คัมภีร์วิถีเซียน 1793-1796

 ตอนที่ 1793 กังวลใจ

 

“อิ่งเอ๋อร์ หากสหายหานยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ย ผู้ที่จะช่วยสำแดงเคล็ดวิชานิพพานก็คือเจ้าสินะ ก็ใช่จากฐานะระดับผสานอินทรีย์ของสหายหาน เกรงว่าโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ของศิษย์ตระกูลเยี่ยทั่วๆ ไปคงบริสุทธิ์ไม่พอ ไม่อาจฝึกฝนได้ ข้าเคยได้ยินมานานแล้วแม้ว่าตระกูลเยี่ยจะมีศิษย์อยู่จำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าจะมีผู้ที่สืบทอดโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์อยู่แค่ไม่กี่คน ส่วนสหายหานก็ดูเหมือนว่าจะเป็นโสด นั่นเหมาะสมมาก!” ยามนั้นหญิงสาวโยนความคิดในใจทิ้งไป ใช้น้ำเสียงเย้าแหย่เอ่ยขึ้น


“เรื่องนี้…อิ่งเอ๋อร์จะทราบได้อย่างไรเจ้าคะ ต้องดูว่าท่านอาวุโสหานจะยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ยจริงๆ หรือไม่ ถึงจะให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ” หญิงสาวมีใบหน้าแดงก่ำ และเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ออกมา


หลิวชิงกลับฉีกยิ้มไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้าง


หานลี่ไม่ใช่คนโง่เขลา ชั่วครู่ก็เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเคล็ดวิชานิพพานแล้ว ความจริงแล้วก็เป็นเคล็ดวิชาของคู่บำเพ็ญเพียรชนิดหนึ่ง


ส่วนท่าทางเขินอายของหญิงสาวตรงหน้า หากยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ย หญิงสาวที่จะช่วยเขาฝึกฝน ก็คงจะเป็นเยี่ยอิ่งผู้นี้


หานลี่รู้สึกประหลาดใจ แต่สีหน้ากลับนิ่งขรึม แต่หลังจากที่ขบคิดอย่างรวดเร็วก็สั่นศีรษะ


“ขอบคุณความหวังดีของตระกูลเยี่ย แต่ข้าน้อยตัดสินใจแล้ว ว่าไม่รับพันธสัญญาจากผู้ใด คงทำได้เพียงต้องขอบคุณความหวังดีของตระกูลเจ้าแล้ว”


เมื่อได้ยินหานลี่ปฏิเสธเรื่องนี้ทันที เยี่ยอิ่งก็ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายลง แต่ส่วนลึกในแววตาคู่งามกลับเผยแววผิดหวังออกมาเล็กๆ แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ


“ในเมื่อท่านอาวุโสหานไม่ทำเพราะของนอกกาย เช่นนั้นเรื่องที่จะเข้าร่วมตระกูลเยี่ย ชนรุ่นหลังก็จะไม่เอ่ยถึงแล้ว แต่หากเปลี่ยนเงื่อนไข ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสจะยอมช่วยตระกูลเยี่ยอีกสิบปีให้หลังหรือไม่?”


“สิบปี สหายหมายถึงพิธีวิญญาณเที่ยงแท้หรือ!” หานลี่ได้ยินก็อดที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้


“เอ๋ ท่านอาวุโสรู้เรื่องนี้ หรือว่า…” เยี่ยอิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว จึงเดาออกได้ในทันที


“ใช่แล้ว เซียนมาสายไปแล้วก้าวหนึ่ง ข้าน้อยตอบรับเซียนเส้าเฟิงของตระกูลกู่ว่าจะช่วยในพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ไปแล้ว” หานลี่มีสีหน้าเสียดาย


“ตระกูลกู่ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ตระกูลกู่และตระกูลเยี่ยมีความสัมพันธ์อันดีกันมาก ท่านอาวุโสหานคงไม่เจอกับตระกูลเยี่ยอย่างพวกเราในพิธี” เยี่ยอิงเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นผู้แซ่หานก็วางใจแล้ว” มุมปากของหานลี่หยักรอยยิ้มออกมาพลางพยักหน้า


หญิงสาวเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมาจะหมดแล้ว


แน่นอนว่าหานลี่ก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ หลังจากพูดคุยอีกสองสามประโยค ก็ขอตัวกล่าวลาอย่างมีมารยาท


หลิวชิงย่อมพาหญิงสาวมาส่งที่เขตอาคมส่งตัวพร้อมกัน


เมื่อทั้งสองเห็นเงาร่างของหานลี่หายวับไป หลิวชิงกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง และเอ่ยคำว่า “น่าเสียดาย” อย่างราบเรียบออกมา


“น้าหลิวหมายความว่าอย่างไร? เสียดายอันใดหรือ?” เยี่ยอิงได้ยินก็อดที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้


“แน่นอนว่าต้องเสียดายที่ท่านแม่ของเจ้าดึงคนผู้นี้เข้าตระกูลเยี่ยมิได้ มิเช่นนั้นคนผู้นี้ขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้โดยที่อายุอานามแค่นี้ หากผ่านเคราะห์มารไปได้อย่างปลอดภัย อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัดแน่” หลิวชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


“แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์ แต่ท่านแม่ก็อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว หากกระตุ้นโลหิตหงส์สวรรค์ก็อาจจะสู้ได้แม้กระทั่งกับระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ยามนี้น้าหลิวเองก็เข้าร่วมตระกูลเยี่ยแล้ว หากทั้งอาวุโสหานเข้าร่วมด้วยจริงๆ ก็เป็นแค่ดอกไม้ที่ประดับอยู่บนผ้าไหมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่นานหรือว่าเคราะห์มารหลังจากนั้น ตระกูลของพวกเราก็น่าจะเอาตัวรอดได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นอาศัยเงื่อนไขของตระกูลเยี่ย ดึงผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ก็มีโอกาสแล้ว” เยี่ยอิ่งแค่นเสียงหึ คำพูดดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอยู่เล็กๆ


“ก็อาจจะ ท่านแม่ของเจ้าให้ความสำคัญกับเขากว่าครึ่งคงมองที่พลังของเขา แต่ข้ารู้สึกแปลกๆ กับสหายหาน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เห็นตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าอยู่ในสายตา น่าเสียดายข้าเป็นแค่ร่างแยกหุ่นเชิด หากอยู่ในร่างจริงคงจะเชิญให้อีกฝ่ายลองประลองกับข้าเพื่อทดสอบความสามารถที่แท้จริงสักหน่อย” แววตาคู่งามของหลิวชิงเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา


“นี่มีอันใดแปลกกัน จากวิธีของน้าหลิว ต่อให้เขามีอิทธิฤทธิ์แค่ไหนก็เป็นแค่ผู้ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ย่อมไม่อาจสู้กับท่านน้าหลิวได้นานอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นฟังจากท่านแม่กล่าว ก่อนที่ใต้เท้าจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวจะเพลี่ยงพล้ำ ได้มอบหุ่นเชิดที่ตั้งใจหลอมให้น้าหลิวสองสามตัว เกรงว่าอิทธิฤทธิ์ของน้าหลิวในยามนี้คงไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจสินะ” เยี่ยอิ่งกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก


“ข่าวสารของตระกูลเยี่ยเฟื่องฟูเสียจริง ผู้ที่รู้เรื่องนี้น่าจะมีแค่ไม่กี่คน คาดไม่ถึงว่าจะไปถึงหูท่านแม่ของเจ้า จุดนี้ ข้าไม่ชื่นชมมันไม่ได้จริงๆ!” หลิวชิงได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็นึกอันใดได้ จึงทำได้เพียงสั่นศีรษะด้วยรอยยิ้มขมขื่น


หญิงสาวเม้มปากฉีกยิ้มบางๆ ออกมา


ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่กลับมายังที่พักของตนเอง หลังออกคำสั่งกับไห่ต้าเซ่าและพวกที่กลับมารอที่ตำหนักอยู่ก่อนแล้ว ก็เข้าไปในห้องลับพลางนั่งสมาธิ


เดิมเป็นเพราะหานลี่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาอยู่ระดับผสานอินทรีย์ จึงรู้สึกว่าควรพักการฝึกบำเพ็ญเพียรสักระยะ หลังจากรู้ว่าเคราะห์มารจะปะทุความคิดนี้ย่อมหายวับไปแล้ว


ยามนี้เขาต้องครุ่นคิดแผนการอีกสองสามร้อยปีให้หลังใหม่สักหน่อย และต้องพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำไปในเคราะห์มาร


ถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารครั้งที่แล้วก็มีสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจที่เพลี่ยงพล้ำไป และเคราะห์มารครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าครั้งก่อน!


สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งหวาดผวาก็คือ ยามที่อยู่ในแดนมนุษย์เขาเคยล่วงเกินบรรพชนหยวนซาของแดนมาร มารตนนี้แยกจิตเป็นร่างแยกลงมาที่แดนมนุษย์ และถูกอิ๋นเย่ว์กลืนกินไปเพราะเขา


ส่วนบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ในแดนมาร ก็เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของเผ่ามนุษย์


จากอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่าย หากถือโอกาสที่เคราะห์มารปะทุมาที่แดนวิญญาณ เกรงว่าคงจะส่งคนหรือมาหาด้วยตัวเอง


เช่นนั้นก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุ เขาต้องเพิ่มพลังยุทธ์ขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายให้ได้


มีเพียงเช่นนี้เขาถึงจะอาศัยอิทธิฤทธิ์และสมบัติอาคมปกป้องตัวเองจากเคราะห์มารได้ แม้ว่าเผชิญหน้ากับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำลังต่อสู้


ทว่าจะว่าไปแล้วแม้ว่าเขาจะเพิ่งพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน แต่สองสามวันที่ไปคบค้าสมาคมกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็รู้ว่าความยากในการพัฒนาไปอยู่ขั้นปลายนั้นอยู่นอกเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต้นธรรมดาๆ ต้องเสียเวลาหลายพันปี หรือหลายหมื่นปี แม้กระทั่งคนส่วนใหญ่จนถึงวันที่เพลี่ยงพล้ำในเคราะห์สวรรค์ก็ไม่อาจทะลวงจุดคอขวดระดับขั้นกลางได้


ส่วนผู้ที่พัฒนามาอยู่ขั้นปลายได้ย่อมมีอยู่น้อยมาก


ต่อให้เป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจก็ยังไม่ได้มีพลังยุทธ์ระดับขั้นปลายทุกคน


ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่เหลือของเขาก็มีไม่มากแล้ว โชคดีที่ได้สมุนไพรวิญญาณจากแดนเซียนมาจากแดนกว้างเย็น จึงสามารถหลอมยาลูกกลอนสำหรับพัฒนาพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้จำนวนมาก


อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ไปได้สองสามเท่า หากฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักไม่หยุดสักสองสามร้อยปี ก็น่าจะสะสมพลังปราณได้อย่างไม่มีปัญหา


ปัญหาเดียวก็คือการทะลวงจุดคอขวด


แม้ว่าเขาจะกินสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ปรับพัฒนารากวิญญาณไปจำนวนมาก คุณสมบัติแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไป จึงต้องบอกว่าขอแค่เตรียมตัวมากหน่อย พยายามช่วยกระตุ้นให้ทะลวงจุดคอขวดได้


อย่างน้อยยาลูกกลอนหลอมสูญเม็ดหนึ่งและนมเทวะแม่น้ำยมโลกในมือของเขาก็เป็นสิ่งที่เฝ้ารอคอยเป็นอย่างมาก


หานลี่ขบคิดในใจเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกผ่อนคลายลง ทันใดนั้นแววตาพลันเปล่งประกายนึกอันใดได้ พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งกำไลอสูรสีดำวงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ


หานลี่แผ่จิตสัมผัสเข้าไปในกำไล แล้วขมวดคิ้ว


เห็นเพียงหมอกสีดำจางๆ รวมตัวกันอยู่ในกำไล ด้านในมีวานรน้อยสีดำกำลังหลับอุตุอยู่


นั่นคืออสูรวิญญาณครวญ


ตอนแรกหลังจากที่อสูรตัวนี้สังหารมารเหนือฟ้าไป ก็เอาแต่หลับปุ๋ยอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณ


มิเช่นนั้นอสูรตัวนี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อออกมาต่อกรกับศัตรูในยามแรก ย่อมเป็นเครื่องมือสังหารชนิดหนึ่ง


โชคดีที่ยามนี้อยู่ห่างจากเคราะห์มารไม่นานแล้ว เขากลับไม่เชื่อว่าอสูรตัวนี้จะหลับเป็นพันปีจริงๆ


เมื่อขบคิดในใจเช่นนั้น หานลี่ก็สะบัดมือ กำไลอสูรวิญญาณสลายหายไป


ในมือกลับมีภาพหมื่นกระบี่เปล่งแสงสีทองเรืองรองปรากฏขึ้นแทน สะบัดข้อมือโยนออกไปกลางอากาศ หลังจากเปิดออกเล็กน้อยก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน


คาถากระบี่ที่ซ่อนอยู่ในภาพเป็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่อชนิดหนึ่ง ตอนแรกเขาแค่เรียนรู้ไปเล็กน้อย ก็แทรกเข้าในเขตอาคมกระบี่ขดมรกต ทำให้อานุภาพของเขตอาคมกระบี่เพิ่มขึ้น


หากเรียนรู้ทุกอย่างแล้วล่ะก็ จะต้องพัฒนากำลังขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่


ถึงอย่างไรเสียในยามนี้เขาก็ได้รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาไม่น้อย แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษและผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักและตระกูลต่างๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว


การคบค้าสมาธิคบกับสิ่งมีชีวิตระดับสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจก็ต้องใช้วาสนาถึงจะได้


โดยเฉพาะราชาปีศาจเทียนขุย แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้พบโฉมหน้าที่แท้จริง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องของอิ๋นเย่ว์ ก็รู้สึกกลัดกลุ้มและไม่สบายใจอยู่ลึกๆ


ไม่รู้ว่าเมื่ออิ๋นเย่ว์ได้ฐานะชายาปีศาจหลิงหลงกลับมาและกลับแดนวิญญาณมาหลายปีแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง


ทว่าในฐานะของชายาของราชาหมาป่าเทียนขุย กว่าครึ่งคงกลับไปอยู่ข้างกายราชาปีศาจ แม้กระทั่งอาจจะได้พบอีกฝ่ายอีกครั้งในงานหมื่นสมบัติที่ใกล้เข้ามานี้


แต่เมื่อหานลี่นึกถึงสายตาแปลกประหลาดที่หญิงสาวผู้นั้นมองตนก่อนจะจากไปนั้น ก็รู้สึกใจคอแห้งเหี่ยวไม่น้อย


เขาไม่ใช่เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ แน่นอนว่าย่อมมองออกว่าสายตานั้นแฝงความรู้สึกอันใดอยู่


อิ๋นเย่ว์และเขาอยู่ข้างกายกันมาหลายปี และร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หากบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึกต่อหญิงสาวผู้นี้เลยสักนิดย่อมเป็นไปไม่ได้


แต่ปีนั้นเขาเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจิ๊บจ๊อยคนหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ ยามนี้แม้ว่าจะพัฒนามาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้ว เขาก็มาถึงแดนวิญญาณ  แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ยามนี้ชายาปีศาจหลิงหลงยังคงเป็นอิ๋นเย่ว์เหมือนในวันวานหรือไม่กันนะ?


หานลี่ไม่รู้ว่าเมื่อจิตสำนึกนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระดับจิตใจของตนเกิดรอยปริแตกขนาดใหญ่


ความคิดของเขาแล่นหมุนวนอยู่ในหัว ชั่วครู่ถึงได้ทำสมาธิฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แล้วแววตาถึงได้เปล่งประกายสีฟ้า จ้องเขม็งไปยังภาพหมื่นกระบี่ตรงหน้า


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มีสีหน้าราบเรียบ จมเข้าสู่ในภวังค์ของภาพกระบี่สีทองเหล่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 1794 รากวิญญาณที่ซ่อนอยู่

 

หานลี่อยู่ในห้องลับสิบกว่าวัน ในที่สุดงานหมื่นสมบัติก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


วันนี้หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนฟูก ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใดได้ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อเก็บภาพหมื่นกระบี่ตรงหน้ากลับมา


จากนั้นเขาพลันหยัดกายลุกขึ้นเดินออกจากประตูห้องลับ


ด้านในตำหนักไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อกำลังรอคอยด้วยความนอบน้อมอยู่ตรงนั้น


เมื่อทั้งสองเห็นหานลี่ออกมาก็เข้ามาคารวะทันที ไห่ต้าเซ่าหยิบเทียบเชิญสีทองเรืองรองออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้หานลี่ด้วยมือทั้งสองพลางเอ่ยว่า


“ท่านอาวุโสหาน นี่คือเทียบเชิญงานหมื่นสมบัติที่ส่งมาให้ท่านอาวุโสหาน ขอแค่ถือเทียบเชิญนี้ไว้ ก็สามารถเข้าร่วมงานประมูลระดับต่างๆได้ตามสะดวก เข้าออกทุกที่ของงานหมื่นสมบัติได้ นอกจากนี้เป็นเพราะว่าวันนี้งานหมื่นสมบัติเพิ่งเริ่มขึ้นเป็นวันแรก จึงจัดงานประมูลครั้งแรกที่ยอดเขาเซียนเหิน ตามกฎแล้วงานประมูลนี้เป็นงานประมูลที่สำคัญที่สุดในงานหมื่นสมบัติ และเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดตัวงานหมื่นสมบัติอย่างเป็นทางการ ขุมอำนาจใหญ่ๆ และผู้คนจะนำสมบัติล้ำค่าออกมาประมูลในงานนี้” ชี่หลิงจื่อเอ่ยอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง


“อ๋อ พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ไม่น้อยเลยสินะ? ดูแล้วสองสามวันที่ผ่านมาเจ้าสองคนคงไม่ได้เดินไปเดินมาเปล่าๆ” หานลี่ฉีกยิ้ม จากนั้นก็รับเทียบเชิญสีทองมาและกวาดตามองแวบหนึ่ง


เห็นเพียงบนเทียบเชิญสีทองเรืองรองใช้อักขระโบราณสลักคำว่า ‘หมื่นสมบัติ’ เอาไว้ อีกด้านกลับใช้อักขระยันต์เป็นแถวพรรณนาถึงความงดงามทะยานฟ้าด้วยลวดลายสีเงิน ดูลึกลับมาก


“ช่วงที่ข้ากักตน เจ็ดราชาปีศาจมากันครบหรือยัง?” หานลี่เก็บเทียบเชิญสีทองแล้วเอ่ยถาม


“รายงานท่านอาวุโส ในบรรดาเจ็ดราชาปีศาจ นอกจากราชาหมาป่าเทียนขุยและราชาจิ้งจอกสวรรค์ ราชาปีศาจที่เหลือทั้งห้าล้วนมากันครบหมดแล้ว” ไห่ต้าเซ่าตอบอย่างนอบน้อม


“ราชาหมาป่าและราชาจิ้งจอกไม่มา? นี่มันแปลกไปหน่อย ปกติแล้วเจ็ดราชาปีศาจล้วนให้ความสำคัญกับงานหมื่นสมบัติมาก ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ” หานลี่เอ่ยถามด้วยความฉงนเล็กน้อย


“เรื่องนี้ชนรุ่นหลังก็ได้ยินข่าวลือมาบ้าง! ว่ากันว่าราชาหมาป่าเทียนขุยกำลังกักตัวอยู่ในช่วงสำคัญ ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าร่วมงานชุมนุมได้ ส่วนราชาจิ้งจอกสวรรค์ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในแดนของจิ้งจอกสวรรค์ กลับแค่ส่งคนมาบอกว่ามีธุระ ไม่มีข่าวอื่น” ชี่หลิงจื่อกลับรู้เรื่องนี้จึงตอบกลับอย่างซื่อๆ


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไปกันเถิด แม้ว่างานหมื่นสมบัติจะมีของมากมายเคลื่อนไหว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าสนใจมีอยู่แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น งานประมูลครั้งแรกข้าไม่อาจพลาดได้ พวกเจ้าตามข้าไปด้วยกันเถิด แม้ว่างานประมูลชนิดนี้จะไม่ใช่งานที่คนธรรมดาๆ จะเข้าได้ แต่หากมีเทียบเชิญสีทองก็น่าจะพาศิษย์ในสำนักติดตามไปสองสามคนได้” หานลี่กวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์ในสำนัก ท่านอาวุโส ท่านยอมรับชนรุ่นหลังทั้งสองเป็นศิษย์แล้วหรือ!” เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่อีกฝ่ายพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ไห้ต้าเซ่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น


“พลังยุทธ์เจ้าสองคนต่ำมาก รับเจ้าสองคนเป็นศิษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเจ้าสองคนยอม ข้าก็จะให้พวกเจ้าเป็นศิษย์ในนาม ยามใดที่บรรลุระดับเทพแปลง ข้าถึงจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ หวังว่าเจ้าสองคนจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!” หานลี่สั่นศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ศิษย์ในนามก็ได้ขอรับ! คารวะท่านอาจารย์!” ได้ยินคำพูดของหานลี่ ชี่หลิงจื่อพลันคารวะอย่างไม่ลังเล แล้วค้อมศีรษะสามครั้งอย่างจริงจัง


ไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านข้างก็ตื่นเต้นดีใจจนลงไปคุกเข่าเช่นกัน ปากก็เอ่ยว่าคารวะท่านอาจารย์


หานลี่เห็นทั้งสองคนจริงใจจริงๆ ทันใดนั้นก็พยักหน้ารับการคารวะจากทั้งสอง จากนั้นถึงได้สะบัดแขนเสื้อ


พลังมหาศาลไร้รูปร่างทะลักออกมา หุ้มร่างของไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองเอาไว้


น้ำเสียงราบเรียบของหานลี่ถึงได้ดังขึ้น


“เจ้าสองคนน่าจะรู้ประวัติความเป็นมาของอาจารย์ ก่อนที่พวกเจ้า ก่อนหน้าพวกเจ้า ข้าเคยรับศิษย์สองคนที่แดนล่าง ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ใช่ศิษย์แค่สองคนของอาจารย์ เบื้องบนยังมีศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงอีกคนหนึ่ง ทว่าอาจารย์มีนิสัยชอบรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ย่อมไม่รับคนอื่นเป็นศิษย์ง่ายๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเอง ดังนั้นไม่ว่ารับศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงของพวกเจ้า หรือว่าเจ้าสองคนล้วนย่อมมีเหตุผล ดังนั้นเรื่องบางเรื่อง ข้าเองก็อธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจ เพื่อไม่ให้เจ้าสองคนเกิดความฉงนภายหลัง แล้วเกิดความสงสัย!”


หานลี่เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงก็เคร่งขรึม ในเวลาเดียวกันอุณหภูมิทั้งตำหนักก็เย็นเฉียบราวกับว่าถูกความเย็นเยียบห่อหุ้มเอาไว้


จากพลังยุทธ์ของไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ ภายใต้ความเย็นเยียบก็สะดุ้งโหยงและสั่นสะท้าน เอ่ยว่า “มิกล้า” ไม่หยุด


“หึๆ จะกล้าหรือไม่ เปลี่ยนเป็นข้ายามที่อยู่ในระดับสร้างปราณ ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์รับเป็นศิษย์ ก็ย่อมรู้สึกดีใจ แต่ก็รู้สึกกังขาอยู่หลายส่วน” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ภายใต้ความรู้สึกขัดเขิน ก็ไม่กล้าแก้ต่างอันใดอีก


“ความจริงแล้วหากเจ้าสองคนเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผู้สร้างปราณธรรมดาๆ และผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป ข้าไม่มีทางรับพวกเจ้าเป็นศิษย์ในนามแน่ สาเหตุที่วันนี้ต้องรับพวกเจ้าเป็นศิษย์ประการแรก เพราะพวกเจ้าสองคนมีวาสนากับข้า นิสัยเป็นอย่างไรข้าย่อมรู้ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเจ้าคนหนึ่งมีรากวิญญาณในตำนานที่ซ่อนอยู่ อีกคนหนึ่งมีอาวุธที่ถ่ายทอดมาอยู่ในร่าง” หานลี่มองทั้งสองคนใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยขณะเอ่ย


“รากวิญญาณที่ซ่อนอยู่!”


“อาวุธที่ถ่ายทอดมา”


ไห่ต้าเส่าและชี่หลิงจื่อได้ยินก็รู้สึกงุนงง


จากพลังยุทธ์ของทั้งสองแน่นอนว่าไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงก็ไม่อาจจะเข้าใจได้


“ชี่หลิงจื่อ ‘อาวุธที่ถ่ายทอด’ มาของเจ้าเข้าใจได้ง่ายมาก น่าจะเป็นอาวุธที่ซ่อนอยู่ในเคล็ดวิชาลับของอารามอู้ไห่ที่ถูกผนึกอยู่ในร่างของเจ้า รอจนพลังยุทธ์อยู่ในระดับใดระดับหนึ่งก็จะปลดผนึกส่วนหนึ่งออกมาตามกลไก ให้เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เหมาะสม แน่นอนว่าอาวุธที่ถ่ายทอดมาชิ้นนี้ย่อมเป็นอาวุธวิเศษที่หายาก หากกระตุ้นกับเคล็ดวิชาที่เหมาะสมอานุภาพจะต้องไม่น้อยแน่” เอ่ยมาถึงตรงนี้หานลี่พลันหยุดชะงัก


“ข้าก็ว่าบางครั้งก็รู้สึกแปลกๆ ในร่างกาย บางครั้งก็ฝันร้าย ที่แท้เป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้นี่เอง!” ชี่หลิงจื่อได้ยินพลันตกตะลึงจนตาค้างและเอ่ยพึมพำกับตัวเองตามความรู้สึก


หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะแล้วเอ่ยต่อว่า


“ความจริงแล้วนับว่าเจ้าโชคดีไม่น้อย แม้ชื่อเสียงของอารามอู้ไห่จะไม่ปรากฏ แต่จากที่ข้าตรวจสอบดู เคล็ดวิชาลับนี้มีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา เหมาะสมให้เจ้าฝึกเป็นอย่างมาก ดังนั้นในเคล็ดวิชาหลักของการฝึกฝนจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดอันใด อย่างมากสุดให้เจ้าฝึกฝนสำเร็จแล้วสืบทอดเคล็ดวิชาลับเหล่านี้ก็ได้แล้ว ดังนั้นสายเลือดของอารามอู้ไห่ก็ยังคงต้องการให้เจ้าสืบทอด รอจนเจ้าฝึกฝนสำเร็จก็สามารถกลับไปเป็นผู้ดูแลอารามอู้ไห่ทำให้อารามเจริญรุ่งเรืองได้อีกครั้ง ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเลยสักนิด สาเหตุที่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ก็เพราะเห็นว่าเจ้ามีสิ่งที่ต้องสืบทอด ขอแค่ชี้แนะเล็กน้อยก็สามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้แล้วมิเช่นนั้นแม้เจ้าจะมีคุณสมบัติดีขนาดไหน ข้าก็ไม่มีทางหาเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองง่ายๆ แน่ แน่นอนว่าพอข้ารับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ในเรื่องทรัพยากรต่างๆ ข้าย่อมไม่หวงแน่นอน ด้วยเหตุนี้หากเจ้ารู้สึกไม่เต็มใจหรือรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม การคารวะข้าเมื่อครู่ ข้าจะทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น” หานลี่จ้องเขม็งไปยังนักพรตน้อยแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา


“มิกล้า ชนรุ่นหลังได้คารวะเป็นศิษย์ในนามของท่านอาวุโสก็นับว่าเป็นโชคดียิ่งแล้ว ส่วนการฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาใดย่อมให้ท่านอาวุโสเป็นผู้ตัดสินจะไม่มีทางรู้สึกไม่เป็นธรรมใดๆ แน่” ชี่หลิงจื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วคาระวะหานลี่อีกครั้งขณะเอ่ย


“อือ ในเมื่อเจ้ารับได้เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนไห่ต้าเส่า…” หานลี่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วเลื่อนสายตาไปยังเรือนร่างของชายหนุ่มรูปงาม


“ท่านอาจารย์เรียกข้าว่าไห่เย่ว์เทียนก็ได้ ไห่ต้าเส่าชื่อนี้เป็นแค่ชื่อที่ใช้หลอกสหาย มิกล้าให้ท่านอาวุโสเรียกเช่นนี้จริงๆ” ไห่ต้าเซ่ากลับรีบร้อนเอ่ยขึ้นอย่างรู้จักวางตัว


“ดูแล้วไห่เย่ว์เทียนถึงจะเป็นชื่อจริงของเจ้า เอาละวันหลังก็เรียกเจ้าว่าเย่ว์เทียนก็แล้วกัน” หานลี่มุมปากหยักรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย


“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเส่าย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม


“สถานการณ์ของเจ้ากับชี่หลิงจื่อนั้นไม่เหมือนกัน สองสามวันที่ผ่านมาข้าตรวจสอบร่างกายเจ้าไปแล้วและยังสอบถามข้อสงสัยกับสหายในระดับเดียวกันมาบ้าง ยามนี้มั่นใจได้ว่าเจ้าไม่เพียงมีร่างหลอมทองที่หายาก และยิ่งไปกว่านั้นรากวิญญาณอัสนีประหลาดๆ ในร่างน่าจะเป็นรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในตำนาน ไม่สิ น่าจะเรียกว่ารากวิญญาณซ่อนอัสนีจะเหมาะสมกว่า”


“รากวิญญาณซ่อนอัสนี!” ไห่ต้าเซ่าพูดตามสองครั้งแต่ย่อมยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ


“แม้ว่าร่างหลอมทองจะหายาก แต่จากจำนวนของประชากรเผ่ามนุษย์ที่มีอยู่มากมายย่อมมีอัตราที่จะเกิดขึ้นได้โดยพื้นฐานแล้ว เจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกตนได้อย่างรวดเร็วส่วนรากวิญญาณซ่อนอัสนีนั้นพูดยาก! ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีตำนานของรากวิญญาณซ่อนอัสนีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง แทบจะบดบังอยู่ในตำนานต่างๆ ดังนั้นตอนแรกข้าจึงคิดไม่ถึงและพอวิเคราะห์นานเข้าถึงได้มั่นใจ ส่วนความหายากของรากวิญญาณซ่อนอัสนีก็ไม่สูงไปกว่าผู้ที่มีร่างกายพิเศษหรือสืบทอดโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้” หานลี่อธิบาย


“นั่นเพราะเหตุใด?” ชี่หลิงจื่อที่กำลังฟังอย่างออกรสจึงทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น


“เพราะว่ารากวิญญาณชนิดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่มีร่างกายวิเศษและสืบทอดเชื้อสายวิเศษถึงจะมีได้และมีแค่พวกเขา รากวิญญาณถึงได้มีโอกาสถูกร่างกายพิเศษหรือพลังของสายเลือดที่สืบทอดมาบดบังและทำให้อ่อนแอจนทำให้มีรากวิญญาณซ่อน ทว่าผู้ที่มีรากวิญญาณซ่อนแม้ว่าจะพบมันแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใด สำนักผู้บำเพ็ญเพียรปกติจะไม่รับคนเหล่านี้ นอกเสียจากว่าร่างพิเศษของพวกเขาหรือโลหิตที่สืบทอดมาจะเป็นชนิดที่เหนือฟ้า หรือรากวิญญาณในร่างเป็นร่างวิญญาณอัสนี หรือรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่เป็นรากวิญญาณที่หายาก แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องดูเวลาที่รากวิญญาณที่ซ่อนอยู่หายไปและปรากฏขึ้นมาคำนวณว่าจะคุ้มค่าในการบ่มเพาะหรือไม่ ถึงอย่างไรเสียหากรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่สลายหายนานเกินไปความยากในการฝึกฝนก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าผู้ที่มีรากวิญญาณซ่อนอยู่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาได้แค่เวลาที่รากวิญญาณปรากฏขึ้นเท่านั้น” หานลี่อธิบายให้ศิษย์ในนามทั้งสองคนอย่างละเอียด

 

 

 


ตอนที่ 1795 หญิงสาวชุดสีม่วง

 

เมื่อไห่ต้าเซ่าได้ยินดวงตาก็เปล่งประกาย ในที่สุดก็เข้าใจความพิเศษของรากวิญญาณในร่างของตนเองและเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว


“ท่านอาจารย์บอกว่ารากวิญญาณซ่อนมีประวัติความเป็นมาและฝึกฝนไม่ง่าย ในที่สุดศิษย์ก็เข้าใจแล้ว แต่เหตุใดจึงมีแต่รากวิญญาณซ่อนอัสนีถึงจะถูกให้ความสำคัญ มีอันใดแปลกหรือ?”


“เจ้าฉลาดมาก ยามนี้ฟังจุดสำคัญออกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรากวิญญาณซ่อน ความหายากของรากวิญญาณชนิดนี้พบเห็นได้น้อยกว่ารากวิญญาณซ่อนอัสนีของเจ้า ดูเหมือนว่าผู้ที่บันทึกเอาไว้จะมีอยู่แค่คนเดียว ส่วนรากวิญญาณอัสนีของเจ้าแม้ว่าจะฝึกฝนพลังปราณไปพร้อมกันก็ยังยากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาสองสามเท่า แต่หลังจากผู้ที่มีรากวิญญาณชนิดนี้ฝึกฝนทางสายอัสนีก็จะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถเพียงไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถช่วยผู้อื่นต้านทานเคราะห์อัสนีได้” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า


“ช่วยผู้อื่นต้านทานเคราะห์อัสนี?” ไห่ต้าเซ่ายังไม่เป็นอันใดแต่ชี่หลิงจื่อได้ยินกลับตกตะลึง


ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเขา แน่นอนว่าย่อมเข้าใจคำพูดของหานลี่มากกว่าไห่ต้าเซ่าที่เป็นผู้ฝึกตน


“ใช่! ดังนั้นแม้ว่าผู้ที่มีรากวิญญาณอัสนีจะฝึกฝนได้ยาก แต่ขอแค่มีโอกาสที่จะฝึกฝนให้อยู่ในระดับสูง สำนักเซียนทั่วๆ ไปก็จะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ ทว่าหากไม่มีพลังในการฝึกฝนให้อยู่ในระดับสูง เช่นนั้นต่อให้ผู้มีรากวิญญาณซ่อนนั้นหายากขนาดไหนก็ไม่มีใครกระทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นกัน ส่วนที่ข้ารับเจ้ามาประการแรกก็เพราะร่างกายของเจ้าและรากวิญญาณค่อนข้างเหมาะสมกับการถ่ายทอดการฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรของข้า แม้ยามที่รากวิญญาณหายไปเจ้าก็ยังฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกตนได้ไม่เสียเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรของเจ้า ประการที่สองข้าเข้าใจหนทางสายอัสนีอยู่บ้างสามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้ หากเจ้าฝึกฝนสำเร็จก็สามารถลงมือช่วยข้าฟาดเคราะห์สวรรค์ได้ ต่อให้ยามนั้นลดภาระได้ส่วนหนึ่งก็อาจจะเกี่ยวข้องกับการฟาดเคราะห์สวรรค์สำเร็จของข้าหรือไม่ก็เป็นได้!” หานลี่กลับไม่มีเจตนาจะปิดบังเป้าหมายในการรับสิทธิ์ของตนเองจึงเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา


“ขอแค่เย่ว์เทียนฝึกฝนสำเร็จ ก็จะช่วยท่านอาจารย์ฟาดเคราะห์สวรรค์สุดกำลัง” ไห่ต้าเซ่าคารวะหานลี่อย่างไม่ต้องขบคิดแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม


“หึๆ เจ้าเองก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก ข้าทำเช่นนี้เพราะต้องการเผื่อเอาไว้เท่านั้นรอจนถึงวันที่เจ้าช่วยข้าฟาดเคราะห์สวรรค์ได้ ก็ยังเป็นเรื่องอีกกี่ปีก็ไม่รู้ เรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันได้ ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์หลักๆ ก็เพราะคิดว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับข้า น่าจะมีวาสนาในการเป็นศิษย์และอาจารย์ต่อกัน ทว่าตอนแรกที่ถูกเจ้าสองคนเรียกว่า ‘พี่หาน’ ข้าก็รู้สึกเสียเปรียบไม่น้อย” หานลี่พยักหน้าน้อยๆ แล้วหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อย่อมหัวเราะแห้งๆ อย่างขัดเขิน


“เอาละ ควรออกเดินทางได้แล้ว ข้าสนใจสหายในระดับเดียวกันที่ยังไม่เคยพบหน้าเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่างานประมูลครั้งนี้อาจจะมีชนต่างเผ่าปรากฏตัว เช่นนี้ก็จะได้ทำความรู้จักสักหน่อย ดูว่าชนต่างเผ่าผู้ใดจะวิ่งมาไกลถึงที่นี่” หานลี่หุบยิ้มแล้วออกคำสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม


“ขอรับท่านอาจารย์!” ไห่ต้าเซ่าและพวกรีบร้อนตอบรับ


ดังนั้นหลังจากที่หานลี่พยักหน้าก็พาทั้งสองเดินออกจากตำหนัก


ใช้เขตอาคมส่งตัวเดินออกจากวังต้อนรับเซียนก็มองเห็นลำแสงวิญญาณแวบๆ อยู่กลางอากาศ นักรบชุดเกราะลาดตระเวนไปรอบๆ เป็นกลุ่มๆ ในเวลาเดียวกันก็เห็นเงาร่างคนพลิ้วไหวอยู่ไกลๆ ออกไป แต่เมื่อเข้าใกล้วังต้อนรับเซียนในรัศมีสิบลี้ก็ถูกผู้คุ้มกันในบริเวณใกล้เคียงขวางเอาไว้


เห็นได้ชัดว่าคนนอกที่เข้าออกภูเขาเก้าเซียนถูกกันให้อยู่ภายนอกแล้ว


หานลี่เองก็ไม่ได้พูดจา สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อม้วนเอาไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ


แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะวางเขตอาคมห้ามเหาะเหินเอาไว้ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ย่อมไร้ผล


นักรบชุดเกราะที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้เคียงเห็นหานลี่บินออกมาจากวังต้อนรับเซียนก็ไม่ได้ซักถามอันใด ราวกับมองไม่เห็นก็ไม่ปาน


หานลี่จึงกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังยอดเขาเซียนเหิน


เมื่อมองลงมาด้านล่างจากลำแสงหลีกหนีก็มองเห็นเทือกที่เดิมเขาที่เงียบสงบ ยามนี้กลับถูกคลื่นมนุษย์ ของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจกลืนกินไปแล้ว


แม้อาจจะกล่าวไม่ได้ว่าถูกมนุษย์ยั่วยุแต่เมื่อมองไปที่ภูเขาปราดหนึ่งก็เห็นเพียงเงาร่างคนพลิ้วไหว


โดยเฉพาะด้านหน้าสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ยิ่งมีคนจากทั้งสองเผ่าห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมด


ส่วนจุดที่เข้าใกล้ยอดเขาเก้าเซียนย่อมมีคลื่นมนุษย์ทะลักเข้ามายิ่งกว่า


ไห่ต้าเซ่าและเพื่อนมองอย่างออกรสในลำแสงหลีกหนี ส่วนหานลี่ก็เคยเข้าร่วมงานประเภทนี้ตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แน่นอนว่าจึงไม่ได้ตื่นเต้นอันใด


พิจารณาสถานการณ์ด้านล่างเล็กน้อยก็แฉลบผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ


หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อก็มาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาสูงประมาณสองสามหมื่นจั้ง


นั่นก็คือยอดเขาเซียนเหอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาเก้าเซียน!


ผู้คุ้มกันที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆ ไม่เพียงมากกว่าสถานที่อื่น ยังมีผู้พิทักษ์อัสนีที่ขี่หมาป่าเหินสีฟ้าปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ


เมื่อลำแสงหลีกหนีของหานลี่อยู่ห่างจากยอดเขาไปไม่ถึงเจ็ดแปดลี้ ในที่สุดก็มีผู้พิทักษ์อัสนีสองสามคนกระตุ้นพาหนะเข้ามาขวาง


“ท่านอาวุโสผู้นี้ ชนรุ่นหลังมีภารกิจอยู่ จำต้องตรวจสอบเทียบเชิญของท่านอาวุโสขอรับ” ชายชราร่างกายสูงใหญ่ที่เป็นผู้นำแม้จะไม่ได้ลงมาจากหมาป่ายักษ์ แต่ก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง


หานลี่กวาดตามองคนเหล่านั้นและสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดจา ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไปฝั่งตรงข้าม


ชายชราที่อยู่บนหมาป่ายักษ์ยกมือขึ้นรับแสงสีทองเอาไว้ นั่นคือเทียบเชิญสีทองที่แสดงฐานะของหานลี่


เป็นแค่ผู้ฝึกตนแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอันใดแยกแยะข่าวสารที่อยู่ในเทียบเชิญ แค่ลูบไล้เล็กน้อยก็รู้ข่าวสารในนั้นทันที


“ที่แท้ก็ท่านอาวุโสหาน เมื่อครู่ชนรุ่นหลังล่วงเกินแล้ว ท่านอาวุโสมาเข้าร่วมงานประมูล เช่นนั้นชนรุ่นหลังจะนำทางท่านอาวุโสไปที่ตำหนักหมื่นสมบัติเอง!”


“ก็ดี เจ้านำทางเถิด!” หานลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


ชายชราตอบรับทันที โบกมือให้ผู้ที่อยู่ด้านข้าง ให้พวกเขาลาดตระเวนไปรอบๆ ต่อ ส่วนตนก็กระตุ้นหมาป่ายักษ์บินไปยังยอดเขา


ชื่อของยอดเขาเซียนเหินนั้นตรงตามความหมาย ทั้งยอดเขาตรงดิ่ง จากตีนเขาจนถึงยอดเขาไม่มีทางเดินอันใด อันตรายเป็นอย่างยิ่ง


หากคนธรรมดาปีนขึ้นไปลอบสังหาร แม้แต่จุดพักเท้าก็ยังหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งปลูกสร้างอันใดบนภูเขา


แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วกลับเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ไม่คุ้มค่าให้เอ่ยถึง


ไม่รู้ว่าผู้มีอิทธิฤทธิ์ผู้ใดสำแดงความสามารถ คาดไม่ถึงว่าจะเรียกทะเลหมอกมารวมตัวกันตรงสันเขาและยอดเขาจำนวนมากได้ และจากยอดเขาหน้าผาขนาดร้อยจั้งเศษที่เรียงติดกันสองสามลูกก็ทำให้ทั้งสองราวกับเป็นยอดเขาเดียวกัน


ส่วนตำหนักหมื่นสมบัติก็อยู่ในทะเลหมอกที่กว้างใหญ่ตรงยอดเขานั้น


หานลี่มองจากไกลๆ เห็นเพียงสีขาวโพลนในทะเลหมอก ตำหนักและศาลาเรียงติดกัน สีเขียวมรกตรางๆ และมีคลื่นวารีและเสียงวิหคเพรียกดังมาเป็นระลอกๆ ราวกับว่าเป็นแดนของเซียนก็ไม่ปาน


แม้ว่าจะได้ยินคนกล่าวถึงความลึกลับของยอดเขาเซียนเหิน แต่ยามนี้ได้เห็นด้วยตาของตนเอง หานลี่ก็รู้สึกตกตะลึง


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็ดูจนจิตใจชื่นมื่นไม่เป็นตัวเอง


ยามนี้นอกจากหานลี่และพวกแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ มารวมตัวกันเช่นกัน


ทว่าคนเหล่านี้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกับหานลี่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนมาถึงยอดเขาก็ใช้สำเภาเหาะส่งขึ้นไปบนยอดเขา และเข้าไปในทะเลหมอกผ่านสะพานขนาดยักษ์


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ จึงทำได้เพียงพบเห็นเป็นบางครั้ง แต่แค่กะพริบวาบก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในทะเลหมอก


หานลี่เองก็ให้ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นพาเข้าไปถึงวัง และร่อนลงตรงทางเข้าที่ค่อนข้างเงียบสงบ


หน้าทางเข้ามีผู้คุ้มกันสิบกว่าคนรวมทั้งเด็กรับใช้สองสามคนรออยู่ตรงนั้น ตรงหน้าของพวกเขามีชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมคนหนึ่ง กำลังคุยกับฮูหยินชุดดำด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม


แม้ว่าจะมองเห็นแค่แผ่นหลังของหญิงสาวชุดดำ แต่ร่างกายอรชนอ้อนแอ้น พลังแรงกดที่แผ่ออกมาจากร่าง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่มานานหลายปี


ส่วนด้านหลังของหญิงสาวก็มีหญิงสาวชุดสีม่วงอีกคนยืนอยู่ อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด ใบหน้ารูปไข่ห่าน ท่าทางเรียบร้อยหมดจด


บางทีหน้าตาของหญิงสาวผู้นี้อาจจะเรียกไม่ได้ว่างดงามมาก แต่ไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่อธิบายไม่ถูกซึ่งแผ่ออกมาจากเรือนร่างก็เย้ายวนใจอย่างหาได้ยากจริงๆ


แม้ว่าผู้คุ้มกันและเด็กรับใช้ที่อยู่รอบด้านจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่งแต่ก็ยังคงเหลือบมองหญิงสาวชุดสีม่วงเป็นบางครั้งอย่างอดไม่ได้


เมื่อหญิงสาวชุดสีม่วงเผชิญหน้ากับสายตาร้อนแรงจำนวนมากกับเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยฟังผู้สวมชุดผ้าไหมและฮูหยินชุดดำพูดคุยกันไม่มีสีหน้าประหลาดใจเลยสักนิด


ยามที่หานลี่กวาดสายตาไปแววตาพลันหยุดชะงักที่เรือนร่างของหญิงสาวชุดสีม่วงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มองข้ามไปตกอยู่ที่ผู้สวมชุดผ้าไหมและฮูหยินชุดดำ ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบเด็กรับใช้และผู้คุ้มกันรวมทั้งผู้ที่พูดคุยกันพลันมองมาตามจิตสำนึก


หานลี่ในยามนี้ถึงได้ใบหน้าอันงดงามของฮูหยินชุดดำผู้นั้นอย่างชัดเจน


คิ้วดำสนิท ดวงตาดุจหงส์ ปากนิดจมูกหน่อย เป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามที่สุดในใต้หล้า


แต่แค่หลังจากที่นางเห็นใบหน้าของหานลี่ชัดเจนเช่นกันก็ตกตะลึงมองไปทางหญิงสาวสวมชุดสีม่วงอย่างอดไม่ไหวใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งออกมา


เมื่อหญิงสาวชุดสีม่วงเห็นหานลี่ใบหน้าพลันฉายแววตกตะลึงระคนดีใจ ในเวลาเดียวกันแววตาคู่งามก็เปล่งประกายแต่ทันใดนั้นก็หายวับไป


“เอ๋ หน้าตาของสหายผู้นี้ไม่คุ้นเลย! ขอบังอาจเรียนถามว่าเป็นสหายหานที่เพิ่งบรรลุระดับได้ใช่หรือไม่!” ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมแผ่จิตสัมผัสมาแล้วร้องอุทานว่า ‘เอ๋’ ออกมาเบาๆ แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ


“สหายคือ…” อีกฝ่ายก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นเช่นกัน หานลี่จึงประสานมือคารวะอย่างมิกล้าดูแคลน แต่พลันเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าฉงน


“หึๆ ข้าน้อยรองเจ้าเมืองเสวียนอู่ นามเผิงเจว๋รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลงานชุมนุมของฝั่งเผ่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างสหายหานเพิ่มขึ้นมาย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ!” ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมเอ่ยอย่างเกรงใจ

 

 

 


ตอนที่ 1796 ไต่เอ๋อร์

 

“ที่ไหนกัน ข้าน้อยเป็นแค่ผู้ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ไม่ว่าพลังปราณหรือประสบการณ์ก็ยังไม่เพียงพอ ยังต้องให้ผู้ดูแลเมืองเผิงคอยชี้แนะ” หานลี่ย่อมมีท่าทีถ่อมตน


“เรื่องที่สหายหานใช้เวลาแค่สองสามร้อยปีก็สามารถพัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ มีแค่ไม่กี่คนในยามนี้ที่ไม่รู้ จากคุณสมบัติของสหายวันข้างหน้าคงมีโอกาสบรรลุระดับอีกขั้น ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่ตาแก่อย่างพวกเราจะเทียบเทียมได้” เผิงเจว๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“พี่เผิงล้อเล่นแล้ว แต่ไม่ทราบว่าท่านเซียนผู้นี้คือ…” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ สายตาตกอยู่ที่เรือนร่างของฮูหยินชุดดำที่อยู่ด้านข้าง


ฮูหยินผู้นี้มีพลังปราณที่บริสุทธิ์มาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย นี่จึงทำให้หานลี่ใจหายวาบ อดที่จะคาดเดาฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ได้


ส่วนหญิงสาวชุดสีม่วงผู้นั้นกลับถูกมองข้ามไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ


“ข้ามีนามว่าเสียวก่วน ไม่ทราบว่าสหายหานเคยได้ยินหรือไม่” ฮูหยินชุดดำใช้สายตาสนอกสนใจจ้องเขม็งมาที่หานลี่แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ราชาหงส์ดำ!” แม้ว่าในใจจะคาดเดาเอาไว้ตั้งนานแล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยอย่างเปิดเผยหานลี่ก็อดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้


“ดูแล้วสหายหานคงรู้จักข้า จะว่าไปแล้วชนรุ่นหลังของข้าที่มีนามว่าเสี่ยวหงเคยทะเลาะเบาะแว้งกับสหาย” ฮูหยินชุดดำหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“เรื่องในปีนั้น…” หานลี่ขมวดคิ้วคิดจะเอ่ยอันใด แต่ฮูหยินกลับโบกมือแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“สหายหานอย่าเข้าใจผิด ตอนนั้นแม่หนูเสี่ยวหงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คาดไม่ถึงว่าจะวางแผนร้ายกับโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ของตระกูลเยี่ย ได้ถูกข้าลงโทษให้หันหน้าเข้าหากำแพงในวังหงส์ดำเป็นเวลาพันปี คำพูดเมื่อครู่ของข้าแค่อยากขอบคุณสหายหานที่ลงมือช่วย ไม่ให้เผ่าหงส์ดำของพวกเราและตระกูลเยี่ยมีความแค้นต่อกัน สหายยังไม่รู้ว่าอาวุโสใหญ่ของตระกูลเยี่ยเป็นสหายสนิทของข้า หากต้องโกรธกันเพราะเรื่องนี้จริงๆ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากเห็น”


หานลี่ได้ยินคำนี้ย่อมประหลาดใจ แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือไม่ แต่กลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน


“ในเมื่อสหายเสี่ยวกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็จะไม่พูดอันใดแล้ว”


เผิงเจว๋ที่อยู่ด้านข้างย่อมไม่รู้บุญคุณความแค้นของหานลี่และเผ่าหงส์ดำผู้นั้น แต่ยามนี้เห็นทั้งสองคนแก้ไขข้อพิพาทร่วมกันได้ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาแล้วคารวะทั้งสองคนพร้อมเอ่ยว่า


“สหายเสี่ยว สหายหาน งานประมูลใกล้จะเริ่มแล้ว สหายทั้งสองเข้าไปด้านในเถิด ผู้แซ่เผิงยังต้องรอสหายที่มาสายคนอื่นๆ อีก!”


“ได้ ข้าควรจะเข้าไปได้แล้ว ไต่เอ๋อร์ไปกันเถอะ” ฮูหยินชุดดำพยักหน้าร้องเรียกหญิงสาวชุดสีม่วงด้านหลังแล้วเดินนวยนาดเข้าไปโดยมีหญิงรับใช้เป็นผู้นำทาง


“ไต่เอ๋อร์!”


หานลี่ได้ยินฮูหยินเรียกขานเช่นนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ จากนั้นก็ใช้สายตาประหลาดใจมองไปที่หญิงสาวชุดสีม่วง


แต่หญิงสาวผู้นี้กลับก้มหน้าลงต่ำตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ ตามฮูหยินชุดดำไปโดยไม่มองหานลี่แม้แต่แวบเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดกับหานลี่สักคำ


หานลี่ที่แต่เดิมรู้สึกสงสัยเมื่อเงาร่างของหญิงสาวชุดสีม่วงหายวับไปด้านใน ก็อดที่จะมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่ได้


หรือว่าไต่เอ๋อร์ผู้นี้ก็คือเด็กหญิงที่ถูกเสี่ยวหงพาไปจากเขาเมื่อปีนั้น


ปีนั้นไต่เอ๋อร์เป็นผู้ที่มีเลือดผสมระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้เสี่ยวหงผู้ซึ่งเป็นปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรหงส์ดำระดับเทพแปลงคนหนึ่งแอบเข้ามาในส่วนลึกของเผ่ามนุษย์เพื่อพาตัวไป


หากเป็นเช่นนั้นหญิงสาวชุดสีม่วงคือเด็กหญิงคนนั้นจริงๆ ยามนี้มาปรากฏตัวข้างกายฮูหยินของราชาหงส์ดำ นั่นก็ไม่แปลกเลยสักนิด


แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามร้อยปีจากคนธรรมดาที่ไม่มีพลังกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงขั้นต้น นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้นัก


แม้ว่าเผ่าหงส์ดำจะให้ความสำคัญกับไต่เอ๋อร์มาก สายเลือดหงส์ดำเองก็ลึกลับอย่างหาที่เปรียบ การพัฒนาระดับขั้นเช่นนี้ก็จะน่าตกตะลึงเกินไปหน่อยกระมัง ความเร็วไม่ต่างจากเขาที่พัฒนาจากระดับเทพแปลงไปสู่ระดับผสานอินทรีย์ภายในไม่กี่ร้อยปีเท่าใดนัก


หน้าตาของแม่หนูไต่เอ๋อร์ผู้นั้นเขายังจำได้อย่างชัดเจน


แม้ว่าอายุจะเปลี่ยนไปเขาก็ยังหาความคล้ายคลึงระหว่างหญิงสาวชุดสีม่วงและเด็กหญิงในปีนั้นไม่เจอ


และยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นไต่เอ๋อร์ในปีนั้นจริง หน้าตาของตนไม่ได้เปลี่ยนแปลงเหตุใดถึงไม่ทักทายตน


เด็กหญิงในปีนั้นอาลัยอาวรณ์กับเขามาก


หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วรู้สึกฉงน


ส่วนเผิงเจว๋เห็นหานลี่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าแปลกประหลาดก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่ได้เร่งเร้าอันใด แค่มองหานลี่ด้วยรอยยิ้มไม่ได้ปริปาก


“พี่เผิง สหายไต่เอ๋อร์ผู้นั้นคือคนของเผ่าหงส์ดำหรือ? รู้หรือไม่ว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับสหายเสี่ยว?” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปากถาม


“หึๆ ข้ายังนึกว่าพี่หานไม่สนใจหญิงสาวผู้นั้นเสียอีก จากที่ข้ารู้มาไต่เอ๋อร์เป็นชนรุ่นหลังสายตรงของสหายเสี่ยว มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อยในเผ่าปีศาจ ว่ากันว่าไม่เพียงมีคุณสมบัติที่น่าตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าที่แท้จริงยังงดงามได้รับการขนานนามว่า ‘เซียนหงวิญญาณ’ ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มรูปงามของเผ่าปีศาจจำนวนเท่าใดที่ใฝ่ฝันถึงนางและตามจีบแต่ก็ไม่สมหวัง” เผิงเจว๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ใบหน้าที่แท้จริง?” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็แววตาเปล่งประกาย


“ไม่แปลกที่สหายจะไม่รู้! ใบหน้าของนางในยามนี้ถูกสหายเสี่ยวใช้ภาพลวงตาขนนกเที่ยงแท้ประจำกายปิดบังเอาไว้ นอกเสียจากจะเก็บขนนกเที่ยงแท้ มิเช่นนั้นแม้จะมีอิทธิฤทธิ์มากเพียงก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ได้ ได้ยินสหายหงส์ดำกล่าวว่าเพื่อลดความยุ่งยากในงานหมื่นสมบัติจะได้ไม่ถูกคนมาเกาะแกะ อันใดพี่หานสนใจเซียนหงวิญญาณหรือ จะว่าไปแล้วแม้ว่าพี่หานจะพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้วแต่อายุก็ยังไม่มาก หากอยากรับสตรีผู้นี้ไว้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าได้ยินว่าแม่หนูผู้นี้เป็นชาวเผ่าหงส์ดำเลือดผสมกับเผ่ามนุษย์” เผิงเจว๋เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ท่าทางหยอกเย้า


แม้ว่าท่านรองเจ้าเมืองเผิงจะเอ่ยเช่นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง


“พี่เผิงล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยแค่เห็นสตรีผู้นี้มีท่าทางเป็นเอกลักษณ์ไม่ใช่คนธรรมดาถึงได้ถาม หึๆ ถึงเวลาสมควรแล้ว ผู้แซ่หานขอเข้าไปก่อนแล้วกัน” หานลี่มุมปากกระตุกตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นกัน


“ผู้แซ่เผิงต้องรอสหายคนอื่นคงต้องส่งแค่นี้” เผิงเจว๋ไม่ได้เอ่ยอันใดมาก ประสานมือคารวะขณะเอ่ย


ยามนี้ย่อมมีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาและพาหานลี่และพวกทั้งสามเข้าไปด้านใน


ส่วนพริบตาที่หานลี่หันกายไปใบหน้ากลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


หลังจากที่คนทั้งกลุ่มผ่านทางเดินยาวที่สร้างขึ้นจากหยกขาว ยามนี้ก็มาอยู่ในตำหนักขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่ถูกแบ่งออกเป็นสองสามชั้น


ตำหนักทรงกลมนี้มีความกว้างถึงสามพันจั้ง มีแท่นสูงประมาณสิบจั้งเศษที่สร้างจากหยกขาว


บนแท่นสูงนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คน แต่มุมทั้งสี่ด้านของแท่นกลับมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ด้านในมีกระบี่บินสีเงินความยาวสามฉื่อลอยอยู่


ด้านล่างแท่นมีนักรบชุดเกราะสีทองถือขวานยืนอยู่แปดคน ทุกคนล้วนสวมหน้ากากสีเงินจิตสังหารสีดำที่แผ่ออกมาพันรัดรอบเรือนร่างเอาไว้ เผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา


หานลี่มองกระบี่บินทั้งสี่เล่มและนักรบชุดเกราะสีทองทั้งแปดคนแวบหนึ่ง แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


กระบี่บินทั้งสี่เล่มนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่เป็นเพียงสมบัติระดับสมบัติวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงการเชื่อมโยงกันและกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติชุดหนึ่ง


แค่กระบี่บินเล่มเดียวก็เป็นสมบัติระดับสมบัติวิญญาณแล้ว หากสี่เล่มรวมกันอานุภาพจะมากมายเพียงใดแค่คิดก็รู้แล้ว


ส่วนนักรบชุดเกราะทั้งแปดคน แม้ว่าจะสัมผัสพลังปราณในร่างของเขาไม่ได้แต่ไม่ว่าชุดเกราะสีทองบนร่างหรือไอสีดำที่แผ่ออกมาก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของพวกเขา


หานลี่ขบคิดในใจ ติดตามสาวใช้คนหนึ่งมาที่ชั้นบนสุดของตำหนักเป็นห้องในชั้นสามที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม


แม้ว่าห้องจะไม่ใหญ่มีขนาดแค่เจ็ดแปดจั้ง แต่ก็มีโต๊ะเก้าอี้อย่างครบครัน แม้กระทั่งมุมทั้งสี่ยังมีกระถางบุปผาวิญญาณผลิดอกวางอยู่


ตรงข้ามกับแท่นสูงมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมเปิดอยู่


ในหน้าต่างมีหมอกสีขาวปรากฏขึ้นแต่กลับมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจนไม่ได้ปิดบังอันใด


“ท่านอาวุโส! นี่คือห้องของแขกชั้นสูง ท่านพอใจหรือไม่ หากไม่ชอบห้องนี้ชนรุ่นหลังจะเปลี่ยนห้องให้เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่นำทางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม


“ไม่ต้องแล้ว ห้องนี้ก็ได้” หานลี่กวาดตามองแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


“เช่นนั้นชนรุ่นหลังขอตัวก่อน ท่านอาวุโสมีรับสั่งใดก็เรียกได้เลยเจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังรออยู่ที่ด้านนอกประตู” สาวใช้ก้มหน้าขณะเอ่ย


หานลี่ได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็โบกมือไม่ได้พูดอันใดอีก


สาวใช้ย่อมออกไปจากห้องอย่างรู้จักวางตัวและปิดประตูอย่างแผ่วเบา


ส่วนไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็พิจารณารอบๆ ด้านด้วยความสนใจไม่หยุด สุดท้ายสายตาก็ตกอยู่ที่หน้าต่าง


หานลี่ก้าวเข้าไปข้างหน้าสองก้าวด้วยสีหน้าราบเรียบ นั่งลงบนเก้าอี้หน้าหน้าต่าง


ด้านหน้าเก้าอี้มีโต๊ะไม้สีเขียวมรกตตัวหนึ่ง บนนั้นมีจานอาคมที่ใช้ประมูลวางอยู่


หานลี่กวาดตามองแค่สองแวบก็เลื่อนสายตาออกมองไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


ยามนี้มองเห็นสถานการณ์ด้านล่างกว่าครึ่งจากบานหน้าต่าง ชาวเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน นั่งอยู่ที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองจนเกือบเต็มแล้ว


ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตาขึ้นไป


ส่วนตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ย่อมอยู่ในห้องส่วนตัวที่ชั้นสาม


หานลี่กวาดสายตามองไปก็เห็น ยามนี้ไม่มีสิ่งใดน่าดูจึงหลับตาทำสมาธิทันที


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อย่อมยืนประสานมืออยู่ด้านหลังอย่างซื่อสัตย์


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังขึ้นจากด้านล่างพลันหยุดลง ทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัด


หานลี่หน้าเปลี่ยนสีลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปที่แท่นสูงด้านล่างจากบานหน้าต่าง


เห็นเพียงบนแท่นในยามนี้มีผู้ที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์สองคนยืนเคียงไหล่กันอยู่


คนหนึ่งสูงสองจั้ง รอบกายมีลำแสงสีดำไหลโคจรไปมา เป็นชายร่างใหญ่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา แต่ใบหน้าที่แท้จริงกลับมองเห็นไม่ชัด


อีกคนหนึ่งสูงกว่าชายร่างใหญ่ไว้หนวดหนึ่งช่วงหัว แค่ศีรษะมีเขาประหลาดสีแดงสดงอกออกมาดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีเขียวมรกต ข้างแก้วมีเกล็ดแวววาวอยู่ กลับเป็นชนเผ่าปีศาจแปลงกายคนหนึ่ง


หานลี่มองเห็นทั้งสองอย่างชัดเจน รูม่านตาหกเล็กลงแต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ


และในยามนี้ชายร่างใหญ่ที่อยู่ในลำแสงสีดำบนแท่นสูงกลับเอ่ยปากว่า


“สหายที่อยู่ที่นี่น่าจะรู้จักข้าและสหายหลีหั่วที่อยู่ข้างกาย ดังนั้นจักรพรรดิป้าอย่างข้าก็จะไม่แนะนำตัวอันใดอีก ยามนี้ข้าขอประกาศให้งานประมูลสินค้าครั้งแรกของงานหมื่นสมบัติเริ่มได้”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)