ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 182-185
ตอนที่ 182 สักวันหนึ่งเขาจะแต่งงานกับนาง
ที่ด้านนอกวัง ตู๋กูจุนส่งองค์หญิงใหญ่สองแม่ลูกกลับถึงตำหนักอย่างปลอดภัยแล้ว
ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำเดียว
กระทั่งรถม้าขององค์หญิงใกล้จะเข้าไปในตำหนักประจำพระองค์แล้ว ตู๋กูจุนถึงได้กล่าวว่า ” ทูลองค์หญิง อีกไม่กี่วันกระหม่อมก็ต้องไปเป่ยเจียงแล้ว หากว่าพระองค์ทรงมีเรื่องร้อนพระทัยอันใด แม้จะไกลถึงพันลี้กระหม่อมก็จะเร่งรุดกลับมา “
จีฉุนประทับอยู่ในรถม้า สีพระพักตร์เย็นชา ” หากว่ามีโอกาสผ่านไปถึงริวกิวละก็ หวังว่าท่านจะช่วยจุดธูปให้กับสามีของข้าด้วย “
ตู๋กูจุนถอนลมหายใจลึกเบาๆ ได้แต่ตอบว่า ” ได้ “
” ขอให้ท่านมีอายุยืนยาวร้อยปี เราต้องการให้ท่านอยู่กับความสำนึกผิดนี้ไปทั้งชีวิต ทุกค่ำคืนต้องตกอยู่ในฝันร้าย ไม่อาจปลดเปลื้องไปได้ชั่วชีวิต “
นางสาปแช่งด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ รุนแรงยิ่งกว่าการแทงคนด้วยดาบเสียอีก
สายตาของตู๋กูจุนทอประกายอมทุกข์ ” จีฉุน พวกเราเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ท่านเกลียดข้าเข้ากระดูกดำถึงเพียงนี้? “
ยามเยาว์วัย เขามักติดตามอยู่ด้านหลังของนาง ชอบเรียกนางเป็นพี่สาวองค์หญิง
พอเขาเติบโตขึ้นจนสูงกว่านางแล้ว ก็ไม่เรียกนางเป็นพี่สาวอีกแล้ว
แต่เขามักจะทำเช่นยามนี้ คอยดูแลปกป้องนาง
ยามนั้นอายุยังน้อยไม่ประสีประสา ทั้งยังไม่เคยมีความรักมาก่อน
เขาเป็นคนหยาบ ไม่รู้จักความอ่อนหวานอย่างพวกดอกไม้ผลิบานหรือจันทราในฤดูสาทร ทั้งยังไม่มีความงามสง่าหรูหราอย่างพวกคุณชายตระกูลใหญ่ทั้งหลาย เขาเพียงรู้จักตวัดดาบรำทวน ฆ่าล้างศัตรูในสนามรบ
กับคนเดียวที่หลงรัก เขาเพียงเก็บเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่กล้าเปิดเผยออกมาโดยง่าย
ตอนอายุสิบหกปีนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เป็นหัวหน้ากองทะลวง เขาได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ สามารถปลิดศีรษะของแม่ทัพฝ่ายศัตรูลงได้ด้วยตนเอง
หัวหน้ากองที่ออกรบครั้งแรกก็ได้รับชัยชนะ ว่ากันตามธรรมเนียมแล้ว สามารถทูลขอความต้องการกับฮ่องเต้ได้
ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็คิดเอาไว้อย่างดีแล้ว รอจนกลับมาถึงเมืองหลวง จะขอให้ฮ่องเต้ประทานสมรสพระราชทาน เขาจะสู่ขอนาง จะปกป้องนางไปชั่วชีวิต
แต่ว่าวันที่เขากลับมาถึงเมืองหลวงนั้น ทั่วทั้งเมืองประดับประดาด้วยดอกไม้แดง
นางแต่งออกไปแล้ว ผ้าแดงสิบลี้ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูวังไปจนถึงจวนตระกูลฉางซุน ผู้คนทั้งหลายต่างร่วมอวยพรงานมงคลสมรสขององค์หญิงใหญ่
เหลือเพียงเขาคนเดียว……….ที่ไม่เต็มใจ
เดิมทีเขาคิดเอาไว้ ว่าในโลกนี้คนเดียวที่สามารถมอบความสุขให้กับนางได้ก็คือตนเอง
เดิมทีเขาคิดเอาไว้ สักวันหนึ่งเขาจะแต่งงานกับนาง
แต่เขาช้าไปแล้ว และพ่ายแพ้ไปแล้ว
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ตัดสินใจอย่างชัดเจน ชีวิตนี้จะขอทุ่มเทอยู่กับสนามรบ ปกป้องประเทศชาติของนาง ให้นางได้มีความสงบสุขปลอดภัยไปชั่วชีวิต
แต่ใครจะไปรู้ ว่าจะเกิดเรื่องของราชบุตรเขยขึ้นมา ทำให้นางชิงชังเขาถึงเพียงนี้
ที่ต่อมาเขาเกิดความคิดจะก่อกบฎนั้น ก็เพราะคิดถึงหนทางในอนาคตเพื่อนาง
ตู๋กูจุนแสนทุกข์ทรมาน
หลายปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขามีใจรักใคร่องค์หญิง แม้แต่น้องสาวที่สนิทสนมใกล้ชิดที่สุด เขาก็ยังไม่เคยปริปากสักครึ่งคำ
ถึงวันนี้คนพยายามปกป้องในทุกทางมาตลอดกลับกลายเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง ตัวเขานี้มันช่างน่าขำเสียเหลือเกิน
ภายในรถม้า จีฉุนปิดตาแนบแน่น พอคิดถึงภาพบุรุษหนุ่มเยาว์วัยที่องอาจหล่อเหลา ในใจก็ทวีความเจ็บปวดขึ้นมา
นางไม่สนใจเขาอีก รถม้าเคลื่อนเข้าไปในจวน ทอดทิ้งตู๋กูจุนไว้ที่ประตูเพียงลำพัง
หยวนเฟยที่แอบตามมาอย่างเงียบๆ เฝ้ามองตู๋กูจุนที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสาร
………………………………………….
เพียงพริบตาเดียวเวลาสามเดือนก็ผ่านพ้นไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิมาถึง อากาศเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา
ต้นไห่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงล้วนแต่แตกยอดใหม่ เพิ่มพูนความมีชีวิตชีวา
ข่าวที่กระพือโหมเรื่องที่ไทเฮาทรงยั่วยวนฝ่าบาทในงานเลี้ยงพระราชทานวันสิ้นปี ก็ค่อยซาลงไปในที่สุด
เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฝ่าบาทก็ทรงใส่พระทัยในราชกิจมากขึ้น ทุกวันเริ่มทรงงานตั้งแต่ยามเหมา (05.00 – 07.00 น.) จนมาถึงยามจื่อ (23.00-01.00น.) ถึงได้เข้าบรรทม ชนิดที่เรียกว่าแทบจะทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดลงไปกับงานในราชสำนัก
เหล่าพระสนมในวังหลังเดิมทีก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่แล้ว คราวนี้แม้แต่เวลาที่จะได้เห็นพระพักตร์ก็ยังน้อยลงไปอีก
เดือนๆ หนึ่งเพียงได้พบพระพักตร์เพียงแค่ครั้งสองครั้ง ทั้งยังเป็นเพียงแค่มองผ่านไป
ไม่เพียงแค่นี้ กระทั่งตำหนักเฟิ่งหมิงฝ่าบาทยังไม่ค่อยได้เสด็จไปแล้ว สุดท้ายแล้วพระองค์ก็ยังทรงเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดิน มิอาจไม่คำนึงถึงสายตาของผู้คนทั้งหลาย ดังนั้นต่อให้ทรงมีพระทัยโปรดปรานคนผู้นั้นจริง แล้วจะอย่างไร?
ไหนเลยจะสามารถมอบฐานะที่ชัดเจนให้นางได้กัน?
ดูเอาเถอะ นี่ก็ไม่ใช่ว่าทรงเย็นชาใส่มาหลายเดือนแล้วหรอกหรือ?
แม้เหตุการณ์วันนั้นนับว่าทำเอาพวกนางตระหนกตกใจกันไปแล้วจริงๆ นึกว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงสนใจสิ่งใดอีก จะรับตู๋กูซิงหลันเป็นพระสนมให้ได้เสียแล้ว
ยังโชคดี……..ที่เป็นเพียงแค่ตกใจกันไปเองเท่านั้น
ถึงวันนี้ตู๋กูจุนเองก็ไปจากเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้ที่พึ่งพิง
ตำหนักเฟิ่งหมิงเรียกได้ว่าเงียบเหงาวังเวง เพราะนอกจากหยวนเฟยและองค์หญิงใหญ่ที่นานๆ ทีจะไปเยี่ยมเยียนบ้างแล้ว แม้กระทั้งหวงกุ้ยเฟยซูเม่ยยังน้อยครั้งที่จะเสด็จไป
ฟังว่านะ ซูเม่ยกลายเป็นอริกับตู๋กูซิงหลันเพราะฝ่าบาท
หึ หึ เป็นใครจะไม่คิดอริกันละ?
………………………..
ในตำหนักเฟิ่งหมิง ตู๋กูซิงหลันกำลังจดจ่อกับการวาดยันต์
วิญญาณทมิฬเดินไปเดินมาอยู่รอบๆ ตัวนาง ” อร๊าย เสี่ยวฉวนฉวน ท่านน่ากินมากเลย “
” เสี่ยวฉวนฉวน ข้าชอบท่านม๊ากมาก~ “
มันทำซุ่มเสียงประหลาดเลียนแบบนาง
ตู๋กูซิงหลันขว้างรองเท้าไปข้างหนึ่ง นับตั้งแต่ที่นาง ‘ตื่น’ขึ้นมา วิญญาณทมิฬเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อนางอยู่ทุกวัน
เรื่องในวันนั้น นางเพียงแต่รู้สึกว่าเมามายอย่างหนักไปรอบหนึ่ง จำได้แต่เพียงเลาๆ ว่าได้เห็นจีเฉวียนที่สุดแสนจะน่าหลงใหล หลังจากนั้น ร่างกายก็ร้อนวูบวาบ พอเจอกับเขาที่เนื้อตัวเย็นยะเยือกอยู่ตลอด ก็คิดจะไปอิงแอบความเย็นจากเขา
หลังจากนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็จำไม่ได้แล้วจริงๆ
” อย่าได้เอาแต่ตีหัวอั๊วจะได้ไหม เดี๋ยวก็กลายเป็นโง่กันพอดี ” วิญญาณทมิฬกุมหัวประท้วงนาง ” คำพูดพวกนี้เป็นเจ้าพูดออกจากปากกับฮ่องเต้สุนัขนั่นเอง ยังจะไม่ให้ข้าเลียนแบบสักหน่อยอีกหรือ? “
ตู๋กูซิงหลันใช่พู่กันที่เขียนยันต์ตวัดลงบนหน้าผากของมันครั้งหนึ่ง
” รบกวนอย่าได้มาตอกย้ำข้าอยู่ทุกวัน ข้ายอมรับว่าทำเรื่องน่าอับอายไปแล้ว “
” เรื่องที่ทำไปแล้วจะไปลบทิ้งได้อย่างไร? ” วิญญาณทมิฬพยายามใช้มือสั้นๆ ของมันถูหมึกสีแดงบนหน้าผากออกไป
มันยังไม่กล้าบอกนางเลยว่า คืนนั้นเจ้าฮ่องเต้สุนัขเกือบจะหักห้ามความต้องการจะกลืนนางลงไปเอาไว้ไม่อยู่ขนาดไหน
แต่ว่าประโยคที่บอกว่า “เรารักเจ้า ” มันกลับฟังเข้าใจได้อย่างชัดเจน
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่นั้นมา เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นถึงไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักเฟิ่งหมิงเลยสักก้าวเดียว
ตลอดสามเดือนมานี้ ก็ไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเลย
ที่ด้านนอกตำหนักเฟิ่งหมิงยังคงมีทหารยามเฝ้ารักษาดังเดิม ดูแลอย่างขึงขังแน่นหนา เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นไม่มาพบนางก็แล้วไปเถอะ แต่นี้กลับยังถึงขั้นขังคนเอาไว้ด้วย
ครั้งนี้กลับกักขังอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก
วิญญาณทมิฬถึงกลับดูไม่ออกว่าเขากำลังทำไปเพื่ออะไรอยู่ ” เจ้าบอกมาสิว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นป่วยหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่มาสารภาพรักกับเจ้าไปแล้ว ดูเอาสิ ที่อยู่แบบนี้มันใช่คนหรือ? “
ตู๋กูซิงหลันยังคงสงบนิ่ง วาดยันต์ของนางต่อไป
คำพูดของเจ้าวิญญาณทมิฬตัวยุ่งล้วนไม่อาจเอามาเชื่อถือได้ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นไม่มีทางชอบนางอย่างเด็ดขาด
เรื่องที่ควรจะรู้จักประมาณตนเช่นนี้นางยังมีอยู่
เขาสั่งขังของเขาไป นางก็แค่รอจนดึกสงัดไร้ผู้คนค่อยออกไปก็ใช้ได้แล้ว
ประเด็นสำคัญคือต้องจับตาดูตำหนักชางอู่ทางนั้นให้ดี อันหร่วนพอถูกขังเอาไว้แล้ว วันทั้งวันก็เอาแต่กินเจสวดมนต์ ไม่มีความเคลื่อนไหวพิเศษอันใด
อันหว่านจือจนถึงวันนี้ก็ยังถูกขังอยู่ในคุก ไม่มีโอกาสออกมาสำแดงฤทธิ์อีก
และด้วยอุปนิสัยของอันหว่านจือแล้ว การขังนางเอาไว้เท่ากับเป็นการปกป้องนางอย่างหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันสามารถเข้าอกเข้าใจการกระทำของจีเฉวียนได้ จะอย่างไรอันหร่วนก็เป็นแม่นมของอดีตฮองเฮา สำหรับจีเฉวียนแล้ว ก็เป็นดั่งยายคนหนึ่ง เขาย่อมต้องให้ความเคารพ
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ ที่ผ่านมาฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างที่สุด เพียงแต่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกนั้น ชาจนช้า ไม่รู้สึกหรือไงว่าอันหร่วนนั้นมีปัญหา?
ตกดึกแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็เล็ดลอดพวกเวรยามออกไปอีก นางเร้นกายออกไปเงียบๆ
แต่ครั้งนี้ พอพึ่งจะออกจากประตูตำหนักมาได้ ก็เห็นเงาของชุดสีทองที่คุ้นเคยรออยู่ใต้ต้นไห่ถางนอกตำหนักแล้ว
ร่างที่สูงใหญ่นั้นขวางนางเอาไว้ ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องมองมาที่นาง
ตอนที่ 183 ฝ่าบาท เดินทางปลอดภัยนะเพคะ
กลางคืนมืดมิด ท่ามกลางแสงดาวริบหรี่ บนร่างของเขาคล้ายดั่งมีแสงดาวระยิบระยับ ดวงพักตร์หมดจดงดงาม เส้นผมกลุ่มหนึ่งไล้อยู่ข้างกรอบหน้า ราวกับคลื่นสาหร่ายที่ไหลลื่นอยู่บนหัวไหล่ของเขา กลายเป็นภาพที่งดงามจนยากจะบรรยายออกมา
ดูไปแล้วเขาผ่ายผอมไปกว่าเมื่อสามเดือนก่อนไม่น้อย
พระพักตร์มีเหลี่ยมมุมจัดเจนกว่าเดิม ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังคงดำลึกดุจดั่งราตรี ยามนี้กลับมองดูนางอย่างสงบนิ่ง
เขาเอาแต่จดจ้องมองดูนางอยู่อย่างนั้น
จนผ่านไปอีกพักใหญ่ ถึงได้เริ่มเอ่ยขึ้นมา ” เราควบคุมดูแลเจ้าไม่ได้แล้ว “
น้ำเสียงลึกต่ำนั้นออกจะแหบพร่าอยู่บ้าง ราวกับคนที่เจ็บป่วยมานานและยังไม่หายดี
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ใต้กำแพงวัง อึกอักอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวออกมาสองคำ ” ลูก….ฝ่าบาท”
เจ้าลูกชายคนนี้ต้องมีเนื้อมีหนังเสียหน่อยถึงจะน่าดู พอผ่ายผอมเสียอย่างนี้มีแต่จะปลุกความเป็นแม่ของนางขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสารขาดมารดาเลี้ยงดูเอาใจใส่
พอได้ยินเสียงของนาง สายพระเนตรของจีเฉวียนก็ทอประกายสว่างวูบขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยากจะเข้าใกล้นาง แต่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่กลับฉุดรั้งเขาเอาไว้
เขาเอนตัวลงพิงต้นไห่ถางเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หลับตาหงส์ลงงำประกาย กดเสียงต่ำกล่าวว่า ” ที่เรามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาลาเจ้า “
” หืม? ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดกัน? ” ที่จริงตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาอยากจะไปที่ไหนก็ไม่จำเป็นจะต้องมาบอกนางเสียหน่อย
นางเองก็ไม่ได้สนใจจะอยากรู้
ตอนงานเลี้ยงชมพลุดอกไม้ไฟ รู้สึกว่าเขาน่าหลงใหลจนสามารถทำให้นางวิญญาณหลุดลอย พอตอนนี้กลับรู้สึกว่าทั่วทั้งตัวของเขาหนาวเย็นจนเสียดกระดูก ชนิดที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าเข้าใกล้อย่างไรอย่างนั้น
จะให้ชื่นชอบจีเฉวียนหรือ? เป็นไปไม่ได้ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางเป็นไปได้
” เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจบอกเจ้าได้ ” จีเฉวียนตรัส ” ช่วงเวลาที่เราไม่อยู่ในวัง เจ้าต้องเก็บตัวอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงให้ดี ห้ามปีนกำแพงออกไปโดยเด็ดขาด “
ที่ผ่านมา เขาพูดไปแล้วแต่นางก็ไม่เคยยอมฟัง ตลอดสามเดือนมานี้ พวกที่เฝ้าเวรล้วนคอยรายงานมาโดยตลอด นางปีนกำแพงออกไปในยามดึกเกือบทุกคืน
เขาก็ได้แต่ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น
ขอเพียงเขายังอยู่ในวัง ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรกับนางได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาจำเป็นต้องไปจากวังหลวงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งยังไม่อาจปล่อยให้นางก่อเรื่องได้
ตู๋กูซิงหลันฟังแล้วก็กล่าวว่า ” หม่อมฉันขอถามคำหนึ่ง ฝ่าบาททรงเกลียดชังหม่อมฉัน ถึงได้สั่งให้ขังเอาไว้หรือไม่? “
เป็นเพราะนางก่อเรื่องให้กับเขาในงานเลี้ยงพระราชทาน ถึงต้องโดนขังไว้เหมือนตอนแรกที่ถูกขังในตำหนักเย็น
เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เป็นตำหนักเฟิ่งหมิงเท่านั้น
ถึงจะบอกว่าขัง แต่ทุกวันก็ยังมีให้กินให้ดื่มอย่างเอร็ดอร่อย หลี่กงกงก็คอยนำของเล่นแปลกๆ ใหม่ๆ จากนอกวังมาให้นางมิได้ขาด
ทั้งยังให้ความเคารพต่อนางราวกับเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง นี่จะเรียกว่ากักขังได้อย่างไร
จีเฉวียนทรงฟังแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะตรัสตอบนางอย่างไรดี
คืนนั้นเขารู้ตัวแล้วว่า ตนเองประเมินความรู้สึกที่มีให้นางต่ำเกินไป
เพื่อบัลลังก์แล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมาควบคุมตนเองได้ เขารู้ตัวดีว่าตนเองเข้าใกล้นางมากเกินไปแล้ว
ดังนั้นเขามีแต่จะต้องรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเอาไว้
หากว่าเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่ง เขาไม่กล้ารับประกันตนเองเลยว่าจะทำสิ่งใดกับนางบ้าง
ก่อนหน้านี้เขาผลีผลามเกินไป ครั้งแรกที่ชอบใครสักคน ทุกสิ่งล้วนพุ่งพล่านจนเกินของเขตของตน
ยามนี้พอสงบลงได้แล้ว ก็ยิ่งรู้ดีว่า สำหรับเขาแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นแผ่นดินต้าโจว
ยังมีการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา ยังคงเป็นปมปัญหาอยู่ในใจของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้เขาได้สืบทราบไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ปมในใจนี้ก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายออก ถึงแม้ว่าเขาจะชอบนาง แต่ก็ยังคงต้องยับยั้งเอาไว้
นี่เป็นปมปัญหาที่ย้อนแย้งอยู่ในใจของเขา
ดังนั้นสามเดือนที่ผ่านมานี้ เขาทุ่มเทให้กับงานราชกิจอย่างสุดชีวิต มีแต่ทำตนเองให้ยุ่งจนไม่มีเวลา จะได้ไม่ต้องคิดถึงนาง
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เขาถึงได้ตรัสตอบปัญหาของตู๋กูซิงหลัน ” ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบ “
ครึ่งประโยคหลังนั้น ดูจะเน้นอยู่เป็นพิเศษ
ตู๋กูซิงหลันนึกรู้อยู่แล้ว ละครฉากใหญ่ที่วิญญาณทมิฬเล่นอยู่นั้นเพราะตั้งใจจะเอามาหลอกนาง ที่ว่า ‘เรารักเจ้าเพียงผู้เดียว’ อะไรนั่น ก็แค่หาคำพูดลวงๆ มาหลอกนางเท่านั้น เจ้าตัวแสบนั้นมีชีวิตอยู่มายาวนานไปแล้ว
พอตอนนี้ได้ยินจีเฉวียนพูดออกมาจากปากของเขาว่าไม่ได้ชอบนาง นางก็รู้สึกว่าสามารถวางใจลงได้แล้ว
จึงทอดถอนใจออกมาอย่างยืดยาว “เช่นนี้ก็ดี เช่นนี้ก็ดี “
ไม่ได้ชอบก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นพอคิดว่าถูกลูกเลี้ยงมาหลงรักตนเองเข้าให้ นางก็เป็นต้องปวดหัวขึ้นมาอีก
เหล่าลูกสะใภ้ที่มีอยู่อย่างมากมายในวังหลังก็คงจะมีแต่พากันมารุมเกลียดนาง แม้แต่เสี่ยวซูเฟยก็คงจะพลอยคิดสู้ตายกับนางด้วย
ตอนนี้ละดีแล้ว รากเหง้าของปัญหาที่นางกังวลใจสลายไปแล้ว
พอตรัสออกไปแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเห็นว่านางแย้มยิ้มให้พระองค์อย่างยินดี ” ฝ่าบาท เดินทางปลอดภัยนะเพคะ ฝ่าบาทสู้ๆ นะเพคะ”
จีเฉวียน “……..”
พระองค์คิดว่านางจะต้องเป็นทุกข์เสียอีก
ที่แท้ เรื่องในคืนนั้นทั้งหมดก็เป็นเพียงเพราะฤทธิ์ของน้ำแกงสร่างเมาชามนั้น สตรีผู้นี้ไม่มีหัวใจแท้ๆ นางชอบเขาที่ไหนกัน
แต่เพราะคิดถึงคำพูดของนาง ”ชอบท่านมากเลย’ คิดถึงจูบที่ดื่มด่ำลึกซึ่งในคืนนั้น ทำให้ทรงรู้สึกว่าทั้งหมดราวกับเป็นเรื่องจริง
เดิมทีพระองค์มีคำพูดมากมายคิดจะกล่าวกับนาง แต่พอถึงริมพระโอษฐ์กลับมีเพียงประโยคเดียว ” ตู๋กูซิงหลัน กลับไปนอนหลับพักผ่อนให้ดี “
” ได้เรยยยย! “
ตู๋กูซิงหลันรับคำ ก็หมุนตัวกลับไปอย่างกระฉับกระเฉง ปีนกำแพงกลับไปอย่างเข้มแข็ง
ท่าปีนกำแพงของนางคึกคักดั่งม้าออกศึก เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ เห็นปลีน่องที่เรียวเล็กและปลายเท้าเล็กๆ ที่ดูบอบบางประหนึ่งจะหักได้ทุกเมื่อใต้กระโปรงของนาง
จีเฉวียนนวดคลึงขมับ เพื่อป้องกันไม่ให้ขาของนางได้รับบาดแผลเวลาปีนกำแพง เขาคิดว่าใต้กำแพงสมควรจะปลูกหญ้าให้มากหน่อย ชนิดที่มีใบหนานุ่มๆ พวกนั้น
แล้วก็……..เสริมกำแพงให้สูงหน่อย เอาให้นางปีนออกมาไม่ได้
” นู๋นั่ว “
เพียงแค่ได้ยินเสียงเขาเรียกออกไป
เงาดำนั้นก็ปรากฎขึ้นมาที่เบื้องหน้าของเขาโดยทันที คุกเข่าครึ่งหนึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความเคารพนบนอบ
จีเฉวียนยังคงมองดูกำแพงวังสีแดงอยู่อย่างนั้น ” ปกป้องไทเฮาให้ดี ไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายนางได้แม้แต่น้อย “
” พะยะค่ะ ” คนในชุดดำตอบ จากนั้นก็หายลับไปในความมืด
……………
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านในกำแพง ในมือก็ปรากฎยันต์ขึ้นมาอีกหลายใบ เพียงได้ยินริมฝีปากของนางท่องคาถาขมุบขมิบ ยันต์หลายใบนั้นก็โบยบินข้ามกำแพงไป
จีเฉวียนพึ่งจะหันหลังก้าวออกไปได้ก้าวเดียว ยันต์เหล่านั้นก็ไล่ตามไปผนึกเข้าบนร่างของเขา
ยันต์เหลืองแต่ละใบพอสัมผัสถูกร่างของเขาก็ละลายกลายเป็นไอสีดำซึมซับเข้าไปในร่างของเขา
หลังจากสามเดือนแล้ว นางก็กระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ได้สร้างยันต์คุ้มกันขึ้นมา สามารถขับไล่ภูติผีปีศาจร้ายได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ในร่างกลับมีไอหยินรุนแรงหนักแน่น หากออกไปนอกวังก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการดึงดูดสิ่งอัปมงคลได้ หากมียันต์คุ้มครองของนางอยู่ ก็สามารถลดเภทภัยไปได้มาก
ตู๋กูซิงหลันไม่ต้องการปล่อยให้เขาไปเกิดเรื่องร้ายที่ภายนอก
ไม่ว่าจีเฉวียนจะทำสิ่งใด เขาก็นับได้ว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีองค์หนึ่ง ฮ่องเต้ที่ดีสำหรับอาณาประชาราชแล้ว นับว่าสำคัญอย่างยิ่ง
ก่อนที่จะก่อกบฏ สมควรให้เขาอยู่รอดปลอดภัยจะดีกว่า
………………………
ตำหนักชางอู่ อันหร่วนที่กำลังสวดเม็ดประคำอยู่นั้นก็พลันหยุดลง ดวงตาชราที่ปิดอยู่ลืมขึ้นมา ทอประกายสว่างวาบ “
” หยกสรรพชีวิต …..ที่แท้ก็อยู่ในวัง “
ดูท่านางจะประเมินวังหลังต่ำไปเสียแล้ว
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งผ่านหน้าหน้าต่างเข้ามาในห้อง
หลังจากที่หมอกดำในห้องค่อยๆ สลายไป ก็มีคนคนชุดดำใต้ผ้าคลุมปรากฎขึ้นอย่างช้าๆ
สีหน้าของอันหร่วนเปลี่ยนไปอย่างทันที นางกวาดตามองออกไปด้านนอก รีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ค่อยหันมากล่าวกับคนชุดดำนั้นมา ” เจ้ามาทำไม? “
ตอนที่ 184 พี่ไก่ดำกับม้า
” เวลาก็ผ่านไปถึงสามเดือนแล้ว งานของท่านยังไม่สำเร็จเลยสักอย่าง หากข้ายังไม่มา เกรงว่าท่านคงจะลืมเป้าหมายของท่านไปหมดแล้ว ” คนชุดดำตอบเสียงเย็น ” อันหร่วนกูกู ข้าจะขอเตือนท่านสักหน่อย ความอดทนของนายท่านนั้นมีอยู่อย่างจำกัด “
อันหร่วนขมวดคิ้วขึ้นมา ” พวกเจ้าประเมินฮ่องเต้ต้าโจวต่ำไปแล้ว เขาใช่ว่าจะถูกหลอกลวงได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ “
คนชุดดำตอบว่า “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”
อันหร่วนได้ยินแล้วก็เถียงว่า ” ตั้งแต่ตอนแรกที่การครอบงำองค์หญิงใหญ่ล้มเหลว พวกเจ้าก็แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว ตอนนี้ข้าก็เพียงแต่ซ่อนเร้นแสวงหาโอกาสในความเงียบ การจะได้โอกาสมาย่อมต้องรู้จักอดทนรอ “
ตอนแรกพวกเขาคิดจะควบคุมองค์หญิงใหญ่เอาไว้ เพื่อคอยกระตุ้นความขัดแย้งระว่างฮ่องเต้และตระกูลตู๋กู แต่ว่าแผนนี้กลับถูกขัดขวางเสียจนเละเทะหมดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น พอหว่านจรือมาถูกขังอยู่ในคุก นางก็รู้ดีว่า ฮ่องเต้เกิดความสงสัยในตัวนางขึ้นมาแล้ว ถึงได้จับหว่านจรือเอาไว้ในมือเป็นตัวประกัน
นางย่อมไม่กล้ากระทำการใดๆ อย่างวู่วาม
ฮ่องเต้องค์นี้ ยังลึกล้ำมากกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มาก แม้ภายนอกจะดูคล้ายกับว่าพระองค์ถูกสตรีครอบงำจนหลงใหล แต่ที่จริงแล้วหมากทุกตาที่ทรงก้าวเดินล้วนผ่านการคิดคำนึงมาอย่างดีแล้ว
มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยความห่วงหาที่พระองค์มีต่อฉางซุนฮองเฮา ไม่มีทางเลยที่เมื่อได้ยินว่าอดีตฮองเฮาถูกวางยาพิษแล้วก็จะยังสงบนิ่งได้เช่นนั้น
บางที พระองค์อาจจะคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่าพวกนางจะพูดออกไปเช่นนี้
แม้แต่ตัวนางเองก็ยังดูไม่ออกว่าฮ่องเต้ทรงมีพระดำริใดอยู่ในพระทัย
” นายท่านไม่มีเวลาจะรอคอยมากขนาดนั้น ” คนชุดดำกล่าวขึ้นมาอีก ” นายท่านปรารถนาให้ต้าโจวพินาศย่อยยับ ให้ผู้ครองต้าโจวต้องทนทุกข์ทรมานเจ็บปวดมิสู้ตายไป “
พอพูดออกมาแล้วบนร่างของเขาก็ปรากฏหมอกดำกำจายออกมา ” อันหร่วน ท่านมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น คิดจะให้อันหร่วนกลายเป็นสตรีของฮ่องเต้ คลอดโอรสออกมา ครองแผ่นดินต้าโจวแทน เรื่องนี้นายท่านทราบดี ขอเพียงท่านทำสำเร็จ ก็นับว่านี้เป็นผลงานของท่าน แต่ว่าอันหว่านจือนั่นกลับใช้การไม่ได้ “
” ก็แค่หมากตัวหนึ่ง ในเมื่อไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังถูกฮ่องเต้เอามาใช้ข่มขู่ท่าน ท่านเองก็ใช้การไม่ได้เหมือนกัน “
อันหร่วนไร้คำพูดจะกล่าว นางได้แต่กำลูกประคำในมือเอาไว้อย่างแนบแน่น
คนชุดดำผู้นั้นยังคงพูดต่อไปอีกว่า ” อุทกภัยในลี่โจวรุนแรงหนักขึ้น ฮ่องเต้ต้องเสด็จไปลี่โจวด้วยพระองค์เอง นี่กลับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเราแล้ว “
” เจ้าคิดจะทำอะไร? ” อันหร่วนถามออกไป
” โอรสสวรรค์เสด็จไปบรรเทาทุกข์ด้วยพระองค์เอง แต่กลับกระตุ้นทำให้ฟ้าดินพิโรธ เกิดฝนตกหนัก โรคระบาดแพร่กระจาย ผู้คนล้มตายจำนวนมาก เช่นนี้เขาจะยังครองใจชาวประชาได้อีกหรือ? ” คนชุดดำหัวเราะเสียงเย็นเฉียบ ” เจ้าล่วงรู้เวลาตกฟากของเขาเป็นอย่างดี ขอเพียงร่ายคาถาสาปแช่งอีกครั้ง ทำให้เขากลายเป็นตัวประหลาดต่อหน้าประชาราษฎ์ เช่นนี้แล้วแคว้นต้าโจวจะยังสงบสุขได้อีกหรือ? “
ว่าแล้วเขาก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง ” ครั้งนี้ ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว “
…………………………..
ตำหนักเฟิ่งหมิง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ได้รับทราบข่าวคราว ว่าในช่วงหลายวันนี้แม่น้ำลี่เหอท่วมท้น ผู้คนบาดเจ็บล้มตายตามกันเป็นจำนวนมาก อาณาประชาราษฏ์เดือนร้อนไปทั่ว
ที่สำคัญที่สุดคือ พี่รองที่เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายบรรเทาทุกข์ หายตัวไป
พอเกิดเรื่องเช่นนี้ราชสำนักก็ร้อนระอุขึ้นมา เหล่าขุนนางต่างก็พากันวิพากวิจารณ์ว่าพี่รองทำงานไม่สำเร็จ พอเกิดปัญหาก็ม้วนเสื่อวิ่งหนีหายไป
” คุณชายรองไม่มีทางเป็นคนเช่นนั้นเด็ดขาด! ” เชียนเชียนโมโหถึงขั้นจะตะโกนด่าบรรพบุรุษของคนพวกนั้นทีเดียว ” นายหญิง แต่ไหนแต่ไรคุณชายรองห่วงใยชาวบ้าน เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เขาย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องไร้ความรับผิดชอบอย่างวิ่งหนีไปโดยเด็ดขาด “
” คนเหล่านั้นรู้จักแต่ความสุขสบายจนเคยชิน รู้ดีว่าเรื่องน้ำท่วมนั้นหนักหนาเพียงไร พอเกิดเรื่องขี้นมาก็โยนความผิดใส่คุณชายรอง คุณชายรองของพวกเราช่างโชคร้ายจริงๆ “
ในมือของตู๋กูซิงหลันยังคงถือจดหมายจากแดนไกลที่พี่ชายใหญ่ส่งมา สั่งให้นางสงบใจอยู่แต่ในวัง ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องของพวกพี่ชาย
แต่ว่าทางลี่โจวกับส่งข่าวมา ว่าพี่รองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
พี่ใหญ่และท่านปู่ต่างก็ยังอยู่ที่เป่ยเจียง นางไม่อาจอยู่ในวังรอคอยไปวันๆ
พอใคร่ครวญดูแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ตัดสินใจจะไปลี่โจวด้วยตนเอง
ก่อนที่พี่ใหญ่จะออกเดินทาง ได้ทิ้งสมบัติกองใหญ่เอาไว้ให้นาง เพียงพอให้นางใช้จ่ายระหว่างเดินทางได้อย่างสบาย
นอกจากซื้อมาแล้ว ยังต้องมีของใช้ในชีวิตประจำวัน ตะเตรียมชุดบุรุษสักหลายชุด ในคืนที่ไร้แสงจันทร์สายลมพัดแรงนางก็ออกจากวังไป
เชียนเชียนถูกนางทิ้งเอาไว้ที่ตำหนักเฟิ่งหมิง ให้นางสวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง ยามว่างๆ ก็เดินผ่านหน้าต่างสักหลายๆ รอบ แกล้งทำเป็นว่าไทเฮายังทรงอยู่ในวัง
นางสวมใส่ชุดบุรุษสีดำ เกล้าผมหางม้าทรงสูง ขี่ม้าออกไปทางประตูเมืองตะวันออก
สี่ทิศรอบด้านของเมืองหลวงล้วนแล้วแต่เป็นป่าหนาทึบ ในป่ามีถนนหลวงอยู่เส้นหนึ่ง มีรถม้าและผู้คนผ่านไปมาอยู่ตลอด
ตลอดทางมีคนมองนางไม่น้อย ความหล่อเหลาของตู๋กูซิงหลันนั้นจัดว่าพวกบุรุษทั่วไปไม่อาจเทียบได้
แต่ว่าวิชาขี่ม้าของนางนั้น ธรรมดาจนต่ำเตี้ยไปแล้ว
เหล่าสาวๆ มากมายที่ได้พบนาง ต่างก็หรี่ตาลง ติดตามมาที่ด้านหลังม้าของนาง มอบทั้งดอกไม้และผลไม้ให้ทั้งยังมีที่ติดตามนางไปอีกหลายลี้
ต่อมา ตู๋กูซิงหลันจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใช้เส้นทางเล็กๆ พอพึ่งออกจากถนนเล็กๆ เส้นหนึ่งไปยังถนนเล็กอีกเส้นหนึ่ง ก็เห็นไก่ขนดำฟูตัวหนึ่งขยับปีกส่ายก้น ขวางอยู่บนถนนเล็กๆ อุ้งเท้าของมันย่ำอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างนั้น ราวแผนภูมิรูปภาพที่บอกความรู้สึกได้ มีความชอกช้ำเสียใจสามส่วน ฟ้องร้องสามส่วน และตื่นเต้นยินดีอีกสี่ส่วน
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้~ ” มันขวางอยู่ที่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน กระทั้งเสียงขัดยังแฝงความเจ็บช้ำ
” ติ๊งต๊องหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันรั้งม้าเอาไว้ จ้องมองดูมัน นางเกือบจะนึกว่าตนเองตาฝาดไปแล้ว
” กุ๊ก กรู้ ” ติ๊งต๊องตอบรับอย่างคึกคัก
ตู๋กูซิงหลันมองดูมัน ในใจก็อดนึกถึงน้ำแกงไก่ตุ๋นที่ตนเองดื่มติดต่อกันไปหลายวันไม่ได้
ตอนนี้ในใจของนางเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอยู่บ้าง ” เจ้าตัวน้อยที่น่ารัก เจ้ายังไม่ตายข้าก็ดีใจมากจริงๆ มานี่สิ ให้พี่สาวลูบหน่อย “
พอนางกล่าวแค่ประโยคเดียว ความทุกข์ทรมานที่เจ้าไก่ขนดำฟูได้รับมาตลอดหลายวันนี้ ก็สลายไปราวกับเมฆหมอก มันส่ายก้นวิ่งกุกๆ เข้ามาหานาง
ท่าทางออดอ้อนร้องขอให้ลูบไล้และโอบอุ้ม
ตู๋กูซิงหลันพลิกตัวลงจากหลังม้า ลูบไล้ศีรษะของมัน ทั้งยังมองออกไปโดยรอบ ตลอดทางมานี้ นางเจอะเจอสัตว์ร้ายในป่าทึบมาไม่น้อย มันที่เป็นเพียงแค่ไก่ตัวหนึ่งกลับสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้มาตั้งนาน คงจะไม่ง่ายดายเลย
ไม่เพียงแต่อยู่อย่างดี ดูๆ แล้วก็อ้วนขึ้นไม่น้อย กระทั่งเส้นขนก็ดูงดงามระยิบระยับมากขึ้น
โดยเฉพาะหางตรงก้นนี้ ยาวขึ้นมาเลยทีเดียว
” ตำหนักเฟิ่งหมิงของข้าเลี้ยงดูเจ้าไม่ดีพอหรือ ถึงได้ต้องหนีออกจากบ้านมา? ” ตู๋กูซิงหลันอุ้มมันขึ้นมา ” ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้ว เสียใจอยู่ตั้งเป็นนาน “
วิญญาณทมิฬ “……..” มันยังจำได้นะ มีสตรีผู้ใดกันนะ ดื่มน้ำแกงไก่อย่างเอร็ดอร่อยเหลือหลาย?
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้~ ” เจ้าไก่ขนดำฟูภาคภูมิใจอยู่ในอ้อมอกของนาง
ก็ไม่ใช่ว่าเกือบจะตายไปแล้วหรือ? เช้าวันนั้นมันนอนหลับสบายอยู่ในสวน อยู่ๆ ก็ถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นคว้าคอจับไปอย่างไม่ทันระวังตัว
หลังจากนั้นมันก็ถูกเอาไปโยนแผ่ไว้ในห้องเครื่อง อีกนิดเดียวก็เกือบจะกลายเป็นน้ำแกงไก่รสเลิศแล้ว
ยังดีที่มันมีพละกำลังมาก วรยุทธ์สูงล้ำ พอจิกตีคนตัวโตไปได้หลายคน มันก็วิ่งหนีออกจาวังโดยไม่รู้ทิศทาง หากมิใช่ว่ามีวาสนาผูกพัน เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติคงมิอาจได้พบหน้าพี่สาวตัวน้อยอีกแล้ว
พอคิดแล้วเจ้าไก่ขนดำฟูก็น้ำตาคลอขึ้นมา ซุกหัวลงไปในอ้อมอกของตู๋กูซิงหลัน น้ำตารินไหลไม่หยุด
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดไปมา ก็ไม่กล้าส่งมันกลับไป ได้แต่พามันเดินทางไปด้วยกัน
บนถนนเล็กๆ ในป่าทึบ หนึ่งคน หนึ่งไก่ ขี่ม้าท่องไป เหล่าสัตว์ป่าดุร้ายที่อาศัยอยู่ในป่าทึบ เดิมทีจับจ้องพวกเขาอย่างยินดี
แต่พอได้เห็นเจ้าไก่กุ๊กที่นั่งอย่างสง่างามอยู่บนหลังม้า หันกลับมาจดจ้องพวกมันบ้าง ก็รีบล้มเลิกความคิดไปในทันที
ตอนที่ 185 ลี่โจว
พวกมันอยู่มาตั้งนานแล้งยังไม่เคยเห็นไก่ที่กล้าชูคอผงาดเช่นนี้มาก่อน!
ดูอุ้งเท้าและเดือยแหลมนั่นสิ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นไก่โหดตัวหนึ่ง ไม่อาจเคี้ยวได้ง่าย
โดยเฉพาะสายตานั่น มีไอสังหาร!
ว่ากันตามจริง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าประหลาดอยู่บ้าง เดิมที่นางคิดจะหาผ้ามาผูกมันเอาไว้บนหลังม้า ใครจะไปคิดว่าไก่จะขี่ม้าเป็น ตลอดทางแม้จะขรุขระอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มันตกลงมาได้
วิญญาณทมิฬตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะต้องหาโอกาสกินเจ้าติ๊งต๊องนี้ให้ได้
ว่ากันตามจริงแล้ว เจ้าไก่ที่กระโดดออกมาจากสุสานตัวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวอะไรที่ไม่ธรรมดาก็เป็นได้
มันหมอบอยู่บนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลันมาตลอดทาง จับจ้องเจ้าติ๊งต๊องด้วยสายตาเ**้ยม
ติ๊งต๊องเองก็หันกลับไปหรี่ตาใส่มัน ด้วยแววตาประหนึ่งว่าหากเจ้ามีปัญญากล้ามากลืนตัวพ่อเช่นข้าในคำเดียว ข้าก็มีปัญญาจิกเจ้าสักร้อยครั้งเช่นกัน
มาเด้ มาอัดกันสักรอบเป็นไง ใครกลัวใครกัน!
“”………………………..
ลี่โจวตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของต้าโจว ถึงแม้จะอยู่ห่างจากเมืองหลวงมาก แต่ที่จริงแล้วเป็นผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
หลายร้อยหลายพันปีก่อน แม่น้ำลี่เหอได้ล่อเลี้ยงแผ่นดินแถบนี้ แต่ก่อนที่ต้าโจวจะก่อร่างสร้างแคว้นขึ้นมา ก็มีศึกสงครามอยู่ตลอด แก่งแย่งทรัพยากรกันมิได้ขาด สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อลุ่มแม่น้ำลี่เหอ ดังนั้นเมื่อปฐมกษัตริย์ได้ก่อตั้งแคว้นขึ้นมาแล้ว แม่น้ำลี่เหอจึงได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของราชวงค์ต้าโจว
ตลอดหลายปีมานี้ได้ทุ่มเทเงินลงไปเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างเขื่อน ป้องกันน้ำหลาก แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ได้ผล มวลน้ำกลับรุนแรงขึ้นทุกๆ ปี กระทั่งฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สถานการณ์น้ำในลี่โจวก็ทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด
ยามนี้ถึงขนาดที่ว่าเขื่อนกั้นก็ได้พังทลายลงไปแล้ว ฟังว่าหมู้บ้านหลายสิบแห่งที่อยู่ใต้ลี่โจวล้วนจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน
ตู๋กูซิงหลันขี่ม้า ทันทีที่เข้าไปในเขตของลี่โจว ก็พบว่าบนท้องฟ้าเหนือลี่โจวอบอวลไปด้วยไอหยินและแรงพยาบาท กลายเป็นหมอกดำไปทั้งแถบ กระทั่งตาเนื้อยังสามารถมองเห็นได้บางส่วน
เพียงแต่ว่าสำหรับคนธรรมดาแล้ว นี่เป็นเพียงเมฆดำปกคลุมเท่านั้น
” สวรรค์โปรด นี่มีคนตายไปมากเท่าใดกัน แต่ละคนวิญญาณวนเวียนไม่ยอมไปไหน หากว่าที่นี่มีตัวปีศาจอะไร กลืนกินวิญญาณเหล่านี้เข้าไป ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นแข็งแกร่งถึงเพียงไหน! “
มันหมุนคอไปมองโดยรอบ อดที่จะน้ำลายไหลย้อยไม่ได้ วิญญาณคนตายเหล่านั้นน่ากินเหลือเกิน นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่มันได้กินปีศาจความฝันตัวนั้นลงไป มันก็ไม่ได้กินอะไรดีๆ มานานแล้ว
ตู๋กูซิงหลันดึงรั้งสายบังเ**ยน ในใจรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา
ไม่น่าแปลกที่วิญญาณคนตายเหล่านี้มีแรงพยาบาทรุนแรง ในหมู่พวกเขาที่จริงแล้วมีคนจำนวนมากที่สมควรจะมีอายุยังไม่หมดอายุขัย พอคนพวกนี้ตายลงแรงพยาบาทก็พวยพุ่งขึ้นฟ้า แม้แต่ธาตุปฐพีก็ยังดึงรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ได้แต่กลายเป็นวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่บนโลก
หากว่าไม่อาจลดทอนความรุนแรงลงได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นวิญญาณตายโหง หรือไม่ก็ถูกปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์สูงกว่ากลืนกิน กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงปีศาจทั้งหลาย
ยามนี้ก็ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกทีแล้ว ประตูเมืองลี่โจวยังไม่ปิด นางจึงขี่ม้าเขาไป ทั่วทั้งเมืองลี่โจวเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่และสูญเสีย อากาศอับชื้นและมีไอเย็นยะเยือก ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง
บนถนนมีผู้คนเดินผ่านบางตา คนพวกนี้ต่างก็โพกผ้าปิดหน้า แต่ละคนเดินทางอย่างรีบร้อน
บนถนนใหญ่ไม่มีแม้แต่ร้านหาบเร่เล็กๆ ร้านรวงในเมืองต่างปิดกิจการ ราวกับว่าทั้งเมืองกลางเป็นเมืองร้าง
ผู้ปกครองลี่โจวคือลี่โจวอ๋อง พระเจ้าอาคนที่สิบหกของจีเฉวียน นามจีหราน
จีหรานเป็นโอรสเกิดจากปฐมกษัตริย์ทรงดื่มสุราจนเมามายแล้วไปคว้านางกำนัลผู้หนึ่งขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากปฐมกษัตริย์ ตอนที่อายุเพียงห้าหกชันษาก็ถูกส่งมายังลี่โจวแล้ว แม้แต่ราชทินนามก็ยังคร้านจะตั้งให้ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าอ๋องหรานเสียอย่างนั้น
ยามปกติแม้ว่าในวังหลวงจะมีเรื่องอันใดก็ไม่เคยเรียกเขากลับเมืองหลวง
ดังนั้นในแผ่นดินนี้จึงแทบไม่มีผู้ใดกล่าวถึงชื่อของหรานอ๋อง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่เคยพบเห็นพระเจ้าอาผู้นี้มาก่อน
พี่รองรับพระบัญชามาบรรเทาทุพภิกขภัยที่ลี่โจว ย่อมต้องพักอยู่ในตำหนักของหรานอ๋อง
ตู๋กูซิงหลันขี่ม้าไปจนถึงประตูตำหนักของหรานอ๋อง แต่กลับเห็นว่าประตูตำหนักหรานอ๋องถึงกับขึ้นรา มีแต่คราบสกปรก
แม้แต่อักษรหรานบนประตูยังก็ยังบวมเบี้ยวจนผิดรูป
ประตูใหญ่ของตำหนักหรานอ๋องปิดสนิท แม้แต่คนเฝ้าประตูที่ด้านนอกก็ยังไม่มี แลดูมอซออย่างที่สุด
ดูอย่างไรก็ไม่เหลือศักดิ์ศรีของอ๋ององค์หนึ่งเลยแม้สักน้อย ทั้งๆ ที่มีดินแดนของตนเอง แต่ตำหนักนี้กลับไม่มีความสง่างามเลยสักนิด ไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่กับจวนของขุนนางขั้นห้าขั้นหกในเมืองหลวง
ตู๋กูซิงหลันพลิกตัวลงจากหลังม้า นางไปเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีคนตอบรับแม้สักคนเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเดินมาตามท้องถนนอย่างมือเท้าอ่อนแรง เขากระตุกขากางเกงของตู๋กูซิงหลัน ถามอย่างอ่อนน้อมว่า ” พี่ชายขอรับ ท่านมีถังหูลู่ (ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้) บ้างหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นเด็กชายที่ผ่ายผอมจนมีแต่โครงกระดูกเพราะความหิวโหย ดวงตาคู่นั่นจมลึกลงไปในเบ้าตา
เสื้อผ้าบนร่างมีแต่โคลน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นโชย
มือของเขาทำให้ขากางเกงตู๋กูซิงหลันสกปรก พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังมองดูเขา เด็กชายก็รีบคลายมือออก กล่าวกับนางว่า ” ขออภัยขอรับ ทำให้เสื้อผ้าของท่านสกปรกแล้ว “
ในดวงตาของเขามีแต่ความหวาดกลัว แต่ก็ยังมีความหวังแฝงอยู่ ” ข้า…น้องสาวของข้าป่วยแล้ว นางกินอะไรไม่ลง นางชอบกินถังหูลู่ที่สุดเลย ข้าอยาก…..อยากได้มาสักนิด สักเม็ดเดียวก็พอ เม็ดเดียวก็พอแล้ว “
พูดแล้วเขาก็ก้มศีรษะลงไป ทั้งยังไม่กล้ายื่นมือมาจับขากางเกางของตู๋กูซิงหลันอีก
ตู๋กูซิงหลันได้กลิ่นเหม็นจากตัวเขา เป็นกลิ่นศพที่ชัดเจน
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงนอกเมืองลี่โจวก็พบกับผู้ประสบภัยอยู่ไม่น้อย อาหารแห้งที่มีติดตัวถูกแบ่งไปจนหมดแล้ว ตอนนี้ในตัวนอกจากเงินทองแล้วก้ไม่มีของกินอะไรเลย
อ๋อ ยังมีเจ้าติ๊งต๊องที่เป็นอาหารสำรองนั่นอยู่
แต่ว่าที่นี่แม้แต่ร้านหาบเร่เล็กๆ ก็ยังไม่มี ต่อให้มีเงินก็ไม่อาจซื้อถังหูลู่ได้
นางหันกลับไปมองดูประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของตำหนักหรานอ๋องครู่หนึ่ง พลางบอกกับเด็กชายว่า ” ข้าไม่มีถังหูลู่ แต่ว่าข้าเป็นหมอ พาข้าไปหาน้องสาวเจ้าเถอะ ได้ไหม? “
เด็กชายตัวน้อยเห็นนางหน้าตาหล่อเหลามาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า ” ได้ขอรับ “
รับคำแล้วเขาก็เดินนำไปข้างหน้า เขาเดินด้วยเท้าเปล่า ส้นเท้ามีรอยเลือด แผลพุพอง และแผลแตก
เวลาเดินย่อมต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เขากลับกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เพียงนำตู๋กูซิงหลันเดินคดโค้งไปมาจนถึงอารามที่ผุพังนอกเมืองลี่โจว
ในอารามที่ผุพังมีรูปปั้นเทพธิดาที่ศีรษะเป็นคนและท่อนร่างเป็นงูอยู่ เพียงแต่ไร้ธูปเทียนให้ความเคารพมานานแล้ว เทพธิดามีแต่ฝุ่นปกคลุมไปทั้งร่าง หยากไย่เกาะไปทั้งศีรษะ รอยยิ้มที่เคยดูมีเมตตา ตอนนี้กลับดูไปแล้วน่ากลัวอยู่บ้าง
เด็กชายนำนางเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เห็นเขาเดินไปจนถึงโต๊ะบูชาใต้ฐานเทพธิดา เคลื่อนย้ายกองหญ้าฟางที่ปิดอยู่ออกไป ข้างใต้นั้นก็ปรากฎเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ผ่ายผอมออกมา
จากนั้นเขาก็เขาไปกอดเด็กหญิงเอาไว้ในอ้อมแขน จูบเบาๆ ลงบนใบหน้าของนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า ” น้องจ๋า ข้ากลับมาแล้ว “
เด็กหญิงตัวน้อยดูแล้วมีอายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้น ผ่ายผอมจนแทบไม่เป็นรูปร่าง เสื้อผ้าบนร่างขาดวิ่น กระดูกแต่ละท่อนล้วนปูดโปนออกมา ดูไปราวกับศพแห้งๆ ร่างหนึ่ง
ที่ข้างกายเด็กหญิงยังมีของกินอยู่บ้าง หมั่นโถที่ขึ้นราครึ่งลูก แอปเปิ้ลที่กัดไปแล้วคำหนึ่ง และยังมีเศษอาหารอื่นๆ อีกเล็กน้อย
ตู๋กูซิงหลันเพียงมองแค่แว่บเดียวก็รู้ว่า เด็กหญิงตัวน้อยสิ้นลมจนเหลือแต่เพียงร่างมาหลายวันแล้ว
กลิ่นศพที่อยู่บนร่างเด็กชาย ก็มาจากน้องสาวของเขานั่นเอง
แต่เด็กชายกลับดูไม่ออกว่านางตายไปแล้ว ยังคงกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลที่ข้างหูของนางว่า ” น้องจ๋า วันนี้เจ้ากินอะไรสักคำดีไหม? “
” รอจนน้ำหลากลดไปแล้ว พวกเราก็กลับบ้านกัน พี่จะหาเงินมาซื้อถังหูลู่ที่เจ้าชอบกินที่สุด ซื้อมาเยอะๆ ให้เต็มบ้านเอาให้เจ้ากินจนพอใจเลยนะ “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น