อัจฉริยะสมองเพชร 1794-1799

 ตอนที่ 1794 ซึมซับแม่เหล็ก

อำมาตย์ทั้งสองไม่ได้มีพละกำลังอ่อนด้อยกว่าเขา อันที่จริง ด้วยสถานภาพของทั้งคู่ พวกเขามีองครักษ์มากมายนับไม่ถ้วนคอยคุ้มกัน การจะเข้าท้าทายพวกเขาย่อมหมายถึงการฆ่าตัวตาย!


ต่อให้เขาได้เทคนิคการควบคุมอำนาจของแม่เหล็กมา ก็ต้องรักษาชีวิตไว้ให้ได้เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน!


“นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินคงไม่ได้กลัวสองอำมาตย์นั่นหรอกนะ ใช่ไหม?” จางเซวียนถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


“ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกแล้ว และไม่ต้องการเสี่ยงอันตรายเพราะมันด้วย” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินตอบอย่างสุขุมพร้อมกับโบกมือ “ถ้าเรื่องนี้ทำให้คุณคิดว่าผมขี้ขลาดล่ะก็ เชิญคิดตามสบาย!”


“ในเมื่อคุณพูดอย่างนั้น นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน, ก็คงไม่เหมาะนักที่พวกเราจะรบกวนคุณอีก แต่ก่อนที่จะอำลา มีอย่างหนึ่งที่ผมจะขอแนะนำคุณ” จางเซวียนพูดพร้อมกับหรี่ตา


“อำนาจของแม่เหล็กเป็นพละกำลังพิเศษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ผมเข้าใจเหตุผลของคุณที่เลือก ศึกษาอำนาจนี้ เพื่อจะได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่การกระทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับความพยายามกลืนกินอำนาจสวรรค์ ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณของคุณจะต้องได้รับผลกระทบจากแรงตีกลับของการกระทำนั้น…”


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด การที่คุณอยู่ที่ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ถึง 3000 ปีน่ะไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากไปจากที่นี่ แต่เพราะการจะทำอย่างนั้นเป็นเรื่องยากมาก ใช่ไหม?”


แม้ดูเผินๆ นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจะทรงพลัง แต่อันที่จริง เขาอยู่ในสถานภาพที่ล่อแหลมมาก พฤติกรรมของเขาในการพยายามกลืนกินอำนาจของแม่เหล็กอาจเรียกได้ว่าเป็นการท้าทายเจตจำนงของสวรรค์ หากเขาทิ้งภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ไป ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการลงทัณฑ์จากสวรรค์จะต้องตรงเข้าเล่นงานเขาแน่


ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดผู้หยิ่งผยอง แต่ลงท้าย เขาก็เลือกที่จะ ฝังตัวอยู่ในดินแดนรกร้างแห่งนี้ ไม่กล้าจากมันไป


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน แต่ก็ปฏิเสธทันควันพร้อมกับคำราม “ด้วยพละกำลังของผมในตอนนี้ คุณคิดว่าผมจะหวาดกลัวกับแค่การลงทัณฑ์ของสวรรค์หรือ? ถ้าผมอยากออกไป ก็ไม่มีใครยับยั้งผมได้ ต่อให้สวรรค์ก็เถอะ!”


ก็จริงที่ว่าเขาเกรงกลัวการลงทัณฑ์จากสวรรค์ แต่ตราบใดที่เขาทุ่มสุดตัว ก็มั่นใจว่าจะสามารถออกไปโดยยังมีชีวิตอยู่ได้ เพียงแต่จะมีความเสี่ยงมากสักหน่อยเท่านั้น


“ผมเข้าใจ…ผมดีใจนะที่ได้รู้ว่าคุณมั่นใจ ขออภัยด้วยที่จุ้นจ้านไปสักหน่อย แต่ผมอยากให้คำแนะนำกับคุณเป็นข้อสุดท้าย อำนาจของแม่เหล็กเป็นแหล่งพละกำลังอันน่าทึ่ง แต่การจะหลอมรวมมันเข้ากับสายเลือดของคุณน่ะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะมันจะทำให้คุณพบเจอกับปัญหาไม่จบไม่สิ้นในอนาคต คุณจะไม่อาจทำนายได้เลยว่าทางเดินพลังปราณกับร่างกายของคุณจะแปรสภาพไปอย่างไรบ้างจากผลของมัน!”


จางเซวียนส่ายหัวและหันกลับไปพูดกับหวู่เฉิน “ไปกันเถอะ!”


“ไป?” หวู่เฉินถึงกับชะงัก


เหตุผลที่เขาลงทุนมาถึงนี่ก็เพื่อจะหว่านล้อมให้นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินยอมเป็นพรรคพวก แต่นี่เพิ่งพูดคุยกันได้ไม่กี่คำ ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย ก็จะกลับเสียแล้ว


การขอความช่วยเหลือจากนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทำ หากอีกฝ่ายไม่ช่วย โอกาสที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็มีน้อยมาก หรือบางทีอาจไม่มีทางเป็นไปได้เลย!


ฟิ้วววว!


ขณะที่หวู่เฉินกำลังครุ่นคิดหนัก จางเซวียนก็ออกจากพื้นที่ไปแล้ว หวู่เฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามชายหนุ่มไป


เพราะได้เข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณที่ภูเขาห้วยขาวพร้อมกับจางเซวียน หวู่เฉินจึงรู้ดีว่าชายหนุ่มมีความสามารถพิเศษเหนือกว่าใครๆ เขาคงมีเหตุผลที่เลือกทำแบบนี้


หลังจากบินไปได้ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็หยุดกึก เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศและเขม้นมองไปยังทิศทางที่เพิ่งจากมา


“คราวนี้เราจะทำอย่างไร?” หวู่เฉินตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“เราจะรออยู่ที่นี่แหละ ใครจะรู้? บางทีนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินอาจเปลี่ยนใจมาเข้าร่วมกับเราก็ได้” จางเซวียนตอบพร้อมส่งรอยยิ้มลึกลับ


คำถามมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในสมองของหวู่เฉิน


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินรู้ตัวว่าจะต้องรับการลงทัณฑ์จากสวรรค์หากออกไปจากภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ แล้วมันเรื่องอะไรที่จู่ๆเขาจะเปลี่ยนใจและยอมเสี่ยงด้วยการมาเข้าร่วมกับพวกเขา?


แต่หวู่เฉินก็รู้ว่าจางเซวียนคงไม่พูดอะไรแบบนั้นโดยปราศจากเหตุผล จึงยืนอยู่เงียบๆและเขม้นมองไปทางทิศที่หลุมดำตั้งอยู่


…..


“เจ้าหนุ่มนั่นรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังซึมซับสินแร่แม่เหล็กในหลุมดำเข้าสู่ร่างกาย?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพึมพำอย่างงุนงง


เหตุผลที่เขาสามารถควบคุมอำนาจของแม่เหล็กได้ไม่ใช่เพราะความปราดเปรื่องที่เหนือชั้นกว่าธรรมดา แต่เพราะเขาได้ใช้เวลาถึง 3 พันปีในส่วนลึกของหลุมดำเพื่อซึมซับสินแร่แม่เหล็กเข้าสู่ร่างกายของเขา


สินแร่แม่เหล็กเป็นแม่เหล็กชนิดหนึ่งที่แผ่สนามแม่เหล็กอันทรงพลังออกจากตัวมัน หากใครสักคนสามารถควบคุมสนามแม่เหล็กตามธรรมชาติของโลกได้ ผู้นั้นก็จะสามารถบังคับและโจมตีพลังปราณของคู่ต่อสู้ ทำให้อีกฝ่ายปราศจากเรี่ยวแรง


“ช่างมันเถอะ มัวคิดมากเรื่องที่เจ้าหนุ่มนั่นพูดก็ไม่มีประโยชน์ อีกเพียงก้าวเดียวเราก็จะซึมซับสินแร่แม่เหล็กเข้าสู่ร่างกายของเราได้แล้ว รีบทำมันให้สำเร็จก่อนจะเจอเรื่องยุ่งยากกว่านี้จะดีกว่า…”


เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจคำพูดของชายหนุ่ม นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินตัดสินใจทิ้งเรื่องนั้นไป เขาดำดิ่งกลับเข้าสู่ความมืดมิดของหลุมดำ และไม่ช้าก็มาถึงบริเวณที่ลึกที่สุด


มีหิน 5 สีก้อนหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าเขา มันแผ่ลำแสงเจิดจ้าออกมา ดูเหมือนจะเป็นแหล่งพลังงาน แม่เหล็กปริมาณมหาศาลที่อยู่ในพื้นที่ นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินทาบฝ่ามือลงไป จากนั้นก็สูดหายใจลึกก่อนจะปล่อยพลังเข้าใส่สินแร่แม่เหล็ก พยายามซึมซับมัน


เขาใช้เวลาถึงหนึ่งพันปีเพื่อเข้าใกล้สินแร่แม่เหล็ก และอีกหนึ่งพันปีเพื่อจะได้ทาบฝ่ามือลงบนสินแร่นั้น ในตอนนี้ ขอแค่เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่สินแร่แม่เหล็กได้ ก็จะซึมซับมันได้สำเร็จ


สิ่งที่ยังขาดอยู่คือก้าวสุดท้าย


ทันทีที่เขาทำสำเร็จ ตัวเขาจะไม่ต่างอะไรกับภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ที่เคลื่อนที่ได้ เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวการลงทัณฑ์จากสวรรค์ และพร้อมเล่นงานคู่ต่อสู้ทุกคนอย่างง่ายดาย


ฟิ้วววว!


ขณะที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินปล่อยพลังปราณเข้าสู่สินแร่แม่เหล็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร่างของเขาก็ดูจะหลอมรวมเข้ากับอำนาจของแม่เหล็ก ไม่ช้า สินแร่แม่เหล็กก็เริ่มจำนนต่อพละกำลังของเขา มันค่อยๆหลอมรวมเข้ากับฝ่ามือของเขาอย่างช้าๆ


“สำเร็จแล้ว!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขารีบส่งพลังงานเข้าไปเพื่อเร่งกระบวนการซึมซับ


บึ้มมมม!


เมื่อก้อนหิน 5 สีกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมือของเขา ลำแสงเจิดจ้าก็ระเบิดออกจากร่าง ราวกับจะบ่งบอกถึงวิวัฒนาการในการก้าวสู่ขั้นที่สูงขึ้น


เมื่อรู้สึกได้ถึงอำนาจของแม่เหล็กที่พลุ่งพล่านทั่วร่างกาย นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหัวเราะร่าราวกับจะประกาศชัยชนะ เขาพยายามขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ที่ได้มาใหม่ ก็พอดีกับที่ต้องตัวแข็งทื่อไป ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง พลังปราณในร่างของเขาดูจะถูก พละกำลังบางชนิดสกัดกั้นไว้ ทำให้ไม่อาจขับเคลื่อนมันได้อย่างอิสระเหมือนเดิม


“เกิดอะไรขึ้น?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


เขารีบตรวจสอบร่างกายของตัวเอง พริบตาต่อมา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพบว่าทางเดินพลังปราณของเขาสูญเสียความยืดหยุ่นที่เคยมีแต่เดิม มันสะท้อนประกายโลหะออกมา ราวกับว่าพวกมันทำจากเหล็ก การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของทางเดินพลังปราณของเขาทำให้พลังปราณไหลเวียนผ่านมันไปได้ยากมาก


“มันค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นหิน…นี่เรากำลังกลายเป็นหินหรือ?”


ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทางเดินพลังปราณ แต่ทั้งกล้ามเนื้อและเส้นเลือดก็เริ่มแข็งทื่อ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าประสาทสัมผัสเสื่อมสภาพไป ราวกับความตายกำลังเดินทางเข้ามาและกลืนกินจิตใต้สำนึกของเขาไปอย่างช้าๆ


ในตอนนั้น ไม่มีทางที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจะไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น


ขณะที่เขาพยายามซึมซับสินแร่แม่เหล็กเพื่อดึงอำนาจของแม่เหล็กมาเป็นของตัวเอง อำนาจของแม่เหล็กก็ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างในร่างกายของเขาอย่างเงียบๆ พยายามจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นแม่เหล็กอันใหญ่!


อีกนัยหนึ่ง สิ่งนี้เหมือนกับการที่วัตถุซึ่งมีอำนาจแม่เหล็กจะมีคุณสมบัติเหมือนแม่เหล็กหากได้สัมผัสกับสนามแม่เหล็กอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน


โครงสร้างภายในร่างกายของเขาถูกปรับเปลี่ยนอย่างช้าๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว


หากเขาเป็นสิ่งไม่มีชีวิต การเปลี่ยนแปลงแบบนี้คงไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้น แต่เขาเป็นสิ่งมีชีวิต! ทันทีที่ร่างกายและทางเดินพลังปราณของเขาแปรสภาพเป็นหินทั้งหมด เขาจะยังพูดหรือสู้รบได้หรือ? สติสัมปชัญญะของเขาจะยังคงอยู่หรือเปล่า?


แม้แต่จิตวิญญาณของเราก็กำลังถูกอำนาจของแม่เหล็กดูดกลืน นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินครุ่นคิดด้วยความพรั่นพรึง เหงื่อเย็นๆเกาะพราวที่หน้าผาก


ไม่ใช่แค่ทางเดินพลังปราณและร่างกายของเขาเท่านั้นที่ค่อยๆแข็งตัว แม้แต่เลือดและจิตวิญญาณของเขาก็ไม่ได้รับการละเว้น นักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังอย่างเขาจะต้องจบชีวิตแบบนี้จริงๆหรือ?


“ปัญหาไม่จบไม่สิ้น, การแปรสภาพ…เจ้าหนุ่มนั่นต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่…” เมื่อรู้แล้วว่าตัวเขาเข้าใกล้ความตายเต็มที นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินนึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินจากชายหนุ่ม เขากำหมัดแน่น


ไม่เพียงแต่เจ้าหนุ่มคนนั้นจะรู้ว่าเขากำลังซึมซับสินแร่แม่เหล็ก ยังรู้แม้กระทั่งผลกระทบของการทำแบบนั้นด้วย ถ้าเขาอยากจะหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ เดิมพันที่เข้าท่าที่สุดก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม!


ฟิ้วววว!


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินรู้แล้วว่าชีวิตของเขากำลังนับถอยหลัง แล้วจะมัวลังเลได้อย่างไร? เขาบินขึ้นจากหลุมดำและพุ่งตรงไปยังทิศทางที่จางเซวียนกับหวู่เฉินหายลับไป


ตอนที่ 1795 เขาคือนายน้อยของผม

ขณะที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินบินไป ก็รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆสูญเสียการควบคุมร่างกายที่แข็งทื่อไปทีละน้อย ดูเหมือนเขาพร้อมจะร่วงลงจากกลางอากาศได้ทุกขณะ


เมื่อนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินใกล้หมดความอดทน ก็เห็นร่างของอำมาตย์เฉินหย่งกับชายหนุ่ม ราวกับทั้งคู่รู้ว่าเขาจะต้องมาตามหา จึงเลือกที่จะรออยู่


“ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย!”


รู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในกำลังกลายเป็นหินอย่างรวดเร็ว นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งอีกต่อไป เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มอย่างพรั่นพรึง


ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดมีความสามารถพิเศษในการเรียกชีวิตกลับคืนมา พวกเขาฟื้นคืนชีพได้แม้จากความตาย แต่หากต้องกลายเป็นหิน ต่อให้ความสามารถในการเรียกชีวิตนั้นทรงพลังแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ ความเป็นไปได้ข้อเดียวที่จะต้องเผชิญคือความตายเท่านั้น!


แม้นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจะเลือกละทิ้งทางโลกแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาพร้อมจะตาย


“ผมเป็นแค่นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ความสามารถมีจำกัด คนเดียวที่จะช่วยคุณได้ในตอนนี้คืออำมาตย์เฉินหย่ง แต่เขาก็กำลังถูกตามล่าโดยกลุ่มคนทรยศ ผมจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะมีเวลาช่วยเหลือคุณหรือไม่” จางเซวียนโบกมือ


ในเมื่อนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินไม่เต็มใจช่วยทั้งที่พวกเขาพยายามวิงวอนแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือเพียงเพราะอีกฝ่ายเรียกร้อง


“ผม…” นึกไม่ถึงว่าคำพูดนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างทันทีทันควัน นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถึงกับหน้าซีด เขาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนละล่ำละลัก “อำมาตย์เฉินหย่ง ขอแค่คุณยอมช่วยชีวิตผม ผมยินดีทำตามคำสั่งของคุณ!”


สถานการณ์นั้นเห็นได้ชัดเจน หากอีกฝ่ายปฏิเสธ ก็หมายถึงความตายเท่านั้น แต่ถ้าอีกฝ่ายตกลง เขาก็ยังพอมีโอกาสเอาชีวิตรอด ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็จะได้ทั้งความมั่งคั่งและพละกำลังกลับคืนมา การตัดสินใจที่เขาต้องจัดการให้ลุล่วงนั้นมองเห็นได้ชัดเจน


“ในเมื่อคุณตกลง ผมก็คิดว่าอำมาตย์เฉินหย่งคงพอปลีกเวลามาช่วยเหลือคุณได้” จางเซวียนตอบ


จากนั้นเขาก็ส่งโทรจิตหาหวู่เฉิน


ได้ฟังโทรจิตของจางเซวียน หวู่เฉินตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ “ทำแบบนี้จะดีหรือ?”


จางเซวียนพยักหน้า


“อย่างนั้นก็ได้…”


หวู่เฉินสูดหายใจลึก เขาสะบัดข้อมือและนำกระบี่เล่มยาวออกมา


ฟึ่บ!


กระบี่นั้นฉีกกระชากมิติ แล้วตวัดเข้าใส่ร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน


ฟึ่บ!


เพราะร่างกายของอีกฝ่ายแข็งกระด้าง จึงเกิดประกายไฟแปลบปลาบบนแผงอกของเขาก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้


เลือดสดๆ ทะลักออกมาราวกับน้ำตก


“คุณทำอะไรน่ะ?” นึกไม่ถึงว่าอำมาตย์เฉินหย่งจะเล่นงานเขา นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหรี่ตาอย่างดุดัน


“เขาจะทำอะไรอื่นได้ล่ะ? เห็นๆอยู่ว่าเขากำลังพยายามช่วยชีวิตคุณ” จางเซวียนตอบอย่างหงุดหงิด “ถ้าคุณไม่เชื่อใจพวกเราล่ะก็ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”


ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินแทบร่วงจากกลางอากาศ


ผมทำอะไรให้พวกคุณขุ่นเคือง ถึงต้องเจอกับการโจมตีจากกระบี่แบบนี้?


แม้เขาจะสุดแสนคับอกคับใจ แต่ก็ทำได้แค่ระงับอารมณ์ไว้และประสานมือ “ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยชีวิตผมด้วย…”


“ต้องแบบนี้สิ!” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเดินเข้าหานักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินและทาบนิ้วลงบนประกายไฟที่อยู่บนแผงอกของอีกฝ่าย


ทันทีที่เลือดสัมผัสกับปลายนิ้วของจางเซวียน ประกายเจิดจ้า 5 สี ก็สาดออกไปโดยรอบ ดูเหมือนมีบางอย่างถูกสกัดออกมาจากร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน


ลำแสงนั้นทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ปลายนิ้วของจางเซวียน ไม่ช้ามันก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปก้อนหิน


มันคือสินแร่แม่เหล็กที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินซึมซับเมื่อครู่นี้


ขณะที่ลำแสง 5 สีเริ่มจางไป นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินก็รู้สึกได้ว่าร่างกายที่แข็งทื่อของเขาค่อยๆฟื้นคืนความรู้สึกดังเดิม


ในเวลาเดียวกัน สินแร่แม่เหล็กที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็สั่นสะท้านไม่หยุด รังสีเกรี้ยวกราดแผ่ออกมา ราวกับมันโมโหที่ได้รู้ว่าใครคนหนึ่งทำลายแผนการของมัน และมันต้องการสร้างความปั่นป่วน แต่เพราะถูกพลังปราณของชายหนุ่มห่อหุ้มไว้ จึงทำอะไรไม่ได้


“สินแร่แม่เหล็กก้อนนี้…มีเจตจำนงของตัวเองหรือ?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินตาค้างด้วยความพรั่นพรึง


เขาอยู่กับมันมากว่าสามพันปี แต่ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นของล้ำค่าที่มีชีวิตจิตใจ!


การจะทำให้ของล้ำค่าที่มีชีวิตจิตใจยอมจำนนนั้นยากกว่าการทำให้อาวุธทั่วไปยอมจำนนมาก สำหรับอาวุธที่มีชีวิตจิตใจ การจะทำให้พวกมันยอมจำนนได้คือต้องใช้พลังปราณ


“มันไม่ได้มีชีวิตจิตใจตั้งแต่แรกหรอก แต่เพราะคุณพยายามซึมซับมันโดยใช้พลังปราณ มันจึงใช้อำนาจของแม่เหล็กในตัวมันซึมซับพลังปราณโดยอัตโนมัติ ในท้ายที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป มันก็มีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง” จางเซวียนอธิบาย


“คุณไม่รู้เรื่องนี้เพราะมันถูกปลุกให้ตื่นตอนที่คุณเสร็จสิ้นการซึมซับมัน วินาทีที่คุณแปรสภาพเป็นแม่เหล็กคือวินาทีที่มันจะได้ร่างกายและจิตวิญญาณกลับมา ซึ่งก็หมายถึงความตายของคุณ…”


ไม่เคยมีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่พยายามทำเรื่องแบบนี้ จึงไม่น่าแปลกที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจะลงเอยด้วยการมองข้ามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับร่างกายของเขา


ทรัพยากรล้ำค่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างสินแร่แม่เหล็กนั้นมีพละกำลังมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักรบคนไหนก็ตาม ซึ่งรวมถึงนักปราชญ์โบราณจะเข้าถึงอำนาจของมันได้ง่ายๆ


ไม่อย่างนั้น หลุมดำของภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์คงว่างเปล่าไปนานแล้ว!


แน่นอนว่ามันออกจะบังเอิญไปสักหน่อยที่สินแร่แม่เหล็กถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพหลังจากที่จางเซวียนกับหวู่เฉินผ่านเข้าไป แต่เรื่องจริงก็คือ สินแร่นั้นใช้เวลานานหลายปีในการสั่งสมชีวิตจิตใจของตัวเอง และกระบวนการที่แปรสภาพร่างกายของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินให้กลายเป็นแม่เหล็กก็เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่เป็นเพราะจางเซวียนแอบควบคุมอำนาจของแม่เหล็กไว้อย่างเงียบๆ เพื่อร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณของสินแร่แม่เหล็ก


นี่เป็นกลยุทธที่เขาได้เรียนรู้จากไม้ทรายเหลืองวิปลาส ถึงนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจะทรงพลังแค่ไหน เขาก็ยังตกหลุมพรางตื้นๆอันนี้ได้เพราะไม่ทันระมัดระวังตัว


จริงอยู่ว่าการกระทำของจางเซวียนทำให้นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินต้องจนมุม แต่ถึงอย่างไร เหตุการณ์แบบนี้ก็จะต้องเกิดขึ้น เขาแค่คลี่คลายภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องเกือบเอาชีวิตมาทิ้งเพียงเพราะหินก้อนหนึ่ง


“อำนาจของแม่เหล็กเป็นพละกำลังพิเศษในธรรมชาติ ไม่ใช่อำนาจที่ใครคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญมันได้ง่ายๆ” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะกำสินแร่แม่เหล็กที่อยู่ในมือของเขาไว้แน่น


ลำแสงหลากสีเริ่มจางหายไปจากร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน แล้วกลับคืนสู่ก้อนสินแร่แม่เหล็กที่อยู่ในมือของจางเซวียน มันดิ้นรนอย่างดุเดือด แต่ก็ไม่เป็นผล


เมื่อลำแสงเส้นสุดท้ายถูกดึงออกจากร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินได้สำเร็จ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ อำนาจของแม่เหล็กถูกถอดถอนออกจากร่างของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์แล้ว เขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป


เอาล่ะ ขอดูหน่อยว่าเราจะทำให้มันยอมจำนนได้หรือเปล่า…


เป็นเรื่องลำบากยากเย็นและอันตรายมากสำหรับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินที่จะทำให้สินแร่แม่เหล็กก้อนนี้ยอมจำนนภายใต้สถานการณ์ปกติ แต่หากจางเซวียนสามารถปรับเปลี่ยนพลังปราณเทียบฟ้าให้เลียนแบบอำนาจของแม่เหล็กได้ เขาก็น่าจะทำให้มันยอมจำนนได้ไม่ยาก


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า และเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณของเขาเข้าสู่สินแร่แม่เหล็ก


ฟิ้วววว!


ลำแสงเจิดจ้าที่อยู่ภายในสินแร่แม่เหล็กแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังงานที่พวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา


เพราะจิตใต้สำนึกของจางเซวียนดำดิ่งอยู่ในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เขาจึงสามารถฝึกฝนวรยุทธได้เร็วกว่าปกติถึง 10 เท่า ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดที่หวู่เฉินกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเห็นจึงมีเพียงลำแสงเจิดจ้าที่โอบล้อมร่างของจางเซวียนไว้ ทำให้ทั้งคู่มองเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น


“สินแร่แม่เหล็กกำลังพยายามกลืนกินเขาหรือเปล่า?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถามด้วยความกังวล


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่สินแร่แม่เหล็กเกือบจะเปลี่ยนตัวเขาให้กลายเป็นหุ่นกระบอก เป็นไปได้ไหมว่ามันโมโหชายหนุ่มที่มาถอดถอนมันออกจากร่างของเขาและอยากแก้แค้น?


แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาควรทำอย่างไร? ทุกคนได้เห็นอานุภาพอันน่าสะพรึงของสินแร่แม่เหล็กแล้ว และดูเหมือนว่าคงต้องบาดเจ็บสาหัสแน่หากพยายามพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตชายหนุ่ม


“เอ่อ…เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ในเมื่อเขาแก้ไขอำนาจของแม่เหล็กที่อยู่ในร่างของคุณได้ ก็น่าจะ จัดการปัญหาตอนนี้ได้เหมือนกัน” หวู่เฉินออกจะงงงันเล็กน้อยกับเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่


ในเมื่อชายหนุ่มคือผู้ที่เข้าตาเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ก็แน่นอนว่าเขาน่าจะมีความสามารถเหนือชั้นกว่าคนทั่วไป


ได้ยินคำตอบของหวู่เฉิน นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหันมามองอย่างงุนงงและตั้งคำถาม “เจ้าหนุ่มคนนี้…คือศิษย์สายตรงที่คุณเพิ่งรับไว้หรือเปล่า?”


เขารู้จักอำมาตย์เฉินหย่งมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่เคยพบชายหนุ่มคนนี้มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ได้ยินเรื่องร่ำลือว่าอีกฝ่ายเพิ่งรับผู้สืบทอดไว้คนหนึ่ง หรือว่าชายหนุ่มคือผู้สืบทอดคนนั้น?


แต่ถ้าอีกฝ่ายคือผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่งจริงๆ ทำไมถึงดูเหมือนว่าเขาคือคนตัดสินใจ อีกอย่าง จากบทสนทนาของทั้งคู่ ก็ดูเหมือนสถานภาพของชายหนุ่มจะเหนือกว่าอำมาตย์เฉินหย่ง!


“ศิษย์สายตรงหรือ? พี่เฮ่าฉวิน คุณให้เกียรติผมมากไปเสียแล้วล่ะ ชายหนุ่มคนนี้คือนายน้อยของผม!” หวู่เฉินรีบแก้ไขความเข้าใจผิด


“นายน้อย?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


ตอนที่ 1796 นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

ท่านปู่ของอำมาตย์เฉินหย่งคือไอ้โหดผู้เป็นตำนานที่สามารถต่อกรกับปรมาจารย์ขงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ชื่อของเขาระบือลั่นตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ เป็นบุคคลที่ไม่อาจมีใครอยู่เหนือกว่า


ทั้งสองเป็นนักปราชญ์โบราณเหมือนกัน แต่ก็มีสถานภาพที่เหลื่อมล้ำ เพราะตั้งแต่อายุยังน้อย อำมาตย์เฉินหย่งก็ได้รับการวางตัวให้เป็นอำมาตย์คนต่อไปของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นแล้ว


แต่ทั้งๆที่มีสถานภาพสูงส่งขนาดนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังเรียกขานใครคนหนึ่งว่า ‘นายน้อย’?


เรื่องนี้เหลวไหลสิ้นดี!


ในโลกนี้ มีใครกันที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเรียกขานเขาแบบนั้น?


“เขาคือคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” ได้ยินชื่อนั้น นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถึงกับตัวงอด้วยความหวาดกลัว


เหตุผลที่เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณมีพละกำลังสูงส่งในโลกนี้ก็เพราะการมีอยู่และการได้รับการปกป้องจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ การที่ชายหนุ่มเป็นถึงคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็แปลว่าเขาคือบุคคลที่มีสถานภาพสูงส่งมาก


เมื่อนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหันมามองจางเซวียนอีกครั้งนัยน์ตาของเขาก็เปี่ยมด้วยความยำเกรง


ส่วนจางเซวียนก็ไม่ได้ใส่ใจการซุบซิบของคนทั้งสอง ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเขาทุ่มเทให้กับการซึมซับอำนาจของแม่เหล็กในสินแร่แม่เหล็กก้อนนั้น


การสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสานหมายถึงกายเนื้อและจิตวิญญาณที่ไม่อาจถูกทำลายได้ ซึ่งการจะสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนและบ่มเพาะเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ด้วยการขัดเกลาร่างกายของเขาโดยใช้อำนาจของสินแร่แม่เหล็ก เขาจะสามารถเข้าใกล้วรยุทธระดับนั้นได้ทีละน้อย


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น จางเซวียนก็ฝ่าด่านคอขวดได้สำเร็จ กล้ามเนื้อและจิตวิญญาณของเขาแผ่รังสีเจิดจ้าออกมา เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสวรรค์ที่ไม่อาจถูกทำลายได้


วรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน!


จางเซวียนเคยคิดว่าเขาคงต้องใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะทำให้อำนาจของแม่เหล็กยอมจำนนได้รวดเร็วอย่างที่เห็น?


หลังจากฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จางเซวียนก็ยังไม่หยุดพัก เขากลืนกินลำแสงเจิดจ้าที่โอบล้อม ร่างของตัวเองต่อไป


ในเมื่อสินแร่แม่เหล็กสามารถเล่นงานได้แม้แต่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ก็ไม่ต้องตั้งคำถามถึงพลังงานมหาศาลที่บรรจุอยู่ในตัวมัน ขณะที่พลังงานพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของจางเซวียน วรยุทธของเขาก็พุ่งพรวด


ชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้น!


ชั่วกัลปาวสาน ขั้นกลาง!


ภายใน 1 ชั่วโมง จางเซวียนก็สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก


ฟิ้ววววว!


พลังงานปริมาณมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเขา แต่เพราะมาถึงด่านคอขวดอีกครั้ง จางเซวียนจึงไม่อาจซึมซับพลังงานได้มากกว่าเดิม เขาลืมตาขึ้นช้าๆ


ในที่สุดเขาก็สำเร็จวรยุทธระดับเดียวกันกับบรรดาลูกศิษย์และท่านพ่อท่านแม่ของเขาแล้ว


การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานได้เพิ่มพละกำลังให้จางเซวียนอีกมาก เมื่อมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ในมือ ต่อให้ไม่มีกระบี่เปลวเพลิงสีดำคอยช่วยเหลือ จางเซวียนก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบสายเลือด หากต้องต่อสู้กันจริงๆ


แน่นอนว่าความแข็งแกร่งสูงสุดของนักปราชญ์โบราณอยู่ที่ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติของพวกเขา เช่นเดียวกับความเข้าใจทั้งหมดที่มีต่อโลก ส่วนพละกำลังมีบทบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้นต่อประสิทธิภาพการต่อสู้โดยรวม


จางเซวียนรู้ดีว่าเขายังคงห่างไกลจากการจะเล่นงานนักปราชญ์โบราณสักคนหนึ่ง


ขอแค่เราได้แรงบันดาลใจเหมาะๆ ก็คงจะฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้เร็วๆนี้! จางเซวียนคิด


เป้าหมายสูงสุดของเขาในตอนนี้คือการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


เขาบรรลุเงื่อนไขเรื่องระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณแล้ว ทั้งยังได้ครอบครองนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณด้วย ขอแค่สามารถทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆจนถึงระดับที่อยู่เหนือสวรรค์ ก็จะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้


มีแต่การได้เป็นนักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะทำให้เขาเป็นผู้มีพละกำลังสูงสุดของโลก สามารถรับมือกับข้าศึกที่ขวางทาง และตามหาตัวหลัวลั่วชิงได้


รู้ดีว่ายังคงต้องใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนจึงหยุดการยกระดับวรยุทธไว้ก่อน เขาโบกมือ แล้วลำแสงเจิดจ้าที่อยู่รอบตัวก็ถูกดูดกลับเข้าสู่สินแร่เหล็กก้อนนั้น แต่คราวนี้ ขนาดของมันหดเล็กลงจนเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง


จางเซวียนฝึกฝนวรยุทธอีกกว่า 1 ชั่วโมงในหอสมุดเทียบฟ้า แต่เวลาในโลกแห่งความเป็นจริงผ่านไปราว 8 นาทีเท่านั้น


“ระดับวรยุทธของคุณ…” เมื่อลำแสงจางไป หวู่เฉินรู้สึกได้ทันทีถึงพละกำลังของจางเซวียนที่ต่างไปจากเดิม เขาอ้าปากค้าง


ฝ่าด่านวรยุทธอีกแล้ว?


เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณไม่ใช่หรือ?


ในตอนนั้น หวู่เฉินรู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างรุนแรง เขาใช้เวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาทุ่มเทให้กับการยกระดับวรยุทธ แต่ก็เทียบไม่ได้กับความพยายามเพียงไม่กี่นาทีของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า


ขณะที่คนอื่นๆทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อหวังว่าจะสามารถยกระดับวรยุทธได้ แต่ก็กลับไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของสำหรับชายหนุ่มคนนี้


ช่างอยุติธรรมเหลือเกิน!


นักรบคนอื่นๆจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรหากได้รับรู้ความอยุติธรรมข้อนี้?


จางเซวียนไม่ใส่ใจทั้งคู่ เขาหันไปพูดกับนักปราชญ์เฮ่าฉวิน “ผมแก้ไขความบอบช้ำของคุณและกำจัดเจตจำนงที่อยู่ภายในสินแร่แม่เหล็กแล้ว คุณสามารถใช้มันได้เหมือนกับของล้ำค่าชิ้นอื่นๆ แต่จะดีที่สุดหากคุณจะไม่พยายามซึมซับมัน ไม่อย่างนั้น สถานการณ์แบบเดิมจะหวนกลับมาอีก”


หลังจากพูดจบ เขาก็โยนสินแร่แม่เหล็กให้นักปราชญ์เฮ่าฉวิน


การบ่มเพาะยาวนาน 3 พันปีจากนักปราชญ์เฮ่าฉวินทำให้มันมีพละกำลังมหาศาล ซึ่งในเมื่อจางเซวียนได้รับประโยชน์มากมายไปแล้ว ก็คงไม่เหมาะสมหากเขาพยายามจะเก็บสินแร่เหล็กก้อนนี้ไว้กับตัว


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะรับสินแร่เหล็กมา จากนั้นก็หันไปตั้งคำถามกับอำมาตย์เฉินหย่ง “ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณมีแผนการอย่างไร? ผมจะทำตามคำสั่งของคุณ!”


ในเมื่อเขาได้ให้สัญญากับทั้งคู่แล้วว่าจะช่วย ก็ไม่ควรคืนคำ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ว่าชายหนุ่มเป็นถึงคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ


“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงมีนักปราชญ์โบราณเป็นพรรคพวกถึง 8 คน” อำมาตย์เฉินหย่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้เรายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะรับมือกับพวกเขา ผมจึงตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเพื่อขอความช่วยเหลือ”


“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินขมวดคิ้ว “คุณหมายถึงบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรใช่ไหม? ถ้าผมจำไม่ผิด คุณทะเลาะกับเขาเมื่อครั้งที่เข้าโจมตีเผ่าพันธุ์ของเขาเมื่อหลายปีก่อน หากเขาเจอคุณในสภาพนี้ล่ะก็ เขาฆ่าคุณแน่!”


นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์ปีศาจแต่เป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรที่อาศัยอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ในแง่ของพละกำลัง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงนั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเสียอีก


แต่ทั้งนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอำมาตย์เฉินหย่งมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันตั้งแต่เกิดสงครามเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาไม่น่าจะหว่านล้อมนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้ยอมช่วยเหลือได้กลับตรงกันข้าม อีกฝ่ายอาจราดน้ำมันลงบนกองไฟให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม!


“มีนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอยู่มากมายในโลกนี้ ถ้าผมไม่ขอความช่วยเหลือจากเขา เราก็ไม่มีทางเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้” อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าอย่างหมดหวัง


เขามั่นใจว่าสามารถรับมือกับนักปราชญ์โบราณทั้ง 8 คนได้ แต่สำหรับอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิง ทั้งสองแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะเอาชนะได้ในสภาพแบบนี้ เขาต้องการความช่วยเหลือจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธระดับเดียวกันเพื่อรับมือกับทั้งคู่


หากเขาขอความช่วยเหลือจากนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะคนเหล่านั้นไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้นอกจากเป็นเหยื่อโอชะในสายตาของสองอำมาตย์ เขาจึงต้องขอความช่วยเหลือนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน


“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงมาจากเผ่าพันธุ์อสูรใช่ไหม?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


“รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาคือยักษ์ใหญ่เปลวเพลิง ในแง่ของพละกำลัง เขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่าผมมากนัก ในครั้งนั้น เพราะเขาเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมจึงโจมตีเขากับเหล่าสมาชิกเผ่าพันธุ์อสูรเพื่อขับไล่ออกไป จึงเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างเราทั้งคู่” หวู่เฉินพูด


ถ้าเขามีทางเลือกอื่น ก็คงไม่เลือกทำอะไรแบบนี้ เพราะจากเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงที่ความขัดแย้งครั้งเก่าจะคุกรุ่นขึ้นอีก


“นายน้อย ถ้าผมจำไม่ผิด คุณมีความสามารถพิเศษในการทำให้อสูรยอมจำนนใช่ไหม? เป็นไปได้หรือเปล่าถ้าคุณจะ…” หวู่เฉินมองจางเซวียนด้วยสายตาคาดหวัง


เมื่อครั้งที่นายน้อยของเขายังเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ก็ยังสามารถทำให้อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าอสูรขั้นชั่วกัลปาวสานไม่อาจเทียบชั้นได้กับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงผู้ทรงพลัง แต่ในเมื่อเป็นนายน้อยของเขา ทุกอย่างก็ยังพอมีหวัง


แทนที่จะตอบคำถามตามตรงๆ จางเซวียนถามหวู่เฉินกลับพร้อมกับขมวดคิ้ว “ความขัดแย้งระหว่างคุณกับเขารุนแรงแค่ไหน?”


ถ้าความขัดแย้งระหว่างหวู่เฉินกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ในระดับที่ไม่อาจไกล่เกลี่ยได้ ตัวเขาก็แก้ไขสถานการณ์ไม่ได้เช่นกัน


“มันเป็นความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์” หวู่เฉินพูดขณะเกาหัว “เขาจงใจนำเผ่าพันธุ์ของเขาเข้ายึดครองดินแดนแห่งหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ซึ่งไม่มีทางที่ผมจะยอมรับการกระทำแบบนั้นได้ ผมจึงใช้พละกำลังของผมเล่นงานเขาและขับไล่เขากับคนของเขาออกไปไกลออกจากที่นี่ไปหลายล้านลี้!”


ด้วยความที่อายุยังน้อยและหุนหันพลันแล่น ในตอนนั้นเขาไม่ได้ยั้งมือในการเล่นงานนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเลย ไม่เพียงแต่จะขับไล่อีกฝ่ายกับเผ่าพันธุ์ของเขาออกไป ยังทำให้พวกนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย


“คุณขับไล่พวกนั้นออกไปหลายล้านลี้? ทั้งเผ่าพันธุ์เลยหรือ?”


แค่ได้ยินคำอธิบาย จางเซวียนก็รู้แล้วว่ามันคือความขัดแย้งที่ฝังรากลึกซึ่งแทบจะหมดหนทางแก้ไข เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา“ผมเกรงว่าผมจะช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้หรอก!”


“เอ่อ…” เมื่อได้ยินว่าแม้แต่นายน้อยของเขาก็ไม่อาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ หวู่เฉินกัดฟันกรอดขณะพูดว่า “ถ้าถึงขนาดนี้ ผมก็คงต้องขอร้องให้เขายกโทษให้ ทันทีที่อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงถูกสังหาร ผมจะยอมรับใช้เขา และปล่อยให้เขาทำอะไรกับผมก็ได้ตามแต่เขาต้องการ!”


ตอนที่ 1797 หาเลือดมังกรเพิ่ม

จางเซวียนขมวดคิ้ว “คุณจะยอมรับใช้เขาหรือไม่ก็ไม่แตกต่างอะไรหรอก เผ่าพันธุ์อสูรทั้งโหดเหี้ยมและเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะคลี่คลายกันได้เพียงแค่คำขอโทษ!”


ในฐานะนักฝึกอสูร เขารู้ดีว่าความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์อสูร พวกมันไม่มีทางเต็มใจประนีประนอมเรื่องแบบนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ มันไม่ใช่ความขัดแย้งที่จะคลี่คลายได้เพียงแค่การกล่าวคำขอโทษ


ถ้าหวู่เฉินไม่ได้เพิ่งถูกโจมตี ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในฐานะเผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 คำสัญญาของเขาอาจยังพอมีน้ำหนักกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง ซึ่งก็คงโชคดีเต็มทีหากอีกฝ่ายไม่ใช้โอกาสนี้แทงเขาข้างหลัง อย่าว่าแต่จะยอมรับข้อเสนอ!


“แล้วเราควรทำอย่างไร?” หวู่เฉินเองก็รู้ดี แต่ยังพอมีความหวังริบหรี่ว่านายน้อยจะมีวิธีแก้ปัญหา


“ไม่มีทางทำอะไรได้หรอก” จางเซวียนตอบอย่างเคร่งขรึม“สำหรับตอนนี้ เราต้องหาหยดเลือดของมังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์”


“อะไรนะ?”


หวู่เฉินกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินสบตากันอย่างงุนงง การเปลี่ยนเรื่องอย่างปุบปับทำให้พวกเขาตามไม่ทัน


“ผมไม่คิดว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มังกรนะ” หวู่เฉินพูด


จริงอยู่ว่าเผ่าพันธุ์มังกรนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์อสูรชั้นยอด และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าอสูรที่มีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์จะมีความเก่งกาจเหนือชั้นกว่าพวกที่มีสายเลือดบริสุทธิ์น้อยกว่า


แต่ความเก่งกาจอันนี้ไม่อาจใช้การได้กับอสูรที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มังกร และนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็ไม่มีสายเลือดมังกรอยู่ในร่างของมันแม้แต่น้อย ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงได้ด้วยเลือดมังกรจำนวนน้อยนิด


วิธีคิดของจางเซวียนช่างเข้าใจยากเสียจริงๆ


“เหตุผลที่ผมอยากได้หยดเลือดของมังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์น่ะไม่ใช่เพื่อเล่นงานนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง แต่เพื่อกำจัดฉนวนที่อยู่บนหอกสวรรค์กระดูกมังกร!” จางเซวียนพูด


หากคิดจะใช้วิธีการฝึกอสูรโดยอัดมันให้น่วม ตัวเขาก็ต้องมีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงกว่าอสูรที่เขาคิดจะเล่นงานมันเสียก่อน


แม้จางเซวียนจะพัฒนาวรยุทธได้มากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเท่านั้น ยังห่างไกลกับนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


วิธีที่เร็วที่สุดในการยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ในตอนนี้ก็คือปลดฉนวนที่อยู่บนหอกสวรรค์กระดูกมังกร ทำให้มันกลับมามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิม


มีสองวิธีที่รู้กันว่าจะใช้ปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้วิธีแรกก็คือเขาต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณและบ่มเพาะมันด้วยพลังปราณในระดับของนักปราชญ์โบราณ ส่วนวิธีที่สอง คือต้องหาหยดเลือดของสมาชิกเผ่าพันธุ์มังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรมาให้ได้


วิธีแรกดูจะเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่เขาจะทำสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น จริงอยู่ว่าอีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าแรงบันดาลใจสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธครั้งใหม่จะมาถึงเมื่อไหร่ เขาไม่อาจพึ่งพาสิ่งนั้นได้


ด้วยเหตุนี้ วิธีที่สองจึงดูจะเป็นรูปธรรมและเชื่อมั่นได้มากกว่า ขอแค่เขาสามารถปลดฉนวนที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวติดตั้งไว้บนหอกสวรรค์กระดูกมังกร หอกนั้นก็จะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมและกลายเป็นอาวุธระดับนักปราชญ์โบราณขั้นสูงสุด!


ด้วยอาวุธนี้ จางเซวียนจะมีพละกำลังมากพอที่จะเอาชนะนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงและทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนได้!


แน่นอนว่าเขาอาจเลือกใช้พละกำลังของ ‘ไอ้โหด’ ได้เช่นกันเพราะหลังจากซึมซับแขนทั้ง 2 ข้างแล้ว ระดับวรยุทธของไอ้โหดก็ดูเหมือนจะเข้าถึงขั้นสูงสุดของวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่พละกำลังเพียงเท่านั้นคงไม่พอที่จะทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน


เมื่อเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความคิดของจางเซวียน หวู่เฉินส่ายหน้าและพูดว่า “มังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ก็เหมือนกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ คือเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกรับอำนาจและพละกำลังของพวกเขา…”


สายเลือดมังกรที่อยู่ในร่างของเหล่าอสูรที่อาศัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์และสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นเบาบางมาก ในแง่ของความบริสุทธิ์ ไม่อาจเรียกมันว่ามังกรได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับจะเป็นมังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์


เพราะเหตุนี้ จางเซวียนจึงเอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้แปดโน้ตมังกรสวรรค์ของเขา


ซึ่งเมื่อพิจารณาดู ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะหาหยดเลือดของมังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์มาได้


ในตอนนั้นเอง นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินก็พูดขึ้น “ผมรู้ว่าเราจะหาสิ่งที่คุณต้องการได้ที่ไหน!”


จางเซวียนหันขวับ


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สิ่งที่คุณกำลังตามหาไม่ใช่หยดเลือดของมังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ แต่คุณกำลังอยากได้หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเผ่าพันธุ์มังกร เพื่อปลดฉนวนที่อยู่บนหอกสวรรค์กระดูกมังกร ผมเข้าใจถูกไหม?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินตั้งคำถาม


ไม่มีทางที่จะหามังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์พบในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ไม่ถือว่าเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวที่จะหาหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเผ่าพันธุ์มังกร


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า


นักปราชญ์โบราณคือผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์มีความเป็นไปได้ที่เขาจะปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้สำเร็จหากได้หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์มังกรมา


“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ผมรู้ว่าคุณจะหามันได้ที่ไหน!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพูด


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของหวู่เฉิน เขาหน้าเสีย “หรือว่าคุณกำลังพูดถึง…”


“ใช่ ผมหมายถึงที่นั่น!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพยักหน้า “เนิ่นนานมาแล้ว ท่านปู่ของอำมาตย์เฉินหลิง, อำมาตย์หยิงผู้ยิ่งใหญ่ได้สังหารนักปราชญ์โบราณมังกรสีดำ เขาเก็บหยดเลือดของมังกรสีดำมาและสร้างทะเลสาบเลือดขึ้นในหอนอนของเขา เพื่อหวังว่าจะเพาะมังกรสีดำตัวใหม่ขึ้นจากทะเลสาบหยดเลือดและทำให้มันยอมจำนนได้ เขาจึงใช้หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณหลายสิบคนในการบ่มเพาะมัน แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แผนการของเขาล้มเหลว ไม่นานหลังจากที่อำมาตย์หยิงผู้ยิ่งใหญ่เสียชีวิตไปหอนอนของเขาก็ถูกปิดตายและไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มีโอกาสที่ทะเลสาบเลือดจะยังคงอยู่ที่นั่น”


ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่จะไม่ถูกอำนาจของเผ่าพันธุ์มังกรดึงดูดหากใครสักคนทำให้สมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกรยอมจำนนได้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก


อำมาตย์หยิงผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นท่านปู่ของอำมาตย์เฉินหลิงเป็นอีกคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับไอ้โหด และเขาก็ลุ่มหลงกับแนวคิดของการทำให้สมาชิกเผ่าพันธุ์มังกรยอมจำนนและมาเป็นบริวารของเขา เขาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการตามหามังกรสีดำที่สามารถถ่ายทอดสายเลือดมังกร และใช้ความพยายามจนสังหารมันได้ จากนั้นก็ใช้ทรัพย์สมบัติและทรัพยากรมากมายเพื่อซื้อหาหยดเลือดของเหล่านักปราชญ์โบราณมาบ่มเพาะมัน โดยหวังว่าจะสามารถสร้างเผ่าพันธุ์มังกรตัวใหม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็จะมีโอกาสทำให้มันยอมจำนนได้ตั้งแต่มันยังเด็ก


แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดพลาด ลงท้ายแผนการของเขาก็สูญเปล่า


“มันเป็นแค่ตำนานที่เล่าขานกันมาในอดีต” หวู่เฉินพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “มันเนิ่นนานเสียจนไม่มีทางยืนยันได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่”


จริงอยู่ว่าเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่มันเกิดขึ้นมาหลายหมื่นปีแล้ว จึงยังคงเป็นคำถามอยู่ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ เสี่ยงเกินไปที่จะลักลอบเข้าสู่เมืองหลวงและเข้าไปในหอนอนของอำมาตย์หยิงผู้ยิ่งใหญ่เพียงเพื่อค้นหาทะเลสาบเลือดซึ่งอาจไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก


“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเข้าสู่ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ ผมได้เข้าไปที่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงเพื่อร้องขอหญ้าเกล็ดมังกร อย่างที่คุณรู้ หญ้าเกล็ดมังกรเป็นสมุนไพรที่จะเติบโตขึ้นได้เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่เผ่าพันธุ์มังกรเคยอาศัยอยู่เท่านั้น ในเมื่ออำมาตย์เฉินหลิงไม่มีเผ่าพันธุ์มังกรเป็นบริวาร แต่กลับมีหญ้าเกล็ดมังกรเติบโตขึ้นมากมายอยู่ในบริเวณที่พักอาศัย ผมจึงคิดว่าตำนานที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์น่าจะเป็นเรื่องจริง!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเสริม


หญ้าเกล็ดมังกรคือสมุนไพรที่ได้รับการบ่มเพาะจากรังสีของสมาชิกเผ่าพันธุ์มังกร มันมีอานุภาพในการเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและชำระสายเลือดของผู้นั้นให้บริสุทธิ์ ทำให้เป็นของล้ำค่าของเผ่าพันธุ์อสูร เป็นทรัพยากรที่ประเมินค่ามิได้


ในครั้งนั้น นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินได้เสาะแสวงหาหญ้าเกล็ดมังกรในหลายพื้นที่ แต่ไม่เป็นผล ลงท้ายการค้นหาของเขาก็นำเขาไปสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง และในที่สุดก็ได้พบสิ่งที่เขาต้องการที่นั่น ในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้ก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยบางอย่าง


ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน “หอนอนของอำมาตย์หยิงผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในเมืองหลวง ใกล้กับพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงหรือเปล่า?”


“ใช่!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพยักหน้า


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


หวู่เฉินดูออกว่าจางเซวียนเริ่มจะคล้อยตามคำบอกเล่าของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน เขาแนะนำอย่างร้อนรน “นายน้อย อำมาตย์เฉินหลิงเพิ่งถูกเล่นงานไปไม่นาน ตอนนี้เขาคงยังระวังตัวมาก พระราชวังของเขาจะต้องได้รับการอารักขาอย่างดี ผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนจะต้องลาดตระเวนอยู่โดยรอบ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะเข้าไปข้างใน!”


“คุณพูดถูก มันอาจจะยาก แต่ขอแค่เราพิจารณาให้ดี ก็น่าจะหาจุดอ่อนที่จะลักลอบเข้าไปได้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะลูบคางอย่างครุ่นคิด


“แต่…”


“สำหรับเวลานี้ คุณทั้งสองไปตามตัวนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆและดูว่าจะชักนำพวกเขามาเป็นพรรคพวกของเราได้หรือไม่ ส่วนตัวผมจะเข้าไปดูในเมืองหลวงสักหน่อย วางใจเถอะ ด้วยความสามารถในการปลอมตัวของผม ไม่มีทางที่พวกนั้นจะจับผมได้แน่” จางเซวียนพูด


สถานที่ที่เลวร้ายที่สุดที่เขาควรจะไปอยู่ในตอนนี้ก็คือเมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ด้วยวรยุทธอันจำกัดของเขา จะดีที่สุดหากไม่เข้าไปเสี่ยง แต่ถ้าการเข้าไปจะทำให้เขาพบทะเลสาบเลือดและปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้จริงๆ เขาก็จะมีพละกำลังเพียงพอที่จะเอาชนะได้แม้แต่นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ดังนั้นนี่จึงเป็นความเสี่ยงที่เขาเต็มใจแบกรับ!


“เฮ่อออ…ถ้างั้นผมก็คิดว่าคงไม่มีทางเลือก” เห็นจางเซวียนตัดสินใจแล้ว หวู่เฉินไม่พูดอะไรอีก


เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมอบให้พวกเขามีอานุภาพทรงพลังมาก จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ใครๆจะมองทะลุการปลอมตัวของจางเซวียน อีกอย่าง หลังจากเหตุการณ์ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ อำมาตย์เฉินหลิงกับคนอื่นๆก็ย่อมคิดว่านายน้อยของเขาตายไปแล้ว นายน้อยน่าจะใช้เรื่องนี้เป็นแต้มต่อและจัดการทุกอย่างได้สำเร็จ


ตอนที่ 1798 เรื่องเล่าของหลิวหยาง

รู้ดีว่าคงเปลี่ยนใจนายน้อยของเขาไม่ได้ หวู่เฉินแนะนำอย่างเป็นห่วง “นายน้อย คุณต้องระวังตัวนะ!”


ถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายใดๆขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้ เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคงทำลายทั้งเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณจนราบเป็นหน้ากลองด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว!


คนอื่นๆอาจไม่รู้ซึ้งถึงพละกำลังของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่หวู่เฉินรู้ดีว่าเธอมีอานุภาพทำลายล้างขนาดไหนหากเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมา แม้แต่ครั้งแรกที่เธอเหยียบย่ำลงไปบนทวีปแห่งปรมาจารย์ มิติทั้งมิติก็แทบจะแตกสลายเพราะรังสีอันทรงพลังของเธอ ถ้าเธอเกิดความเคืองแค้นทวีปแห่งปรมาจารย์ขึ้นมาล่ะก็ คงไม่มีใครยับยั้งเธอได้


“วางใจเถอะ!” รู้ดีว่าหวู่เฉินกังวลเรื่องอะไร จางเซวียนโบกมือ“ผมจะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก และไม่เข้าเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ระหว่างนี้ พวกคุณก็พยายามชักชวนนักปราชญ์โบราณให้มาเป็นพรรคพวกของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน ผมจะรอดูผลการเสาะแสวงหาของพวกคุณนะ!”


เพื่อตามหาทะเลสาบเลือด คงจะง่ายกว่าหากเขาจะซ่อนตัวเพียงคนเดียว ด้วยอานุภาพอันน่าทึ่งของเครื่องรางแห่งการปลอมตัวประกอบกับไอ้โหดและกระบี่เปลวเพลิงสีดำ ต่อให้เขาถูกจับได้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การจะหลบหนีก็คงไม่ยากเกินไป


เมื่อลงความเห็นเรื่องกระบวนการขั้นต่อไปแล้ว ทั้งสามก็แยกเป็นสองกลุ่มและจากไปคนละทาง


จางเซวียนกลับสู่เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และพบตัวหลิวหยางอย่างรวดเร็ว


เพราะหลิวหยางถูกนำตัวมาที่นี่โดยอำมาตย์เฉินหย่ง สถานภาพและตำแหน่งของเขาในเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงออกจะคลุมเครือมากเหตุผลเดียวที่สองอำมาตย์ยังไม่เล่นงานเขาก็เพราะเขาเป็นบุคคลที่น่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจรุ่นเยาว์ในเวลานี้


หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงและความโด่งดังที่ได้รับ หลิวหยางคงเสียชีวิตไปนานแล้ว


ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องเงียบๆห้องหนึ่ง จางเซวียนสร้างปราการขึ้นปิดกั้นโลกภายนอกและตั้งคำถามกับหลิวหยาง “เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คุณออกจากจักรวรรดิฉิงหย่วน?”


หลังจากที่ลูกศิษย์ของเขาแยกจากเขาเมื่อครั้งอยู่ที่จักรวรรดิฉิงหย่วน อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทันที จางเซวียนนึกเป็นห่วงอยู่หลายครั้งว่าหลิวหยางจะตกอยู่ในอันตรายหรือติดกับอยู่ในดินแดนทุรกันดาร แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะได้เข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและได้เป็นถึงผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่ง


ภายใต้การชี้แนะเป็นส่วนตัวจากฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 หลิวหยางพัฒนาวรยุทธได้ทัดเทียมกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเช่นกัน


หลิวหยางยังไม่ตอบคำถามของท่านอาจารย์ เขากลับทรุดตัวลงกับพื้นและโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านอาจารย์ ผมทำให้คุณวิตกกังวลที่จากไปโดยไม่ร่ำลา ผมสมควรตาย!”


ท่านอาจารย์ของเขาทำอะไรให้เขามากมาย ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณสูงสุด แต่ในฐานะลูกศิษย์ เขากลับหลบหนีไปเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างสิ้นเชิง


“แค่เห็นคุณสบายดีก็ดีแล้ว” จางเซวียนพูดขณะรีบเข้าไปพยุงหลิวหยางให้ลุกขึ้น


แม้สิ่งที่หลิวหยางตัดสินใจทำลงไปจะถือเป็นความผิด แต่จางเซวียนก็พอเข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์ของเขา


เจิ้งหยางได้เป็นทายาทยอดขุนพลและมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า จ้าวหย่าเป็นหัวหน้าน้อยของศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งและอยู่บนเส้นทางที่จะได้ก้าวไปเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ส่วนหวังหยิ่ง หยวนเทา เว่ยหรูเหยียนและลู่ชงก็กำลังเจริญเติบโตเช่นกัน ทุกคนล้วนแต่ค้นพบเส้นทางของตัวเอง


ในทางตรงกันข้าม หลิวหยางกลับถูกสภาปรมาจารย์เล่นงาน แรงกดดันที่เขาต้องเผชิญในครั้งนั้นถือว่าหนักหน่วงมาก


“ท่านอาจารย์ ขอบคุณที่เมตตา!” หลิวหยางโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าจางเซวียนไม่คิดจะตำหนิ แต่ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น


เขาตั้งต้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหนีไป


“ตอนที่ผมออกจากเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิฉิงหย่วน ผมรู้สึกว่าผมไม่มีดีอะไรสักอย่างเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ผมไม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง อนาคตก็มืดมน ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจใยดีนั้น ผมบังเอิญพบอสูรทรงพลังตัวหนึ่งและเกือบถูกฆ่าตาย ขณะที่กำลังจนมุม ผมขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ผมในรูปแบบที่กลับด้านโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ลงท้าย ก็กลับกลายเป็นว่าผมปลดปล่อยบางอย่างที่เหมือนกับปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นออกมา!”


“คุณขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธกลับด้าน?” จางเซวียนถึงกับผงะ


“ใช่!” หลิวหยางพยักหน้าขณะตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณของเขา


เป็นอย่างที่คาดไว้ จางเซวียนรู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารเข้มข้นที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเขา มันเป็นรังสีแบบเดียวกันกับฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจ


ในแง่ของความเข้มข้น น่าตกใจทีเดียวที่มันเทียบได้แม้แต่กับตัวอำมาตย์เฉินหย่งเอง


จางเซวียนตาโต เป็นไปได้ด้วยหรือที่เคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายจะมีประสิทธิภาพขนาดนี้?


ที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าการเลียนแบบปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นความสามารถพิเศษของพลังปราณเทียบฟ้า ใครจะไปคิดว่าการทวนวงจรของเคล็ดวิชาเทียบฟ้าจะสามารถสำแดงอานุภาพแบบเดียวกันออกมาได้?


แน่นอนว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหลิวหยาง เพราะอย่างน้อยที่สุด เจิ้งหยาง จ้าวหย่า และคนอื่นๆก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยสำแดงอะไรแบบนี้ได้


“ด้วยการทวนกระแสพลังปราณของผม สุดท้ายผมก็สังหารอสูรตัวนั้นได้สำเร็จ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่ความเข้มข้นของเจตนาสังหารของผมเตะตาอำมาตย์เฉินหย่ง เขามองเห็นความสามารถและความปราดเปรื่องที่ผมมี และอยากถ่ายทอดมรดกของเขาให้ผม!” หลิวหยางเข้าสู่เส้นทางของความทรงจำขณะทบทวนสิ่งที่ได้พบมา


“ผมรู้ดีว่าความปรารถนาของคุณคือการกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมจึงคิดว่าหากผมแทรกซึมเข้าไปในหมู่พวกมันได้ ก็อาจได้มีส่วนช่วยเหลือคุณ ผมจึงตกลงปลงใจยอมเป็นผู้สืบทอดของเขา…”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนขมวดคิ้ว


เทคนิควรยุทธที่หลิวหยางฝึกฝนคือเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย มันได้ยกระดับสภาวะร่างกายและความสามารถของเขาจนถึงขั้นที่ศักยภาพของหลิวหยางไม่แพ้ใครทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์


ถือเป็นโชคดีที่หลิวหยางสามารถทวนกระแสเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและแปรสภาพมันให้เป็นปราณสังหารได้ จนได้รับความชื่นชมจากอำมาตย์เฉินหย่ง ว่าแต่…ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่า?


สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดที่ได้มาพบกับ ‘เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ปราดเปรื่อง’ โดยบังเอิญในทวีปแห่งปรมาจารย์ ออกจะน่าสงสัยไปสักหน่อยไหม?


ลั่วชิงกับเราแยกจากกันที่จักรวรรดิฉิงหย่วน ซึ่งลั่วชิงเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และอำมาตย์เฉินหย่งคือบริวารของเธอ…หรือว่าสิ่งนี้เป็นฝีมือของลั่วชิง?


จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบตั้งคำถาม “คุณได้พบหลัวลั่วชิงบ้างหรือเปล่าระหว่างที่ติดตามอำมาตย์เฉินหย่ง? ผมหมายถึงอาจารย์หลัวจากสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน”


หลิวหยาง หวังหยิ่งและคนอื่นๆเคยพบหลัวลั่วชิงเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นอาจารย์ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน


หากทั้งคู่เคยพบกัน หลิวหยางก็น่าจะจำได้


“ผมไม่เคยพบอาจารย์หลัวอีกเลยตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิฉิงหย่วน”


หลิวหยางส่ายหน้า


จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น


หรือว่าเขาจะเดาผิด?


ถ้าลั่วชิงไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ความโชคดีของหลิวหยางที่ได้พบอำมาตย์เฉินหย่งนั้นออกจะพิสดารไปสักหน่อยไหม?


“ถ้าอย่างนั้น…คุณเคยได้ยินเรื่องของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณบ้างหรือเปล่า?” จางเซวียนรุกต่อ


“ท่านอาจารย์ คุณหมายถึงเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นใช่ไหม? คนที่นี่น่ะ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” หลิวหยางตอบ


“เธอคือผู้ชี้ชะตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แม้แต่สามอำมาตย์ก็ไม่กล้าสบประมาทเธอ อำมาตย์เฉินหย่งบอกผมว่าเขาได้พบผมเพราะการชี้นำของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ผมก็เคยได้ยินแค่เรื่องร่ำลือเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น จึงไม่รู้อะไรมากนัก”


“การชี้นำของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้ม


ดูเหมือนเขาจะเดาถูก


หลัวลั่วชิงอยู่เบื้องหลังการที่หลิวหยางกลายเป็นผู้สืบทอดของอำมาตย์เฉินหย่งจริงๆ


เขานึกขอบคุณเธอที่ช่วยชีวิตหลิวหยางไว้ แต่เธอก็น่าจะเคยพบหลิวหยางและรู้ว่าหลิวหยางเป็นมนุษย์ การที่เธอนำพาเขาเข้าสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ…เธอมีเจตนาอย่างไร?


จางเซวียนงุนงงขึ้นเรื่อยๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“หลังจากเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมก็รู้สึกตัวว่าสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วด้วยการซึมซับอำนาจของพระจันทร์สีเลือดและขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธของผมกลับด้าน อำมาตย์เฉินหย่งก็ดูแลผมอย่างดี ถึงกับจัดพิธีกรรมเพื่อยกระดับวรยุทธให้ผมด้วย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงก้าวข้ามด่านคอขวดของวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน และมีพละกำลังในระดับที่เป็นอยู่”


ตั้งแต่ต้น หลิวหยางได้รับการบ่มเพาะจากเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย ความปราดเปรื่องของเขาจึงเหนือชั้นกว่านักรบทั่วไปอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลัวลั่วชิงยังคอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ และฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 ก็บ่มเพาะเขาเป็นการส่วนตัวด้วย คงยากเต็มทีที่หลิวหยางจะไม่แข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้


“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงพัฒนาตัวเองจนเหนือกว่านักรบรุ่นเดียวกัน และมีชื่อเสียงระดับหนึ่งในเมืองหลวง หลังจากนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็บอกผมว่าเขามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการ และต้องจากไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งจากนั้นไม่นาน อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงก็กลับมาที่เมืองหลวงและป่าวประกาศว่าอำมาตย์เฉินหย่งถูกสภาปรมาจารย์สังหารแล้ว ซึ่งสิ่งนั้นก็ทำให้ผมหมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆภายในเมืองหลวง” หลิวหยางอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของเขา


ในเมื่อเขาถูกนำตัวมาที่นี่โดยอำมาตย์เฉินหย่งและได้เป็นผู้สืบทอดของอีกฝ่าย หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงและความระมัดระวังตัวของเขา เขาคงถูกสังหารไปนานแล้ว เหมือนกับบริวารคนอื่นๆของอำมาตย์เฉินหย่ง


อีกอย่าง ก็เป็นเพราะเขาไม่มีอำนาจที่ชัดเจน อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงจึงไม่ได้มองเขาเป็นภัยคุกคาม หากเขามีกองกำลังทหารอยู่ในมือล่ะก็ ป่านนี้คงถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน


แต่ถึงอย่างนั้น หลิวหยางก็ยังต้องเคลื่อนไหวอย่างหวาดระแวงแทบไม่กล้าออกไปไหน เขากังวลว่าความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยก็อาจชักนำเขาเข้าสู่เงื้อมมือของศัตรูได้


ตอนที่ 1799 ให้คำชี้แนะหลิวหยาง

“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงทุ่มสุดตัวแล้วและไม่มีทางล่าถอย ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันของคุณจึงล่อแหลมมาก แต่ถ้าคุณหลบหนีไปตอนนี้ พวกเขาก็จะตราหน้าคุณว่าเป็นคนทรยศทำให้คุณไม่มีโอกาสกลับมาอีก” จางเซวียนพูด


รู้ดีว่าศิษย์สายตรงของเขาอยู่ในสภาวะแบบไหน จางเซวียนครุ่นคิดหนัก แต่ก็หาแผนการที่ดีกว่านี้ไม่ได้ จึงสะบัดข้อมือและพูดว่า“นี่คือหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด รีบซึมซับมันเสีย ด้วยวิธีนี้ คุณจะมีเครื่องมือปกป้องคุณอีกชั้นหนึ่ง ต่อให้พวกนั้นทำร้ายคุณ”


หลิวหยางรับหยดเลือดมาด้วยความสำนึกในบุญคุณ เขากลืนมันลงไปโดยไม่ลังเล


พละกำลังของหยดเลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของหลิวหยางอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้น จางเซวียนก็เดินเข้าไปด้านหลังอีกฝ่ายและปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของเขาเพื่อส่งเสริมการซึมซับหยดเลือดภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง หลิวหยางก็ซึมซับหยดเลือดนักปราชญ์โบราณได้อย่างสมบูรณ์


หลังจากซึมซับหยดเลือดแล้ว หลิวหยางรู้สึกได้ว่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็ยังห่างไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ


“นี่คือดินแดนส่วนหนึ่งที่ผมเก็บนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไว้ มันจะช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ ผมยังมีเทคนิควรยุทธที่จะช่วยคุณฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณด้วย และจะถ่ายทอดมันให้คุณเดี๋ยวนี้ พยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ” จางเซวียนสั่งการขณะนำภาพวาดภาพหนึ่งออกมายื่นให้


วงจรชีวิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยงและอันตรายมากมาย ถ้าหลิวหยางอยากเอาตัวรอดในสภาวะแบบนี้ ก็ต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณให้ได้โดยเร็วที่สุด


ข้อเท็จจริงที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวของหลิวหยางได้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หากเขาเดินตามเส้นทางนี้ต่อไป ในอนาคตจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่


ถ้าหลิวหยางหาจุดยืนของตัวเองได้และได้เป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ยากนี้ ก็จะถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่ของมวลมนุษย์ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว


“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!” หลิวหยางพูด


แม้เขาจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังต้องเผชิญกับบททดสอบและความยากลำบากมากมาย เขาจึงไม่ใช่คนหัวแข็งและหลงตัวเองอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป


หลิวหยางรู้ดีว่าแม้ท่านอาจารย์ของเขาจะนำข้าวของเหล่านี้ออกมาอย่างง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่นักรบมากมายนับไม่ถ้วนยอมตายเพื่อมัน ต่อให้นักปราชญ์โบราณก็คงยอมต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมา


ถึงเขาจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไป แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ตำหนิเขาสักนิด กลับมอบของล้ำค่าให้ด้วย เรื่องนี้ทำให้หลิวหยางละอายใจมาก


ราวกับมองทะลุความคิดของหลิวหยาง จางเซวียนพูด “ทุกคนมีเรื่องราวในชีวิตที่ต้องพบเจอ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องอิจฉาริษยาใคร อารมณ์แบบนั้นมีแต่จะทำให้มุมมองของคุณแคบลงและปิดกั้นสภาวะจิตของคุณ บั่นทอนความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”


เสียงของจางเซวียนพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของหลิวหยางกระแทกส่วนลึกของเขา


อารมณ์ด้านลบอย่างความอิจฉา ความจงเกลียดจงชัง และความเศร้าสร้อยมีแต่จะทำลายสภาวะจิตของผู้นั้น ทำให้ไม่อาจพบความสงบสุขภายใน ในกรณีเลวร้ายที่สุด ผู้นั้นอาจถึงกับตกเป็นทาส อารมณ์ของตัวเอง


ในบรรดาศิษย์สายตรงหลายคนของเขา หลิวหยางไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไร และพาตัวเองเข้าไปเผชิญกับความยุ่งยากโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งส่งผลกระทบอันลำบากยากเย็นและซับซ้อนตามมามากมาย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้หลิวหยางหันหลังกลับแล้วจากไปหวังว่าจะได้พบโลกที่เป็นของเขา ในท้ายที่สุด ความหวังของเขาก็คือได้ยืนในจุดที่ทัดเทียมกับเจิ้งหยาง จ้าวหย่า และคนอื่นๆ


อารมณ์แบบนี้อาจเป็นแรงผลักดันชั้นดีที่ทำให้คนคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่าที่เคย แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็อาจต้อนเขาให้จนมุมทำให้สูญเสียการมองเห็นสิ่งรอบข้างไป


จางเซวียนละเลยเรื่องนี้เมื่อครั้งที่หลิวหยางยังอยู่ข้างกายเขา เขาจึงรู้สึกว่าควรจะให้คำแนะนำกับหลิวหยางเสียตั้งแต่ตอนนี้เพื่อจะได้ไม่เดินบนเส้นทางที่ผิด


“ผมเข้าใจแล้ว” หลิวหยางพูดอย่างเคร่งขรึม


“ในการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง คุณต้องใจกว้าง เหตุผลที่ปรมาจารย์ขงอยู่เหนือคนอื่นๆได้ก็เพราะหัวใจอันกว้างใหญ่ของเขา ซึ่งทำให้เขาเห็นความแตกต่างอันหลากหลายและมีหัวใจประนีประนอมกับทุกชีวิตที่อยู่รอบข้าง ไม่มีใครที่มีสภาวะจิตแบบเดียวกับเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปรมาจารย์ขงจึงเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องที่สุดในโลก เขายังคงเป็นที่จดจำแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม!” จางเซวียนพูด


หลังจากเขาได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อแล้ว จึงได้รู้ว่าปรมาจารย์ขงยิ่งใหญ่และทรงพลังขนาดไหน


จริงอยู่ว่าความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขงอยู่ในระดับที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้นับตั้งแต่ยุคสมัยของเขาเป็นต้นมา แต่โลกไม่ได้จดจำปรมาจารย์ขงเพียงแค่พละกำลัง แต่เพราะคำสอนของเขาด้วยเพียงเท่านี้ก็มองเห็นแล้วว่าเขาเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่องขนาดไหน


จางเซวียนมองเห็นปมในหัวใจของหลิวหยางค่อยๆคลายออกขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดพิจารณาเรื่องต่างๆจนเข้าใจถ่องแท้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก


จุดอ่อนใหญ่หลวงที่สุดของลูกศิษย์ของเขาคนนี้ก็คือการมีจิตใจที่รักการประชันขันแข่งมากเกินไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หลิวหยางมักเปรียบเทียบตัวเองกับเจิ้งหยางและคนอื่นๆเสมอ มักคอยเฝ้าดูว่าใครจะเหนือกว่า


ความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์ที่มีอาจารย์คนเดียวกันนั้นควรจะเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าความอยากประชันขันแข่งถือเป็นแรงผลักดันชั้นดี แต่ความสัมพันธ์ไม่ควรจะถูกสร้างขึ้นจากความอยากแข่งขันเท่านั้น เพราะหากความรู้สึกเหล่านั้นเข้มข้นขึ้นและก้าวหน้าไปจนถึงจุดหนึ่ง มันจะกลายเป็นพิษและสร้างความไม่พอใจซึ่งกันและกันขึ้นแทน


“ผมเข้าใจ” หลิวหยางพยักหน้า หลังจากขจัดทุกสิ่งที่ค้างคาในหัวใจของเขาแล้ว เขาก็หันมาตั้งคำถามกับจางเซวียน “ท่านอาจารย์ คุณมาที่เมืองหลวงตามลำพัง…มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า?”


“ผมอยากไปพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง อยากได้เลือดมังกร!” จางเซวียนตอบ ไม่ได้ปิดบังอะไรจากลูกศิษย์ของเขา


“พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง?” หลิวหยางขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์ ถึงผมจะไม่เคยไปที่นั่น แต่ก็รู้ว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแค่ไหน คนนอกไม่มีทางเข้าไปที่นั่นได้แน่!”


“ผมเข้าใจ แต่ผมก็มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องไปที่นั่นให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม” จางเซวียนพยักหน้า


มีหลายอย่างที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการคลี่คลายภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือการตามหาหลัวลั่วชิง


ซึ่งการจะทำอย่างนั้น การปลดฉนวนของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นสิ่งที่เขาต้องทำให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของตัวเอง


จากทีท่าของจางเซวียน หลิวหยางดูออกว่าท่านอาจารย์ของเขามุ่งมั่นจะเข้าไปในพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงให้ได้ เขาลุกขึ้นยืนและย่นหน้าผากก่อนจะพูดว่า “พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงมีแนวป้องกัน 13 ชั้น แม้แต่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ยังเข้าไปที่นั่นได้ยาก ส่วนการจะใช้กำลังบุกเข้าไปนั้น ก็ยังน่าสงสัยว่าต่อให้นักปราชญ์โบราณก็จะทำได้หรือเปล่า อีกอย่าง เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าเลือดมังกรถูกเก็บรักษาไว้ที่ไหน ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงรู้เป้าหมายของคุณด้วยวิธีการใดสักอย่างล่ะก็ เราจะหามันพบได้ยากขึ้นอีก!”


แน่นอนว่าการใช้กำลังบุกเข้าไปไม่ใช่ทางเลือกที่ดี อันดับแรกพละกำลังของจางเซวียนยังคงอ่อนด้อยอยู่ ต่อให้ใช้ไอ้โหดกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำหลบหนีจากนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ แต่หากเขาบุกเข้าไป ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อยังไม่มีอะไรชัดเจน ก็ไม่ฉลาดนักหากจะเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม


“ผมต้องแอบเข้าไปก่อน!” อันที่จริง จางเซวียนพิจารณาเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว และเขาก็มีความคิด คร่าวๆอยู่ในใจ “อันดับแรกสุด ผมต้องมุ่งหน้าไปยังพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงเพื่อตรวจสอบพื้นที่!”


แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังที่ต้องการจะเข้าไป ขอแค่เขาเข้าใกล้มันมากพอที่จะใช้หอสมุดเทียบฟ้าได้ ส่วนที่เหลือก็ไม่เป็นปัญหา


“หลิวหยาง ผมอยากให้คุณช่วยผมตรวจสอบเพื่อหาโอกาสที่จะเข้าสู่พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง อีกอย่าง เขาเพิ่งถูกอำมาตย์เฉินหย่งเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้น เขาได้เสาะหานายแพทย์เพื่อมาทำการรักษาเขาบ้างหรือเปล่า?”


แขนของไอ้โหดแทงทะลุเข้าสู่ร่างของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งนั่นสั่นคลอนรากฐานของวรยุทธของเขาอย่างมาก แม้จะไม่มีข่าวคราวของอำมาตย์เฉินหลิงรั่วไหลออกมา แต่ก็ชัดเจนว่าไม่มีทางที่เขาจะฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้อย่างรวดเร็วแน่


อีกนัยหนึ่งก็คือ มีโอกาสสูงที่อำมาตย์เฉินหลิงจะกำลังเสาะหาการรักษาและต้องการความช่วยเหลือจากนายแพทย์


นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้แอบเข้าไปในพระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิง


“ผมจะไปตรวจสอบดู” เห็นท่านอาจารย์ของเขามีแผนการในใจแล้ว หลิวหยางหันหลังกลับและออกจากห้องไป


ในฐานะผู้สืบทอดที่ได้รับความเอ็นดูจากอำมาตย์เฉินหย่ง หลิวหยางมีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเขาในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่เขาอยู่ที่นี่


ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง หลิวหยางก็กลับมา


“เป็นอย่างที่คุณคาดเดาไว้ พระราชวังของอำมาตย์เฉินหลิงกำลังมองหาคนอยู่จริงๆ แต่คนที่พวกเขากำลังตามหาไม่ใช่นายแพทย์!” หลิวหยางพูดด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


“พวกเขาไม่ได้กำลังตามหานายแพทย์? แล้วตามหาใคร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าอำมาตย์เฉินหลิงน่าจะกำลังตามหานายแพทย์เพื่อมาทำการรักษา และในเมื่ออาการของเขาค่อนข้างสาหัส จึงมีความเป็นไปได้ว่านายแพทย์ทั่วไปน่าจะรักษาเขาไม่หาย อำมาตย์เฉินหลิงจึงต้องพยายามรวบรวมผู้ปราดเปรื่องทั้งหมดมาเพื่อทำการวินิจฉัย


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็จะได้ใช้โอกาสนี้ลักลอบเข้าไป


“ใช่!” หลิวหยางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พวกเขากำลังตามหานักตรวจสอบสมบัติ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)