อัจฉริยะสมองเพชร 1814-1815

 ตอนที่ 1814 ผมจะติดตั้งค่ายกล

“ท่านประธาน ผมไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่คุณคงต้องทิ้งพวกมันไว้ เพราะอีกไม่นาน บรรดานักปราชญ์โบราณในเมืองหลวงก็จะมาถึงวังแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น เราสองคนแย่แน่!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแนะนำอย่างร้อนรน


ในบรรดานักปราชญ์โบราณที่อยู่เคียงข้างอำมาตย์เฉินหลิง ยังมีอีก 5 คนซึ่งยังมาไม่ถึง ซึ่งเหตุผลเดียวที่พวกเขายังมาไม่ถึงก็เพราะค่ายกลที่อยู่รอบหอนอนได้ปกปิดคลื่นพลังงานต่างๆไว้ไม่ให้หลุดรอดออกไปได้ แต่เมื่อค่ายกลพังทลายแล้ว ก็แน่นอนว่านักปราชญ์โบราณทุกคนจะต้องมุ่งหน้ามาที่นี่


และเมื่อพวกนั้นมาถึง พวกเขาก็ไม่มีทางหนีรอด!


ถึงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับไอ้โหดจะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาชีวิตรอดจากการถูกผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมายรุมล้อม ต่อให้เป็นอำมาตย์เฉินหย่งก็คงแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน นับประสาอะไรกับพวกเขา!


จางเซวียนระบายลมหายใจยาวเพื่อระงับสติอารมณ์ ก่อนจะพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อีกครั้ง “ถ้าผมหนีไปตอนนี้ ผมจะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบอำมาตย์เฉินหลิงมากกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อไม่มีไอ้โหดกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร อีกอย่าง เมื่อพวกมันรู้แล้วว่าผมมาถึงเมืองหลวง มันคงตามล่าผมอย่างไม่ลดละแน่ และนั่นจะทำลายแผนการที่ผมเตรียมไว้ทั้งหมด เหตุผลเดียวที่อำมาตย์เฉินหลิงยังไม่มีพิษสงมากนักในตอนนี้ก็เพราะเขายังไม่หายดี ถ้าหายดีเมื่อไหร่ล่ะก็ หายนะจะต้องเกิดกับเผ่าพันธุ์มนุษย์แน่ เราไม่มีเวลาเหลือแล้ว…”


มีกลไกป้องกันตัวอยู่มากมายภายในเมืองหลวง อย่างเช่นค่ายกลที่อยู่บนกำแพงเมือง แต่แน่นอนว่าด้วยวิถีทางของจางเซวียน เขาย่อมผ่านพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย และถ้าเขาต้องการ จะปลอมตัวเป็นพลเมืองคนหนึ่งก็ได้ ยากที่ใครจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขา


แต่เรื่องใหญ่ก็คือไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ แน่นอนว่าอำมาตย์เฉินหลิงจะต้องสั่งการให้สืบเสาะเรื่องราวอย่างละเอียด และนั่นอาจหมายถึงการสาวไปถึงอำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินด้วย ซึ่งหลิวหยางก็คงติดร่างแหไปกับอำมาตย์เฉินหย่ง


เมื่อเข้าใจเหตุผลของจางเซวียน นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งคำถาม “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?”


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยับยั้งพวกเขาไว้ให้ได้สักสิบอึดใจ จากนั้นปล่อยเป็นธุระของผม”


“สิบอึดใจ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับผงะ แต่ลงท้ายก็พยักหน้า “ผมจัดการเอง!”


ฟิ้วววว!


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขับเคลื่อนพลังจิตวิญญาณ เขาดึงพลังจิตวิญญาณจากบริเวณโดยรอบมาห่อหุ้มตัวเองราวกับน้ำวนขนาดใหญ่ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักปราชญ์โบราณสองคนนั้น เมื่อพลังของทั้งสามปะทะกัน มิติโดยรอบก็แตกสลายไปทีละชั้น


ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังต่อสู้ ก็ชำเลืองมองจางเซวียนเป็นระยะ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไร สิ่งที่เขาเห็นก็คือจางเซวียนลอยตัวอยู่กลางอากาศและนำธงค่ายกลหลายพันอันออกมา


พวกมันคือของล้ำค่าบางส่วนที่จางเซวียนได้จากวิหารแห่งขงจื๊อ ธงค่ายกลแต่ละอันเป็นธงค่ายกลเกรด 9 ขั้นสูงสุด


เห็นการกระทำของอีกฝ่าย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเกือบร่วงลงจากกลางอากาศ “เขาคิดจะติดตั้งค่ายกลตอนนี้หรือ? แน่ใจได้อย่างไรว่าจะเสร็จทัน? อีกอย่าง…”


จริงอยู่ว่าความเก่งกาจเรื่องค่ายกลของจางเซวียนนั้นไร้เทียมทาน เขาได้เห็นมาแล้วกับตา แต่นี่ไม่ใช่สถานที่ทั่วๆไป…


พวกเขาอยู่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิง!


ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยค่ายกลและอักษรจารึก พวกมันล้วนแต่เป็นปัจจัยกีดขวาง ถ้าจางเซวียนต้องการติดตั้งค่ายกลที่นี่ เขาจะต้องคำนึงถึงค่ายกลพวกนั้นและหาหนทางที่จะติดตั้งค่ายกลของตัวเองให้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด


อย่าว่าแต่สิบอึดใจ ต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 9 ดาวเป็นร้อยคนก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้หากไม่ใช้เวลาเป็นปี!


การคำนวณเพื่อติดตั้งค่ายกลนั้นยากเย็นมาก เหนือความสามารถของมนุษย์!


ฟิ้ววววว!


ยังไม่ทันที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะหายตกตะลึง ชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศก็โบกมือ แล้วธงค่ายกลทั้งหมดก็ปลิวไปตามทิศทางของมัน


ภายในเวลาไม่ถึงสามอึดใจ ธงค่ายกลจำนวนหลายพันอันก็ถูกปักไว้โดยรอบหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงและหายวับไปจากสายตา


หลังจากเสร็จสิ้น จางเซวียนหันกลับมาบอกนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “ผมทำเสร็จแล้ว ถอยได้!”


“ได้สิ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบบินตรงไปหาจางเซวียน


แต่แน่นอนว่านักปราชญ์โบราณอีก 2 คนที่สู้กับเขาย่อมไม่ปล่อยให้เขาจากไปตามใจ พวกนั้นจึงรีบตามไปติดๆพร้อมกับปล่อยการโจมตีอีกชุดใหญ่ พยายามจะเล่นงานนักปราชญ์โบราณโม่หลิงให้หมอบให้ได้


ในตอนนั้นเอง เสียงตวาดก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ


“อ้าว? อำมาตย์เฉินหลิง คนพวกนี้เป็นใครน่ะ? ดูเหมือนพวกเขาจะเก่งกาจเสียจนทำให้คุณจนมุมได้นะ”


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมเชื่อว่าคุณจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้หากพวกเราช่วยเหลือคุณ เพราะถึงอย่างไร คนระดับคุณก็คงไม่ผิดสัญญาหรอก ใช่ไหม?”


จากนั้น เจตจำนงมากมายก็แผ่ซ่านไปทั่วหอนอน แรงกดดันมหาศาลถาโถมลงมาจากด้านบน


นักปราชญ์โบราณที่เหลืออีก 5 คนมาถึงแล้ว!


“หยุดพล่ามเถอะ ผมต้องการตัวพวกนั้นแบบเป็นๆ อย่าให้ใครหนีรอดไปได้นะ…ถ้าพวกคุณทำได้ ผมจะทำตามที่ให้สัญญาไว้ แต่ถ้าพวกมันแม้แต่คนเดียวหลุดรอดไปได้ล่ะก็ ข้อตกลงของเราก่อนหน้านี้เป็นอันยกเลิก!” อำมาตย์เฉินหลิงคำราม


เขาอาจต้านทานพละกำลังจากโครงกระดูกของไอ้โหดได้ระหว่างที่มีค่ายกลในหอนอนคอยช่วยเหลือ แต่อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มจะกลายเป็นอุปสรรคแล้ว ตอนนี้เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ


ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงได้เสียชีวิตแน่!


ดังนั้น เขาจึงพร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อสกัดกั้นจางเซวียนกับพรรคพวกไม่ให้ไปไหน ถ้าเขาทำไม่ได้ คงต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่!


ถ้าเขาไม่ได้เลือดมังกรที่ลงทุนขัดเกลามันด้วยความลำบากยากเย็นกลับมา ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม?


“ไม่มีปัญหา!” เหล่านักปราชญ์โบราณก้มหน้าลงมองไอ้โหดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงพร้อมกับยิ้มเยาะ


เห็นภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา เขาพึมพำอย่างสิ้นหวัง “ช้าไปแล้ว เราไม่มีทางหนีรอดได้แล้วล่ะ…”


กับสองนักปราชญ์โบราณก่อนหน้านี้ เขายังพอมีหนทางหลบหนี แต่ถ้าเจอกับนักปราชญ์โบราณมากมายพร้อมกันในคราวเดียว…เขาคงตายแน่


จางเซวียนหน้าซีดและยิ้มเจื่อนๆ เขาตั้งคำถาม “คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ? ผมน่ะตั้งหน้าตั้งตารอให้พวกเขามาถึงเลยนะ ไม่อย่างนั้นเราคงหนีไปไหนไม่ได้หรอก…”


จากการปักธงค่ายกลมากมายพร้อมกันในคราวเดียว ถึงจางเซวียนจะมีหอสมุดเทียบฟ้าและพลังปราณที่แทบจะไร้ขีดจำกัด เขาก็ยังอดรู้สึกหมดเรี่ยวแรงจากการใช้พลังครั้งนี้ไม่ได้


“คุณตั้งหน้าตั้งตารอพวกเขา?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงชะงัก


นี่มันใช่เวลาเล่นไหม?


ชีวิตของพวกเราอยู่บนเส้นด้ายนะ!


จางเซวียนไม่ใส่ใจนักปราชญ์โบราณโม่หลิงที่กำลังตื่นตระหนก เขาเงยหน้าขึ้นแล้วทักทายเหล่านักปราชญ์โบราณที่อยู่กลางอากาศ “คุณคือเหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นผู้ช่วยอำมาตย์เฉินหลิงใช่ไหม? ผมเป็นสหายของอำมาตย์เฉินหย่ง และบอกพวกคุณได้เลยว่าเขายังไม่ตาย อำมาตย์เฉินหลิงร่วมมือกับมนุษย์เพื่อลอบสังหารเขา แต่ลงท้ายแผนการก็ล้มเหลว ส่วนอำมาตย์เฉินหลิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส…”


มันอาจเป็นความพยายามที่สูญเปล่า แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำได้เพื่อดึงคนเหล่านี้ให้มาเป็นพรรคพวก


“อย่าไปฟังคำพูดพล่อยๆของหมอนั่น เขาเป็นปรมาจารย์ เป็นสายลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์ รีบฆ่ามันเสีย!” อำมาตย์เฉินหลิงตวาดก้อง ตัดบทคำพูดของจางเซวียน


เขาตั้งใจจะจับจางเซวียนให้ได้ตัวเป็นๆเพื่อสอบสวน แต่ตอนนี้เขาไม่ใส่ใจแล้ว


นักปราชญ์โบราณเหล่านั้นอาจจงรักภักดีกับเขาก็จริง แต่ความจงรักภักดีของคนพวกนั้นอยู่บนความสัมพันธ์ของการได้ประโยชน์ร่วมกัน ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งรับปากจะให้ผลตอบแทนกับพวกเขามากกว่า ก็แน่นอนว่าคนพวกนี้จะต้องตีจากเขาแน่


“เขาเป็นปรมาจารย์หรือ?” เหล่านักปราชญ์โบราณมองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าปรมาจารย์คนหนึ่งจะเข้ามาถึงเมืองหลวงและลักลอบเข้ามาที่วังของอำมาตย์เฉินหลิงซึ่งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดได้


“ผมเป็นปรมาจารย์? อำมาตย์เฉินหลิง, คุณพูดออกมาน่ะ เชื่อคำพูดของตัวเองหรือเปล่า? ดูจากปราณสังหารและสายเลือดอันสูงส่งของผม กล้าดีอย่างไรถึงมาบอกว่าผมเป็นปรมาจารย์ ระมัดระวังคำพูดด้วย!” จางเซวียนคำรามขณะขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือด


ในตอนนั้น เขาแผ่เจตนาสังหารที่เข้มข้นเทียบเท่ากับสามอำมาตย์ใหญ่ออกมา


“เอ่อ…”


“เป็นปราณสังหารที่เข้มข้นอะไรอย่างนี้! มนุษย์จะมีของแบบนี้ด้วยหรือ?”


“ถ้ามนุษย์ปลอมตัวได้ขนาดนี้ล่ะก็ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราคงล่มสลายไปนานแล้ว”


นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


ปัจจัยหลักที่ใช้แยกแยะเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือปราณสังหาร ยิ่งมีปราณสังหารเข้มข้นมากเท่าไหร่ ก็แปลว่าสายเลือดบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราณสังหารที่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาแผ่ออกมานั้นเข้มข้นกว่าของพวกเขาเองเสียอีก แล้วคนแบบนี้จะเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร?


เห็นความลังเลของเหล่านักปราชญ์โบราณ อำมาตย์เฉินหลิงกัดฟันและตวาดก้อง “ฆ่ามัน แล้วผมจะเพิ่มเดิมพันที่สัญญาไว้กับพวกคุณให้เป็น 2 เท่า!”


“คุณแน่ใจนะ?” ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณทั้ง 5 ตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ไม่มีอะไรที่พวกเราต้องลังเลแล้ว ฆ่าเขาเลย!”


สังคมเผ่าพันธุ์ปีศาจแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์มาก กฎเกณฑ์และหลักการใดๆ ที่ยึดถือกันในทวีปแห่งปรมาจารย์นั้น สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นแค่สิ่งที่ใช้กันในสังคม ซึ่งจะถูกนำมาปฏิบัติก็ต่อเมื่อมันเอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา


สุดท้าย สิ่งเดียวที่จะผลักดันพวกเขาได้ก็คือผลประโยชน์


ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสหายของอำมาตย์เฉินหย่งหรือเป็นปรมาจารย์ ก็ไม่ได้แตกต่าง


สิ่งที่อำมาตย์เฉินหลิงให้สัญญากับพวกเขาคือบางอย่างที่อำมาตย์เฉินหย่งจะไม่มีวันมอบให้ได้


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะมัวรีรออะไร?


เส้นทางที่พวกเขาควรเลือกเดินก็ชัดเจนอยู่แล้ว


ตอนที่ 1815 หลบหนี

บึ้มมมมม!


พละกำลังมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วพื้นที่และปะทะจางเซวียน


เพราะนักปราชญ์โบราณห้าคนสำแดงพละกำลังพร้อมกัน จึงดูราวกับถึงวันหายนะของโลก โลกกลายเป็นสีดำสนิทขณะที่มิติโดยรอบแหลกสลายเป็นฝุ่นผง ใครก็ตามที่เข้าใกล้จะต้องถูกพละกำลังมหาศาลนั้นฉีกกระชากจนหายวับไปจากโลกนี้


เห็นพลังที่อยู่ตรงหน้า นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหน้าซีดเผือดและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “เราต้องรีบหนีแล้ว…”


เห็นได้ชัดว่านักปราชญ์โบราณทั้งห้าได้ฝึกฝนค่ายกลผนึกกำลังบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางสำแดงพลังมหาศาลขนาดนี้ได้


ยังน่าสงสัยอยู่ว่าต่อให้นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกก็จะเอาตัวรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้หรือเปล่า นับประสาอะไรกับเขา


เขากำลังคิดว่าสถานการณ์เริ่มจะพลิกผันมาเป็นประโยชน์ เพราะในเมื่อประธานสมาคมคนใหม่ปรากฏตัวแล้ว พวกเขาก็น่าจะเรียกตัวตนเดิมกลับคืนมาและปล่อยให้ทายาทของพวกเขาได้มีที่ทางอย่างภาคภูมิใจในทวีปแห่งปรมาจารย์อีกครั้ง แต่ใครจะไปคิดว่าจางเซวียนจะไว้ใจไม่ได้ถึงขนาดนี้?


เพิ่งพบกันได้ครู่เดียว อีกฝ่ายก็พุ่งเข้าสู่ประตูนรกเสียแล้ว!


มันบ้าบออะไรกันนี่?


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงปราดเข้าไปคว้ามือจางเซวียนไว้ หวังจะช่วยอีกฝ่ายให้ปลอดภัย แต่จางเซวียนกลับส่ายหน้าและสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา


“มาเล่นงานผมเลย!”


ด้วยความงุนงง นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหันไปมองชายหนุ่ม เห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้า นักปราชญ์โบราณทั้งห้าที่อยู่กลางอากาศด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย


“….”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับขนลุกขนชัน


เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณทำอะไรผิด ถึงต้องเจอประธานสมาคมที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยขนาดนี้?


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคับอกคับใจเสียจนร่างแทบระเบิด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ความหวังและอนาคตของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณต้องจบชีวิต จึงรวบรวมพละกำลังเข้าไปคว้าตัวจางเซวียนไว้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้อีกฝ่าย จางเซวียนก็ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วตวาดก้อง “เปิดใช้งาน!”


บึ้มมม!


ในเวลาเดียวกันนั้น พลังสีดำก็พุ่งเข้าปะทะจางเซวียน แต่กลับตรงกันข้ามกับที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคิดไว้ อีกฝ่ายไม่ได้แหลกสลายเป็นฝุ่นผง การโจมตีนั้นมาหยุดอยู่ห่างจากเขาไม่ถึง 2 เซนติเมตร จากนั้นก็แตกออกเป็น 5 ส่วนและสลายตัวไป


“นี่คือ…อานุภาพของค่ายกลของเขา?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหรี่ตาอย่างตกตะลึง


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานน่าทึ่งที่ปกป้องชายหนุ่มไว้ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบก้มลงมอง เห็น อักษรจารึกทั้งหมดเรืองแสงขึ้นมาพร้อมกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือค่ายกลทั้งหมดกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งเพื่อปกป้องจางเซวียน


พลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเข้ามารวมตัวกันอยู่เหนือร่างของชายหนุ่ม โดยก่อตัวเป็นปราการพลังงาน 5 เหลี่ยม


การโจมตีของนักปราชญ์โบราณทั้งห้าถูกปราการพลังงานนี้ซึมซับไป และปล่อยมันเข้าสู่ค่ายกล


“นี่คือ…ปราการที่ซึมซับพลังและเปลี่ยนเป็นพลังงานหรือ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับอึ้ง


เขารู้ว่านักปราชญ์โบราณทั้งห้าทรงพลังแค่ไหนเมื่อทุกคนผนึกกำลังกัน หรือต่อให้ผนึกกำลังกันแค่สามคน ตัวเขาก็ต้านทานไม่ไหวแล้ว


แต่ไม่เพียงชายหนุ่มจะรับมือกับการโจมตีของพวกนั้นได้ ยังซึมซับพลังงานไว้ได้ด้วย นี่คือค่ายกลที่ติดตั้งเสร็จภายในเวลาไม่ถึง 10 อึดใจจริงๆหรือ?


การจะสร้างค่ายกลอยู่บนค่ายกลที่มีอยู่มากมายในพื้นที่ก็ยากพอแล้ว แต่ค่ายกลขนาดมหึมาที่จางเซวียนสร้างขึ้นได้รวบรวมพลังงานจากค่ายกลต่างๆในพื้นที่นั้นเอาไว้ทั้งหมดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมัน


นี่คือวีรกรรมที่เรียกได้อย่างเดียวว่า ‘ปาฏิหาริย์!’


จางเซวียนไม่แยแสความตกใจของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง เขาหันฝ่ามือไปหานักปราชญ์โบราณทั้งห้าแล้วส่งเสียงเรียก “กลับมา!”


ปราการพลังงานห้าเหลี่ยมรวบรวมพลังงานที่เพิ่งซึมซับมาได้เข้าด้วยกัน และสร้างกรงพลังงานขังนักปราชญ์โบราณทั้งห้าไว้


“เฮ้ย…”


“เวรละ แย่แล้ว…”


นักปราชญ์โบราณทั้งห้าคิดไม่ถึงว่าการผนึกกำลังกันของพวกเขาจะถูกเล่นงานได้รวดเร็วขนาดนั้น แถมชายหนุ่มยังตอบโต้กลับโดยใช้วิธีเดียวกันด้วย


ทั้งห้าคนหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง ทุกคนรีบผนึกกำลังกันอีกครั้งเพื่อรับมือกับกรงพลังงานที่โอบรัดพวกเขาเข้ามาอย่างรวดเร็ว


บึ้มมมม!


พลังจากทั้งสองฝ่ายปะทะกัน นักปราชญ์โบราณทั้งห้ากระอักเลือดออกมาพร้อมกันขณะที่ต้องถอนกำลังเพราะแรงปะทะนั้น


ตั้งแต่แรก ค่ายกลที่อยู่ในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงถูกออกแบบมาให้รับมือกับการโจมตีได้แม้แต่จากนักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อผนวกเข้ากับค่ายกลของจางเซวียน ประสิทธิภาพของค่ายกลนั้นก็เหนือกว่ากว่าที่ใครจะคาดถึง แม้แต่การผนึกกำลังกันของห้านักปราชญ์โบราณก็ยังมีอานุภาพไม่พอจะเอาชนะมัน


“ไอ้โหด เก็บหอกสวรรค์กระดูกมังกร แล้วมากับผม!”


แม้การโจมตีของจางเซวียนจะได้ผล แต่ก็ไม่ได้เดินหน้า เขาหันไปบอกไอ้โหดซึ่งยังคงกำลังต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหลิงแล้วเรียกอีกฝ่ายกลับมา


ในเวลาเดียวกัน ลำแสงสีดำก็พาดผ่านมุมของปราการห้าเหลี่ยม ก่อนจะดูดกลืนพลังของอำมาตย์เฉินหลิง


ไอ้โหดดิ้นรนจนเป็นอิสระจากการโจมตีของอำมาตย์เฉินหลิงได้สำเร็จ มันโบกมือ แล้วหอกสวรรค์กระดูกมังกรกับศพนักปราชญ์โบราณ 3 คนที่กองอยู่กับพื้นก็ลอยเข้าสู่มือของมัน


“ไปกันเถอะ!”


หลังจากเสร็จสิ้น จางเซวียนโบกมืออีกครั้ง แล้วปราการพลังงานห้าเหลี่ยมก็สร้างทางเดินแห่งมิติขึ้นมาสายหนึ่ง ไอ้โหด, นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และจางเซวียนกระโจนเข้าสู่ทางเดินแห่งมิตินั้น พวกเขาหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


เห็นจางเซวียนหายตัวไป อำมาตย์เฉินหลิงโมโหจนแทบระเบิด เขาหันไปตวาดนักปราชญ์โบราณทั้งห้า “พวกคุณมัวทำอะไรอยู่? เร็วเข้า ตามพวกมันไป!”


“คุณควรจะดูเสียก่อนนะว่าเขาควบคุมค่ายกลในหอนอนของคุณได้อย่างไร!”


ด้วยความทรงพลังของค่ายกลนี้ เราต้องได้รับบาดเจ็บแน่หากใช้กำลังทำลายมัน”


ห้านักปราชญ์โบราณปฏิเสธหน้าตาเฉย ไม่คิดจะตามล่าตัวจางเซวียนอีกต่อไป


แม้พวกเขาจะอยากได้ในสิ่งที่อำมาตย์เฉินหลิงสัญญาว่าจะมอบให้ แต่ก็ไม่คิดจะเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ถึงอย่างไร พวกเขาก็รู้ว่าอำมาตย์เฉินหลิงยังคงต้องการตัวพวกเขาอยู่ จึงน่าจะมีหนทางอื่นที่จะได้สิ่งตอบแทนเหล่านั้นมา


ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ถูกค่ายกลเล่นงาน นักปราชญ์โบราณทั้งห้าจึงหยุดการโจมตีและล่าถอย ไม่ใช่เพราะพวกเขาเอาชนะมันไม่ได้ แต่เพราะไม่เต็มใจเอาตัวเข้าแลก


“ฮึ่มมมม!”


อำมาตย์เฉินหลิงหน้าซีดเผือดด้วยความโกรธจัด เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเขากับห้านักปราชญ์โบราณมีความเป็นพันธมิตรกันมากกว่าจะเป็นเจ้านายกับบริวาร การที่คนเหล่านั้นเต็มใจช่วยยับยั้งจางเซวียนไว้ก็ถือว่าดีพอแล้ว การจะให้พวกเขาเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อตามล่าจางเซวียนถือเป็นการคาดหวังมากเกินไป


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเกิดมาพร้อมกับพละกำลังและอายุขัยที่เหนือชั้น ด้วยความได้เปรียบโดยธรรมชาติที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขามีเหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ การจะพลิกแผ่นดินของทวีปแห่งปรมาจารย์ เพื่อทำลายให้สิ้นซากก็ไม่ใช่เรื่องยาก เหตุผลเดียวที่พวกเขาทำไม่สำเร็จแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็เพราะแต่ละคนเห็นแก่ตัวเกินไป


ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ก็ไม่มีทางรวมกันเป็นหนึ่งได้


เรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะสามอำมาตย์ใหญ่ แต่ยังรวมถึงขุนนางมากมายที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพวกเขาด้วย ถ้าทุกคนสามารถรวมตัวกันเพื่อสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันได้อย่างเหล่าปรมาจารย์ ก็คงไม่ต้องติดแหงกอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเนิ่นนานแบบนี้


แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือพวกเขาขาดผู้นำที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวพอที่จะสามารถรวมทุกคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เหมือนอย่างที่ไอ้โหดเคยทำมาในอดีต


แม้อำมาตย์เฉินหย่งจะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เหนือชั้นกว่าอีก 2 อำมาตย์ไม่มาก จึงไม่อาจทำให้ทั้งสองยอมจำนนต่อเขาได้


อำมาตย์เฉินหลิงนำยาเม็ดออกมาเม็ดหนึ่งและกลืนมันลงไป เมื่อผิวพรรณของเขาดูดีขึ้นเล็กน้อย เขาก็รีบหันกลับมาจ้องมองค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง


ค่ายกลของหอนอนคือสิ่งที่ตัวเขากับเหล่าบรรพบุรุษได้ทุ่มเททั้งแรงกายและเวลามากมายในการติดตั้งมัน มีแต่ตัวอำมาตย์เฉินหลิงและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ แล้วทำไม หมอนั่นถึงสกัดกั้นนักปราชญ์โบราณทั้งห้าไว้ได้อยู่หมัด แถมอานุภาพของมันก็เหนือชั้นกว่าที่เคยเป็นด้วย?


เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น อำมาตย์เฉินหลิงกัดนิ้วของเขาและหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป


กุญแจในการควบคุมค่ายกลคือสายเลือดของเขา ขอแค่หยดเลือดของเขาลงไป ก็จะสามารถควบคุมค่ายกลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม


วิ้งงง!


ทันทีที่เลือดถูกหยดลงไป ค่ายกลก็เริ่มส่งเสียงหึ่งแสดงการทำงาน กระแสพลังงานเจิดจ้ามารวมตัวกันที่บริเวณใจกลาง


ขณะที่อำมาตย์เฉินหลิงควบคุมพลังงานให้สร้างโดมขึ้นมาปกป้องรอบตัวเขา และเริ่มจะฟื้นคืนพละกำลังกลับมาได้บ้าง เสียงหึ่งดังสนั่นก็ดังมาจากด้านล่าง มันดังเสียจนแทบจะทะลุแก้วหู


บึ้มมมม!


ทันใดนั้น พลังงานมหาศาลก็ระเบิดออกจากใจกลางค่ายกล ตึกรามบ้านช่องมากมายที่อยู่ในอาณาเขตวังของอำมาตย์เฉินหลิงซึ่งมั่นคงยั่งยืนมากว่าหลายหมื่นปีพังราบเป็นหน้ากลองไปเมื่อเผชิญกับคลื่นพลังงานนั้น


ค่ายกลสูญเสียการควบคุมและระเบิดตัวเอง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)