อัจฉริยะสมองเพชร 1806-1807

 ตอนที่ 1806 ถูกจับได้

ไม่ช้า ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับอู๋เทาก็ถูกส่งถึงมือนักปราชญ์โบราณโม่หลิง


ตลอดทั้ง 10 หน้ากระดาษนั้นคือประวัติการตรวจสอบสมบัติโดยย่อของอู๋เทา


ครู่ต่อมา นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็เลื่อนกระดาษกองนั้นไปด้านข้างพร้อมกับหรี่ตา


เท่าที่เขาได้อ่าน แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าอู๋เทาเป็นนักตรวจสอบสมบัติที่มีความสามารถคนหนึ่ง แต่ความเชี่ยวชาญของเขาก็ไม่ได้สูงส่งถึงขั้นจะทำการทดสอบและได้ผลลัพธ์อย่างที่ผ่านมา การประเมินถูกต้องครั้งเดียวอาจอธิบายได้ว่าเป็นโชค แต่สำหรับความถูกต้องที่เกิดขึ้นกับของล้ำค่ามากมายหลายชิ้น คงโง่เง่าเต็มทีหากจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่ความบังเอิญ


“ผมพาเขาไปสอบสวนดีไหม?” ชายวัยกลางคนรีบอ่านรายละเอียดในกระดาษกองนั้น หน้าผากของเขาปรากฏรอยย่น


“ไม่ต้องหรอก ผมจัดการเอง” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบอย่างวางมาด


เขาคือผู้ที่ได้รับมรดกตกทอดที่สมบูรณ์ที่สุดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ถ้าจะบอกว่าตัวเขามีความเก่งกาจเป็นที่สองในหมู่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณล่ะก็ จะต้องไม่มีใครที่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง


แต่ในวันนั้น เขาพบว่าความมั่นใจในตัวเองเริ่มสั่นคลอน


ผู้บุกรุกเป็นแค่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่เขาก็เกือบจะมองข้ามอีกฝ่ายไปตอนที่หมอนี่อยู่ใต้จมูกของเขาแล้ว อีกอย่าง แม้จะได้เผชิญหน้ากัน อีกฝ่ายก็ยังหนีรอดไปจากเขาได้ นี่เป็นวีรกรรมที่ตัวเขาไม่อาจทำได้เมื่อครั้งที่ยังมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน


ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่หมายความว่าหมอนั่นคือผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีทักษะเก่งกาจยิ่งกว่าเขาอีกหรือ?


เรื่องนี้ทำให้นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสงสัยมาก


เขารีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถงที่การตรวจสอบสมบัติกำลังดำเนินอยู่ เมื่อกวาดสายตาในหมู่ฝูงชน ก็พบตัวนักตรวจสอบสมบัติอู๋เทาอย่างรวดเร็ว จากรูปลักษณ์หน้าตาของเขา นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทาดูไม่มีอะไรผิดแปลก ในตอนนั้น เขากำลังถือสมุนไพรชนิดหนึ่งไว้ในมือขณะพลิกหนังสือเพื่อค้นคว้าข้อมูลด้วยมืออีกข้าง


ในแง่ของการเคลื่อนไหว ดูอย่างไรเขาก็เหมือนนักตรวจสอบสมบัติ ไม่มีอะไรที่น่าจะผิดพลาดไปได้


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงซ่อนสีหน้าไว้อย่างแนบเนียนก่อนจะเดินเข้าไปยิ้มให้ “นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา กรุณารอสักครู่ ผมบังเอิญมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ไม่แน่ใจในมูลค่าของมัน ไม่ทราบว่าจะรบกวนคุณให้ช่วยดูให้ผมหน่อยได้ไหม?”


อันที่จริง จางเซวียนเห็นนักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งแต่แรกที่เขาเข้ามาที่ห้องโถง และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายจับจ้องเขาอยู่ แต่เมื่ออีกฝ่ายมาถึงตัว เขาก็อดอ้าปากค้างเล็กน้อยไม่ได้


การปลอมตัวของเขาไม่น่าจะมีข้อบกพร่องใดๆ ทำไมนักปราชญ์โบราณโม่หลิงจึงยังสนใจเขานัก?


หรือเขาได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นการเปิดโปงตัวเองโดยไม่จงใจ?


แม้จางเซวียนจะสงสัย แต่ก็ไม่แสดงออกนอกหน้า เขาปั้นหน้าให้ดูปั่นป่วนเล็กน้อยตามแบบของใครสักคนที่มีผู้ทรงเกียรติเดินเข้ามาหาอย่างปุบปับ จากนั้นก็รีบพยักหน้าและตอบรับ “ดะ-ได้! เป็นความยินดีของผมที่ได้รับใช้คุณ!”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสะบัดข้อมือและนำบางอย่างที่ดูเหมือนไม้บรรทัดสีทองออกมา


มองเพียงแวบแรก จางเซวียนก็รู้แล้วว่ามันเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลัง แต่หากอานุภาพของไม้บรรทัดยังไม่ปรากฏ เขาก็ไม่อาจประเมินระดับขั้นของมันได้


จางเซวียนหยิบไม้บรรทัดขึ้นมา แล้วทันใดนั้น หนังสือเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


“ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ สามารถพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ ของนักรบและทำให้ผู้นั้นหมดหนทางหลบหนี…”


มันเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณหรือ? แต่…ทำไมถึงเบานัก? จางเซวียนชะงัก


ก็เหมือนกับนักปราชญ์โบราณ ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณควบคุมกฎเกณฑ์ของโลกไว้ สำหรับของล้ำค่าที่ผ่านการบ่มเพาะจากสวรรค์นั้น ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กแค่ไหน แต่น้ำหนักของมันก็จะหนักอึ้งอย่างน่าสะพรึง แม้ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในตอนนี้ เขาก็ยังต้องลำบากเอาการหากจะต้องยกของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณขึ้นสักชิ้น


ชัดเจนว่าไม้บรรทัดของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเข้าถึงระดับนั้นแล้ว แต่ก็น่าแปลกที่จางเซวียนยังรู้สึกว่ามันเบาเหมือนกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยทั่วไปที่อยู่ที่นั่น เขาอดงุนงงไม่ได้กับความแปลกประหลาดนี้


เมื่อพิจารณาดูใกล้ๆ จางเซวียนหัวใจกระตุก ไม่ใช่แล้ว หมอนั่นแอบใช้พลังจิตวิญญาณของเขา พยุงน้ำหนักของมัน…


ไม่ใช่ว่าไม้บรรทัดปะทะวิญญาณไม่หนัก แต่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแอบใช้พลังจิตวิญญาณของเขาพยุงมันไว้ ทำให้ดูเหมือนกับว่ามันแทบจะไร้น้ำหนัก


มาเชื้อเชิญเขาให้ตรวจสอบของล้ำค่า แต่ปิดบังคุณสมบัติที่แท้จริงของมันเอาไว้…หรือว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงมีแผนอะไรบางอย่าง?


สมกับที่เป็นนักปราชญ์โบราณ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆเลย!


หัวสมองของจางเซวียนวิ่งพล่านเพื่อหาหนทางหลบหนีที่พอทำได้ แต่ไม่ช้าก็รู้สึกได้ว่าเพราะเขายืนอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมาก หากไม่ใช้กระบี่เปลวเพลิงสีดำและไอ้โหด ก็ไม่มีทางหนีเอาตัวรอดได้เลยหากอีกฝ่ายเปิดการโจมตี


เห็นจางเซวียนพิจารณาไม้บรรทัดปะทะวิญญาณอย่างตั้งใจ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถามยิ้มๆ “เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ผมเกรงว่าผมคงไม่สามารถประเมินไม้บรรทัดอันนี้ได้ ในแง่ของวัสดุและพลังงาน ไม้บรรทัดอันนี้เหนือชั้นกว่าวิถีทางของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยทั่วไป แต่น้ำหนักของมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ…”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขัดขึ้นหลังจากจางเซวียนอธิบายไปได้ครึ่งทาง “หมายความว่าคุณเคยเห็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณของจริงมาแล้วใช่ไหม, นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา?”


จางเซวียนใจเต้นตึกตัก


แต่ถึงจะปั่นป่วนแค่ไหน เขาก็ตอบออกไป “ผมไม่เคยเห็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณของจริงมาก่อน แต่เคยอ่านเรื่องของมันจากหนังสือ ว่ากันว่าของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณนั้นมีน้ำหนักมากอย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่ของล้ำค่าขนาดเพียงเท่านี้อาจมีน้ำหนักได้พอๆกับภูเขาสูงตระหง่านเลยทีเดียว…”


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะพูดจบ เสียงคำรามเยือกเย็นก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมิติรอบตัวเขาก็บิดเบี้ยว จางเซวียนถูกฉุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง


“เลิกปลอมตัวได้แล้ว คุณไม่ใช่นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา!”


“ผู้อาวุโส…” ด้วยความตื่นตระหนก จางเซวียนถอยกรูดไป 2 ก้าว ดูพรั่นพรึงอย่างหนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“มรดกตกทอดของเหล่านักตรวจสอบสมบัติในเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาไม่อาจประเมินได้แม้แต่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่คุณประเมินของล้ำค่าทุกชิ้นได้อย่างถูกต้อง และระบุระดับขั้นที่แท้จริงของไม้บรรทัดปะทะวิญญาณได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว…ถ้าอู๋เทามีความสามารถขนาดนี้ ชื่อของเขาคงลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเอาสองมือไพล่หลังขณะชี้ข้อบกพร่องในการปลอมตัวของจางเซวียนอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม


ถ้าก่อนหน้านี้เขามีความสงสัยอยู่บ้าง ตอนนี้ก็แน่ใจชัดเจนแล้วว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่หนีรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้


ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา แต่เป็นเพราะเขาเยือกเย็นและสุขุมเกินไป


แม้สายตาและภาษากายของอีกฝ่ายจะบ่งบอกถึงความสงสัยและหวาดกลัว แต่สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นไม่บ่งบอกถึงความปั่นป่วนของสภาวะจิตและจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจะกำลังแสร้งทำ ว่าแต่…หมอนี่จะหวาดกลัวโดยที่ควบคุมสมองและจิตวิญญาณให้สงบขนาดนั้นได้อย่างไร?


หากเขาดูไม่ออกขนาดนี้ ก็คงเป็นนักปราชญ์โบราณไม่ได้!


นักปราชญ์โบราณคือสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในโลก ไม่มีนักรบคนไหนที่ไม่ยำเกรงพวกเขา แต่อีกฝ่ายยังมีอารมณ์จะตรวจสอบและตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับน้ำหนักของไม้บรรทัด…จะไม่รู้สึกได้อย่างไรว่านั่นคือปัญหา?


“ผู้อาวุโส ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไร…” จางเซวียนร้องออกมาด้วยความปั่นป่วน


ในเวลาเดียวกัน เขาก็รีบเรียกไอ้โหดที่อยู่ในหนังสือเทียบฟ้าให้เตรียมตัวให้พร้อม


แม้เขาจะยังไม่พบเลือดมังกร แต่ก็ดูเหมือนว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว ในเวลานี้ เขาต้องพยายามหลบหนีให้ได้ก่อน


“เราอย่าเสียเวลากันอีกเลย!”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่ใส่ใจ ‘ความปั่นป่วน’ ของจางเซวียน เขาประสานมือเข้าด้วยกัน แล้ว ทั่วทั้งพื้นที่ก็เรืองแสงขึ้นทันที พลังจิตวิญญาณถาโถมลงมาจากด้านบน ดูเหมือนพยายามจะกักขังจางเซวียนไว้


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคงมีบทเรียนจากครั้งก่อน จึงทุ่มสุดตัว ตั้งใจจะเล่นงานจางเซวียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


“จัดการมัน!”


รู้ดีว่าปลอมตัวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนสะบัดข้อมือและชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา เขารวบรวมพลังปราณ จากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่อย่างดุเดือดเข้าใส่พลังจิตวิญญาณที่ถาโถมลงมา


ฟึ่บ!


พลังจิตวิญญาณและมิติที่อยู่โดยรอบถูกกระแสกระบี่ฉีกกระชากทันที เกิดรอยร้าวยาวไปจนถึงร่างของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง


“แกเป็นสายลับ!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคำรามขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมกับไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ


เคร้งงงง! เคร้งงงง!


ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณฟาดฟันกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำหลายครั้ง ก่อนที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำจะกระตุกและหลุดจากมือของจางเซวียน


แม้จะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่กระบี่เปลวเพลิงสีดำก็อ่อนแอกว่าไม้บรรทัดปะทะวิญญาณมาก


ฟึ่บ!


ขณะที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำถูกสอยกระเด็นไป นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็รีบใช้โอกาสนี้รุกเข้าโจมตี เขาใช้ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณเล่นงานจางเซวียนอีกครั้ง ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็รู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาถูกตรึงอยู่กับที่ โดยมีพละกำลังมหาศาลพยายามฉีกกระชากมัน


ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณเป็นของล้ำค่าที่สามารถเล่นงานได้แม้แต่จิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณ นับประสาอะไรกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอย่างจางเซวียน


“หยุดเขาไว้!”


รู้ดีว่าต้องตายแน่หากยังไม่ยอมนำไม้ตายออกมาใช้ จางเซวียนรีบนำหนังสือออกมาและเปิดออก แขนคู่หนึ่งพุ่งออกมาจากหนังสือ แล้วตวัดกรงเล็บเข้าใส่ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ


ด้วยพละกำลังของแขนคู่นั้น ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณที่กำลังเดือดพล่านก็ดูจะกลายเป็นลูกแกะเชื่องๆ แรงปะทะอย่างน่าทึ่งเมื่อครู่นี้ของมันดูจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย และก่อนที่มันจะทันได้หลบหนี ก็ถูกมือคู่นั้นจับไว้แน่น


ตอนที่ 1807 คารวะท่านประธานสมาคม

“อะไรกัน?”


เห็นแขนคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากหนังสือและคว้าไม้บรรทัดปะทะวิญญาณของเขาไว้ได้ในชั่วพริบตา นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขนลุกขนชันไปทั้งตัว


เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของอันตราย


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้ทันทีว่าแขนสองข้างที่อยู่ในหนังสือแข็งแกร่งกว่าตัวเขามาก ถึงขนาดที่ต่อให้เขาสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดก็ยังไม่อาจต่อกรกับมันได้


ฟึ่บ!


เขาถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้วโดยไม่ลังเล แล้วร่างขนาดมหึมาที่ประกอบขึ้นจากพลังจิตวิญญาณก็ปรากฏ รังสีโหดเหี้ยมแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ทำให้เกิดความเย็นเยือกที่พุ่งตรงเข้าใส่จิตวิญญาณของอีกฝ่าย


“ไปได้!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคำรามกร้าวขณะพุ่งเข้าคว้าไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ ตั้งใจจะดึงมันออกจากมือของอีกฝ่าย


“ฮ่า!”


แต่ไอ้โหดก็รู้แต่แรกแล้วว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะเคลื่อนไหวอย่างไร ด้วยการสะบัดข้อมือ ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณก็ตรงเข้าเล่นงานนักปราชญ์โบราณโม่หลิงแทน


พลั่ก!


เมื่อถูกกระแทกเข้าที่ศีรษะ จิตวิญญาณขนาดใหญ่ของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ซวนเซและร่วงลงจากกลางอากาศ มันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส


หลังจากซึมซับแขนสองข้างแล้ว ไอ้โหดก็มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด โลกจารึก ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่ามันยังไม่ได้เลือดเนื้อกลับคืนมา พละกำลังของมันคงเทียบชั้นกับอำมาตย์เฉินหย่งในสภาวะที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งสูงสุดได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่มากพอจะรับมือกับไอ้โหด


เมื่อเห็นว่าเล่นงานได้สำเร็จ ไอ้โหดรุกคืบ ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้โจมตีนักปราชญ์โบราณโม่หลิง


แต่จางเซวียนยืดแขนออกมาห้ามไอ้โหดไว้ “ช้าก่อน!”


แน่นอนว่าหากเขาจะสังหารนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเดี๋ยวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ามันจะทำให้นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆเข้ามาร่วมวง ก็อาจเกิดปัญหาใหญ่


ไอ้โหดไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจางเซวียน จึงรีบยับยั้งการโจมตี


จางเซวียนกระดิกนิ้วและสร้างรอยแยกแห่งมิติขึ้นมา ตั้งใจจะหลบหนีไปจากบริเวณนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้จากไป นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


“ผู้น้อยโม่หลิงคารวะท่านประธานสมาคม!”


“ท่านประธานสมาคม?”


จางเซวียนชะงักกับคำเรียกขาน เขาหยุดกึกแล้วหันกลับไปมองนักปราชญ์โบราณโม่หลิงอย่างงุนงง


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่คือจางเซวียนจากทวีปแห่งปรมาจารย์ ถูกไหม? นั่นหมายความว่าคุณคือท่านประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณของเรา!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบายขณะโค้งคำนับอย่างงามเพื่อแสดงการคารวะ


“คุณรู้จักผมด้วย?” จางเซวียนงง


จริงอยู่ว่าเขาทำให้ฉนวนแห่งจิตวิญญาณของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณยอมจำนนได้ ซึ่งนั่นส่งผลให้เขากลายเป็นประธานสมาคม แต่เขาก็มอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณให้ลู่ชงซึ่งเป็นศิษย์ไปแล้ว มันจึงไม่ได้อยู่ในมือของเขาอีกต่อไป


“เจียงฟังโหย่วบอกผมแล้วว่า ในหมู่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณของพวกเรามีประธานสมาคมคนใหม่ และเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เจียงฟังโหย่วบอกผมว่าคุณเลือกจบชีวิตของคุณในทวีปแห่งปรมาจารย์ ผมก็คิดว่าคุณน่าจะมุ่งหน้ามาที่ดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจ และเท่าที่เห็น ดูเหมือนผมจะเดาถูก!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบายอย่างนอบน้อม


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบกริบ เขาพลันนึกได้ถึงประวัติศาสตร์ของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ


จางเซวียนได้รู้จากเจียงฟังโหย่วว่าผู้นำคนก่อนของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณได้เลือกจบชีวิตเพื่อหว่านล้อมให้เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าใจว่าเขาทรยศมวลมนุษย์ ทำให้แทรกซึมเข้าไปในหมู่พวกมันได้สำเร็จ


นี่เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งเป็นไปได้ว่าแม้แต่สมาชิกรุ่นปัจจุบันของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในฐานะหนึ่งในนักปราชญ์โบราณของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แน่นอนว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงล่วงรู้ความลับ


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้โม่หลิงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันทีหลังจากที่ได้รู้ว่าจางเซวียนเลือกจบชีวิตลงที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่


จางเซวียนเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือเพื่อสร้างปราการที่แยกตัวออกจากสภาพแวดล้อม จากนั้นก็หันมาถามนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “คุณมาทำอะไรที่วังของอำมาตย์เฉินหลิง?”


“อำมาตย์เฉินหย่งทรงพลังมาก ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องพ่ายแพ้ให้เขาแน่ ดังนั้นผมจึงแสร้งทำเป็นภักดีกับอำมาตย์เฉินหลิง และแนะนำให้เขาก่อการปฏิปักษ์กับอำมาตย์เฉินหย่ง!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอธิบาย


“คุณคือผู้วางแผน?” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ


“ผมรู้แต่แรกแล้วว่าอำมาตย์เฉินหลิงเป็นคนทะเยอทะยาน ทั้งหมดที่ผมทำก็แค่หนุนเขาเล็กน้อยด้วยการช่วยให้เขาได้ร่วมมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบ


จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


ก่อนหน้านี้ เขายังคิดอยู่ว่ามันออกจะประหลาดสักหน่อยที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไปเยือนตระกูลเจียงเพื่อร่วมมือกับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะทำตัวเป็นสื่อกลางเพื่อส่งข้อมูลระหว่าง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ด้วยวิธีการสื่อสารแบบนี้ พวกเขาจึงสามารถร่วมมือกันเพื่อลอบโจมตีอำมาตย์เฉินหย่งได้


“ผมเข้าใจ…เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของคุณแล้ว แต่คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าอำมาตย์เฉินหลิงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งล่ะก็ ตอนนี้คุณอาจเสียชีวิตไปแล้วก็ได้!” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม


เขายังไม่เคยเข้าใกล้อำมาตย์เฉินหลิง แต่เท่าที่ได้ยินมา ก็ดูเหมือนว่าอำมาตย์เฉินหลิงจะเป็นผู้นำที่กระหายสงคราม


จริงอยู่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคือคู่ต่อสู้ที่น่าพรั่นพรึงและรับมือด้วยได้ยาก แต่เขาก็เป็นคนที่ใช้เหตุผล และเป็นผู้ยับยั้งกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไว้ไม่ให้โจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงยึดครองอำนาจได้จริงๆ สถานการณ์จะต้องแปรเปลี่ยนกลายเป็นการสู้รบอันน่าขมขื่นที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์จะต้องห้ำหั่นกัน จนกระทั่งทหารคนสุดท้ายของแต่ละฝ่ายถูกกำจัดไป!


ที่สำคัญกว่านั้นคือ ข้อเท็จจริงที่ว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงสามารถร่วมมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ ก็หมายความว่าเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นสายลับในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆ


เหตุผลที่อำมาตย์เฉินหลิงยังไม่ได้เล่นงานพวกเขาก็อาจเป็นเพราะอยากใช้ประโยชน์จากพละกำลังและสายสัมพันธ์ครั้งนี้เพื่อโค่นล้มอำมาตย์เฉินหย่งให้ได้ก่อน ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่อำมาตย์เฉินหย่งพ้นจากอำนาจ คนเหล่านี้ก็จะเป็นรายต่อไปที่ถูกสังหาร!


“ผมเข้าใจเรื่องนั้นทั้งหมด แต่ก็รู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งก็มีไม้ตายที่เขาจะนำมาใช้กับอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงหากถูกต้อนให้จนมุม” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเลิกคิ้ว


ไม่แปลกใจแล้วที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นที่หวาดกลัวในหมู่มวลมนุษย์ พวกเขาช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงจริงๆ


กล้าเล่นกับสามอำมาตย์ใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ จูงจมูกคนเหล่านั้นไปมาราวกับแต่ละคนเป็นตัวหมากรุก…เรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ


จางเซวียนสลัดความประหลาดใจออกไปและตั้งคำถาม “ตอนนี้อำมาตย์เฉินหลิงเป็นอย่างไรบ้าง? อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสไหม?”


“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและพวกเขายังไม่หายดี แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าสถานการณ์ที่แท้จริงตอนนี้เป็นอย่างไร ดูเหมือนพวกองครักษ์จะกีดกันผม ผมจึงไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ตั้งแต่เขากลับมาจากวิหารแห่งขงจื๊อ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบ


“ผมเข้าใจ…แล้วพวกนักตรวจสอบสมบัติล่ะ? ทำไมจู่ๆเขาถึงเรียกนักตรวจสอบสมบัติมารวมตัวกันมากมายที่วัง?” จางเซวียนถามต่อ


“ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าข้อสันนิษฐานของผมถูกต้องล่ะก็ เขาน่าจะกำลังยื่นข้อเสนอให้กับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“ยื่นข้อเสนอให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?”


“ใช่ เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา เขาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นพันปีกว่าจะหายดี แต่เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือยื่นข้อเสนอบางอย่างให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับพละกำลัง”


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอยู่ฝ่ายเดียวกับอำมาตย์เฉินหย่งไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนถามอย่างงุนงง


หลัวลั่วชิงคือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และดูเหมือนเธอจะมีความสัมพันธ์อันดีกับอำมาตย์เฉินหย่ง ถ้าอีกสองอำมาตย์ก็ยื่นข้อเสนอให้เธอ ก็มีโอกาสที่เธอจะสังหารทั้งคู่ในทันทีแทนที่จะมอบพละกำลังให้


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึก ในสายตาของเธอ พวกเราไม่ต่างอะไรกับมดที่แสนไร้ค่า วิธีเดียวที่เราจะอยู่ในสายตาของเธอได้ก็คือต้องมอบข้อเสนอให้ แล้วเธอจะตอบแทน ให้กับผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุด เป็นความจริงที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งเคยมีความสนิทชิดเชื้อกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมาก่อน แต่เมื่ออำมาตย์เฉินหย่งหายตัวไป เขาก็จัดว่าไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงแล้วต่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และเพราะเหตุนี้ ทำไมเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณถึงยังต้องใส่ใจเขาล่ะ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งข้อสังเกต


เทพเจ้าคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้หัวใจ ถ้าเทพเจ้ามีความรู้สึกจริงๆ จะนิ่งเฉยและเฝ้าดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโลกได้หรือ?


“อีกอย่าง อำมาตย์เฉินหลิงก็เตรียมข้อเสนอและประเมินค่ามันเอาไว้แล้ว เขาจะต้องมั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จก่อนจะเดินหน้า เขาไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเวลากับการทำอะไรโดยไร้ผลตอบแทน!”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนกำหมัดแน่น


เขาไม่อยากเชื่อว่าหลัวลั่วชิงจะเป็นคนแบบนั้น แต่ด้วยหลักฐานหลายอย่างที่กลับตาลปัตรอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกว่าความเชื่อมั่นในตัวเธอเริ่มคลอนแคลนเล็กน้อย


แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องหาหลัวลั่วชิงจนพบ แล้วถามเธอด้วยตัวเองให้ได้!


“มีเงื่อนไขจำนวนหนึ่งสำหรับเครื่องบรรณาการที่จะเสนอให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องประเมินมูลค่าของมันเสียก่อนเพื่อไม่ให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณขุ่นเคือง ตอนนี้เราจึงยังพอมีเวลา พูดก็พูดเถอะ ท่านประธาน…ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้คุณตระเวนอยู่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิงเพื่ออะไร?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ผมกำลังตามหาเลือดมังกร และรู้มาว่าที่วังของอำมาตย์เฉินหลิงมีเลือดมังกรอยู่จำนวนหนึ่ง คุณรู้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม


ก่อนหน้านี้เขาพยายามค้นหาแล้ว แต่ไม่เป็นผล แต่ถ้าได้ความช่วยเหลือของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง เรื่องนี้อาจสำเร็จก็ได้


“คุณกำลังตามหาเลือดมังกรหรือ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ผมเคยได้ยินเรื่องร่ำลือเกี่ยวกับมัน แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหน แต่ผมก็ได้เข้าไปในหลายพื้นที่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิงแล้ว และไม่พบวี่แววของมันเลย ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง มันก็น่าจะอยู่ที่หอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงนั่นแหละ!”


“หอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง…” จางเซวียนหรี่ตา


นั่นคือสถานที่ที่เขาเคยคาดเดาไว้ ดูเหมือนไม่น่าจะมีข้อผิดพลาด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)