กระบี่จงมา 180.2-181
บทที่ 180.2 เสมือนเทพเจ้า
โดย
ProjectZyphon
เด็กชายชุดเขียวเหมือนถูกฟ้าผ่าลงหัวกลางวันแสกๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระโดดโหยง วิ่งมาคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าบุรุษวัยกลางคน โขกหัวดังปั่ก “นายท่านอริยะผู้อยู่เบื้องบน ได้โปรดรับสามโขกเก้าคำนับจากข้าน้อยด้วย!”
งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงตัวนี้โขกหัวดังปั่กๆๆ อย่างไม่ลังเล เพียงแต่ความคิดชั่วร้ายที่มีอยู่เต็มหัวทำให้เขานินทาในใจไม่หยุด เจ้าเป็นถึงอริยะสำนักการทหารที่สูงส่งเหนือผู้คน จะดีจะชั่วก็ช่วยมีมาดของอริยะสักหน่อยได้หรือไม่? เจ้าควรจะกินตะวันกลืนจันทราอยู่บนยอดเขา หรือไม่ก็ปล่อยหมัดฟ้าคำรณอยู่ริมแม่น้ำใหญ่สิถึงจะถูก? แต่นี่กลับกลายเป็นว่าเดินดุ่มๆ เข้ามานั่งบื้ออยู่ข้างกายข้าไม่ต่างจากไม้ท่อนหนึ่ง เล่นอะไรของเจ้า?
เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ดแห่งศาลลมหิมะ อริยะสำนักการทหารผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู อาจารย์หลอมกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วบุรพแจกันสมบัติทวีป เจ้าไม่สลักคำว่าหร่วนฉงใหญ่ๆ ไว้บนหน้าผากก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมหน้าตาท่าทางถึงได้ธรรมดาขนาดนี้? หรือถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เวลาเดินเจ้าก็ควรมีมาดดุจมังกรและพยัคฆ์เยื้องย่าง? นั่งก็ควรองอาจน่าเกรงขามดุจขุนเขาตั้งตระหง่านบ้างกระมัง?
เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกว่าตัวเองมีตาแต่ไม่มีแววยังไม่กล้าลุกขึ้น ราวกับเป็นคนที่จิตใจห้าวเหิมยอมตายเพื่อคุณธรรม เพียงแต่ว่าใบหน้าเขาหดเหลือแค่สองนิ้ว น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม แอบเหลือบตามองนายท่านของตัวเอง หวังให้นายท่านช่วยพูดอะไรเพื่อแสดงความเป็นธรรมต่อตนสักหน่อย
ครั้งนี้เขาเกิดความคิดอยากกระโดดน้ำฆ่าตัวตายจริงๆ
แม้จะแปลกใจในท่าทางประหลาดของเด็กชายชุดเขียว แต่หร่วนซิ่วที่ไม่รู้ตนสายปลายเหตุก็ไม่คิดจะถามให้มากความ “ท่านพ่อ ข้าจะเข้าเมืองเล็กเป็นเพื่อนเฉินผิงอันสักหน่อย”
หร่วนฉงเงียบไปนาน สุดท้ายก็ยังพูดได้แค่ประโยคเดียว “รีบกลับมาตีเหล็กเร็วๆ ล่ะ”
หร่วนซิ่วถาม “ท่านพ่อ ยังไม่ถึงเวลาเปิดเตาหลอมกระบี่เลยนี่นา มีเรื่องอะไรหรือ?”
ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน “ข้าบอกยังไงก็ทำตามนั้น เจ้าไม่ต้องถามมาก”
หร่วนซิ่วร้องอ้อรับหนึ่งที
จนกระทั่งเงาร่างของหร่วนฉงหายไปจากการมองเห็น เด็กชายชุดเขียวถึงมีความกล้าพอจะลุกขึ้นยืน ร่างของเขาส่ายโงนเงน เช็ดน้ำตาที่อาบนองหน้าและเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดเต็มหน้าผาก ในใจหวาดผวาไม่คลาย พูดในใจตัวเองว่า “รอดตายจากหายนะใหญ่ย่อมมีโชคดีรออยู่”
คนทั้งกลุ่มเดินออกจากร้านตีเหล็กที่ซุกซ่อนความลี้ลับมหัศจรรย์ เดินผ่านสะพานหินโค้งที่ทอดตัวข้ามลำคลองมานานนับพันปี เฉินผิงอันพลันเอ่ยขอบคุณแม่นางชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย
หร่วนซิ่วหันหน้ามายิ้มให้ “เดี๋ยวนี้ขี้เกรงใจขนาดนี้แล้วหรือ”
เฉินผิงอันตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พอไปอยู่ข้างนอก ถึงได้รู้เรื่องบางเรื่อง ดังนั้นข้าไม่ได้เกรงใจเจ้าจริงๆ”
หร่วนซิ่วถามยิ้มๆ “งั้นก็กำลังชมข้าล่ะสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หร่วนซิ่วจ้องนิ่งไปบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม หลังถอนสายตากลับมาก็มองไปยังเมืองเล็ก เอ่ยคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก “ไม่ได้เปลี่ยนไป ดีจริงๆ”
เกรงว่าคงมีเพียงอริยะหร่วนฉงเท่านั้นที่ถึงจะรู้น้ำหนักและความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดประโยคนี้
บางทีอดีตอริยะอย่างฉีจิ้งชุนอาจรู้เรื่องราวทั้งหมด ผู้เฒ่าบางคนก็อาจจะพอมองสายสนกลในออก แต่ไม่มีใครคิดจะพูดอะไร
หร่วนซิ่วบุตรสาวของหร่วนฉงมีพรสวรรค์ล้ำเลิศมาตั้งแต่เด็ก คือบุคคลที่พันปีก็ยากจะพานพบอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่อัจฉริยะด้านการฝึกตนทั่วไปจะทัดเทียมได้ เป็นเหตุให้หร่วนฉงจำเป็นต้องแยกตัวจากศาลลมหิมะ ออกมาตั้งสำนักของตัวเอง การที่เขามาลำบากอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูก็เพื่อหวังอาศัยตราผนึกคาถาอาคมของฟ้าดินแห่งนี้มาอำพรางความโดดเด่นของหร่วนซิ่ว หรือควรจะพูดว่าพยายามยืดเวลาการเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพร ยอดเขาสูงชะลูดเด่นเหนือเทือกเขา’ ของบุตรสาวออกไปให้ได้นานที่สุด
เด็กสาวชุดเขียวที่มีเจียวไฟจำแลงร่างเป็นกำไลรัดพันอยู่รอบข้อมือไม่ได้แค่มีร่างของเทพแห่งเพลิงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะในสายตาของเด็กสาว โลกและเรื่องราวที่นางมองเห็นแตกต่างไปจากทุกคน
นางสามารถมองตรงไปเห็นจิตใจดำมืดหรือขาวสะอาดของมนุษย์ มองเห็นผลกรรมดีเลวชัดเจน มองออกถึงความตื้นลึกแห่งโชคชะตา
ในสายตาของเด็กสาว โลกใบนี้เต็มไปด้วยสีสันสดใส
นี่หมายความว่าเส้นทางแห่งการพิสูจน์ตนเพื่อบรรลุมรรคาของหร่วนซิ่วจะยิ่งเต็มไปด้วยอุปสรรค ก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก แน่นอนว่าหากนางทำได้ หร่วนซิ่วจะประสบความสำเร็จอย่างสูง ความกว้างใหญ่ของมหามรรคาเรียกได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้
ดังนั้นครั้งแรกที่หร่วนซิ่วซึ่งนั่งอยู่บนหินหลังควายมองเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่บนฝั่งแล้วไม่ได้ถอยหลบอีกฝ่าย ก็เพราะนางมองเห็นความ ‘สะอาด’ ของเฉินผิงอัน
ถ้ำสวรรค์หลีจูที่กว้างใหญ่ บนโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย มีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่ไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผง ประหนึ่งกระจกใหม่เอี่ยมบานหนึ่ง
ดังนั้นหร่วนซิ่วจึงชอบอยู่กับเขา ชอบแอบมองแรงกระเพื่อมเล็กๆ ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน สัมผัสกับอารมณ์สุขทุกข์เศร้าเหงาร่าเริงของเขาอยู่เงียบๆ
สำหรับแม่นางที่กินเก่งผู้นี้
เด็กหนุ่มก็เหมือน ‘ขนม’ จานหนึ่งที่นางชอบกินมากที่สุด เป็นขนมประเภทที่นางชอบมาก ชอบจนตัดใจกินไม่ลง
นางกังวลมากว่าเฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลในครั้งนี้ จิตใจจะเปลี่ยนแปลงไป ทะเลสาบในหัวใจจะเปลี่ยนมาเป็นขุ่นมัว เส้นทางแห่งหัวใจเจิ่งนองไปด้วยดินโคลน ปนเปื้อนผลกรรมที่วุ่นวายและนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลาย
ตอนนี้มาลองมองดู เฉินผิงอันเปลี่ยนไปบ้างจริงๆ แต่กลับยังดีมากเหมือนเดิม
หร่วนซิ่วโล่งอก ขณะเดียวกันก็ยิ่งชอบเฉินผิงอันมากขึ้น
เห็นไหมล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ทำให้คนผิดหวัง!
เดินกันไปจนถึงตรอกหนีผิง เข้าไปในตรอกที่มืดสลัวและเล็กแคบ ต่อให้เด็กชายชุดเขียวจะทำใจมาก่อนแล้วก็ยังมองตาค้างพูดไม่ออก นายท่านของตนเติบโตมาในตรอกเก่าโทรมแห่งนี้น่ะหรือ?
หร่วนซิ่วไขกุญแจผลักประตูหน้าบ้านเปิดอ้าอย่างคุ้นเคย หลังเข้ามาในลานบ้านก็เปิดประตูบ้านแล้วมอบกุญแจทั้งหมดสามพวงซึ่งรวมกุญแจของบ้านหลิวเสี้ยนหยางและซ่งจี๋ซินให้เฉินผิงอันพร้อมกันทีเดียว
เฉินผิงอันรับกุญแจมา ข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างใน เห็นว่าห้องที่ตนคุ้นเคยที่สุดสะอาดเอี่ยมเป็นระเบียบ ตรงหน้าต่างยังมีกระถางต้นไม้เล็กกะทัดรัดที่เขาไม่รู้จักชื่อวางอยู่ใบหนึ่ง แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ยังคงความเขียวขจี ทำให้คนมองอารมณ์ดีได้อย่างน่าประหลาด
เฉินผิงอันขยับปาเตรียมจะพูด หร่วนซิ่วกลับชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่ต้องพูดว่าขอบคุณแล้วนะ”
เฉินผิงอันประดักประเดิดเล็กน้อย ปลดตะกร้าสะพายหลังวางลงบนพื้น หยิบห่อสัมภาระหนักอึ้งออกมาวางบนโต๊ะ ตัวเองนั่งยองบนพื้น ควานมือคลำหาแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ แผ่นหนึ่ง พอลุกขึ้นยืนก็ส่งให้กับหร่วนซิ่วพร้อมกล่าวอย่างเขินอาย “ไม่รู้ว่าควรจะเอาอะไรให้เจ้าดี นอกเมืองมีของกินเยอะก็จริง แต่ข้ากลัวว่าจะถูกทับจนบี้แบนไปเสียก่อน อีกอย่างเก็บไว้นานก็ไม่ดี คิดไม่ออกแล้วจริงๆ ถึงได้ทำเจ้านี่ขึ้นมา อย่ารังเกียจล่ะ”
หร่วนซิ่วอึ้งงัน รับแผ่นไม้ไผ่สีเขียวมรกตขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นนั้นมา มือสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายจึงก้มหน้าลงเพ่งมอง พบว่าด้านบนแผ่นไม้ไผ่สลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้หนึ่งแถว ‘ภูเขาและแม่น้ำย่อมเวียนบรรจบได้พบกันอีกครั้ง’ ตัวอักษรสลักอย่างเป็นระเบียบ และจริงจัง
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี ใช้ท้องนิ้วลูบตัวอักษรเหล่านั้นเบาๆ ก้มหน้าก้มตาพูด “ข้าชอบมาก”
เด็กชายชุดเขียวทำหน้าทึ่ง แบบนี้ก็ได้ด้วย?
บุตรสาวโทนของอริยะ ชื่นชอบไม้ไผ่ผุๆ ชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรกากๆ หนึ่งแถวเนี่ยน่ะเหรอ?
เวลาหลายร้อยปีที่นายท่านใหญ่อย่างข้าอยู่ในยุทธภพมา ไม่เท่ากับว่าเสียเปล่าหรอกหรือ?
จำได้ว่าเมื่อก่อนสหายเทพวารีถูกใจสตรีหัวสูงบนภูเขาคนหนึ่ง จึงมอบทรัพย์สมบัติกองโตเป็นภูเขาให้แก่นาง แค่กับตนก็ยืมเอาสมบัติอาคมที่ไม่ธรรมดาไปหลายชิ้น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่เคยแม้แต่จะอ้าปากยิ้มให้ ของทุกชิ้นล้วนรับไว้ด้วยความเต็มใจ แต่กลับไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น
เฉินผิงอันเปิดห่อผ้าต่อหน้าหร่วนซิ่ว เผยให้เห็นก้อนหินกองใหญ่ นับคร่าวๆ จะอย่างไรก็ต้องมีเก้าก้อนสิบก้อน ด้านในยังมีถุงผ้าฝ้ายใบเล็กอีกใบหนึ่ง เปิดออกมาข้างในก็ยังคงเป็นก้อนหิน แต่สีสันกลับสดใสหลากหลาย บ้างเล็กบ้างใหญ่ มีแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
ดวงตาสองข้างของเด็กชายชุดเขียวเปล่งประกาย กลืนน้ำลายดังเอื้อก ใจอยากจะพุ่งเข้าไปสวาปามลงท้องให้หมด เพราะไม่แน่ว่าหลังเดินออกไปจากตรอกหนี ตนอาจได้กลายเป็นนายท่านใหญ่จริงๆ หินดีงูกองกันเท่าภูเขาลูกย่อมแบบนี้ อย่าว่าแต่ขอบเขตแปดเลย แม้แต่ขอบเขตเก้าก็ยังมีหวัง! แต่พอนึกได้ว่าข้างกายยังมีแม่นางที่บิดาคืออริยะยืนอยู่อีกคน เด็กชายชุดเขียวถึงข่มกลั้นความวู่วามที่จะฆ่าคนชิงทรัพย์ลงไปได้
เฉินผิงอันเลือกหินดีงูสองก้อนที่แม้จะออกจากน้ำมานานแล้วสีก็ยังไม่ซีดจาง ก้อนหนึ่งสีแดงดอกท้อ ใสโปร่งแวววาว อีกก้อนหนึ่งเป็นสีดำหนักอึ้ง มอบให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูและเด็กชายชุดเขียว จากนั้นค่อยหยิบหินดีงูธรรมดาออกมาอีกสี่ก้อน แบ่งให้กับเด็กน้อยสองคนที่ทำท่าเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่าคนละสองก้อน
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยังคงแบกหีบหนังสือใบนั้น คราวนี้พอมีหินดีงูอีกสามก้อนอยู่ในมือก็ร้องไห้โฮทันใด ต้องยกหลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองแรงๆ
เด็กชายชุดเขียวจ้องเขม็งไปยังหินดีงูในมือ สีหน้าเคลิบเคลิ้มหลงใหล
เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง หัวเราะแล้วหยิบหินดีงูชั้นเยี่ยมอีกคู่หนึ่งที่ลักษณะและสีสันแทบไม่ต่างกัน ทั้งก้อนเป็นสีเหลืองอ่อน เนื้อเนียนละเอียดเหมือนน้ำมันแพะที่ถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ส่งให้เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอีกคนละก้อน
นั่นถึงทำให้เด็กชายชุดเขียวคิดขึ้นได้ว่าตนควรจะได้รับสองก้อนจริงๆ พอรับมาแล้วก็หัวเราะคิกคักอย่างโง่งม
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ “นายท่าน ตกลงกันแล้วว่าข้าจะได้หินดีงูชั้นดีแค่ก้อนเดียวนี่นา”
เฉินผิงอับตบศีรษะเล็กของนางเบาๆ “ข้าคือใคร นายท่านผู้เฒ่าของเจ้านะ จะมอบของให้เจ้ายังต้องมีเหตุผลด้วยรึ? รีบเก็บไว้”
หลังรับมาอย่างระมัดระวัง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวดูขัดแย้งกันเอง ทั้งดีใจอย่างมาก แล้วก็มีทั้งขัดเคือง จึงถามหยั่งเชิง “นายท่าน ตบรางวัลให้ข้าเพิ่มอีกสักก้อนดีไหม?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “วันหน้าหากเจ้าเลิกรังแกนาง ข้าจะมอบให้เจ้า”
เด็กชายชุดเขียวพยักหน้ารับอย่างแรง “วันนี้ข้าจะไม่รังแกเด็กโง่แน่นอน พรุ่งนี้มอบให้ข้าเลยนะ? หรือจะวันมะรืน อย่างมากสุดวันมะเรื่องมอบให้ข้า ได้ไหม นายท่าน?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าว่าได้ไหมล่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวกัดฟัน หันไปพูดกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอย่างเป็นการเป็นงาน “เด็กโง่ อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะไม่รังแกเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันฉุนจนกลายเป็นขำ ตบป้าบเข้าที่ศีรษะเขา “อย่างน้อยต้องหนึ่งปี”
เด็กชายชุดเขียวแสร้งทำท่าน้อยใจ แต่อันที่จริงในใจแอบยินดี สำหรับเจียวหลงอย่างพวกเขา หนึ่งปีจะนับเป็นอะไรได้ หนึ่งร้อยปียังไม่ถือว่านานเลย
เฉินผิงอันไม่ได้โง่จริงๆ ก็แค่คร้านจะสนใจนิสัยเจ้าเล่ห์นิดๆ หน่อยๆ ของเด็กชายชุดเขียว จะอย่างไรซะตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันมา มีพวกเขาอยู่เป็นเพื่อน ตนจึงไม่รู้สึกเงียบเหงาแม้แต่น้อย และอันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวพวกเขาสองคนมาก เขาหมุนตัวกลับไปเก็บห่อสัมภาระน้อยใหญ่ให้เรียบร้อย หร่วนซิ่วเองก็เก็บของขวัญชิ้นนั้นไปแล้ว สองคนโตสองเด็กเล็กในห้องจึงมานั่งล้อมโต๊ะกันคนละฝั่ง
หร่วนซิ่วเสนอ “ไปดูร้านค้าไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอไปดูร้านแล้ว ข้าก็จะได้ไปที่จวนตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ด้วยเลย มีของจะมอบให้พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิง”
ซึ่งก็คือปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองตัวนั้น
ใส่กุญแจบ้านเรียบร้อยก็ออกไปจากลานบ้านด้วยกัน ปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ยังร่าเริงมีชีวิตชีวาตัวนั้นถูกใส่ไว้ในไหขนาดเล็กใบหนึ่ง ในไหบรรจุน้ำที่หร่วนซิ่วไปตักมาจากบ่อโซ่เหล็กจนเต็ม ปลาตะเพียนข้ามภูเขาจึงถือว่าเป็นปลาได้น้ำอย่างแท้จริงเสียที มันแหวกว่ายอยู่ข้างในอย่างเสรีด้วยอาการลิงโลดผิดปกติจนสะเก็ดน้ำแตกกระจายไม่หยุด เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกินหินดีงูธรรมดาไปก้อนหนึ่งก็คิดอยากจะทำตัวดีๆ จึงเป็นฝ่ายเสนอตัวถือไห แต่พอถูกฝอยน้ำกระเด็นมาโดนร่าง เขาก็พลันกล่าวอย่างตกตะลึง “น้ำในบ่อนี่…ไม่ธรรมดา”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “น่าเสียดายที่ตอนนี้บ่อโซ่เหล็กถูกคนนอกซื้อไปแล้ว พวกชาวบ้านไปตักน้ำที่นั่นไม่ได้อีก จะเข้าไปใกล้ก็ยังไม่ได้”
แน่นอนว่าหากเป็นนางที่ไปตักน้ำย่อมไม่มีปัญหา
หลังจากขวัญเสียไปแล้วตอนอยู่ร้านตีเหล็ก เด็กชายชุดเขียวจึงสงบปากสงบคำมากขึ้น ไม่กล้าผยองโอหังอีก พอได้ยินข่าวร้ายนี้ก็แทบจะตีอกชกหัวตัวเอง กระนั้นก็ได้แต่ตำหนิเฉินผิงอันงุบงิบว่าทำไมไม่ซื้อบ่อน้ำไว้แต่แรก
หร่วนซิ่วถามเบาๆ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปคุยกับคนของฝ่ายนั้นดีไหม? หากเจ้าต้องการ ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อบ่อโซ่เหล็กบ่อนั้นไว้ได้”
เฉินผิงอันรีบส่ายหน้า “ไม่ต้อง อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่มีเงิน”
หร่วนซิ่วจะพูดต่อ แต่เห็นสีหน้ายืนกรานของเฉินผิงอันแล้วก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจ
ขยับเข้าใกล้ตรอกฉีหลง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “มีแม่นางน้อยคนหนึ่งชื่อสือชุนเจีย ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกสาวเจ้าของร้านหนึ่งในนี้”
หร่วนซิ่วมึนงงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้หรอก”
อันที่จริงมีเรื่องมากมายที่เด็กสาวไม่ให้ความสนใจ
เมื่อคนงานของสองร้านได้ยินว่าเจ้านายที่แท้จริงกำลังจะเผยโฉม ทุกคนจึงมารวมตัวกันอย่างครึกครื้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวที่มีท่าทางซื่อสัตย์ แต่พอเห็นเฉินผิงอันพวกเขาก็อดจะผิดหวังไม่ได้ จากนั้นพากันกลับร้านไปทำงานต่อ แต่ตอนที่พวกเขาเรียกหร่วนซิ่วว่าเถ้าแก่กลับทำให้เด็กสาวเขินอายไม่น้อย
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในร้านยาสุ้ยครู่หนึ่ง ดื่มชาร้อนๆ อย่างวางตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือทำอะไร กลับเป็นหร่วนซิ่วที่เอ่ยถามคนในร้านอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รายรับเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ เฉินผิงอันมองเด็กสาวชุดเขียวที่มีสีหน้าจริงจังแล้วเกาหัว เริ่มรู้สึกว่าของขวัญของตนด้อยค่า ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย
ก่อนจะไปยังถนนฝูลวี่ หร่วนซิ่วมองเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแล้วเอ่ยกำชับเฉินผิงอันเบาๆ “ตอนนี้ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก คนต่างถิ่นย้ายเข้ามาอยู่กันหลายคน หนึ่งในนั้นคือตระกูลหลี่ที่ค่อนข้างจะพิเศษ บรรพบุรุษตระกูลพวกเขาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบได้สำเร็จ ตามประกาศการพระราชทานรางวัลของอดีตฮ่องเต้ต้าหลี ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงมอบรายชื่อผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจากราชวงศ์ให้สองรายชื่อ ลูกหลานสกุลหลี่สามารถรับตำแหน่งขุนนางน้ำดีได้สองคนโดยไม่ต้องสอบ คนหนึ่งเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคนที่อยู่ในตระกูลถึงได้ปฏิเสธ ดังนั้นบรรยากาศของถนนฝูลวี่ช่วงนี้จึงแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ให้เด็กทั้งสองรออยู่ที่ร้าน ตัวเองประคองไหไปที่ถนนฝูลวี่โดยไม่ต้องให้หร่วนซิ่วนำทาง หร่วนซิ่วเองก็ไม่ได้ยืนกรานอะไร เพียงกลับไปที่ร้านตีเหล็ก
เด็กสาวเดินออกจากเมืองเล็ก เดินไปทางสะพานหินโค้งที่เดินผ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน สะพานแบบคานถูกรื้อถอนไปนานแล้ว ตอนนี้กระบี่โบราณไม่อยู่แล้ว เคยมีพวกคนที่อยากรู้อยากเห็นพยายามตามหามัน หวังว่าตัวเองจะได้รับโชควาสนาสักครั้งซึ่งยังไงก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่ว่าต้องกลับมามือเปล่ากันเสียทุกครั้ง
สำหรับเขตการปกครองหลงเฉวียนที่วุ่นวายโกลาหลและมีคลื่นใต้น้ำรอก่อตัวแห่งนี้ มีเรื่องราวพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นมากมาย คนทั้งหลายจำเป็นต้องวางแผนสลับซับซ้อนเพื่อการใหญ่ในอนาคต ไหนเลยจะยังมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อีก
หร่วนซิ่วที่เดินอยู่บนสะพานหินโค้งอดหยิบไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาแล้วชูขึ้นสูงไม่ได้
ตัวอักษรเล็กๆ ห้าตัว มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
นางพลันรู้สึกว่าหากสามารถสลักตัวอักษรอีกแถวหนึ่งไว้ด้านหลังคงจะดียิ่งกว่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น ‘เฉินผิงอันมอบให้หร่วนซิ่ว?’
ในเมืองเล็ก
เฉินผิงอันเหยียบลงบนถนนที่ปูด้วยแผ่นหินเขียวอีกครั้ง อาคารบ้านเรือนสูงโอ่อ่าหลังแล้วหลังเล่าเรียงตัวกันทอดยาวดุจเทือกเขา เมื่อเทียบกับการส่งจดหมายหลายครั้งก่อนหน้านี้ ตอนนี้พอลองย้อนกลับไปมองอีกครั้ง เฉินผิงอันย่อมสามารถมองเห็นความนัยที่ซ่อนอยู่ได้มากกว่าเดิม
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าบ้านตระกูลหลี่ก็มองเห็นบุรุษสวมชุดสีเขียวยืนอยู่ตรงนั้น กำลังยิ้มมองมาที่ตน
ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นชายหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือผู้นี้ เฉินผิงอันถึงไพล่นึกถึงครั้งไปส่งจดหมายที่โรงเรียน แล้วตนหันหน้ากลับไปมอง ตอนนั้นสิ่งที่เขาเห็นก็คือภาพของฉีจิ้งชุนที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียน
บุคลิกลักษณะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
เสมือนเทพเจ้า
——————————
บทที่ 181 ไม่คุ้มค่า
โดย
ProjectZyphon
มักจะมีคนบางคนที่เพียงแค่มองครั้งเดียวก็รู้สึกดีด้วยอย่างไม่มีเหตุผล
หลังจากได้เห็นบัณฑิตผู้นั้น อารมณ์หนักอึ้งที่สะสมมาตลอดครึ่งทางระหว่างที่เดินอยู่บนถนนฝูลวี่ของเฉินผิงอันก็หายวับไปกับตา เขาถือประคองไหเดินขึ้นหน้าไปเร็วๆ
รอยยิ้มของบัณฑิตหนุ่มอบอุ่นอ่อนโยน เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม แต่ปรี่ออกมารับหน้าเฉินผิงอัน อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน “เจ้าคงเป็นเฉินผิงอันสินะ ข้าคือหลี่ซีเซิ่ง พี่ชายคนโตของเป่าผิง จดหมายฉบับใหม่ล่าสุดที่เป่าผิงส่งมาจากสำนักศึกษาซานหยา ข้าได้รับแล้ว ข้าที่เป็นพี่ชาย ไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนเจ้าอย่างไรจริงๆ ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังหัดเรียนหนังสือ วันหน้าไม่สู้มาที่บ้านของข้าบ่อยๆ ข้าพอจะมีตำราเก็บไว้บ้าง เจ้าก็มาเลือกไปอ่านได้ตามสบาย”
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากรับไหจากมือเฉินผิงอันไปแล้ว เด็กหนุ่มยังโค้งตัวคำนับอีกหนึ่งครั้ง “บุญคุณยิ่งใหญ่คงได้แต่จดจำให้ขึ้นใจแล้ว”
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่ามือไม้เกะกะไม่รู้จะวางตรงไหน ได้แต่ชี้ไปที่ไหอันนั้นแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสำรวม “คุณชายหลี่ ในไหใส่ปลาตะเพียนข้ามภูเขาเอาไว้ตัวหนึ่ง ข้าเจอบนภูเขาระหว่างทางที่กลับมา จึงจับมาให้เป่าผิง”
หลี่ซีเซิ่งก้มหน้าลงมองปลาสีทองที่แหวกว่ายอยู่ในไหคับแคบอย่างสบายอุรา แล้วเงยหน้ามองเฉินผิงอัน กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้าเคยอ่านคำบรรยายด้วยลายมือของอดีตปราชญ์ถึงความมหัศจรรย์ของปลาตะเพียนข้ามภูเขา และปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองก็ยิ่งมีแค่หนึ่งในหมื่น คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะยังมีโอกาสได้เห็นเองกับตา วางใจเถอะ ข้าจะต้องเลี้ยงดูมันอย่างระมัดระวังแน่นอน วันหน้าเมื่อเป่าผิงกลับมาบ้าน นางต้องดีใจมากแน่ๆ”
ความจริงใจและความกระตือรือร้นจากคุณชายตระกูลสูงศักดิ์อย่างหลี่ซีเซิ่งทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบอย่างไร แม้ว่าตอนนั้นจะลากชุยตงซานให้ไปช่วยกันจ้องมองปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่เดินทางอย่างยิ่งใหญ่กลุ่มนั้น สุดท้ายมองจนปวดตา กว่าจะจับปลาตัวนี้ไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ว่าในตำราจะบันทึกไว้ว่าอย่างไร หรือชุยตงซานจะบอกว่ามันอัศจรรย์แค่ไหน แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว เขากลับไม่เห็นว่ามันจะล้ำค่าไปยังไง
ขอแค่เป็นคนที่เฉินผิงอันเห็นว่าสนิทสนมใกล้ชิด เขาก็ยินดีจะควักหัวใจให้
เฉินผิงอันไม่ถนัดด้านการพูดคุยเลยจริงๆ จึงเกาหัวบอกลา เตรียมจะหมุนกายจากไป
หลี่ซีเซิ่งรีบเรียกเฉินผิงอันเอาไว้ “ทำไมไม่เข้าไปนั่งในบ้านสักหน่อยเล่า วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูก่อนหนึ่งรอบ วันหน้าเจ้าจะมาอ่านตำราก็มาได้เลย เดี๋ยวข้าจะบอกคนเฝ้าประตูไว้ให้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เอาไว้คราวหน้าเถอะ”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มอย่างจนใจ “ถ้างั้นอย่างน้อยก็ให้ข้าเอาปลาตะเพียนข้ามภูเขาไปเก็บ แล้วเอาไหมาคืนให้เจ้าดีไหม?”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่เกรงใจ พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรออยู่ตรงนี้”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “รอสักครู่ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
เขาหมุนตัว ประคองไหวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในบ้าน
ชายหนุ่มในเวลานี้ไม่มีท่าทางเหมือนปราชญ์เมธีที่คอยอธิบายเหตุผลตามตำราอีกต่อไป แต่เหมือนพี่ชายใหญ่ของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงจริงๆ
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ หลี่ซีเซิ่งก็วิ่งประคองไหกลับมา ใต้รักแร้สองข้างยังหนีบหนังสือมาด้วยหลายเล่ม เฉินผิงอันรับไหมาก็ค้อมตัวเอาวางบนพื้น เช็ดมือสองข้างแรงๆ ก่อนจะรับหนังสือเหล่านั้นมา แล้วเอามาหนีบไว้ใต้รักแร้เลียนแบบอีกฝ่าย สุดท้ายหยิบไหขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว “ข้าอ่านจบแล้วจะเอามาคืนทันที”
รอยยิ้มของหลี่ซีเซิ่งเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขาโบกมือกล่าว “ไม่ต้องรีบเอามาคืน ค่อยๆ อ่านไปนั่นแหละ พวกมันเป็นเด็กดีกว่าเป่าผิงเยอะ ไม่มีทางวิ่งไปไหนมาไหนได้เอง”
หลี่ซีเซิ่งหุบยิ้มแล้วเอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน อย่าคิดว่าที่ข้าเชิญเจ้ามาอ่านหนังสือที่บ้านเป็นแค่คำพูดตามมารยาท ข้าอยากให้เจ้ามาบ่อยๆ จริงๆ แม้ว่าเป่าผิงจะฉลาด แต่จะอย่างไรแล้วอายุก็ยังน้อย นิสัยยังเด็ก บอกให้นางตั้งใจอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ ข้าจึงรู้สึกว่าในบ้านมีเพียงข้าคนเดียวที่พลิกเปิดหน้าหนังสือ มาลองใคร่ครวญดูอย่างละเอียดแล้ว อันที่จริงมันก็น่าเบื่ออยู่ไม่น้อย”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยความในใจมากมายรวดเดียวจบ
หากมีคนของตระกูลหลี่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยต้องเข้าใจผิดคิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกแน่ๆ
เพราะเมื่ออยู่ภายใต้ประกายความโดดเด่นของน้องชายอย่างหลี่เป่าเจินแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่ที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังผู้นี้จะดูเป็นคนเคร่งขรึมน่าเบื่อหน่ายเกินไป แม้ว่าจะอ่อนโยนเป็นมิตรกับทุกคน แต่ก็เงียบขรึมพูดน้อย ไม่ใช่คนที่ชอบสรวลเสเฮฮา ในแต่ละวันหากไม่เก็บตัวอยู่ในกองหนังสือเพื่อค้นคว้าหาความรู้ ก็มักจะเดินเล่นอยู่ในจวนใหญ่เพียงลำพัง ไม่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกก็ไปดู พายุหิมะหรือแสงจันทร์ก็ต้องไปดู ไม่ว่าอะไรก็ดูหมด ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะดูให้เห็นอะไรขึ้นมา ยังดีที่หลี่ซีเซิ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลี่ ได้รับความชื่นชอบไม่น้อย ในจวนไม่มีใครรังเกียจว่าที่ประมุขของตระกูลในอนาคตผู้มีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหลี่เป่าเจินน้องชายของเขาแล้ว เขาจึงดูไม่ค่อยมีเสน่ห์ดึงดูดเท่าไหร่นัก
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะมา”
หลี่ซีเซิ่งอืมรับหนึ่งทีแล้วโบกมือลากับเด็กหนุ่ม
มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกลของเฉินผิงอัน หลี่ซีเซิ่งพึมพำกับตัวเอง “ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างแสนงดงาม”
แล้วเขาก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “ภูเขาเขียวก็เห็นข้าในแบบเดียวกัน?”
หลี่ซีเซิ่งหมุนกายเดินไปทางประตูใหญ่ ก้าวข้ามธรณีประตูด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า พึมพำเบาๆ “เป็นวันที่งดงามอีกวันหนึ่ง”
แต่พอนึกถึงข่าวที่ส่งมาจากเมืองหลวง หลี่ซีเซิ่งก็ถอนหายใจ ช่วยไม่ได้ ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก เดินไปเดินมา เดินผ่านระเบียงผ่านเรือนต่างๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มขึ้นมาได้อีก “แต่ก็ไม่กระทบต่อความงดงามของวันนี้”
กลางระเบียง สาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งเดินสวนมา นางชะลอฝีเท้า เบี่ยงกายยอบตัวคำนับ เอ่ยเสียงหวานเพราะพริ้ง “คุณชายใหญ่”
หลี่ซีเซิงชะลอฝีเท้าตามความเคยชิน พยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วเดินผ่านนางไปโดยไม่พูดอะไร
สาวใช้หน้าตาท่าทางไม่ธรรมดาหันหน้ามองตามไป อดที่จะตำหนิการประเมินตัวสูงของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจด้วยความเศร้าหมอง คุณชายใหญ่ไม่เลวเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ไม่ค่อยเข้าใจความงดงามของเรื่องรักๆ ใคร่ๆ
หากเปลี่ยนเป็นคุณชายรองต้องหยุดเดินแล้วหันมาคุยเล่นกับตน แถมจะยังชื่นชมความสวยงามของเครื่องประดับผมที่นางเพิ่งซื้อมาใหม่อีกหลายคำ
นางย่อมไม่รู้ว่า
หลานชายคนโตของตระกูลหลี่ผู้นี้ไม่เข้าใจความงดงามของอารมณ์แบบนี้จริงๆ แต่เขากลับเชี่ยวชาญในความงดงามของอารมณ์แบบอื่นอย่างลึกซึ้ง
ยกตัวอย่างเช่นความงามยามสายฝนซัดกระหน่ำลงบนใบบัวแห้งเหี่ยว ยามลมวสันต์โชยพัดผ่านกีบม้าเหล็ก ยามสาวงามส่องคันฉ่อง ยามแม่ทัพพกดาบหยก ยามหิมะขาวโพลนเต็มภูเขาเขียว
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความงดงามแห่งโลกมนุษย์ในสายตาของคนผู้นั้น
หลี่ซีเซิ่งกลับไปถึงเรือนของตัวเอง ในลานกว้างมีบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ก่อขึ้นจากหินไข่ห่านหลากสี
หลี่ซีเซิ่งนั่งยองอยู่ข้างบ่อ ก้มหน้ามองน้ำในบ่อที่ใสแจ๋ว ด้านในคือปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ส่ายหางแหวกว่ายไปมาอย่างอิสระมีความสุข
ยากจะจินตนาการได้ว่า บ่อน้ำที่มีเอกลักษณ์บ่อนี้จะเป็นคุณความชอบของหลี่เป่าผิงคนเดียว ทุกครั้งที่แม่นางน้อยแอบหนีออกจากบ้าน ส่วนใหญ่จะต้องไปเก็บก้อนหินที่ธารน้ำหลงซวีแล้วเอากลับบ้านทีละสองสามก้อน สะสมอยู่อย่างนี้มาเรื่อยๆ ภายหลังจู่ๆ หลี่เป่าผิงก็เกิดความคิดประหลาด มองเห็นก้อนหินที่กองกันเป็นภูเขาลูกย่อม นางก็บอกว่าจะสร้างบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่สามารถเลี้ยงกุ้งหอยปูปลาได้ให้พี่ชายใหญ่ หลี่ซีเซิ่งห้ามปรามไม่อยู่จึงได้แต่ช่วยนางวางแผน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ทำงานมีเพียงหลี่เป่าผิงคนเดียว หลี่ซีเซิ่งที่เป็นพี่ชายคิดจะช่วย ให้ตายยังไงนางก็ไม่ยอมเด็ดขาด
หลี่ซีเซิ่งมองเห็นเจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาจากใต้แผ่นหินสีเขียว จึงยิ้มตาหยีพูดกับมันว่า “พวกเจ้าสองตัวจงอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ห้ามทะเลาะกันเด็ดขาด”
หลี่ซีเซิ่งลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในห้องหนังสือขนาดเล็กที่แขวนป้ายคำว่า ‘เจี๋ยหลู’ (สร้างห้อง) เอาไว้ แล้วกางกระดาษฝนหมึก ยกพู่กันขึ้นมาวาดภาพ
เป็นภาพหิมะห่มทับบนต้นสนสีเขียวที่แผ่กลิ่นอายของความโบราณเข้มข้น
พอวางพู่กันลง หลี่ซีเซิ่งก็สลัดข้อมือ ก้มหน้าตรวจสอบภาพนี้อย่างละเอียด หมึกยังไม่แห้ง กลิ่นหอมของหมึกโชยเข้าจมูก
สุดท้ายเขาเป่าลมใส่ภาพนั้นเบาๆ หนึ่งที
ต้นสนเขียวในภาพวาดคล้ายเจอกับพายุลมกรด ส่ายสะบัดส่งเสียงดังซู่ๆ หิมะที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้านของมันพลันสลายหายวับไปในชั่วพริบตา
……
หร่วนซิ่วกลับมาที่ร้านตีเหล็กด้วยความร่าเริง ไม่เห็นร่างของบิดาที่น่าจะกำลังตีเหล็กจึงเดินหาไปทั่ว แล้วมาพบว่าเขากำลังนั่งดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคากระท่อม
หร่วนซิ่วถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อ ไม่ตีเหล็กหรือ?”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนส่ายหน้า
ตีเหล็กกะผีอะไรล่ะ วันนี้ไม่เหมาะให้เปิดเตาหลอมกระบี่ แต่หากจะให้ตีเฉินผิงอัน ชายฉกรรจ์กลับพร้อมเต็มร้อย
หร่วนซิ่วนั่งลงด้านข้าง “ท่านพ่อ วันนี้ลืมซื้อเหล้ากลับมาให้ท่าน พรุ่งนี้ไปเมืองเล็ก ข้าต้องซื้อเหล้าดีๆ มาให้ท่านแน่นอน”
เพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ
เด็กสาวไม่รู้เลยว่าพอประโยคนี้หลุดจากปากของนางเท่ากับเป็นการสาดเกลือลงบนบาดแผลของบิดา
หร่วนฉงถอนหายใจ กระดกเหล้าอึกใหญ่ เหม่อมองไปทางลำคลองหลงซวีที่ห่างออกไปไกล ถามเสียงเบา “ซิ่วซิ่ว เจ้าชอบเฉินผิงอันใช่ไหม?”
หร่วนซิ่วยิ้มตอบ “ชอบสิ”
ได้ยินบุตรสาวของตนตอบรับรวดเร็วฉับไวเช่นนี้ หร่วนฉงกลับโล่งอก ดูท่ายังพอจะมีโอกาสรั้งม้าที่ควบไปถึงหน้าผาไว้ได้ อริยะสำนักการทหารท่านนี้จึงถามต่อว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่ยอมรับเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์”
หร่วนซิ่วอึ้งตะลึง ก่อนกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ท่านก็บอกข้าแล้วไม่ใช่หรือ ท่านบอกว่าความประทับใจที่ท่านมีต่อเฉินผิงอันไม่ได้เลวร้าย แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน พวกท่านสองคนไม่เหมาะสมจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์ ข้อนี้ข้ารู้ อีกอย่างเฉินผิงอันก็…ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ดังนั้นท่านพ่อจึงกังวลว่าหากข้าสนิทกับเขามากเกินไปจะดึงดูดความสนใจจากกองกำลังมากมายที่อยู่เบื้องหลัง เวลาที่เห็นข้าไปไหนมาไหนกับเฉินผิงอัน ท่านจึงไม่ค่อยชอบใจนัก ข้าเข้าใจดี”
รู้สึกว่าบุตรสาวพูดเหตุผลทั้งหมดไปแล้ว หร่วนฉงพลันบื้อใบ้ ฝืนกลั้นคำพูดที่มารออยู่ริมฝีปากเอาไว้ ยกเหล้าดื่มอีกคำโต
ชายฉกรรจ์อาศัยเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ในใจคิดว่าในเมื่อเข้าใจเหตุผลทั้งหมด วันหน้าก็ไปมาหาสู่กับเฉินผิงอันให้น้อยลงสิ บุตรสาวโง่ เจ้าเองก็ไม่ได้ขาดแคลนโชควาสนากระจอกๆ พวกนั้นเสียหน่อย อีกอย่างตอนนี้เฉินผิงอันก็สูญเสียความสามารถในการล่อ ‘แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ’ ไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ตัวเจ้าเองต่างหากที่เป็นโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุด! แต่ผลล่ะเป็นอย่างไร? พอได้ยินว่าคนเขากลับมาถึงบ้านเกิด เจ้าก็แล่นจากตรอกฉีหลงไปที่สะพานหินโค้ง จากนั้นแสร้งทำเป็นว่ากำลังเดินเล่น มุ่งหน้ามาทางร้านของตัวเองช้าๆ เจ้าคิดจะหลอกใครกัน?
หร่วนฉงวางกาเหล้าลง กล่าวเสียงเรียบเฉย “เมื่อฉีจิ้งชุนจากไปก็เท่ากับว่าเหตุการณ์ยุติลงแล้ว แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้เขตการปกครองหลงเฉวียนจะยังไม่มีอันตรายอะไร ทว่าถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ พอมันร่วงลงมาจากฟ้า จะบอกว่าถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงหมาไนหมาป่าก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด เรื่องราวหลายอย่างไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด พ่อยังคงยืนยันคำเดิม หากเป็นปัญหาที่เฉินผิงอันก่อขึ้นเอง จัดการได้ง่าย แต่หากเจ้าเข้าไปมีเอี่ยวด้วยกลับจะจัดการได้ยากยิ่ง”
หร่วนซิ่วยืดขาสองข้างมาด้านหน้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ไผ่ กล่าวด้วยสีหน้าเกียจคร้าน “รู้แล้วน่า สรุปก็คือข้าจะตั้งใจฝึกตน เมื่อถึงเวลาใครที่กล้าทำตัวระราน ข้าจะจัดการด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้ท่านพ่อช่วย”
เกลืออีกหนึ่งกำมือใหญ่คล้ายหิมะที่สาดเทลงไปบนบาดแผลของชายฉกรรจ์
ทำเอาหร่วนฉงเกือบกระอักเลือดเก่าค้างเก็บ
อริยะสำนักการทหารผู้นี้ลุกขึ้นยืนอย่างเดือดดาล ตอนที่เดินผ่านด้านหลังบุตรสาวก็เขกมะเหงกเข้าให้ “วันๆ ดีแต่เข้าข้างคนอื่น!”
เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังของบิดาตน มุมปากของนางตวัดโค้งขึ้น
ในเมื่อไม่ตีเหล็ก แล้วก็ไม่ต้องดูร้าน เด็กสาวว่างงานจึงสะบัดข้อมือเบาๆ
กำไลข้อมือพลัน ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาทันใด เจียวไฟตัวน้อยที่ตื่นจากการหลับใหลเริ่มเลื้อยวนไปรอบแขนขาวนวลของเด็กสาวอย่างเชื่องช้า
……
หร่วนฉงเดินไปทางเตาหลอมที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ตอนนี้นอกจากคนงานแข็งแรงที่มีจำนวนมากแล้ว ปีนี้เขายังลูกศิษย์ใหม่สามคน ตอนนี้ยังเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์เข้าสำนักอย่างเป็นทางการ หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่กำลังทำความเข้าใจกับปณิธานกระบี่อยู่ข้างบ่อน้ำ เขาพลันลืมตาขึ้นแล้ววิ่งเหยาะๆ มาอยู่ข้างกายหร่วนฉง เอ่ยถามเบาๆ “อาจารย์ จะตีเหล็กหรือ?”
หร่วนฉงส่ายหน้า เปลี่ยนใจไม่ไปหลอมกระบี่ แต่เดินไปทางลำคลองหลงซวี เขาต้องการไปประเมินน้ำหนักความมืดมนอึมครึมของน้ำในลำคลองด้วยตัวเอง หากมีมากพอก็สามารถเปิดเตาหลอมกระบี่เล่มที่เขาสัญญากับคนอื่นเอาไว้
เด็กหนุ่มที่คิ้วสองข้างยาวมากเดินตามหลังมาติดๆ
แม้ว่าอาจารย์และลูกศิษย์จะมีลำดับก่อนหลัง แต่คนทั้งสองกลับเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
……
เฉินผิงอันกลับมาที่ร้านในตรอกฉีหลง ยื่นไหใบนั้นส่งให้เด็กชายชุดเขียว แล้วมอบกุญแจบ้านและตำราทั้งหลายให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู บอกให้พวกเขากลับไปที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงกันก่อน
ส่วนตัวเขาเดินไปที่ร้านยาตระกูลหยางเพียงลำพัง ไม่ว่าโดนลมพัดฝนตกหรือแดดส่อง ผ่านไปปีแล้วปีเล่า กลอนคู่วันปีใหม่ที่แขวนไว้สองด้านของร้านจะต้องเปลี่ยนทุกปี ทว่าเนื้อหาที่เขียนกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง ล้วนเป็นคำว่า ‘ยอมให้ยาบนชั้นกลายเป็นฝุ่นผง หวังเพียงให้คนบนโลกไร้โรคภัย’
เฉินผิงอันถามลูกจ้างหนุ่มหน้าใหม่คนหนึ่งของร้านจึงรู้ว่าหยางเหล่าโถวอยู่ในลานด้านหลัง เขาเดินผ่านประตูข้างเข้ามาก็เห็นว่าผู้เฒ่านั่งไขว่ห้างค้อมตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก พ่นควันขโมงลอยคลุ้งในลาน
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร เขารู้สึกกระวนกระวายอย่างที่น้อยครั้งจะเป็น
หยางเหล่าโถวเห็นหน้าเขาก็พูดเข้าประเด็นทันที “อยากถามเรื่องพ่อแม่ของเจ้ารึ? อยากรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเหมือนบิดากู้ช่านซึ่งพอตายไป วิญญาณก็ยังอยู่ในเมืองเล็กหรือไม่?”
ลมหายใจของเฉินผิงอันหนักอึ้งในชั่วพริบตา
“ไม่”
ผู้เฒ่าพ่นควันคำใหญ่ลอยคลุ้ง ให้คำตอบและเหตุผลที่ตรงไปตรงมา “เพราะไม่คุ้มค่า”
เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ยิ่งไม่อยากพูดอะไรเข้าไปใหญ่
บนพื้นมีเพียงรองเท้าสานที่เปื่อยยุ่ยเสียหาย มองเห็นได้ไม่ชัดเจนคู่นั้น
—————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น