ท่านเทพมาแล้ว 181-184

 บทที่ 181 มีลูกสักคน

โดย

Ink Stone_Romance

“สวยหรือไม่” เขาพลันพูด


มือนางสั่น ถาดในมือเกือบหล่นลงไป


“สวย”


“สวยก็สวย ตั้งใจมองจะต้องสวยมากทีเดียว?” ลู่ยาก้มหน้าล้างพู่กัน มุมปากยกขึ้นอย่างช้าๆ


มู่จิ่วรู้สึกกระดาก ช่างไร้ยางอาย! คนยกยอไปเรื่อยเขาก็รับซะแล้ว


มู่จิ่ววางถาดลงไป เพิ่งหมุนตัว กลับเหยียบนิ้วเท้าลู่ยา พ่อหนุ่มนี่! กลับอาศัยตอนนางหมุนตัวไปเดินเข้ามา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากแขนเสื้อ กดลงไปตรงกลางหน้าผากนาง ทันใดนั้นดอกเหมยสีแดงสดก็อยู่บนผ้าเช็ดหน้า “มาหาข้ามีเรื่องอะไร?” เขาถาม ก้มหน้าเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าแขนเสื้อไป


มู่จิ่วกระแอมไอ สงบใจที่เต้นอย่างไร้การควบคุมลงไป จึงค่อยพูด “ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่าสนใจรับศิษย์หรือไม่?”


ลู่ยานิ่งไปครู่ มองไปทางลานข้างหน้า “เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นให้เจ้ามาถาม?”


“ไม่ใช่” มู่จิ่วทำใจดีสู้เสือ “เป็นข้าเองที่คิดว่าจิ้งจอกน้อยนั่นน่ารักมาก เจ้าดูสิ ทุกวันอาฝูเบื่อจนเกือบทำลายห้องแล้ว หากมีเพื่อนตัวน้อยมาเล่นกับเขาก็คงไม่วุ่นวายขนาดนี้ หากเจ้าไม่ขัดข้อง ก็ให้พวกเขาส่งจิ้งจอกน้อยมาเถิด แบบนี้ต่อไปเจ้าก็มี…”


มีอะไร นางไม่พูด


แต่เดิมนางตั้งใจพูดว่ามีคนให้พึ่งพา ภายหลังคิดแล้วเขามีชีวิตอยู่จนถึงยามนี้ ยังต้องพึ่งพาใครอีก?


ลู่ยากลับไม่คิดจะปล่อยไป ดวงตาทั้งสองราวกับโคมไฟมองนางขึ้นๆ ลงๆ “มีอะไร?”


“ไม่มีอะไร ข้าแค่พลั้งปากไป” นางเกาท้ายทอย


ลู่ยาเหลือบมองนาง นั่งลง ครั้นขมวดคิ้วมองไปนอกหน้าต่างสักครู่ เขาพลันถอนหายใจออกมา


มู่จิ่วเห็นเขาเป็นแบบนี้น้อยมาก เห็นแล้วจึงรีบถาม “เจ้ามีความในใจ?”


เขากุมมือเอนพิงเก้าอี้ “ที่จริงข้าก็โดดเดี่ยวลำบากมาก แม้แต่พ่อแม่คือใครข้ายังไม่รู้ พี่น้องก็ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ถึงแม้มีศิษย์พี่หญิงชายหลายคน แต่คนหนึ่งไม่รู้อยู่ไหน คนหนึ่งทุ่มเทกับสวนผักของเขา ยังมีคนหนึ่งถึงแม้ดีหน่อย แต่กลับมีสัตว์เลี้ยงเต็มวังต้องดูแล ข้าเพียงคนเดียว อยู่เฝ้าวังชิงเสวียนตามลำพัง แม้แต่ป่วยก็ไม่มีคนรู้”


มาอีกแล้ว…


มู่จิ่วจนปัญญา ทำเหมือนนางไม่เคยเห็นเขาทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่วังชิงเสวียนหรือ? ยังมีป่วยแล้วไม่มีคนรู้อีก ทำไมเจ้าไม่พูดว่ากินข้าวสวมเสื้อผ้าก็มีปัญหาเลยเล่า? หากเขาโดดเดี่ยวลำบาก พวกนางที่ต้องใช้สองมือดิ้นรนจะมีชีวิตอย่างไร?


มู่จิ่วไม่คล้อยตามเขา ดังนั้นจึงไม่พูด


แต่เขากลับกล่าวอีก “ดังนั้นการที่บอกให้ข้ารับศิษย์ ข้ารู้สึกว่ามิสู้ให้ข้ามีลูก”


ยามนี้มู่จิ่วเกือบสำลักน้ำลาย!


…ลูก?!


เขาไม่ได้ไข้ขึ้นใช่หรือไม่? เขาเป็นโสดมาหลายแสนปี ตอนนี้พลันอยากมีลูก?


นางหน้าแดงถามเขา “เจ้าหาแม่ของลูกเจอแล้วหรือ?”


“หาเจอแล้ว” ลู่ยาเงยหน้าขึ้น สายตาตกลงบนหน้านางพอดี “ตอนนี้ขาดเพียงนางพยักหน้าตกลง”


มู่จิ่วรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในน้ำ หายใจไม่ออกเล็กน้อย


มารดาเขาเถอะ…เขาคิดเองเออเองได้เก่งมาก!


นางกับเขาตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย เขาคิดไปไกลถึงมีลูกแล้ว! ความคิดของมหาเทพจะเร็วเกินไปเป็นพิเศษหรือไม่?


นางตัดสินใจดึงหัวข้อกลับมา


“แบบนั้น เรื่องที่รับจิ้งจอกน้อยเจ้าตกลงหรือไม่?”


“เจ้าให้เขามาพูดกับข้าเอง” เขาหยิบพุทราขึ้นมากิน


“ข้าพูดเองไม่เหมือนกันหรือ?” มู่จิ่วดึงถาดพุทราแดงเข้ามา “เจ้าสอนอาฝูได้ ก็สอนอีกตัวเพิ่มหน่อย?”


“ข้ามีเงื่อนไข” ลู่ยาพูด “เรื่องที่รับปากข้าไว้จิ้งจอกเฒ่ายังทำไม่สำเร็จ ข้าจึงรับไม่ได้! นอกจากว่า…” พูดถึงตรงนี้เขาก็เหลือบมองนาง สายตาเปิดเผย เหมือนกับต้องการถลกหนังนาง


มู่จิ่วขนลุกซู่ นั่งหลังตรงพูด “นอกจากอะไร!”


“นอกจากเจ้ารับปากช่วยข้ามีลูก”


มู่จิ่วหยิบถาดตรงหน้าขึ้นมา ฟาดลงไปบนหน้าผากเขา!


รู้อยู่แล้วว่าปากสุนัขไม่อาจงอกงาช้าง ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่รับก็ช่างมัน!


มู่จิ่วถลึงตามองลู่ยาที่หัวยุ่งเหยิงกระจุยกระจาย หมุนตัวเดินไปทางประตู


ลู่ยาหน้าทะมึนลากนางกลับมา กักนางไว้บนโต๊ะ “เจ้ารนหาที่แล้วหรือ?”


มู่จิ่วเกือบนอนราบร้อยแปดสิบองศาอยู่บนโต๊ะ มองเขาที่กดไหล่นางไว้แน่นและห่างไปเพียงนิ้วมือเดียว มึนงงไปหมดแล้ว!


แต่ไหนแต่ไรลู่ยาไม่เคยถูกใครกระทำแบบนี้มาก่อน ถาดนี้ฟาดจนเขาโกรธขึ้นหลายส่วน บวกกับที่นางทำตัวเป็นเต่าหัวหดมาตั้งแต่ต้นจนจบ โยกโย้ไม่ตอบ จึงตั้งใจแล้วว่าวันนี้ต้องสั่งสอนนางให้ดี แต่ตอนนี้เห็นนางท่าทางแบบนี้ ก็เหมือนกับเท้าเหยียบเข้าไปในโคลน ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังดี!


…แต่เดิมเข้าใจว่านางผอม บนร่างไม่มีเนื้อหนังมังสา แต่เอนอยู่บนโต๊ะแบบนี้กลับทำให้ช่วงอกที่แต่เดิมพอเหมาะนูนเด่นขึ้นมา ผิวหนังใต้กระดูกไหปลาร้าขาวสว่างภายใต้แสงไข่มุก เมื่อมองขึ้นไป คางเล็กแหลมนั่นแม้แต่ตั้งใจสลักก็ไม่เคยเห็นที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงริมฝีปากแดงสวยเหมือนผลท้อและพลัม….


ลู่ยาใจเต้นแรง ตะลึงไป


เขากลับไม่คิดเลยว่านางก็มีภาพสมควรตายแบบนี้อยู่ด้วย


นางตรงหน้าไหนเลยจะยังเป็นเด็กสาวโง่เง่าที่ดูไม่สนใจอะไรอีก ชัดเจนว่าเป็นปีศาจที่แค่มองก็ขโมยอวัยวะภายในไปหมดแล้ว


เขาทนไม่ได้ อยากจะก้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากนี้


มู่จิ่วพลันแข็งเกร็งเหมือนทั้งร่างจะระเบิดออก!


ย่าเขาเถอะ เขาเป็นมหาเทพเชียวนะ!


เขาควรดูถูกและไม่สนใจนางที่เป็นคนไร้ตัวตน รักษาภาพลักษณ์สูงส่งงดงามไว้!


เขากลับผลักนางลงอย่างง่ายๆ แบบนี้?!


ทั้งยังคิดจะ…คิดจะ…ดูท่าทางแล้วยังคิดจะจูบนางอย่างไร้ยางอายอีก!


แต่นางกลั้นหายใจอยู่นาน สุดท้ายลู่ยาก็ไม่ได้แตะต้องจริง


เขาไม่เพียงไม่แตะต้อง ร่างก็นิ่งไป


แต่เดิมเขารู้สึกนานแล้วว่าวันนี้เป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิด แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้…เขาไม่อยากทำมันแบบลวกๆ ไม่อยากให้นางเข้าใจว่าตนเองผลีผลามจนเป็นคนไม่มีขอบเขต ตอนนี้นางไม่เชื่อใจเขาแม้แต่น้อย เขาหวังว่าตอนที่สามารถเข้าใกล้นางได้ อย่างน้อยก็เป็นตอนที่นางยินดีรับเขาแล้ว


ริมฝีปากเขาปัดผ่านแก้มนาง จากนั้นยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


มู่จิ่วถูกเขาดึงขึ้นมา จากนั้นลู่ยาเดินไปนั่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกแก้วชาขึ้นดื่ม


ในห้องมีความเงียบชนิดที่สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น


เหมือนกับระเบิดเต็มห้องพลันได้รับการถอดสลักแล้ว


มู่จิ่วยืนนิ่งอยู่นานเหมือนกับท่อนไม้ ยังไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่คือเรื่องจริงหรือภาพมายา


เรื่องเมื่อครู่นี้…ถึงตอนนี้นางจึงเพิ่งรู้สึกว่าตนเองมีพลังชีวิตขึ้นมาเล็กน้อย


“เจ้าตกใจหรือ?” เขามองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มผ่านโต๊ะที่ขวางกั้น


“อืม…”


สมองมู่จิ่วยังคงสับสน แต่ใบหน้ากลับฟื้นคืนสติแล้ว พริบตาเดียวแดงเหมือนตับหมู


ย่ามันเถอะ อีกนิดนางก็เกือบ ‘เสียตัว’ แล้ว…


บทที่ 182 สนิทสนมชิดเชื้อ

โดย

Ink Stone_Romance

“พรุ่งนี้เจ้าให้มู่หรงเสี่ยนนำจิ้งจอกน้อยมาที่นี่” คำพูดของลู่ยาเชื่องช้ามั่นคงตามเคย บนใบหน้าเขาไม่เห็นร่องรอยฉากเมื่อครู่อีกแล้ว “เห็นแก่เจ้าที่มาหาถึงที่นี่ ข้าจะไม่รังแกเขาแล้ว”


มู่จิ่วกระแอมไอพูดตอบรับ จากนั้นอาศัยตอนเขาหันไปหยิบพัด รีบพยุงหน้าแดงๆ ออกไปรวดเร็วแบบฟ้าผ่าที่แม้แต่ปิดหูยังไม่ทัน


ลู่ยาหยิบพัดหมุนกลับมาก็ไม่เห็นเงาของนางแล้ว


กลับไปถึงห้อง ใจของมู่จิ่วเต้นราวกับรัวกลอง นั่งอึดอัดคนเดียวอยู่ในห้องมืดสนิทอยู่นาน จนความร้อนบนใบหน้าหายไปบ้างแล้ว จึงค่อยออกไปอีกครั้งเพื่อพบราชาจิ้งจอก


เช้าวันถัดมา มู่จิ่วแบกเอารอบตาดำวงใหญ่ออกมา ก่อนกินข้าวราชาจิ้งจอกไปหาลู่ยาที่ห้อง กราบขอบคุณในบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ของเขา อีกด้านก็หันไปคารวะมู่จิ่วยกใหญ่ และหยิบเอาเพชรหลากสีก้อนโตหลายชิ้นออกมาให้มู่จิ่ว แสงสว่างนั้นเกือบทำให้พวกมู่เสี่ยวซิงตาบอด!


มู่จิ่วกินข้าวโดยพยายามแสดงออกว่าสงบนิ่ง และแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปยังหน่วยงาน


ไม่อาจไม่พูดว่าราชาจิ้งจอกลงมือรวดเร็ว ตกดึกเพิ่งถึงบ้าน เสี่ยวซิงที่ออกมารับหน้าประตูมีเด็กผู้ชายราวเจ็ดแปดขวบเพิ่มมาอีกคน เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน แววตากระจ่างใส หลังตรงไม่เชิดหน้า ท่าทางสง่างามแต่ไม่ห่างเหิน แค่มองก็เห็นท่าทางการเลี้ยงดูอย่างดีเยี่ยมจากชาติตระกูลดี นี่ไม่ใช่จิ้งจอกน้อยตัวนั้นแล้วจะเป็นใคร?


“พี่สาว” เสียงนี้ก็ว่าง่ายอ่อนโยนอย่างมาก


มู่จิ่วนิ่งไปสักครู่ ส่งเกาลัดคั่วน้ำตาลครึ่งถุงที่ยังเหลือในมือให้เขา


อาฝูมองสมาชิกที่มาใหม่ เอียงหัวประเมินอยู่นาน และเดินหมุนวนรอบเขาอยู่สองรอบ เมื่อรู้สึกว่ามู่จิ่วเดินไปไกลแล้ว จึงรีบพ่นเปลือกเกาลัดออกมาจากปาก เชิดหัวหมุนก้นอ้วนๆ วิ่งไป


มู่จิ่วนำพวกเขามายังลานหลังบ้าน ชี้ไปทางห้องเชื่อมเล็กทางซ้ายของห้องตะวันออก พลางพูดกับจิ้งจอกน้อย “ต่อไปเจ้าอยู่ที่นี่แล้วกัน ใกล้อาจารย์เจ้า อยากกินอะไรอยากเล่นอะไรบอกเสี่ยวซิง ในบ้านยังมีนกต้าเผิงตัวหนึ่ง เจ้าคงยังจำได้ ไม่ต้องเกรงใจ และก็อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนนอก เรือนของข้าที่นี่มีอิสระมาก”


อย่างไรก็ไม่ใช่ศิษย์ของนาง ภายภาคหน้าพวกเขาไปวังชิงเสวียน คนเขาอยากจัดการเขาอย่างไรก็จัดการเขาอย่างนั้น


รุ่ยเจี๋ยพูดขอบคุณอย่างตั้งใจ มองไปรอบๆ ห้อง แล้วกลับไปเอาห่อผ้า


มู่จิ่วสั่งเสี่ยวซิงสักหน่อย ก่อนกลับห้องไป


ที่จริงหากตัดเรื่องนั้นกับลู่ยาไป การมาของจิ้งจอกน้อยเป็นเรื่องน่าดีใจอย่างมาก ใครเห็นจิ้งจอกขนทองหายากขนาดนั้นแล้วไม่ดีใจบ้าง? ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าใจสถานการณ์ มีมารยาทนัก สำคัญคือเปลี่ยนร่างเป็นคนแล้วยังเป็นเด็กที่น่ารักงดงามขนาดนี้ ช่างไม่เหมือนจิ้งจอกเฒ่าที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม


แต่คนแซ่ลู่นั่นช่าง…


ตอนแรกนางกลัวว่าเขาจะนำเรื่องนั้นมาล้อเล่น ดังนั้นจึงหลบเขาอย่างหวาดกลัวอยู่หลายวัน ทั้งยังไม่ได้ไปยุ่งเรื่องรุ่ยเจี๋ย ภายหลังเห็นเขาเหมือนไม่ได้เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจ มู่จิ่วจึงวางใจ แต่นอกจากวางใจแล้ว ในใจนางยังมีความผิดหวังอยู่เล็กน้อย พูดไม่ถูกว่าคืออะไร สรุปคือหลายวันติดต่อกันนี้ นางมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง สายตาก็ยังปรากฏเงาของเขา


วันนี้ที่หน่วยงาน นางอ่านสมุดคำร้องจบไปสองเล่ม สายตาไปปะทะกับกำไลม่วงทองบนข้อมือ ก็อดเหม่อลอยไม่ได้ อาฝูอยู่ข้างๆ กัดขาโต๊ะเล่น กัดอยู่นานจึงค่อยเปลี่ยนมากัดรองเท้านาง มู่จิ่วก้มตัวลงจับสองขาหน้าเขาขึ้นมา ถอนหายใจพูด “ต่อไปเขาต้องกลับวังชิงเสวียน ใครจะมาสอนเจ้าฝึกพลัง?”


อาฝูกะพริบตามองมู่จิ่ว ยื่นลิ้นเล็กๆ เลียหัวแม่โป้งนาง สัตว์ที่เมื่อครู่ซุกซนอย่างมากพลันเปลี่ยนเป็นเชื่อง


มู่จิ่วบีบหน้าอ้วนๆ ของเขา พูดอีก “ทำไมเจ้าไม่ไปเล่นกับรุ่ยเจี๋ย?”


จิ้งจอกน้อยเพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ วิชายังไม่หนัก ทุกวันนอกจากจัดการเรื่องของตนให้ดี ก็อยู่ข้างกายลู่ยาจนเป็นวิถีที่คุ้นเคย เวลาที่เหลือก็อยู่กับเสี่ยวซิง หรือนั่งอยู่ตรงระเบียงทางเดินชมดอกไม้ใบหญ้า เขาทำงานบ้านไม่เป็น เสี่ยวซิงก็ไม่ให้เขาทำ แต่ไม่ว่าเวลาไหนเขาก็ว่าง่ายมาก ทำให้มู่จิ่วอดคิดถึงเขาบ่อยๆ ไม่ได้


อาฝูกลับเกาะติดนางแน่นขึ้น ตอนนี้ปีนขึ้นมาอยู่บนตักไม่ยอมเคลื่อนย้าย หากไม่ใช่เพราะมู่จิ่วเป็นกึ่งเซียน ต่อไปจะไม่โดนเขาทับจนแบนหรือ?


แต่นางก็ตระหนักได้ อาฝูระแวดระวังกับสมาชิกผู้มาใหม่ตัวน้อยนี้ จนถึงตอนนี้สี่ห้าวันแล้ว เขายังไม่มีปฏิสัมพันธ์อันใดกับรุ่ยเจี๋ย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวนี้คิดอะไรอยู่


วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ช่วงเช้านางช่วยเสี่ยวซิงไปเก็บฟักทองที่สวนด้านหลัง พลันได้ยินใต้เพิงต้นแตงมีเสียงคนคุยกัน จึงยื่นมือไปจับต้นไม้แหวกดู ที่แท้เป็นอาฝูกับรุ่ยเจี๋ยสองคน รุ่ยเจี๋ยหิ้วตระกร้ากำลังเก็บดอกพุดตาน เห็นอาฝูที่เชิดก้นขึ้นจ้องมองเขาอย่างดุร้ายถึงพูดต่อ “เจ้าวางใจ ข้าไม่แย่งพี่สาวกับเจ้าหรอก”


อาฝูยังคงจ้องเขาแน่นิ่ง ท่าทางไม่เชื่อถือ


รุ่ยเจี๋ยนั่งลงบนหิน วางตระกร้าลง หยิบขนมถั่วตัดออกมาจากอกสองชิ้น พูดว่า “นี่ ให้เจ้ากิน”


อาฝูยืดคอมองถั่วตัดนั้น ลิ้นเล็กๆ ยื่นออกมาเลีย แต่ไม่กิน


“เช่นนั้นข้ากินก่อน!” รุ่ยเจี๋ยปอกชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปาก เห็นน้ำลายเสือตรงหน้าหยดติ๋งติ๋ง อาฝูที่น่าเกรงขรามเคร่งขรึมหายไปไม่เหลือนานแล้ว จึงหยิบเอาก้อนที่เหลือวางเข้าไปในปากเขา ก่อนกล่าว “เด็กน้อยไม่ควรกินน้ำตาลมากไป อาจารย์ให้นี่เป็นรางวัลแก่ข้า ต่อไปมีอะไรอร่อยข้าล้วนแบ่งกับเจ้า” เขาพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อมาเช็ดน้ำลายให้อาฝู


ก้นที่เชิดขึ้นของอาฝูค่อยๆ ลดลง สายตาเปลี่ยนไปอ่อนโยนเหมือนแมว หมอบอยู่ใต้เท้ารุ่ยเจี๋ยเหมือนสัตว์เชื่องๆ


รุ่ยเจี๋ยลองยื่นมือไปลูบหัวเขา อาฝูก็ยื่นอุ้งเท้าอ้วนๆ ไปกวนเขาจนคัน รุ่ยเจี๋ยทนไม่ได้ กอดหัวเขาหัวเราะคิกคัก


ช่างไม่เอาไหนจริงๆ เลย! ได้ขนมก็ยื่นมือให้แล้ว


มู่จิ่วต่อว่าอาฝูเบาๆ ไปที แต่ก็อดยิ้มไม่ได้


หลังจากนั้นตัวน้อยทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น อาฝูเห็นได้ชัดว่าไม่เบื่อขนาดนั้นแล้ว ทุกวันช่วงเช้าตอนลู่ยาสอนรุ่ยเจี๋ยฝึกฝน อาฝูก็ไปที่หน่วยกับมู่จิ่ว ตอนบ่ายรุ่ยเจี๋ยถึงพาอาฝูไปเดินเล่น หรือสอนเขาฝึกพลังอะไรก็แล้วแต่ ถึงแม้พูดไปแล้วอาฝูคือ ‘ศิษย์พี่’ แต่อายุของรุ่ยเจี๋ยกลับมากกว่าเขา พลังบำเพ็ญก็สูงกว่า เป็นธรรมดาที่สามารถชี้นำได้


แม้แต่บนโต๊ะอาหาร รุ่ยเจี๋ยมักจะโยนอาหารที่อาฝูชอบให้เขา กินปลายังดึงก้างให้ ไม่นานตำแหน่งของรุ่ยเจี๋ยในใจอาฝูก็เกินหน้าเสี่ยวซิงและซ่างกวนสุ่น ตามหลังแค่มู่จิ่วเท่านั้น


ตั้งแต่เด็กรุ่ยเจี๋ยมีพี่ชายพี่สาวยอมให้ มารดาก็สอนให้เขาเข้าใจเรื่องการถอยให้คน


แต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นเด็ก กลับยังทุ่มเทดูแลอาฝูผู้เป็น ‘ศิษย์น้อง’ ช่างไม่เหมือนใครเลย!


ซ่างกวนสุ่นเห็นเสี่ยวซิงมองคู่สนิทสนมชิดเชื้อคู่นี้จนตาถลน จึงเอาขาไก่ในชามของตนส่งให้นาง


ลู่ยาเหลือบมองพวกเขาคราหนึ่ง จากนั้นนำใก่ในชามตนส่งไปตรงหน้ามู่จิ่ว


มู่จิ่วหน้าแดงอยู่ตรงหน้าไก่ ก้มหน้ากินข้าวไป


…………………………………………………



บทที่ 183 ภัยพิบัติพันปี

โดย

Ink Stone_Romance

ที่จริงหลายวันมานี้ลู่ยาปกติมาก


ไม่ว่าเรื่องสอนอาฝูและฝึกฝนรุ่ยเจี๋ย หรือจะเรื่องการงานในชีวิตประจำวัน เวลาคุยกับนางก็ไม่มีความรู้สึกไม่ดีอะไรแม้แต่น้อย


เรื่องนี้เหมือนทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกัน นอกจากตอนอยู่คนเดียวบางครั้ง มู่จิ่วแอบหวนคิดไปถึงเรื่องที่เกือบเกิดขึ้นคืนนั้น ก็ไม่มีผู้อื่นรู้สึกผิดปกติอะไร


วันคืนเหมือนกระสวยทอผ้าเคลื่อนผ่านไปข้างหน้า


งานในหน่วยหากอยู่ในมือแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวล วันนี้มาถึงห้องทำงาน นางวางอาฝูลงให้เขาไปทำตัวเป็น ‘เจ้าป่า’ อ่านแฟ้มคดีไปหลายเล่มก็อยากจะงีบหลับ กลับได้ยินนอกประตูพลันมีเสียง ‘บรู๊ว’ เสียงหนึ่งดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงของหนักตกลงบนพื้น!


นางเปิดตาขึ้นทันที เห็นอาฝูที่อ้วนเป็นลูกกลมๆ เหมือนกับก้อนเนื้อร่วงลงมาบนพื้นนอกประตู ทั้งยังกระเด้งอีกสองครั้ง…


มีคนกล้าแหย่อาฝู?!


นางตาสว่างขึ้นทันที ผลักเก้าอี้พุ่งออกไป ชักกระบี่ไปถึงข้างกายอาฝู


แต่อาฝูเร็วกว่านางนัก เขาเจตนาดีต้องการเล่นกับคน แต่คนกลับโยนเขาขึ้นไปบนฟ้า หรือลืมไปแล้วว่าเขาคือลูกหลานสัตว์เทพสงครามโบราณ? เขาลุกขึ้นมาก่อนพุ่งเข้าหาคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทันทีราวกับสายฟ้าแลบ!


“อาฝู!”


มู่จิ่วตามเข้าไป มองเห็นคนเสื้อขาวกระโดดขึ้นกำแพงไปอย่างรวดเร็วภายใต้อุ้งเท้าเสือ คำพูดที่เหลืออยู่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร!


“กัวมู่จิ่ว! นี่เป็นเสือมาจากไหน?!”


อ๋าวเจียงยืนอยู่บนกำแพง หลังแนบต้นสนด้านหลัง ถึงแม้หลบการโจมตีของอาฝูได้ แต่เผชิญหน้ากับเขาที่ยังคำรามอย่างโกรธเคือง กลับไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย “เจ้ารีบจับเขาออกไป!”


มู่จิ่วลูบหัวอาฝู พลางเงยหน้า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”


ตอนนี้เขามิใช่ต้องรีบเจรจาเอากุญแจจันทรากลับมาจากตระกูลอวิ๋นหรือ? หรือไม่ก็รีบปลอบใจอ๋าวเยวี่ย ทำไมถึงสนใจมาถึงทัพทหารสวรรค์ล่ะ?


อาฝูยังคงร้องอยู่ใต้ฝ่ามือนาง ก้นยกสูงกว่าหัว ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างจ้องอ๋าวเจียงพลางรอโอกาสลงมือ


อ๋าวเจียงกระโดดลงมาที่พื้น เลือกลงที่ห่างจากอาฝู ยืนนิ่งพูดว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญมาหาเจ้า เข้าไปค่อยพูด!”


พูดจบก็เข้าไปในห้องทำงานนางอย่างรวดเร็ว


มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขามีเรื่องหนักหนาอะไร นางส่งอาฝูให้ลูกน้อง ก่อนเดินตามเข้าไป


คนที่ผ่านประตูมาแล้วเป็นแขก นางกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปยกผลไม้และชาหลายอย่างเข้ามา จากนั้นค่อยนั่งลงถามเขา “เจ้ามาได้อย่างไร? มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”


อ๋าวเจียงกรอกชาเต็มแก้วลงท้อง จากนั้นมองนางเงียบๆ “พ่อของข้าใกล้ตายแล้ว”


“ใกล้ตายแล้ว?”


มู่จิ่วตกใจคำพูดนี้ของเขาอย่างแท้จริง อ๋าวเชินคนนั้นสมควรตาย แต่มีคำพูดที่ว่า คนดีชีวิตสั้นคนเลวชีวิตยืนยาวมิใช่หรือ? เขาเป็นขยะในโลกเซียน ต้องมีชีวิตอยู่นานกว่าถึงจะถูก จะว่าไปแล้วเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ยังมีใจเลี้ยงดูภรรยาน้อย ดูจากท่าทางแล้วไม่เลว ทำไมถึงจะตายแล้ว?


“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าวางยาเขา?” นางลองพูดดู นี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ นางเห็นกับตาตนเองว่าเพื่อปกป้องอวิ๋นเฉี่ยน อ๋าวเชินกลับไม่สนใจว่าอ๋าวเจียงถูกรังแก แล้วยังดุด่าเขาด้วยกันกับตระกูลอวิ๋น หากอ๋าวเจียงทนไม่ได้ขึ้นมาตอนไหน แล้วทำเหมือนกับที่หลินเจี้ยนหรูลงมือกับพ่อของเขาเล่า?


คงไม่ใช่ว่าเร็วขนาดนี้ฟ้าก็ลงโทษแล้วนะ?


“ไม่ใช่!” อ๋าวเจียงจ้องนางอย่างอารมณ์ไม่ดี “ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ?”


มู่จิ่วเลิกคิ้วไม่พูด บนโลกนี้ใจคนมากมายยากแท้หยั่งถึง หลินเจี้ยนหรูผู้นั้นไม่ใช่ว่าสังหารหลินเซี่ยแล้วหรือ


อ๋าวเจียงเห็นสีหน้าของนางก็โกรธอย่างมาก แต่ชัดเจนว่าไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับนาง


เขากำมือจ้องพื้นเงียบ จากนั้นจึงพูด “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ออกมาจากวังประจิมไสววันนั้น จิตใจของเขาไม่ค่อยดี คืนนั้นกินข้าวมื้อค่ำ ทำตะเกียบหล่นถึงสองครั้ง ภายหลังพักผ่อนสองวันก็ไม่ฟื้นฟู วันที่สามเขานำเหยี่ยวพิษนั้นไปทิวเขาริ้วหยก ระหว่างทางกลับล้มกลิ้งลงจากเกี้ยวหยก


“ข้ากับพี่ใหญ่พี่รองไปรับเขากลับมา ภายหลังฟื้นสติขึ้น แต่ตลอดมาจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถลงจากเตียงได้ เขายิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ ข้าดูแล้วผิดปกติอย่างมาก คิดจะบอกปู่ของข้า แต่ไม่รู้ว่าปู่ไปเยี่ยมใครที่ไหน ข้าเองก็ไม่กล้าไปที่ทะเลตะวันออกทำให้คนแตกตื่น คิดไปคิดมาจึงขึ้นมาสวรรค์”


มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็จริงจังขึ้นมา


นางคิดไม่ถึงว่าอ๋าวเชินจะป่วยจริง และยังป่วยตั้งแต่วันที่พวกเขาออกจากวังมังกร เขาโกรธหรือเขาร้อนใจ? แต่ถึงแม้ป่วยเพราะร้อนใจและโมโหก็พูดเกินจริงไปหน่อย เขาเป็นเผ่าพันธุ์เทพ และยังเป็นราชามังกรที่ได้รับการแต่งตั้ง จะอ่อนแอเหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร?


แต่คิดกลับไปวันนั้นตรงหน้าโบตั๋นม่วง แท้จริงจิตใจเขาก็ไม่ค่อยปกตินัก หรือเขาป่วยนานแล้ว?


“แม่เจ้าว่าอย่างไรบ้าง?” นางถาม


คำถามนี้ยิ่งทำให้คิ้วของอ๋าวเจียงขมวดมุ่นมากขึ้น “เจ้าก็รู้ ความบาดหมางระหว่างพ่อแม่ข้าลึกซึ้งนัก พ่อข้าทำให้นางเจ็บปวดใจ นางไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของเขามาหลายปี ครั้งนี้นางก็ไม่สน”


มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี


ใจของราชินีมังกรคงมอดเป็นเถ้าไปแล้ว


มีหญิงคนไหนเจอเรื่องแบบนี้แล้วใจไม่สลายบ้าง? แต่ในเมื่อราชินีมังกรใจแข็งถึงขั้นแม้แต่อ๋าวเชินใกล้ตายก็ยังไม่ไปดู ทำไมนางถึงไม่ตัดใจจากเขา? และก็ไม่เห็นนางแย่งชิงอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยน หากนางอาลัยอ๋าวเชิน หลายปีนี้ความจริงต้องมีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็ต้องไม่ปล่อยเรื่องของเขากับอวิ๋นเฉี่ยนโดยไม่สนใจมิใช่หรือ?


แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางไม่ไปสนใจเขา คนนอกก็ไม่มีสิทธิบ่นอะไรอยู่ดี


นางครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนพูด “เช่นนั้นเจ้าคิดให้ข้าช่วยเจ้าทำยารักษาหรืออย่างไร?”


“หากเจ้ามีวิธีรักษาเขา แน่นอนว่ายิ่งดี” อ๋าวเจียงใจไม่ค่อยอยู่กับตัว เห็นชัดว่าไม่ได้หวังในตัวนาง เขาพูด “แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าเรื่องอื่น พี่สาวใหญ่ของข้าจนถึงตอนนี้ยังหาไม่เจอ พวกเราต้องการไปหาตระกูลอวิ๋น ตอนนี้กุญแจจันทรามีประโยชน์ต่อพ่อข้ามาก ข้ายังหวังให้พวกเขาเอากุญแจคืนมา!”


“และสักแปดส่วนพวกเขาคงไม่ยินยอม เจ้าเป็นคนของหน่วยลาดตระเวน ใช้ฐานะของเจ้าหน้าที่สวรรค์ไปพูด พวกเขาอาจไว้หน้าให้บ้าง ยังมีร่องรอยของกุญแจจันทราหยาง…ข้าไม่มีเบาะแสเลย ข้ารู้ของขวัญที่ให้ไปไม่มีเหตุผลที่จะเอากลับคืน แต่ตอนนี้พ่อข้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ข้าไม่อาจไม่ทวงคืนได้”


ลากนางเข้าร่วมเรื่องนี้?


เขาช่างหาเรื่องให้นางเก่งนัก!


ทำไมตั้งแต่รู้จักเขานางถึงไม่เจอเรื่องดีเลยสักเรื่อง?


มู่จิ่วคิดปฏิเสธ เรื่องนี้แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่เรื่องที่นางจะแก้ไขได้


แต่ก่อนต่อหน้าพวกเขา อ๋าวเชินยังมีเกียรติอยู่หลายส่วน ตอนนี้เรื่องนี้เปิดเผยแล้ว ตระกูลอวิ๋นยังสามารถยินยอมตระกูลอ๋าวได้หรือ?


นางดื่มชาไปครึ่งคำ วางแก้วลง “เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์”


กุญแจจันทราสำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วสำคัญมาก ไม่ง่ายที่พวกเขาจะได้มาอันหนึ่ง สามารถรักษาชีวิตของอวิ๋นรองไว้ได้ จะปล่อยมันไปเพราะคำพูดเดียวของสวรรค์ได้อย่างไร? และราชามังกรกลับป่วยตอนนี้ พวกเขาต้องไม่เชื่อแน่ มีแต่จะเข้าใจว่าทะเลสาบน้ำแข็งเปลี่ยนวิธีเอาของที่ให้ไปแล้วคืน


สรุปคำเดียว กุญแจจันทราอยู่ในมือตระกูลอวิ๋น ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้คืนมา


…………………………………………………………



บทที่ 184 เปลี่ยนอาชีพมาปล้น

โดย

Ink Stone_Romance

“แต่ข้ายังอยากให้เจ้าลอง” อ๋าวเจียงยืนขึ้น มองนางอย่างลึกล้ำพลางพูด “ข้าขอโทษสำหรับเรื่องที่ข้าล่วงเกินเจ้าก่อนหน้านี้ทั้งหมด ขอให้เจ้ายกโทษให้ความหุนหันและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของข้าด้วย เพียงขอให้เห็นแก่ว่าข้ากับเจ้าต่อไปต้องเป็นเพื่อนร่วมฝึกฝนในโลกเซียน ช่วยข้าสักครั้ง หากทำไม่สำเร็จ ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”


จริงใจขนาดนี้ มู่จิ่วจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี


องค์ชายมังกรสามผู้นี้แต่ก่อนเย่อหยิ่งไม่เห็นคนในสายตาขนาดไหน ตอนนี้กลับพูดกับนางอย่างเกรงอกเกรงใจถึงขั้นนี้ ทำให้ไม่อาจไม่ไว้หน้า


นางคิดแล้วพูด “บ้านเจ้ามีพี่น้องมากขนาดนั้น ทำไมเจ้าแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว?”


เขากัดฟันพูด “หากไม่ใช่เพราะข้าทำร้ายเฉินผิง เรื่องอาจไม่มาถึงขั้นนี้ ข้ายากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ และเพราะความเย็นชาของแม่ข้า พี่ชายหลายคนก็ไม่ใส่ใจท่านพ่อ ข้าคิดว่าอย่างน้อยเขาก็มีบุญคุณเลี้ยงดูข้ามา ไม่มีเขาข้าคงไม่สามารถเติบใหญ่มาอย่างมั่นคงได้ถึงตอนนี้ ข้าจะไม่สนใจเลือดเนื้อของตนเองได้หรือ?”


มู่จิ่วตื้นตันเพราะคำพูดของเขาบ้างแล้ว


ถึงแม้อ๋าวเชินประพฤติตนไม่ดีนัก แต่ก็มีโทษไม่ถึงตาย หากปล่อยให้เขาตายไปจริง พวกอ๋าวเจียงต่างอะไรกับฆาตกร? ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเคยวางมือเรื่องบีบให้นางทำงานที่วังมังกรต่อ เพื่อไปช่วยอ๋าวเยวี่ยกลับมา จากเรื่องนี้ อย่างน้อยเขายังมีความดีอยู่บ้าง


เท้าคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองดูท้องฟ้าแล้วนางก็ลุกขึ้น “เรื่องนี้ข้ายังต้องคิดก่อน มิสู้เจ้าตามข้ากลับบ้านก่อนค่อยว่ากัน”


อ๋าวเจียงรู้ว่านางมีอคติต่ออ๋าวเชิน บวกกับตอนแรกเขายังเคยปะทะกับนางมาครั้งหนึ่ง ในใจแต่เดิมไม่มั่นใจว่านางจะตอบรับ ตอนนี้ได้ยินน้ำเสียงนางยังเหลือหนทางอยู่บ้าง ใจก็ราวกับยกก้อนหินออกไป ดังนั้นจึงลุกขึ้นพยักหน้า


เมื่อก้าวออกจากประตู อาฝูที่รออยู่ด้านหน้านานแล้วสะบัดหัวเดินตาม


อ๋าวเจียงเห็นอาฝูคลอเคลียอยู่หลังมู่จิ่ว ดูเชื่องเหมือนแมว ก็อดประหลาดใจไม่ได้ “หรือว่าเจ้าเป็นคนเลี้ยงแมวนี่?”


เจ้าตัวนี้สืบสายเลือดโดยตรงมาจากเสือขาวเผ่าพันธุ์เทพที่มีพรสวรรค์เหนือคน กลับถูกเขาเรียกเป็นแมว?


อาฝูระเบิดโทสะ!


ดีร้ายมังกรกับเสือสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์ไม่ตื้นเขินนะ!


เขาเพิ่งพูดจบ อาฝูที่เห็นเขาขัดตามานานแล้วจึงพุ่งเข้าไป กดเขาลงกับพื้นโดยไม่ให้โอกาสอธิบาย จากนั้นใช้น้ำหนักตัวออกแรงกดทับเพื่อบอกว่าแท้จริงสิ่งที่เขาเห็นเป็นเสือหรือแมว


แต่ก่อนอ๋าวเจียงเข้าใจว่าอาฝูเป็นพาหนะของใครสักคนในหน่วย จึงลงมืออย่างไม่ลังเล ตอนนี้ในเมื่อรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของมู่จิ่ว ไหนเลยจะกล้าลงมือส่งเดช? ก้อนเนื้อหนักร้อยสิบจินบนอกทับจนเขาพลิกตัวไม่ได้ หายใจไม่ออก ช่างทุลักทุเลนัก ในมุมอาฝู กลับเหมือนเจ้าป่าที่หมอบอยู่บนยอดเขาเขียว กวาดสายตาไปรอบด้านอย่างสบายอกสบายใจ


จนมู่จิ่วมองดูต่อไปไม่ได้ เดินไปลูบหัวอาฝู เขาจึงค่อยยืดคอเลียมือนางอย่างเอาใจ แล้วลุกตามขึ้นมา


ยามอยู่ที่ทะเลสาบน้ำแข็ง อ๋าวเจียงคือองค์ชายสามที่ตำแหน่งสูงใหญ่ ตอนนี้ถูกเสือน้อยตัวนี้ทับไว้ หลังจากลุกขึ้นกลับยังคงหวาดกลัวอยู่!


รอจนถึงบ้านสกุลกัวแล้ว พอเห็นคนที่ออกมารับยังมีองค์ชายแห่งเผ่าพันธุ์ต้าเผิงด้วย เขายิ่งตกใจ ลานบ้านนี้ไม่สะดุดตา กัวมู่จิ่วก็ไม่ได้สะดุดตาเป็นพิเศษ เหตุใดกลับซ่อนมังกรพยัคฆ์ไว้ บารมีเทียบกับเขาองค์ชายมังกรที่มีเพียงนกปี้ฟางเป็นพาหนะยังยิ่งใหญ่กว่า?


จากนั้นเห็นมู่หรงรุ่ยเจี๋ยจูงอุ้งเท้าอาฝูออกมาทีหลังอีก เขาพลันสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป!


ในลานนี้ไม่เพียงมีองค์ชายของเผ่าพันธุ์ต้าเผิง มีเสือขาวแห่งเผ่าพันธุ์เทพสงคราม ยังมีองค์ชายแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเก้าหางชิงชิว!


ตำแหน่งของตระกูลซ่างกวนแห่งเขาเนินอาราม ถึงแม้จะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ชิงชิวเทียบกับทะเลสาบน้ำแข็งของเขาแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก! ยามราชามังกรทะเลตะวันออกจัดงานเลี้ยง ราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ที่ต้องเชิญทุกครั้ง!


ที่สำคัญคือระหว่างพวกเขาเองยังกลมเกลียวกันขนาดนี้ มารดามันเถอะ เหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ครอบครัวหนึ่ง กัวมู่จิ่วนางทำได้อย่างไร?


นางเป็นหัวเสินเท่านั้น!


ตอนนี้เอง เขารู้สึกว่าเฉินผิงตายด้วยน้ำมือนางก็ไม่แปลกเลยสักนิด ตอนนั้นอ๋าวเชินกล้าเอาเหตุนี้มาหาเรื่องนาง แปดส่วนคงไม่รู้ว่าเบื้องหลังนางยังมีกลุ่มผู้สนับสนุนเบื้องหลังแข็งแกร่งเพียงนี้?


เบื้องหลังเหล่านี้เป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์ใหญ่หลายเผ่าพันธุ์!


หากพูดก่อนหน้านี้ เขาถูกอาฝูทับอยู่บนร่างยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้เห็นพวกเขาทั้งบ้านก็ไม่มีความคิดอื่นแม้แต่น้อยแล้ว


อาฝูเป็นทัพหน้าแห่งทหารแปดทิศ กลับมาถึงบ้าน หลังจากกระโดดเข้าไปรายงาน เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นจึงรู้ว่ามู่จิ่วพาหนุ่มหน้ามนที่ถูกเขาตีจนหมอบไปกลับมากินข้าว…ถึงแม้อาฝูยังเปิดปากพูดไม่ได้ แต่รู้จักกันมานาน เขาย่อมมีวิธีแสดงออกอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา…หลังจากนั้นเมื่อได้ยินอีกว่าเป็นลูกของอ๋าวเชิน ใบหน้าหลายคนก็ดำทะมึน


พวกเขาอาศัยตอนมู่จิ่วไปลานด้านหลังเพื่อรายงานเรื่องราวแก่ลู่ยา รวมตัวกันห้อมล้อมอ๋าวเจียงที่นั่งอยู่ในโถง


อ๋าวเจียงถึงแม้ไม่กลัวกระต่าย แต่ถูกเสือขาวลูกหลานเทพสงครามกับนกต้าเผิงที่มีชื่อเรื่องกำลังรบจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้านข้างยังมีจิ้งจอกเก้าหางที่สง่างามอบอุ่นมองสำรวจ แต่มีท่าทางหากเจ้ากล้าไม่สงบเสงี่ยมก็จะเอาตะกร้าทุบจนตาย กดดันอย่างมากเช่นกัน


หลังจากปาดเหงื่อไปไม่รู้กี่ที ก็พยายามฝืนยิ้มเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนี้ยังไม่ทันเป็นรูปร่างก็ถูกดวงตาที่มองจนเหล่ของอาฝูจ้องเสียยิ้มไม่ออก


ผ่านไปแบบนี้ครู่หนึ่ง บางทีอาจเพราะรู้สึกว่าข่มได้ที่แล้ว ซ่างกวนสุ่นที่นำอยู่จึงกอดอกเหลือบมองเขา “ตอนแรกราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวมาบ้านพวกเราในฐานะแขก เพียงแค่ยื่นมือก็ให้ไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เท่าแตงโมสองลูกแก่อาจิ่วของพวกเรา ยังมีเพชรอีกโต๊ะหนึ่ง ขอบังอาจถามว่าองค์ชายสามนำของขวัญอะไรมา?”


ที่แท้ต้องมีของขวัญ


อ๋าวเจียงชะงักเล็กน้อย รีบหยิบไข่มุกนิลถาดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแปดมงคล “นี่คือไข่มุกน้ำแข็งที่เกิดโดยเฉพาะในทะเลสาบน้ำแข็ง ของเล็กน้อยโปรดรับไว้”


ซ่างกวนสุ่นหยิบไข่มุกขึ้นมาดูกำมือหนึ่ง แล้วพูด “ได้ยินว่าเจ้ายังรังแกอาจิ่วของเรามาก่อนด้วย?”


อ๋าวเจียงเหงื่อหยดมาอีกสองหยด เงียบอยู่สักครู่ ค่อยหยิบผ้าทอเงือกจากในกุญแจทองออกมาคลี่ออก “นี่คือผ้าไหมเงินที่ราชินีเงือกแห่งทะเลเหนือทอขึ้นด้วยตัวเอง ข้ามีเพียงพับเดียว”


ซ่างกวนสุ่นประคองผ้าทอเงือกไว้ในมือ ส่งให้เสี่ยวซิง ก่อนพูดอีก “ได้ยินว่าเจ้าจะอยู่กินข้าวด้วย?”


ถึงแม้อ๋าวเจียงอยากแสดงออกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะกินข้าวอะไรแต่แรก แต่ถึงแม้ไม่กินข้าว ปล้นชิงกันแบบนี้ เกรงว่าคงเก็บค่ากับข้าว ถ้าไม่พอก็คงเก็บค่าที่นั่งด้วย คิดอยู่นานจึงกัดฟันหยิบหยกข้างเอวคู่หนึ่งออกมา “มารบกวนอย่างบุ่มบ่าม น้ำใจเล็กน้อย ช่วยดูแลด้วย”


สีหน้าของซ่างกวนสุ่นถึงได้ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น เขาหยิบเก้าอี้มานั่งต่อหน้าอ๋าวเจียง ประเมินอีกฝ่ายอย่างละเอียดโดยที่ห่างกันหนึ่งฉื่อ กล่าวอีกว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้ายังคิดขอร้องให้อาจิ่วทำอะไรให้?”


……………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)