อัจฉริยะสมองเพชร 1818-1819

 ตอนที่ 1818 ตามหานักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

จางเซวียนพยักหน้าขณะเอื้อมมือคว้าหอกสวรรค์กระดูกมังกร


ในชั่วพริบตานั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดจากหอกที่พุ่งเข้าสู่ร่าง มันให้ความรู้สึกราวกับว่าการสะบัดข้อมือของเขาเพียงครั้งเดียวจะทำให้เขาสามารถจ้วงแทงทะลุมิติลงไปจนถึงโลกที่อยู่เบื้องล่าง


เหล่านักปราชญ์โบราณที่เคยอยู่เหนือกว่าที่เขาจะเอื้อมถึงในอดีตกลับกลายเป็นบุคคลที่เขาสามารถสังหารได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว อย่าว่าแต่จะเข้าท้าทายเลย


จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “คุณรู้หรือเปล่าว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ที่ไหน?”


“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง? คุณตามหาเขาทำไม? เขาคือหนึ่งในบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูร เมื่อหลายปีก่อน เขาต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งและลงเอยด้วยการถูกเนรเทศออกจากถิ่นที่อยู่ของตัวเอง ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้กับสนามรบแห่งขนนกไฟ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบงงๆ


ถึงเขาจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็อยู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจมานานหลายปีจนรู้เรื่องสนามรบแห่งขนนกไฟเป็นอย่างดี


“เขาอยู่แถวนี้หรือ? พาผมไปที่รังของเขาที!” จางเซวียนพูด


ความปรารถนาเบื้องต้นของจางเซวียนคือการยกระดับวรยุทธของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อจะได้ทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน ซึ่งในเมื่ออีกฝ่ายบังเอิญอยู่แถวนี้ ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ


“เอ่อ…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่ค่อยแน่ใจเมื่อได้ยินคำขอของจางเซวียน “ผมรู้มาว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงน่ะออกจะอารมณ์ร้อน…คุณจะตามหาเขาทำไม?”


ด้วยความสัตย์จริง เขารู้สึกว่าการจะตามความคิดของท่านประธานสมาคมคนนี้ให้ทันเป็นเรื่องยากมาก มันเรื่องอะไรที่จู่ๆเขาถึงตามหานักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง?


“เราต้องการคนมาเป็นสมัครพรรคพวกให้มากกว่านี้เพื่อจะได้มีชัยชนะเหนืออำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งในเมื่อนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่แถวนี้ หากเราทำให้เขายอมจำนนได้ย่อมถือว่าเยี่ยม” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


“ทำให้เขายอมจำนน?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับพูดไม่ออก


อีกฝ่ายเป็นถึงบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูร แม้แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังทำให้เขายอมจำนนไม่ได้…


คุณล้อผมเล่นใช่ไหม?


“ท่านประธาน…ผมรู้ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องค่ายกล แต่การทำให้อสูรยอมจำนนนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็นนะ ต้องใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์อันดีกันเนิ่นนาน ทั้งยังต้องอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน กว่าที่อสูรจะเต็มใจยอมจำนนให้คุณ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแนะนำ


เขารู้แล้วว่าประธานสมาคมคนใหม่มีความเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง ความคิดของอีกฝ่ายก็ออกจะเพ้อฝันเกินไป


ถ้าการทำให้บรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรยอมจำนนมันง่ายดายขนาดนั้น ก่อนหน้านี้อำมาตย์เฉินหย่งก็คงไม่ต้องปวดหัวในการรับมือกับอีกฝ่าย


จางเซวียนตอบยิ้มๆ ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย “ผมรู้ว่าคุณมาจากไหน แต่คุณรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่ได้ผลหากยังไม่ได้พยายาม?”


“…ถ้าอย่างนั้นก็ได้!”


เห็นท่านประธานแสดงความดื้อดึงออกมาอีกครั้ง นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้ดีว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกฝ่าย จึงตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก เขานำแผนที่กับเข็มทิศออกมา จากนั้นก็ชี้ตำแหน่งของพวกเขาก่อนจะลากไปยังทิศทางหนึ่ง “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับสมาชิกของเผ่าพันธุ์อสูรอยู่ห่างจากที่นี่ไปราวสองแสนลี้!”


“ห่างจากที่นี่สองแสนลี้? ตามนั้น!” จางเซวียนพยักหน้า


เขาชักหอกออกมาและจ้วงแทงมิติที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ


ฟึ่บ!


ทางเดินแห่งมิติปรากฏขึ้น จางเซวียนรีบกระโจนเข้าไป “ไปกันเถอะ!”


ตอนที่พวกเขาออกจากทางเดินแห่งมิติ ก็อยู่ห่างจากที่เดิมกว่าสองแสนลี้แล้ว ทิวเขาสูงที่ดูแห้งแล้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า อสูรมากมายนับไม่ถ้วนบินว่อนอยู่เหนือศีรษะ


เผ่าพันธุ์อสูรที่อยู่ในสนามรบแห่งขนนกไฟกับที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีความแตกต่างกันไม่มาก แต่ด้วยอานุภาพของพระจันทร์สีเลือด นัยน์ตาของพวกมันจึงแดงก่ำ ทำให้ดูดุร้ายและโหดเหี้ยม


อสูรบินได้มากมายบินว่อนอยู่เหนือภูเขา จำนวนของพวกมันมากจนน่าอัศจรรย์


แทนที่จะพุ่งตรงเข้าสู่ภูเขา ทั้งสองหยุดอยู่บริเวณทางเข้า จางเซวียนหันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “ส่งจดหมายเข้าไปแจ้งว่าเราอยากขอเข้าพบนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพยักหน้า สมุดแนะนำตัวปรากฏขึ้นจากปลายนิ้วของเขาและพุ่งเข้าสู่ภูเขาแห้งแล้งกันดารนั้น เสียงกึกก้องราวพายุใหญ่ดังออกจากสมุดและกังวานไปทั่วทั้งหุบเขา


“ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ, โม่หลิง พร้อมกับประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนใหม่, จางเซวียน-มาขอเข้าพบนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง!”


การมีแขกมาถึงอย่างไม่คาดฝันทำให้เหล่าอสูรที่บินว่อนอยู่กลางอากาศหันขวับมามองจางเซวียนกับนักปราชญ์โม่หลิงพร้อมกันด้วยแววตาเป็นปฏิปักษ์


พวกมันล้วนแต่จงเกลียดจงชังอำมาตย์เฉินหย่งที่เนรเทศพวกมันมายังดินแดนทุรกันดารแห่งนี้


ทุกตัวต่างไม่เคยได้ยินชื่อของประธานสมาคมคนใหม่ที่ชื่อจางเซวียนมาก่อน แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง เขาถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนภายในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


อสูรตัวหนึ่งที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานบินเข้ามาและพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่กำลังอยู่ระหว่างการปลีกวิเวก คงไม่สะดวกที่จะพบแขกคนไหน กรุณากลับมาใหม่วันหลังเถอะ!”


“คงไม่สะดวกที่จะพบพวกเรา? บอกบรรพบุรุษเก่าแก่ของคุณนะว่าเรามาด้วยความปรารถนาดี ไม่มีความคิดจะทำร้ายเผ่าพันธุ์อสูร และเราเชื่อว่าเราจะช่วยเผ่าพันธุ์อสูรให้พ้นจากอันตรายในเวลานี้ได้” จางเซวียนพูด


“คุณจะช่วยพวกเราให้พ้นจากอันตรายในเวลานี้หรือ?” อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานคำราม “ผมต้องเชื่อใช่ไหมว่าคุณมีน้ำใจถึงขนาดจะยอมช่วยเหลือเราโดยไม่ร้องขอสิ่งใดตอบแทน? กรุณากลับไปเสียตอนนี้เถอะ ไม่อย่างนั้นผมคงหมดความอดทนแน่!”


พรึ่บ!


อสูรมากมายที่บินว่อนอยู่กลางอากาศรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เจตนาสังหารฉายชัดออกจากดวงตาของพวกมัน


“ผมยืนยันได้เลยว่าพวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวล” เห็นความหวาดระแวงของเหล่าอสูร จางเซวียนปลอบโยนอย่างสุขุม “คุณได้ยินข่าวที่อำมาตย์เฉินหย่งถูกมนุษย์สังหาร และอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงก็ได้รับบาดเจ็บจนปางตายหรือเปล่า? ถ้าได้ยินล่ะก็ คุณคงรู้ว่าเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณทั้งเผ่าพันธุ์กำลังเข้าใกล้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว!”


นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากชายหนุ่ม อสูรตัวนั้นอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมพอรู้อยู่บ้าง!”


แม้พวกมันจะถูกขับออกมาอยู่ในดินแดนห่างไกล แต่ก็ยังพอรับรู้ข่าวคราวที่เป็นเหตุการณ์สำคัญในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งถูกฆ่าตายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเขาอีกต่อไป นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเผ่าพันธุ์อสูรที่จะได้กลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด คุณอยากจะใช้ชีวิตในดินแดนทุรกันดารแห่งนี้จริงๆหรือ? ไม่มีทั้งพลังจิตวิญญาณและอาหารอันโอชะ? ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ไม่ช้าไม่นานเผ่าพันธุ์อสูรจะต้องพินาศแน่!”จางเซวียนพูด


“เอ่อ…” อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานครุ่นคิดหนัก


อีกฝ่ายพูดถูก


การขาดแคลนอาหารไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกมัน แต่พลังจิตวิญญาณที่มีอยู่น้อยนิดทำให้การยกระดับวรยุทธของพวกมันเป็นไปอย่างแสนเชื่องช้า และสุดท้าย อัตราการประสบความสำเร็จก็จะถูกจำกัด


นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป เผ่าพันธุ์อสูรทั้งเผ่าพันธุ์จะต้องอ่อนแอลงเรื่อยๆ สุดท้ายพวกมันก็จะไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!


“ผมรู้ว่าคุณไม่อาจตัดสินใจด้วยตัวเองได้ จึงต้องขอรบกวนคุณให้นำสิ่งที่ผมพูดและข่าวที่คุณได้รับรู้ไปแจ้งกับบรรพบุรุษเก่าแก่ ผมเชื่อว่าเขาน่าจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดว่าควรจะพบผมหรือไม่!” เห็นสีหน้าของอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน จางเซวียนแนะนำพร้อมกับโบกมือ


“…ก็ได้ ผมจะบอกเรื่องนี้กับบรรพบุรุษเก่าแก่”


รู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็มีข้อเท็จจริงอยู่ และถือเป็นโอกาสดีสำหรับเผ่าพันธุ์อสูรที่จะได้ออกจากสถานการณ์คับขันนี้ อสูรตัวนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ ร่างมหึมาของมันหันหลังกลับ และบินลึกเข้าไปในสันเขา


จางเซวียนมองตามอสูรตัวนั้นและหัวเราะหึๆ


เพื่อจะทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน เขาต้องพบกับอีกฝ่ายให้ได้ก่อน ซึ่งในการจะทำอย่างนั้น ก็ต้องยื่นข้อเสนอที่เป็นชิ้นเป็นอันให้กับเผ่าพันธุ์อสูร


ราว 1 ชั่วโมงต่อมา อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานก็กลับมาอีกครั้ง มันโบกกรงเล็บและพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่ของเราเชิญพวกคุณเข้าไปข้างใน!”


“ขอบคุณมาก” จางเซวียนกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบตามเข้าไปในสันเขา


พูดได้เลยว่าสันเขานี้ทุรกันดารมาก มีพืชขึ้นอยู่เพียงไม่กี่หย่อม แถมยังเต็มไปด้วยหนามแหลม แทบไม่พบสมุนไพรหรือพืชพรรณเขียวชอุ่มเลย


ถ้าไม่ใช่เพราะโขดหินและก้อนดิน พวกเขาคงคิดว่าตัวเองอยู่ในทะเลทราย


เพราะไม่มีลำธารไหลผ่านสันเขา บรรยากาศจึงแห้งผาก เป็นภูมิอากาศที่ไม่เหมาะต่อการเอาชีวิตรอดแม้แต่น้อย


จางเซวียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหล่าอสูรที่เขาได้พบระหว่างทางล้วนแต่มีสีหน้าอดอยากหิวโหย


นี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ถ้าอสูรทรงพลังเดินทางไปยังอาณาจักรเทียนเซวียนและอยู่ที่นั่นนานเกินไป ไม่ช้าไม่นานระดับวรยุทธของพวกมันก็จะต้องตกต่ำลงเพราะขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ


ต่อให้ชนชั้นสูงที่เฉลียวฉลาดและดูดีที่สุดก็คงไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน หากต้องจับพลัดจับผลูไปอยู่ในเกาะร้างอันห่างไกล


ไม่ช้าทั้งสามก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานหยุดอยู่หน้าทางเข้าถ้ำแล้วพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่อยู่ในถ้ำนี้แหละ ผมจะยืนอารักขาอยู่ด้านนอกนะ”


“ได้” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเข้าไปพร้อมกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง


ยังไม่ทันจะไปได้ไกล พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสบรรยากาศร้อนผ่าวที่พัดมา มันอาจทำให้ใครสักคนขนลุกขนชันได้ทีเดียว…


ตอนที่ 1819 ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือยอมเป็นอสูรของผม

ร่างที่แท้จริงของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคือปีศาจยักษ์เปลวเพลิง เพราะใช้ลาวาบ่มเพาะร่างกาย มันจึงสามารถฝ่าด่านคอขวดจนกลายเป็นนักปราชญ์โบราณ


ด้วยเหตุนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การปรากฏตัวของมันจะส่งผลให้เกิดความร้อนแผดเผาไปทั่วทั้งบริเวณ


หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เหงื่อก็หยดจากหน้าผากของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงและไหลเป็นทาง


ในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ร่างกายของเขามีความเย็นยะเยือกโดยธรรมชาติ ความร้อนแสนสาหัสคือศัตรูตัวฉกาจของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว จิตวิญญาณของเขาคงหลุดลอยออกจากร่างแน่


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงลอบมองท่านประธาน และอดไม่ได้ที่จะประทับใจอย่างล้ำลึก


อีกฝ่ายเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับความร้อนแผดเผานั้นเลย นอกจากจะไม่มีแม้เหงื่อสักหยด จิตวิญญาณของอีกฝ่ายก็ยังมั่นคง ไม่แสดงอาการปั่นป่วนจากความร้อนเลยสักนิด


ในตอนนี้ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงระดับความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณของอีกฝ่ายที่เต็มร้อยอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อไม่อาจทนความอยากรู้ไว้ได้อีก เขาส่งโทรจิตพลังปราณถามจางเซวียน “ท่านประธาน จิตวิญญาณของคุณ…ไม่หวาดกลัวความร้อนเลยหรือ?”


“ครั้งหนึ่งจิตวิญญาณของผมก็เคยกลัวความร้อน” จางเซวียนตอบ “แต่หลังจากได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ ความร้อนระดับนี้ก็ทำอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว”


“ได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์? เดี๋ยวก่อน…คุณนำจิตวิญญาณของคุณไปเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงสวรรค์หรือ?” นัยน์ตาของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงแทบทะลุออกจากเบ้า


“ก็นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติน่ะต้องเผชิญกับการทดสอบเลยเปลวเพลิงสวรรค์ไม่ใช่หรือ? คุณไม่ได้ใช้เปลวเพลิงสวรรค์จากการทดสอบวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณของคุณหรือไง?” จางเซวียนย้อนถามด้วยความสงสัย


เรื่องนี้ไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมอีกฝ่ายต้องทำท่าแบบนั้น?


“เอ่อ…นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์หลังจากได้ยินสิ่งที่จางเซวียนพูด เขาอธิบายช้าๆ “สิ่งที่คุณพูดน่ะเป็นวิถีทางตามปกติของนักรบทั่วไป แต่สำหรับพวกเรา, ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ สิ่งที่เรามักจะทำคือใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณต้านทานเปลวเพลิงสวรรค์แทนตัวเรา”


“แบบนี้ก็ได้หรือ?” จางเซวียนถึงกับงง


“มันเป็นอย่างนี้…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งต้นอธิบายกระบวนการทั้งหมดให้จางเซวียนฟัง


ด้วยธรรมชาติอันเย็นเยือกของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ โอกาสที่พวกเขาจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านหากเข้าท้าทายเปลวเพลิงสวรรค์ก็มีสูง ดังนั้นเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่สำเร็จวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในแล้วจึงมักจะใช้การทำสัญญากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แล้วปรับเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณของพวกเขา


ซึ่งผู้ที่ทำสัญญากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติจะได้รับการเก็บรักษาจิตวิญญาณไว้ เมื่อการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาถึง กายเนื้อของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติจะถูกใช้เป็นด่านหน้า โดยเปลวเพลิงสวรรค์จะพุ่งตรงเข้าโจมตีพวกเขา หลังจากนั้น ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็จะใช้การครอบครองจิตวิญญาณเพื่อเข้าแทนที่


และนั่นคือวิธีการที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณใช้เอาชนะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติได้ แม้พวกเขาจะแสนหวาดผวากับความร้อน


ถึงจะฟังดูโหดเหี้ยมไร้หัวใจ แต่ก็ส่งผลดีมากสำหรับความอยู่รอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ มันคือสิ่งที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้มาหลังจากแทรกซึมเข้าไปในเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


เคล็ดวิชาที่จางเซวียนได้รับการถ่ายทอดมาคือบางสิ่งที่ลู่ชงนำมาจากอาณาจักรโบร่ำโบราณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรับรู้วิธีการนี้มาก่อน


เกรงว่าท่านประธานจะเข้าใจผิด นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเสริม “ผมเข้าใจดีว่าวิธีการแบบนี้ไม่เป็นที่ยอมรับและเหี้ยมโหด เราจึงมักจะใช้ร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ”


“ผมเข้าใจ…วิธีการแบบนี้อันตรายน้อยกว่า แต่การใช้จิตวิญญาณของนักรบขั้นการพักฟื้นภายในครอบครองกายเนื้อของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรตินั้นจัดว่าอันตรายมาก เอาเถอะ ผมจะถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้คุณ ในอนาคต, ขอแค่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณฝึกฝนตามนี้ พวกเขาก็จะก้าวข้ามจุดอ่อนที่มีต่อเปลวเพลิง สายฟ้า และพลังงานที่มีองค์ประกอบของพลังหยางได้!”


จางเซวียนกระดิกนิ้วและส่งเทคนิควรยุทธชุดหนึ่งให้นักปราชญ์โบราณโม่หลิง มันคือศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าฉบับขัดเกลาแล้วที่ลู่ชงก็กำลังฝึกฝนอยู่


ในเมื่อเขาคือประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ และอาชีพนี้ก็เต็มใจเสียสละตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจึงยิ่งกว่าคู่ควรที่จะได้รับเทคนิควรยุทธนี้จากเขา


“เทคนิควรยุทธ?”


ในตอนแรก นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเทคนิควรยุทธของจางเซวียน แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็ถึงกับกระตุกด้วยความตกตะลึง จิตวิญญาณของเขาปั่นป่วนด้วยความรู้สึกแรงกล้า


ในฐานะนักปราชญ์โบราณที่ได้ศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณมาชั่วชีวิต แน่นอนว่าเขามีดวงตาอันเฉียบแหลมสำหรับการพิจารณาเทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ เทคนิควรยุทธที่เขาได้รับการถ่ายทอดจากท่านประธานนั้นล้ำลึกอย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่หากใครสักคนฝึกฝนตาม ก็จะสามารถเอาชนะการเสื่อมถอยทั้งห้าและเป็นอมตะ!


ในตอนนั้น เขานึกอยากโละวรยุทธเก่าของตัวเองทิ้งทั้งหมดเพื่อเริ่มต้นใหม่


ราวกับจะล่วงรู้ความคิดของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิควรยุทธอีกชุดหนึ่งให้ด้วยการเคาะนิ้ว “สายไปแล้วล่ะที่คุณจะเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธใหม่ แต่ผมได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อบกพร่องจำนวนหนึ่งในเทคนิควรยุทธของคุณให้แล้ว นี่คือข้อเสนอแนะของผม”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบอ่านรายละเอียดทันที ยังไม่ทันที่จะรู้ตัว ร่างของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น


ราวกับว่าอีกฝ่ายสำรวจร่างกายของเขาอย่างถี่ถ้วนและพบจุดอ่อนทั้งหมด ทุกคำในหนังสือเล่มนั้นพุ่งตรงเข้าใส่ช่องโหว่ของเขา ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้


เห็นได้ชัดว่าหากเขาฝึกฝนวรยุทธตามเทคนิคที่ได้รับการถ่ายทอดมา ข้อบกพร่องทั้งหมดของเขาจะถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว เขาอาจทำได้แม้กระทั่งการฝ่าด่านวรยุทธในเร็วๆนี้


ถึงจะเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เขาก็มองทะลุจุดอ่อนทั้งหมดของเราและหาวิธีแก้ไขได้ นี่มันช่าง…


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งด้วยความอัศจรรย์ใจสุดๆ


เขารู้แล้วว่าท่านประธานคนใหม่ไม่ธรรมดาจากการได้พูดคุยกับเจียงฟังโหย่ว แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเหนือชั้นขนาดนี้


ทุกอย่างล้วนแต่เหนือความคาดหมายของเขา


ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงยังคงตกตะลึง เสียงดังสนั่นราวกับพายุก็ดังก้องขึ้นในหู “นักปราชญ์โบราณโม่หลิง ผมเชื่อคำพูดของคุณได้หรือเปล่า?”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเงยหน้า และเห็นอสูรตัวหนึ่งที่มีความยาว 10 เมตรลอยตัวอยู่เหนือแอ่งลาวาขนาดใหญ่ มีหลุมบ่อของลาวามากมายอยู่บนผิวหนังสีทองของมัน มันกำลังแผ่รังสีอันน่าสะพรึงออกมา ในแง่ของพละกำลัง น่าจะเทียบชั้นได้แม้แต่กับอำมาตย์เฉินหลิงในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด


ไม่น่าแปลกใจที่มันสามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์อสูรให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อรับมือกับอำมาตย์เฉินหย่งได้!


“ยินดีที่ได้พบคุณ นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง” เมื่อรับรู้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายแล้ว นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเลือกที่จะถ่อมเนื้อถ่อมตัว เขาค้อมตัวลงและประสานมืออย่างนอบน้อม “เรื่องนี้เป็นความประสงค์โดยตรงของท่านประธานสมาคมของเรา ผมแค่ทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น”


เขาไม่รู้ว่าทำไมท่านประธานถึงเลือกทำแบบนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ยังสงสัยอยู่ แต่เทคนิควรยุทธที่ท่านประธานถ่ายทอดให้เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจในระดับปาฏิหาริย์ของชายหนุ่มแล้ว เศษเสี้ยวของความหวังผุดขึ้นในหัวใจของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงโดยไม่รู้ตัว


บางที…ถ้าเป็นท่านประธาน เขาอาจทำให้เจ้ายักษ์ใหญ่นี่ยอมจำนนได้


ถ้าเป็นอย่างนั้น เผ่าพันธุ์ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็จะได้ยิ่งใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับนี้ พวกเขาคงยืนหยัดรับมือได้ ต่อให้เป็นสามอำมาตย์ใหญ่!


ในเผ่าพันธุ์ปีศาจ กฎเกณฑ์สามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาเมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งเดียวที่จะพึ่งพาได้ก็คือพละกำลังของตัวเองเท่านั้น


ผู้ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดจึงจะได้รับการยกย่องให้เป็นราชา


“ท่านประธาน? คุณหมายถึงเจ้าหนุ่มตัวกระจ้อยร่อยที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานที่ยืนอยู่ข้างๆคุณน่ะหรือ?” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหันศีรษะขนาดมหึมากลับมาจ้องหน้าจางเซวียนและคำราม “ผมคิดว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอย่างพวกคุณหยิ่งผยองถึงขั้นที่แม้แต่ปรมาจารย์ขงก็ยังทำให้พวกคุณยอมจำนนไม่ได้…นี่พวกคุณตกต่ำถึงขนาดยอมรับคนอ่อนแอแบบนี้เป็นประธานสมาคมของพวกคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหน้าเสียทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง คุณจะดูถูกผมอย่างไรก็ได้ตามแต่ต้องการ แต่คุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นศัตรูกับทั้งสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนะถ้าดูถูกท่านประธานสมาคมของพวกเรา!”


เมื่อรับรู้ได้ถึงความโกรธขึ้งในน้ำเสียงของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เขาเป็นประธานสมาคมของคุณจริงๆหรือ?”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหันกลับมาจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไร สิ่งที่เขาเห็นก็คือนักรบธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่เขาก็ระงับความสงสัยในใจไว้แล้วพูดต่อ “ผมได้ยินข่าวเรื่องสามอำมาตย์แล้ว แต่ผมรู้จักพวกเขาดี ผมเคยสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งและรู้ว่าเขาซุกซ่อนกลยุทธแบบไหนไว้ ไม่มีทางที่ผมจะถูกสังหารอย่างง่ายดายแบบนั้นหรอก!”


“อีกอย่าง เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่ได้มีแค่สามอำมาตย์ ต่อให้ทั้งสามเสียชีวิต ก็ยังมีขุนนางอีกมากมายที่พร้อมจะเข้ารับตำแหน่งแทน หากพวกเรากลับไป ก็มีโอกาสที่จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในเมื่อนักปราชญ์โบราณโม่หลิงยอมรับคุณในฐานะประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ผมก็อยากจะฟังว่าคุณคิดจะนำพาเผ่าพันธุ์อสูรของพวกเรากลับถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างไร”


“ง่ายนิดเดียว…” จางเซวียนยิ้ม “ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือยอมเป็นอสูรของผม!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)