อัจฉริยะสมองเพชร 1808-1813

 ตอนที่ 1808 นักปราชญ์โบราณหลันหยา

“ผมอยากเข้าไปในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงเพื่อหาเลือดมังกร คุณพอรู้วิธีที่จะเข้าไปบ้างไหม?” จางเซวียนถามต่อ


“ผมเกรงว่าสิ่งที่คุณถามถึงน่ะจะทำได้ไม่ง่าย เพราะหลังจากอำมาตย์เฉินหลิงกลับมาและได้รับบาดเจ็บ หอนอนของเขาก็เป็นสถานที่ที่แม้แต่ผมก็ไม่อาจเข้าไปได้สะดวก คนเดียวที่เข้านอกออกในหอนอนของเขาได้เวลานี้คือนักปราชญ์โบราณหลันหยา เพราะฉะนั้น เขาคือคนเดียวที่รู้รายละเอียดเรื่องสภาวะร่างกายในตอนนี้ของอำมาตย์เฉินหลิง”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหยุดเรียบเรียงความคิดก่อนจะพูดต่อ “นักปราชญ์โบราณหลันหยาติดตามอำมาตย์เฉินหลิงมาตั้งแต่เขายังเด็กมาก เรียกได้ว่าเขาเป็นบริวารผู้จงรักภักดีที่สุดของอำมาตย์เฉินหลิงทีเดียว แม้จะมีวรยุทธเพียงขั้นการสืบสายเลือด แต่สถานภาพของเขาภายใต้การดูแลของอำมาตย์เฉินหลิงก็ถือว่าสูงส่งมาก!”


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนเลิกคิ้ว นัยน์ตาเป็นประกาย “มีวิธีล่อเขาออกมา…และกำจัดเขาไหม?”


ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหลันหยาเข้านอกออกในหอนอนได้อย่างอิสระ เขาก็ควรจะปลอมตัวเป็นอีกฝ่ายและแทรกซึมเข้าไปในหอนอน เหมือนอย่างที่ทำกับอู๋เทา


เพราะถึงอย่างไร นักปราชญ์โบราณหลันหยาก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอำนาจของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งมีเจตนาโหดเหี้ยมต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ ยิ่งกลุ่มก้อนของอำมาตย์เฉินหลิงอ่อนแอลงเท่าไหร่ มนุษย์ก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น


“คุณต้องการสังหารนักปราชญ์โบราณหลันหยา?” นึกไม่ถึงว่าประธานสมาคมคนใหม่จะเด็ดขาดขนาดนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอ้าปากค้างเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงด้วยความกังวลใจก่อนจะเปรยอย่างลังเล “การสังหารเขาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงระแคะระคายอะไรขึ้นมาล่ะก็ เราจะต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของแก๊งอำมาตย์เฉินหลิงทั้งแก๊ง…”


ในเมื่ออำมาตย์เฉินหลิงให้ความสำคัญกับนักปราชญ์โบราณหลันหยามาก ถ้าอีกฝ่ายต้องเสียชีวิต ก็แน่นอนว่าอำมาตย์เฉินหลิงจะต้องพลิกเมืองหลวงเพื่อตามล่าตัวการ


จางเซวียนคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไม่มีใครรู้หรอกถ้าเราเตรียมการล่วงหน้าให้ดี!”


การขโมยเลือดมังกรจากอำมาตย์เฉินหลิงก็ถือเป็นการสร้างความเป็นปฏิปักษ์กับอีกฝ่ายอยู่แล้ว ในเมื่อชะตาลิขิตมาว่าเขาจะต้องยืนอยู่คนละฝั่งกับอำมาตย์เฉินหลิง การจะทำให้ฝ่ายนั้นโกรธเกรี้ยวก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องลังเล


“เข้าใจแล้ว…ผมจะไปเตรียมการ!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพยักหน้าก่อนจะดึงจิตวิญญาณกลับเข้าสู่กายเนื้อ


ฟึ่บ!


จางเซวียนเก็บไอ้โหดและกระบี่เปลวเพลิงสีดำกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย มิติรอบตัวเขาก็พร่าเลือน เขาพบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่กับบรรดานักตรวจสอบสมบัติและเหล่าองครักษ์อีกครั้ง


ทั้งคู่ได้เข้าสู่มิติลี้ลับเพื่อจัดการกิจธุระของพวกเขา ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในห้องโถงจึงไม่รู้เลยว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ขึ้นเมื่อครู่ก่อน


ทันทีที่กลับถึงห้องโถง นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตวาดก้อง “พวกเรา!”


ชายวัยกลางคนรีบเข้ามาทันที


“ผมตรวจสอบตัวตนของอู๋เทาแล้ว และแน่ใจว่าเขาบริสุทธิ์ เขาไม่ใช่คนที่เรากำลังตามหา สำหรับตอนนี้ ผมอยากให้พวกคุณดำเนินการสอบสวนและตามล่าต่อไป พลิกก้อนหินทุกก้อน อย่าให้มีอะไรหลุดรอดไปได้!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสั่งการ


“ขอรับ” ชายวัยกลางคนรีบพยักหน้าก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งให้บริวารของเขา


ถึงเขาจะรู้สึกว่าอู๋เทาดูน่าสงสัยมาก แต่ถ้าหากแม้กระทั่งนักปราชญ์โบราณก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ ตัวเขาก็คงไม่พบอะไรเช่นกัน


“นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา ผมบังเอิญมีของล้ำค่าบางอย่างที่ยังมีปัญหาในการพิสูจน์ตัวตนของมัน มันอยู่ในที่พักของผม ถ้าคุณมีเวลา ทำไมไม่ตามผมกลับไปที่พักเพื่อให้คำชี้แนะสักหน่อย?” หลังจากโยนภาระทุกอย่างให้บริวารของเขาแล้ว นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็หันไปเอ่ยปากเชื้อเชิญจางเซวียน


“เป็นเกียรติของผมที่จะได้ช่วยเหลือคุณ” จางเซวียนหน้าตาแช่มชื่นขึ้นทันทีขณะรีบโค้งคำนับอย่างสำนึกในบุญคุณ


“ผมขอรบกวนคุณก็แล้วกัน, นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบอย่างวางท่าก่อนจะหันกลับไปหาชายวัยกลางคน “ผมจะพาชายผู้นี้ไปกับผม คงไม่ทำให้คุณมีปัญหาอะไรนะ ใช่ไหม?”


“ไม่ ไม่อย่างแน่นอน!” ชายวัยกลางคนรีบพยักหน้า


ก็แค่นักตรวจสอบสมบัติคนเดียวจากจำนวน 200 กว่าคนที่เขามีอยู่ แน่นอนว่าย่อมไม่กระทบกระบวนการประเมินของล้ำค่าที่กำลังดำเนินไป


“ดี พวกคุณที่เหลือ, ผมขอฝากเรื่องการสอบสวนด้วย คงไม่ต้องอธิบายนะว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าผู้บุกรุกทำลายแผนการของอำมาตย์เฉินหลิงได้…นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา ตามผมมา!”


หลังจากย้ำกับเหล่าองครักษ์อย่างเคร่งเครียด นักปราชญ์โบราณโม่หลิงโบกมือ แล้วจางเซวียนก็พลันรู้สึกถึงพละกำลังที่โอบล้อมร่างของเขา ดึงเขาขึ้นสู่กลางอากาศ ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็มายืนอยู่ตรงหน้าอาคารขนาดใหญ่แล้ว


“ที่นี่คือหอน้ำพุแสนหวาน มีน้ำพุธรรมชาติที่เปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ในช่วงนี้ นักปราชญ์โบราณหลันหยาจะมาที่นี่ในเวลาเดิมทุกวันเพื่อนำน้ำไป ผมคาดว่าน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับสภาวะร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิง” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูด


จางเซวียนผลักประตูและเข้าสู่อาคารนั้น ที่ใจกลางห้องมีน้ำพุขนาดใหญ่


ซ่าาาา!


น้ำพุสาดกระเซ็น


น้ำนั้นใสแจ๋วและมีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จางเซวียนเดินเข้าไปลองจิบ มันมีรสหวานน้อยๆที่ให้ความสดชื่น


“ไม่เลว!” จางเซวียนพยักหน้า


ถึงน้ำพุนี้จะไม่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเท่ากับหยดน้ำทิพย์ แต่ก็ปราศจากสิ่งปนเปื้อน หากนำไปใช้ในการหลอมยา น่าจะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้อีกมาก


“ท่านประธาน คุณคิดจะเปิดการโจมตีที่นี่หรือ? ที่นี่ใกล้กับหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงนะ มีโอกาสที่เราจะทำให้คนอื่นๆรู้ตัว” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเปรยอย่างกังวล


ประสาทสัมผัสของนักปราชญ์โบราณนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรประมาท ถึงนักปราชญ์โบราณหลันหยาจะไม่ได้ทรงพลังมากมาย ถึงขนาดที่พวกเขาอาจสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ถ้านักปราชญ์โบราณหลันหยาส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรืออะไรทำนองนั้นออกไป การที่เขาอุตส่าห์แทรกซึมเข้ามาในเผ่าพันธุ์ปีศาจได้เนิ่นนานหลายปีก็จะสูญเปล่า


จริงอยู่ว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงดึงจางเซวียนเข้าสู่มิติลี้ลับและต่อสู้กับจางเซวียนได้โดยไม่ทำให้คนอื่นรู้ แต่นั่นก็เพราะจางเซวียนตั้งใจปกปิดตัวตนของเขาเช่นกันและไม่คิดจะทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้านักปราชญ์โบราณหลันหยาพยายามทำอะไรสักอย่าง ก็มีโอกาสสูงที่เรื่องนี้จะผิดพลาดจนน่าพรั่นพรึง


“คุณพูดถูก เราอยู่ใกล้กับหอนอนมากเกินไป ผมจะสร้างค่ายกลขึ้นเดี๋ยวนี้แหละเพื่อป้องกันไม่ให้อะไรๆเล็ดลอดออกไปได้!” จางเซวียนพูด


“คุณจะสร้างค่ายกลตอนนี้? สร้างทันหรือ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งค่ายกลหรือการจารึกอักษรโบราณ ก็ล้วนแต่เป็นงานที่กินเวลาและต้องการการเตรียมตัวอย่างมาก ยกตัวอย่าง เพียงแค่พิมพ์เขียวค่ายกล ผู้นั้นก็จะต้องศึกษามันอยู่นานกว่าจะทำความเข้าใจได้ที่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายกลที่สามารถเล่นงานนักปราชญ์โบราณได้ก็จะต้องเป็นค่ายกลเกรด 9 ขั้นสูงสุดเป็นอย่างน้อย และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 9 ดาวที่เก่งกาจก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนในการติดตั้งมัน


ดูเหมือนจะสายไปสักหน่อยที่คิดจะทำแบบนี้


“ไม่สายหรอก…ขอเวลาผมครู่เดียว!” รู้ดีว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังคิดอะไร จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขามองไปรอบห้อง และด้วยการดีดนิ้ว ธงค่ายกลสองสามร้อยอันก็ปรากฏ มันลอยอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ


“ไป!” จางเซวียนโบกมือ


ฟิ้ววววว!


ธงค่ายกลลอยละลิ่วไปทุกทิศทางราวกับพายุใหญ่ มันปักตัวเองลงบนพื้นดินรอบๆหอน้ำพุแสนหวานก่อนจะหายวับไป


“คุณทำเสร็จแล้วหรือ? แบบนี้น่ะนะ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


แม้เขาจะไม่เคยเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 9 ดาวติดตั้งค่ายกลเกรด 9 ขั้นสูงสุดมาก่อน แต่ก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง แล้วชายหนุ่มทำทุกอย่างได้สำเร็จด้วยกรรมวิธีเพียงเท่านี้!


ทุกอย่างเกิดรวดเร็วเสียจนนักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังตบตาเขาครั้งใหญ่!


“เนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่ผมติดตั้งค่ายกลอันสุดท้าย ดูเหมือนสนิมจะเกาะอยู่สักหน่อย…” จางเซวียนก้มหน้าลงอย่างละอาย


ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งได้อ่านหนังสือจำนวนหนึ่งซึ่งเพิ่มพูนความเข้าใจเรื่องค่ายกลของเขาขึ้นมาก แต่ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่เขาติดตั้งค่ายกลอันสุดท้าย ทำให้กระบวนการติดตั้งค่ายกลครั้งนี้ออกจะหย่อนประสิทธิภาพ ไม่อย่างนั้น เขาคงปล่อยธงค่ายกลออกไปพร้อมกันและเสร็จสิ้นการติดตั้งได้ภายในช่วงเวลาเพียงอึดใจ


“สนิมเกาะ…” ได้ยินคำนั้น ใบหน้าของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกระตุกเล็กน้อย


คุณบอกว่าสนิมเกาะ ก็ยังติดตั้งได้เร็วขนาดนี้ ถ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบล่ะก็ จะเร็วขนาดไหน?


เหลือเชื่อไปหน่อยไหมนี่?


ประธานสมาคมคนใหม่ของเรา…ดูจะไว้ใจไม่ค่อยได้เลย!


ลงท้าย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็อดไม่ได้ที่จะแคลงใจในประสิทธิภาพของค่ายกลที่ถูกติดตั้งอย่างรวดเร็ว มันเหมือนกับการที่ใครสักคนจะไม่ไว้ใจพ่อครัวที่เพิ่งโยนส่วนผสมมากมายหลายชนิดเป็นตันลงไปในหม้อ แล้วปล่อยให้มันเคี่ยวตัวเอง


ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังจะหยิบยกความสงสัยเรื่องอานุภาพของค่ายกลขึ้นมาพูด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านนอกหอ ดูเหมือนใครสักคนกำลังมุ่งหน้ามา


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคิดคำนวณเวลา และรู้ว่ามันคือเวลาที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาจะเข้ามาที่หอน้ำพุแสนหวานในทุกๆวัน เขารีบส่งโทรจิตเตือนจางเซวียน “นักปราชญ์โบราณหลันหยากำลังมา…”


จางเซวียนได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเช่นกัน และรู้ว่าไม่มีเวลาจะเสียแล้ว “ถอยไป 7 ก้าวและรักษารังสีของคุณไว้ เคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อผมบอกคุณเท่านั้นนะ!”


“ถอยไป 7 ก้าว?”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่รู้ว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่ก็ตัดสินใจทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายในฐานะที่เขาเป็นประธานสมาคม


แอ๊ดดด!


ทันทีที่ทั้งคู่เข้าประจำตำแหน่ง ประตูหอน้ำพุแสนหวานก็เปิดออก ร่างสูงร่างหนึ่งก้าวเข้ามา


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักปราชญ์โบราณหลันหยา


นักปราชญ์โบราณหลันหยามองไปรอบๆห้องด้วยความเคยชินก่อนจะเดินตรงไปที่น้ำพุ


เมื่อเห็นแบบนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


เขาก็แค่ยืนนิ่งๆ ยังไม่ได้ปกปิดตัวตนเลย แต่ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณหลันหยาจะไม่เห็นและไม่แม้กระทั่งจะรับรู้การปรากฏตัวของเขา?


อีกฝ่ายตาถั่วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ตอนที่ 1809 ชีวิตช่างเปราะบางเหลือเกิน

นักปราชญ์โบราณโม่หลิงที่กำลังตกตะลึงหันขวับไปมองจางเซวียน สิ่งที่เห็นทำให้เขางงงันขึ้นอีก


ในตอนนั้น จางเซวียนยืนอยู่ห่างจากนักปราชญ์โบราณหลันหยาไม่ถึง 3 เมตร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นเขาเลย ช่างเป็นภาพที่พิลึกพิลั่นมาก


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


มันคือการทำงานของค่ายกล…


ด้วยระดับวรยุทธสูงส่งของเขา ก็พอเข้าใจได้หากนักปราชญ์โบราณหลันหยาจะตรวจจับการปรากฏตัวของเขาไม่ได้เมื่อเขาซ่อนตัว แต่การที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของจางเซวียนทั้งที่ยืนอยู่ใกล้กันขนาดนั้น ก็หมายความได้อย่างเดียวว่าค่ายกลมีอานุภาพมาก!


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแผ่การรับรู้จิตวิญญาณของเขาออกไปอย่างระมัดระวัง อยากเห็นว่าหลักการของค่ายกลที่ปกปิดตัวตนของพวกเขาไว้คืออะไร แต่เมื่อการรับรู้จิตวิญญาณของเขาผ่านนักปราชญ์โบราณหลันหยากับจางเซวียน ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย หรือพูดอีกอย่าง สองคนนั้นเหมือนเป็นภาพลวงตาที่ไม่ได้มีอยู่จริง!


เขาก็เห็นพวกนั้นกับตาตัวเอง แต่ไม่อาจใช้การรับรู้จิตวิญญาณกับทั้งคู่ได้…


หรือว่า…นี่คือค่ายกลมิติ?


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


ตัวเขาเชี่ยวชาญในการใช้จิตวิญญาณข้ามสิ่งกีดขวาง และสามารถดึงคนอื่นเข้าสู่มิติลี้ลับไปพร้อมกับตัวเขาได้ ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขาไม่ได้ต่ำต้อย แต่กับค่ายกลมิติที่อยู่ตรงหน้า มันเหนือชั้นกว่าสิ่งที่เขาเคยเห็นในครั้งไหนๆ


การที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณอย่างพวกเขาก็ไม่อาจตรวจจับหรือรับรู้การมีอยู่ของค่ายกลมิติได้…หรือว่าจางเซวียนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นสารของมิติอันเป็นตำนาน?


ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายมั่นใจในค่ายกลของตัวเอง ลงท้ายเขาก็ทำได้จริง


น่าหัวเราะเหลือเกินที่เมื่อครู่ก่อนเขายังสงสัยว่าจางเซวียนกำลังคุยโวโอ้อวด


“ตอนนี้แหละ!”


ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังครุ่นคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว เขาเงื้อไม้บรรทัดปะทะวิญญาณขึ้นและตวัดมันเข้าใส่นักปราชญ์โบราณหลันหยาทันที


แต่ก่อนที่การโจมตีของเขาจะเข้าถึงเป้าหมาย…


นักปราชญ์โบราณหลันหยาทรุดฮวบลงกับพื้นแล้ว


เขาตายสนิท


เห็นแบบนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหันขวับไปมองจางเซวียนด้วยความสับสน และเห็นอีกฝ่าย ยืนจังก้าพร้อมกับกระบี่ในมือ เขาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูละอายใจ “ผมผิดเอง ไม่คิดว่าหมอนี่จะอ่อนแอขนาดนี้ ผมเลยสังหารเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ…”


รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นนักปราชญ์โบราณ จางเซวียนจึงคิดว่าคงต้องใช้ทั้งไอ้โหดและนักปราชญ์โบราณโม่หลิงร่วมมือกันถึงจะสังหารอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบได้ แต่ใครจะไปคิดว่าทั้งหมดที่เขาต้องใช้ก็เพียงแค่ตวัดกระบี่เปลวเพลิงสีดำเล่นงานหัวใจของอีกฝ่ายเท่านั้น?


ตายโดยยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย…ช่างเป็นความตายที่น่าสมเพชเสียจริง!


“นักปราชญ์โบราณหลันหยาเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบสายเลือด ถูกสังหารง่ายดายแบบนั้นได้อย่างไร?”


ไม่ใช่จางเซวียนคนเดียวที่สงสัย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ไม่เข้าใจผลลัพธ์อันแปลกประหลาดครั้งนี้


ถึงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะไม่เคยดวลกับนักปราชญ์โบราณหลันหยามาก่อน แต่ความคุ้นเคยกันเป็นระยะเวลาหลายปีก็ทำให้เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ในเมื่อจางเซวียนเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!


เขาพอเข้าใจว่าถ้าจางเซวียนผนึกกำลังกันกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำ ก็พอจะหนีรอดหรือรับมือได้ แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณหลันหยา แต่ถึงกับสังหารเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว…การคร่าชีวิตของนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งไม่ใช่การเล่นขายของ!


หรือนักปราชญ์โบราณหลันหยาจะแสร้งทำ? เขาควรจะใช้ไม้บรรทัดเล่นงานหมอนั่นอีกครั้งไหม?


เมื่อคิดได้ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ออกจากการกำบังตัวและรีบเข้าไปตรวจสอบนักปราชญ์โบราณหลันหยา เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณพิสูจน์ร่างกายของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน แล้วก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง


นักปราชญ์โบราณหลันหยา…ตายสนิท จิตวิญญาณของเขาสูญสลาย ไม่มีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่ในร่างของเขาแม้แต่น้อย


“ประหลาดจริงๆ…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงนวดหว่างคิ้วอย่างสับสนเมื่อพบว่าไม่อาจทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า


เหล่านักปราชญ์โบราณคือผู้ที่เป็นสุดยอดของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ถึงจางเซวียนจะโจมตีเข้าที่จุดสำคัญของอีกฝ่ายอย่างจัง แต่อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเสียชีวิตอย่างง่ายดายแบบนี้ หมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำหรือแม้แต่จะกรีดร้อง…


ดูเป็นกรณีที่เหนือธรรมชาติมาก!


“หรือเขาจะเป็นตัวปลอม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“ไม่หรอก ผมรู้จักเขามาหลายพันปีแล้ว จำเขาได้ต่อให้เขามอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ผมคาดว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรสักอย่างที่สั่นคลอนรากฐานของเขา ทำให้เขาเหลือพละกำลังไม่ถึงหนึ่งในสิบ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบอย่างครุ่นคิด


เมื่อพิจารณาดูใกล้ๆ เขาพบว่าร่างของนักปราชญ์โบราณหลันหยาอ่อนแอมาก มันดูปวกเปียก และเขารู้สึกได้ถึงความเสื่อมถอยที่อยู่ในร่างกายของอีกฝ่าย


เห็นชัดว่ารากฐานของนักปราชญ์โบราณหลันหยาถูกสั่นคลอน ต่อให้พวกเขาไม่เปิดการโจมตี อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานนัก


แต่ตอนที่เขาพบนักปราชญ์โบราณหลันหยาเมื่อไม่นานมานี้ หมอนี่ยังมีพลังล้นเหลืออยู่เลย ตามที่อีกฝ่ายคุยโวโอ้อวดไว้ ดูเหมือนเขาใกล้จะสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 ด้วย…แล้วปุบปับมาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?


เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงได้แต่ส่ายหน้าและหันกลับมามองจางเซวียน “คราวนี้เราจะทำอย่างไรต่อ?”


“ผมวางแผนจะจับตัวเขาเป็นๆและใช้การค้นหาจิตวิญญาณกับเขา เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิงในตอนนี้เป็นอย่างไร และเลือดมังกรอยู่ที่ไหน แต่ในเมื่อเขาตายแล้ว ผมก็คิดว่าคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล้มเลิกแผนการแรกไป” จางเซวียนตอบเจื่อนๆ


เขาเองก็ผิดหวัง เขาเตรียมการมากมายเพื่อรับมือกับอะไรก็ตามที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาจะตอบโต้ แต่ทุกอย่างจบลงรวดเร็วเสียจนรู้สึกว่าการลงทุนลงแรงของเขาจะสูญเปล่า


น่าผิดหวังอะไรอย่างนี้!


“คุณยังคิดจะปลอมตัวเป็นเขาอยู่หรือเปล่า?”


“แน่นอน! ผมจะทำอะไรได้ล่ะถ้าอยากเข้าไปในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง?” จางเซวียนตอบ


ขณะที่คิดแบบนั้น กระดูกและกล้ามเนื้อของจางเซวียนก็เริ่มขยับ แม้แต่รังสีจิตวิญญาณก็ตั้งต้นแปรสภาพไปจนเหมือนกับนักปราชญ์โบราณหลันหยาที่กองอยู่กับพื้น จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของนักปราชญ์โบราณหลันหยาออกและสวมใส่มัน ไม่ลืมที่จะนำแหวนเก็บสมบัติของนักปราชญ์โบราณหลันหยามาสวมติดนิ้วด้วย


เมื่อนักปราชญ์โบราณโม่หลิงมองจางเซวียนอีกครั้ง ก็ถึงกับใจเต้นตึกตักด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาคิดว่าการปลอมตัวของอีกฝ่ายคงจะเป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มันเหนือชั้นกว่านั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทาง บุคลิก รังสีจิตวิญญาณ หรือแม้แต่สภาวะจิต บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือนักปราชญ์โบราณหลันหยาอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะศพเปลือยที่นอนอยู่ใกล้ๆ เขาคงหลงเชื่อการปลอมตัวครั้งนี้ไปแล้ว!


ช่างเป็นการเบิกเนตรครั้งใหญ่!


จางเซวียนไม่แยแสความอัศจรรย์ใจของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง เขาตั้งคำถามต่อ “โดยปกติ นักปราชญ์โบราณหลันหยานำน้ำจากน้ำพุไปที่ไหน?”


“โดยปกติเขาจะกลับหอนอน ส่วนจะไปที่ไหนและทำอะไรกับมันนั้น ผมเองก็ไม่รู้” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบ


“เอาเถอะ ผมจะมุ่งหน้าไปที่หอนอนแล้วตรวจสอบดู” จางเซวียนพูดขณะตาโตด้วยความตื่นเต้น


ในเมื่อมันเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของนักปราชญ์โบราณหลันหยาที่จะต้องเข้าสู่หอนอน เขาก็น่าจะเดินเข้าไปได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไร


จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็นำน้ำเต้าที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาเตรียมมาในแหวนเก็บสมบัติของเขามาเติมน้ำจากน้ำพุเข้าไปจนเต็ม


หลังจากเสร็จสิ้น จางเซวียนก็หันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “อันตรายเกินไปที่คุณจะติดตามผมไปที่หอนอน ผมจะไปคนเดียวนะ”


ในเมื่ออำมาตย์เฉินหลิงเริ่มระแวงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงแล้ว ก็คงยากที่อีกฝ่ายจะเข้าไปในหอนอนพร้อมกันกับเขา ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาไปคนเดียวน่าจะดีกว่า


ไม่อย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะถูกสงสัยและถูกเล่นงานทันทีที่เข้าสู่หอนอน


“แต่มันอันตรายมากนะ อาจเกิดอะไรขึ้นกับคุณก็ได้!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอุทานอย่างเป็นห่วง


จางเซวียนเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก และจากข้อมูลเท่าที่เขารู้เกี่ยวกับหอนอน มีนักปราชญ์โบราณอย่างน้อย 3 คนประจำการอยู่ในบริเวณนั้น ถ้าใครสักคนเกิดรู้ขึ้นมาว่าจางเซวียนเป็นตัวปลอม จะต้องถูกสังหารทันทีแน่


“ไม่ต้องห่วงน่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะส่งสัญญาณให้คุณรีบเข้าไปช่วยผม” จางเซวียนตอบยิ้มๆขณะโยนร่างของนักปราชญ์โบราณหลันหยาเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


ร่างของนักปราชญ์โบราณทุกคนเป็นสมบัติล้ำค่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เสียเปล่า


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็รู้ดีว่าสถานภาพปัจจุบันของเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะคลุมเครือ และความพยายามที่จะตามจางเซวียนเข้าไปก็มีแต่จะทำให้เกิดปัญหามากกว่าเดิม จึงยอมตกลงพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย


นอกจากความจริงที่ว่าจางเซวียนเป็นประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ลำพังแค่การที่เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ปราดเปรื่องของทวีปแห่งปรมาจารย์นั้น ก็ชัดเจนว่าเขาไม่อาจปล่อยให้เกิดอันตรายใดๆขึ้นกับอีกฝ่ายได้


“อือ!”


เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนสูดหายใจลึกและเดินออกจากหอน้ำพุแสนหวาน เขาทบทวนแผนผังของพระราชวังก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของหอนอน


ตอนที่ 1810 เลือดมังกรอยู่ที่นี่หรือเปล่า?

ก่อนหน้านี้ จางเซวียนใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาตระเวนไปทั่ววัง ทำให้บันทึกแผนผังของทั่วทั้งวังไว้ในความทรงจำได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ช้าเขาก็มาถึงหอนอน


จางเซวียนนำตราสัญลักษณ์ออกจากแหวนเก็บสมบัติและกดมันเบาๆที่ทางเข้า ทางเข้าค่อยๆปรากฏขึ้นบนฉนวน จากนั้นก็ก้าวเข้าไปข้างใน


สิ่งแรกที่เขาเห็นคือสวนขนาดใหญ่ที่มีพืชพรรณเขียวชอุ่มทุกชนิดเติบโตอยู่ เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็รู้ว่ามันคือสวนสมุนไพร และพืชพรรณทุกชนิดที่กำลังเติบโตก็ล้วนแต่เป็นสมุนไพรล้ำค่า


จางเซวียนแอบใช้การรับรู้จิตวิญญาณกวาดไปทั่วสวนนั้นเพื่อพิจารณา ไม่ช้ารอยย่นก็ปรากฏบนหน้าผาก


มีสมุนไพรหลายร้อยชนิดแตกต่างกันไปในสวนสมุนไพรแห่งนั้นทุกชนิดมีคุณสมบัติทางยาอันน่าทึ่ง แต่ไม่ปรากฏหญ้าเกล็ดมังกรที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเคยพูดถึงเลย


หรือว่าที่นี่จะไม่มีเลือดมังกร?


จางเซวียนสั่งการหอกสวรรค์กระดูกมังกรซึ่งแปลงร่างเป็นเข็มขัดรัดอยู่รอบเอวของเขาให้ตรวจจับสัญญาณของเลือดมังกรในพื้นที่อย่างถี่ถ้วน เขาเดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆขณะสำรวจตรวจสอบอย่างระมัดระวัง


“หลันหยา มัวชักช้าอะไรอยู่? เร็วๆเข้า!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังค่อยๆสำรวจพื้นที่โดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในสวนสมุนไพร เมื่อหันกลับไป ก็เห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์


ผู้อาวุโสมีอายุราว 60 ปี ดวงตาของเขาเป็นฝ้ามัวเล็กน้อย ราวกับจะสะท้อนถึงวันคืนอันยาวนานที่เขาได้ใช้ชีวิตมา แม้รังสีที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่แรงกดดันของเขาก็ดูจะทะลุทะลวงตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ ทำให้ผู้พบเห็นต้องเชื่อฟัง


นักปราชญ์โบราณขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์…จางเซวียนมองเห็นระดับวรยุทธของอีกฝ่ายทันที


เมื่อตอนที่อยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ เขาได้พบนักปราชญ์โบราณหลายสิบคน และแหวนเก็บสมบัติของเขาก็เต็มไปด้วยศพของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์ จางเซวียนจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับนักปราชญ์โบราณทุกระดับ


แม้อีกฝ่ายจะดูไม่แข็งแกร่งนัก แต่ก็มีพละกำลังและวรยุทธสูงกว่าหลันหยา


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวสมองของจางเซวียน เขารีบพยักหน้าแล้วเดินไปหาผู้อาวุโส “มาแล้ว!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมบางอย่างของอีกฝ่ายที่ผิดปกติไป ผู้อาวุโสจ้องหน้าจางเซวียนเขม็งพร้อมกับขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือหลันหยาจริงๆ เขาจึงลดเสียงลงและย้ำอย่างเคร่งเครียด “วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะ ห้ามมีอะไรผิดพลาด ไม่งั้นหัวของเราทั้งคู่หลุดจากบ่าแน่!”


“ผมเข้าใจ!”


แม้จางเซวียนจะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสกำลังพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่โง่พอจะตั้งคำถาม เขาพยักหน้าขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าสู่ห้องโถงใหญ่


ห้องโถงนั้นไม่มีไข่มุกกระจ่างราตรี หรือเทียน หรืออุปกรณ์ให้แสงสว่างใดๆ ทั่วทั้งบริเวณดูมืดมาก การก้าวเข้าไปในห้องให้ความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาดูจะหายวับไปทันที ไม่ว่าจะเป็นสรรพเสียงหรือรังสีต่างๆ


เป็นฉนวนที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้! จางเซวียนคิดขณะที่แอบพิจารณาสภาพแวดล้อมด้วยความสงสัย


สมกับเป็นรังที่อำมาตย์เฉินหลิงใช้ซ่อนตัว มีอักษรโบราณจารึกไว้ทุกหนแห่งซึ่งแยกพื้นที่นี้ออกจากส่วนอื่นของพระราชวัง ดูเหมือนป้อมปราการที่อยู่ในป้อมปราการอีกทีหนึ่ง


ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงไม่เดินผ่านประตูออกมา ต่อให้นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 3-การฟื้นคืนชีพของสายเลือด ก็ไม่อาจมองทะลุฉนวนเพื่อสำรวจตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในได้


บริเวณใจกลางห้องโถงนั้นมีแท่นบูชารูปกลมซึ่งมีเปลวไฟกำลังลุกโพลงอย่างดุเดือด เผ่าพันธุ์ปีศาจในชุดเกราะสีดำราว 100 ตัวนั่งอยู่รอบแท่นนั้น ทุกตัวล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


เมื่อเห็นสิ่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ จางเซวียนเลิกคิ้วขณะรู้สึกว่าหัวใจหนักอึ้ง


ถึงนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ได้หายากเหมือนนักปราชญ์โบราณ แต่พวกเขาก็ยังถือเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของโลก แม้แต่ในหมู่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ 110,000 ตัวที่วางแผนจะเข้ารุกรานทวีปแห่งปรมาจารย์ในครั้งนั้น ก็ยังมีนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่รวมอยู่เพียงไม่กี่สิบตัว แต่ตอนนี้ พวกมันกว่าร้อยตัวมารวมกันอยู่ที่นี่


อำมาตย์เฉินหลิงมีกลยุทธซ่อนไว้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?


“น้ำจากน้ำพุอยู่ที่ไหน?” เห็นหลันหยาตกอยู่ในภวังค์ ผู้อาวุโสตวาดอย่างหงุดหงิด “คุณมัวรีรออะไรอยู่? รีบรินมันลงไปสิ!”


“อ๋อ น้ำจากน้ำพุอยู่นี่!” จางเซวียนนำน้ำเต้าออกมาด้วยการสะบัดข้อมือและยื่นมันให้ผู้อาวุโส


“เป็นบ้าอะไรถึงมายื่นให้ผม?” ผู้อาวุโสงุนงงกับปฏิกิริยาอันคาดไม่ถึงของอีกฝ่าย แต่ก็รับน้ำเต้ามาโดยอัตโนมัติ


“คุณทำแทนผมก็ได้” จางเซวียนพูด


เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับน้ำจากน้ำพุนั่น หากทำอะไรผิดพลาดลงไป ต้องถูกจับไต๋ได้แน่ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผลักภาระให้ผู้อาวุโสน่าจะดีกว่า


“อำมาตย์เฉินหลิงสั่งการโดยตรงให้คุณเป็นคนทำ ผมทำแทนคุณย่อมไม่เหมาะสมแน่” ผู้อาวุโสพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ไม่เป็นไรน่ะ ฝ่าบาทคงไม่ถือสากับเรื่องแค่นี้หรอก” จางเซวียนพูดพร้อมกับหัวเราะเจื่อนๆ


ล้อเล่นน่ะ! ถ้าผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับน้ำจากน้ำพุนี่ คุณคิดว่าผมจะมัวเสียเวลาพูดกับคุณหรือ?


“คุณ…” ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสถึงกับโมโหเดือด เขากำลังจะเทศนาหลันหยา ก็พอดีกับที่พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างปุบปับแท่นบูชานั้นเริ่มส่ายไปมาอย่างรุนแรง


“ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว…”


เห็นภาพนั้น ผู้อาวุโสนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่น เขารีบเปิดจุกน้ำเต้าและเขย่ามันเบาๆ น้ำจากน้ำพุไหลลงรดแท่นบูชานั้นแล้วซึมไปทั่วทั้งผิวหน้า ไม่ช้าก็เกิดสัญลักษณ์ขึ้นมาตัวหนึ่ง


ฟึ่บ!


ทันทีที่เปลวไฟสัมผัสกับน้ำที่กำลังไหลซึม มันก็ลุกโพลงขึ้นอย่างดุเดือดกว่าเดิม


เปลวไฟร้อนแรงนั้นทำให้สัญลักษณ์แปรรูปไป


“เริ่มได้!” ผู้อาวุโสสั่งการ


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งนั่งล้อมรอบแท่นบูชาต่างกัดนิ้วของตัวเองและหยดเลือดลงบนกองไฟ


วิ้ง!


ด้วยการใช้เลือดเป็นบรรณาการ อุณหภูมิของเปลวไฟก็พุ่งทะยานมิติที่อยู่โดยรอบบิดเบี้ยวไป ภายใต้ความร้อนแผดเผานั้น


ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งเห็นว่ามีเลือดสดๆสีแดงก่ำหย่อมหนึ่งถูกแผดเผาอยู่เหนือกองไฟ ดูเหมือนมันกำลังถูกขัดเกลาด้วยกรรมวิธีพิเศษบางอย่าง


เลือดหย่อมนั้นมีขนาดพอๆกับกำปั้น พลังงานดำมืดแผ่ซ่านอย่างดุเดือดออกจากมัน ราวกับมีมังกรตัวมหึมาโอบอยู่โดยรอบ


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด เสียงร้อนรนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว“นายท่าน นั่นคือเลือดมังกร…ดูเหมือนพวกนั้นกำลังขัดเกลาเลือดมังกร!”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นอยู่รอบเอวของเขา


“นั่นคือเลือดมังกรหรือ?” จางเซวียนตาโต


เขาเคยคิดว่าคงต้องลำบากยากเย็นไม่น้อยกว่าจะหาเลือดมังกรพบ ใครจะไปรู้ว่ามันอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง?


ปัญหาเดียวตอนนี้ก็คือมีคนอยู่รอบแท่นมากเกินไป ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีทางที่จางเซวียนจะขโมยเลือดมังกรและหนีไปอย่างปลอดภัยได้


แค่รู้ที่อยู่ของเลือดมังกรก็ดีแล้ว…ว่าแต่พวกมันทำอะไร? จางเซวียนแอบครุ่นคิด


นำเลือดมังกรมาไว้เหนือแท่นบูชาและใช้เลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ มาเป็นเชื้อเพลิงให้กับกองไฟ…เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังพยายามขัดเกลาเลือดมังกร ว่าแต่พวกมันพยายามจะขัดเกลาเลือดมังกรให้กลายเป็นอะไร?


“ถึงตาเราแล้ว, หลันหยา รีบจัดการซะ!” ผู้อาวุโสตะโกนก้อง


จางเซวียนหันกลับไป เห็นผู้อาวุโสกัดนิ้วและหยดเลือดของเขาลงไปบนแท่น


รู้ดีว่าต้องถูกสงสัยแน่หากยังมัวชักช้า จางเซวียนจึงรีบหยดเลือดของตัวเองลงไปบนแท่นบูชาด้วย


ซรืดดดดด!


ทันทีที่แท่นบูชาได้กลืนกินเลือดของผู้อาวุโส ร่างของอีกฝ่ายก็เริ่มเหี่ยวแห้ง ราวกับใครสักคนสูบพลังของเขาออกไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด แก้มตอบยุบเข้าไปข้างใน


จางเซวียนรีบหันไปมองเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆ ทุกตัวล้วนแต่ตัวสั่นเทิ้มขณะที่พลังงานถูกสูบออกจากร่างไปอย่างรวดเร็ว


แท่นบูชานี้ไม่เพียงแต่จะกินเลือด ยังสูบจิตวิญญาณ พลังชีวิต และจิตใจด้วย!


จางเซวียนหรี่ตาอย่างพรั่นพรึง ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมถึงสังหารนักปราชญ์โบราณหลันหยาได้ง่ายดายนัก


เพียงแค่ใช้เลือดหยดหนึ่งเป็นบรรณาการ จิตวิญญาณของอีกฝ่ายก็เหี่ยวแห้งอย่างหนัก พลังงานจำนวนมากถูกดูดออกไป เท่าที่เห็น ชัดเจนว่าหลันหยาอยู่กับแท่นบูชานี้ตลอดเวลาและใช้หยดเลือดของเขาเป็นบรรณาการอยู่เรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายของเขาจะอ่อนแอลงจนถึงจุดที่ปวกเปียกกว่านักปราชญ์โบราณโดยทั่วไป


เมื่อต้องรับมือกับการโจมตีอย่างปุบปับของนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกที่มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณอยู่ในมือ ในเมื่อหลันหยาอยู่ในสภาพนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่เขาจะเสียชีวิตเพราะการโจมตีเพียงครั้งเดียว


ฮื่อออออ!


หลังจากกลืนกินเลือดของจางเซวียนและผู้อาวุโสแล้ว ร่างของมังกรที่อยู่ภายในเลือดมังกรก็ดูจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน เสียงร้องแผ่วของมันก็ชัดเจนขึ้น ดูเหมือนมันพร้อมจะโผขึ้นสู่กลางอากาศได้ทุกขณะ


“เอ่อ…” เห็นภาพนั้น หอกสวรรค์กระดูกมังกรตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นขณะละล่ำละลัก “พวกมันไม่ได้แค่กำลังขัดเกลาเลือดมังกรแต่ยังพยายามใช้กรรมวิธีพิเศษบ่มเพาะเลือดมังกรเพื่อยกระดับขั้นของมันด้วย!”


ตอนที่ 1811 ยกระดับขั้นของเลือดมังกร

“พวกมันกำลังยกระดับขั้นของเลือดมังกร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“เผ่าพันธุ์มังกรนั้นมีลำดับชั้นเข้มงวด ดังนั้น ความบริสุทธิ์ของเลือดมังกรจึงมีหลายระดับแตกต่างกันไป” หอกสวรรค์กระดูกมังกรตอบ


จางเซวียนพยักหน้า


เท่าที่เขาได้เห็น ดูเหมือนเผ่าพันธุ์มังกรจะมีรูปแบบเหมือนกันกับบรรดาตระกูลนักปราชญ์ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ยิ่งสายเลือดมังกรมีความบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าไหร่ ความปราดเปรื่องและทรงพลังก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว


อย่างอสูรมังกรบาดาลเป็นตัวอย่าง แม้จะมีคำว่า ‘มังกร’ อยู่ในชื่อของมัน แต่ความจริงก็คือความบริสุทธิ์ของสายเลือดมังกรในตัวมันนั้นต่ำมาก ถ้าจะเปรียบเทียบกับตระกูลนักปราชญ์ ก็เหมือนสมาชิกในครอบครัวสาขา คือแทบไม่ควรค่าแก่การพูดถึง เพราะเหตุนี้ มันถึงยอมจำนนให้กับแปดโน้ตมังกรสวรรค์ของจางเซวียนอย่างง่ายดาย


หย่อมเลือดมังกรที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกันกับที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเคยพูดถึง เป็นเลือดของนักปราชญ์โบราณมังกรสีดำ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด สายเลือดของมันบริสุทธิ์กว่าอสูรมังกรบาดาลมาก


“โดยทั่วไป การยกระดับขั้นของเลือดมังกรนั้นแทบเป็นไปไม่ได้แต่พวกมันได้เสริมหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณและนักรบอีกมากมายเข้าไปในเลือดมังกร พร้อมกับใช้น้ำที่ใสสะอาดที่สุดมากำจัดสิ่งปนเปื้อนและกระตุ้นการเผาผลาญด้วย ตอนนี้น่ะอธิบายยาก แต่ผมมีความรู้สึกว่าพวกมันน่าจะทำสำเร็จ” หอกสวรรค์กระดูกมังกรพูดอย่างตื่นเต้น


เป็นอย่างที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรบอกไว้ โดยปกติ เป็นไปไม่ได้ที่จะยกระดับขั้นของสายเลือด สิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งกลุ่มกำลังทำคือทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบ่มเพาะเลือดมังกร โดยหวังว่าจะผลักดันให้เกิดการยกระดับ แม้ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้ยาก แต่ด้วยนักปราชญ์โบราณ 2 คนและนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกมากมายที่ยอมทุ่มสุดตัวเพื่อการยกระดับครั้งนี้ พวกเขาก็น่าจะทำสำเร็จ


ฮื่อออออ!


ทันใดนั้น เสียงคำรามกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ หลังจากกลืนกินหยดเลือดของจางเซวียนกับผู้อาวุโสลงไป รังสีของมังกรก็แผดกล้าขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับที่เริ่มจะปั่นป่วน


“มันใช้การได้แล้ว!” ผู้อาวุโสนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นเขารีบลุกขึ้นและมองจางเซวียน “หลันหยา เราทำเกือบสำเร็จแล้วรีบยื่นข้อเสนอเร็วๆเข้า!”


“ยื่นข้อเสนอ?” จางเซวียนเหลียวมองโดยรอบ แต่ไม่มีบรรณาการใดๆให้เห็น


เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร และนั่นทำให้ปวดหัวตึ้บขึ้นมา


จางเซวียนเคยเห็นพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ แต่ไม่เคยทำด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่เขาจะรู้เลยว่าขั้นตอนในพิธีกรรมของพวกมันมีอะไรบ้าง ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาต้องถูกจับได้แน่!


เพราะแม้การปลอมตัวของเขาจะแนบเนียนแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวจริง หากเขาสามารถดำเนินพิธีการพิธีกรรมเรียกเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณด้วยตัวเองได้ ก็คงไม่ต้องตามอำมาตย์เฉินหย่งเข้ามาที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


การกระทำก่อนหน้านี้ของจางเซวียนที่ยื่นน้ำเต้าให้ผู้อาวุโสก็ทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากพอแล้ว ถ้าเขาปฏิเสธที่จะดำเนินพิธีกรรมอีก ผู้อาวุโสต้องเล่นงานเขาแน่


จางเซวียนได้แต่ยืดตัวขึ้นและขย้อนเลือดขึ้นมาในลำคอ ทำให้สองแก้มของเขาแดงก่ำ


พลั่ก!


เลือดกระอักออกจากปากของจางเซวียน ร่างของเขาโงนเงนอย่างอ่อนแรงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น


“คุณ…” นึกไม่ถึงว่านักปราชญ์โบราณหลันหยาจะพังพาบไปในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผู้อาวุโสหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผมจะรายงานเรื่องนี้กับอำมาตย์เฉินหลิงแน่ รอการลงโทษได้เลย!”


จากนั้น เขาก็เบนสายตาไปจากจางเซวียนและเงื้อมือขึ้น


ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา กระแสดาบฉีมากมายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏเหนือร่างของเขา จากนั้นเขาก็ลดมือลง อย่างรวดเร็ว


ฟิ้ววว! ฟิ้ววว!


กระแสดาบฉีพลุ่งพล่านไปทั่ว สังหารนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กว่าร้อยตัวที่นั่งอยู่รอบแท่นบูชานั้น


ระหว่างการตัดศีรษะของเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่าร้อยตัวอย่างโหดเหี้ยม เลือดสดๆก็กระเซ็นเข้าสู่แท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง


เห็นภาพนั้น จางเซวียนเลิกคิ้ว


สังหารนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กว่าร้อยตัวเหมือนผักปลาไม่แปลกใจแล้วที่เมื่อครู่นี้เขาไม่พบบรรณาการใดๆ แท้ที่จริงบรรณาการก็คือชีวิตของนักรบเหล่านี้นี่เอง


เป็นพิธีกรรมที่เหี้ยมโหดเหลือเกิน!


ขณะที่เลือดไหลซึมเป็นทางอยู่บนแท่น เสียงร้องโหยหวนราวกับพายุใหญ่ก็กึกก้องอยู่กลางอากาศ ลำแสงมากมายนับไม่ถ้วนแผ่ซ่านลงมาจากท้องฟ้าและโอบล้อมร่างของผู้อาวุโสไว้


“โอ เทพเจ้าผู้สูงส่ง ผมขอน้อมกายมอบชีวิตเหล่านี้ให้คุณ สิ่งที่ผมปรารถนาก็มีเพียงแค่การชำระเลือดมังกรนี้ให้บริสุทธิ์เท่านั้น…”เสียงของผู้อาวุโสดังก้องไปทั่ว


เขาพูดด้วยภาษาดึกดำบรรพ์ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ แผ่คลื่นพลังงานของความเหี้ยมโหดที่พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของผู้ที่ได้ยิน


เสียงหนึ่งดังขึ้นช้าๆท่ามกลางลำแสงที่รวมตัวกัน “ฉันจะทำให้คุณสมความปรารถนา!”


จางเซวียนรีบมองตามลำแสงที่อยู่กลางอากาศ หวังจะได้เห็นว่าผู้นั้นคือหลัวลั่วชิงหรือไม่ แต่แสงที่เจิดจ้าทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย ในเวลาเดียวกัน เสียงนั้นก็ฟังดูอลังการมาก ยากที่จะระบุได้ว่าเป็นเสียงของชายหรือหญิง


ฟึ่บ!


ทันทีที่เสียงนั้นให้คำตอบ ลำแสงก็เข้มข้นขึ้นทันที กระแสพลังงานแผ่ลงมาจากกลางอากาศและหลอมรวมเข้ากับเลือดมังกร ทำให้มันเดือดพล่าน


ราวกับได้รับการบ่มเพาะจากอะไรสักอย่าง ร่างของมังกรที่อยู่ในเลือดมังกรขยายใหญ่ขึ้นทันที ในเวลาเดียวกัน รังสีที่ร่างมังกรนั้นแผ่ออกมาก็ดูจะเข้มข้นและทรงพลังขึ้นอีกมาก


แม้จะแทบเป็นไปไม่ได้ที่นักรบทั่วไปจะยกระดับขั้นของเลือดมังกรแต่ภารกิจนี้ก็ไม่เหนือความสามารถของเทพเจ้า!


ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะรวบรวมพลังงานได้มากมายและยอมเซ่นสรวงอีกหลายชีวิตเพียงเพื่อเรียกเทพเจ้ามา!


ขณะที่ร่างของมังกรขยายตัวขึ้น เลือดหย่อมนั้นก็ดูจะลดขนาดลงจากเดิมที่มีขนาดพอๆกับกำปั้น ตอนนี้มันหดเล็กลงจนเหลือเท่าเล็บมือ


แม้ปริมาณของมันจะลดลงมาก แต่พลังงานที่แผ่ออกมากลับเข้มข้นและมีความรุนแรงมากขึ้น มันแผ่แรงกดดันมหาศาลออกไปโดยรอบ ราวกับพละกำลังของมันใกล้จะถึงขีดสุดแห่งความทนทานของโลกใบนี้ และน่าจะเข้าถึงโลกใบที่สูงส่งกว่าได้ในไม่ช้า


เขาเคยรับรู้ความรู้สึกนี้จากหลัวลั่วชิงมาแล้วครั้งหนึ่ง


เมื่อตอนที่อยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ เพราะความแข็งแกร่งของเธอเหนือชั้นกว่าที่ทวีปแห่งปรมาจารย์จะทนทานไหว เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันหลังกลับและรีบจากไป


เห็นได้ชัดว่าเลือดมังกรที่อยู่ตรงหน้าเขาฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดไปสู่วรยุทธขั้นที่สูงกว่าแล้ว!


“นายท่าน ถ้าผมได้กลืนกินเลือดมังกรหย่อมนั้น ไม่เพียงแต่จะปลดฉนวนของตัวเองได้ ยังสามารถยกระดับวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ได้ด้วย” หอกสวรรค์กระดูกมังกรอุทานด้วยความตื่นเต้น


จางเซวียนก็หน้าแดงก่ำ แต่พยายามสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะสั่งการกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร “ช้าก่อน เราจะดำเนินการหลังจากที่พลังของเทพเจ้าเสื่อมสลายไปแล้ว!”


เขาเคยคิดว่าคงเป็นความโชคดีครั้งใหญ่หากปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้ แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งนี้จะมาเกิดขึ้นพร้อมๆกับพิธีกรรมยกระดับขั้นของเลือดมังกรของเผ่าพันธุ์ปีศาจ?


ถ้าหอกสวรรค์กระดูกมังกรสามารถกลืนกินและซึมซับเลือดมังกรได้ มันจะต้องข้ามผ่านการแปรสภาพครั้งใหญ่และเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นได้แน่


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่เขายังมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ในมือ อำมาตย์เฉินหลิงก็ทำอะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดก็ตาม!


แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการจ้วงแทงหอกเพียงครั้งเดียวของเขา


แต่ถ้าหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยากกลืนกินเลือดมังกรที่ได้รับการยกระดับแล้ว ก็จะต้องรอให้พลังจากเทพเจ้าสลายตัวไปก่อน ไม่อย่างนั้น ถ้าเทพเจ้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาและลงโทษเขา เหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับไหว


“ได้!” หอกสวรรค์กระดูกมังกรตอบรับ มันสั่นสะท้านไม่หยุดอยู่รอบเอวของจางเซวียน แทบควบคุมตัวเองไม่ได้


มันไม่เคยพบเจอโอกาสแบบนี้มาก่อน แม้กระทั่งเมื่อสมัยที่ยังอยู่กับนักปราชญ์โบราณหรันชิว


เมื่อมีเลือดมังกรประกอบกับประสิทธิภาพการต่อสู้อันสูงส่งของมันต่อให้มันยังเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงผู้เก่งกาจไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะสูสีกับไอ้โหด


ขณะที่ทั้งสองกำลังสื่อสารกัน รังสีของเทพเจ้าก็เริ่มสลายตัวไปจากบรรยากาศ จากนั้น ลำแสงเจิดจ้าบนแท่นก็เริ่มจาง


ท่ามกลางเปลวไฟลุกโพลง มีเลือดมังกรอยู่เพียงหยดเดียว ด้วยสีแดงก่ำของไฟ เลือดหยดเดียวนั้นดูจะมีพละกำลังมากเสียจนเหมือนจะมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง มันพยายามดิ้นรนให้พ้นจากแท่นบูชาและกระโจนขึ้นสู่ท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต


แต่เพราะมีค่ายกลอันทรงพลังปิดกั้นอยู่ มันจึงไม่มีทางหลบหนีได้


ผู้อาวุโสนัยน์ตาแดงก่ำขณะร้องออกมาอย่างลิงโลด “เราทำสำเร็จแล้ว!”


หลังจากเหนื่อยยากมาตลอดทั้งเดือน ในที่สุดความพยายามของพวกเขาก็เป็นผล ผู้อาวุโสรู้สึกเหนื่อยอ่อนขึ้นมาทันที เกือบจะทนไม่ไหวและทรุดฮวบลงกับพื้น


“เชิญอำมาตย์เฉินหลิงมา!” เขาตวาดก้องพร้อมกับกำหมัดแน่น


“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขโมยเลือดมังกรได้แล้ว!”


ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโส จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงเพราะเมื่อไรก็ตามที่อำมาตย์เฉินหลิงปรากฏตัว ก็ไม่มีทางที่เขาจะได้แตะต้องเลือดมังกรหยดนั้น


ด้วยการตบมือครั้งหนึ่ง หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็พุ่งออกจากเอวของเขาทันที


ดูเหมือนมันจะรู้ว่าสถานการณ์เร่งด่วนแค่ไหน จึงแปรสภาพเป็นโครงกระดูกมังกรสีดำอย่างไม่ลังเลและพุ่งเข้าใส่แท่นบูชา


เมื่อเห็นโครงกระดูกมังกรสีดำและนึกได้ถึงกิริยาแปลกๆของอีกฝ่ายระหว่างที่พิธีกรรมดำเนินไป ผู้อาวุโสตาโตขณะอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณ…คุณไม่ใช่นักปราชญ์โบราณหลันหยา? คุณเป็นใครกัน?”


เขายกแขนขึ้นทันทีเพื่อยับยั้งโครงกระดูกมังกรสีดำไม่ให้เข้าถึงแท่นบูชา


ฟิ้วววว!


พละกำลังของนักปราชญ์โบราณระเบิดออกมา มันพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อสร้างปราการที่สกัดกั้นโครงกระดูกสีดำไว้ไม่ให้เข้าถึงแท่นบูชาได้


ตอนที่ 1812 แล้วเลือดมังกรก็…

1812 : แล้วเลือดมังกรก็…


“จัดการเลย!”


เห็นผู้อาวุโสยับยั้งหอกสวรรค์กระดูกมังกรไว้ จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด ในตอนนั้นเขาไม่อาจปกปิดตัวตนไว้ได้อีกต่อไป จางเซวียนชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา จากนั้นก็ยืดแขนออกไปเพื่อฟาดฟันใส่ปราการ


แม้ผู้อาวุโสจะเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์ แต่ก็ใช้เรี่ยวแรงไปมากระหว่างการชำระเลือดมังกร พละกำลังของเขาจึงอ่อนด้อยกว่าเดิมหลายเท่า ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว กระบี่เปลวเพลิงสีดำก็ฉีกกระชากปราการได้สำเร็จ


“พลั่ก!”


ผู้อาวุโสกระอักเลือดออกจากปาก แต่ก็ยังทรงตัวไหว นัยน์ตาของเขาแดงก่ำขณะเงื้อมือขึ้นอีกครั้ง


เขาปลดปล่อยพลังปราณปริมาณมหาศาลเพื่อยับยั้งหอกสวรรค์กระดูกมังกรไม่ให้เข้าถึงเลือดมังกร แม้ตัวเองจะอยู่ในสภาวะอ่อนแรง แต่ความพยายามครั้งสุดท้ายก็ได้ผล ในตอนนั้น เขายับยั้งหอกสวรรค์กระดูกมังกรไว้ได้อีกครั้ง


“ไอ้สารเลวดื้อด้าน!”


นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะยังคงดื้อดึงขนาดนั้นทั้งที่ร่างกายอ่อนแรงจนแทบไม่ไหว จางเซวียนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธขณะกวัดแกว่งกระบี่เปลวเพลิงสีดำอีกครั้ง


ขอแค่เขาสังหารผู้อาวุโสได้ ปราการที่อีกฝ่ายใช้สกัดกั้นหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็จะเสื่อมสลายไป


“ฮึ่มมม!” รู้ดีว่าจางเซวียนจะต้องเปิดการโจมตีแน่ ผู้อาวุโสปล่อยพลังจากฝ่ามือออกมา


บางสิ่งที่เหมือนกับผืนผ้าไหมสะบัดพรืดและตีวงล้อมกระบี่เปลวเพลิงสีดำไว้


มันคือของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง-ของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ แม้จะไม่ใช่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณตัวจริง แต่ก็ถูกออกแบบมาอย่างดีสำหรับการสะกดจิตและสกัดกั้น ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงพลันรู้สึกว่าพลังปราณในร่างกายของเขาไหลช้าลง ราวกับมีบางอย่างปิดกั้นไว้ แม้แต่การปลดปล่อยพลังปราณก็ยังทำได้ยาก


ฟึ่บ!


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนและขวางผืนผ้าไหมนั้นไว้ มันยืดแขนออกไปก่อนจะปล่อยหมัดอันทรงพลังเข้าใส่ผืนผ้าไหม


ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศพนักปราชญ์โบราณเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จางเซวียนเคยหลอมไว้ก่อนหน้านี้!


แม้จะเป็นศพ แต่ก็มีร่างกายที่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นตามแบบของหุ่นโลหะไร้วิญญาณ เพียงหมัดเดียวก็ทำให้มิติที่ขวางทางมันพังทลาย ผ้าไหมสีแดงก่ำนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


พลั่ก!


ผู้อาวุโสกระอักเลือดออกมาเป็นครั้งที่สอง


ตั้งแต่แรก เขาก็ไม่พร้อมจะต่อสู้อยู่แล้วเพราะสภาวะร่างกายอ่อนแอ เพราะความมุ่งมั่นและการทุ่มสุดตัวเท่านั้นที่ทำให้เขายังคงไปต่อได้ ร่างกายอ่อนแรงของเขาถูกสอยกระเด็นไปไกลจากแรงปะทะ จากนั้นก็ตกตุ้บกระแทกกับพื้นอย่างแรงท่ามกลางฝุ่นคลุ้ง เท่าที่เห็น เขาน่าจะหมดสภาพไปอีกระยะหนึ่ง


จางเซวียนกวัดแกว่งกระบี่เปลวเพลิงสีดำอย่างรวดเร็วอีกครั้งเพื่อฉีกกระชากปราการที่ถูกสร้างขึ้นก่อนตวาดก้อง “ไปเลย!”


“ได้!”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งพรวดออกไปราวกับสายฟ้า


ในชั่วพริบตา โครงกระดูกมังกรขนาดใหญ่ก็ไปอยู่ตรงหน้าเลือดมังกร มันอ้าปากกว้างเพื่อกลืนกินเลือดมังกรนั้น


ขณะที่เลือดมังกรกำลังจะไหลเข้าสู่ร่างของโครงกระดูกและถูกซึมซับเข้าไป การเคลื่อนไหวของมันก็ถูกยับยั้งไปในทันที ดูเป็นภาพพิสดารพันลึกมาก โครงกระดูกที่นิ่งงันไม่ไหวติง กับเลือดมังกรหยดหนึ่งที่ลอยนิ่งอยู่กลางปากของมัน


“เวรละ!” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


เขารีบเงยหน้าขึ้น และเห็นร่างหนึ่งอยู่เหนือศีรษะของเขา ร่างนั้นชี้นิ้วมาที่โครงกระดูกมังกร


แน่นอนว่าเขาคือผู้ที่ทำให้มิติโดยรอบแข็งทื่อเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของหอกสวรรค์กระดูกมังกร


อำมาตย์เฉินหลิง!


ลงท้าย พวกเขาก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง


ในตอนนั้น สีหน้าของอำมาตย์เฉินหลิงดูซีดเผือดเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขายังไม่หายดี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือนักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ซึ่งหอกสวรรค์กระดูกมังกรไม่มีทางเทียบชั้นกับเขาได้เลย


หลังจากสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของหอกสวรรค์กระดูกมังกรแล้ว อำมาตย์เฉินหลิงก็หันมาจ้องหน้าจางเซวียน นัยน์ตาของเขาฉายความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงที่แผดเผาอยู่ภายใน ถ้าสายตาฆ่าคนได้ ทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณนั้นคงจะแตกสลายไปหมดแล้วในชั่วพริบตา


“คุณคือจางเซวียนใช่ไหม? ไม่นึกเลยว่าคุณจะกล้าถึงขนาดลักลอบเข้ามาในวังของผม และสังหารลูกน้องที่ผมไว้ใจด้วย ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรและกระบี่เปลวเพลิงสีดำเป็นของล้ำค่าเฉพาะตัวของจางเซวียน ต่อให้การปลอมตัวเป็นนักปราชญ์โบราณหลันหยาของเขาจะแนบเนียนสักแค่ไหน แต่ของล้ำค่าเหล่านี้ก็เปิดเผยความจริงอยู่ดี


“ไอ้โหด!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงจากร่างที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา จางเซวียนรีบนำไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโดยไม่ลังเล


หนังสือเทียบฟ้าปรากฏขึ้น แขนข้างหนึ่งของไอ้โหดโผล่ออกมาจากหนังสือและกระดิกนิ้ว


ฟิ้วววว!


มิติที่สกัดกั้นอยู่โดยรอบเริ่มไหลเวียนตามปกติอีกครั้ง ปากที่อ้ากว้างของโครงกระดูกมังกรหุบลงทันที


กรึ่บบบ!


เสียงหุบปากของโครงกระดูกมังกรได้ยินชัดไปทั่วทั้งห้อง แต่โครงกระดูกมังกรก็ไม่ได้รับรู้ถึงพละกำลังมหาศาลเมื่อครู่ เพราะร่างของมันถูกสกัดกั้นไว้


“มนุษย์เข้ามาถึงที่นี่ได้เลยหรือ?” เสียงเยาะเย้ยของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นในห้อง “ อำมาตย์เฉินหลิง ดูเหมือนวังของคุณจะไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คุณคิดแล้วนะ…”


จากนั้น หญิงสาวคนหนึ่งที่มีเรือนร่างยั่วยวนก็ปรากฏตัวในห้อง สิ่งที่หมุนอย่างช้าๆอยู่ที่ปลายนิ้วของเธอคือเลือดมังกรหยดนั้น เห็นได้ชัดว่าเธอขโมยเลือดมังกรไปจากปากของโครงกระดูกมังกร ขณะที่มันกำลังพยายามกลืนกิน


สาวน้อยคนนี้ดูจะมีอายุราว 30 ต้นๆ เมื่อมองแวบแรก ไม่อาจกะระดับวรยุทธของเธอได้ ให้ความรู้สึกคล้ายกับผู้อาวุโสที่เพิ่งดำเนินพิธีกรรมเมื่อครู่ หรือพูดอีกอย่างก็คือ เธอน่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์เช่นกัน


จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขารู้ดีว่ามีนักปราชญ์โบราณหลายคนให้การอารักขาอยู่ที่หอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาถึงเร็วขนาดนี้


“เอาเลือดมังกรกลับมานะ!”


รู้ดีว่าอันตรายอาจรุนแรงไปกว่านี้ในทุกวินาทีที่ผ่านไป จางเซวียนรีบสั่งการกับไอ้โหด


ฟึ่บ!


แขนที่โผล่ออกมาจากหนังสือเทียบฟ้าพุ่งเข้าใส่สาวน้อยที่มีวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า อีกฝ่ายไม่ทันระมัดระวังตัวเพราะความว่องไวอย่างน่าทึ่งของแขนนั้น ก่อนที่เธอจะรู้ตัว มิติที่อยู่โดยรอบก็ถูกสกัดกั้น ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


พลั่ก!


พลังฝ่ามือพุ่งเข้าใส่แผงอกของเธออย่างจัง อีกฝ่ายถูกสอยกระเด็นไปไกลทันที


“เอามันมา!”


รู้ดีว่าเธอคงไม่อาจได้เลือดมังกรกลับคืนมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทรงพลังขนาดนี้ สาวน้อยรีบส่งเลือดมังกรให้อำมาตย์เฉินหลิง


อำมาตย์เฉินหลิงรับเลือดมังกรไว้ได้อย่างแม่นยำ แต่แขนที่อยู่ในหนังสือเทียบฟ้าก็ไม่ช้า สองผู้ยิ่งใหญ่จึงปะทะกันอย่างดุเดือด เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนที่มีอานุภาพทำลายล้างแผ่ซ่านออกไปทั่วบริเวณ ภายใต้พละกำลังมหาศาลนั้น ค่ายกลที่อยู่ในพื้นที่ถึงขีดสุดแห่งความทนทานของมันและแตกกระจาย


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


“ดูเหมือนอำมาตย์เฉินหลิงจะกำลังสู้กับใครสักคน…”


การพังทลายของค่ายกลหมายความว่าพวกเขาไม่ได้สู้กันในสภาพแวดล้อมที่ถูกแยกตัวออกมาอีกต่อไป เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม นักปราชญ์โบราณอีก 2 คนก็รีบบินเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์


ก็เหมือนกับสาวน้อยเมื่อครู่ พวกเขาเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์ หากอยู่ตามลำพังก็ไม่ครนามือไอ้โหด แต่เมื่อผนึกกำลังกัน ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือพละกำลังที่รับมือด้วยได้ยาก


เพราะอาการบาดเจ็บของอำมาตย์เฉินหลิง ไอ้โหดจึงถือไพ่เหนือกว่าในการปะทะ เขาเกือบจะได้หยกเลือดมังกรมาแล้ว แต่เมื่อมีนักปราชญ์โบราณอีก 2 คนเข้ามาร่วมวงและช่วยอำมาตย์เฉินหลิง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ไอ้โหดพบว่าตัวเองไม่สามารถก้าวออกไปได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าจะออกแรงสักแค่ไหน ราวกับถูกใครบางคนตรึงร่างของเขาไว้กับที่


แม้ไอ้โหดจะเข้าไม่ถึงเลือดมังกร แต่ก็สามารถกีดกันไม่ให้คนอื่นเข้าถึงได้เช่นกัน อำมาตย์เฉินหลิงกัดฟันกรอดแล้วตวาดก้อง “เปิดใช้งานค่ายกล!”


หึ่งงงง!


ค่ายกลทั้งหมดที่ถูกติดตั้งไว้รอบหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงส่งเสียงหึ่งเพื่อแสดงการทำงาน แสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นทั่วทั้งบริเวณ ตรงเข้าเล่นงานไอ้โหดทันที


อำมาตย์เฉินหลิงได้ใช้เวลานานนับปีไม่ถ้วนจารึกตัวอักษรและติดตั้งค่ายกลไว้ในห้องนอนของเขา เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะมีไม้ตายไว้รับมือกับอำมาตย์เฉินหย่งหากต้องปะทะกัน


แม้ไอ้โหดจะได้วรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกกลับมาแล้ว แต่การทำลายค่ายกลอย่างรวดเร็วก็ยังอยู่เหนือความสามารถของมัน


เห็นไอ้โหดติดกับอยู่ในค่ายกล อำมาตย์เฉินหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ผมเสียอะไรไปมากมายเพื่อขัดเกลาเลือดมังกรหยดนี้ จะปล่อยให้คนนอกอย่างคุณมาฉกฉวยมันไปได้อย่างไร?” อำมาตย์เฉินหลิงคำราม


เขาแบมือ แล้วเลือดมังกรก็หยดลงสู่มือของเขา แผ่พลังงานเดือดพล่านออกมา


อำมาตย์เฉินหลิงเคาะนิ้วลงบนหยดเลือดเบาๆ แล้วร่างมังกรที่อยู่ในนั้นก็เปล่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวนออกมา ราวกับใครบางคนเพิ่งทำลายเจตจำนงของมัน


อำมาตย์เฉินหลิงอ้าปาก เตรียมจะกลืนเลือดมังกรลงไปอย่างไม่ลังเล


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในระดับที่สั่นคลอนรากฐานวรยุทธของเขา และไม่ช้าไม่นานจะต้องเสียชีวิตแน่ วิธีเดียวที่จะฟื้นคืนพละกำลังก็คือการบ่มเพาะด้วยเลือดมังกรที่ผ่านการขัดเกลาแล้ว


“ไม่นะ! มันเป็นของผม”


เห็นโอกาสหายากในการจะได้ฝ่าด่านวรยุทธกำลังจะลื่นหลุดจากมือ หอกสวรรค์กระดูกมังกร คำรามลั่น มันพุ่งเข้าใส่อำมาตย์เฉินหลิงอย่างไม่ลังเล ตั้งใจจะคว้าเลือดมังกรมาให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม


หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งเข้ากระแทกร่างของอำมาตย์เฉินหลิงอย่างแรง ทำให้เขาถึงกับเซ เลือดมังกรลื่นจากนิ้วของอำมาตย์เฉินหลิงและร่วงลงกับพื้น


“แกรนหาที่ตายแล้ว!” อำมาตย์เฉินหลิงคำรามขณะปล่อยพลังฝ่ามือเข้าใส่หอกสวรรค์กระดูกมังกร


พลั่ก!


หอกสวรรค์กระดูกมังกรจะต้านทานการโจมตีของนักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้อย่างไร? มันพุ่งลงปักพื้นดิน เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่


“ฮึ่มมม!”


หลังจากเล่นงานหอกสวรรค์กระดูกมังกรแล้ว อำมาตย์เฉินหลิงเงื้อมือขึ้นอีกครั้งและเรียกเลือดมังกรกลับมาหาตัวเอง จากนั้นเขาก็ยื่นมือเข้าปาก เตรียมจะดื่มเลือดมังกร ก็พอดีกับที่รู้สึกเย็นเยือกที่ปลายนิ้วราวกับมีลมพัด


ยังไม่ทันจะรู้ตัว เลือดมังกรก็หายวับไปจากปลายนิ้วของเขาอีกครั้ง


“อะไรกัน?”


อำมาตย์เฉินหลิงรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด เขารีบหันไปมองว่าลมนั้นพัดไปทางไหน และก็ได้พบกับน้ำเต้าลูกหนึ่งที่ลอยอยู่ ร่างของน้ำเต้านั้นยุบลงไปข้างใน เกิดเป็นหลุมยุบที่เลือดมังกรถูกดูดเข้าไปในหลุมและซึมซับเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย


เลือดมังกรถูกกลืนกินไปด้วยวิธีนี้


ตอนที่ 1813 นักปราชญ์โบราณโม่หลิงออกโรง

“คุณ…”


อำมาตย์เฉินหลิงงุนงงจนพูดไม่ออก


จางเซวียนก็ยืนอึ้งอยู่กับที่ รู้สึกเหมือนมีอสูรสวรรค์นับล้านตัววิ่งพล่านอยู่ในสมองของเขาพร้อมๆกัน เกิดเป็นฝุ่นฟุ้งตลบที่บดบังความคิดของเขาไปจนหมด


น้ำเต้าลูกนั้นคือน้ำเต้าตงฉู่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในจุดตันเถียนของเขา หลังจากที่เขามอบหินอุกกาบาตให้มัน อีกฝ่ายก็ยอมย้ายไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ และแทบจะไม่ยอมเคลื่อนไหวไปไหนเลย แล้วทำไมจู่ๆถึงกระโจนออกมาร่วมวงแบบนี้


แถมยัง…กลืนกินหยดเลือดมังกรไปด้วย!


นั่นคือหัวใจของการปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกร! ถ้าปราศจากหยดเลือด หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ไม่มีทางได้พละกำลังที่แท้จริงของมันกลับคืนมา ลำพังประสิทธิภาพการต่อสู้ของไอ้โหดไม่เพียงพอให้เขาหลบหนีออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยแน่ ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจต้องตายที่นี่ก็ได้!


“เลือดของผม…เลือดมังกรของผม…”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรที่หัวใจสลายอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึงเมื่อเห็นภาพนั้น น้ำตาไหลเป็นทางออกจากดวงตาแดงช้ำของมัน


นั่นคือกุญแจที่จะทำให้มันกลับคืนสู่ความแข็งแกร่งสูงสุด แต่กลับถูกน้ำเต้าลูกหนึ่งกลืนกินไปเสียแล้ว


บ้าบอ! น้ำเต้าไม่มีปากสักหน่อย จะกลืนกินอะไรแบบนั้นได้อย่างไร?


“เอิ๊กกก!”


หลังจากกลืนหยดเลือดมังกรลงไป น้ำเต้าตงฉู่ก็เรอเสียงดังสนั่น ขณะพุ่งกลับไปหาจางเซวียนพร้อมกับส่ายก้นอย่างพออกพอใจ


ในที่สุดอำมาตย์เฉินหลิงก็ได้สติ ความบ้าคลั่งของเขาครอบงำความมีเหตุมีผลจนหมดสิ้น เขาพุ่งเข้าใส่จางเซวียนอย่างโกรธเกรี้ยวขณะปล่อยพลังจากฝ่ามือที่แผ่ออกไปโดยรอบ


“เอาเลือดมังกรของผมคืนมา!”


เห็นภาพนั้น จางเซวียนแทบลมจับ


ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ การต้องสู้กับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็เท่ากับฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง เขาไม่มีความคิดสักนิดที่จะพุ่งเข้าไปฉกฉวยเลือดมังกร


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเฝ้าดูการสู้รบอย่างเงียบๆ โดยถ้าสถานการณ์พลิกผัน ก็จะได้หันหลังกลับและหลบหนีได้ทันเวลา แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าน้ำเต้านั่นจะขโมยเลือดมังกรและกลับมาหาเขา นำพาความโกรธเกรี้ยวของอำมาตย์เฉินหลิงมาใส่เขาด้วย!


แก ไอ้สารเลว! ฉันไปทำอะไรให้ แกถึงทำแบบนี้?


ฉันยอมให้แกอยู่ในจุดตันเถียนและบ่มเพาะแกก็ด้วยความปรารถนาดี แถมยังมอบหินอุกกาบาตให้แกด้วย แล้วแกตอบแทนฉันแบบนี้หรือ?


ถ้อยคำหยาบคายมากมายผุดเข้ามาในหัวของจางเซวียน แต่ร่างของเขาก็ไม่หยุดนิ่ง เขารีบแยกตัวออกห่างจากน้ำเต้าตงฉู่เพื่อหลีกเลี่ยงความโกรธเกรี้ยวของอำมาตย์เฉินหลิง แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน น้ำเต้าตรงฉู่ก็ผลุบกลับเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเขาและหาที่พักได้อย่างสบายใจ


“คุณ…” จางเซวียนหัวแทบระเบิดด้วยความคลุ้มคลั่ง


แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะทะเลาะกับน้ำเต้าตงฉู่ จางเซวียนรีบเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจางเพื่อถ่วงเวลาให้ช้าลง ในขณะเดียวกัน ก็สำแดงศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้าและพุ่งเข้าใส่ด้วยความว่องไวอย่างน่าทึ่ง เข้าไปอยู่ข้างไอ้โหดได้ภายในเวลาเพียงอึดใจ


ไม้ตายอย่างเดียวที่เขาไว้วางใจจะใช้รับมือกับอำมาตย์เฉินหลิงได้ก็คือหมอนี่


“ตายซะ!” เห็นน้ำเต้าที่ขโมยเลือดมังกรหายวับเข้าไปในร่างของจางเซวียน อำมาตย์เฉินหลิงรู้ทันทีว่าน้ำเต้าเป็นทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่งของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยโทสะ จากนั้นก็กดมือทั้งสองข้างลงอย่างแรง


พริบตาต่อมา บรรยากาศโดยรอบก็เหมือนจะถูกสูบจนเหือดแห้งไปหมด จางเซวียนรู้สึกว่าร่างแข็งทื่อของเขากำลังลอยละลิ่วเข้าหาอำมาตย์เฉินหลิง ราวกับกำลังเสนอตัวเป็นบรรณาการให้อีกฝ่าย


“นายท่าน!”


เห็นภาพนั้น ไอ้โหดไม่อาจเสียเวลาพัวพันกับ 2 นักปราชญ์โบราณอีก แขนอีกข้างหนึ่งของมันโผล่ออกมาจากหนังสือเทียบฟ้า ตรงเข้ายึดไหล่ของจางเซวียนไว้เพื่อยับยั้งไม่ให้เขาลอยเข้าหาอำมาตย์เฉินหลิง


ในเวลาเดียวกัน แขนอีกข้างก็เปิดหนังสือเทียบฟ้า ลากเอาโครงกระดูกที่ยังไม่สมบูรณ์แบบออกมาจากข้างใน


แม้ไอ้โหดจะถูกผูกมัดไว้ด้วยการทำสัญญาจิตวิญญาณกับจางเซวียน แต่ถ้าจางเซวียนตาย มันก็ต้องตายเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องช่วยชีวิตเขาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม


ฟิ้ววววว!


ทันทีที่โครงกระดูกปรากฏ พลังจิตวิญญาณก็พุ่งออกมา เกิดเป็นพายุเฮอริเคนขึ้นในห้อง โครงกระดูกนั้นยกมือขึ้นและผลักแรงกดดันหนักหน่วงเข้าใส่อำมาตย์เฉินหลิง


การออกมาจากหนังสือเทียบฟ้าทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของไอ้โหดเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ทันทีที่มันปะทะกับการโจมตีของอำมาตย์เฉินหลิง อีกฝ่ายก็ถูกสอยกระเด็นไปไกล บางที ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงยังไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาอาจไม่หวาดกลัวพละกำลังของไอ้โหดมากนัก แต่เมื่ออยู่ในสภาพนี้…ก็ไม่มีทางรับมือไหว


เห็นไอ้โหดยับยั้งอำมาตย์เฉินหลิงได้ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันไปเพ่งสมาธิใส่จุดตันเถียนและตวาด “แกตกลงกับฉันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่เข้าไปอยู่ในจุดตันเถียน?”


ก่อนหน้านี้ เขามอบหินอุกกาบาตให้น้ำเต้าตงฉู่เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงื่อนไขที่อีกฝ่ายจะไม่เข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเขาอีก ซึ่งมันก็รับปาก ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะมาผิดสัญญาในช่วงเวลาคับขันแบบนี้?


ยิ่งไปกว่านั้น มันยังยั่วโทสะอำมาตย์เฉินหลิงและทำให้อีกฝ่ายหันมาเล่นงานเขาด้วย!


นี่มันบ้าบออะไร?


ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจางอย่างรวดเร็วและหลบไปอยู่กับไอ้โหด คงต้องเสียชีวิตแน่


“เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยน่ะ ผมก็แค่มาพักผ่อนสักระยะ” น้ำเต้าตงฉู่ส่ายก้นอย่างสบายใจ ทำท่าไม่รู้สึกรู้สากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


จางเซวียนกัดฟันกรอดและกำลังจะเอ่ยคำผรุสวาทน้ำเต้าตงฉู่ ก็พอดีกับที่รู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาด้านหลัง รู้ดีว่าอันตรายถึงตัวแล้ว เขาจึงรีบเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจางอีกครั้งและพุ่งออกไป


บึ้มมม! บึ้มมมมม!


ทันทีที่เขาก็ออกจากจุดที่เคยยืนอยู่ มิติตรงนั้นก็พังทลายทันที เกิดเป็นความว่างเปล่าขนาดใหญ่ คลื่นความสั่นสะเทือนจากการพังทลายอย่างปุบปับของมิติกระแทกเข้าใส่แผ่นหลังของจางเซวียน ทำให้ต้องกระอักเลือดออกมา


จางเซวียนรีบหันกลับไป และเห็นนักปราชญ์โบราณทั้งสองคนที่รับมือกับไอ้โหดก่อนหน้านี้ยืนอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พวกนั้นอาจยังพอรับมือกับไอ้โหดไหว แต่ถ้าไม่อาจจัดการได้แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ก็คงไร้ค่าเต็มทีในสายตาของอำมาตย์เฉินหลิง


“การควบคุมกฎเกณฑ์ของเวลา? เขาคือเจ้ามนุษย์ชั่วร้ายคนนั้นจริงๆ ฉีกมันให้เป็นชิ้นๆ!”


เมื่อเห็นการโจมตีไม่เป็นผล นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งขมวดคิ้วก่อนจะเงื้อมือขึ้นอีกครั้ง ส่วนนักปราชญ์โบราณอีกคนก็ปล่อยพลังจากหมัดเพื่อร่วมมือกับสหายของเขา


ยังไม่ทันที่พลังจากหมัดและฝ่ามือจะพุ่งเข้าใส่ มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยวโดยตรงเข้าหาจางเซวียน ราวกับเขากำลังยืนอยู่ใจกลางพายุใหญ่ ไม่อาจหนีไปไหนได้ ต่อให้อยากหนีก็ตาม


รู้ดีว่าไอ้โหดกำลังวุ่นวายกับการรับมืออำมาตย์เฉินหลิง จางเซวียนสะบัดข้อมือและพูดเสียงลอดไรฟัน “คุณคิดว่าผมไม่รอดแน่ใช่ไหม?”


ฟึ่บ!


ศพนักปราชญ์โบราณ 2 ศพปรากฏต่อหน้าเขา ขวางพละกำลังจากฝ่ามือและหมัดนั้นไว้


เมื่อครั้งที่อยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ ตอนที่อำมาตย์เฉินหย่งสู้รบกับนักปราชญ์โบราณจำนวนมากพร้อมกันในคราวเดียว จางเซวียนได้นำศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณจำนวนหนึ่งติดตัวมาด้วย เขายังไม่อาจหลอมพวกมันเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้เพราะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พวกมันก็ยังคงใช้เป็นโล่ได้ชั่วคราว


พลั่ก! พลั่ก!


การโจมตีทั้ง 2 รอบนั้นเข้าปะทะศพนักปราชญ์โบราณแทน ส่งผลให้นักปราชญ์โบราณทั้งสองกระเด็นไป


ถึงจางเซวียนจะเอาตัวรอดได้ในคราวนี้ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่วิธีแก้ไขระยะยาว ไม่ช้าไม่นาน โล่จะต้องหมดประสิทธิภาพ และถึงตอนนั้นเขาคงย่ำแย่ ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงเตรียมจะนำหน้าหนังสือสีทองหน้าสุดท้ายออกมาเพื่อสังหารนักปราชญ์โบราณให้ได้อย่างน้อย 1 ตัว ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงลมหอบใหญ่พัดวู่หวิวอยู่ด้านหลัง จากนั้นรังสีเย็นเยือกก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ราวกับบ่วงที่รัดแน่นและฉุดตัวเขาออกจากหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง


“ท่านประธาน เร็วเข้า รีบไปเถอะ!”


เขาคือนักปราชญ์โบราณโม่หลิง


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกได้ถึงบางอย่างผิดปกติ จึงถอดจิตออกจากกายเนื้อแล้วรีบมาสมทบ


“แกคิดจะไปไหน?”


นักปราชญ์โบราณทั้งสองที่อยู่ในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงจะปล่อยให้จางเซวียนหลุดรอดไปง่ายๆได้อย่างไร? พวกเขาไล่ตามไปทันที


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบโต้ด้วยพละกำลังจากฝ่ามือ


การปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหอนอน ฉีกกระชากและทำลายตึกรามบ้านช่องหลายหลัง ฝุ่นตลบไปทั่ว บดบังทัศนวิสัยของพวกเขา


หลังจากผลักดันสองนักปราชญ์โบราณไปได้แล้ว นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ใช้จังหวะนี้คว้าตัวจางเซวียนไว้และหนีออกจากหอนอน


เพราะเป็นนักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด เขาจึงแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณสองคนนั้นมาก ตราบใดที่อำมาตย์เฉินหลิงยังไม่เคลื่อนไหว ก็ไม่มีทางที่ทั้งคู่จะยับยั้งเขาไว้ได้


หลังจากพาจางเซวียนออกมาพ้นหอนอน นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบสั่งการ “ท่านประธาน ผมเปิดใช้งานค่ายกลด้านนอกเอาไว้แล้ว ตอนนี้คุณจะยังคงปลอดภัย แต่รีบหนีไปจะดีกว่า ผมจะสกัดกั้นเจ้าสองตัวนั้นไว้ให้…”


“หอกสวรรค์กระดูกมังกรกับไอ้โหดยังอยู่ข้างใน” จางเซวียนตอบอย่างร้อนใจ ถ้าผมหนีไปตอนนี้ พวกมันจะไปไหนไม่ได้”


หอกสวรรค์กระดูกมังกรได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ไอ้โหดก็ถูกอำมาตย์เฉินหลิงกับค่ายกลกักตัวไว้ ในเมื่อพวกมันอยู่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิง สถานการณ์จะเลวร้ายลงทันทีหากมีกำลังเสริม ถ้าเขาหนีไป ทั้งไอ้โหดและหอกสวรรค์กระดูกมังกรต้องแย่แน่!


อีกอย่าง ทั้งคู่ก็เป็นไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เขาไม่อาจเสียพวกมันไปได้!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)