ยอดหญิงสกุลเสิ่น 179.2-180.2

ตอนที่ 179-2 ส่งสาร

 

ตอนที่เสิ่นเวยและคนทั้งสองเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองของสายตาหลายสาย คุณหนูน้อยไม่รู้จักเขินอายประหม่า นางรู้จักแต่ทำหน้าดุถลึงตากลับไปอย่างโหดเ**้ยม “มองอะไร ถ้ายังไม่หยุดมองข้าจะควักลูกตาเจ้า”


 


 


แม้คนจำนวนมากจะรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้มีนิสัยไม่รับแขก แต่เห็นนางหน้าตาสะสวย แม้ว่าจะพูดจาข่มขู่โหดร้ายก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิด อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ถูกที่บ้านตามใจจนเสียคน เพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างมีภูมิหลัง ใครจะหาเรื่องนาง


 


 


ทว่าโต๊ะริมราวกั้นชั้นสองข้างๆ กลับไม่อยู่นิ่ง เย้าแหย่หนึ่งประโยค “แม่นางที่ไหนกำเริบเสิบสานยิ่งนัก มาดื่มสุรากับข้าสักแก้วแล้วข้าจะควักลูกตาให้เจ้า”


 


 


เสิ่นเวยหน้าตึงทันที ชักกระบี่ล้ำค่าที่เอวออกมากำลังจะวิ่งไปคิดบัญชีที่ชั้นสอง ถูกเสี่ยวตี๋กอดเอวนางไว้อย่างสุดชีวิต “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าได้ลงมือเด็ดขาด ท่านลืมแล้วหรือว่าครั้งก่อนท่านกรีดหน้าคุณหนูสามหมู่บ้านวั่นเหมยจนนายท่านลงโทษกักบริเวณท่านครึ่งปี หากท่านก่อเรื่องข้างนอกอีกนายท่านกับคุณชายคงจะไม่ให้ท่านออกจากบ้านอีกแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


อะไรนะ กรีดหน้าผู้หญิงงั้นหรือ แล้วยังกักบริเวณเพียงแค่ครึ่งปีก็ปล่อยออกมาแล้ว นี่มันน่ากลัวเพียงใด! ชั่วขณะสายตาที่มองเสิ่นเวยของทุกคนก็เปลี่ยนไป อยากจะอยู่ให้ไกลนางอย่างยิ่ง


 


 


“เหอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่ทะเลาะกับเจ้าหรอก ถือว่าไว้ชีวิตสุนัขเช่นเจ้า” เสิ่นเวยแค่นเสียงกล่าวไปยังบริเวณราวกั้นชั้นสอง เดินไปยังโต๊ะต้อนรับภายใต้การดึงของเสี่ยวตี๋


 


 


คนที่เอ่ยปากเย้าแหย่เมื่อครู่ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่ถูกคนผู้หนึ่งข้างๆ กดมือไว้ “น้องรองอย่าก่อเรื่องเป็นอันขาด!” ทั้งยังบอกเป็นนัยให้เขามองสาวใช้คนนั้น “แม่นางผู้นั้นดูมีภูมิหลัง ไม่เข้าไปยุ่งจะดีที่สุด งานหลักของพวกเราสำคัญกว่า”


 


 


คนที่ถูกเรียกว่าน้องรองผู้นั้นมองลงไปข้างล่าง ชั่วขณะหน้าก็เปลี่ยนสี ท่าทางการเดินของสาวใช้ผู้นั้นเป็นยุทธ์มีกำลังภายในชั้นยอด มิน่าเล่าครอบครัวถึงกล้าปล่อยคุณหนูที่เอาแต่ใจเช่นนี้ออกมาท่องยุทธจักร นี่ยังแค่ที่เห็น ใครจะรู้ว่าในที่มืดยังมีคนติดตามมากน้อยเพียงใด


 


 


ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่พูดถูก เพียงแค่เด็กน้อยที่นิสัยไม่ดีคนหนึ่ง จะโต้เถียงกับนางไปทำไม งานหลักสำคัญกว่า


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านว่าหน้าที่ครั้งนี้แปลกหรือไม่ พูดว่าต้องการหาคุณชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง แต่ไม่มีแม้แต่ภาพเหมือน งมเข็มในมาสมุทร พวกเราจะหาอย่างไร” น้องรองกล่าวบ่น


 


 


“อย่าพูดเหลวไหล ในเมื่อนายท่านสั่งมาเช่นนี้แล้วแสดงว่าต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ขอเพียงแค่เจอจะต้องรู้ได้แน่นอนว่าเป็นคนนี้ เช่นนั้นคุณชายวัยหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความพิเศษแน่นอน ให้พวกเราหาก็หาเถอะ จะพูดจาไร้สาระเยอะแยะเพียงนี้ทำไม” คนที่มีท่าทางเป็นพี่ใหญ่ตำหนิเสียงต่ำ


 


 


อีกคนหนึ่งก็สั่งเสียงต่ำเช่นกัน “ใช่แล้ว พี่ใหญ่น้องรอง พวกเราก็แค่ตั้งใจหาคุณชายวัยหนุ่มที่หน้าตาโดดเด่นหรือการกระทำโดดเด่นเสียก็พอ”


 


 


น้องรองผู้นั้นบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “พวกเราจับตามองที่โรงเตี๊ยมนี้มาสามวันแล้ว ไหนเลยจะเคยเห็นคุณชายวัยหนุ่มที่โดดเด่นอะไรนั่น ไม่ใช่ว่าเบื้องบน…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกพี่ใหญ่ผู้นั้นห้ามไว้แล้ว “หุบปาก เจ้าอยากตายหรือไร”


 


 


หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่พูดต่อแล้ว


 


 


ทว่ามุมปากของเสิ่นเวยกลับยกขึ้น พวกเจ้าก็หาไปเถอะ ขุดดินสามฉื่อพวกเจ้าก็หาคุณชายวัยหนุ่มที่ว่าไม่เจอหรอก คอยดูสิว่าข้าจะไปถึงเมืองหลวงต่อหน้าพวกเจ้าอย่างราบรื่นได้อย่างไร


 


 


เสิ่นเวยตั้งใจเลือกที่นั่งซึ่งไม่ห่างจากสามคนนั้นมาก ชายตามองพวกเขาอย่างยั่วยุปราดหนึ่ง เมื่ออาหารมาส่งแล้ว เสิ่นเวยก็เรื่องมากอยู่นานกว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ กินไปพลาง ซ้ำยังบ่นนั่นบ่นนี่ไปพลาง


 


 


ด้วยเหตุนี้ คนที่กินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมต่างก็รู้แล้วว่าคุณหนูเอาแต่ใจผู้นี้ออกเดินทางเพื่อจะตามหาคู่หมั้น ข้างกายคู่หมั้นของนางคล้ายยังมีสตรีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ในใจทุกคนก็จินตนาการถึงฉากผู้หญิงสองคนแย่งชิงสามีกัน เอ่ยในใจว่า หากตนเป็นคู่หมั้นชายผู้นั้นก็คงจะรับคู่หมั้นหญิงที่เอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้ วิ่งหนีไปเหมือนกัน


 


 


แสดงละครก็ต้องแสดงให้สมบทบาท เสิ่นเวยขอห้องใหญ่เพียงแค่ห้องเดียว เสี่ยวตี๋กับเถาฮวาย่อมไม่มีห้องส่วนตัว บ่าวรับใช้ข้างกายคุณหนูน้อยไม่รับใช้นายท่านยังคิดจะนอนหลับเต็มอิ่มได้อีกหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร


 


 


เสิ่นเวยนอนลงบนเตียง เสี่ยวตี๋เปิดประตูห้องมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังทันที ไม่พบอะไรผิดปกติจึงปิดประตูถอยกลับมา


 


 


“ไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นหรอก บอกเจ้าแล้วว่าไม่มีอะไร” เสิ่นเวยผงกหัวขึ้นมาจากเตียง


 


 


เสี่ยวตี๋ยิ้มไม่พูด เป็นทหารลับ การระมัดระวังเป็นความเคยชินที่ฝังลึกถึงกระดูกแล้ว


 


 


เสิ่นเวยหาวกล่าว “ไปบอกเสี่ยวเอ้อร์[1]ว่าขอผ้าห่มอีกสองชุด เถาฮวานอนเบียดกับข้าบนเตียง เสี่ยวตี๋เจ้าก็นอนบนโต๊ะแก้ขัดไปก่อนหนึ่งคืนแล้วกัน” นางเองก็อยากให้เสี่ยวเอ้อร์นอนบนเตียงด้วยอย่างยิ่ง แต่เตียงโรงเตี๊ยมแคบเกินไป และเถาฮวาก็ตัวเล็ก ไม่กินที่ มิเช่นนั้นก็คงจะเบียดไม่ได้จริงๆ


 


 


ตอนที่เสี่ยวตี๋ออกไปขอผ้าห่ม ก็ถูกทุกคนมองด้วยความเห็นใจ อากาศหนาวเหน็บ แม้แต่เตียงยังไม่ให้นอน ติดตามเจ้านายเช่นนี้สาวใช้คนนี้คงจะโชคร้ายไปแปดชั่วโคตรจริงๆ


 


 


มีข้ออ้างตามหาคู่หมั้นนี้แล้ว การเดินทางที่เร่งรัดของเสิ่นเวยก็ไม่ดึงดูดความสนใจของใครเลยแม้แต่นิดเดียว ที่น่าสนใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าตลอดการเดินทางนี้เสิ่นเวยบังเอิญเจอสามคนนั้นที่โรงเตี๊ยมหรูอี้ถึงสี่ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจอสองครั้งในหนึ่งวัน


 


 


เสิ่นเวยกลับไปถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้กลับจวนจงอู่โหวทันที แล้วก็ไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าวัง แม้ว่าในมือนางจะมีป้ายคำสั่งที่สวีโย่วให้นาง นางนั่งอยู่ในโรงน้ำชาตรงข้ามพระราชวังทั้งวัน ตอนที่ราตรีย่างกรายมาถึงจึงไปหาคนติดต่อตามวิธีที่สวีโย่วบอกนาง


 


 


เร็วอย่างยิ่งในวังก็มีข่าวมา คนที่มานำนางเข้าวังคือขันทีอ้วนๆ คนหนึ่ง เขายังนำชุดขันทีน้อยมาให้นางด้วยหนึ่งชุด เสิ่นเวนกระตุกมุมปาก แต่ก็ยังคงสวมอย่างเชื่อฟัง


 


 


“คุณชายสี่ไม่ต้องกลัว อาจารย์ของพวกเราคือศิษย์ของจางกงกงประจำองค์จักรพรรดิ พวกเราสนิทสนมกับคุณชายใหญ่” ขันทีอ้วนกล่าวกับเสิ่นเวยอย่างเป็นมิตร


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้ายิ้ม แต่กลับไม่ได้พูดอะไร สวีโย่วชายผู้นั้นก็ไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าพวกเขาสนิทกันหรือไม่ คนที่สามารถคลุกคลีอยู่ในวังได้จะธรรมดาได้อย่างไร


 


 


เพราะว่าเป็นกลางคืน เสิ่นเวยเองก็มองทัศนียภาพในพระราชวังไม่ชัดเจน จึงเลียนแบบท่าทางขันทีอ้วน เก็บไหล่ก้มหัวเดินไปข้างหน้า เดินไปนานอย่างยิ่ง ขันทีอ้วนก็พาเสิ่นเวยตรงมาถึงด้านนอกห้องหนังสือส่วนพระองค์ ให้เสิ่นเวยยืนรออยู่ข้างนอก ส่วนเขาเข้าไปรายงาน


 


 


“ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าเข้าเฝ้าแล้ว รีบเข้าไปเถอะ” ไม่นานนักขันทีอ้วนก็ออกมา


 


 


เสิ่นเวยตามหลังเขาก้าวเข้าไปในห้องหนังสือส่วนพระองค์ ไม่เงยหน้าขึ้นก็คุกเข่าลงบนพื้น “หม่อมฉันบุตรสาวคนที่สี่แซ่เสิ่นถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” นางทำความเคารพแบบกองทัพ


 


 


เห็นคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่บอบบางร่างผอมแต่หลังตรงอย่างยิ่งผู้นี้ ในใจจักรพรรดิยงเซวียนก็สะเทือนใจเล็กน้อย คุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่แสดงอานุภาพน่าเกรงขามที่ซีเจียงมีรูปร่างเปราะบางเช่นนี้ ก็ใช่ เป็นสตรีนี่นา หากรูปร่างสูงใหญ่ก็จะไม่งาม แต่ว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้กลับหน้าตาดีอย่างยิ่ง มิน่าเล่าอาโย่วถึงชอบใจ


 


 


“ลุกขึ้นพูดเถอะ” จักรพรรดิยงเซวียนนึกได้ว่านี่คือว่าที่หลานสะใภ้ของตน สีพระพักตร์ก็เป็นมิตรขึ้นสามส่วน “เจ้าเข้าวังมาพบเราคนเดียว หรือว่าจงอู่โหวและพวกเขา…” ทรงใช้สายพระเนตรไต่ถามนาง


 


 


“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสิ่นเวยลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ล้วงจดหมายลับออกมาจากในอกแล้วยื่นให้ด้วยความเคารพนบนอบ “ทูลฝ่าบาท บนถนนสาย 4724 เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่โชคดีที่เสียหายไม่หนักมาก รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในจดหมายลับ ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”


 


 


ขันทีใหญ่จางเฉวียนรับจดหมายเข้ามาแล้วส่งไปถึงพระหัตถ์ของจักรพรรดิยงเซวียน จักรพรรดิยงเซวียนทอดพระเนตรมองจดหมายลับที่ประทับตราเรียบร้อยปราดหนึ่ง หยิบมีดไม้ไผ่บนโต๊ะมาเปิดจดหมายออก เทจดหมายลับข้างในออกมาอ่าน


 


 


“มีอย่างนี้ที่ไหน คาดไม่ถึงว่ายังมีคนกล้าเช่นนี้ด้วย” สีพระพักตร์จักรพรรดิยงเซวียนเปลี่ยนไปฉับพลัน ชั่วขณะก็ตบจดหมายลับลงบนโต๊ะ


 


 


เสิ่นเวยก้มหน้าไม่พูดจา ฝ่าบาทจะบันดาลโทสะย่อมไม่เกี่ยวกับนาง หน้าที่ของนางคือส่งจดหมายลับให้ถึงมือจักรพรรดิยงเซวียนอย่างปลอดภัย ตอนนี้หน้าที่ของนางสำเร็จลุล่วงแล้ว


 


 


“แน่ใจหรือว่าเป็นคนในกองทัพ” จู่ๆ เสิ่นเวยก็ได้ยินจักรพรรดิยงเซวียนถามเช่นนี้ นางยังตกตะลึง ในจดหมายลับไม่ได้เขียนไว้หมดแล้วหรือ ยังจะถามนางทำไมอีก


 


 


แต่เสิ่นเวยก็ยังคงตอบอย่างซื่อสัตย์ “ทูลฝ่าบาท อาวุธที่พวกเขาใช้คือหน้าไม้ คุณชายใหญ่บอกว่ามีเพียงกองทัพจึงจะมีหน้าไม้ได้ อีกทั้งท่านปู่และหย่งติ้งโหวก็มองออกว่าลูกธนูที่พวกเขาใช้สั่งทำในกองทัพเพคะ”


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์ พระองค์ไม่ได้ตรัสถามต่อ ทว่าดวงพระเนตรกลับมีแสงเย็นเยียบแวบผ่าน ซีเจียงเพิ่งจะคว้าชัยชนะยิ่งใหญ่ ฝั่งพระองค์เพิ่งจะเรียกเสิ่นผิงยวนเข้าเมืองหลวง ระหว่างทางฝั่งนั้นก็เกิดเรื่อง คนที่ใช้ยังเป็นคนในกองทัพ นี่ไม่ได้เป็นการตบหน้าพระองค์หรอกหรือ


 


 


เหอะ หลบราวกับหนูมาสิบกว่าปี ยังคิดว่าเขาจะยังหลบต่อไปได้เสียอีก ไม่นึกว่าจะโผล่หัวมาตอนนี้ ยั่วยุกันงั้นหรือ


 


 


เหอะ สิบกว่าปีก่อนเรายังไม่กลัวเจ้า ตอนนี้เรามีอำนาจใหญ่อยู่ในมือ ย่อมต้องยิ่งไม่กลัวเจ้าแล้ว


 


 


ความคิดของจักรพรรดิยงเซวียนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว


 


 


“คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” จักรพรรดิยงเซวียนเก็บความโกรธบนพระพักตร์ลง คล้ายคนที่ตบโต๊ะเมื่อครู่ไม่ใช่เขา นี่ทำให้เสิ่นเวยชื่นชมอย่างอดไม่ได้


 


 


สีหน้าของจักรพรรดิยงเซวียนไม่เหมือนเสแสร้ง เสิ่นเวยกล่าวในใจ ดูไม่ออกว่าฝ่าบาทยังคงเป็นห่วงสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นอย่างยิ่ง อืม เป็นห่วงก็ดี อย่างน้อยตอนนี้นางก็สามารถอาศัยบารมีได้ “ทูลฝ่าบาท คุณชายใหญ่สบายดีเพคะ เจียงเฮยเจียงไป๋ข้างกายเขามีความสามารถ คุ้มกันคุณชายใหญ่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี แต่ไหนแต่ไรร่างกายเขาก็ไม่ค่อยดี มิเช่นนั้นคงไม่ต้องอยู่บนเขาเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนี้มีเจ้าดูแลเขา ข้าก็วางใจแล้ว “ จักรพรรดิยงเซวียนอัธยาศัยดีราวกับผู้อาวุโสที่อ่อนโยน


 


 


แต่เสิ่นเวยกลับไม่กล้าคิดว่าตัวเองเป็นชนรุ่นหลัง ยังคงกล่าวอย่างเคารพนบนอบ “เพคะ หม่อมฉันจะพยายามสุดความสามารถ” สำหรับจะพยายามหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้ยังต้องแสดงท่าทีดีๆ อยู่


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย ตรัสต่อ “เจ้าเล่าเรื่องที่ผ่านมาอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง”


 


 


เสิ่นเวยปฏิบัติตามคำสั่ง เล่าตั้งแต่คนชุดดำหมอบซุ่มไปจนถึงคนชุดเทาในตอนหลัง หลังจากนั้นก็เล่าถึงกองกำลังหนุนของนายอำเภอเมืองหย่งเหอ ทั้งยังพูดถึงเยี่ยจ้งหมิ่นในแง่ดีอีกหลายประโยค จากมุมมองของเสิ่นเวย เยี่ยจ้งหมิ่นจะต้องเป็นขุนนางที่ค่อนข้างมีความสามารถแน่นอน


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์อีกครั้ง จากนั้นจึงบอกให้เสิ่นเวยออกไป


 


 


 


 


 


 


[1] เสี่ยวเอ้อร์ คำเรียกบริกรในโรงเตี๊ยม 

 

 


ตอนที่ 180-1 แอบใช้ชีวิตตามใจครึ่งวัน

 

ยังคงเป็นขันทีอ้วนที่ส่งเสิ่นเวยออกจากวัง ในราตรีอันมืดมิดเสิ่นเวยหันหน้ากลับมองกำแพงวังสูงๆ นั่น ถอนหายใจในอกยาวๆ หนึ่งครา ข่าวส่งถึงมือจักรพรรดิแล้ว ต่อจากนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องของนางแล้วสินะ


 


 


เสิ่นเวยไปยังบ้านพักในเมืองหลวงของนาง “คุณหนู!” คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวตี๋กับเถาฮวาจะรอนางอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นนางก็เร่งฝีเท้าเข้ามาต้อนรับ เห็นนางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็วางใจลง


 


 


“คุณหนูหิวหรือไม่ กับข้าวอุ่นอยู่บนเตาแล้ว ประเดี๋ยวก็กินได้แล้ว” เสี่ยวตี๋พูดไม่หยุด ทั้งยังสั่ง


 


 


เถาฮวา “เจ้าเดินเร็ว ไปเร่งครัวหน่อย แล้วดูด้วยว่าเตรียมน้ำร้อนเสร็จแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวคุณหนูจะไปล้างหน้าล้างตา”


 


 


ช่วงนี้เสี่ยวตี๋ฝึกฝนอย่างหนักแล้ว เป็นทหารลับอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นแม่บ้านใหญ่ที่มีความสามารถรอบตัว จัดการเรื่องของเสิ่นเวยได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


 


ก่อนหน้านี้ในโรงน้ำชาตรงข้ามพระราชวังก็เอาแต่สังเกตสถานการณ์ ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจกินอาหาร ทั้งยังอยู่ในวังนานเพียงนี้ ตอนนี้เสิ่นเวยยังคงหิวแล้วจริงๆ อาหารสี่อย่างที่ครัวนำมาให้นางกินหมดไปมากกว่าครึ่ง นางลูบท้องพิงตั่งนุ่ม ชั่วพริบตาก็มีกำลังวังชาแล้ว รู้สึกว่านี่จึงจะเป็นชีวิตของคนปกติ


 


 


“คุณหนู พวกเรายังต้องกลับไปอีกหรือไม่” เสี่ยวตี๋ถาม


 


 


“น่าจะไม่ต้องกลับแล้ว” เสิ่นเวยเองก็ไม่แน่ใจเล็กน้อย เรื่องที่ท่านปู่และคนอื่นๆ กลับเมืองหลวงจักรพรรดิก็ไปจัดการแล้ว นางกลับหรือไม่กลับไม่ได้สำคัญกับสถานการณ์โดยรวม อีกทั้งจักรพรรดิเองก็ไม่ได้บอกให้นางวิ่งไปอีกเที่ยว อากาศหนาวเหน็บเดินทางอยู่ข้างนอกก็ทรมานอย่างยิ่งเช่นกัน


 


 


“เช่นนั้นคุณหนูจะกลับวัดต้าเจวี๋ยเมื่อไร” เสี่ยวตี๋ถามต่อ


 


 


เสิ่นเวยเพิ่งจะนึกได้ว่ายังมีเรื่องนี้อยู่ คิ้วของนางขมวดมุ่น “ไม่รีบ อยู่ดูในเมืองหลวงก่อน” ฉวยโอกาสตอนที่ท่านปู่ยังไม่กลับมา นางจะรีบไปเดินเล่นดูเมืองหลวงเสียหน่อย


 


 


“คุณหนู หากพวกเราไม่ต้องกลับไปอีก คุณหนูก็ไปที่วัดต้าเจวี๋ยดีกว่า นานเพียงนี้แล้ว หลีฮวาและคนอื่นๆ น่าจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง” เสี่ยวตี๋โน้มน้าว


 


 


พวกหลีฮวากังวลกลับเป็นเรื่องรองลงมา เสี่ยวตี๋รู้สึกว่าคุณหนูตากแดดตากลมอยู่ที่ซีเจียง ใบหน้าและมือต่างก็ดำขึ้นอย่างยิ่ง ไม่สู้ถือโอกาสพักรักษาช่วงนี้ เลี่ยงไม่ให้กลับจวนโหวแล้วถูกคนเห็นความผิดปกติ แน่นอนว่าอยู่ที่บ้านพักก็สามารถพักฟื้นได้เหมือนกัน แต่ในบ้านพักมีเพียงนางกับเถาฮวาผู้หญิงสองคน เถาฮวาไม่ต้องเอ่ยถึง นางมีฐานะเป็นทหารลับ สืบข่าวฆ่าคนวางเพลิงเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่งานเช่นการบำรุงร่างกายให้คุณหนูนางยังทำไม่เป็นจริงๆ


 


 


นึกถึงหลีฮวากับพี่สะใภ้เซียงเหมย ในใจเสิ่นเวยก็ลังเลหลายส่วน แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังโบกมือ “เดี๋ยวค่อยกลับไปแล้วกัน” แรงดึงดูดให้เดินเล่นในเมืองหยวงยังคงเยอะกว่าอยู่ดี


 


 


วันที่สอง เสิ่นเวยสวมชุดบุรุษอีกครั้ง ผ่านการปรับตัวในสงครามที่ซีเหลียง เสิ่นเวยแต่งตัวเป็นชายได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนนอก แม้แต่เสี่ยวตี๋ที่ติดตามอยู่ข้างกายนางรู้ดีว่าคุณหนูเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมีความรู้สึกคลับคล้ายว่านางเป็นผู้ชายชนิดหนึ่ง


 


 


เสิ่นเวยสวมชุดผ้าไหมสีแดงเข้มซ่อนลายตัวหนึ่ง ตรงเอวห้อยหยกงามหนึ่งชิ้น ปิ่นหยกที่รวบผมอยู่บนศีรษะเองก็เป็นหยกมันแพะชั้นดี บวกกับใบหน้าที่งามดั่งหยกของนาง โห เป็นคุณชายที่ร่ำรวยและมีสง่าราศีดีๆ นี่เอง


 


 


เสี่ยวตี๋แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ ส่วนเถาฮวาก็อยู่ว่ายน้ำเล่นที่สระน้ำให้บ้านพักไปแล้วกัน


 


 


เสิ่นเวยพาเสี่ยวตี๋เดินเล่นตรอกซอกซอยในเมืองหลวง ในมือนางถือพัดพับได้หนึ่งอัน ท่าทางสง่างามอย่างถึงที่สุด ในที่สุดตอนนี้เสิ่นเวยก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณชายวัยหนุ่มเหล่านั้นในโทรทัศน์มักจะถือพัดพับได้อยู่เสมอ แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวก็ไม่เว้น พัดพับได้เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากที่ดีจริงๆ ในมือถือมันไว้ก็ไม่รู้สึกมือว่างไม่ใช่หรือ


 


 


เมืองหลวงคึกคักจริงๆ แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็นนี้ คนเดินถนนก็เนืองแน่นไม่ขาดสาย เต็มไปด้วยเสียงขายของต่างๆ นานาของเหล่าพ่อค้า ร้านค้าสองฝั่งถนนต่างก็เปิดประตูกว้าง มีพนักงานยืนเชิญชวนลูกค้าอยู่หน้าประตู


 


 


ตอนที่เดินผ่านหอโคมแดง เสิ่นเวยอยากเข้าไปดูจริงๆ ครั้งก่อนเอาแต่ไล่จับคนชั่วสองคนนั้น แม้แต่การจัดวางข้างในก็ยังไม่ได้ดู เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ สงสัยว่าหอโคมแดงยุคโบราณมีการค้าขายอย่างไร


 


 


น่าเสียดายที่เท้านางเพิ่งจะยกขึ้น เสี่ยวตี๋ก็ดึงนางกลับมาอย่างมือไวตาไว “คุณชาย ท่านเดินผิดทางแล้ว ทางนี้ เดินทางนี้” นางดึงแขนของเสิ่นเวยไว้ไม่ยอมปล่อย


 


 


เสิ่นเวยถลึงตาอย่างดุร้ายใส่เสี่ยวตี๋ปราดหนึ่ง นางมั่นใจว่าเด็กคนนี้ตั้งใจ นางจะต้องรู้ความคิดในใจตนเป็นแน่ เรื่องนั้นเมื่อคราวก่อนนางมีส่วนร่วมตลอดทั้งงาน ข่าวในหอโคมแดงก็เป็นนางที่สืบ เด็กคนนี้ นางเพียงแค่จะเข้าไปหาประสบการณ์ ไม่ได้จะทำอะไรเสียหน่อย


 


 


ทว่านางไม่รู้ว่าเสี่ยวตี๋บ่นในใจ ความกล้าหาญของคุณหนูนับวันก็มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ สถานที่สกปรกเช่นนั้นเป็นที่ที่สตรีผู้ดีเข้าไปได้หรือไร คุณหนูคงจะไม่คิดว่าตนเป็นผู้ชายจริงๆ ใช่หรือไม่ คุณหนูท่านขี้สงสัยเช่นนี้คุณชายใหญ่สวีรู้หรือไม่


 


 


คุณหนูอาจจะไม่สังเกตเห็น แต่นางกลับรู้ตั้งแต่ที่ออกจาอำเภอเมืองหย่งเหอแล้ว ข้างกายพวกนางมีคนติดตามอยู่ คนเหล่านี้เป็นยอดฝีมือในกลุ่มทหารลับอย่างไม่ต้องสงสัย ชำนาญในการหลบซ่อนตัว ลมปราณแม้แต่นิดเดียวก็ไม่รั่วหลุด หากไม่ใช่ว่ามีโอกาสบังเอิญเจอครั้งหนึ่งเกรงว่านางเองก็คงไม่สังเกตเห็น


 


 


นางเตรียมป้องกันอย่างลับๆ อยู่เนิ่นนาน แต่กลับพบว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกนาง บางครั้งยังออกมือช่วยแก้ไขปัญหาเล็กๆ นางจึงรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นมิตรหาใช่ศัตรู


 


 


ผู้ที่เป็นห่วงคุณหนูเช่นนี้ ทั้งยังมีอำนาจเช่นนี้ได้ นอกจากท่านโหวแล้วก็มีคุณชายใหญ่สวี ทหารลับของท่านโหวนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่นนั้นก็เหลือเพียงคุณชายใหญ่สวีแล้ว นี่เองก็เป็นเหตุผลที่นางไม่บอกคุณหนู


 


 


“เสี่ยวตี๋เจ้ามันคนโง่ ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก ดูสิว่าเจ้ากล้านัก ใช่ช่วงนี้ข้าดีกับเจ้าเกินไปหรือไม่” เสิ่นเวยชายตามองเสี่ยวตี๋ พัดพับได้ก็ตีลงบนมือของนาง


 


 


เสี่ยวตี๋แสร้งเจ็บ รีบปล่อยมือออก ตีหน้าหวาดกลัว ทว่าในใจกลับจนปัญญาอย่างยิ่ง คุณหนูแสดงบทบาทจนติดแล้วหรือ กลับมาเมืองหลวงแล้วยังแสดงอีก ก่อนหน้านี้แสดงเป็นคุณหนูน้อยเอาแต่ใจ คราวนี้เปลี่ยนเป็นคุณชายเผด็จการเสียแล้ว


 


 


เสิ่นเวยพึงพอใจกับการให้ความร่วมมือของเสี่ยวตี๋อย่างมาก กำลังคิดว่าจะสั่งสอนนางอีกสักสองสามประโยค หูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงก้องกังวานเสียงหนึ่ง “พี่เจียงท่านดูสิ คุณชายผู้นั้นน่าสนใจยิ่งนัก”


 


 


เสิ่นเวยหันมองตามเสียง เห็นเพียงศีรษะหนึ่งศีรษะโผล่ออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของเหลาสุราข้างๆ หอโคมแดง นางสบสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่หนึ่งเข้าพอดี เสิ่นเวยโมโหในชั่วขณะ เจ้าสิน่าสนใจ บ้านเจ้าสิน่าสนใจ


 


 


นางกลอกตา ถลกแขนเสื้อกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเรื่อง แต่ชั่วขณะกลับร้องตะโกนด้วยความดีใจ “เจียงเฉิน พี่เจียงเฉินนั่นท่านหรือ! ไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ” คนที่ชะโงกตัวอยู่ข้างหลังผู้นั้นไม่ใช่เจียงเฉินสหายเก่าหรือไร


 


 


ไตร่ตรองเพียงแค่ชั่วพริบตา เสิ่นเวยก็ตัดสินใจขึ้นไปพูดคุยเรื่องในอดีตกับเขา ตอนนี้นางเป็นคุณชาย ไม่ใช่คุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหว


 


 


เจียงเฉินเห็นเสิ่นเวยเพื่อนเก่าที่เขาพบตอนอยู่ชนบทกำลังโบกมือยิ้มแย้มให้ตนไม่หยุดราวกับดีอกดีใจอยู่ที่ชั้นล่างก็ตกใจเช่นกัน นั่นนางหรือ นางกลับเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร


 


 


ชายฝั่งตรงข้ามมองเจียงเฉินด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “พี่เจียงรู้จักคุณชายท่านนั้นหรือ”


 


 


เจียงเฉินเก็บสีหน้าประหลาดใจ กล่าวอย่างเฉยเมย “บังเอิญพบก็เท่านั้นเอง”


 


 


“บังเอิญพบอะไรกันเล่า พี่เจียงเฉินลืมแล้วหรือว่า พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน” เสียงที่ไม่พอใจของเสิ่นเวยดังกังวานขึ้นมา นางผลักประตูเข้ามาเอง “จากกันเมื่อสองปีก่อน พี่เจียงเฉินมีชื่อเสียงบารมี ไม่เสียชื่อที่เป็นปัญญาชนผู้สอบเข้าสำนักราชบัณฑิตได้เป็นอันดับสาม”


 


 


เสิ่นเวยลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้วยความเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง จ้องมองเจียงเฉินแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “หรือว่าพี่เจียงเฉินเป็นขุนนางชั้นสูงแล้วเลยดูถูกสหายยากจนต่ำต้อยเช่นข้า”


 


 


บนใบหน้าเจียงเฉินเผยความจนปัญญาหลายส่วน “ก็แค่ราชบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง ไหนเลยจะเป็นขุนนางชั้นสูงอะไรนั่น จะร่ำรวยเงินทองเท่าคุณชายจินได้อย่างไร อ้อจริงสิ คุณชายจินมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรหรือ”


 


 


ตอนที่พูดคำว่าคุณชายจินสามคำนี้ เจียงเฉินเองก็ยังรู้สึกอึดอัด เด็กน้อยนิสัยเสียคนนี้เคยบอกไว้ว่า เห็นนางใส่ชุดบุรุษเมื่อไรให้เรียกว่าคุณชายจิน นางชื่อจินโหย่วเฉียน จินที่แปลว่าเงินทอง โหย่วเฉียนที่แปลว่ามีเงินมหาศาล ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้รักเงินเพียงใด


 


 


“ข้าก็ว่าพี่เจียงเฉินไม่ใช่คนอย่างนั้น พวกเราต่างก็ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน” เสิ่นเวยยิ้มแย้มเบิกบานทันที “ท่านว่าพวกเราสองคนมีวาสนาหรือไม่ เย็นเมื่อวานข้าเพิ่งมาเมืองหลวง วันนี้ออกมาก็เจอพี่เจียงเฉินเลย ไม่ใช่วาสนาหรือไร”


 


 


“นั่นสิ คงเป็นโชคร้าย!” เจียงเฉินพูดจาเสียดสี แต่สายตากลับมองประเมินเสิ่นเวยอยู่เงียบๆ เด็กคนนั้นโตแล้ว โตจนเป็นสตรีที่สามารถแต่งงานได้แล้ว นึกถึงเรื่องที่นางได้รับพระราชทานสมรสกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เขาก็เป็นกังวลอย่างมาก คุณชายใหญ่ผู้นั้นไม่เพียงแต่สุขภาพไม่ค่อยดี สถานะในจวนอ๋องยังไม่ดีอย่างยิ่ง เพียงแค่เขาเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาหลวงแต่กลับไม่ได้เป็นซื่อจื่อก็เห็นอะไรได้หลายอย่างแล้ว เด็กน้อยแต่งเข้าไปจะรับมือได้หรือไม่


 


 


หลายเดือนก่อนฟังว่านางไปขอพรที่วัดต้าเจวี๋ย ภายหลังอาจารย์ซูมาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจึงรู้ว่านางไม่ได้ไปวัดต้าเจวี๋ย แต่ไปเมืองชายแดนซีเจียงแทน ตอนนั้นเขาเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ ตอนนี้เห็นเด็กน้อยนอกจากจะดำขึ้นแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรอีก จิตใจที่เป็นกังวลก็วางลงได้


 


 


หลังจากนั้นเขาก็หลุดหัวเราะในใจ ตนลืมได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้หาญกล้าเพียงใด ตั้งแต่ที่รู้จักกับนางก็ไม่เคยเห็นนางเสียเปรียบเลย นางไปซีเจียง ฝ่ายที่ประสบหายนะเกรงว่าจะเป็นซีเหลียงกระมัง ตนเป็นกังวลไปเองเสียแล้ว 

 

 


ตอนที่ 180-2 แอบใช้ชีวิตตามใจครึ่งวัน

 

“โชคร้ายอะไรกัน ท่านให้พี่ชายผู้นี้ตัดสินสิ เห็นชัดๆ ว่าข้าช่วยท่านออกมาจากรังโจรด้วยชีวิตทั้งหมดที่มี” เสิ่นเวยตะโกนอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นก็สาธยายเล่าเรื่องที่พวกเขาเจอกัน


 


 


“ชีวิตทั้งหมดเลยหรือ” เจียงเฉินปรายตามองเสิ่นเวย เจ้าเด็กนิสัยเสียอายุน้อยกว่าข้าตั้งกี่ปี เจ้าใช้ชีวิตทั้งหมดที่มี เช่นนั้นข้าจะเป็นอะไรเล่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะเข้าไปในรังโจรได้หรือ ลูกน้องของข้าช่วยข้าออกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าแหกปากร้องไห้ดึงดูดโจรทั้งหมดมาหรือไร”


 


 


เจียงเฉินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเสิ่นเวย เสิ่นเวยฉุนเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ แต่ปากกลับกล่าวอย่างยืนกราน “ไม่ต้องสนใจว่าระหว่างทางจะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้วข้าก็ลากท่านวิ่งออกมาไม่ใช่หรือ พวกเราไม่มีใครเป็นอะไรไม่ใช่หรือ ท่านก็แล้งน้ำใจเกินไปจริงๆ อย่างไรเสียข้าเองก็ช่วยท่านไว้ พ่อข้าส่งคนมาจับข้ากลับบ้านท่านไม่เพียงแต่ไม่ช่วย ยังซ้ำเติมทิ้งข้าหนีไปอีก เหอะ!” เสิ่นเวยประณามด้วยความโกรธแค้น


 


 


“เจ้ากับข้าไม่ใช่ญาติไม่ใช่ศัตรู มีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้พ่อเจ้าพาเจ้ากลับบ้าน” เจียงเฉินสุขุมมั่นคง “จะว่าไปแล้วเหตุใดตอนนี้พ่อเจ้าถึงปล่อยเจ้าออกมาแล้วเล่า ไม่ใช่ว่าหนีออกจากบ้านอีกแล้วนะ”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสิ่นเวยก็ห่อเ**่ยวในชั่วขณะ “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อข้าคิดอะไร บรรพบุรุษหลายต่อหลายรุ่นทำแต่ค้าขาย มีสิทธิ์อะไรมาบังคับให้ข้าเรียนหนังสือสอบสร้างตำแหน่งชื่อเสียงให้ได้ ข้าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก แต่สิ่งที่ข้าชอบคือการค้าขายสร้างกำไร ใครจะมาทนอ่านหนังสืออะไรนั่น ท่านไม่รู้ สองปีก่อนหลังข้าถูกจับกลับไป พ่อข้าก็ส่งเด็กรับใช้มาให้ข้าแปดคน คุมข้าอ่านหนังสือโดยเฉพาะ แม้แต่เข้าห้องน้ำยังต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างนอก ชีวิตลำบากยิ่งนัก!” เสิ่นเวยร้องทุกข์ขึ้นมา


 


 


“หึๆ ยังดีที่ข้าฉลาด ข้าบอกพ่อข้าแล้ว การเรียนการสอนในเมืองหลวงเข้มข้นที่สุด ปราชญ์ชื่อดังก็เยอะ ดังนั้นพ่อข้าจึงอนุญาตให้ข้ามาเรียนในเมืองหลวง แต่ว่าเขาเองก็เจ้าเล่ห์จริงๆ คนที่มาเมืองหลวงกับข้าล้วนแต่เป็นคนสนิทของเขาหมดเลย เฮ้อ เห็นหรือไม่ คนนี้ก็ใช่เหมือนกัน” เสิ่นเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ชายตามองเสี่ยวตี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง กล่าวอย่างเคียดแค้น


 


 


เสี่ยวตี๋รู้ว่าตนควรออกโรงแล้วจึงตีหน้าเศร้า “คุณชายขอรับ ท่านก็อย่าทำให้ผู้น้อยลำบากใจเลย นายท่านหวังดีต่อท่าน” จากนั้นก็มองเจียงเฉิน ไหว้วานเขาไม่หยุด “คุณชายเจียง ท่านเป็นสหายรักของคุณชายพวกข้า ต้องโน้มน้าวเขาให้ได้นะขอรับ”


 


 


เสิ่นเวยถลึงตาใส่เสี่ยวตี๋ ดวงตากะพริบวาบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่เจียงเฉิน พี่ชายผู้นี้คือใครหรือ แนะนำหน่อยสิ” เสิ่นเวยสะกิดเจียงเฉินเล็กน้อย ท่าทางสนิทสนม


 


 


เจียงเฉินกระตุกมุมปาก กล่าว “ผู้นี้คือสหายที่สำนักราชบัณฑิตของข้า แซ่เซี่ย เป็นผู้ได้รับคัดเลือกพร้อมกันกับข้า”


 


 


เสิ่นเวยแสดงความหน้าหนาของนางออกมาทันที “พี่แท้แล้วก็เป็นพี่เซี่ยนี่เอง! น้องแซ่จิน ชื่อจิน


 


 


โหย่วเฉียน พ่อข้าชื่อจินฟู่กุ้ย ครอบครัวทำการค้าขาย เลื่อมใสมานานแล้ว เลื่อมใสมานานแล้ว” เสิ่นเวยแสร้งประสานมือคารวะ


 


 


เจียงเฉินแทบจะพ่นชาออกมา มีจินโหย่วเฉียนก็พอแล้ว ยังมีจินฟู่กุ้ย (ร่ำรวย) ออกมาอีก ใต้เท้าเสิ่นรู้หรือไม่


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ “ทำไม ดูถูกชื่อพวกข้าสองพ่อลูกหรือ เจ้าอย่าเห็นว่าชื่อนี้ไร้รสนิยม นี่เป็นชื่อที่ผ่านการคำนวณของพระอาจารย์ชื่อดัง ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าให้ เพราะว่ามีชื่อพวกข้าสองพ่อลูก การค้าขายในครอบครัวจึงราบรื่นเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าปู่ข้าชื่ออะไร ชื่อจินอิ๋น! (เงินทอง) ตอนนี้ครอบครัวพวกข้าก็มีเงินทองไหลมาเทมาทุกวันมิใช่หรือ” เสิ่นเวยภูมิอกภูมิใจ


 


 


คราวนี้แม้แต่คุณชายแซ่เซี่ยก็แทบจะพ่นชาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน คุณชายน้อยผู้นี้น่าสนใจจริงๆ


 


 


เขาหัวเราะช้าๆ ท่าทางสง่างามอย่างถึงที่สุด กล่าวด้วยความเป็นมิตร “ข้าน้อยแซ่เซี่ย ชื่อเฟย เป็นสหายของพี่เจียง เพื่อนของพี่เจียงก็คือเพื่อนของข้าน้อย ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายจินก็เป็นชายหนุ่มรูปงามมีอารมณ์ขันเช่นนี้ ข้าน้อยก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับคุณชายจินเสียแล้ว”


 


 


จากบทสนทนาของคนทั้งสอง เซี่ยเฟยก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่สองคนนี้พบกันได้แล้ว อีกทั้งยังมองออกว่าคุณชายน้อยแซ่จินผู้นี้ก็คือคนที่ไม่หวาดระแวง นึกถึงเจียงเฉินที่เคยถูกพัวพันกับรังโจร เขาก็ร้องห่มร้องไห้แทน แต่เขาไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องที่เสิ่นเวยและเจียงเฉินแต่งขึ้นมาตามสถานการณ์


 


 


เสิ่นเวยเห็นเซี่ยเฟยผู้นี้มีท่าทีเป็นมิตรเช่นนั้นก็เปิดปากยิ้มซื่อๆ อย่างอดไม่ได้ แต่จู่ๆ กลับได้ยินเซี่ยเฟยกล่าวต่อ “ข้าน้อยเพิ่งเคยพบคุณชายจินครั้งแรก คุณชายจินเลื่อมใสอะไรหรือ”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเสิ่นเวยหยุดชะงักในชั่วขณะ เกาศีรษะกล่าวอย่างเขินอาย “เอ่อ เอ่อ เวลาปัญญาชนเช่นพวกเราพบปะผู้คนก็ชอบพูดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ” ทันใดนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเองกล่าว “ไม่ปิดบังพี่เซี่ย ข้าน่ะ ตั้งแต่เล็กก็ชอบทำการค้า ชอบนับเงินในคลังที่สุด แม้ว่าจะถูกพ่อข้าบังคับให้อ่านหนังสือมาหลายปี อันที่จริงความรู้ในสมองก็ยังมีไม่เยอะ ยังหวังว่าพี่เซี่ยจะให้อภัย” สีหน้าจริงใจ แต่ในใจกลับกำลังกัดฟันกรอด คนแซ่เซี่ยผู้นี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี! เจียงเฉินก็เหมือนกัน เป็นเพื่อนอะไรกัน นี่ทำให้นางพาลใส่แม้แต่เจียงเฉินแล้ว


 


 


ทว่ามุมปากของเซี่ยเฟยกลับยังคงอมยิ้ม กล่าว “ล้อคุณชายจินเล่นเท่านั้นเอง ขออภัย ขออภัย! อันที่จริงข้าก็ชอบคนจริงใจอย่างคุณชายจินที่สุด”


 


 


“จริงหรือ” เสิ่นเวยเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ยิ้มอย่างใสซื่อจริงใจยิ่งขึ้น เจียงเฉินเห็นแล้วมุมปากก็กระตุกทันที หากเด็กนิสัยเสียคนนี้จริงใจ เช่นนั้นบนโลกนี้ก็ไม่มีคนเจ้าเล่ห์แล้ว


 


 


บทสนทนาต่อมาก็กลมกลืนยิ่งขึ้นแล้ว หลักๆ เป็นบทสนทนาของเสิ่นเวยกับเซี่ยเฟย เจียงเฉินเพียงแค่นั่งมองพวกเขาพูดคุยหัวเราะอยู่ข้างๆ


 


 


ทั้งสองคนคนหนึ่งพูดจาตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย พูดจนทำให้คนสำลักตายด้วยท่าทางจริงใจ อีกคนหนึ่งพูดจาสบายๆ ท่าทางสูงสง่า ราวกับฟังเจตนาแฝงนัยไม่ออกอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังพยักหน้าคล้อยตามด้วยความเห็นด้วยอย่างมาก


 


 


เหงื่อของเจียงเฉินและเสี่ยวตี๋ไหลออกมาแล้ว เสี่ยวตี๋คิดในใจ โชคดีที่ไม่พาเถาฮวาออกมา มิเช่นนั้นด้วยท่าทางโง่เขลาของนางจะต้องเปิดเผยตัวตนของคุณหนูแน่นอน


 


 


ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว เซี่ยเฟยก็กล่าวลา เสิ่นเวยยังแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ทั้งใบหน้า “พี่ใหญ่เซี่ย ครั้งหน้าหากมีโอกาสพวกเรามารวมตัวกันอีก” ครั้งนี้ เสิ่นเวยถือเป็นพี่น้องกับเซี่ยเฟยได้สำเร็จแล้ว


 


 


เสิ่นเวยมองเซี่ยเฟยลงบันได เห็นเขาขึ้นรถม้าหนึ่งคันข้างถนน ดวงตาหรี่ลงในชั่วขณะ นางมองเจียงเฉินปราดหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร


 


 


เจียงเฉินรู้ทัน รีบกล่าว “เชิญมาไม่สู้บังเอิญเจอ คุณชายใหญ่ไปเยี่ยมจวนข้าน้อยสักหน่อยเถอะ” เสิ่นเวยตอบตกลงอย่างยินดี


 


 


แม้เจียงเฉินจะอยู่ในสำนักราชบัณฑิตหลวง แต่ก็ไม่ใช่บัณฑิตหลวงยาจกจริงๆ หมอนี่มีเงิน ดูจากที่เขาอยู่ในเรือนหลังใหญ่ที่แบ่งเป็นสามส่วนก็รู้แล้ว ศาลาหอสูง ภูเขาจำลองศาลาริมน้ำ ใช้ความคิดมากมายในการจัดวาง


 


 


เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือเสิ่นเวยก็ครองเก้าอี้ไม้ใหญ่ๆ ตัวนั้นโดยพลการ ร่างพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ “เจียงเฉิน เหตุใดท่านถึงไม่แต่งงาน บ้านใหญ่ขนาดนี้เงียบเหงายิ่งนัก!” หมอนี้ก็อายุเกินยี่สิบแล้ว หน้าตาก็ดี ตัวเขาเองก็เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง เมืองหลวงนิยมหาเขยหน้าป้ายรายชื่อผู้สอบติดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เอาเขาไปเป็นเขยบ้างเล่า


 


 


เจียงเฉินมองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง ถอนใจในใจ เด็กคนนี้แสดงสมจริงยิ่งนัก เมื่อครู่ยังเรียกพี่เจียงเฉินไม่หยุดปาก สนิทกันสุดๆ ตอนนี้อ้าปากก็เรียกเจียงเฉินแล้ว


 


 


“ผลงานยังไม่สร้าง มีครอบครัวได้ด้วยหรือ” เจียงเฉินกล่าวช้าๆ


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ เป็นราชบัณฑิตแล้วยังไม่สร้างผลงานอีกหรือ เช่นนั้นก็ต้องเข้าคณะเสนาบดีปกครองเมืองหลักเมืองรองจึงจะถือว่าสร้างผลงานแล้วกระมัง เช่นนั้นก็ยังคงต้องรอ เสิ่นเวยรู้สึกว่าเจียงเฉินไม่ได้พูดความจริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับนาง


 


 


“เซี่ยเฟยผู้นั้นมีภูมิหลังอย่างไร” เสิ่นเวยถามปัญหาที่นางเป็นกังวล


 


 


เจียงเฉินคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “น่าจะไม่ต่างจากข้ามากกระมัง ฐานะครอบครัวไม่ต่างกัน ความรู้ก็ไม่ต่างกัน ปฏิบัติตามกฎระเบียบในสำนักราชบัณฑิต คบค้าสมาคมไม่เยอะ ทำไม เขามีอะไรไม่ดีอีกแล้วหรือ”


 


 


เสิ่นเวยฟังแล้วก็ส่ายหน้า “บางทีข้าอาจจะคิดมากไป เพียงแต่เซี่ยเฟยผู้นี้จะต้องเป็นคนฝึกยุทธ์แน่นอน” สีหน้าบนใบหน้านางเคร่งขรึมเล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ตั้งใจระหว่างที่เขาขึ้นรถเผยให้เห็นความจริงว่าเขาเป็นยุทธ์ เสิ่นเวยมักจะรู้สึกคุ้นตา คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อคิดดูให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก


 


 


ทว่าเจียงเฉินกลับเผยท่าทีสงสัย “ไม่น่าจะใช่ เดือนก่อนเขาเดินไม่ระวัง ตกลงบันไดลงมา พักรักษาอยู่ครึ่งเดือนกว่าจะหายดี” หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จะหกล้มได้อย่างไร


 


 


“ใครจะสนว่าเขาเป็นหรือไม่ อย่างไรเสียท่านระวังตัวหน่อยก็ดี” เป็นเพียงเพื่อนร่วมงาม คนที่แทบไม่มีความสัมพันธ์เลย ใครจะว่างไปใส่ใจว่าเขาจะเป็นยุทธ์หรือไม่


 


 


“ครอบครัวท่านเป็นอย่างไรบ้าง ปู่ท่านเจ้าระเบียบหรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวถาม


 


 


บนใบหน้าของเจียงเฉินมีรอยยิ้มเหยียดหยาม “จะเป็นอะไรไปได้อีก ย่อมต้องตอแยข้าน่ะสิ แม่ผู้นั้นของข้าวางแผนร้ายกับท่านลุง เอาแต่พูดว่าลูกผู้น้องคือภรรยาที่ยังไม่เข้าเรือนของข้า ถูกท่านปู่ห้ามไว้ ลุงผู้นั้นของข้าก็ยังมาหาเรื่องถึงบ้าน เป็นปู่ข้าที่ออกหน้าไล่ออกไป หลังกลับไปแล้วก็กักบริเวณแม่ข้า เขากลับหวังว่าเขาไปแล้วข้าจะเป็นหัวหน้าตระกูลได้ ข้าไม่รับ ตอนนี้การค้าในครอบครัวมีพี่รองจัดการ” พี่ใหญ่กลายเป็นคนพิการแล้ว ท่านปู่เป็นห่วงเขา ย่อมต้องพยายามเลี้ยงดูคนในบ้านพวกเขา พี่รองไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดหรอกหรือ


 


 


เสิ่นเวยไม่ได้พูดต่อ แต่ละบ้านต่างก็มีปัญหาของตัวเอง เรื่องในจวนโหวก็ไม่น้อย และด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่อยากกลับไป หากสามารถอยู่ที่บ้านพักไปได้ตลอดก็คงจะดี


 


 


ต่อมาเสิ่นเวยก็เล่าเรื่องตอนที่นางอยู่เมืองชายแดนซีเจียงอย่างง่ายๆ ไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอการโจมตีระหว่างทางกลับ เจียงเฉินเองก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดนางถึงกลับมาก่อน เขาคิดในใจ นางไม่พูดเช่นนั้นก็จะต้องเป็นเรื่องที่เขารู้ไม่ได้แน่นอน


 


 


นางอยู่ในจวนเจียงเฉินถึงบ่ายแก่ กระทั่งพระอาทิตย์ตกดินเสิ่นเวยจึงขอตัวออกมา ตอนที่ผ่านหอโคมแดงเสิ่นเวยก็ยังมีแรงกระตุ้นอยากเข้าไปดูอยู่ แต่ว่าคราวนี้ไม่ต้องให้เสี่ยวตี๋รั้งไว้ นางก็ละทิ้งเองแล้ว เมืองหลวงมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ นางไม่อยากยั่วยุใครหรือก่อเรื่องใดๆ อีก


 


 


ขณะที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้าต่อ จู่ๆ เสิ่นเวยก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือสั้นๆ หนึ่งครา หลังจากนั้นก็มีเสียงของบางอย่างล้ม ยังมีเสียงหัวเราะอนาจารดังขึ้นหลายครา


 


 


การตอบสนองของเสี่ยวตี๋เร็วอย่างยิ่ง หยุดรถม้าไว้ข้างๆ ทันที


 


 


ที่นี่เป็นตรอกยาวๆ หนึ่งสาย เป็นถนนที่เสิ่นเวยต้องผ่านขากลับ ตอนนี้ในตรอกจะต้องเกิดเรื่อง แน่นอนว่าไม่อาจวิ่งต่อได้


 


 


เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋สบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองคลำทางเดินไปข้างหน้าเงียบๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)