ยอดหญิงสกุลเสิ่น 181.1-182.2

ตอนที่ 181-1 วัดต้าเจวี๋ย

 

“เจ้าวิ่งสิ เจ้าวิ่งต่อสิ ให้อาหารเจ้ากิน ให้เสื้อผ้าเจ้าใส่ เลี้ยงเจ้าอย่างหรูหรา กลับกลายเป็นเลี้ยงคนเนรคุณเสียอย่างนั้น”


 


 


“ไม่ใช่เจ้าเก่งนักหรือ แม้แต่เจ้านายยังถูกเจ้าหลอก ยังคิดว่าเจ้าหัวไว ไม่นึกว่าเจ้าจะซ่อนความคิดชั่วช้า คิดจะหนีหรือ ในอาณาเขตของพวกข้าเจ้าจะวิ่งหนีไปไหนได้” หลังจากนั้นก็มีเสียงต่อยหมัดดังตุบตับ


 


 


“จุ๊ๆ ดูเนื้อหนังนี่สิ ดูใบหน้าเล็กๆ นี้ ดึงดูดใจจริงๆ ในเมื่อเจ้าไม่อยากใช้ชีวิตเหนือคนธรรมดา เช่นนั้นวันนี้ก็รับใช้พวกข้าก่อน หากรับใช้พวกข้าดี ไม่แน่ว่าอาจจะยังหาทางรอดให้เจ้าได้จริงๆ” ตามมาด้วยเสียงตบหน้า


 


 


“ใช่แล้วๆ พวกข้ายังไม่เคยเล่นกับของสวยๆ งามๆ เช่นนี้เลย ฮ่าๆ วันนี้พวกข้าก็ขอลิ้มรสของชั้นดีนี้เสียหน่อย ฮ่าๆ”


 


 


เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจและหื่นกามแสบแก้วหูยิ่งนัก ฝ่ายตรงข้ามที่ถูกทุบตีและหยอกล้อกลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เห็นได้ว่าเป็นคนที่ดื้อรั้นทีเดียว


 


 


นี่มันฉากหอนางโลมจับนางโลมที่หลบหนีหรืออย่างไร เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋สบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองตกใจเล็กน้อย หอนางโลมที่ไหนกันทำตัวกำแหงเช่นนี้


 


 


ในเมื่อเจอแล้ว เช่นนั้นก็ช่วยคนเถอะ! เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋คลำทางไปข้างหน้าเงียบๆ เห็นเพียงชายฉกรรจ์ในชุดจอมยุทธ์สามคนกำลังล้อมสตรีที่นั่งฟุบอยู่บนพื้นผู้หนึ่ง พูดจาลากมกหยาบคาย มีหนึ่งคนที่ถอดเสื้อผ้าออกแล้ว


 


 


เสิ่นเวยส่งสายตาให้เสี่ยวตี๋ เสี่ยวตี๋พยักหน้า ก้มตัวเก็บก้อนหินเล็กหนึ่งก้อนแล้วซัดออกไป โดนมือคนผู้นั้นที่ถอดเสื้อพอดี เขาร้องโอ๊ยเจ็บปวด “ใคร! ใคร!”


 


 


อีกสองคนที่เหลือก็มองมาทางฝั่งนี้อย่างตื่นตัว “ใคร ออกมา! หลบๆ ซ่อนๆ ใช่วีรบุรุษลูกผู้ชายที่ไหนกัน”


 


 


เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋เดินออกมาจากความมืด ชายฉกรรจ์สามคนนั้นเห็นว่าคนที่มายุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นคุณชายน้อยตระกูลเศรษฐี จากนั้นก็เห็นว่าคุณชายน้อยพามาเพียงแค่เด็กรับใช้ร่างผอมบางคนหนึ่งก็วางใจลง


 


 


“ข้าว่าคุณชายท่านนี้อย่าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้านเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้น…” คนผู้นั้นที่ถอดเสื้อเมื่อครู่แค่นเสียงหัวเราะเยาะ การข่มขู่ในคำพูดชัดเจนอย่างยิ่ง สองคนที่เหลือก็กอดอกหัวเราะเยาะเช่นกัน หนึ่งในนั้นยังกล่าว “พี่ใหญ่ ดูสิคุณชายน้อยผู้นี้ก็ผิวพรรณนุ่มละเอียดเหมือนกัน หรือว่าจะ?”


 


 


เจตนาร้ายอันโจ่งแจ้งนั้นทำให้เสี่ยวตี๋โมโหอย่างถึงที่สุด คาดไม่ถึงว่ากล้าไม่เคารพคุณหนู สมควรตาย! ร่างนางราวกับสายฟ้า ชายฉกรรจ์ในชุดชอมยุทธ์รู้สึกเพียงเบื้องหน้าวูบไหว คนที่เอ่ยปากหยาบคายผู้นั้นถูกตัดคอขาดล้มลงกับพื้นแล้ว


 


 


“นี่ก็คือจุดจบของผู้ที่ไม่เคารพคุณชายของข้า” เสียงที่เย็นยะเยือกของเสี่ยวตี๋ดังขึ้น


 


 


สองคนที่ยังเหลืออยู่ถอยไปข้างหลังสองก้าวใหญ่อย่างระมัดระวังทันที ความตื่นตัวในแววตามากอย่างยิ่ง “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ดูท่าแล้วคุณชายก็คงจะเป็นผู้มีความรู้ นี่เป็นเรื่องในบ้านของพวกข้า คุณชายทำเป็นไม่เห็นจะดีกว่า เมื่อครู่พี่ชายผู้นี้ของข้าเสียมารยาท บ่าวของคุณชายก็ลงโทษเขาแล้ว พวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่าได้ผูกอาฆาตต่อกันเลยจะดีกว่า”


 


 


เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา พัดพับได้ในมือตบลงในฝ่ามือเบาๆ ในน้ำเสียงมีความคับแค้นแทนผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด “พ่อหนุ่มกล้าหาญผู้นี้พูดจามีเหตุผล ข้าเป็นเพียงคนผ่านทาง ไม่ได้อยากสร้างปัญหาจริงๆ”


 


 


สองคนนั้นได้ยินเสิ่นเวยพูดเช่นนี้ กำลังจะประสานมือกล่าวขอบคุณ ทว่ากลับได้ยินเสิ่นเวยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แม้ว่าข้าจะไม่อยากสร้างปัญญา แต่ปัญหาดันมาหาข้าเอง เจ้าว่าเมืองหลวงใหญ่เพียงนี้ พวกเจ้าไม่ไปจัดการเรื่องในบ้านที่อื่น ดันวิ่งมาบนถนนที่ข้าต้องกลับบ้าน ไม่ใช่เป็นการสร้างความกลุ้มใจให้ข้าหรอกหรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร คำพูดของพวกเดนตายเช่นพวกเจ้าเชื่อได้ด้วยหรือ วันนี้หากปล่อยพวกเจ้าไป ไม่ใช่ว่าข้าทิ้งหายนะไว้ให้ตัวเองหรือ แม้ข้าจะอายุน้อย แต่ก็รู้จักสำนวนคำว่าตัดรากถอนโคนเหมือนกัน”


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างก็ขยับก่อน อาวุธชายฉกรรจ์ในชุดจอมยุทธ์สองคนนั้นยังไม่ทันได้ชักออกมา ร่างก็แข็งทื่อล้มลงบนพื้นแล้ว


 


 


เสิ่นเวยมองพัดพับได้ในมือ กล่าวในใจ อาวุธลับนี้ใช้ดีจริงๆ


 


 


ที่แท้แล้วพัดพับได้นี้ก็ไม่ได้มีไว้ใช้ประดับเท่านั้น ที่จริงแล้วมันยังเป็นอาวุธลับชั้นดี ข้างในซ่อนเข็มพิษไว้ เป็นพืชลูกศรพิษ


 


 


“เสี่ยวตี๋ ไปกันเถอะ” เสิ่นเวยส่ายหน้าตะโกนเรียกเสี่ยวตี๋ อารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องฆ่าคนระหว่างทางกลับบ้านล้วนอารมณ์ไม่ดีทั้งสิ้น


 


 


เสี่ยวตี๋เหลือบมองแม่นางที่หมอบอยู่บนพื้น ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


“คุณชาย ช่วยด้วย” ใครจะรู้จู่ๆ แม่นางบนพื้นผู้นั้นก็โผเข้ามาฉับพลัน คว้าชายเสื้อของเสิ่นเวยไว้


 


 


เสิ่นเวยตกตะลึง นี่ไม่ใช่สตรีหรอกหรือ ก่อนหน้านี้คนผู้นี้ก้มหน้า เส้นผมปิดบังใบหน้าอยู่ เสิ่นเวยมองเห็นเพียงเสื้อผ้าสีขาวที่เขาสวมอยู่ บวกกับคำพูดที่ชายฉกรรจ์สามคนนั้น ก็คิดไปเองว่านี่คือสตรีที่หนีออกจากหอนางโลมที่ไหนสักแห่ง


 


 


แต่ตอนนี้เมื่อแม่นางผู้นี้เอ่ยปาก เสิ่นเวยก็พบว่านี่ไหนเลยจะเป็นสตรี ชัดเจนว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง


 


 


เขา เขาคงไม่ได้หนีออกมาจากหอนายโลมหรอกนะ สีหน้าของเสิ่นเวยแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้นางยังอยากไปเปิดหูเปิดตาในสถานที่นั้นอยู่เลย จู่ๆ ก็มีนายโลมคนหนึ่งส่งมาถึงหน้านาง แม้แต่สวรรค์ก็ยังอยากให้นางสมปรารถนางั้นหรือ


 


 


เสิ่นเวยแอบวิจารณ์เงียบๆ อยู่ในใจ แต่นางก็ยังไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นเช่นนี้ นางกะพริบตามองคนเลวสามคนนั้นที่กระทำความชั่วต่อหน้านางอย่างหมดหนทาง ตอนนี้สามคนนั้นตายหมดแล้ว นางเองก็นับว่าได้ช่วยคนผู้นี้แล้ว ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ศัตรู นางทำถึงขนาดนี้ได้ก็เมตตามากแล้ว


 


 


“ข้าช่วยเจ้าแล้ว ปล่อยมือ” เสียงที่เย็นเยียบของเสิ่นเวยดังขึ้น หัวใจของอันเจียเหอบนพื้นกลับดิ่งลง เขากล้ำกลืนความอัปยศอดสูมาหลายปีเพียงนี้ หรือว่าวันนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว แต่เขายังมีความอาฆาตแค้นอยู่…


 


 


คิดถึงตรงนี้ แววตาของอันเจียเหอก็ปรากฏความหนักแน่น กำชายเสื้อของเสิ่นเวยแน่นไม่ยอมปล่อย “คุณชายช่วยข้าด้วย!” เขาจะตายไม่ได้ จะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ เขายังต้องลากสังขารอันอ่อนแอนี้เพื่อไปแก้แค้นอยู่


 


 


เสิ่นเวยถอนหายใจอีกครั้ง มองคนบนพื้นแล้วกล่าว “ในเมื่อเจ้าหนีออกมาได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าวางแผนดีแล้ว ตอนนี้คนที่จับเจ้าก็ตายหมดแล้ว เจ้าหลบหนีตามแผนก่อนหน้านี้ของเจ้าก็ได้แล้ว” ดูจากที่คนผู้นี้ถูกด่าทอแต่กลับไม่ส่งเสียงเมื่อครู่นี้ ก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น และในใจก็มีแผนการอยู่แล้ว เสิ่นเวยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ


 


 


อันเจียเหอได้ยินประโยคนี้ ในใจก็หวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ แต่กลับยิ่งมั่นใจที่จะร้องขอต่อ “คุณชายช่วยข้าด้วย!” เขาหลบหนีได้ แต่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่สะดวก ต่อให้หลบหนีก็คงจะต้องถูกหาเจออยู่ดี แม้คุณชายผู้นี้ตรงหน้าจะอายุไม่มาก แต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีฝีมือ หากได้เขาเป็นที่พึ่งพิง ไม่แน่ว่าตนอาจจะยังแก้แค้นได้ในสักวันหนึ่ง


 


 


“คุณชายช่วยข้าด้วย แม้ข้าจะเร่ร่อนสกปรก แต่ตั้งแต่เล็กก็อ่านหนังสือมากมาย ด้านการเล่นพิณหมากล้อมเขียนพู่กันก็ไม่เป็นรองใคร ส่วนด้านกลไกการนับเลขก็ชำนาญ คุณชายโปรดเมตตา ช่วยชีวิตข้าสักครั้ง” แม้ว่าในใจจะรู้สึกอับอาย แต่อันเจียเหอกลับยังคงมองเสิ่นเวยอย่างดื้อรั้น


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยได้ยินเขาพูดว่าตนอ่านหนังสือมามากในใจก็หัวเราะเยาะแล้ว เป็นนายโลมต้องฉกฉวยคำชมจากแขก ก็ต้องเรียนรู้ความสามารถเหล่านี้ไม่ใช่หรือ อ่านหนังสือเยอะไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากเอาใจแขกแล้วยังมีประโยชน์อะไรอีก แต่เมื่อได้ยินว่าเขายังชำนาญกลไกนับเลข ดวงตาของเสิ่นเวยก็ลุกวาว นับเลขยังไม่เท่าไร แต่ผู้มีความสามารถด้านกลไกกลับหากยากจริงๆ


 


 


“เสี่ยวตี๋ ยังไม่รีบพยุงคุณชายผู้นี้ขึ้นมาอีก” เสิ่นเวยสั่งเสี่ยวตี๋


 


 


เสี่ยวตี๋เข้าใจแล้วว่าคุณหนูต้องการช่วยคน ในที่สุดหัวใจของอันเจียเหอก็วางลง ประสาทผ่อนคลาย วินาทีถัดมาก็จมดิ่งอยู่ในความดำมืด


 


 


“คุณหนู ไม่เป็นไร เพียงแค่หมดสติ” เสี่ยวตี๋อังลมหายใจตรงจมูกของเขาแล้วกล่าว


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” เสิ่นเวยลูบอก ท่าทางตกใจ นางตัดสินใจจะรับคนผู้นี้ไว้อย่างไม่กลัวปัญหาแล้ว หากเขาตายขึ้นมา ตนก็ช่วยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ


 


 


เสิ่นเวยหวาดระแวงมากขึ้น นางไม่ได้บุ่มบ่ามพาคนกลับไปที่บ้านพักทันที แต่ส่งไปยังเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ทหารลับพักผ่อนอยู่ โยนคนให้ทหารลับผลัดกันเฝ้า จากนั้นจึงพาเสี่ยวตี๋กลับบ้านพัก


 


 


เสิ่นเวยเดินเล่นสบายอารมณ์อยู่ในเมืองหลวงอยู่หกเจ็ดวัน ตัวนางเองก็หน้าตาดีอยู่แล้ว บวกกับใจป้ำมือเติบ เจ้าของร้านลูกจ้างในเหลาสุราโรงน้ำชาโรงงิ้วต่างๆ ที่มีชื่อในเมืองหลวงต่างก็จำคุณชายจินที่ใจป้ำผู้นี้ได้แล้ว ทุกครั้งที่นางปรากฏตัว ลูกจ้างในร้านต่างก็แย่งกันบริการ เงินรางวัลที่คุณชายจินให้เยอะอย่างยิ่งจริงๆ โรงน้ำชาอวี้ไท่มีลูกจ้างแซ่หลี่คนหนึ่ง เพราะว่าเขาตอบคำถามดี คุณชายจินจึงถือโอกาสตบรางวัลเป็นเงินหนึ่งแท่ง นี่เท่ากับเงินเดือนเขาทั้งปี จะไม่ให้ลูกจ้างทุกคนแห่กันแย่งชิงได้อย่างไร อย่าว่าแต่ลูกจ้าง แม้แต่เจ้านายเล็กๆ ยังอิจฉาตาร้อน


 


 


หลังจากคืนนั้นที่เสิ่นเวยออกมาจากห้องหนังสือส่วนพระองค์ จักรพรรดิยงเซวียนก็ประทับอยู่เนิ่นนาน สีพระพักตร์ท่ามกลางแสงและเงามืดสลัวไม่ชัดเจน หลังจากนั้นก็ตรัสหนึ่งประโยค “ออกมาเถอะ”


 


 


จากนั้นจึงมีคนชุดดำผู้หนึ่งคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแปลกประหลาด จักรพรรดิยงเซวียนตรัสสั่งหลายประโยค คนชุดดำผู้นั้นบิดตัว หายไปในห้องราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน


 


 


คืนนั้นพระตำหนักซีซานมีกองทัพห้าพันนายออกไปเงียบๆ


 


 


เรื่องนี้เสิ่นเวยย่อมไม่รู้ แต่นางเองก็เดาได้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ จักรพรรดิไม่อาจนิ่งเฉย จะต้องวางแผนรับมือแน่นอน ส่วนจะเป็นแผนอะไร นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เด็กผู้หญิงเช่นนางจะทุกข์ใจ 

 

 


ตอนที่ 181-2 วัดต้าเจวี๋ย

 

เสิ่นเวยคาดการณ์ว่าท่านปู่ใกล้จะกลับมาแล้ว นางจึงเร่งรีบไปยังวัดต้าเจวี๋ย นางฉวยโอกาสตอนกลางคืนปีนเข้าไปในห้องจากหน้าต่างด้านหลังโดยตรง 


 


 


ซู่เหนียงที่ปลอมตัวเป็นนางกำลังเตรียมจะพัก จู่ๆ ก็มองเห็นคนผู้หนึ่งปีนเข้ามาจากหน้าต่างด้านหลัง ตกใจจนกรีดร้อง หลีฮวาที่อยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามาทันที 


 


 


“เฮ้ย ข้าเอง!” เสิ่นเวยเห็นซู่เหนียงคว้ากรรไกรใต้หมอนออกมาแล้ว ในมือหลีฮวาที่วิ่งเข้ามาก็ถือม้านั่งอยู่จึงรีบส่งเสียงบอกเป็นนัย 


 


 


“คุณหนู!” หลี่ฮวาตกตะลึง ทั้งตกใจทั้งดีใจ ม้านั่งในมือหล่นลงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ในดวงตามีน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ 


 


 


ชั่วขณะเสิ่นเวยรู้สึกอบอุ่นในใจ ยิ้มแล้วกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ร้องไห้ทำไม ข้ากลับมาแล้วไม่ใช่หรือไร” เป็นเด็กโง่จริงๆ เลย 


 


 


“คุณหนู นั่นท่านจริงๆ หรือ” หลีฮวารีบเช็ดน้ำตา ขยับริมฝีปากพยายามจะยิ้ม แต่น้ำตากลับไหลหนักกว่าเดิม “บ่าว บ่าวดีใจ!” ทุกวันนางนั่งคุกเข่าหน้าพระพุทธรูปเป็นเวลานาน ขอพระคุ้มครองคุณหนูของนางให้กลับมาอย่างปลอดภัย 


 


 


“พอแล้วๆ ดูเจ้าดีใจเข้า เดี๋ยวเถาฮวาก็ขำเจ้าตายหรอก” เสิ่นเวยยิ้มหยอกล้อ 


 


 


หลีฮวาประหลาดใจอย่างมาก “เถาฮวาก็มาด้วยหรือ” หลังจากนั้นก็ได้สติกลับมา คุณหนูอยู่ที่ไหน เถาฮวาก็ย่อมต้องอยู่ที่นั่น 


 


 


เสิ่นเวยบอกเป็นนัยไปทางหน้าต่างด้านหลัง “ไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรือ” จากนั้นก็เห็นเถาฮวาปีนเข้ามาจากหน้าต่างด้านหลังแล้วเช่นกัน เอ่ยปากตะโกนด้วยความดีใจ “พี่หลีฮวา” 


 


 


นายบ่าวหลายคนพบหน้ากันย่อมต้องดีใจอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยเห็นซู่เหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพก็กล่าว “เจ้าวางใจ เรื่องที่รับปากเจ้าไว้ไม่ผิดสัญญาแน่นอน ขอเพียงแค่เจ้าปิดปากให้สนิท เงินทองครึ่งชีวิตก็หนีไม่พ้นหรอก” 


 


 


ซู่เหนียงแสดงสีหน้าซาบซึ้ง “คุณหนูวางใจ ซู่เหนียงรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร” นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “คุณหนูท่านเชิญพักเถอะ เดี๋ยวซู่เหนียงไปนอนเบียดกับพี่เซียงเหมย” 


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีเหมือนกัน เจ้าก็ถือโอกาสคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อ ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร ภายในขอบเขตที่เหมาะสมข้าจะพยายามช่วยเจ้าเต็มที่” 


 


 


“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” ซู่เหนียงถอยออกไปอย่างเรียบร้อย 


 


 


เมื่อซู่เหนียงออกไปแล้ว หลีฮวาก็จัดเตียงทันที ของที่ซู่เหนียงเคยใช้ย่อมไม่อาจให้คุณหนูใช้ได้ หลีฮวาปูเครื่องนอนใหม่เอี่ยมทั้งชุดลงบนเตียง จากนั้นก็สั่งให้คนต้มน้ำร้อน ยุ่งตัวเป็นเกลียว 


 


 


ยังคงเป็นเสิ่นเวยที่ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงจับนางไว้ “พอแล้ว ข้ากินมาแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้ เอาแค่นอนได้ก็พอแล้ว มา เล่าเรื่องของพวกเจ้าในช่วงหลายเดือนมานี้ให้ข้าฟังหน่อย” 


 


 


หลีฮวาวางของในมือลง เล่าชีวิตในวัดต้าเจวี๋ยหลายเดือนมานี้อย่างไม่หยุดปาก 


 


 


“คุณหนู หลังจากที่ท่านไป พวกบ่าวก็สวดมนต์ทำจิตใจให้สงบอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ตามคำสั่งของท่าน ข้าวทุกมื้อมีพี่สาวหลายคนผลัดกันไปเอามา บ่าวกับพี่เซียงเหมยต่างก็ออกไปน้อยอย่างยิ่ง ซู่เหนียงผู้นั้นก็ฉลาด อยู่ในห้องคัดคัมภีร์เงียบๆ แม้ว่าจะไปจุดธูปบูชาที่อุโบสถ แต่ก็สวมผ้าคลุมศีรษะมีบ่าวตามไปด้วย ช่วงหลังอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ บ่าวก็ปรึกษากับเจ้าอาวาส สร้างเตาในเรือนเล็ก ไว้ใช้ต้มน้ำ ต้มข้าวต้มต่างๆ ได้… 


 


 


…วันคืนผ่านไปอย่างสงบ เพียงแต่เป็นห่วงคุณหนู คุณหนูไปหลายเดือน ไม่มีแม้แต่ข่าวใดๆ บ่าวร้อนใจยิ่งนัก คุณหนู เหตุใดท่านถึงได้ดำเพียงนั้น งานแต่งงานของท่านจัดขึ้นเดือนสาม นี่ก็เดือนสองแล้ว เหลืออีกไม่กี่วัน จะทำอย่างไร” คุณหนูดำเพียงนี้จะออกเรือนได้อย่างไร หากเจ้าบ่าวรังเกียจจะทำอย่างไร หลีฮวาร้อนใจขึ้นมาในชั่วขณะ 


 


 


 เสิ่นเวยไม่สนใจ นางเองก็ไม่ได้ดำขนาดนั้น แค่ผิวสีน้ำผึ้งก็เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นนี่เกี่ยวอะไรกับการแต่งงาน หรือว่าสวีโย่วหมอนั่นจะกล้ารังเกียจนางเชียวหรือ 


 


 


“ยังกล้าว่าข้าด้วยหรือ เจ้าดูเจ้าก่อน ผอมลงขนาดนี้ เป็นอะไรไป ข้าววัดต้าเจวี๋ยไม่อร่อยหรือ” เสิ่นเวยแสยะปากกล่าว 


 


 


หลีฮวาไหนเลยจะไม่รู้ว่าคุณหนูนางเปลี่ยนเรื่อง กล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณหนู ไม่ใช่เพราะบ่าวเป็นห่วงคุณหนูหรือไร” คำพูดนี้กลับเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินญาติโยมที่มาทำบุญในวัดเล่าว่าสถานการณ์ซีเจียงไม่ดีมากเพียงใด หลีฮวาก็กังวลจนนอนไม่หลับ เมื่อหลับตาก็เห็นคุณหนูเลือดโชกไปทั่วร่างยืนอยู่ตรงหน้า 


 


 


“หลีฮวาคนดี คุณหนูรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี ข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพร่ำถึงแล้ว เร่งเดินทางหลายสิบลี้ตอนนี้ข้าง่วงแล้ว” ราวกับต้องการยืนยันคำพูดนาง เสิ่นเวยยังหาวอีกหนึ่งครา 


 


 


คำพูดเต็มอกของหลีฮวาไม่อาจพูดต่อไปได้แล้ว รีบจัดแจงให้คุณหนูพักผ่อนดีกว่า “คุณหนู บ่าวจะพาเถาฮวาไปนอนในห้องข้างนอก ท่านมีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าค่ะ” ในใจวางแผนดีแล้วว่าจะบำรุงรักษาร่างกายคุณหนูอย่างไรบ้าง จะต้องให้คุณหนูเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดให้ได้ อืม ซู่เหนียงค่อนข้างมีประสบการณ์ด้านนี้ พรุ่งนี้ไปขอคำแนะนำจากนางดีหรือไม่นะ 


 


 


เซียงเหมยเห็นซู่เหนียงยืนอยู่ข้างนอกประตูก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง ซู่เหนียงชิงกล่าวก่อน “คุณหนูกลับมาแล้ว” 


 


 


เซียงเหมยตกใจ หลังจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นข้างแก้ม นางเดินผ่านซู่เหนียงกำลังจะไปที่ห้องใหญ่ เดินไปได้สองก้าวก็หันหลังกลับมา ถอนหายใจกล่าว “ดึกดื่นคุณหนูเองก็น่าจะเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไปแล้วกัน” จากนั้นก็ผลักประตูให้ซู่เหนียงเข้าไป 


 


 


เซียงเหมยมองซู่เหนียงที่สุขุมสงบนิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียน ถอนหายใจหนึ่งคราแล้วกล่าว “คุณหนูกลับมาแล้ว เจ้ามีแผนต่อจากนี้อย่างไร” แม้ว่าซู่เหนียงไม่พูด แต่อย่างไรเสียเซียงเหมยก็เป็นสตรีที่เคยแต่งงานมาก่อน ไหนเลยจะอ่านสถานการณ์ของซู่เหนียงไม่ออกว่าไม่เป็นดั่งหวัง ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน อีกทั้งซู่เหนียงก็รู้ประสา มีมารยาทกับพวกนาง ไม่เคยนำปัญหามาให้พวกนาง ดังนั้นนางจึงมีความรู้สึกผูกพันกับสตรีที่เหมือนคุณหนูเล็กน้อยผู้นี้อย่างยิ่ง 


 


 


ซู่เหนียงส่ายหน้า บนใบหน้าที่เรียบร้อยมีความสับสนหลายส่วน 


 


 


นางถูกอาสะใภ้ขายให้หอนางโลม พ่อแม่นางมีนางเพียงคนเดียว เคยโอบอุ้มอยู่ในมือด้วยความรักและโปรดปราน ปีนั้นที่นางอายุได้แปดปี พ่อก็ป่วยกะทันหัน หลังจากนั้นแม่ก็ตามไป อาสะใภ้ต้องการครอบครองสมบัติของบ้านนางจึงขายนางเสีย เพราะว่านางหน้าตาดี พ่อค้าคนกลางโลภเงินจึงขายนางให้หอนางโลม 


 


 


นางถือได้ว่าเติบโตอยู่ในหอนางโลม เคยเห็นเด็กผู้หญิงนับไม่ถ้วนวิ่งหนีถูกจับกลับมาทำโทษเฆี่ยนตี นางหวาดกลัว ทั้งยังชินชาแล้ว นางจะตายไม่ได้ พ่อนางมีเพียงนาง นางตายแล้ว ครอบครัวนางก็ไม่เหลือใครแล้ว 


 


 


ไม่อยากตาย เช่นนั้นก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี นางพยายามเรียนฉินเล่มหมากเขียนพู่กันจีน เรียนรู้การอ่านสีหน้าคน เรียนรู้วิธีเอาใจแขกผู้มีพระคุณ อายุได้สิบห้าปีก็รับแขกอย่างเป็นทางการ นางไม่นับว่าเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุดในหอนางโลม แต่ก็สามารถอยู่ในห้าอันดับแรกได้ นางคิดคำนวณแล้วว่า ถือโอกาสทำงานแลกเงินหลายๆ ปีตอนที่อายุยังน้อย เมื่อายุมากแล้วก็ไถ่ตัวเอง ซื้อบ้านหลังเล็ก รับลูกบุญธรรม มอบความรักความผูกพันแทนพ่อ 


 


 


สำหรับการแต่งงาน นางไม่เคยคิดมาก่อน คนเช่นพวกนางไหนเลยจะยังแต่งงานได้อีก ต่อให้จะเป็นชาวนาแก่เฒ่าพวกนั้นก็ยังดูถูกพวกนาง แทนที่จะต้องถูกคนรังเกียจ ไม่สู้อยู่ตัวคนเดียวดีกว่า 


 


 


เดิมคิดว่าชั่วชีวิตนี้ของนางจะเป็นเช่นนี้ แต่มีอยู่วันหนึ่ง แขกใจป้ำผู้หนึ่งมาไถ่ตัวนาง ขณะที่นางระแวดระวังในใจก็แอบดีใจเล็กน้อย ที่พักพิงที่ดีที่สุดของสตรีไม่ใช่การได้แต่งงานกับคนดีๆ หรอกหรือ แขกผู้นี้สามารถไถ่ตัวนางได้ ก็คงจะต้องมีความรู้สึกหลายส่วนต่อนางมิใช่หรือ 


 


 


แต่เร็วอย่างยิ่งนางก็ต้องผิดหวัง แขกผู้นี้เพียงแค่สั่งให้นางทำเรื่องๆ หนึ่ง หลังจากรับปากแล้วจะให้เงินก้อนหนึ่งแก่นางและปล่อยนางเป็นอิสระ นางคิดทั้งคืน ในที่สุดก็ตกลง อิสระมีแรงดึงดูดต่อนางอย่างยิ่ง 


 


 


แขกผู้นั้นไม่ได้ให้นางไปทำเรื่องอันตรายอะไร เพียงแค่ให้นางมาเป็นตัวแทนหลายเดือนที่วัดต้าเจวี๋ย จิตใจที่พะว้าพะวงของนางก็วางลง หลายเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่สบายใจที่สุดตั้งแต่ที่นางถูกไถ่ตัวมา บางครั้งนางก็คิดว่าหากได้ใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานๆ ก็คงจะดี ตอนนี้คุณหนูผู้นั้นกลับมาแล้ว นางควรจะไปที่ไหนดี 


 


 


เซียงเหมยเห็นท่าที ในใจก็เกิดความสงสารอย่างไม่อาจเลี่ยง “หากเจ้าไม่มีที่จะไปไม่สู้ติดตามคุณหนูของพวกเรา คุณหนูใจดี ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก เจ้าเห็นหลีฮวาหรือไม่ แม้จะบอกว่าเป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนู แต่อาหารการกินกลับดีกว่าคุณหนูในตระกูลท้องที่ข้างนอกเสียอีก” 


 


 


ซู่เหนียงคิดครู่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “คนผู้นั้นที่ไถ่ตัวข้าบอกว่าจะให้เงินหนึ่งก้อนแก่ข้าและปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ” 


 


 


เซียงเหมยถอนหายใจ “สตรีอายุน้อยเช่นเจ้า อีกทั้งยังหน้าตาดึงดูดความสนใจเช่นนี้ ต่อให้มีเงินก็เก็บไว้ไม่อยู่หรอก ในสังคมนี้ สตรีตัวคนเดียวไม่ได้ใช้ชีวิตง่ายเพียงนั้น” 


 


 


เห็นซู่เหนียงไม่พูดต่อ เซียงเหมยก็กล่าว “ดูอย่างข้าสิ เดิมก็มีสามีมีครอบครัว ใช้ชีวิตอย่าสงบสุข แต่สามีเดินทางไปสอบข้าราชการ จู่ๆ ก็ถูกคนชอบเข้า สามีผู้นั้นของข้าก็มีตำแหน่งชื่อเสียง เป็นซิ่วไฉ[1] หากไม่ใช่คุณหนูผ่านทางมาและช่วยข้าออกมาจากคุกที่ว่าการ ข้ากับลูกสาวก็คงจะกลายเป็นดินเลนไปแล้ว” 


 


 


เซียงเหมยเล่าเรื่องราวในอดีตของตน ซู่เหนียงตกใจจนถลึงตาโต นางคิดว่าเซียงเหมยเป็นสตรีที่จัดการงานได้อย่างมีความสามารถข้างกายคุณหนู ไม่คิดว่านางยังมีเรื่องราวที่น่าขมขื่นเช่นนี้ด้วย ทำให้นางเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเซียงเหมยอย่างอดไม่ได้ 


 


 


“หลายปีมานี้พวกเราแม่ลูกติดตามคุณหนู คุณหนูเองก็ไม่ให้พวกเราลงชื่อขายแลกที่ดิน นางบอกว่ารอหาพ่อของลูกสาวเจอแล้วค่อยปล่อยพวกเราไป ดูแลเหมือนญาติ แต่พ่อของลูกไหนเลยจะหาง่ายเพียงนั้น ต่อให้หาเจอแล้วอย่างไร อย่างไรเสียข้าก็คิดดีแล้ว พวกข้าแม่ลูกจะติดตามคุณหนูไปชั่วชีวิตนี้” แววตาเซียงเหมยอัดอั้น ด้วยความสามารถของสามีจะต้องสอบได้ตำแหน่งชื่อเสียงแน่นอน สตรีที่มีมลทินเช่นตนไหนเลยจะยังคู่ควรกับเขา 


 


 


ซู่เหนียงเข้าใจเซียงเหมยอย่างถึงที่สุด เหตุการณ์ที่บุรุษก้าวหน้าแล้วทิ้งภรรยาที่เคยลำบากมาด้วยกันนางเห็นที่หอนางโลมมาไม่น้อย ดังนั้นนางจึงเห็นใจเซียงเหมยกว่าเดิม 


 


 


“คุณหนูของพวกเราเป็นนายที่ดีจริงๆ งดงามแล้วยังมีความสามารถ ปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ก็ดี ไม่เคยตบตีด่าทอมาก่อน ขอเพียงแค่เจ้าจงรักภักดียอมทำงาน คุณหนูของพวกเราก็ใจกว้างอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่อยากทำงานอย่างการยกชารินน้ำ กิจการภายใต้ชื่อคุณหนูก็มีเยอะแยะ เจ้าก็สามารถไปทำได้ ในด้านนี้คุณหนูของพวกข้าก็มีความคิดก้าวไกลอย่างยิ่ง มักจะบอกว่าเรื่องที่บุรุษทำได้สตรีเช่นพวกเราก็ทำได้เหมือนกัน อย่าได้ดูถูกเหยียดหยามตนเอง” 


 


 


“ขอบคุณท่านพี่ ซู่เหนียงรู้ว่าท่านหวังดี เพียงแต่ตอนนี้ข้าว้าวุ่นใจอยู่ ให้ซู่เหนียงได้คิดอีกหน่อยเถิด” ซู่เหนียงกัดริมฝีปากกล่าวเสียงเบา 


 


 


เซียงเหมยถอนหายใจหนึ่งครา ไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้วจริงๆ 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ซิ่วไฉ คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่น ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษทางสังคมจำนวนมาก  

 

 


ตอนที่ 182-1 เจ้าอาวาสและการสะกดรอย

 

วันที่สอง เสิ่นเวยเจอเซียงเหมยที่มาคารวะแล้ว เห็นเซียงเหมยเองก็ผอมลงมากเช่นเดียวกัน ในขณะที่เสิ่นเวยรู้สึกผิดก็รู้สึกอบอุ่นในใจ คนที่ห่วงใยนางเช่นนี้ได้ก็คือคนเหล่านี้ที่นางพากลับมาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ผูกพันกันยิ่งกว่าญาติเสียอีก 


 


 


ในเมื่อมาวัดต้าเจวี๋ยแล้ว สวมบทบาทก็ยังต้องสวมต่ออีกสองสามวัน คงไม่อาจมาเมื่อวานกลับวันนี้ได้กระมัง 


 


 


กินข้าวเช้าเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็คัดคัมภีร์หนึ่งรอบด้วยตัวเอง จากนั้นก็ไปไหว้พระที่อุโบสถ คราวนี้ยังคงมีหลีฮวาไปเป็นเพื่อน เพียงแต่ไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าแล้ว 


 


 


คุกเข่าอยู่หน้าพระ เบื้องลึกในจิตใจของเสิ่นเวยก็สงบ นางเคารพพระพุทธเจ้าแต่กลับไม่เชื่อ มิเช่นนั้นหากคิดตามชีวิตที่นางคร่ามานางก็บาปหนาเกินไปแล้วจริงๆ แต่เสิ่นเวยกลับสุขุมไร้กังวล นางเชื่อมั่นว่าคนที่นางฆ่าล้วนแต่เป็นคนที่สมควรตาย นางไม่ผิด ทุกสรรพสิ่งเท่าเทียมเป็นหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธ หลักปฏิบัติของนางก็คือฆ่าได้ฆ่า ชำระหนี้แค้น 


 


 


“สีกาผู้นี้ เจ้าอาวาสของอาตมาเรียนเชิญ” เสิ่นเวยกราบไหว้สามครั้ง รับธูปที่หลีฮวาส่งมาแล้วปักลงในกระถางธูป หลวงจีนน้อยผู้หนึ่งก็กล่าวกับนางเช่นนี้ด้วยความเคารพ 


 


 


เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย และคิดว่าน่าสนใจเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนหลวงจีนน้อยนำทางแล้ว” จากมุมมองของเสิ่นเวย หลวงจีนก็เหมือนร่างทรง พูดแต่คำพูดลึกล้ำลับๆ ล่อๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีพระอาจารย์ชื่อดังอยู่จริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรูปนี้เป็นแบบไหน 


 


 


เดินอยู่เป็นเวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา เลี้ยวเข้าไปในทางเดินเส้นเล็กหนึ่งสาย สุดทางเดินเป็นวิหารหลายหลัง หลวงจีนน้อยชี้ทางให้เสิ่นเวย “สีกา เจ้าอาวาสของอาตมาอยู่ข้างใน เชิญสีกาเข้าไปเถิด” 


 


 


ไม่แจ้งให้ทราบก็เรียกตัวเองเข้าไปแล้ว น่าสนใจจริงๆ มุมปากเสิ่นเวยกระดกขึ้น บอกเป็นนัยให้หลีฮวารออยู่ข้างนอก ตนผลักประตูเดินเข้าไป 


 


 


หลวงจีนผมขาวหนวดขาวองค์หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าชงชาอยู่บนเบาะทรงกลม ท่าทางตั้งใจ การเคลื่อนไหวดูเหมือนทำตามอำเภอใจแต่กลับมีความงดงามละเอียดอ่อน เสิ่นเวยยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นหลวงจีนรูปนี้ไม่สนใจตนก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับมองประเมิณกุฏิแห่งนี้แทน 


 


 


สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาก็คืออักษร禅 (ฌาน) ใหญ่ๆ ตัวนั้นบนผนังข้างหลังหลวงจีน อักษรดี เป็นคำที่ดีจริงๆ เสิ่นเวยเอ่ยชมในใจ แต่ยิ่งมองนางก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ไอสังหารหนึ่งกลุ่มโผเข้ามาตรงหน้า ออกมาจากอักษร禅ใหญ่ๆ ตัวนี้ คาดไม่ถึงว่าศาสนาพุทธที่ให้ความสำคัญกับความเมตตากรุณา กวาดพื้นก็กลัวทำร้ายมดใช้ผ้าคลุมไฟเพราะกลัวแมงเม่าบินเข้ากองไฟนี้จะเขียนอักษรที่เต็มไปด้วยไอสังหารออกมาได้ โอ้ ช่างน่าสนใจจริงๆ 


 


 


เสิ่นเวยรู้สึกสนใจอย่างถึงที่สุด เห็นหลวงจีนยังคงยุ่งอยู่ก็หาเบาะรองนั่งแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป มองหลวงจีนชงชาด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก 


 


 


การเคลื่อนไหวที่เบาสบายราวกับสายน้ำไหลนั่นงดงามจริงๆ เสิ่นเวยรู้สึกว่าฝีมือชงชาของหลวงจีนองค์นี้ดีกว่าอาจารย์ซูบุคคลสูงส่งที่สุดของนางเสียอีก ส่วนนางน่ะหรือ เหอะๆ ทั้งหมดก็แค่สร้างภาพ หลอกคนก็เท่านั้นเอง 


 


 


“โยมเสิ่นเชิญดื่มชา” ในที่สุดหลวงจีนก็ชงชาเสร็จแล้ว เลื่อนถ้วยชาบนโต๊ะบอกเป็นนัยแก่เสิ่นเวย 


 


 


เสิ่นเวยเองก็ไม่เกรงใจ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ หนึ่งครา ลิ้มรสช้าๆ อืม ไม่เลว ในปากมีความหอมอบอวลอยู่ รสชาติติดลิ้นยาวนาน 


 


 


“ชาดี! ขอบคุณเจ้าค่ะเจ้าอาวาส” ดวงตาของเสิ่นเวยมีความดีใจ แม้ว่านางจะชงชาสร้างภาพ แต่การวิเคราะห์ชาก็ยังเคยเรียนมาบ้าง ยังพอพูดได้ 


 


 


หลวงจีนยิ้มน้อยๆ สีหน้าเคร่งขรึม “อาตมามีสมณศักดิ์ว่าเสวียนเฉิง โยมมาจากที่ใดหรือ” 


 


 


เสิ่นเวยแทบจะพ่นชาออกมา มาจากที่ใดงั้นหรือ เหตุใดฉากนี้ถึงได้คุ้นเพียงนั้นเล่า คล้ายกับว่าร่างทรงนักต้มตุ๋นก็ชอบถามคำถามเช่นนี้ 


 


 


           “ข้าหรือ ย่อมมาจากที่ที่จากมา ต่อจากนี้เจ้าอาวาสอย่าได้ถามว่าข้าอยากไปที่ไหน ข้าจะไปในที่ที่อยากไป” แววตาเสิ่นเวยมีความหยอกล้อ 


 


 


เจ้าอาวาสเสวียนเฉิงไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย มองเสิ่นเวยด้วยความเมตตา กล่าวต่อ “อาตมาเห็นหน้าโยม โยมมีวาสนาต่อพระพุทธ” 


 


 


คราวนี้เสิ่นเวยพ่นชาออกมาแล้วจริงๆ ชาพ่นลงบนจีวรสีขาวสะอาดของเสวียนเฉิง เสิ่นเวยรีบขอโทษ “ขออภัยๆ ขออภัยจริงๆ ไต้ซือท่านพูดอะไรน่ากลัวเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านรู้ว่าข้าคือใคร แล้วข้าจะยังมีวาสนาต่อพระพุทธอีกได้อย่างไร” 


 


 


นางมีวาสนาต่อพระพุทธงั้นหรือ หลวงจีนใหญ่องค์นี้ยังกล้าพูดจริงๆ นางส่งคนลงนรกกับมืออย่างน้อยๆ ก็เป็นร้อยเป็นพันคนแล้ว คนที่กลิ่นคาวโลหิตเต็มทั่วร่างเช่นนางจะมีวาสนาต่อพระพุทธได้อย่างไร พระพุทธเจ้าชอบนางก็แปลกแล้ว หลวงจีนใหญ่ผู้นี้คงไม่ใช่ว่าอยากขอความช่วยเหลือจากนางจึงหลอกนางหรอกนะ 


 


 


ภาพลักษณ์ที่เดิมยังสูงใหญ่อย่างยิ่งของเจ้าอาวาสเสวียนเฉิงพังทลายลงในใจเสิ่นเวย เหมือนร่างทรงที่พูดจาเหลวไหลไร้สาระขึ้นมาทันที 


 


 


เจ้าอาวาสเสวียนเฉิงไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ยังคงอมยิ้มน้อยๆ มองเสิ่นเวยแล้วกล่าวอย่างแฝงนัย “พระโพธิ์สัตว์หน้าโกรธก็ยังเป็นพระ” 


 


 


เสิ่นเวยตกใจในใจ จากนั้นก็ได้ยินเจ้าอาวาสเสวียนเฉิงกล่าวต่อ “สามปีก่อนอาตมาจับยามดูสังเกตเห็นดาวอื่นมาเยือนโลก อาตมาคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก วันนี้ได้เห็นโยมแล้ว อาตมาก็เพิ่งจะเข้าใจ เดิมโยมเป็นคนที่ควรจะตายตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ยังเป็นคนที่มีโชคอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่โยมรู้ดีชั่วอยู่แก่ใจ ลดความรุนแรงและความคิดที่จะสร้างบาปกรรมในใจลง จะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์อยู่เย็นเป็นสุขชั่วชีวิตแน่นอน” 


 


 


เสิ่นเวยได้ยินแล้วก็ยิ่งตกใจ แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย แสร้งทำท่าทีตั้งใจฟัง กระทั่งมุมปากยังอมยิ้มบางๆ เดิมคิดว่าหลวงจีนใหญ่ผู้นี้เป็นร่างทรงที่หลอกคน ไม่คิดว่าจะรู้ที่มาของนางหลายส่วนจริงๆ เขารู้จากการจับยามจริงๆ หรือว่าพูดมั่วซั่วไปเรื่อยกัน 


 


 


เสิ่นเวยคิดว่าน่าจะเป็นแบบแรก ในใจก็เลื่อมใสขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “สาธุเจ้าค่ะไต้ซือ!” 


 


 


เจ้าอาวาเสวียนเฉิงยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง มองเสิ่นเวยด้วยความเมตตาปราดหนึ่งสวดอมิตพุทธหนึ่งคราจากนั้นก็หลับตาไม่เอ่ยปากอีก เขานั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ดูเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงเกินเช่นนั้น มุมปากที่ตกลงน้อยๆ เหมือนกับว่าเศร้าโศกอาดูรเช่นนั้น 


 


 


เสิ่นเวยก็นิ่งเงียบไม่พูดจา ดื่มชาในถ้วยชาหมดแล้วก็ถอยออกไปด้วยความเคารพเงียบๆ 


 


 


เสิ่นเวยยืนอยู่หน้าประตูวิหาร เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สูงและไกล นางกำลังคิด อะไรคือดี อะไรคือชั่ว นางจะแยกแยะอย่างไร จากนั้นเบื้องลึกในใจก็มีเสียงๆ หนึ่งบอกกับนาง การทำตามใจก็คือดีชั่วสำหรับนาง 


 


 


เสิ่นเวยยิ้ม โบกมือให้หลีฮวาที่มองนางอย่างเป็นกังวล กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “มาวัดต้าเจวี๋ยนานเพียงนี้ยังไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์ในวัดเลย พวกเราถือโอกาสเดินดูสักรอบก่อนกลับเถอะ” 


 


 


การเคลื่อนไหวหน้าประตูวิหารย่อมหนีไม่พ้นสายตาเจ้าอาวาสเสวียนเฉิง เขาลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาลุ่มลึกจมดิ่งประหนึ่งบ่อน้ำที่แห้งขอดพันปี ดวงชะตาโยมเสิ่นผู้นี้แปลกจริงๆ ไอสังหารเต็มตัว แต่ร่างกลับมีกุศลบารมีเปล่งปลั่ง ดีหรือชั่วล้วนอยู่ที่นางจะคิด เขาพยายามแนะนำสุดความสามารถแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสีกาจะเข้าใจหรือไม่ 


 


 


อันที่จริงแล้ว วัดต้าเจวี๋ยในฤดูหนาวไม่มีอะไรให้ชื่นชมจริงๆ ต้นไม้เก่าแก่เยอะอย่างยิ่ง แต่บนต้นไม้กลับไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียว กิ่งไม้ที่แห้งโกร๋นเสียดสีกันท่ามกลางสายลม เสิ่นเวยไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


แม้ทัศนียภาพจะไม่น่ามอง แต่เสิ่นเวยกลับเดินเล่นด้วยความสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง สิ่งที่นางสนใจก็คือหลวงจีนที่เดินอยู่ในวัดเหล่านั้น มีทั้งวัยกลางคนและวัยแก่เฒ่า ที่เยอะยังคงเป็นหลวงจีนน้อยวัยเยาว์ พวกเขาต่างก็สวมจีวรสีเทา ศีรษะโล้น ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นระเบียบและสุขุม เมื่อเจอเสิ่นเวยนายบ่าวทั้งสองก็จะพนมมือหลีกไปข้างทาง 


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดคนผู้นั้นยังตามพวกเราอยู่อีก” กำลังเดินเล่นอยู่ จู่ๆ หลีฮวาก็ดึงแขนเสื้อเสิ่นเวยบอกเป็นนัยให้นางมองไปข้างหลัง 


 


 


เสิ่นเวยแสร้งปัดผมมองไปข้างหลังปราดหนึ่ง ก็เห็นว่าคนผู้นั้นที่หลีฮวาบอกคือชายวัยหนุ่ม สวมเสื้อผ้าสีกรมท่า แววตาแจ่มกระจ่าง เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตเรียบร้อยผู้หนึ่ง 


 


 


“เจ้ามองผิดแล้วหรือไม่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาดูทิวทัศน์เหมือนกันก็ได้” เสิ่นเวยเชื่อมั่นในสายตาที่มองคนของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นท่าทางสงบนิ่งเปิดเผย แววตาซื่อตรง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนมีเจตนาร้าย 


 


 


ทว่าหลีฮวากลับยืนกราน “คุณหนู บ่าวมองไม่ผิดจริงๆ คนผู้นั้นเริ่มตามหลังพวกเรามาตั้งแต่ต้นมะเดื่อใหญ่ต้นนั้นแล้ว ทางข้างป่าไผ่เมื่อครู่พวกเราเดินผ่านสามรอบแล้ว เขาก็เดินตามพวกเราสามรอบแล้วเหมือนกัน” หลีฮวากล่าวอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ 


 


 


คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น เดินตามหลังแค่รอบเดียวยังพูดได้ว่าบังเอิญ แต่สามรอบ ใช่ตั้งใจเกินไปหรือไม่ นางจะตาฝาดเชียวหรือ 


 


 


“ไม่ต้องส่งเสียง ไม่ต้องหันกลับไป พวกเราเดินต่อ” เสิ่นเวยสั่งหลีฮวาหนึ่งครา ยกเท้าเลี้ยวเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ อีกสาย เดินเข้าไปในที่เปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นยังตามพวกนางอยู่จริงๆ เปิดเผยโจ่งแจ้ง ไม่หลบซ่อนแม้แต่นิดเดียว ในใจเสิ่นเวยก็ยิ่งรู้สึกแปลก 


 


 


“คุณชายท่านนี้ ท่านตามพวกข้ามาทำไมหรือ” ในที่เปลี่ยว เสิ่นเวยหันขวับกลับมาถาม 


 


 


ชายหนุ่มผู้นั้นไม่คิดว่าคุณหนูผู้นี้จะกล้าเพียงนี้ บวกกับถูกประณามพฤติกรรมสะกดรอยตาม เขาก็รู้สึกละอายขึ้นมา 


 


 


แต่เพียงแค่ชั่วขณะเขาก็กลับมาสุขุมเหมือนเดิม วิ่งเข้าไปประสานมือคารวะเสิ่นเวยแล้วกล่าว “เรียนถามคุณหนูใช่ผู้อยู่ที่เรือนเล็กฝั่งตะวันออกสุดของวัดต้าเจวี๋ยหรือไม่” 


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “ใช่” 


 


 


บนใบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นมีความดีใจแวบผ่าน ทันใดนั้นก็ถามต่อ “ในเรือนใช่มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามสี่ขวบอยู่ด้วยหรือไม่” 


 


 


เสิ่นเวยนึกถึงนิวหนิ่วขึ้นมา แต่นางไม่ได้ตอบทันที แต่มองประเมินชายหนุ่มผู้นี้อย่างละเอียดแทน เห็นเพียงสีหน้าเขามีความร้อนใจ ในดวงตาทั้งคู่ซ่อนความหวังไว้รางๆ 


 


 


“มีแล้วอย่างไร ไม่มีแล้วอย่างไร บุรุษเช่นท่านจะถามไปทำอะไร ไม่ใช่ว่าจะทำเรื่องลักพาตัวนั่นหรอกนะ” เสิ่นเวยตั้งใจตีหน้าขรึม 


 


 


ชายหนุ่มผู้นั้นรีบโบกมือ อธิบายอย่างร้อนใจ “ไม่ใช่ๆ คุณหนูเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ข้าน้อยเองก็เป็นคนรู้หลักทำนองคลองธรรม จะทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร” 


 


 


“เจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็จะไม่ใช่งั้นหรือ ในสมองคนชั่วก็ไม่ได้สลักคำไว้ไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยปรายตามองเขาแล้วกล่าว 


 


 


ชายหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครา กล่าวราวกับน้ำท่วมปาก “สารภาพตามตรง เดือนก่อนข้าน้อยเดินผ่านวัดต้าเจวี๋ยจึงมาพักเท้าที่นี่ เห็นเด็กผู้หญิงอายุสามสี่ขวบผู้หนึ่ง ใบหน้าเหมือนภรรยาที่หายตัวผู้นั้นของข้าน้อยอย่างยิ่ง ภรรยาและลูกสาวผู้นั้นของข้าน้อยหายตัวไปสองปีกว่าแล้ว ข้าน้อยเองก็ตามหามาสองปีกว่าแล้วเช่นกัน ตลอดมาไม่พบร่องรอยใดๆ เลย” 


 


 


เสิ่นเวยสังเกตเห็นตอนที่เขาพูดถึงภรรยาและลูกสาวที่หายตัวไป สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและลำบากใจ 


 


 


“ข้าน้อยเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออกสุด ข้าน้อยเข้าไปถาม แต่กลับถูกกันไว้ข้างนอก ตอนนั้นข้าน้อยมีงานด่วนจึงกลับเมืองหลวงก่อน ทำงานเสร็จแล้วข้าน้อยก็กลับมาทันที แต่ก็ไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก ประตูเรือนเล็กหลังนั้นก็ปิดตลอดเวลา เจ้าอาวาสในวัดก็บอกว่านั่นเป็นเรือนของคุณหนูตระกูลขุนนางที่มาขอพรที่นี่ อย่าได้รบกวน ข้าน้อยเองก็กลัวจะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูจึงทำได้เพียงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ วันนี้เห็นคุณหนูออกมา ข้าน้อยจนปัญญาจริงๆ จึงแสดงท่าทีไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมา หวังว่าคุณหนูจะให้อภัย” เขาพูดพลางประสานมือโค้งต่ำหนึ่งครา 


 


 


เสิ่นเวยกับหลีฮวาสบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองรู้สึกไม่คาดคิด ยังคงเป็นเสิ่นเวยที่สุขุม ถามเสียงเรียบ “ท่านชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ภรรยากับลูกสาวชื่ออะไร” 


 


 


“ข้าน้อยชื่อหลี่จื้อหย่วน เป็นคนอำเภอหนิงผิง ภรรยาของข้าน้อยแซ่เซวีย ชื่อเซียงเหมย ลูกสาวชื่อนิวหนิ่ว” ชายหนุ่มรีบกล่าว “คุณหนูรู้จักภรรยาและลูกสาวของข้าหรือ” สีหน้าทั้งใบหน้าระมัดระวัง 


 


 


เสิ่นเวยกับหลีฮวาสบตากับปราดหนึ่งอีกครั้ง หลีฮวากำลังจะเอ่ยปากพูด ถูกเสิ่นเวยใช้สายตาห้ามไว้ อันที่จริงในใจเสิ่นเวยก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง นางจำได้ว่าสามีของเซียงเหมยชื่อหลี่จื้อหย่วน 


 


 


นี่มันเกินบทไปแล้วหรือไม่ อยู่ห่างหลายพันลี้ก็พบกันอีกครั้งได้ด้วยหรือ บังเอิญเกินไปหน่อยแล้ว แต่ไม่ใช่มีคำที่กล่าวไว้หรือว่า ‘ไม่มีเรื่องบังเอิญนิทานคงไม่จบเล่ม’  

 

 


ตอนที่ 182-2 เจ้าอาวาสและการสะกดรอย

 

เสิ่นเวยไม่ได้เผยพิรุธใดๆ กลับกล่าว “ดูท่าทางท่านแล้วคงจะเป็นบัณฑิตสินะ สอบสร้างชื่อเสียงผลงานแล้วหรือยัง แล้วภรรยาลูกสาวของท่านหายไปได้อย่างไร สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งอีกทั้งยังมีเด็กเล็ก ใครจะรู้ว่าจะยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือไม่ หากพวกนางไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ไม่ควรค่าให้ตามหาต่อไปเช่นนี้หรือไม่” เสิ่นเวยถามหยั่งเชิง


 


 


แม้เซียงเหมยจะบอกว่า นางกับสามีของนางรักใคร่กัน แต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปสองปีหลี่จื้อหย่วนผู้นี้จะแต่งงานมีภรรยาใหม่ไปแล้วหรือยัง หากข้างกายเขามีภรรยาแล้ว กระทั่งมีลูกรักใหม่แล้ว เช่นนั้นเซียงเหมยจะเป็นเช่นไร ชีวิตของเซียงเหมยทุกข์ตรมพอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจให้อีกฝ่ายไปทนรับความไม่เป็นธรรมนั้นได้อีก


 


 


ทว่าหลี่จื้อหย่วนกลับส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ ไม่มีทาง ภรรยาและลูกของข้าน้อยจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน เพื่อนบ้านที่บ้านเก่าบอกแล้วว่า คนที่ช่วยลูกสาวไว้เป็นคุณชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง นายอำเภอเมืองหนิงผิงที่ต้องการแย่งภรรยาข้าน้อยไปผู้นั้นทำร้ายข้าไม่ได้ กลับถูกใต้เท้าผู้แทนพระองค์ที่ตรวจตราเจียงหนานจับจุดอ่อนได้ ตามการรายงานของเขา ภรรยาของข้าน้อยถูกคนช่วยไปแล้ว นางไม่ตาย ข้าน้อยเชื่อมั่นว่าพวกนางเพียงแค่ถูกคนใจดีช่วยไว้ พวกนางจะต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างดี รอให้ข้าน้อยไปหาพวกนาง หนึ่งปีหาไม่เจอก็หาสองปี สองปีหาไม่เจอก็ห้าปี สิบปี กระทั่งตลอดชีวิตข้าก็จะต้องหาให้เจอ” เสียงนั้นไม่สูงมาก แต่กลับกังวานทรงพลังยิ่ง


 


 


เสิ่นเวยกล่าวหยั่งเชิงต่อ “อ้อ ที่แท้แล้วภรรยาของท่านก็ถูกนายอำเภอแย่งชิงไป ท่านไม่รังเกียจว่านางมีมลทินแล้วหรือ”


 


 


“ไม่ นี่ไม่ใช่ความผิดของภรรยาข้าน้อย เป็นความผิดของนายอำเภอหนิงผิง เป็นข้าน้อยที่ไร้ประโยชน์ ข้าน้อยทำได้เพียงรักนางให้มากขึ้น จะนึกรังเกียจได้อย่างไร” หลี่จื้อหย่วนกล่าวด้วยความจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม เขาเองก็เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นเสิ่นเวยถามมากเพียงนี้ จะต้องรู้แน่นอนว่าภรรยาของเขาอยู่ที่ไหน ในใจพลันตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


 


 


“คุณหนูท่านนี้ หากท่านรู้ว่าภรรยาของข้าอยู่ที่ไหนท่านก็โปรดบอกข้าน้อยเถิด ข้าน้อยไม่ใช่คนโหดเ**้ยมไร้ศีลธรรม ข้าน้อยเพียงแค่อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มีชีวิตที่สงบสุข” บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ


 


 


เสิ่นเวยยิ้มออกมาแล้ว นางดีใจแทนเซียงเหมยจริงๆ ได้สามีที่มีศีลธรรมเช่นนี้ช่างเป็นวาสนาจริงๆ!หากวันหนึ่งนางเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีโย่วจะไม่ทอดทิ้งนางได้หรือไม่


 


 


“ท่านทายถูกแล้ว ข้ารู้ว่าภรรยาลูกสาวของท่านอยู่ที่ไหน เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ท่านเห็นก็คือนิวหนิ่วลูกสาวของท่าน สองปีก่อนข้าพังประตูอุ้มออกมาจากในบ้านท่านด้วยตัวเอง เซวียเซียงเหมยภรรยาของท่านข้าก็เป็นคนช่วยนางออกมาจากคุกที่ว่าการ ตอนนี้พวกนางตามข้ามาพักอยู่ในเรือนเล็กหลังนั้น” เสิ่นเวยกล่าวเสียงดัง เห็นหลี่จื้อหย่วนตื้นตันจนน้ำตาแทบคลอเบ้า เสิ่นเวยกลับเปลี่ยนเรื่อง “แต่ว่าตอนนี้เซียงเหมยอยากพบท่านหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรเสียนางก็ได้รับความยากลำบากมากมายเพียงนั้น เกือบจะตายเสียด้วยซ้ำ แบบนี้แล้วกัน ท่านกลับไปรอก่อน ข้าจะไปถามเซียงเหมยดูก่อน” นางพูดไปพลางสังเกตสีหน้าของหลี่จื้อหย่วนไปพลาง


 


 


หลี่จื้อหย่วนตื่นเต้นตกใจก่อน หลังจากนั้นสีหน้าก็ผิดหวังหลายส่วน กำปั้นของเขากำแน่น ทว่าท้ายที่สุดกลับก้มคารวะเสิ่นเวยอีกครั้ง “ข้าน้อยขอบคุณหนูผู้มีพระคุณยิ่งนัก หลังจากนี้หากคุณหนูมีงานใดให้ช่วยเหลือ ข้าน้อยมิบังอาจปฏิเสธแน่นอน คุณหนูโปรดช่วยโน้มน้าวภรรยาข้าน้อยให้ด้วยเถิด ให้ครอบครัวของข้าน้อยได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในเร็ววัน”


 


 


เสิ่นเวยรับการคำนับของหลี่จื้อหย่วนอย่างสงบนิ่ง พาหลีฮวากลับไปที่เรือนเล็กฝั่งตะวันออก ส่วน


 


 


หลี่จื้อหย่วนก็จ้องมองแผ่นหลังของนางเดินออกไปไกล จ้องมองอย่างโง่เขลาไม่ยอมจากไปอย่างนั้น


 


 


เมื่อเสิ่นเวยเข้าไปในเรือนเล็กก็ตรงเข้าไปในห้องของเซียงเหมยทันที เซียงเหมยกำลังเย็บผ้าอยู่ นิวหนิ่วเกาะโต๊ะตัวเล็กข้างๆ กำลังกินผลไม้ เสิ่นเวยเห็นเสื้อผ้าในมือนางก็รู้แล้วว่าเป็นเสื้อที่ทำให้ตน มุมปากก็ยกขึ้นอย่างอดไม่ได้


 


 


“คุณหนูกลับมาแล้วหรือ เหตุใดถึงไปนานเพียงนั้น” เซียงเหมยวางเสื้อผ้าในมือลงรินชาหนึ่งแก้วให้เสิ่นเวย “คุณหนูหิวแล้วหรือยัง อยากกินอะไร ข้าจะไปทำให้คุณหนู” นางทำท่ากำลังจะออกไป


 


 


เสิ่นเวยหยุดนางไว้ทันที “ท่านไม่ต้องรีบร้อน ข้าไม่หิว จริงสิ มีข่าวดีมาบอก รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ข้าเจอใคร พ่อของนิวหนิ่ว หลี่จื้อหย่วน” เสิ่นเวยกล่าวอย่างดีใจ


 


 


เข็มแทงลงบนมือของเซียงเหมย นางเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามึนงง “ใครนะ คุณหนูบอกว่าใครนะเจ้าคะ”


 


 


“หลี่จื้อหย่วน พ่อของนิวหนิ่ว สามีของท่าน หลี่จื้อหย่วนอย่างไร” เสิ่นเวยกล่าวอีกครั้ง


 


 


มือที่กำเสื้อของเซียงเหมยกำแน่น ริมฝีปากสั่นระริก เบ้าตาแดงก่ำ แต่วินาทีต่อมานางก็สงบนิ่งลงแล้ว “อ้อ เขาน่ะหรือ” น้ำเสียงนั้นคล้ายพูดถึงคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่สามีที่รักใครผูกพัน


 


 


เสิ่นเวยงุงงงเล็กน้อย “เป็นอะไรไป พี่เซียงเหมยไม่ดีใจหรือ เขาตามหาพวกท่านมานานมากนะ” ก่อนหน้านี้พี่เซียงเหมยก็พร่ำบ่นว่าจะตามหาพ่อนิวหนิ่วให้เจอไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้หาเจอแล้วถึงได้นิ่งเช่นนี้เล่า


 


 


ทว่าเซียงเหมยกลับหันหน้าหนี ปาดน้ำตาที่หางตาออกเงียบๆ ตอนที่หันหน้ากลับมากลับยิ้มน้อยๆ “คุณหนู เขาสามารถหาพวกเราแม่ลูกเจอได้ ข้าจะจดจำไมตรีจิตของเขาไว้ เพียงแต่ข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว หากเขาอยากรับนิวหนิ่วไป ข้าก็อนุญาต อย่างไรเสียอยู่กับเขาก็ดีกว่าอยู่กับแม่ที่ไร้ประโยชน์เช่นข้า”


 


 


“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร เขายังไม่ได้แต่งงานใหม่ เห็นชัดๆ ว่าในใจยังเป็นห่วงท่านอยู่ ข้ารู้ว่าท่านเองก็คิดถึงเขามาโดยตลอด พวกท่านได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนั้นดีอย่างยิ่ง” เสิ่นเวยกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ


 


 


เซียงเหมยถอนหายใจ กล่าว “คุณหนู ไหนเลยเลยจะง่ายเหมือนที่ท่านพูด ตอนนี้เขาคงจะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงแล้วใช่หรือไม่ แล้วข้าเป็นอะไร เป็นแค่ดอกไม้ที่ถูกย่ำยี ข้าไม่อาจเป็นตัวถ่วงเขาได้ ให้เขาถูกคนตำหนิ เขามีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว หลังจากนี้ข้าก็จะได้ติดตามคุณหนูอย่างสบายใจ” ไม่ใช่ว่าในใจนางไม่ลำบากใจ แต่ต่อให้ลำบากใจแล้วอย่างไร เป็นสามีภรรยากัน แต่นางกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็คงทำได้แค่ไม่ไปเป็นตัวถ่วงของเขา


 


 


เสิ่นเวยไม่เห็นด้วยทันที “ดอกไม้ที่ถูกย่ำยีอะไรกัน นายอำเภอหนิงผิงผู้นั้นยังไม่เคยแตะท่านแม้แต่ปลายเล็บ ท่านยังบริสุทธิ์อยู่ เหตุใดถึงกลายเป็นดอกไม้ที่ถูกย่ำยีไปแล้วเล่า สามีท่านเองก็บอกแล้วว่าเขาไม่รังเกียจท่าน เหตุใดท่านถึงรังเกียจตัวเองเสียแล้วเล่า พี่เซียงเหมย ข้าจะบอกอะไรท่านให้นะ นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านไม่อาจเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเองเช่นนี้”


 


 


เสิ่นเวยยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม สิ่งที่นางไม่ชอบที่สุดก็คือความคิดเช่นนี้ในยุคสมัยโบราณ สตรีไม่ทันระวังถูกผู้ชายเห็นแขนเห็นขาก็ถูกชี้หน้าว่ามีมลทินแล้ว กฎระเบียบเป็นใหญ่จนสามารถบีบบังคับลูกสาวแท้ๆ ไปตายได้ สงสารบุตรสาวแต่ก็ทำได้เพียงกลั้นใจให้บุตรสาวแต่งงาน ทั้งยังไม่สนว่าผู้ชายจะประพฤติตนชั่วช้าหรือไม่


 


 


“ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ สตรีใช้ชีวิตลำบากยิ่งกว่าผู้ชายก็ยิ่งต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเอง ท่านก็แค่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ปากก็เป็นปากของคนอื่น จะสนที่พวกเขาพูดทำไม” เสิ่นเวยโน้มน้าวอย่างใจร้อน “อีกอย่าง ท่านยอมหย่ากับสามี เขาจะต้องแต่งงานใหม่เป็นแน่ นิวหนิ่วตกอยู่ในมือสตรีผู้อื่นท่านจะวางใจได้อย่างไร ถึงตอนนั้นหากนางรังแกนิวหนิ่วจะทำอย่างไร” นี่ล้วนแต่มีความเป็นไปได้ นางก็เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ไม่ใช่หรือไร


 


 


“ไม่หรอกกระมัง นิวหนิ่วเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขา ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง ไม่คิดแก่งแย่งทรัพย์สิน” สีหน้าเซียงเหมยเผยความไม่แน่ใจ


 


 


“ใช่ นิวหนิ่วเป็นบุตรสาวแท้ๆ แต่ทุกวันเขาต้องยุ่งเรื่องราชสำนัก ไหนเลยจะมีจิตใจมาสนใจเรือนหลัง อุบายเรือนหลังเยอะจะตายไป คนมีเจตนาจะปิดบัง ผู้ชายเช่นเขาไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน นิว


 


 


หนิ่วของพวกเราจะไม่น่าสงสารหรอกหรือ ไม่แย่งมรดกแต่นั่นก็เป็นหนามยอกอก ทุกวันนี้ท่านอยู่ในจวนโหวยังเห็นไม่ชัดอีกหรือ”


 


 


“แต่ว่า…” เซียงเหมยลังเลขึ้นมา นางกัดริมฝีปาก ดวงตามีความไม่แน่ใจแวบผ่าน “แต่ข้าไม่อาจปล่อยให้ข่าวลือเสียหายทำลายชีวิตเขาได้”


 


 


เสิ่ยเวยแทบจะโมโหจนกระทืบเท้าแล้ว “ท่านไม่อาจปล่อยให้ข่าวลือเสียหายทำลายชีวิตเขา เช่นนั้นจะทำร้ายตัวเองหรือ ช่างโง่เขลานัก! สามี สามี ชายที่อยู่ใกล้จึงจะเป็นสามี! เขาไม่ใช่สามีของท่านแล้ว ท่านจะสนใจเขาทำไม เขาเป็นข้าราชการบริหารบ้านเมือง แม้แต่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ยังแก้ไม่ได้แล้วจะไปทำงานให้ราชสำนักได้อย่างไร พอแล้ว ฟังข้าแล้วกัน หลีฮวาเจ้าไปเชิญหลี่จื้อหย่วนมาพบหน้าพี่เซียงเหมย แล้วเจ้าก็ไปเก็บของพานิวหนิ่วตามเขาไปเสีย ท่านจะได้ไม่ต้องทำเรื่องโง่ๆ อีก เห็นท่านทำเรื่องโง่ๆ แล้วข้าปวดตา หลังจากนี้หากท่านได้รับความเดือดร้อนอะไร จำไว้ว่าให้กลับมาหาข้า ข้าจะออกหน้าแทนท่านเอง ได้ยินแล้วหรือยัง เอาล่ะ ท่านน่าจะไม่เปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะได้ไปบอกนิวหนิ่วแล้ว”


 


 


เสิ่นเวยเองก็ไม่สนว่าเซียงเหมยจะยินดีหรือไม่ ตัดสินใจแทนนางทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)