ่มเหมือนเดิม นั่งอยู่ในรถม้าคันหน้าสุด เขากำลังมองดูเกล็ดสีเขียวที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ใต้เท้าซุนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็มีสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง


“ส่งพวกเจ้าออกไปจากเสวียนจิงสิบลี้แล้ว พวกเจ้าคงจะปลอดภัย และข้าเองก็ต้องกลับไป เพราะแขกจิตวิญญาณระดับทองคำจะมีกฎที่ไม่ถูกเขียนไว้ข้อหนึ่ง ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษจากราชสำนัก พวกเขาไม่สามารถออกไปจากเสวียนจิงได้เกินสิบลี้” หลิ่วหมิงขยับนิ้วทีเดียว เกล็ดสีเขียวก็ลางเลือนหายไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากพูดกับใต้เท้าซุน


“ข้าเองก็เคยได้ยินคำร่ำลือนี้ ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่คุณชายช่วยชีวิตไว้ มิเช่นนั้นข้าไม่รู้ว่าครอบครัวของข้าจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร” ใต้เท้าซุนกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ


“ไม่เป็นไร! ข้าแค่ทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าอยากไปให้ไกลๆ จากที่นี่ ยังคงมีอีกด่านที่ต้องฝ่าไปให้ได้” หลิ่วหมิงถอนหายใจกล่าวออกมา


“คุณชายหมายความว่าอย่างไร?” ใต้เท้าซุนได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


“ตั้งแต่รถม้าของพวกเราออกมาจากเสวียนจิง ก็มีคนตามพวกเรามาทางอากาศ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ คงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ถ้าอย่างนั้นควรจะทำเช่นไร?” ใต้เท้าซุนได้ยินก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“วางใจเถอะ! ในเมื่อข้าบอกว่าจะคุ้มกันพวกเจ้าออกไปจากเสวียนจิง ข้าย่อมไม่กลับคำพูด เพียงแค่ทำให้คนที่มาจากไป มันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าว จากนั้นก็ขยับตัวพุ่งออกไปทางหน้าต่าง และไอสีดำใต้เท้าก็โผล่ออกมาค้ำยันร่างเขาให้ทะยานขึ้นไป


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ลอยอยู่บนอากาศที่สูงร้อยกว่าจั้ง เขากำลังเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ผมสีฟ้าหนวดสีม่วงที่กำลังจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)