ข้ามกาลบันดาลรัก 179.2-181.1

ตอนที่ 179-2 จัดสรร

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนเดินวนรอบภูเขาทุกลูก ให้เขาดูว่าตนเองปลูกฉั่งฉิกไว้มากเท่าใด


 


 


แม้เมิ่งอี้เซวียนจะกังขาในพฤติกรรมของนาง แต่ก็มิได้ถามอะไร เพียงเดินเคียงข้างนางไปอย่างเชื่อฟัง


 


 


มาถึงภูเขาลูกสุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนมายืนบนยอดเขา มองดูภูเขาลูกอื่นๆ ถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉั่งฉิกเหล่านี้จะนำความร่ำรวยมาให้ครอบครัวเรามากเพียงใด?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดต่อ เพียงแค่ใช้สายตาที่ลุ่มลึก กระจ่างแจ้งมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างลึกซึ้ง กล่าวว่า “สามปี ขอเพียงสามปี…”


 


 


ในที่สุดเมิ่งอี้เซวียนก็ทนไม่ไหวถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ เพียงพูดต่อว่า “อี้เซวียน เจ้าจงจำไว้ หลังจากนี้สามปี ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร ครอบครัวเราจะเป็นเบื้องหลังที่แข็งแกร่งให้เจ้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่เข้าใจ


 


 


“ไปเถอะ!” เมิ่งเชี่ยนโยวหมุนตัวแล้วเดินกลับไป


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตามหลังไปเงียบๆ กลับมีความคิดเป็นร้อยพันขึ้นในใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนไม่ได้กลับไปบอกลาจางจู้อีก มุ่งหน้ากลับมาขึ้นรถม้า แล้วสั่งให้ไปบ้านท่านอาจารย์


 


 


เหวินเปียวขานรับคำ บังคับรถม้ามาถึงเรือนหลังใหม่อย่างมั่นคง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินมาถึงหน้าประตู พูดกับบ่าวเฝ้าประตู “รบกวนเจ้าช่วยไปรายงาน บอกว่าพวกเรามีเรื่องอยากหารือกับท่านอาจารย์”


 


 


บ่าวรับใช้วิ่งแนบไปรายงาน ไม่นานก็วิ่งกลับออกมา พูดกับทั้งสองคนอย่างอ่อนน้อม “นายท่านเชิญท่านทั้งสองคนเข้าไปขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบใจ เดินตามบ่าวรับใช้มาถึงเรือนท่านอาจารย์พร้อมเมิ่งอี้เซวียน


 


 


บ่าวรับใช้ยังไม่ทันได้รายงาน เสียงท่านอาจารย์ก็ดังลอยออกมา “เข้ามาเถอะ”


 


 


ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง แสดงความเคารพท่านอาจารย์


 


 


ท่านอาจารย์เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอย่างมีมารยาท “แม่นางเมิ่งนั่งเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ เมิ่งอี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ


 


 


ไม่รอให้ท่านอาจารย์เอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็คลี่ยิ้มพูดขึ้น “สองวันมานี้ข้าคิดทบทวน จัดสรรงานให้กับคนในครอบครัวท่าน ท่านลองฟังดูก่อน หากท่านรู้สึกว่าไม่เหมาะสม พวกเราค่อยหารือกันใหม่”


 


 


ท่านอาจารย์พยักหน้า “พูดเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าอยากเปิดสำนักการศึกษา ให้เด็กที่ถึงวัยเข้ารับการศึกษาในครอบครัวพวกเราได้เข้ามาเรียนหนังสือ คิดอยากเชิญบุตรชายท่านเป็นอาจารย์สอน ไม่ทราบว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่”


 


 


ท่านอาจารย์ครุ่นคิด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เดิมทีท่านปู่ข้าก็ทำเรื่องนี้ได้ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นซิ่วไฉที่มีชื่อเสียงในรอบหลายรัศมีนี้ ทว่าอายุมากแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะให้บุตรชายของท่านมาเป็นอาจารย์สอน หากท่านรู้สึกว่าเป็นการปิดกั้นความสามารถของบุตรชายท่าน เรื่องนี้ให้ถือว่าข้าไม่เคยพูด”


 


 


ท่านอาจารย์โบกมือ “เดิมทีหลังจากข้ากลับไปบ้านเกิดแล้ว ก็จะให้พวกเขาไปเป็นอาจารย์ คำแนะนำของแม่นางประจวบเหมาะตรงกับความต้องการของข้าพอดี”


 


 


“ทว่า พวกเราจะเชิญอาจารย์ได้เพียงท่านเดียว สำหรับคุณชายอีกท่าน ข้าคิดว่าน่าจะพอมาเรียนทำการค้ากับพวกเราได้?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


ท่านอาจารย์ตกตะลึง ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าทราบว่าผู้มีการศึกษาแต่ไหนแต่ไรจะอยู่เหนือผู้อื่น ไม่ข้องเกี่ยวคลุกคลีกับใคร แต่ว่านอกจากทำการค้าแล้ว ที่เหลือก็คือต้องไปทำไร่ไถนา บุตรชายท่านตั้งแต่เล็กเติบโตในเมืองหลวง เกรงจะทนความลำบากนี้ไม่ไหว”


 


 


ท่านอาจารย์ไม่พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ รอฟังคำตอบจากเขา


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ท่านอาจารย์ถึงเอ่ยปากพูด “พวกเราร่ำเรียนตำรับตำรามาแต่เยาว์ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการค้าใดๆ มาก่อน เกรงจะไม่เห็นด้วย ทว่าประเดี๋ยวข้าจะเรียกพวกเขามาถาม พรุ่งนี้ข้าค่อยตอบความเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “สำหรับสมาชิกในครอบครัวพวกท่าน คิดว่าด้านงานฝีมือน่าจะไม่เลว ครอบครัวข้ามีการค้าเย็บกระเป๋านักเรียน ให้พวกนางไปเย็บกระเป๋านักเรียนได้ ค่าแรงอาจจะน้อยไปหน่อย แต่นี่เป็นชนบท ค่าแรงในแต่ละเดือนเพียงพอเอาไว้ใช้สอยในครอบครัว”


 


 


ท่านอาจารย์พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ เรื่องนี้ข้าออกปากรับแทนพวกนาง พรุ่งนี้จะให้พวกนางเข้าไปดู”


 


 


“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ก็คือเงินเดือนของท่าน ท่านแม่ทัพฉู่มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในจดหมาย ข้าจึงอยากถามท่าน ท่านคิดว่าเงินเท่าใดถึงจะเหมาะสม?”


 


 


ท่านอาจารย์โบกมือ “ข้าติดค้างหนี้บุญคุณท่านแม่ทัพฉู่ ครั้งนี้มาเพื่อตอบแทนบุญคุณเขา เงินเดือนก็ไม่ต้องแล้ว มีให้พวกเราทั้งครอบครัวกินดื่มก็พอแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “ท่านติดค้างหนี้บุญคุณท่านแม่ทัพฉู่ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ท่านยอมรับปากมาสอนอี้เซวียน พวกเราทั้งครอบครัวก็ซาบซึ้งน้ำใจมากแล้ว เงินเดือนนี้อย่างไรก็ต้องให้”


 


 


ท่านอาจารย์เห็นนางยืนหยัด จึงพูดให้พ้นๆ ไป “เมื่อแม่นางยืนหยัด ข้าก็จะไม่ปฏิเสธอีก ให้เดือนละสิบตำลึงก็แล้วกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงัน


 


 


ท่านอาจารย์ตกใจในปฏิกิริยาของนาง ถามขึ้น “ข้าเรียกร้องสูงเกินไป?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกลนพูดขึ้น “ท่านเรียกน้อยไปต่างหาก ด้วยสถานะและความรู้ของท่าน หนึ่งพันตำลึงยังถือว่าโอบอ้อมต่อพวกเรา”


 


 


ท่านอาจารย์หัวเราะลั่น “แม่นางพูดขบขันแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดา ย่อมต้องทำตัวให้เข้าตามถิ่นธรรมเนียม หากเรียกเงินเดือนสูงเช่นนั้น ภายหน้าออกไปข้างนอกเกรงจะถูกคนในหมู่บ้านไล่ด่าลับหลังไม่เหลือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะ พูดว่า “น้ำใจของท่านข้าจดจำไว้แล้ว ภายหน้าหากต้องการสิ่งใด ขอให้ท่านรีบเอ่ยปาก ข้าจะต้องทำให้ท่านอย่างแน่นอน”


 


 


ท่านอาจารย์ลูบแผงเคราพยักหน้า “เมื่อแม่นางพูดเช่นนี้ ข้าก็จะทุ่มเทความสามารถสอนสั่งน้องชายเจ้าให้ดีที่สุด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้นยืน แสดงความขอบคุณท่านอาจารย์อย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่านอาจารย์”


 


 


ท่านอาจารย์โบกมือ “แม่นางหาได้ต้องเกรงใจเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตัวตรง ทั้งไม่ได้นั่งลงไป ยืนแล้วพูดว่า “ยังมีอีกหนึ่งเรื่องสุดท้าย ที่ข้าอยากหารือกับท่าน”


 


 


ท่านอาจารย์พูด “เชิญแม่นางพูด”


 


 


“ก็คือปัญหาช่วงเวลาการเข้าเรียนของอี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านสามารถกำหนดเวลาเรียนในแต่ละวันได้ แต่ข้าอยากให้ทุกเจ็ดวันเขาจะมีวันพักผ่อนสองวัน”


 


 


โรงเรียนปกติจะมีวันหยุด วันพักย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทุกเจ็ดวันให้หยุดพักสองวัน ระเบียบเวลาเรียนเช่นนี้ท่านอาจารย์ก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก อดพูดขึ้นไม่ได้ “คล้ายว่าจะไม่เหมาะสม การที่ทุกเจ็ดวันให้หยุดพักสองวัน หนึ่งเดือนจะมีวันพักถึงเจ็ดแปดวัน เช่นนี้จะไม่เป็นผลดีต่อการเรียน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้ามอบการค้ากระเป๋านักเรียนของครอบครัวให้เขาและลูกของเพื่อนอีกคน ข้าต้องการให้เขาทั้งเรียนและทำการค้าไปควบคู่กัน ภายหน้าแม้จะสอบขุนนางไม่ได้ เขาก็ยังจะมีความเชี่ยวชาญอีกด้านไว้ติดตัว ดังนั้นข้าจึงอยากให้ในทุกเจ็ดให้มีวันหยุดสองวัน เวลาสองวันนี้เพื่อฝึกฝนเขาทำการค้า สำหรับการเรียนของเขา ท่านพยายามจัดแจงให้อยู่ภายในเจ็ดวัน ข้ารับประกันว่าเขาจะต้องทำเสร็จสิ้นได้”


 


 


ท่านอาจารย์ครุ่นคิดใคร่ครวญ พยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ว่าตามที่แม่นางบอก แต่หากเขาเรียนไม่ได้ตามความต้องการของข้า ระเบียบที่ว่านี้จะต้องเป็นโมฆะ เปลี่ยนมาเป็นทุกครึ่งเดือนมีวันพักหนึ่งวัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “หากเพราะการค้าถ่วงการเรียนของเขา ไม่ต้องให้ท่านพูด ข้าก็จะให้ระเบียบนี้เป็นโมฆะ”


 


 


ท่านอาจารย์พยักหน้า กำหนดเวลาการเรียนให้เมิ่งอี้เซวียน ทุกวันในตอนเช้าและตอนบ่ายจะมีการเรียนช่วงเวลาละสองชั่วยาม ส่วนเวลาที่เหลือให้ทำการบ้านที่ท่านอาจารย์มอบหมายให้เสร็จก็พอ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขานรับคำอย่างอ่อนน้อมแสดงว่าจดจำไว้แล้ว


 


 


เมื่อหารือเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนจึงกล่าวลากลับบ้าน


 


 


กลับมาถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งอี้เซวียนไปเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้เข้าเรียนในวันพรุ่งนี้ ส่วนตนเองกลับเข้าไปในห้อง หยิบกระดาษพู่กันวาดแปลนบ้านสองสามใบ มองดูแปลนบ้านครุ่นคิดเป็นนาน ถึงทำการตัดสินใจขั้นสุดท้าย จากนั้นเปิดกล่องของตัวเองออก หยิบเงินออกมานับคำนวณ พบว่าเงินเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว ขมวดคิ้วถอนหายใจยาว หยิบป้ายหยกที่วางไว้ก้นกล่องมาโดยตลอดขึ้น เกิดความคิดขึ้นในใจ


 


 


ตอนกลางคืนทุกคนมาร่วมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ไม่มีอะไรทำ ข้าอยากขยายต่อเติมเรือนอาศัยของพวกเราออกไป”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อได้ยินนางอยู่ๆ ก็พูดว่าจะสร้างเรือนอาศัย ต่างก็ตะลึงค้าง


 


 


เมิ่งชื่อถามขึ้น “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงอยากสร้างเรือนอีกแล้วเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านแม่ ปีนี้พี่ใหญ่ก็อายุสิบหกปีแล้ว ไม่แน่ว่าวันไหนจะมีแม่นางมาหมายปอง ไม่นานก็จะได้แต่งงาน ตอนนี้พวกเราไม่มีเรือนเหลือพอ จะรอให้พี่ใหญ่แต่งงานแล้วพวกเราค่อยสร้างเรือนก็คงไม่ได้กระมัง เช่นนั้นก็ไม่ทันการแล้ว อีกอย่างพี่รองก็อายุไม่น้อยแล้ว ใกล้จะถึงวัยแต่งงานแล้วเช่นกัน ดังนั้นข้าคิดจะใช้โอกาสตอนนี้ สร้างเรือนขึ้นอีก เลี่ยงไม่ให้ท่านและท่านพ่อต้องร้อนใจภายหลัง”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดขึ้น “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ถูกต้อง แต่บ้านพวกเรายังมีเงินอีกหรือ? หลังจากปิดโรงงานไป พวกเราก็มีแต่จ่ายไม่มีเข้า คาดว่าเงินในบ้านจะใช้จ่ายไปประมาณหนึ่งแล้วกระมัง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านพ่อ ท่านดูแคลนบุตรสาวคนนี้เกินไปแล้ว ครอบครัวเราจะไม่มีเงินได้อย่างไร ในมือข้ายังมีอีกหลายหมื่นตำลึงเล่า”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อตกใจสะดุ้ง ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงยังมีเงินมากเช่นนั้น?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ย่อมต้องหามาได้อยู่แล้ว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด “ไม่มีทาง ข้าคำนวณรายรับของครอบครัวเราหมดแล้ว ไม่มีทางจะเหลือเงินมากเช่นนั้นได้อีก” 

 

 


ตอนที่ 180-1 แผ่นหยกปรากฏ ตกตะลึง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นจะเข้าใจบัญชีอย่างแจ่มแจ้งเช่นนี้ หัวใจกระตุกวูบ ใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกใด ยิ้มแล้วพูดว่า “จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร พวกพี่ใหญ่ยังมีเงินอีกหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง ข้าจะไม่มีได้อย่างไร?”


 


 


พูดจบหันไปถามเมิ่งเสียน “ใช่หรือไม่ พี่ใหญ่ พวกท่านมีหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า “ใช่”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคงไม่เชื่อคำพูดนาง “เช่นนั้นเจ้านำออกมาให้พ่อดู”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างหน้าไม่แดงใจไม่สั่น “ย่อมได้ ข้าเก็บเอาไว้ที่สำนักการเงิน เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปเบิกออกมาให้ท่านดู หากข้ามีเงินมากเช่นนั้น ท่านจะต้องรับปากข้ายอมสร้างเรือนหลังใหม่”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรับคำ “แน่นอนอยู่แล้ว พ่อมิได้ตระหนี่เช่นแม่เจ้า มีเงินแล้วทำใจใช้ไม่ลง ขอเพียงในมือเจ้ายังมีเงิน พ่อย่อมรับปากเจ้าปลูกเรือนหลังใหม่”


 


 


เมิ่งชื่อถูกกล่าวถึงอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่พอใจแล้ว “ข้าตระหนี่อย่างไรกัน งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวันมิใช่ข้าเป็นคนควักกระเป๋าหรือ?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดจี้ใจดำสัพยอกนาง “ถูกต้อง เจ้าเป็นคนควักกระเป๋า แต่ใครกันเล่าที่ปวดใจจนนอนไม่ได้ไปหลายวัน”


 


 


คนในบ้านหัวเราะครืน


 


 


เมิ่งชื่อหน้าแดงเรื่อ ถลึงตาใส่เมิ่งเอ้ออิ๋นแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นลูบศีรษะ หัวเราะแหะๆ


 


 


วันรุ่งขึ้นหลังกินอาหารเช้า เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนไปเรียนบ้านท่านอาจารย์ด้วยตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาเอาแผ่นหยกในห้อง สั่งการเหวินเปียวบังคับรถม้าเข้าไปในเมือง


 


 


เหวินเปียวจัดเตรียมรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาเมิ่งชื่อ แล้วจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้า เดินทางมาได้ครึ่งทาง เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ แสร้งถามเหวินเปียวอย่างสนใจใคร่รู้ “ในเมืองหลวงต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดถึงจะซื้อเรือนอาศัยที่ค่อนข้างดีสักหลังได้?”


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่างมั่นคง พลางตอบว่า “เรือนอาศัยในเมืองหลวงแบ่งออกเป็นสี่ทิศ แต่ละทิศแตกต่างกัน ที่แพงที่สุดคือทิศตะวันออก แถบนั้นล้วนเป็นบ้านของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนัก หากใครซื้อบ้านแถบนั้น ก็เท่ากับว่าได้เป็นเพื่อนบ้านกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนัก มีเรื่องอันใดก็จะสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ได้ยินว่าราคาบ้านแถบนั้นหนึ่งหลังมีราคาหลายแสนตำลึง คนปกติทั่วไปซื้อไม่ไหวหรอก รองลงมาก็คือบ้านทิศใต้ คนที่อาศัยแถบนั้นส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าวาณิชย์ เทียบกันแล้วราคาย่อมเยาว์กว่ามาก เรือนอาศัยอย่างดีหลังหนึ่งมีเงินสองสามหมื่นก็ซื้อได้แล้ว ที่ดีที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งแสนตำลึง ทิศเหนือจะเป็นบ้านของชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป บ้านยิ่งมีราคาถูกกว่า สำหรับทิศตะวันตก เป็นแหล่งชุมนุมของยากจกและคนไร้บ้าน ดังนั้นที่นั่นจึงไม่มีเรือนอาศัย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามขึ้นอีก “เช่นนั้นในเมืองหลวง ค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งปีของครอบครัวเศรษฐีเล็กๆ อยู่ที่ประมาณสักเท่าใด?”


 


 


เหวินเปียวขบคิด ตอบว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ชัด ประมาณหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงกระมัง”


 


 


จากนั้นก็ถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดวันนี้แม่นางถึงคิดถามเรื่องพวกนี้”


 


 


“อ่อ อยู่ๆ ก็อยากรู้ ก็เลยลองถามพวกเจ้าดู”


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ บังคับรถม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองไปอย่างมั่นคง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปิดม่านบังรถลง ครุ่นคิดอยู่ในห้องโดยสารเพียงลำพังอยู่นาน กระทั่งรู้สึกว่ารถม้าเข้ามาในเมืองแล้ว ถึงเปล่งเสียงพูดว่า “หาร้านขายแป้งทาหน้า ข้าจะซื้อแป้งทาหน้าเสียหน่อย”


 


 


เด็กสาวชอบแต่งหน้าทาแป้งเป็นเรื่องปกติ เหวินเปียวไม่ได้คิดอะไรมาก บังคับรถม้ามาถึงร้านแป้งทาหน้าร้านหนึ่ง จอดรถแล้วลงมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินเข้าไปในร้าน เหวินเปียวคิดว่ามีแต่ของใช้ของหญิงสาว จึงไม่ตามเข้าไป


 


 


ใช้เวลาไม่นาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ซื้อแป้งทาหน้าจำนวนหนึ่งออกมา


 


 


หลังจากขึ้นมานั่งบนรถม้า ก็สั่งให้ไปร้านเสื้อผ้า


 


 


ครั้งนี้ร้องเรียกให้เหวินหู่เข้าไปด้วย ไม่เพียงซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง ยังให้เหวินหู่เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้ตัวเองและเหวินเปียวคนละชุด เหวินหู่เกิดความรู้สึกกังขา กลับไม่ได้ถามมากความ


 


 


เมื่อซื้อของเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปยังที่ลับตาคน บอกทั้งสองคน “อีกประเดี๋ยว พวกเราจะไปทำเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง จำเป็นต้องปลอมแปลงตัว พยายามอย่าให้คนอื่นจำโฉมหน้าที่แท้จริงได้ พวกเจ้าสองคนเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ประเดี๋ยวข้าจะแต่งหน้าแต่งหน้าให้พวกเจ้า”


 


 


ทั้งสองคนรีบเปลี่ยนชุดคลุมด้านนอกโดยไว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบแป้งทาหน้าออกมา ทำการบรรเลงให้เหวินเปียวก่อน เหวินหู่จูงรถม้ารถอยู่อีกด้าน


 


 


หลังจากบรรเลงเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวมองดู รู้สึกพึงพอใจมาก ให้เขากลับหลังหัน ถามเหวินหู่ “เช่นนี้เจ้ายังจำเขาได้หรือไม่?”


 


 


เหวินหู่มองเหวินเปียวที่กลายเป็นอีกคนหนึ่งตรงหน้า ร้องปิติ “วิชาแปลงโฉมของแม่นางล้ำเลิศนัก หากไม่ได้เห็นกับตาว่าท่านเป็นคนแปลงโฉมให้เขา ข้าคงจำไม่ได้จริงๆ”


 


 


เหวินเปียวถูกเมิ่งเชี่ยนโยวแต่งหน้าทาตาไปทั่วทั้งใบหน้า นึกว่าถูกนางแต่งเป็นหญิงสาว เกิดความรู้สึกประดักประเดิดในใจ ได้ยินคำพูดเหวินหู่ ก็ให้ยินดีพูดว่า “ขอข้าดูบ้าง แม่นางแปลงโฉมข้าเป็นอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นกระจกบานเล็กไปตรงหน้าเขา


 


 


เหวินเปียวส่องกระจก ในนั้นเป็นชายรูปงามคนหนึ่ง แตกต่างกับรูปลักษณ์เดิมของตัวเองเป็นอย่างมาก หากไม่เพราะเห็นตัวเองในกระจก แม้แต่ตัวเองก็คงจำตัวเองไม่ได้ ร้องชื่นชมนางเสียงหลง “วิชาแปลงโฉมของแม่นางล้ำเลิศสุดยอดจริงๆ”


 


 


ได้ยินทั้งสองคนยกย่องชื่นชม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูด “วิชาแปลงโฉมที่ไหนกันเล่า นี่เป็นเพียงการแต่งหน้าธรรมดาๆ ข้าเพียงใช้เคล็ดลับช่วยก็เท่านั้น”


 


 


ทั้งสองคนประหลาดใจตะลึงค้าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อธิบายความแก่พวกเขาอีก ทำการวาดบรรเลงให้เหวินหู่ เปลี่ยนเหวินหู่ให้กลายเป็นชายงามสะโอดสะอง


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้ามองกัน หัวเราะเสียงดังเอิ๊กอ๊าก


 


 


หากกลับบ้านไปด้วยสภาพเช่นนี้ เกรงว่าภรรยาของตนเองจะต้องจำไม่ได้กระมัง


 


 


ทั้งสองนับถือในวิชาแปลงโฉมที่ล้ำเลิศของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสุดซึ้ง


 


 


หลังจากแต่งหน้าให้ทั้งสองคนเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปนั่งในรถม้า มองกระจกเติมแต่งขีดเขียนให้กับตัวเอง ทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินลงมาจากรถม้า


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ต่างร้องอุทาน “แม่นาง นี่ท่าน…?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงแหบใหญ่พูดว่า “นับจากนี้ไป ข้าไม่ใช่แม่นาง ข้าคือนายน้อย จำไว้ให้ดีประเดี๋ยวอย่าได้เรียกผิด”


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ขานรับคำพร้อมกัน “ทราบแล้ว นายน้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกำชับทั้งสองคนอย่างจริงจัง “ประเดี๋ยวไม่ว่าข้าจะทำอะไร พวกเจ้าเพียงคล้อยตามข้าก็พอ เมื่อเสร็จเรื่อง ให้บังคับรถม้าไปทางตะวันตก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนสะกดรอยตามแล้วพวกเราค่อยเลี้ยวกลับบ้าน”


 


 


เมื่อก่อนเหวินเปียวและเหวินหู่เป็นผู้คุ้มกัน ใช้ชีวิตปลายมีดอาบเลือดมาตลอด หลังจากถูกเมิ่งเชี่ยนโยวซื้อตัวมา แม้จะรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว แต่ก็มักจะคิดถึงวิถีชีวิตแบบเดิม ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เกิดความรู้สึกฮึกเหิมประหลาดขึ้นในใจ เปล่งเสียงขานรับพร้อมกัน “ทราบแล้วขอรับ นายน้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้ไปสำนักการเงินที่เคยไปแลกเงินอีแปะครั้งก่อน


 


 


เหวินเปียวรับคำ ไม่นานก็หยุดรถม้าหน้าสำนักการเงิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงจากรถม้า เดินอาดๆ เข้าไปในสำนักการเงิน เหวินหู่เดินตามติดไป


 


 


พนักงานของสำนักการเงินเห็นคุณชายน้อยแต่งกายไม่ธรรมดาเข้ามา ลุกลนเข้าไปต้อนรับ ถามขึ้น “ท่านจะมาฝากเงินหรือเบิกเงินขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง เดินไปข้างเก้าอี้แล้วนั่งลง ถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลงจู๊ของพวกเจ้าเล่า? ให้เขาออกมาพบข้า?”


 


 


พนักงานเห็นคุณชายน้อยท่านนี้มาถึงก็จะขอพบหลงจู๊ รู้สึกลำบากใจ พูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายท่านนี้ หลงจู๊ของพวกเรากำลังต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ ท่านมีเรื่องอะไรก็ให้บอกข้าไปทำ ข้าจะต้องทำให้ท่านได้อย่างเรียบร้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่ไยดีแวบหนึ่ง พูดว่า “เลิกพูดพล่ามได้แล้ว รีบไปตามหลงจู๊ของพวกเจ้ามา บอกว่าข้ามีเรื่องใหญ่มากต้องการพบเขา”


 


 


พนักงานเห็นเขาดูเป็นผู้มีอันจะกิน มีบารมีไม่ธรรมดา ไม่เหมือนคนที่จะมาก่อกวน จึงพูดอย่างนบนอบ “ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเรียนหลงจู๊เดี๋ยวนี้” พูดจบ วิ่งแนบเข้าไปหลังร้าน


 


 


ไม่นานเท่าไหร่ หลงจู๊ก็ตามพนักงานเดินลิ่วออกมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ก็ให้ชะงักอึ้ง ยกยิ้มพูดว่า “ไม่ทราบว่านายน้อยท่านนี้อยากพบข้าด้วยเรื่องอะไรขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินเขาแวบหนึ่ง ถามว่า “เจ้าก็คือหลงจู๊?”


 


 


หลงจู๊ขานรับคำ ถามขึ้นอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าท่านอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดขอรับ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เจ้าเปิดสำนักการเงิน ข้าอยากพบเจ้าย่อมต้องเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนเงิน หรือจะให้ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อดื่มน้ำชาพูดคุยทุกข์สุข?”


 


 


หลงจู๊ถูกพูดจนสะอึก ใบหน้าเริ่มไม่สู้ดี ท่าทีนบนอบก็แผ่วบางลง น้ำเสียงเริ่มไม่สบอารมณ์ “จะแลกเปลี่ยนเงิน พนักงานที่โต๊ะด้านหน้าสามารถจัดการให้ได้ ท่านเพียงนำตั๋วเงินออกมาก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ตั๋วเงินของข้านี้พวกเขาจะแลกเปลี่ยนได้หรือ”


 


 


ปฏิกิริยาของหลงจู๊แข็งกร้าวขึ้น กล่าวว่า “คุณชายน้อยอย่าได้กล่าวหยอกเย้า หากพนักงานในสำนักการเงินของข้า แม้แต่ตั๋วเงินยังแลกเปลี่ยนไม่ได้ เช่นนั้นสำนักการเงินนี้ก็คงจะเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว”


 


 


หลงจู๊เพิ่งจะพูดจบ แผ่นหยกชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา


 


 


หลงจู๊ถลึงตาลุกวาว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือแผ่นหยกคลี่ยิ้มถาม “ท่านดูเถิดว่าตั๋วเงินนี้พนักงานแลกได้หรือไม่?”


 


 


หลงจู๊รับแผ่นหยกมา พินิจมองดู ปรับเปลี่ยนกิริยาอาการ โค้งตัวลงต่ำ ถามอย่างพินอบพิเทา “ไม่ทราบว่าท่านต้องการแลกตั๋วเงินจำนวนเท่าใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่แยแส “เอามาห้าหมื่นตำลึงก่อนเถอะ หากว่าไม่พอ ข้าจะมาเอาอีก”


 


 


หลงจู๊ยิ่งทวีความนบนอบ “ท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมให้ท่านด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หลงจู๊สั่งการพนักงานให้รีบไปชงชามาให้เมิ่งเชี่ยนโยว จากนั้นถึงหยิบแผ่นหยกกระวีกระวาดเข้าไปหลังร้าน


 


 


พนักงานเห็นปฏิกิริยาของหลงจู๊ที่พลิกเปลี่ยนฉับพลัน ก็ไม่รอช้า รีบชงน้ำชา ยกเข้ามาให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระมัดระวัง


 


 


หลงจู๊ตะลีตะลานกลับเข้ามาในห้องหลังร้าน หยิบกุญแจออกมาเปิดกล่องใบหนึ่งออก หยิบกระดาษที่มีภาพวาดแผ่นหยกที่แทบจะเหมือนกันทุกประการสองชิ้นออกมา หยิบแผ่นหยกในมือเปรียบเทียบอย่างถี่ถ้วน พบว่าเหมือนกับแผ่นหยกในนั้นทุกประการ ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “พนักงาน”


 


 


พนักงานคนหนึ่งขานรับแล้วเข้ามา


 


 


หลงจู๊สั่งกำชับเขา “เจ้าไปแอบเรียกท่านผู้ชำนาญโจวที่หน้าร้านออกมา บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนอยากพบเขา”


 


 


พนักงานรับคำ สาวเท้าเดินออกไป 

 

 


ตอนที่ 180-2 แผ่นหยกปรากฏ ตกตะลึง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปโดยรอบร้านแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นพนักงานคนหนึ่งหุนหันเดินออกมา เรียกชายชราที่โต๊ะแลกเงินเข้าไป รู้ว่าพวกเขากำลังตรวจสอบหลักฐาน ก็ไม่ได้เร่งเร้า กลับหลังจากจิบชาอย่างเรื่อยเฉื่อยแล้ว ก็นั่งรอบนเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ


 


 


ผู้ชำนาญโจวเดินเข้าไปหลังร้าน หลงจู๊นำแผ่นหยกและกระดาษวางตรงหน้าเขา “เหล่าโจว เจ้ารีบดูเถิด!”


 


 


ผู้ชำนาญโจวตกตะลึง เปรียบเทียบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เงยหน้าร้องอุทานถาม “ไปได้มาจากที่ไหน?”


 


 


“คุณชายที่นั่งอยู่ด้านนอกท่านนั้น บอกจะมาแลกเงินห้าหมื่นตำลึง” หลงจู๊ตอบ


 


 


ผู้ชำนาญโจวขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าจะออกไปด้านหน้าพินิจดูให้ละเอียดก่อน แล้ววาดรูปลักษณ์ของเขาส่งไปให้นายท่าน ท่านเตรียมตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงตามที่เขาต้องการ”


 


 


หลงจู๊พยักหน้า เก็บกระดาษใส่กลับไปในกล่อง ถือแผ่นหยก เข้าไปหยิบตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงในคลังเงิน เดินกลับเข้าไปในสำนักการเงิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหลงจู๊กลับมา พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “หลงจู๊ออกไปนานเช่นนี้ คงไม่เพราะสำนักการเงินไม่มีเงินมากขนาดนี้กระมัง หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ขอทำท่านลำบากใจ คืนแผ่นหยกมาให้ข้า ข้าจะไปแลกเงินที่อื่น”


 


 


หลงจู๊พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณชายพูดหยอกเย้าแล้ว อย่าว่าแต่เงินเพียงห้าหมื่นตำลึง ต่อให้เป็นห้าแสนตำลึง สำนักการเงินของพวกเราก็มีให้เบิก ข้าเพียงต้องเข้าไปหยิบในคลังเงิน เชื่องช้าไปเสียหน่อย ทำให้ท่านรอนานแล้ว”


 


 


พูดจบนำแผ่นหยกและตั๋วเงินมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว “คุณชายดูว่าจำนวนตัวเลขถูกต้องหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บแผ่นหยกใส่ในอกเสื้ออย่างระวัง ถึงหยิบเงินมานับ ไม่ขาดไม่เกินได้ห้าหมื่นตำลึงพอดี จากนั้นหยิบออกมาหนึ่งใบ ยิ้มแล้วพูดกับหลงจู๊ “รบกวนท่านนำตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงใบนี้แตกมาเป็นตั๋วเงินย่อยให้ข้าด้วยเถอะ ข้าคงไม่อาจไปกินข้าวแล้วพกตั๋วเงินเป็นหมื่นตำลึงไปได้”


 


 


หลงจู๊ขานรับคำอย่างอ่อนน้อม เดินไปที่โต๊ะแลกเงิน


 


 


ผู้ชำนาญโจวยังวาดภาพไม่เสร็จ นึกว่าพอเมิ่งเชี่ยนโยวได้ตั๋วเงินไปแล้วก็จะไป ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ตอนนี้พอได้ยินนางบอกจะแตกเป็นตั๋วเงินย่อย จึงส่งสายตาให้หลงจู๊


 


 


หลงจู๊เข้าใจทันที หยิบตั๋วเงินย่อยทั้งหมดในโต๊ะแลกเงินออกมาอย่างเชื่องช้า แสร้งทำเป็นตั้งใจนับเงิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้าเขา


 


 


ประมาณครึ่งก้านธูปได้ ผู้ชำนาญโจวถึงวาดเสร็จ ส่งสัญญาณมือให้หลงจู๊


 


 


หลงจู๊พยักหน้า หยิบตั๋วเงินย่อยปึกหนึ่งเดินออกมาจากโต๊ะแลกเงิน วางไว้เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างอ่อนน้อม “ท่านนับก่อนเถิด ดูว่าพอหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินใส่อกเสื้อทันควัน “ไม่ต้องแล้ว เชื่อว่าหลงจู๊จะต้องนับไม่ผิด”


 


 


พูดจบลุกขึ้นเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งพวกเขาออกมาถึงนอกสำนักการเงินด้วยตัวเอง มองนางนั่งรถม้าจากไปไกล ถึงกวักมือเรียกพยักหน้าคนหนึ่ง พูดกระซิบกระซาบกับเขา


 


 


พนักงานพยักหน้า จูงม้าตัวหนึ่งออกมา ควบตามรถม้าไป


 


 


เหวินเปียวทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง หลังจากออกมาจากสำนักการเงินก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เหวินหู่คอยระมัดระวังความเคลื่อนไหวด้านหลัง กระทั่งใกล้จะออกจากประตูเมือง เหวินหู่ถึงพูดว่า “แม่นาง ด้านหลังมีคนตามพวกเรามาจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง “แล่นตรงไป หาที่ลับตาคนจัดการเขาให้สลบ”


 


 


ทั้งสองพยักหน้า


 


 


ออกจากประตูเมือง เหวินเปียวเพิ่มความเร็วรถม้า วิ่งมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกของเมือง


 


 


พนักงานที่ตามติดมาก็ควบม้าทะยาน ตามไปตลอดทาง


 


 


ออกมาประมาณหกถึงเจ็ดลี้ได้ ระหว่างทางไม่มีผู้คนสัญจรแล้ว เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้าสบตากัน แล้วพยักหน้าให้กันและกัน


 


 


เหวินเปียวหยุดรถม้ากะทันหัน


 


 


พนักงานที่สะกดรอยตามมาเห็นรถม้าหยุดกะทันหัน กระชากบังเ**ยนแน่นพลัน แต่ม้าควบมาเร็วเกินไป บวกกับที่เขาไม่ทันได้เตรียมตัว จึงไม่ได้หยุดทันที แต่วิ่งไปข้างหน้าอีกระยะหนึ่ง ห่างจากรถม้าของพวกเขาเพียงสิบกว่าเมตรถึงหยุดได้


 


 


รถม้าหยุดจอด ในห้องโดยสารกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ


 


 


พนักงานให้คลางแคลงใจ พลิกตัวลงจากหลังม้า จูงม้าหมายจะเดินหน้าเข้าไปดูให้รู้ชัด


 


 


อยู่ๆ ม่านบังรถก็เปิดออก เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในห้องโดยสาร ยิ้มตาหยีถาม “เจ้าตามพวกเรามาตั้งแต่ออกมาจากสำนักการเงินแล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”


 


 


พนักงานหยุดชะงักฝีเท้าอย่างร้อนตัว มองซ้ายมองขวา อึกอักพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีกครั้ง “หรือเงินที่พวกเราแลกมามีปัญหา?”


 


 


พนักงานตอบตะกุกตะกัก “ไม่ ไม่มี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ”  “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงสะกดรอยตามพวกเรา?”


 


 


พนักงานพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มตาหยีพูด “เมื่อเจ้าไม่พูด พวกเรากลับไปถามหลงจู๊ของพวกเจ้าก็แล้วกัน” พูดจบ สั่งเหวินหู่  “จับเขามัดไว้ พวกเรากลับไปถามหลงจู๊ให้รู้ชัด”


 


 


พนักงานตกใจ ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวหลายก้าว แล้วพลิกตัวขึ้นบนม้า


 


 


เหวินหู่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้ฟังก็มาอยู่ตรงหน้าพนักงานฉับพลัน จับขาหลังที่เหยียบโกลนข้างหนึ่งของพนักงานดึงลากลงมา


 


 


พนักงานหัวหมุน ร่างไถลงมาอย่างอ่อนยวบ


 


 


เหวินหู่รับตัวเขาไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการ “ลากตัวเขาไปทิ้งไว้ข้างทางให้ไกลตาหน่อย ส่วนพวกเรากลับได้”


 


 


เหวินหู่พยักหน้า ลากตัวพนักงานไปวางให้ไกลจากถนนใหญ่ยี่สิบถึงสามสิบเมตร แล้วจูงม้าไปไว้ข้างเขา ถึงกลับขึ้นมาบนรถม้า


 


 


“หันหัวกลับ หาบริเวณที่มีน้ำระหว่างทาง ชำระล้างให้สะอาดค่อยกลับบ้าน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เหวินเปียวขานรับคำ หันหัวม้ามุ่งหน้าเดินทางกลับเข้ามาในเมือง เลี้ยวกลับไปตามเส้นทางบ้านตัวเอง พอเจอลำธารข้างทาง หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้างจนสะอาดก่อน ตนเองและเหวินหู่ถึงผลัดกันมาล้างออกจนหมดจด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้างหน้าล้างตาสะอาดแล้ว ก็โยนแป้งทาหน้าที่ซื้อมาลงไปในลำธารด้วย เข้าไปในห้องโดยสารเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ล้างสะอาดแล้ว กลับมาใส่เสื้อผ้าชุดเดิม


 


 


ทั้งสามคนจัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงกลับไปบ้านด้วยหัวใจอิ่มเอมอย่างประหลาด


 


 


เหวินหู่ลงมือไม่หนัก ประมาณสองเค่อได้ พนักงานก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น ตกใจลุกพรวดขึ้นนั่ง มองไปโดยรอบ ไม่เหลือเงาของรถม้าแล้ว


 


 


มองข้างกายตัวเอง เห็นม้ายังอยู่ ถอนใจโล่งอก รีบลุกขึ้นยืน จูงม้า เดินกลับไปบนถนนใหญ่ พลิกตัวขึ้นหลังม้า กลับสำนักการเงินโดยไว


 


 


หลงจู๊กำลังเดินกระวนกระวายไปมาอยู่หน้าประตู เห็นพนักงานกลับมา ร้อนใจถามขึ้น “เป็นอย่างไร สืบได้หรือไม่?”


 


 


พนักงานลงจากหลังม้า ส่ายหน้า พูดอย่างระวัง “มิได้ ผู้น้อยถูกพวกเขาตีสลบ หลังจากฟื้นขึ้นมา รถม้าก็หายสาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้ว”


 


 


หลงจู๊โมโหเตะเขาไปหนึ่งครั้ง “ไม่ได้เรื่อง”


 


 


พนักงานถูกเตะ ไม่กล้าขยับ และไม่กล้าส่งเสียงร้อง ยืนรับคำตำหนิของหลงจู๊อยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง


 


 


หลงจู๊โมโหกลับเข้าไปหลังร้าน ผู้ชำนาญโจวหยิบภาพวาดในมือเดินตามไป ถามเสียงเบา “เป็นอย่างไร?”


 


 


หลงจู๊ส่ายหน้า “ตามไม่ทัน”


 


 


ผู้ชำนาญโจวปลอบใจเขา “เห็นก็รู้ว่าคุณชายน้อยท่านนั้นไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดา ผู้ชายข้างกายเขาก็มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย พนักงานไม่มีวรยุทธ์ ตามไม่ทันก็เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดเดา ยังดีที่พวกเราวาดภาพไว้ จะให้คนนำส่งให้นายท่านเดี๋ยวนี้”


 


 


หลงจู๊ถอนหายใจ “คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว หวังว่านายท่านจะไม่โทษว่าพวกเราทำงานไม่ได้ความ”

 

 

 


ตอนที่ 181-1 แอบเปลี่ยนใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าการที่ตนเองใช้แผ่นหยกแลกเปลี่ยนตั๋วเงิน จะสร้างความปั่นป่วนโกลาหลเช่นไร เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปเกือบครึ่งเมืองหลวง แม้แต่ฉู่เหวินเจี๋ยยังเขียนจดหมายให้เหวินซื่อ ให้เขาสืบความมาให้ได้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ผ่านไปไม่นาน ตำบลชิงซีก็มีบุคคลที่มีสถานะไม่ชัดเจนจำนวนมากเข้ามา แอบนำภาพวาดสืบเสาะค้นหาบ้านเศรษฐีทั่วทั้งตำบลชิงซี


 


 


คนทั้งหมดกลับมาถึงบ้านก็เที่ยงแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นอยู่บ้านพอดี เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินสามหมื่นออกมาวางเบื้องหน้าเขา “ท่านพ่อ ท่านดูก่อน นี่เป็นเงินของครอบครัวเรา ยังมีมากเช่นนี้เล่า เหลือพอให้ปลูกเรือนได้สบายๆ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นนางมีตั๋วเงินออกมาได้จริงๆ ก็ไม่คัดค้านอีก “เมื่อมีเงิน เราก็ปลูกเรือนได้ แต่ว่าการปลูกเรือนครั้งนี้ขนาดไม่ใหญ่ เราไม่ต้องจ้างคนจำนวนมากแล้วกระมัง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “นอกจากขยายเรือนของพวกเราแล้ว ข้ายังคิดอยากจะสร้างโรงงานอีกสองสามแห่ง รวมถึงปลูกเรือนหลังใหม่ให้ท่านปู่ท่านย่าด้วย”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นสูดลมหายใจเข้าปาก ร้องอุทาน “เช่นนั้นต้องใช้เงินมากขนาดไหน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “วางใจเถอะ เงินสามหมื่นตำลึงนี้ใช้ไม่หมดอย่างแน่นอน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นคัดค้าน “ปลูกเรือนหลังเดียวก่อนเถิด ให้เสียนเอ๋อร์ใช้แต่งงาน ส่วนที่เหลือรอให้เปิดโรงงานกุนเชียงตอนฤดูหนาว มีรายรับก่อนค่อยสร้างก็ได้ ตอนนี้เจ้าจะสร้างมากเช่นนี้ในคราเดียว ใช้เงินไปจนหมดเกลี้ยง หากในบ้านเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านพ่อ พวกเราจะปลูกเรือน โรงงานกุนเชียงที่สร้างไว้จะต้องรื้อทิ้ง จะรอให้ถึงฤดูหนาวค่อยสร้างโรงงานไม่มีทางทำทัน อีกอย่าง หลังจากเก็บเกี่ยวมันฝรั่งได้ ข้ายังคิดจะสร้างโรงงานอีกสองสามหลัง ฉวยโอกาสตอนนี้ที่พวกเราว่าง สร้างโรงงานทั้งหมดนี้ขึ้นพร้อมกัน พอพวกเราต้องการใช้จะได้ให้คนงานเข้าไปทำงานด้านในได้ทันที สำหรับเรื่องเงิน หลังจากมันฝรั่งสุกได้ที่แล้ว พวกเราก็จะมีรายรับเอง”


 


 


“เช่นนั้นก็ชะลอเรือนของท่านปู่ท่านย่าเจ้าไว้ก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ความคิดแรกเริ่มที่พวกเราจะปลูกเรือนให้ท่านปู่ท่านย่าก็เพื่อให้พี่เมิ่งเหรินได้แต่งภรรยา ตอนนี้ท่านอาจารย์เข้าไปอาศัยในเรือนหลังใหม่ ตอนสิ้นปีพี่เมิ่งเหรินแต่งภรรยาก็จะไม่มีเรือนให้อาศัย ไม่อย่างนั้นเราฉวยโอกาสตอนนี้ปลูกเรือนไปพร้อมกันเลย พออากาศเย็น พวกเราจะได้มุ่งมั่นให้กับโรงงานของพวกเราได้อย่างเต็มที่”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคงคัดค้าน เมิ่งเชี่ยนโยวตัดสินใจเด็ดขาด “ท่านพ่อ ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านเชื่อข้าเถอะนะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้ว่าบุตรสาวมีความคิดแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วไม่มีเปลี่ยนง่ายๆ อีก จึงพยักหน้าเห็นชอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาเมิ่งต้าจินก่อน บอกว่าตัวเองคิดจะสร้างโรงงานเป็นเทือก และปลูกเรือนที่มีห้องนอนขนาบคู่หน้าหลังอีกสองสามหลัง ให้เขาช่วยดูว่าพอจะมีพื้นที่ปลูกเรือนตรงไหนที่เหมาะสม จากนั้นก็มาหาเมิ่งซานถง พูดว่า “ท่านอาสาม ท่านช่วยส่งข่าวบอกท่านอาโหย่วเหริน บอกว่าข้าจะสร้างโรงงานหลายหลัง ให้เขามีเวลาก็เข้ามา พวกเราจะได้หารือรายละเอียดกัน”


 


 


เมิ่งซานถงพยักหน้า “ตอนค่ำข้าจะไปส่งข่าวที่หมู่บ้านข้างเคียง ให้เขาเข้ามา”


 


 


หลังจากที่โหย่วเหรินปลูกเรือนหลังใหม่ให้สกุลเมิ่ง ก็สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วทั้งตำบลชิงซี มีบางครอบครัวเศรษฐีถึงกับเชิญเขามาปลูกเรือนให้ งานยุ่งวุ่นวายไม่ขาด ทว่าพอได้รับแจ้งข่าวจากเมิ่งซานถง บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเรียกหาเขา เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ตรงเข้ามาทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบแปลนภาพของตัวเองให้เขาดู “ข้าคิดจะขยายเรือนของครอบครัวข้าให้ใหญ่ขึ้น นอกจากเรือนหลักแล้ว จะสร้างเรือนรองเพิ่มอีกสองสามหลัง เรือนพวกนี้จะเป็นเอกเทศแต่ก็ต้องเชื่อมต่อกัน สมมติว่าอีกฝั่งเกิดเรื่องอะไร อีกฝั่งจะต้องได้ยินทันที”


 


 


โหย่วเหรินมองดูแปลนภาพยิ่งใหญ่อลังการแผ่นนั้น ทอดถอนใจอีกครั้ง สกุลเมิ่งมีแม่นางที่เก่งกล้าสามารถเช่นนี้ จะไม่ให้รุ่งโรจน์คงยาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาไม่พูดอะไร นึกว่าเขาคับข้องลำบากใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าทราบว่าตอนนี้ท่านอาโหย่วเหรินยุ่งมาก หากท่านลำบากใจ พวกเราจะเชิญคนอื่นมาก็ได้”


 


 


โหย่วเหรินโบกมือ “แม่นางเมิ่งพูดเช่นนี้เท่ากับตบหน้าข้าแล้ว ที่ข้ามีวันนี้ได้ เพราะแม่นางผู้เดียว ขอเพียงแม่นางเอ่ยปาก ต่อให้ต้องผลักงานอื่นทั้งหมดออกไป ข้าก็จะต้องมาช่วยสร้างบ้านให้ท่านก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านอาโหย่วเหริน”


 


 


หลังจากทั้งสองคนปรึกษาเรื่องวันลงมือก่อสร้างเสร็จ โหย่วเหรินก็จากไป


 


 


ต่อจากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำการแบ่งงานที่มีทั้งหมด เมิ่งเสียนมีหน้าที่รับสมัครคนมาทำงานจับกัง เมิ่งเอ้ออิ๋นรับผิดชอบเรื่องการปลูกเรือน ส่วนเรื่องทำอาหารก็มอบให้เมิ่งชื่อ


 


 


พวกเขาปลูกสร้างบ้านเรือนมาหลายครั้งแล้ว ทุกคนต่างคุ้นเคยกับงานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามขั้นตอน ทว่า หลังจากที่เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนรื้อกำแพงลานบ้านออก ก็ให้ปวดใจเป็นอย่างมาก ร้องโอดครวญว่าสิ้นเปลืองเงินไปไม่น้อยอีกแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มปลอบใจนาง “ท่านแม่ อิฐแดงพวกนี้ยังนำมาใช้ได้ สิ้นเปลืองเงินไม่มากเท่าใดหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกคนในครอบครัวเรื่องที่ตนเองคิดจะสร้างเรือนหลักและเรือนรองให้เชื่อมต่อกัน ดังนั้นตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเอ้ออิ๋นเรียกคนมาเก็บกวาดด้านข้างเรือนให้สะอาด ทั้งอัดพื้นดินให้แน่น เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อต่างก็คิดว่านางจะย้ายสนามฝึกวรยุทธ์ไปด้านข้าง


 


 


เมิ่งต้าจินก็หาที่ดินสองแปลงนอกหมู่บ้านให้นางได้แล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวมาดู ก็เข้าไปศาลาว่าการตำบลทำโฉนดพร้อมเขา พอกลับมาก็ให้เมิ่งต้าจินช่วยหาคนมาทำความสะอาดที่ดิน


 


 


ในหมู่บ้านนอกจากแรงงานที่ต้องรดน้ำในแปลงมันฝรั่ง แรงงานเกือบทั้งหมดที่เหลือต่างก็มารื้อถอนกำแพงและอัดพื้นดินบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นจนแน่น


 


 


เมิ่งต้าจินไปหาผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างๆ บอกว่าตนเองจะปลูกเรือน ต้องการแรงงานจับกังจำนวนมาก ให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยหาคนที่ทำงานขยันขันแข็งมาจำนวนหนึ่ง ค่าแรงคือวันละสามสิบอีแปะ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างๆ ยินดีปรีดา จัดการเลือกคนในหมู่บ้านหลายสิบคนออกมาทันที


 


 


เมิ่งต้าจินบอกทุกคนว่า “ครั้งนี้เป็นการปลูกเรือนของครอบครัว ต้องการแรงงานจับกัง งานค่อนข้างเหนื่อย หากใครคิดว่าตัวเองทำไม่ไหว ก็ให้บอก”


 


 


ผู้ใหญ่เลือกมาล้วนแต่เป็นคนขยันทำงานของหมู่บ้าน งานเช่นนี้ไม่เหนื่อยบ่ากว่าแรง ย่อมไม่มีใครเดินออกมา


 


 


เมิ่งต้าจินบอกพวกเขาอีกว่า หนึ่งวันได้ค่าแรงสามสิบอีแปะ ตอนเที่ยงมีข้าวให้หนึ่งมื้อ เป็นหมั่นโถวและผัดผักรวมให้กินจนอิ่ม


 


 


พอคิดถึงผัดผักรวมในงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีของบ้านเมิ่งที่เห็นเนื้อหมูเป็นแผ่นๆ คนที่ถูกเลือกต่างก็ดีใจกันยกใหญ่ ส่วนคนที่ไม่ได้รับเลือกกลับมองพวกเขาด้วยใบหน้าอิจฉาตาลุกวาว


 


 


หลังจากกำหนดเวลาการทำงานของวันถัดมาแล้ว เมิ่งต้าจินก็กลับมาที่บ้าน บอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่าจัดการเรื่องรับสมัครคนเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะเข้ามาเริ่มทำงาน


 


 


หลังจากกำแพงเรือนถูกรื้อถอนเสร็จ พื้นดินถูกอัดจนแน่นดีแล้ว โหย่วเหรินก็นำนายช่างใหญ่ และคนงานจับกังดาหน้าเข้ามาทำงาน สองสามีภรรยาเมิ่งเห็นหัวดำๆ น่าจะมีถึงสองร้อยคนได้ ก็ให้ตกใจสะดุ้ง โหย่วเหรินยิ้มอธิบายอย่างเก้อเขิน “พอทุกคนได้ยินว่ามาทำงานบ้านท่าน ต่างก็แย่งกันเข้ามา หากไม่เพราะข้าฝืนห้ามไว้แล้วบางส่วน ให้พวกเขาไปที่อื่น จำนวนคนจะยิ่งมากกว่านี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านอาโหย่วเหรินขยายกำลังคนได้เร็วเช่นนี้ เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง”


 


 


โหย่วเหรินตอบ “เป็นเพราะอาศัยบารมีของแม่นางอย่างไรเล่า ตั้งแต่ที่ปลูกเรือนให้ท่าน แล้วท่านก็จ่ายเงินค่าแรงให้ภายในวันเดียวกันเลย ต่อมาคนที่จ้างพวกเราไปปลูกเรือนก็ไม่มีใครผ่อนผันติดค้างเงินค่าแรงอีก ดังนั้นชื่อเสียงข้าก็เลยดีขึ้นเรื่อยๆ ได้รับงานเพิ่มมากขึ้น กำลังคนก็เลยเพิ่มขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ความชอบนี้ข้าไม่ขอรับ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะงานประณีตที่ท่านเป็นผู้นำพวกเขาทำ ทำให้เจ้าของงานพึงพอใจถึงได้รับมา หาได้เกี่ยวกับข้าไม่”


 


 


หลังจากทั้งสองกล่าวตามมารยาทแล้ว โหย่วเหรินก็สั่งเหล่าคนงานเริ่มลงมือทำงาน


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซานถงคอยดูความคืบหน้าของบ้าน เมิ่งต้าจินรับผิดชอบให้คนต่างหมู่บ้านมาทำความสะอาดที่ดินสองแปลงที่เพิ่งจะซื้อไว้


 


 


ทุกคนต่างยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น มีเพียงเมิ่งอี้เซวียนที่เข้าไปเรียนหนังสือบ้านท่านอาจารย์ตรงตามเวลาทุกวัน ท่านอาจารย์เป็นตี้ซือมาหลายปี นึกว่าโลกนี้จะไม่มีใครฉลาดเกินลูกหลานเชื้อพระวงศ์แล้ว ไม่คิดว่าหลังจากสอนเมิ่งอี้เซวียนถึงได้รู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน เด็กคนนี้เป็นดั่งเซียนเด็ก ขอเพียงเป็นความรู้ที่เขาสอน เขาจะรับรู้ได้โดยไว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องท่องกลอน เขาอ่านผ่านเพียงครั้งเดียวก็จำได้แล้ว ดังนั้นท่านอาจารย์จึงทำตามสัญญา ทุกเจ็ดวันจะให้เขาหยุดสองวัน ทว่าพอไม่มีคน ท่านอาจารย์คิดถึงรูปลักษณ์ของเมิ่งอี้เซวียนก็ให้แอบประหวั่นใจ ไม่ทราบว่าการที่ตนเองมาเป็นท่านอาจารย์ของเมิ่งอี้เซวียนนี้จะเป็นเรื่องดีหรือร้าย


 


 


แม้จะเชิญบุตรชายท่านอาจารย์มาเป็นครูสอนหนังสือ แต่ชั่วเวลาจำกัดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่อาจหาสถานที่เหมาะสมมาทำสำนักการศึกษาได้ จึงปล่อยซุนเหลียงไฉเป็นอิสระช่วงเวลาหนึ่ง ให้เขาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้แทน


 


 


นอกจากต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาออกกำลังกายตรงตามเวลาทุกวัน ไม่ต้องไปโรงเรียนอีก ทำเอาซุนเหลียงไฉดีใจจนเนื้อเต้น คอยวิ่งมุดเข้ามุดออกที่ปลูกสร้างเรือนอย่างเริงร่าทุกวัน ประเดี๋ยวก็ทำโน่นนิด ประเดี๋ยวก็ทำนี่หน่อย หรือไม่ก็ไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่กับเมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงอย่างสนุกสนาน ไม่มีความคิดอยากจะกลับบ้านเลยแม้แต่น้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)