กระบี่จงมา 179.2-180.1
บทที่ 179.2 เติมดิน
โดย
ProjectZyphon
เว่ยป้อยื่นนิ้วออกมาวาดวงกลมวงใหญ่ “เดิมทีในพื้นที่กว้างขวางของรัศมีพันลี้รอบถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ต่อให้ตอนนี้พื้นที่ชายแดนจะถูกเขตการปกครองใกล้เคียงแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตก แต่ละฝ่ายหาคนในสำนักให้ช่วยพูดขอร้อง จากนั้นก็แบ่งสันปันส่วนกันไปได้คนละนิดหน่อย แต่หากตอนนี้หลงเฉวียนยังเป็นแค่อำเภอก็คงจัดการเรื่องพวกนี้เองไม่ได้ และอันที่จริงต่อให้เลื่อนเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วก็ยังควบคุมได้แค่พอถูไถอยู่ดี”
เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ การเดินทางในครั้งนี้ทำให้เขารับรู้ขนาดเล็กใหญ่ของอำเภอและเขตการปกครองในแต่ละแคว้นที่อยู่บนแผนที่มานานแล้ว เพราะอย่างไรซะเขาก็วัดขนาดจากการเดินแต่ละก้าวมาด้วยตัวเอง เขาจึงถามถึงเรื่องอื่น “งูดำของภูเขาฉีตุนมาอยู่ที่นี่ คงไม่ได้ก่อเรื่องอะไรกระมัง?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ฝึกตนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด ไม่เคยทำร้ายใคร ตอนนี้ต่อให้มันออกไปหาน้ำดื่มแล้วมีคนมาเจอเข้าระหว่างทางก็ไม่มีใครตกอกตกใจอีกแล้ว เพราะไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น พวกหนุ่มฉกรรจ์ในพื้นที่บางคนที่ใจกล้าหน่อยเคยหยิบก้อนหินขว้างใส่มันไกลๆ มันก็อดทน”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ข้าต้องหาคนมาคุยกันให้รู้เรื่อง เว่ยป้อ รู้หรือไม่ว่าใครรับผิดชอบที่นี่? ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ต้องพูดกันให้ชัดเจนก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะรังแกคนอื่นแบบนี้”
“รังแก ‘คน’ ที่ไหนกันเล่า ก็แค่งูหลามยักษ์ในป่าที่เริ่มมีสติปัญญาตัวหนึ่งเท่านั้น”
เว่ยป้อหลุดหัวเราะพรืดก่อน จากนั้นค่อยเอ่ยเย้า “อีกอย่างงูดำก็หนังหนามาก ต่อให้ถูกคนใช้มีดฟันเต็มแรงหลายทีก็ยังไม่เจ็บไม่คัน เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องเป็นกระต่ายตื่นตูม อีกอย่างหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าไม่ได้รู้สึกดีต่องูดำเท่าไหร่ไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้เพิ่งจะกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็เริ่มเข้าข้างมันแล้ว?”
“หากงูดำกล้ารังแกคนอื่นก่อน ครั้งนี้เมื่อพบหน้ากันข้าจะต้องเชิญคนมาสังหารมันให้ตาย ต่อให้ต้องจ่ายเงินข้าก็ยินดี”
แล้วเฉินผิงอันก็ส่ายหน้า “แต่หากมันไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับว่ามันจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ใด ขอแค่งูดำอยู่บนภูเขาอย่างสงบ แล้วยังมีคนไปท้าทายมัน นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย นี่เรียกว่ารนหาที่ตาย หากข้ากล้าทำแบบนี้ก็คงตายอยู่ในภูเขาเป็นร้อยรอบไปนานแล้ว”
“มีเหตุผล”
เว่ยป้อหรี่ตายิ้มบาง “เดี๋ยวกลับไปข้าจะช่วยเอาเรื่องนี้ไปแจ้งแทนเจ้าก็แล้วกัน ความสัมพันธ์น้อยใหญ่ในบรรดาภูเขาพวกนี้ ข้าคุ้นเคยดี”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวางมือสองข้างไว้บนเชือกด้านหน้าของหีบไม้ไผ่ที่คล้องเข้ากับไหล่ สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ เดินกันมาตั้งนานแล้วยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของภูเขา แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นของนายท่าน
นายท่านไม่ได้โม้จริงๆ ด้วย เขามีเงินจริงๆ!
เด็กชายชุดเขียวได้ยินหลักการยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้ยินมานานก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง แน่นอนเขาไม่ได้รู้สึกว่าที่เฉินผิงอันกล่าวมามีเหตุผลสักเท่าใด แต่การที่เฉินผิงอันโต้เถียงเทพเซียนชุดขาวที่เขามองตื้นลึกหนาบางไม่ออกผู้นั้นก็ทำให้เด็กชายชุดเขียวพึงพอใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก “เว่ยป้อ เจ้ารู้จักหร่วนซิ่วไหม? คือแม่นางคนหนึ่งที่อยู่ในร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี”
เว่ยป้อแสร้งทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ทำท่าเข้าใจในฉับพลัน “เจ้าหมายถึงบุตรสาวของอริยะหร่วนฉงน่ะหรือ เคยเห็นไกลๆ แค่ไม่กี่ครั้ง ภูเขาเสินซิ่วของนางคือภูเขาที่ราชสำนักต้าหลีทุ่มเทกำลังมากที่สุดในการก่อสร้าง หลายครั้งที่นางขึ้นเขาไปดูความคืบหน้าก็จะต้องแวะเข้าไปเดินเล่นในภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น ฯลฯ ก่อนหน้าที่เรือนไม้ไผ่จะสร้างเสร็จ นางก็เคยมาที่ภูเขาลั่วพั่วหนึ่งครั้ง ยืนสองมือไพล่หลัง มองดูข้าที่ยุ่งวุ่นวายอยู่บนหลังคาของเรือนไม้ไผ่ ยังถามข้าด้วยว่าต้องการคนช่วยหรือไม่ ข้าไม่ได้ตอบ แล้วแม่นางน้อยก็เงยหน้ามองข้าอยู่อย่างนั้นเป็นครึ่งๆ วัน ทำเอาข้าขัดเขินทำตัวไม่ถูก สุดท้ายไม่รู้ว่านางจากไปเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เฉินผิงอันหันกลับไปยิ้มให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูและเด็กชายชุดเขียว “แม่นางหร่วนคือเพื่อนที่ดีมากของข้า ข้ามีร้านอยู่ในเมืองเล็กสองร้าน ล้วนเป็นนางที่ช่วยดูแลให้ เมื่อพบนาง พวกเจ้าก็เรียกนางว่าพี่หญิงหร่วน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับทันที “ได้เลย!”
เด็กชายชุดเขียวไม่ใคร่จะเต็มใจนัก “ด้วยอายุของข้า จะเป็นบรรพบุรุษนางก็ยังได้ แล้วทำไมต้องให้ข้าเรียกนางว่าพี่ด้วย ลดลำดับศักดิ์สิบแปดรุ่นไปเสียเปล่าๆ …”
เฉินผิงอันปรายตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยทีเดียว เด็กชายชุดเขียวก็รีบยกสองมือทุบอกเสียงดังราวตีกลอง กล่าวสีหน้าจริงจัง “นายท่านสั่งมา จะให้ข้าเรียกนางว่ามารดาก็ยังได้!”
เฉินผิงอันอารมณ์ดีทันใด กล่าวอย่างคนรวยใจกว้างซึ่งหาได้ยากยิ่ง “กลับไปจะมอบหินดีงูธรรมดาให้พวกเจ้าคนละหนึ่งก้อน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกระโดดตัวลอยด้วยความปิติยินดี
เด็กชายชุดเขียวถามขลาดๆ “นายท่าน แล้วถ้าข้าเรียกนางว่าฮูหยิน ท่านจะมอบหินดีงูให้ข้าอีกก้อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันคลึงขมับ “ถึงเวลาหากแม่นางหร่วนจะตีเจ้าให้ตาย ข้าก็ไม่ขัดขวางนางหรอกนะ”
เด็กชายชุดเขียวสะดุ้งตกใจ พลันนึกขึ้นได้ว่าเว่ยป้อเคยเอ่ยถึง ‘บุตรสาวของอริยะหร่วนฉง’ เกี่ยวกับวีรกรรมและพฤติกรรมของหร่วนฉงอริยะแห่งเขาเจินอู่ ตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงเขาก็เคยได้ยินมานานแล้ว นั่นต้องเรียกว่าเป็นบุคคลที่โอหังไม่เห็นหัวใคร ไร้เหตุผลตัวจริงเสียงจริง มีอริยะที่ไหนบ้างกระชากคนอื่นเข้ามาในเขตแดนของตัวเองแล้วซ้อมพวกเขาเสียน่วม?
เด็กชายชุดเขียวรีบหัวเราะแห้งๆ ทันที “ข้าจะต้องมีมารยาท เคารพนอบน้อมต่อพี่หญิงหร่วนแน่นอน ข้ายังจะช่วยนายท่านจับตามองนางเด็กโง่ ไม่ให้นางพูดจาไม่ระวังปากล่วงเกินพี่หญิงหร่วน จนกลายเป็นว่านำหายนะมาสู่ตัว สุดท้ายทำให้นายท่านที่เป็นคนกลางลำบากใจ…”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดสามารถ จงใจไม่พูดถึงนิสัยอ่อนโยนของแม่นางผู้นั้น กลับกันยังอืมรับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางพยักหน้า “เมื่อเจอหน้ากันต้องมีมารยาทและเกรงใจนางให้มาก”
เดินเลี้ยวซ้ายทีเลี้ยวขวาที สุดท้ายเว่ยป้อก็พาทุกคนเดินขึ้นไปบนทางเล็กที่ปูด้วยหินเขียวเส้นหนึ่ง เขาเอ่ยเยาะตัวเอง “ทางเล็กใต้ฝ่าเท้าของพวกเราเส้นนี้ ข้าเป็นคนมาปูไว้เอง แค่รวบรวมหินในภูเขามาอย่างไม่พิถีพิถันนัก เฉินผิงอันเจ้ากลับมาแล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะเถอะ”
เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางแผ่นหินที่แน่นหนาและเป็นระเบียบกล่าวยิ้มๆ “ไม่เปลี่ยนๆ นี่ก็ดีมากแล้ว”
การมองเห็นของทุกคนพลันเปิดกว้าง มองเห็นเรือนไม้ไผ่สองชั้นหลังหนึ่ง สีมรกตปลั่งราวจะคั้นน้ำออกมาได้ รูปแบบประณีตงดงามมีเอกลักษณ์ ประเด็นสำคัญคือหอไม้ไผ่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับภูเขาและแม่น้ำสายใหญ่พอดี
ชั้นล่างของหอไม้ไผ่วางเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กกะทัดรัดน่ารักไว้สองสามตัว ด้านบนปูด้วยเบาะสานเล็กๆ
เฉินผิงอันมองตาค้าง ปากอ้าเผยอ ตื่นตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เดิมทีในจินตนาการของตน ขอแค่เรือนไม้ไผ่ที่เว่ยป้อรับปากจะสร้างให้ตนไม่เอนเอียงบูดเบี้ยวก็ดีมากแล้ว
ไหนเลยจะเคยคิดว่ามันจะดีได้ถึงขนาดนี้
พอคืนสติ เฉินผิงอันก็ถามเบาๆ “มันเป็นของข้าหรือ?”
เว่ยป้อยิ้ม “แน่นอน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “เว่ยป้อ ต่อไปนี้ภูเขาลั่วพั่วถือเป็นบ้านของเจ้าครึ่งหนึ่ง หากอยากมาอยู่ก็มาอยู่ได้ตามสบาย”
เว่ยป้อยิ้มกว้าง “โอ้ เปลี่ยนคำพูดซะแล้วรึ? ก่อนหน้านี้ใครนะที่พูดว่าภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่ของ ‘พวกเรา’?”
เฉินผิงอันหัวเราะแหะๆ “เว่ยป้อ เจ้าเป็นถึงเทพแห่งผืนดินบนเขาฉีตุนผู้ยิ่งใหญ่ มาคิดเล็กคิดน้อยกับข้าจะลดคุณค่าของตัวเองเอานะ”
เว่ยป้อหัวเราะร่า ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เดินทางไกลไปขอศึกษาต่อครั้งนี้ไม่ถือว่าเสียเที่ยว”
จากนั้นเว่ยป้อก็เห็นว่าหนึ่งผู้ใหญ่สองเด็กเผ่นแผล็วเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ แล้วไปยืนเรียงกันฟุบตัวบนรั้วระเบียงทอดสายตามองไปไกล ศีรษะหนึ่งสูงกว่าเล็กน้อย อีกสองศีรษะเล็กเตี้ยกว่า มองจากมุมของเว่ยป้อแล้ว อันที่จริงก็ดูเหมือนภูเขาลูกย่อมลูกหนึ่งไม่น้อย
“นายท่านๆ ทัศนียภาพของที่นี่สวยมากเลย วันหน้าพวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ไหม?”
“ต้องได้แน่อยู่แล้ว”
“นายท่าน แบ่งที่นี่ให้ข้าเถอะ ข้าไม่เอาหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งก็ได้ ตกลงไหม?”
“ไม่ได้”
ราวกับถูกอารมณ์ร่าเริงของพวกเราแพร่มาสู่ เว่ยป้อที่ไม่ใช่เทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนมานานแล้วหมุนตัวมองไปยังภูเขาและแม่น้ำที่ห่างไปไกลด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน
อยู่กับคนที่จิตใจดีมีเมตตา ประหนึ่งเข้าไปในห้องที่อวลด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ นานวันเข้าตนก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับกลิ่นหอมนั้น
……
เฉินผิงอันพาพวกเขาลงจากเขาไปที่เมืองเล็ก เว่ยป้อทำตัวลึกลับซับซ้อน เขาหายตัวไปตอนไหนไม่มีใครรู้ เด็กชายชุดเขียวอดเตือนเบาๆ ไม่ได้ “ทำตัวลับๆ ล่อๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี! นายท่าน วันหน้าอย่าสนิทสนมกับไอ้หมอนี่ให้มากนักเลย นี่คือข้อสรุปจากประสบการณ์ที่ข้าผ่านมาอย่างโชกโชน”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา
เดินข้ามเขาลงห้วยด้วยความคุ้นชิน เมื่อคนทั้งสามมองเห็นบ้านเรือนทางฝั่งตะวันตกของเมืองได้ไกลๆ เฉินผิงอันก็ถอนหายใจเบาๆ
ก่อนหน้านี้จงใจปีนข้ามภูเขาเจินจูที่ไม่สะดุดตา เฉินผิงอันมองบ้านเกิดของตนจากที่ไกลๆ ไปแล้วรอบหนึ่ง และได้ชี้ชวนให้เด็กสองคนข้างกายดูตำแหน่งคร่าวๆ ของหลายๆ สถานที่
ยกตัวอย่างเช่นตรอกหนีผิงที่ตั้งของบ้านบรรพบุรุษ โรงเรียนที่อาจารย์ฉีเคยสอนหนังสือในปีนั้น ตรอกฉีหลงที่เขามีร้านค้าอยู่สองร้าน ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ที่ได้รับจดหมายมากที่สุด ร้านตีเหล็กนอกเมืองเล็ก สุสานเทพเซียนทางทิศตะวันออกและภูเขาเครื่องปั้นทางทิศเหนือสุด เป็นต้น
มีเพียงสะพานหินที่กลับคืนสู่สภาพเดิมเท่านั้นที่เฉินผิงอันทำเพียงเหลือบมองผ่านๆ ตอนที่มองไปทางร้านตีเหล็ก ไม่เพียงแต่ไม่ได้แนะนำมัน ถึงขั้นไม่หยุดสายตามองให้ชัดเจนด้วยซ้ำ
ได้เห็นความมหัศจรรย์พันลึกและความอันตรายของโลกภายนอกมากับตาตัวเอง ทำให้เขาต้องยิ่งระแวดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เด็กชายชุดเขียวเดินอาดๆ “นายท่าน เดี๋ยวพวกเราจะไปที่ตรอกฉีหลงเพื่อดูร้านเฉ่าโถวกับร้านยาสุ้ยก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ไปที่หลุมศพพ่อแม่ข้าก่อน”
คนทั้งสามไม่ได้เดินทะลุเมืองเล็ก แต่เดินเลียบไปทางตอนล่างของลำคลอง
เดินผ่านสะพานหินที่ไม่เห็นกระบี่โบราณอยู่แล้ว ผ่านร้านตีเหล็กที่มีกระท่อมหลังเล็กเตี้ยซ้อนเรียงกันเป็นตับและมีเตาหลอมกระบี่ขนาดใหญ่ไปเงียบๆ สุดท้ายมาถึงด้านหน้าหลุมศพเล็กๆ เฉินผิงอันปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง หยิบถุงผ้าฝ้ายที่ขนาดใหญ่ไม่ถึงกำปั้นพวกนั้นออกมาเติมดินให้กับหลุมศพ
บนใบหน้าดำเกรียมของเด็กหนุ่มไม่มีทั้งอารมณ์เจ็บปวดปานจะขาดใจ แล้วก็ไม่มีสีหน้าของคนที่กลับมาบ้านเกิดด้วยความภาคภูมิใจ
เด็กหนุ่มที่เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำด้วยระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ เรื่องแรกที่ทำหลังจากกลับมาถึงบ้านก็คือแกะถุงเหล่านั้นออก เติมดินแต่ละกำมือเพิ่มให้กับหลุมศพของพ่อแม่เงียบๆ
—————————
บทที่ 180.1 เสมือนเทพเจ้า
โดย
ProjectZyphon
หนึ่งผู้ใหญ่สองเด็กเดินลงจากภูเขากลับไปที่เมืองเล็ก เด็กชายชุดเขียวได้เห็นความร่ำรวยโอ่อ่าของภูเขาลั่วพั่วและเรือนไม้ไผ่มาแล้ว รู้สึกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ควรต้องหลิ่วตาตาม ขณะเดียวกันความคิดถึงที่มีต่อบ้านเกิดก็เบาบางลงไปได้บ้างเล็กน้อย จึงพูดอย่างอารมณ์ดี “นายท่าน หลังจากนี้พวกเราจะไปที่ไหน? บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง? นายท่าน ข้าว่าพวกเราซื้อทั้งตรอกหนีผิงไว้ดีกว่า หากนายท่านขัดสนเงินทองก็ไม่เป็นไร ข้ามีเงิน! ไม่กล้าพูดว่าร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่หากเปลี่ยนทรัพย์สมบัติพวกนั้นให้เป็นเงินและทองก็มากพอจะทำให้คนละลานตาได้ นายท่านสามารถเอาหินดีงูมาแลกได้ แค่หินธรรมดาก็พอ!”
เฉินผิงอันยิ้ม “ซื้อตรอกหนีผิงมาทำอะไร? ไม่เห็นต้องใช้เงินสิ้นเปลืองขนาดนั้น”
เด็กชายชุดเขียวยังไม่อยากยอมแพ้ แต่ก็ไม่กล้าเถียงเฉินผิงอัน เขามักรู้สึกว่าที่ตนดีดลูกคิดคำนวณอย่างดี ก็ไม่ใช่เพราะหวังในหินดีงูหรอกหรือ?
เห็นเด็กชายชุดเขียวสะอึกอึ้ง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกดีใจเล็กน้อย นางเองก็มีลูกคิดอันเล็กๆ เป็นของตัวเองเหมือนกัน พอนึกถึงตรอกหนีผิงก็อยากจะช่วยนายท่านเก็บกวาดบ้านบรรพบุรุษให้สะอาดเอี่ยมอ่องน่าอยู่อาศัย
เดินมาถึงริมตลิ่งของลำคลองหลงซวีที่ได้เลื่อนขั้นจากลำธารมาเป็นลำคลอง เฉินผิงอันเล่าถึงความเป็นมาในอดีตของธารน้ำสายนี้ให้พวกเขาฟัง เด็กชายชุดเขียวฟังอย่างเหม่อลอย แล้วจู่ๆ ก็หันขวับไปมองจุดหนึ่งของน้ำในลำคลองด้วยสายตาเดือดดาล กระโจนพรวดออกไป แม้ว่าจะไม่ได้เผยร่างจริงที่น่าหวาดเกรง แต่วิชาควบคุมน้ำอันล้ำเลิศของเขาก็ถูกร่ายออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทุกครั้งที่ออกหมัดต่อยบนผิวน้ำก็เหมือนกับเจาะช่องโพรง ทำให้ผิวน้ำของลำคลองเกิดเป็นน้ำวนลูกใหญ่ยักษ์ กระแสน้ำในลำคลองที่เดิมทีไหลรินเอื่อยๆ สุขสงบถูกจู่โจมจนซัดโหมผิดไปจากปกติ เด็กชายชุดเขียวที่เดินอยู่บนน้ำเหมือนเดินบนพื้นดินคล้ายกำลังไล่ตามอะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ก้นลำคลอง ปากแผดเสียงโวยวายไปด้วย “เป็นแค่ทหารกุ้งหอยปูปลาตาไร้แววก็กล้าบังอาจมาลอบมองรูปโฉมอันงดงามของนายท่านใหญ่อย่างข้างั้นรึ?!”
เฉินผิงอันไม่ได้ห้ามปราม หนึ่งคือเด็กชายชุดเขียวลงมืออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาห้ามไม่ทัน สองก็เพราะก่อนออกไปจากเมืองเล็ก มีครั้งหนึ่งที่เขาฝึกเดินนิ่งอยู่ริมน้ำเคยรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในน้ำที่แผ่กลิ่นอายอึมครึมจ้องมองมา ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งฝึกหมัดได้ไม่นาน ไม่กล้าจะซักไซ้เอาเรื่องให้ถึงที่สุด ได้แต่มองอย่างเคารพอยู่ไกลๆ
ได้เห็นนิสัยฉุนเฉียวเลือดร้อนของเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็รู้สึกปวดหัวแปล๊บ เอ่ยเตือนเฉินผิงอันเบาๆ “นายท่าน ราชสำนักต้าหลีมีการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งลำคลองหลงซวีสายนี้ไหม? ยกตัวอย่างเช่นแม่ย่าลำคลอง พ่อปู่ลำคลองอะไรพวกนั้น หากเป็นเทพลำคลองที่ระดับขั้นสูงกว่า พวกเราก็ไม่ควรหาเรื่องไม่แล้วไม่เลิกอย่างนี้ ในตำราบอกไว้ว่า ขุนนางอำเภอไม่สู้ขุนนางเจ้าถิ่น (เปรียบเปรยว่าเวลาพบเจอปัญหา แทนที่จะไปหาขุนนางที่มีตำแหน่งสูงกว่า ไม่สู้หาขุนนางที่รับผิดชอบโดยตรง) ในตำรายังบอกอีกว่า ญาติที่อยู่ไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้…”
คำถามนี้ทำให้เฉินผิงอันฉุกคิดได้จริงๆ เขากวาดตามองไปรอบด้าน ครุ่นคิดจริงจัง “หากเป็นเทพลำคลองก็น่าจะมีศาลไม่ใช่หรือ แต่ตลอดทางที่เดินมาเหมือนว่าจะไม่เห็น”
เฉินผิงอันถอนหายใจในใจเบาๆ นึกถึงแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่อยู่ในตะกร้า บนนั้นตนสลักประโยคว่า ‘ยิ่งรีบยิ่งช้า’ ด้วยมือตัวเอง จึงตัดสินใจหยุดการกระทำตีวัวกระทบคราดไร้เหตุผลนี้ลง หันไปตะโกนเรียกเด็กชายชุดเขียวที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม “กลับมา!”
เด็กชายชุดเขียวที่ลงมือโจมตีอย่างเมามันอยู่บนผิวน้ำห่างออกไปไกลปล่อยสมบัติอาคมออกจากชายแขนเสื้อเป็นระยะ จนก่อให้เกิดริ้วคลื่นหลากสี ได้ยินเฉินผิงอันเรียกก็หัวเราะร่า “นายท่าน รอสักประเดี๋ยว เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ข้าใกล้จะจับเจ้าปลาหนีชิวตัวน้อยจอมเจ้าเล่ห์นี่ได้แล้ว! กล้ามาสู้กับข้าในน้ำ เจ้านี่มัน…โอ๊ะโอ มีทรัพย์สมบัติกับเขาด้วยหรือนี่ อาวุธอาคมชิ้นนี้ไม่เลวเลย น่าเสียดายที่ขอแค่นายท่านใหญ่สัมผัสกับน้ำก็มีร่างกายและจิตใจที่ไร้เทียมทานมาตั้งแต่เกิดแล้ว นังแพศยา ฝีมือกระจอกแค่นี้ของเจ้าไม่มากพอหรอกนะ วะฮะฮ่า จับเจ้าได้เมื่อไหร่จะโยนเจ้าขึ้นเตียงนายท่านผู้เฒ่าของข้าทันที รับรองว่าหินดีงูต้องมาอยู่ในมือข้าแน่!”
เด็กชายชุดเขียวกับสิ่งดำมืดใต้น้ำผลัดกันแลกหมัด ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปล่อยอาวุธอาคมจนผิวน้ำของลำคลองหลงซวีทอแสงหลากสีระยิบระยับ แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเด็กชายชุดเขียวคิดจะเล่นสนุกกับอีกฝ่าย หาไม่แล้วด้วยความแข็งแกร่งของเรือนกายและตบะที่ไม่ธรรมดาของเขา ต่อให้ไม่เผยร่างจริงก็สามารถใช้พละกำลังอันป่าเถื่อนของตัวเองทำร้ายคู่ต่อสู้ให้เจ็บหนักได้อยู่ดี
ครู่หนึ่งต่อมาเด็กชายชุดเขียวหมุนตัววิ่งเหยาะๆ กลับไปหาเฉินผิงอัน ในมือกำกระชากลาก…เส้นผมยาวเหยียดสีดำกำใหญ่มาด้วย?
พอขยับมาใกล้ริมน้ำที่เฉินผิงอันกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยืนอยู่ เด็กชายชุดเขียวก็ปล่อยมือ กล่าวอย่างลำพองใจ “นายท่าน หญิงผู้นี้หน้าตาไม่เลว สะโพกผายกลมกลึง ก้นข้างหนึ่งของนางใหญ่เป็นสองเท่าของนังเด็กโง่ ไม่สู้เก็บไว้เป็นสาวใช้ดีไหม?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอาย
บนพื้นผิวน้ำข้างเท้าของเด็กชายชุดเขียวเผยให้เห็นศีรษะหนึ่งและลำคอขาวนวลช่วงหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ธาตุหยินแห่งลำคลองที่ลักษณะเหมือนสตรีออกเรือนแล้วผู้นี้มีใบหน้าอวบอิ่ม สีหน้าน่าสงสาร เส้นผมสีกาน้ำที่ยาวดั่งม่านน้ำตกแผ่เต็มผิวน้ำ เมื่อถูกน้ำในลำคลองซัดแรงๆ ก็กระเพื่อมไหวตาม
เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ท่าทางยังดูยากไร้เหมือนเก่า แค่ไม่รู้ว่าหลุมศพของบรรพบุรุษเขามีควันเขียวผุดขึ้นหรือไร ถึงได้รับลูกน้องฝีมือร้ายกาจอย่างเด็กชายชุดเขียวผู้นี้ไว้ได้ สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ก่อนจะรีบเก็บความคิดวุ่นวายลงไปอย่างรวดเร็ว พูดน้ำตาคลอเจียนหยด “ข้าคือเทพลำคลองคนใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นของลำคลองหลงซวี ตามหลักแล้วต้องคอยตรวจตราผู้คนที่เดินทางผ่านลำคลองทั้งหมด ด้วยมีภาระหน้าที่ติดตัว หากล่วงเกินทุกท่านโดยไม่เจตนา ก็หวังว่าเทพเซียนทั้งสามท่านจะยั้งมือไว้ไมตรี อย่าได้ถือสาข้าเลย”
เฉินผิงอันบอกให้เด็กชายชุดเขียวรีบขึ้นฝั่ง ส่วนตัวเองกุมมือคารวะขออภัยเทพลำคลองหลงซวีแปลกหน้าผู้นี้ “เป็นพวกเราที่ล่วงเกินฮูหยินเทพลำคลอง ข้าชื่อเฉินผิงอัน เป็นคนท้องถิ่นของหลงเฉวียน ไม่ทราบว่าฮูหยินเทพลำคลองเป็นคนจากที่ใด?”
แววตาประหลาดวาบผ่านดวงตาของสตรีแต่งงานแล้ว แต่ไม่นานนางก็ตอบด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “ในเมื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำในพื้นที่แถบหนึ่งแล้วก็จำเป็นต้องตัดเรื่องทางโลกให้ขาด นี่เป็นหลักการเดียวกันกับที่หลวงจีนไม่เอ่ยนาม นักพรตเต๋าไม่เอ่ยอายุ ดังนั้นคุณชายโปรดอย่าถามที่มาของข้าเลย สรุปก็คือข้าไม่เพียงแต่ไม่มีใจคิดร้ายต่อใคร กลับกันยังจะช่วยปกป้องพิทักษ์โชคชะตาของลำคลองหลงซวีแห่งนี้ด้วย”
เด็กชายชุดเขียวเดือดดาลอย่างหนัก “อุตส่าห์ให้หน้าเจ้า แต่เจ้ายังทำตัวหน้าไม่อายอีกนะ รังแกนายท่านข้าเพราะเห็นว่าเขาพูดง่ายงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กชายชุดเขียวเอาไว้ ไม่ให้เขากลับเข้าไปในน้ำแล้วทะเลาะกับเทพลำคลองผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แล้วหันไปพยักหน้ายิ้มๆ ให้กับสตรีออกเรือนแล้ว “รบกวนฮูหยินเทพลำคลองแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วรีบโบกมือที่ขาวดุจรากบัวเป็นพัลวัน “มิกล้าๆ ครั้งนี้ถือว่าหากไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน คุณชายเฉินไม่ต้องคิดมาก วันหน้าหากมีธุระใด คุณชายแค่มาบอกที่ริมลำคลองสักคำ ข้าไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”
เฉินผิงอันไม่พูดจาปราศรัยตามมารยาทกับเทพลำคลองผู้นี้ต่อ เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัดอยู่แล้ว และการที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าคุณชายเฉินไม่ขาดปากก็ทำให้เฉินผิงอันครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด จึงพาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสาวเท้าเร็วๆ จากไป เพียงไม่นานก็ขยับเข้าใกล้ร้านตีเหล็กที่อยู่ริมลำคลอง เฉินผิงอันลังเลว่าควรจะไปทักทายอริยะหร่วนฉงกับแม่นางหร่วนก่อน หรือควรจะกลับไปที่ตรอกหนีผิงก่อนดี
สตรีแต่งงานแล้วที่เลื่อนจากแม่ย่าลำคลองมาเป็นเทพลำคลอง แต่กลับไม่ได้รับควันธูปจากศาลเจ้าค่อยๆ ดำดิ่งลงไปยังก้นลำคลอง สีหน้าของนางดุร้าย เปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ กระทืบตะพาบแก่ตัวหนึ่งตายอยู่ในดินเลนก้นลำคลองไปแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ ยกเท้ากระทืบซ้ำอีกทีจนกระดองของมันแหลกละเอียดถึงได้ยอมเลิกรา แต่แล้วสตรีวัยผู้ใหญ่ที่อารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอนก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลัง ตะพาบแก่ขนาดเท่าแท่นโม่หินมีอายุสองร้อยกว่าปี บวกกับที่ถ้ำสวรรค์หลีจูในทุกวันนี้แผ่ปราณวิญญาณเนืองนองสี่ทิศ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ปีกสัตว์บกก็ล้วนได้รับบุญกุศลกันถ้วนทั่ว ตะพาบเฒ่าตัวนี้จึงเริ่มจะมีสติปัญญาบ้างแล้ว ไม่แน่ว่าอีกสองสามร้อยปีให้หลัง ขอแค่สติปัญญาของมันเปิดโล่งได้สำเร็จก็จะกลายมาเป็นทหารใต้บังคับบัญชาที่นางสามารถเอามาใช้งานได้คนหนึ่ง
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจอย่างหดหู่ ค้อมตัวลงพูดกับเศษกระดองที่กองกันอยู่ “จะโทษก็ต้องโทษเจ้าเด็กบ้านนอกแซ่เฉินคนนั้น เป็นเขาที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย เขาต่างหากที่เป็นตัวหายนะ คุณชายเฉิน ถุย! เจ้าตะพาบน้อยที่ชะตาอัปมงคลทำให้พ่อแม่ต้องตาย เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเจ้านั่นแหละ ทำไมไม่ถูกคนเหยียบร่างแหลกเละให้ตายๆ ไประหว่างที่ไปขอศึกษาต่อซะเลย…”
ในใจของสตรีแต่งงานแล้วเกลียดแค้นเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงสุดใจ ปากจึงผรุสวาทหยาบคายไม่หยุด เรือนร่างอรชรของนางเดินอยู่ใต้น้ำ ด้านหลังคือเส้นผมสีนิลหนึ่งจั้งกว่าที่ยาวระพื้น ไม่ต่างจากกระโปรงยาวของสตรีผู้สูงศักดิ์ นางเดินมุ่งหน้าไปทางช่วงล่างของลำคลองเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว รอจนนางคืนสติก็มาถึงจุดตัดระหว่างลำคลองหลงซวีกับแม่น้ำเถี่ยฝูแล้ว ใต้ฝ่าเท้าก็คือน้ำตกที่ดิ่งฮวบลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็วรุนแรง
ทำเอานางตกใจจนต้องรีบหันหัวเผ่นกลับ
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขตการปกครองหลงเฉวียนครึกครื้นอย่างมาก ภูตผีปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนเฮโลกันมาจากสี่ด้านแปดทิศ ด้วยหวังว่าจะได้มาฝึกตน มาดูดซับปราณวิญญาณอยู่ที่นี่ หากจะพูดถึงนางที่เป็นเทพลำคลองหลงซวี อย่างมากสุดนางก็แค่ฉวยโอกาสรีดไถค่าผ่านทางจากพวกปีศาจบางส่วน เพื่อช่วยสั่งสมทรัพย์สมบัติให้แก่หลานชาย แต่ถ้าพูดถึงดาวพิฆาตดุร้ายที่อยู่ในแม่น้ำเถี่ยฝูเบื้องล่าง องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตัวจริงเสียงจริงผู้นั้นกลับต้องเรียกว่าเป็นประเภทจิตสังหารยิ่งใหญ่กระหายการเข่นฆ่าอย่างแท้จริง ผู้ฝึกตนอิสระที่ตายด้วยน้ำมือนาง ยกสองมือขึ้นนับก็ยังไม่พอ แต่น่าแปลกที่ราชสำนักต้าหลีและที่ว่าการเขตการปกครองหลงเฉวียนกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ ทำให้สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกริษยา จึงเป็นเหตุให้ยิ่งพะวงถึงศาลเทพลำคลองที่ยังไม่ถูกสร้างขึ้นสักที
ทางฝั่งของร้านตีเหล็ก เฉินผิงอันกำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทักทายสองพ่อลูกก่อนดีหรือไม่ก็เห็นว่ามีเงาร่างของสาวน้อยสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งปรากฎตัวอยู่ตรงทิศทางของสะพานหินโค้ง
นางมองเห็นเขา หลังจากแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด นางที่หยุดเดินไปชั่วขณะหนึ่งก็สาวเท้าก้าวเร็วๆ เข้ามาหา
เฉินผิงอันพาเด็กทั้งสองเดินไปรับหน้า โบกมือทักทายด้วยรอยยิ้มอยู่แต่ไกล “แม่นางหร่วน!”
หร่วนซิ่วร้องอื้มรับหนึ่งที วิ่งเหยาะๆ เข้าหาเฉินผิงอัน พอยืนนิ่งแล้วก็เอ่ยเสียงอ่อนโยน “กลับมาแล้วหรือ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “กลับมาแล้ว!”
จากนั้นคนทั้งสองก็พากันเงียบงัน
เด็กชายชุดเขียวเบิกตากว้าง
ว้าว ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวของอริยะแห่งศาลลมหิมะ หน้าตางดงามจริงๆ
น่าเสียดายๆ ดูเหมือนว่านิสัยจะไม่เหมือนหน้าตา ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นพวกหงุดหงิดง่าย มีความเป็นไปได้มากว่าพูดไม่เข้าหูคำเดียวคงซ้อมตนจนตาย ไม่อย่างนั้นตนคงดึงดันจะเรียกอีกฝ่ายว่าฮูหยินให้ได้
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาปริบๆ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และชื่นชม ในใจคิดว่าวันหน้าเมื่อตนโตขึ้นจะต้องเป็นเหมือนพี่สาวชุดเขียวท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวลตรงหน้าผู้นี้ให้ได้
หร่วนซิ่วเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศเงียบงันก่อนด้วยการยิ้มบางๆ “ไปดื่มน้ำอุ่นๆ ที่ร้านก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าขนของที่เคยเอามาไว้ในบ้านข้ากลับไปตรอกหนีผิงด้วยกัน?”
เฉินผิงอันอืมรับ
หลังจากนั้นหร่วนซิ่วก็เริ่มเล่าเรื่องหยุมหยิมในเมืองเล็ก บอกว่านางช่วยซ่อมบ้านหลังที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของในตรอกหนีผิงเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่ากิจการของร้านฉ่าวโถวและร้านยาสุ้ยไม่ค่อยดีนัก พูดมาถึงตรงนี้ นางดูละอายใจและลำบากใจเล็กน้อย นางยังตัดสินใจโดยพลการ เอาแม่ไก่และลูกเจี๊ยบของเพื่อนบ้านเฉินผิงอันมาเลี้ยงไว้ที่ร้านตีเหล็ก แต่ไม่ทันระวังถูกหมูป่าคาบเอาไปสองตัว พูดถึงเรื่องนี้ หร่วนซิ่วก็ยิ่งเซื่องซึม ทำเอาเฉินผิงอันหัวเราะขำ รีบปลอบนางว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจสักนิด พรุ่งนี้ฆ่าแม่ไก่มาตุ๋น้ำแกงก็ยังได้ ตอนนี้ฝีมือทำอาหารของเขาพัฒนาขึ้นเยอะ ต้องทำอร่อยแน่นอน หร่วนซิ่วได้ยินก็ร้อนใจอย่างมาก บอกว่าห้ามฆ่าๆ พวกมันเป็นเด็กดีมาก ไม่ว่าจะตัวน้อยตัวใหญ่ตอนนี้ล้วนมีชื่อเรียกหมดแล้ว
เฉินผิงอันหัวเราะจนหุบปากไม่ลง
นางถึงได้รู้ว่าถูกเฉินผิงอันแกล้ง แม่นางซิ่วซิ่วผู้มีนิสัยอ่อนโยนถลึงตาใส่เขาน้อยๆ หนึ่งที
เด็กชายชุดเขียวถึงได้กระจ่างแจ้งในบัดดล ที่แท้นายท่านขุดหลุมใหญ่ไว้ดักตนตั้งแต่แรก พี่สาวคนนี้ร้ายกาจตรงไหนกัน?!
เสียเปรียบครั้งใหญ่ซะแล้ว เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่าหินดีงูที่พลาดไปต่อหน้าต่อตาก้อนนี้ อย่าว่าแต่ให้กลิ้งไถลเถลือกไปบนพื้น แขวนคอหรือกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเลย ต่อให้ต้องขโมยก็ต้องขโมยมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นโทสะในใจคงยากจะสงบ!
เดินเข้าไปในร้านตีเหล็กที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กชายชุดเขียวที่เดินตัวลอยมาตลอดทางตกใจจนหน้าซีดเผือด เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยิ่งขยับไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน
บ่อน้ำเจ็ดบ่อ
กระจัดกระจายเหมือนดวงดาวดารดาษบนท้องฟ้า
บ่อน้ำทุกบ่อล้วนมีปราณกระบี่พุ่งทะลุก้อนเมฆ
ต่อให้มองนานแค่แวบเดียวก็ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปวดแปลบ น้ำตาแทบจะหลั่งออกมาด้วยความเจ็บร้าว อยากจะเผยร่างจริงเพื่อต้านทานปณิธานกระบี่ที่ยิ่งใหญ่และแรงกดดันที่มองไม่เห็นยิ่งนัก เด็กน้อยสองคนตัวสั่นสะท้าน ความตื่นเต้นฮึกเหิมตอนที่เพิ่งเข้ามาในหลงเฉวียนหายวับไปในบัดดล รู้สึกเพียงว่าทุกหนแห่งของที่แห่งนี้เต็มไปด้วยภยันตราย ประหนึ่งบ่อสายฟ้าในโลกมนุษย์ที่สามารถกำราบสาขาของเผ่าพันธุ์เจียวและมังกรที่เหลืออยู่อย่างพวกเขาได้ดีที่สุด
จนกระทั่งเฉินผิงอันให้พวกเขาไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้ากระท่อมแห่งหนึ่ง ส่วนเขาและหร่วนซิ่วเอาของไปวางไว้ในกระท่อมดินเหนียวที่ห่างไปไม่ไกล เด็กน้อยสองคนถึงพอจะหายใจหายคอได้คล่องบ้าง ทั้งสองหันมามองหน้ากัน จึงพบว่าหน้าผากของอีกฝ่ายล้วนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เด็กชายชุดเขียวยกขานั่งไขว่ห้าง แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย เอ่ยเยาะเย้ย “นังเด็กโง่ คนขี้ขลาด ไม่ได้เรื่อง!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพูดเบาๆ “แล้วเจ้าดีกว่าข้าสักเท่าไหร่กันเชียว”
เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนกอดอก พูดเหมือนคนแก่ “อย่างข้าเขาเรียกว่าแสร้งแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูตายใจ เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวยาวๆ ตรงมา หน้าตาของเขาไม่โดดเด่น ด้วยมารยาทอันดี นางจึงรีบลุกขึ้นยืน “สวัสดีเจ้าค่ะท่านลุง ข้าเป็นสาวใช้ของนายท่านเฉินผิงอัน”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งห่างไปไม่ไกล สายตามองไปทางกระท่อมดินเหนียว สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เด็กชายชุดเขียวมองประเมินอยู่รอบหนึ่งก็ยังมองสายสนกลในอะไรไม่ออก จึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแรงงานในร้านตีเหล็ก “มองอะไรของเจ้า ข้าเตือนไว้ก่อนเลยนะ แม่นางซิ่วซิ่วเป็นคนรักที่รู้จักกันมานานของนายท่านข้า หากเจ้ากล้าคิดชั่ว ข้าจะต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว…ช่างเถอะ นายท่านกำชับให้ข้าปฏิบัติตัวดีๆ ต่อผู้อื่น ถือว่าได้ดีเจ้าไป จะต่อยหมัดเดียวให้เจ้าแค่เกือบตายก็แล้วกัน!”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ยิ่งไม่น่ามอง เขายังคงไม่พูดอะไร
เด็กชายชุดเขียวนึกว่าตัวเองจับจุดได้ถูก ด้วยตรงกลางมีเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั่งคั่นอยู่ เขาจึงยื่นตัวออกมา หันหน้าไปทางชายฉกรรจ์ “เจ้ามีใจให้กับว่าที่ฮูหยินของนายท่านข้าจริงๆ รึ? เจ้าแก่จนจะลงโลงอยู่แล้วนะโว้ย น่าโมโหจริงๆ นายท่านอย่างข้าเดินอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอคนตัวเหม็นเปรี้ยวหน้าด้านไร้ยางอายอย่างเจ้ามาก่อนเลย มาๆๆ พวกเรามาลองประมือกันดูหน่อย ข้าอนุญาตให้เจ้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กได้…”
เฉินผิงอันเดินเคียงไหล่กับหร่วนซิ่ว ในตะกร้าสะพายหลังใบใหญ่ที่ตอนนี้ว่างโล่งจากเดิมเกินครึ่งได้ใส่ห่อสัมภาระผ้าฝ้ายหนักอึ้งใบหนึ่งเอาไว้
พอเห็นชายวัยกลางคน เฉินผิงอันก็เรียกช่างหร่วนด้วยความเคารพนอบน้อม แต่ชายฉกรรจ์กลับไม่สนใจเขา
หร่วนซิ่วเรียกท่านพ่อ ชายฉกรรจ์ถึงได้พยักหน้ารับอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก
ท่านพ่อ?
————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น