อัจฉริยะสมองเพชร 1800-1803

 ตอนที่ 1800 นักตรวจสอบสมบัติผู้จองหอง

“นักตรวจสอบสมบัติ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาพอเข้าใจหากอำมาตย์เฉินหลิงจะตามหาตัวนายแพทย์ กูรูยาพิษ หรือแม้แต่ผู้ที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง แต่สำหรับนักตรวจสอบสมบัติ…


อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่?


สภาปรมาจารย์ได้จัดแบ่งอาชีพส่วนใหญ่ออกเป็น 9 สถานะระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบน แต่ในทางตรงกันข้าม เผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีการจัดแบ่งลำดับชั้นที่แน่ชัดเกี่ยวกับอาชีพ และไม่มีสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องด้วย แต่พวกเขาก็ยังมีมรดกตกทอดของอาชีพต่างๆที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น


แน่นอนว่ามรดกเหล่านั้นไม่ได้มีรายละเอียดชัดเจนเหมือนมรดกตกทอดของทวีปแห่งปรมาจารย์


นักตรวจสอบสมบัติคือผู้ที่ต้องแยกแยะของล้ำค่าและตัดสินมูลค่าของมัน พวกเขาไม่มีความสามารถในการเยียวยารักษา แล้วทำไมอำมาตย์เฉินหลิงถึงต้องพาคนพวกนั้นเข้าสู่พระราชวังด้วย?


มีการเข้าใจผิดอะไรกันบางอย่างหรือเปล่า?


“ผมเองก็สงสัยในข่าวที่ได้มา แต่ก็ยืนยันความถูกต้องอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่อำมาตย์เฉินหลิงกลับจากทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เก็บตัวเงียบอยู่ในพระราชวังของเขา แต่แทนที่จะตามหาตัวนายแพทย์ กลับนำนักตรวจสอบสมบัติเข้าไปแทน” หลิวหยางพูด


“ทั้งๆที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่ต้องการการรักษาจากนายแพทย์ กลับตามหานักตรวจสอบสมบัติ…มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ!”


ยิ่งมีเรื่องไม่ธรรมดาเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องมีอันตรายร้ายแรงอยู่เบื้องหลัง


เรื่องนี้ฟังดูเลวไหลเกินกว่าจะเป็นความจริง!


แค่นึกภาพกลุ่มนักตรวจสอบสมบัติยืนอยู่ข้างเตียงของอำมาตย์เฉินหลิง กำลังประเมินบาดแผลของเขา…


“ว้าว อาการบาดเจ็บนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ คงจะมีค่าอย่างน้อยเท่ากับหินวิเศษขั้นสูงสุด 800 ก้อน!”


“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ดูบาดแผลนี้ให้ดีๆ มันมาจากฝีมือของนักปราชญ์โบราณที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน แล้วตัวบาดแผลก็มีลักษณะพิเศษ มันจะต้องมีค่าอย่างน้อยเท่ากับหินวิเศษขั้นสูงสุด 10000 ก้อน!”


“คุณคิดจะซื้อทรัพย์สมบัติล้ำค่าแบบนี้ด้วยหินวิเศษขั้นสูงสุดแค่ 10000 ก้อนหรือ? ฝันไปเถอะ! แค่อาการบาดเจ็บที่เป็นฝีมือของนักปราชญ์โบราณธรรมดาสามัญก็มีราคาเท่านี้แล้ว นับประสาอะไรกับนักปราชญ์โบราณที่มีความสามารถขนาดนั้น…”


…..


“แค่ก แค่ก!” จางเซวียนรู้ตัวว่าความคิดของเขาล่องลอยไปไกลเกินกว่าเหตุ จึงรีบฉุดตัวเองกลับสู่ความเป็นจริง


เขาสลัดความคิดเลอะเทอะออกจากหัวและพูดว่า “ไม่ว่าแรงผลักดันของเขาคืออะไร ผมก็จะต้องเดินทางไปดูด้วยตัวเอง…”


“ท่านอาจารย์ คุณคิดอะไรอยู่หรือ?” หลิวหยางตั้งคำถาม


“ในเมื่อเขานำตัวนักตรวจสอบสมบัติเข้าไป ผมก็คิดว่าที่นั่นน่าจะมีบททดสอบอะไรบางอย่างสำหรับนักตรวจสอบสมบัติ เอาเถอะ ผมจะต้องเข้าไปดูสักหน่อย”


หลังจาก ‘ความตาย’ ของอำมาตย์เฉินหย่ง อำมาตย์เฉินหลิงก็กลายเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาปล่อยข่าวออกไปว่ากำลังต้องการตัวนักตรวจสอบสมบัติ เผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนจึงรี่เข้าไปเสนอตัวเพื่อหวังว่าจะได้ตำแหน่งนั้น


ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ไม่ใช่ทุกคนที่ตามหางานจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง จะต้องมีบททดสอบบางอย่างเพื่อกลั่นกรองเอาผู้ที่มีความสามารถในระดับพื้นๆออกไป ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นโอกาสดีสำหรับจางเซวียนที่จะเดินทางไปที่นั่นและสร้างตัวตนใหม่ให้กับตัวเอง


“มีบททดสอบของนักตรวจสอบสมบัติอยู่จริงๆ ให้ผมพาคุณไปที่นั่นเถอะ” หลิวหยางรีบบอกพร้อมกับพยักหน้า


“ไม่จำเป็นหรอก ตัวตนของคุณในเวลานี้นะออกจะล่อแหลม และจะดึงดูดสายตาของผู้คนมากเกินไปหากเราไปด้วยกัน ผมไปคนเดียวปลอดภัยกว่า คุณแค่บอกทิศทางก็พอ” จางเซวียนพูด


“อย่างนั้นก็ได้” หลิวหยางตอบตกลง


ในฐานะผู้สืบทอดที่อำมาตย์เฉินหย่งเลือก อำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงย่อมจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลิวหยางทุกฝีก้าว หากมีใครเห็นเขาเดินกับบุคคลอื่น ก็อาจเกิดปัญหา


ดังนั้น จางเซวียนจึงลักลอบออกจากห้องเงียบแห่งนั้นไปแล้วเดินไปตามทิศทางที่หลิวหยางบอกไว้


ที่หมายคือตลาดที่ขายทรัพย์สมบัติล้ำค่าทุกชนิด ใครก็ตามที่ต้องการเข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงก็จะต้องสำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมาก่อน ดูเหมือนว่าจะมีของล้ำค่าที่มีมูลค่ามากและหายากจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในตลาดนั้น ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับจัดการทดสอบ


จางเซวียนปลอมตัวเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่ง จากนั้นก็เล็ดลอดไปในหมู่ฝูงชน


ตลาดนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้จะไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเท่ากับตลาดในเมืองหลวงส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ทรัพย์สมบัติที่วางขายอยู่ก็งดงามและมีค่ามาก มีทั้งสมุนไพรล้ำค่า โครงกระดูกของอสูรทรงพลัง และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่าง แม้แต่จางเซวียนก็ยังระบุข้าวของทั้งหมดได้ยากทั้งๆที่มีความรู้ไม่น้อย


ไม่แปลกใจแล้วที่ผู้คนมากมายถูกดึงดูดเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินทั้งๆที่มีอันตรายรอบตัว คุณสมบัติทางยาของสมุนไพรเหล่านี้เหนือชั้นกว่าที่พวกเรามีอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนพยักหน้าขณะเดินลัดเลาะไปในหมู่พ่อค้า


แน่นอนว่าอู๋ควงกับคนอื่นๆไม่ได้ตัดสินใจเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินเพียงเพราะนึกสนุก แม้พืชพันธุ์ต่างๆจะหายากในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่การที่พวกมันเอาชีวิตรอดอยู่ได้ในบรรยากาศที่มีเจตนาสังหารเข้มข้นก็บ่งบอกแล้วว่าพวกมันไม่ธรรมดา


ก็เหมือนกับพืชพันธุ์ที่มีชีวิตรอดอยู่ได้ท่ามกลางความร้อนแผดเผาของทะเลทราย ก็จะมีความแข็งแกร่งทนทานกว่าพืชทั่วไป


แม้สิ่งเหล่านี้จะมีค่ามากมายสำหรับคนอื่นๆ แต่พวกมันไม่มีความหมายอะไรเลยกับจางเซวียน เขาแค่ชำเลืองมองก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หลิวหยางบอกไว้


“ของชิ้นนี้น่ะไม่มีค่าอะไรเลยเพราะผมบอกว่ามันไม่มีค่า คุณแคลงใจในคำตัดสินของผมหรือ?”


ขณะที่จางเซวียนยังไม่ทันจะไปได้ไกล ก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดดังขึ้นใกล้ๆ เขาหันไปมอง และเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าหญ้าต้นหนึ่ง กำลังจับจ้องพ่อค้าด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ


“นายท่าน ผมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้อำพันใบเขียวนี้มา ถึงกับเสียแขนไปข้างหนึ่งเพราะมัน…ผมขอสาบานด้วยชีวิตเลยว่ามันเป็นของจริง!” ชายวัยกลางคนเหวี่ยงแขนไปมาอย่างร้อนใจ


เมื่อชำเลืองมองไป จางเซวียนก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งเสียแขนซ้ายของเขาไปจริงๆ และบาดแผลนั้นก็ดูจะยังไม่หายดี


“ไม่มีพ่อค้าคนไหนหรอกที่ไม่พูดแบบนี้ ทุกคนน่ะเตรียมเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาไว้สำหรับของล้ำค่าทุกชิ้นที่นำมาขาย เพื่อจะได้สร้างเรื่องราวน่าทึ่งให้กับมัน แต่ผมคงต้องขอให้คุณหยุดพูดจาเหลวไหลเสียที วิธีตุกติกแบบนี้น่ะใช้กับผมไม่ได้หรอก!” ผู้อาวุโสยังคงมีสีหน้าเย็นชา


เขาสะบัดแขนเสื้อและพูดต่อ “ในแง่ของรูปร่างหน้าตา อำพันใบเขียวมีหน้าตาเกือบเหมือนกันเป๊ะกับหญ้าสลายวาจา เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่คุณมีน่ะคือหญ้าสลายวาจา แต่คุณกล้าจะขายมันในฐานะอำพันใบเขียวและโก่งราคาด้วย ผมควรรายงานเรื่องคุณให้องครักษ์ทราบเสียตอนนี้และให้พวกเขาขับไล่คุณไป โทษฐานขายสมุนไพรปลอมดีไหม?”


ได้ยินคำนั้น ชายวัยกลางคนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “ผมไม่ได้ขายสมุนไพรปลอมจริงๆนะ!”


“เอาเถอะ ในเมื่อคุณก็ต้องหาเลี้ยงชีพ ต่อให้สมุนไพรปลอมของคุณจะแสนไร้ค่า ผมก็จะเมตตา และยอมซื้อมันด้วยราคา 2 เหรียญหย่ง!” ขณะที่พูดคำนั้น ผู้อาวุโสก็ยื่นเงิน 2 เหรียญให้ชายวัยกลางคน


เหรียญหย่งคืออัตราแลกเปลี่ยนที่อำมาตย์เฉินหย่งเป็นผู้นำมาใช้ กำลังซื้อของมันมีจำกัด ถึงขนาดที่ 10 เหรียญหย่งมีค่าเทียบเท่ากับหินวิเศษขั้นต่ำเพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น 2 เหรียญหย่งเรียกได้ว่าแทบไม่มีค่าอะไรเลย


“2 เหรียญ? แต่อำพันใบเขียวของผมมีราคาขายอยู่ที่อย่างน้อย 200,000 เหรียญหย่งนะ!” ชายวัยกลางคนอุทานอย่างร้อนรน


อำพันใบเขียวมีค่าอย่างน้อย 200,000 เหรียญหย่ง แต่เขาได้มาเพียง 2 เหรียญเท่านั้น ส่วนต่างมันมากเกินไป!


“คุณสงสัยคำพูดของนายท่านของเราหรือ?” คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสคำราม “จะบอกให้คุณรู้ไว้นะ นายท่านของเราคือนักตรวจสอบสมบัติที่ผ่านการทดสอบของอำมาตย์เฉินหลิงแล้ว ในเมื่อเขาพูดว่าสิ่งที่คุณมีคือหญ้าสลายวาจา มันก็ไม่อาจเป็นสิ่งอื่นไปได้ ถ้าคุณกล้าพูดพล่ามหรือบ่นอะไรอีกล่ะก็ ผมจะให้คนของผมเล่นงานคุณเสีย รอดูก็แล้วกันว่าจะมีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยคุณหรือเปล่า!”


นักตรวจสอบสมบัติอาจไม่ได้รับการพูดถึงมากนักในโลกภายนอก แต่คำพูดของพวกเขามีค่าดั่งทองในตลาดซื้อขาย


หากนักตรวจสอบสมบัติพูดว่าของล้ำค่าชิ้นหนึ่งเป็นของแท้ มันก็จะถูกมองว่าเป็นของแท้ ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ซึ่งในทางตรงกันข้ามก็เป็นทำนองเดียวกัน


ด้วยกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของหอตรวจสอบสมบัติที่อนุญาตให้นักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่ง ผิดพลาดได้เพียง 3 ครั้งในช่วงชีวิตของเขา จึงไม่มีนักตรวจสอบสมบัติคนไหนในทวีปแห่งปรมาจารย์กล้าพูดอะไรพล่อยๆออกมา แต่ในทางกลับกัน กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเข้มงวดในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้นักตรวจสอบสมบัติเป็นผู้ที่ไม่มีใครกล้าทำให้ขุ่นเคือง


“ดูเหมือนหมอนั่นไม่อยากเสียเงิน แต่ก็ยังอยากได้อำพันใบเขียวของพ่อค้าคนนั้น…” จางเซวียนส่ายหน้า


แม้เขาจะไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับสมุนไพรของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ในฐานะนายแพทย์ ก็มองเห็นจิตวิญญาณและคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรได้อย่างง่ายดาย


จากพลังการรักษาที่สมุนไพรนั้นแผ่ออกมา ชัดเจนว่ามันมีค่ามากกว่า 2 เหรียญหย่ง แน่นอนว่านักตรวจสอบสมบัติรู้เรื่องพวกนี้ดี ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาพูดออกไปว่ามันคือหญ้าสลายวาจาเพื่อที่จะได้ฉกฉวยมันมาอย่างง่ายดาย


จงใจประเมินของล้ำค่าอย่างผิดๆเพื่อให้ซื้อหามันได้ในราคาต่ำ…อันที่จริงเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร เขาเคยพบสถานการณ์แบบนี้มาแล้วหลายหนในชีวิตเก่า ยังไม่ต้องพูดถึงที่นี่


ฝูงชนที่อยู่โดยรอบต่างก็ดูออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าทักท้วง


พวกเขาเกรงว่าผู้อาวุโสจะเล่นตุกติกแบบเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและธุรกิจของพวกเขา


“ตอนนี้ผมยังไม่มีตัวตน รู้สึกว่าคุณน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับให้ผมปลอมตัว…”


จางเซวียนกำลังวางแผนจะเข้าสู่พระราชวังที่กำลังมีการจัดการทดสอบนักตรวจสอบสมบัติ ก็พอดีกับที่เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะหยุดเดิน


เขาต้องการตัวตนที่ชัดเจนสักตัวตนหนึ่งเพื่อจะได้เข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งในเมื่อหมอนี่รังแกคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ เขาก็ไม่รู้สึกลำบากใจนักที่จะใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือ


ตอนที่ 1801 พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง

หลังจากรับอำพันใบเขียวจากชายวัยกลางคนแล้ว ผู้อาวุโสก็เชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัวก่อนจะเดินออกไป จางเซวียนหัวเราะหึๆแล้วเดินตาม


เมื่อออกจากตลาด ผู้อาวุโสตระเวนไปตามถนนอีกชั่วครู่ก่อนจะเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่ง


จางเซวียนกระดิกนิ้วอย่างรวดเร็ว แล้วภาพตรงหน้าผู้อาวุโสผู้จองหองก็พลันมืดมิด ร่างของเขาซวนเซก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น


ด้วยความแข็งแกร่งของจางเซวียนในฐานะนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก การเล่นงานนักตรวจสอบสมบัติที่เป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 6 จึงง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก


“การค้นหาจิตวิญญาณ!”


จางเซวียนไม่ยอมเสียเวลา เขาดำดิ่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายทันที ในชั่วพริบตา ก็ล่วงรู้ถึงภูมิหลังและตัวตนของผู้อาวุโสจนหมดสิ้น


หากเขาต้องการลักลอบเข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง ก็จะต้องมีตัวตนที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ นักตรวจสอบสมบัติที่ได้รับอนุมัติให้เข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เป็นภัยคุกคามก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาณาเขตด้านใน


ดังนั้น เป้าหมายแรกของจางเซวียนที่ตลาดก็คือหานักตรวจสอบสมบัติที่มีชื่อเสียงสักคนหนึ่งและเข้าแทนที่ตัวตนของอีกฝ่าย


ด้วยวิธีนี้ จะไม่มีใครสงสัยเขา


“นักตรวจสอบสมบัติจากเมืองไคหย่ง, อู๋เทา…ผ่านการทดสอบนักตรวจสอบสมบัติของอำมาตย์เฉินหลิงแล้วและกำลังจะเข้าไปข้างใน…ดีเลย แบบนี้ก็เข้าทาง เราจะขจัดปัญหาไปได้มาก…”


จางเซวียนรู้ภูมิหลังของนักตรวจสอบสมบัติได้อย่างง่ายดายผ่านการค้นหาจิตวิญญาณ หลังจากรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว จางเซวียนก็โบกมือเบาๆ


ฟึ่บ!


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักตรวจสอบสมบัติกับบริวารของเขาแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง หายวับไปจากโลกใบนี้ ข้าวของที่ใช้ยืนยันตัวตนของเขาก็ร่วงลงมาอยู่ในมือของจางเซวียน


“เอาล่ะ เราควรมุ่งหน้าไปยังพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงเสียที!”


เครื่องรางแห่งการปลอมตัวเรืองแสงอยู่ในมือของจางเซวียน ร่างกายของเขาเริ่มแปรสภาพ ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็กลายร่างไปจนเหมือนกันเป๊ะกับอู๋เทา ถึงขนาดที่ต่อให้ญาติสนิทของอีกฝ่ายก็ไม่อาจแยกความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและตั้งต้นเดินทางไปยังพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงตามทิศทางที่ได้รู้จากความทรงจำของอู๋เทา


สามอำมาตย์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างมีวังของตัวเอง ซึ่งแยกกันเป็นสัดส่วนอยู่ในเมืองหลวง วังของอำมาตย์เฉินหลิงอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่จางเซวียนอยู่เวลานี้ เขาเดินไปอีกราว 8 ช่วงถนน จากนั้นก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้ากำแพงวังสูงตระหง่าน


จางเซวียนเดินไปที่ประตูวังแล้วยื่นตราสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนของเขาให้เหล่าองครักษ์ ตราสัญลักษณ์นั้นถูกตรวจสอบถึง 8 ครั้งก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน


“นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา กรุณาตามผมมา” องครักษ์คนหนึ่งร้องเรียก


จางเซวียนไม่อาจหาเหตุผลที่อำมาตย์เฉินหลิงต้องการตัวนักตรวจสอบสมบัติจากความทรงจำของอู๋เทาได้ เป็นไปได้ว่าน่าจะไม่มีนักตรวจสอบสมบัติคนไหนได้รู้ข้อมูลหรือเหตุผลที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงเอนตัวเข้าหาองครักษ์และกระซิบกระซาบ “ไม่ทราบว่าเหตุใดอำมาตย์เฉินหลิงถึงเชิญพวกเรามาที่นี่ ผมอยากเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อจะได้แสดงความสามารถให้ดีที่สุดต่อหน้าเขา”


ขณะที่พูด ก็แอบยื่นหินวิเศษขั้นสูงสุดก้อนหนึ่งให้


องครักษ์ชำเลืองมองหินวิเศษขั้นสูงสุดก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับจางเซวียนด้วยสายตาคุกคาม “คุณแค่ทำในสิ่งที่ได้รับคำสั่งให้ทำก็พอ ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้น่ะใช้ในพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงไม่ได้หรอก!”


“ได้ ได้!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างว้าวุ่นใจ “ผมแค่อยากผูกมิตรเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น เพื่อเป็นการชดเชยการกระทำอันไร้ความคิดของผม ได้โปรดรับของกำนัลเล็กๆน้อยๆนี้ไว้ด้วย”


องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับหินวิเศษขั้นสูงสุดไปเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็เตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “อย่าได้พยายามทำแบบนี้ในสถานที่นี้อีก!”


จากนั้น เขาก็หันหลังกลับและเดินหน้าต่อไป เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งขณะที่เสียงแหบห้าวของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง “บรรดานักตรวจสอบสมบัติจะถูกเรียกมารวมตัวกันเพื่อตัดสินมูลค่าที่แท้จริงของของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง อำมาตย์เฉินหลิงจับตามองเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นจะเกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้ ถ้าคุณกล้าประเมินมูลค่าของของล้ำค่าให้สูงกว่าความเป็นจริงล่ะก็ จะต้องเสียชีวิตแน่ อย่าหาว่าผมไม่เตือน!”


จางเซวียนรีบพยักหน้ารับ


คุณค่าของของล้ำค่านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงประวัติศาสตร์ของมันด้วย ดังนั้น นักตรวจสอบสมบัติจึงมักจะเพิ่มมูลค่าให้กับของล้ำค่าโดยยึดถือจากตัวเจ้าของ แต่นั่นอาจนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนในการระบุมูลค่าของมัน


ต่อให้ใครสักคนพยายามทำเลียนแบบจนถึงขั้นที่แทบแยกความแตกต่างไม่ออก ช่องว่างระหว่างราคาของของต้นแบบกับของทำเลียนแบบก็ยังห่างไกลกันลิบลับ


สิ่งที่องครักษ์พูดนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าประวัติศาสตร์ของของล้ำค่าที่เขากำลังจะประเมินนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็ควรจะตัดสินมูลค่าของมันจากประสิทธิภาพการใช้งานจริง ไม่มีความจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่น


“จำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วทุกอย่างจะดีเอง ผมจะส่งคุณตรงนี้ ผมเป็นแค่บริวาร จึงไม่อาจระบุได้ว่าคุณกำลังจะพบเจอภารกิจแบบไหน แต่ก็ขอให้คุณโชคดี” องครักษ์พึมพำก่อนจะเงียบไป


ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อมูลทั้งหมดที่เขามี


“ผมเป็นหนี้บุญคุณต่อคุณ!” จางเซวียนตอบอย่างนอบน้อมขณะยื่นหินวิเศษขั้นสูงสุดอีกก้อนหนึ่งให้


สถานการณ์ออกจะน่างุนงงอยู่ไม่น้อย คิดดูสิว่าอำมาตย์เฉินหลิงนำนักตรวจสอบสมบัติหลายต่อหลายคนมาที่วังของเขาเพื่อให้ประเมินของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง


จางเซวียนได้เห็นกับตาว่าอำมาตย์เฉินหลิงบาดเจ็บสาหัสแค่ไหนเมื่อครั้งอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ เป็นเพราะระดับวรยุทธที่สูงส่งของเขาที่ทำให้อีกฝ่ายยังไม่เสียชีวิตไปเดี๋ยวนั้น แต่หลังจากกลับสู่ฐานที่มั่น แทนที่จะหาทางเยียวยาอาการบาดเจ็บ กลับเลือกที่จะนำนักตรวจสอบสมบัติเข้ามาแทน


จางเซวียนรู้สึกว่าไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งนี้ได้


เขาเดินตามหลังองครักษ์ไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงที่ดูตระการตา


มีชั้นวางของมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ภายในห้องโถงนั้น ทรัพย์สมบัติทุกชนิดถูกจัดเรียงไว้บนชั้น นักตรวจสอบสมบัติจำนวนหนึ่งกำลังตระเวนไปตามชั้นต่างๆและตรวจสอบทรัพย์สมบัติที่อยู่บนนั้นอย่างตั้งใจ


ทันทีที่จางเซวียนเข้าสู่ห้องโถง องครักษ์อีกคนก็ตรงเข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ “คุณคือหนึ่งในนักตรวจสอบสมบัติที่ได้รับการอนุมัติใช่ไหม? ภารกิจของคุณตอนนี้คือประเมินของล้ำค่าทั้งหมดที่อยู่ภายในห้อง คุณจะต้องเขียนมูลค่าของทรัพย์สมบัติแต่ละชิ้นลงในกระดาษแล้วใส่มันไว้ในกล่อง เริ่มจากของล้ำค่าชิ้นแรกที่อยู่ตรงนั้น จำไว้นะ จะพูดคุยกับนักตรวจสอบสมบัติคนอื่นไม่ได้ ใครที่ถูกจับได้ว่าทำแบบนั้นจะถูกสังหารทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น!”


รู้ดีว่านี่เป็นความท้าทายอีกอย่างที่อำมาตย์เฉินหลิงจัดเตรียมไว้เพื่อทดสอบบรรดานักตรวจสอบสมบัติที่เขาเรียกตัวมา จางเซวียนจึงพยักหน้ารับก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นวางของ


ที่อยู่ตรงหน้าของล้ำค่าชิ้นแรกบนชั้นวางของอันแรก คือกล่องใบหนึ่งที่ดูเหมือนกล่องลงคะแนนในชีวิตเก่าของเขา มีฉนวนพิเศษถูกจารึกไว้บนกล่องเพื่อป้องกันไม่ให้ใครนำข้อมูลภายในออกมาหรือแอบดูมันได้ พูดอีกอย่างก็คือไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะอ่านคำตอบของนักตรวจสอบสมบัติคนอื่นๆโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ


ใช้นักตรวจสอบสมบัติมากมายมาประเมินมูลค่าของของล้ำค่าชิ้นเดียวกัน…อำมาตย์เฉินหลิงกำลังพยายามคัดกรองเพื่อให้ได้หัวกะทิมา! จางเซวียนครุ่นคิดขณะมองไปรอบๆห้อง


นักตรวจสอบสมบัติที่มาถึงก่อนหน้าเขาตรวจสอบของล้ำค่าชิ้นแรกเสร็จแล้ว และใส่ใบประเมินของเขาไว้ในกล่องก่อนจะเดินหน้า เมื่อไม่มีโอกาสพูดคุยกับคนอื่นๆ การทดสอบครั้งนี้จึงถือเป็นการวัดความสามารถในการประเมินมูลค่าของนักตรวจสอบสมบัติโดยตรง


จางเซวียนเดินไปที่ของล้ำค่าชิ้นแรกเพื่อพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน มันเป็นสินแร่สีดำซึ่งมีพื้นผิวค่อนข้างหยาบ เขาประหลาดใจที่พบว่าไม่อาจบอกได้ว่ามันคือวัสดุชนิดไหนจากการมองเพียงแวบเดียว


จางเซวียนจึงยื่นมือออกไป แล้วหนังสือเล่มหนึ่งก็ปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้าทันที


“หินดาวตก, สินแร่ที่ได้จากหลุมดำลึกแห่งท้องฟ้าทิศเหนือ มีอานุภาพในการระงับปีศาจใต้สำนึก…”


หนังสือบอกรายละเอียดถึงมูลค่าและข้อบกพร่องของสินแร่สีดำนั้น


หลังจากอ่านรายละเอียดทั้งหมด จางเซวียนก็ไม่รีบประเมินมูลค่าของสินแร่ เขาพิจารณามันอีกครู่หนึ่งก่อนจะหยิบกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งมาเพื่อเขียนมูลค่าที่เขาประเมินไว้ลงไป


แน่นอนว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่เขาใช้สำหรับการประเมินก็จะต้องเป็นเหรียญหย่งและหินวิเศษขั้นสูงสุด


หลังจากหย่อนกระดาษลงในกล่อง จางเซวียนก็เดินไปหาของล้ำค่าชิ้นถัดไป


มันคือสินแร่หายากอีกก้อนหนึ่งซึ่งมีมูลค่าพอๆกันกับหินดาวตก


เมื่อเวลาผ่านไป จางเซวียนประเมินของล้ำค่าได้ 5 ชิ้น เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเมื่อได้รู้ว่าของล้ำค่าทั้งหมดที่อยู่บนชั้นล้วนแต่เป็นสินแร่


อันที่จริง การประเมินมูลค่าของสินแร่ไม่ได้ยากเกินไป ตราบใดที่รู้คุณสมบัติที่ถูกต้องของสินแร่ ก็พอจะประเมินมูลค่าของมันได้ แต่หากเป็นการทดสอบ ก็ดูไม่เข้าท่าที่จะใช้สินแร่ที่มีมูลค่าทัดเทียมกันทั้งหมด…อำมาตย์เฉินหลิงคิดอะไรอยู่?


หลังจากประเมินสินแร่ไปได้ 10 ก้อน ในที่สุดก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มของล้ำค่า-สมุนไพร


สมุนไพรบางชนิดที่วางอยู่บนชั้นยังคงสดใหม่ ขณะที่บางส่วนถูกตากแห้งหรือแห้งเหี่ยวไปแล้ว ทำให้ยากที่จะคาดเดาว่ามันคืออะไร เมื่อความสามารถอันมีขีดจำกัดของอู๋เทาในฐานะนักตรวจสอบสมบัติแวบเข้ามาในสมอง จางเซวียนก็ตั้งใจเดินช้าลง


สำหรับพืชบางชนิด เขาแสร้งทำเหมือนกับว่าไม่อาจประเมินมูลค่าของมันได้ ต้องนำสมุดเล่มหนึ่งออกมาเพื่อจดบันทึก ดูเหมือนกำลังพยายามจะหาข้อสรุปที่ดีที่สุด


“เอาล่ะ วันนี้เราจะจบการตรวจสอบสมบัติเพียงเท่านี้ พวกคุณกลับไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้การตรวจสอบสมบัติจะดำเนินต่อไป!”


ในเวลาเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง จากนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินตรงเข้ามาที่ใจกลางห้อง


ตอนที่ 1802 ตระเวนทั่ววังอำมาตย์เฉินหลิง

เมื่อเห็นชายวัยกลางคน จางเซวียนเลิกคิ้ว


อีกฝ่ายเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนกับเขา


“ได้เวลาพักเสียที…”


“ผมจะใช้เวลาพักปัดฝุ่นความรู้ของผมเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้!”


“ของล้ำค่าพวกนี้ประเมินได้ยากจริงๆ…”


…..


เมื่อได้ยินว่าถึงเวลาพัก บรรดานักตรวจสอบสมบัติต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก เกิดเสียงกระซิบกระซาบไปทั่ว


บรรดาของล้ำค่าที่จัดวางอยู่ในห้องนี้ล้วนแต่ประเมินได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แม้ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่จะล้วงแต่เป็นนักตรวจสอบสมบัติชั้นยอดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็เริ่มจะรู้สึกว่าความรู้ของพวกเขาถึงทางตัน


เวลาพักมาถึงทันการณ์พอดี แม้จะถูกเรียกว่า ‘เวลาพัก’ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือบรรดานักตรวจสอบสมบัติจะใช้โอกาสนี้อ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลอ้างอิงที่ทำให้การตรวจสอบสมบัติของพวกเขาแม่นยำขึ้น ไม่อย่างนั้น คงได้หัวหลุดจากบ่าแน่หากประเมินของล้ำค่าชิ้นใดชิ้นหนึ่งผิดพลาด


“ทุกท่าน เชิญทางนี้!”


จากนั้น องครักษ์หลายสิบคนในชุดเกราะสีดำที่ดูเหมือนกันไปหมดก็ก้าวเข้ามา แต่ละคนได้รับมอบหมายให้พานักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่งกลับไปส่งยังที่พัก รวมถึงจางเซวียนด้วย


แม้จางเซวียนจะมีข้อสงสัยอยู่ในใจมากมาย แต่ก็รู้ดีว่าการตั้งคำถามออกมาตอนนี้มีแต่จะทำให้ตัวเขากลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น จึงตัดสินใจเงียบไว้ เขาเดินตามองครักษ์ไปอย่างเงียบๆ ผ่านทางเดินทางแล้วทางเล่า


ไม่ช้าก็มาถึงห้องหนึ่ง ดูเหมือนนักตรวจสอบสมบัติแต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวคนละห้อง


“คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมเยียนหรือพูดคุยกับนักตรวจสอบสมบัติคนอื่นๆ หากต้องการ หนังสือก็บอกผมได้ ถ้าทางวังมีหนังสือหรือข้อมูลที่คุณต้องการ ผมจะนำมาให้คุณที่ห้อง ส่วนถ้าคุณอยากฝึกฝนวรยุทธหรือฟื้นฟูสภาพร่างกายจากความเหนื่อยล้า ก็สามารถร้องขอสมุนไพรหรือยาเม็ดจากผมได้เช่นกัน” องครักษ์สั่งการขณะเปิดประตูห้องให้จางเซวียน


“รับทราบ” จางเซวียนพยักหน้าขณะเข้าไปในห้อง


มีค่ายกลสกัดกั้นอยู่ภายในห้องที่ทำให้เขาไม่อาจใช้ตราหยกสื่อสารได้ ดูเหมือนทางวังตั้งใจจะระงับการสื่อสารทุกรูปแบบในหมู่นักตรวจสอบสมบัติ


เพราะทันทีที่พวกเขาเริ่มแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองกัน ราคาที่แต่ละคนประเมินออกมาก็จะเริ่มใกล้เคียงกันทันที ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าราคาที่แท้จริงของของล้ำค่าแต่ละชิ้นคือเท่าไหร่


ปัง!


ประตูปิดสนิททันทีที่จางเซวียนทรุดตัวลงนั่ง


ห้องนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก กินพื้นที่ราว 40 ตารางเมตร มีทุกอย่างที่ใครสักคนจะต้องการอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำ โต๊ะ เก้าอี้ หรือเตียง มีค่ายกลรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่ใช้หินวิเศษขั้นสูงสุดเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งไว้ภายในห้อง มอบพลังจิตวิญญาณขั้นสูงสุดให้กับผู้ที่พักอาศัยอยู่ ต่อให้ผู้นั้นจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ก็จะฟื้นตัวกลับคืนสู่พละกำลังสูงสุดได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้เวลาเพียงไม่นานภายในห้องนี้


นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ตามหาเลือดมังกร! จางเซวียนคิดขณะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


เขาสูดหายใจลึก แล้วจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็หลุดลอยออกจากกายเนื้อของเขาผ่านทางหว่างคิ้ว


เหตุผลที่จางเซวียนลงทุนมาถึงที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาเป็นนักตรวจสอบสมบัติให้อำมาตย์เฉินหลิง แต่เพื่อค้นหาเลือดมังกรที่จะนำไปใช้ปลดฉนวนบนหอกสวรรค์กระดูกมังกร ในเมื่อตอนนี้เขามีเวลาว่าง ก็แน่นอนว่าย่อมเป็นโอกาสดีที่จะได้ลาดตระเวนสักหน่อย


จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาลอยอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบครู่หนึ่งก่อนจะผลุบออกไป ขณะที่ กำลังจะผ่านประตู จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ผลักเขากลับมา


ค่ายกลนี้ขวางเส้นทางของจิตวิญญาณจริงๆด้วย! จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ


เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณหายสาบสูญไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์นานแล้ว ทำให้สภาปรมาจารย์และกลุ่มอำนาจหลักต่างๆละเลยที่จะสร้างปราการป้องกันผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจ อาชีพผู้พยากรณ์จิตวิญญาณยังคงมีอยู่จำนวนไม่น้อย


ดังนั้น กลุ่มอำนาจหลักๆส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงยังคงติดตั้งมาตรการต่อต้านผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาวุ่นวายกับกิจธุระของพวกเขา


ถ้าจางเซวียนพยายามใช้กำลังทำลายปราการนี้ เขาจะต้องพบปัญหาใหญ่แน่


ดวงตาหยั่งรู้!


ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเขา จางเซวียนพบจุดอ่อนในค่ายกลอย่างรวดเร็วและเล็ดลอดออกไปได้อย่างง่ายดาย


ฟึ่บ!


ประตูเปิดออกขณะที่เขาแอบออกไปอย่างเงียบๆ


“นี่คือที่พักของคุณในคืนนี้…”


ที่บริเวณทางเดิน เหล่าองครักษ์ในชุดเสื้อเกราะสีดำยังคงจัดการให้บรรดานักตรวจสอบสมบัติเข้าสู่ที่พักของพวกเขา


จางเซวียนแนบตัวติดกับกำแพงขณะลอยออกจากพื้นที่นั้นไปอย่างรวดเร็ว


เพราะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว การซ่อนตัวจากองครักษ์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องง่าย


เมื่อออกจากที่พัก จางเซวียนเริ่มตระเวนไปทั่ว เพราะอยู่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิง จึงไม่กล้าบินให้สูงนัก ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวค่ายกลป้องกันตัวที่มีอยู่โดยรอบ แต่จางเซวียนรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเหล่านักปราชญ์โบราณคอยลาดตระเวนอยู่ หากเขาถูกนักปราชญ์โบราณสักคนจับได้ ก็ย่อมเจอปัญหาใหญ่


วังของเผ่าพันธุ์ปีศาจนี่ไม่เหมือนกับสภาปรมาจารย์เลย บางทีการวางผังเมืองคงไม่ได้เป็นอาชีพหนึ่งของที่นี่ พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องสภาพภูมิศาสตร์ โชคลาง หรืออะไรทำนองนั้น ด้วยจารึกอักษรโบราณและค่ายกล วังของพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการที่ไม่อาจเจาะทะลุเข้าไปได้ ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในวัง ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อำมาตย์เฉินหย่งกับคนอื่นๆจะเข้ามาทำให้เขาจนมุมและคร่าชีวิตเขาได้ จางเซวียนคิดขณะรีบจดจำแผนผังของพระราชวังไว้ในหัวสมอง


ในสภาปรมาจารย์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมองหาดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติเหลือเฟือ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อรวบรวมพลังจิตวิญญาณในพื้นที่


แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทำกัน สิ่งที่พวกมันทำคือการจารึกอักษรโบราณลงบนกำแพงและพื้น แม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิศาสตร์ แต่พวกมันก็นำพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ที่พักอาศัยได้มากมาย ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการฝึกฝนวรยุทธ


แม้จะมีความเหมือนระหว่างทั้งคู่ แต่ผลที่ได้นั้นแตกต่างกันมาก ทวีปแห่งปรมาจารย์รวบรวมพลังจิตวิญญาณได้โดยไม่ต้องทำลายสภาพแวดล้อม ทำให้การพัฒนาของพวกเขาเป็นไปอย่างยั่งยืน แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจกลืนกินพลังจิตวิญญาณจากดินแดนที่พวกมันอาศัยอยู่ โดยให้ความสนใจน้อยนิด ต่อชีวิตและความตายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ใช้สภาพแวดล้อมร่วมกัน


บางที นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์


“เราไม่รู้สึกว่ามีเลือดมังกรอยู่ที่ไหนเลย…”


ตอนนี้ จางเซวียนตระเวนไปทั่วพระราชวังกว่าหลายชั่วโมงแล้ว ค้นหาจนแทบทุกซอกทุกมุมของวังอำมาตย์เฉินหลิง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเลือดมังกร อันที่จริง แม้แต่หญ้าเกล็ดมังกรที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเคยพูดถึง เขาก็หาไม่พบ


แต่เมื่อลองคิดดู เรื่องราวที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินรู้ก็ผ่านมา 3 พันปีแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าบางทีทะเลสาบเลือดที่มีเลือดมังกรอยู่อาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไป


ที่เหลืออยู่ก็คือสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น…


หลังจากบินมาแล้วครู่ใหญ่ จางเซวียนก็มาถึงเป้าหมายสุดท้าย-หอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง


ด้วยรังสีของนักปราชญ์โบราณที่อบอวลอยู่ทั่วบริเวณ เขาจึงไม่กล้าเข้าไปข้างใน


ในเมื่อเขาไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเลือดมังกรจากที่ไหนเลย ถ้าทะเลสาบเลือดยังคงมีอยู่จริง ที่นั่นก็คงจะเป็นสถานที่เดียวที่ยังพอเป็นไปได้


ไม่ว่าจะมีนักปราชญ์โบราณอยู่ที่นั่นหรือไม่ เราก็ต้องแวะไปดูสักหน่อย…จางเซวียนสูดหายใจลึกและบอกตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว


นับจากวินาทีที่เขาเลือกจะแทรกซึมเข้ามาในวังของอำมาตย์เฉินหลิง เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวง แน่นอนว่าการลักลอบเข้าไปในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่เขาไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจได้โดยไม่พยายามสักหน่อย


ดังนั้น จางเซวียนจึงลดขนาดจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาให้เหลือเล็กที่สุด ก่อนจะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบหอนอนที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก


สิ่งปลูกสร้างทั้งหลังถูกโอบล้อมด้วยฉนวนพิเศษที่สามารถตรวจจับผู้บุกรุกได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้พยากรณ์จิตวิญญาณด้วย


รู้ดีว่ามีอันตราย จางเซวียนจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบาม เขาถ่วงเวลาไว้เพื่อหาโอกาสเข้าไป โดยซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่รวมทั้งปกปิดรังสีของเขาไว้


ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว เขาจึงยังคงนิ่งเฉยอยู่ได้ไม่ว่ารอบข้างจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อมีโอกาสสูงที่เขาจะถูกจับได้หากพยายามทำลายฉนวน จางเซวียนจึงเลือกที่จะตัดความกังวลใจออกไปและบอกตัวเองให้รอคอยอย่างอดทน


ขอแค่มีใครสักคนอยู่ในหอนอน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องมีผู้คนเข้าออก ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสให้เขาได้เข้าไปและออกมาเช่นกัน


หลังจากรออยู่เกือบ 1 ชั่วโมง ในที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “บรรดานักตรวจสอบสมบัติที่เราได้มาคราวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


จางเซวียนหันไปช้าๆ และเห็นชายวัยกลางคนที่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกที่เขาได้พบในห้องโถงก่อนหน้านี้กำลังเดินตามหลังผู้อาวุโสคนหนึ่ง ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังทิศทางของหอนอน


ผู้อาวุโสปกปิดรังสีในร่างกายของเขาไว้ ทำให้ยากที่จะประเมินพละกำลัง แต่แรงกดดันมหาศาลที่เขาแผ่ออกมาทางดวงตาก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุการปกปิดและการปลอมตัวต่างๆได้ด้วยการชำเลืองเพียงแวบเดียว


“นักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตา


ไม่ต้องสงสัยแล้ว ผู้อาวุโสจะต้องเป็นนักปราชญ์โบราณแน่


สมกับที่เป็นหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง มันได้รับการอารักขาจากนักรบชั้นยอด


เมื่อรับรู้ถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า จางเซวียนก็ไม่กล้าขยับตัว เขาซ่อนอยู่ ในต้นไม้ใหญ่และกลั้นหายใจ รวมทั้งบังคับตัวเองให้อยู่นิ่งที่สุด เกรงว่าจะเปิดเผยเงื่อนงำบางอย่างออกไปโดยไม่จงใจซึ่งจะทำให้ถูกจับได้


“มีนักตรวจสอบสมบัติบางคนที่เกือบจะประเมินของล้ำค่าได้หมดทุกชิ้นแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจในมูลค่าของของล้ำค่าบางชิ้นอยู่ดี” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “น่าเสียดาย แต่เหล่านักตรวจสอบสมบัติของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราดูจะอ่อนด้อยกว่านักตรวจสอบสมบัติที่มาจากทวีปแห่งปรมาจารย์!”


ตอนที่ 1803 คุณหาผมเจอ!

“ความไว้เนื้อเชื่อใจและกฎระเบียบคือสิ่งสำคัญสูงสุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ หลักการของนักตรวจสอบสมบัติพวกนั้นจึงสูงกว่า แต่สำหรับเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราเป็นดินแดนที่ไร้ขื่อแป บรรดานักตรวจสอบสมบัติจึงมักจะหลอกลวงและพูดเกินจริง ด้วยเหตุนี้ ราคาที่พวกเขาประเมินจึงเชื่อถือไม่ได้ แย่สิ้นดี!” ผู้อาวุโสที่เป็นนักปราชญ์โบราณส่ายหน้า ดูจะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เรียกได้ว่า ‘เอาตัวรอดเป็นยอดดี’ นักตรวจสอบสมบัติส่วนใหญ่ทุ่มเทชีวิตให้กับการค้นคว้าหาความรู้เพื่อขัดเกลาฝีมือของตัวเอง และการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขาก็ต้องอาศัยความสามารถในการหยั่งรู้และชื่อเสียง ส่วนพละกำลังนั้นถือว่าไม่โดดเด่นอะไร


หากลูกค้าของพวกเขาเป็นนักรบธรรมดาสามัญ พวกเขาก็ยังพอพูดความจริงได้ แต่ถ้านักตรวจสอบสมบัติต้องยืนอยู่ตรงหน้าผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลัง การพูดความจริงอาจหมายถึงต้องแลกมาด้วยชีวิต


เพราะใครจะรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะโมโหเดือดและสังหารพวกเขาเพราะความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเมื่อไหร่?


มีหลายกรณีที่นักรบผู้ทรงพลังลุแก่โทสะเมื่อได้รับการประเมินหลังจากที่ซื้อของล้ำค่าราคาแพงมา เพราะพวกเขาถูกเปิดโปงความโง่เขลาของตัวเองเมื่อมาปรึกษานักตรวจสอบสมบัติ บ่อยครั้งที่คำพูดอันซื่อตรงของนักตรวจสอบสมบัติทำให้คนเหล่านี้เกิดความโกรธเกรี้ยว ซึ่งก็มักจะระบายความขุ่นเคืองกับพวกเขา


ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นธรรมเนียมสำหรับบรรดานักตรวจสอบสมบัติที่จะกลั่นกรองคำพูดหลายชั้นก่อนจะให้คำประเมิน


แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น นักตรวจสอบสมบัติก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะหากปราศจากนักตรวจสอบสมบัติเพื่อมาประเมินของล้ำค่า ตลาดก็จะร่วงลงสู่ภาวะยุ่งเหยิงทันที


“คุณบอกพวกเขาหรือเปล่าว่าเราอยากได้มูลค่าที่แท้จริงของของล้ำค่าเหล่านั้น ไม่ใช่ตัวเลขที่ปั้นให้ดูดี?” นักปราชญ์โบราณอาวุโสตั้งคำถาม


“ผมบอกนักตรวจสอบสมบัติทุกคนแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนปั่นตัวเลขจนเกินจริงในการประเมินของพวกเขา” ชายวัยกลางคนรายงาน


“ดึงคนพวกนั้นออกมาและสังหารเสีย ผมเชื่อว่านักตรวจสอบสมบัติคนอื่นๆจะรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับพวกเขาเมื่อเราทำให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง!” นักปราชญ์โบราณอาวุโสคำรามขณะระเบิดเจตนาสังหารออกมา


ในชั่วพริบตานั้น ราวกับว่าทั่วทั้งพื้นที่กลายเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่จางเซวียนซ่อนตัวอยู่ก็เหี่ยวแห้งไปทันทีเพราะรังสีแรงกล้านั้น


พละกำลังของนักปราชญ์โบราณไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของความแข็งแกร่งของพวกเขาก็มากเกินพอจะทำให้ใครสักคนตกที่นั่งลำบากแล้ว


รังสีแบบนี้… หัวใจของจางเซวียนกระตุก


มันมีความเย็นเยือกอยู่ในรังสีที่นักปราชญ์โบราณแผ่ออกมา แต่ไม่ใช่สิ่งที่หนาวเหน็บ กลับกลายเป็นความน่าขยะแขยงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกในโลกใต้บาดาล


รังสีแบบนี้ไม่ใช่ของใหม่สำหรับจางเซวียน และเขาก็รู้ดีว่าอาชีพไหนที่แผ่รังสีแบบนี้ออกมาได้


ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ!


นักปราชญ์โบราณอาวุโสผู้นี้เป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณหรือ?


“เอ๊ะ?”


ขณะที่จางเซวียนรู้สึกถึงความผิดปกติ นักปราชญ์โบราณอาวุโสก็ดูจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในสภาพแวดล้อมโดยรอบเช่นกัน เพียงครู่เดียว รอยย่นก็ปรากฏบนหน้าผากของเขา


เห็นอาการแปลกๆ ของนักปราชญ์โบราณอาวุโส ชายวัยกลางคนตั้งคำถาม “นักปราชญ์โบราณโม่หลิง มีอะไรหรือ?”


“ไม่มีอะไรมากหรอก” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงโบกมือ “ตอนนี้คุณกลับไปได้แล้ว ทำอย่างที่ผมบอก สังหารนักตรวจสอบสมบัติสัก 2-3 คนและทำให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วคนที่เหลือก็จะทำตัวอยู่กับร่องกับรอยเอง!”


“รับทราบ” ชายวัยกลางคนพยักหน้า


เขารีบหันหลังกลับแล้วจากไป


ทันทีที่ชายวัยกลางคนจากไป นักปราชญ์โบราณอาวุโสยืนหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย


จางเซวียนที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่ได้แต่อ้าปากค้าง เราถูกจับได้แล้วหรือ?


เขาไม่กล้าอวดอ้างว่าความสามารถในการปกปิดตัวเองของเขานั้นไร้เทียมทาน แต่ด้วยระดับความลึกของจิตวิญญาณที่เหนือกว่า 30.0 ต่อให้นักปราชญ์โบราณก็ยังหาตัวเขาพบได้ยาก


ความสงสัยเพียงชั่วครู่ก่อนหน้านี้ทำให้พลังจิตวิญญาณของจางเซวียนเกิดความปั่นป่วนเล็กน้อย แต่จางเซวียนก็รีบระงับมันไว้ ในสถานการณ์ปกติ ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงก็ไม่น่าจะรับรู้อะไรที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่านักปราชญ์โบราณอาวุโสผู้นี้จะรู้สึกได้ถึงการปรากฏตัวของเขา?


เวลาค่อยๆล่วงเลยไป แต่นักปราชญ์โบราณอาวุโสก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ จางเซวียนอาจคิดไปเอง แต่เขารู้สึกคล้ายกับว่าจิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณอาวุโสตรึงจิตวิญญาณของเขาไว้ เขารู้ดีว่าหากไม่รีบหนีตอนนี้ อาจไม่มีโอกาสหนีอีกเลย


หนีสิ!


จางเซวียนพุ่งลงสู่พื้นดินโดยไม่ลังเล


“หมดความอดทนแล้วสินะ ใช่ไหม?”


เมื่อเห็นว่าในที่สุดจางเซวียนก็เคลื่อนไหว นักปราชญ์โบราณอาวุโสโม่หลิงลืมตาขึ้นทันที ลำแสงเจิดจ้าฉายวาบออกจากดวงตาของเขา ราวกับเกิดรอยแยกบนท้องฟ้ามืดมิด จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าอย่างแรง


ครืนนนน!


โลกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที คลื่นความสั่นสะเทือนของพลังงานแผ่ออกไปใต้ฝ่าเท้าของเขาราวกับน้ำกระเพื่อม


ในตอนนั้น จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนสัมผัสกับพื้นดิน เขาควรจะดำดิ่งลงไปใต้ดินได้อย่างง่ายดาย แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกระแทกเข้ากับแผ่นโลหะ คลื่นความสั่นสะเทือนของพลังงานพุ่งตรงเข้าใส่ ทำให้เขาล้มกลิ้งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง


เมื่อเห็นว่าเพียงแค่การกระทืบเท้าของอีกฝ่ายก็เกินพอจะขวางทางเขา จางเซวียนหน้าเสีย “แบบนี้ไม่ดีแน่…”


เขาเป็นแค่จิตวิญญาณ เพื่อปกปิดตัวเอง เขาจึงไม่ได้พากระบี่เปลวเพลิงสีดำ ไอ้โหด หรือหอกสวรรค์กระดูกมังกรและอื่นๆที่เหลือมาด้วย ถ้านักปราชญ์โบราณอาวุโสต้อนเขาให้จนมุมได้ล่ะก็ เขาต้องตายแน่


ฟึ่บ!


เมื่อรู้แล้วว่าพื้นดินถูกสกัดกั้น และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะดำดินหนี จางเซวียนพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ


“ถ้าผมปล่อยให้คุณหนีไปได้ล่ะก็ ผมก็ไม่ควรเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว!” นักปราชญ์โบราณอาวุโสคำรามขณะเงื้อมือขึ้น


ฟิ้วววว!


รังสีเย็นเยือกพุ่งเข้าโอบล้อมต้นไม้ใหญ่ทันที ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้โผขึ้นสู่กลางอากาศ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็แข็งทื่อไปอีกครั้ง ราวกับเขาติดอยู่ในกับดักและเคลื่อนไหวไม่ได้


“ทำลายมัน!” จางเซวียนยกนิ้วขึ้นและเคาะเบาๆ


ครืนนนน!


มิติที่อยู่โดยรอบสั่นสะท้าน รอยแยกปรากฏขึ้นทันที


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนยังต้องอาศัยพละกำลังของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อทำลายมิติและสร้างทางเดินของมิติขึ้นใหม่ แต่เมื่อระดับวรยุทธของเขาเข้าถึงขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ก็สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายด้วยการเคาะปลายนิ้ว


“ฮึ่มมม!”


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเหยียดริมฝีปาก ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าจางเซวียนจะเคลื่อนไหวแบบนั้น เขายกสองมือขึ้นและตบมือกลางอากาศ


รอยแยกของมิติสมานตัวเข้าหากันทันที ในเวลาเดียวกัน มิติที่อยู่โดยรอบก็แข็งตัวจนเหมือนกับเป็นโลหะ แม้จางเซวียนจะเพิ่งฉีกกระชากมิติได้อย่างง่ายดายเมื่อครู่ก่อน แต่ตอนนี้เขาพบว่าไม่อาจทำอะไรมันได้อีกแล้ว


ความแข็งแกร่งของนักปราชญ์โบราณจัดว่ายิ่งใหญ่นัก หากไม่มีไอ้โหดกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำ จางเซวียนก็ไม่มีโอกาสรอดเลย


ข้อบกพร่อง!


รู้ดีว่าต้องตายแน่หากเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปแบบนี้ จางเซวียนไม่กล้ายื้อ


ฟึ่บ!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุกเล็กน้อย หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏ


จางเซวียนรีบแตะมัน แล้วรายละเอียดที่อยู่ในหนังสือก็ลอยเข้าสู่สมองของเขา


ในชั่วพริบตา ข้อบกพร่องของมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ก็มาอยู่ในหัว


เข้าใจแล้ว…จางเซวียนพยักหน้า


อีกฝ่ายกำลังใช้ศาสตร์ของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเพื่อสกัดกั้นมิติโดยรอบ แม้จะดูเหมือนว่ามันแข็งแกร่งและไม่อาจถูกเจาะทะลุทะลวงได้ แต่เรื่องจริงก็คือมันมีจุดอ่อนมากมาย


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงถอยไปเล็กน้อยก่อนจะกระทืบเท้าเบาๆลงบนมิติที่อยู่ใต้ร่างของเขา


ฟึ่บ!


มิติที่เขาเพิ่งกระทืบลงไปเบาๆคือหนึ่งในจุดที่ข้อบกพร่องของศาสตร์แห่งผู้พยากรณ์จิตวิญญาณปรากฏ เกิดรอยร้าวที่แผ่กระจายไปทั่วมิติที่อยู่โดยรอบอีกครั้ง


“ฮะ?”


นึกไม่ถึงว่าจิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานจะเอาชนะการสกัดกั้นของเขาได้อย่างง่ายดาย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขมวดคิ้ว เขาเงื้อมือขึ้นเพื่อคว้าตัวจางเซวียน


เพียงแค่ชำเลืองมองแวบเดียว จางเซวียนก็บอกได้ทันทีว่ามีข้อบกพร่อง 8 ข้อในการโจมตีครั้งนี้ จึงพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง


ร่างของเขาเข้าสู่รอยแยกของมิติ และดูเหมือนเขาจะลอดผ่านมิติและหายตัวไปได้ทุกขณะ


“คุณกล้าดีอย่างไร!”


เห็นอีกฝ่ายไม่แยแสการโจมตีของเขาและหาทางหลบหนี นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหน้าดำคร่ำเครียด เขายกสองมือขึ้นและตบมือกลางอากาศอย่างแรง


รอยแยกแห่งมิติสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ถ้าจางเซวียนทรงตัวไม่อยู่ จะต้องแหลกเป็นชิ้นๆแน่


จางเซวียนไม่ตื่นตระหนก เขาระบายลมหายใจยาวก่อนจะยืดแขนออกไปแล้วแตะจุดๆหนึ่งที่อยู่กลางอากาศ


ฟิ้วววว!


นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกได้ทันทีว่าการไหลเวียนของพลังงานของเขาถูกตัดขาด เขาถอยไปสองก้าวด้วยความปั่นป่วน


ฟึ่บ!


เมื่ออดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้ว


ในตอนนั้น พายุดุเดือดก็พัดโหมกระหน่ำทั่วทั้งพื้นที่ รังสีอันโหดเหี้ยมแผ่ลงมาทั่วบริเวณนั้น


“ลาก่อน!”


เพียงชั่วพริบตาหลังจากที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถอดจิตวิญญาณ เสียงสุขุมเยือกเย็นก็ดังเข้าหู จากนั้นรอยแยกแห่งมิติก็หายวับไป และจิตวิญญาณที่เพิ่งอยู่ตรงนี้เมื่อครู่ก่อนก็สลายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)