อัจฉริยะสมองเพชร 1792-1793

 ตอนที่ 1792 เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นอึ้งตะลึงเมื่อได้ยินเสียง เขาตัวสั่นเล็กน้อยขณะรีบเงยหน้า


“ท่านอาจารย์?”


เสียงนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน! เขาได้ยินเสียงแม้กระทั่งในความฝัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร!


“ผมเอง คุณสบายดีไหม? ทำอย่างไรถึงมาเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจได้? คุณมาทำอะไรที่นี่?” จางเซวียนมีคำถามมากมายก่ายกองอยู่ในสมอง


แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าเขาจะปลอมตัวอย่างแนบเนียน ถึงขั้นที่แม้กระทั่งปราณสังหารที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเป็นของแท้ แต่ความจริงก็ยังถูกเปิดเผยด้วยดวงตาหยั่งรู้ของเขา แค่มองแวบเดียว จางเซวียนก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายคือลูกศิษย์ของเขาที่จากเขาไปโดยไม่ได้ร่ำลาเมื่อครั้งอยู่ที่จักรวรรดิฉิงหย่วน, หลิวหยาง!


เพราะลูกศิษย์คนอื่นๆของจางเซวียนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หลิวหยางจึงได้รับความกดดันมาก ลงท้ายเขาก็ออกระเหเร่ร่อนไปเพื่อแสวงโชค จางเซวียนได้ใช้เส้นสายของสภาปรมาจารย์กับบรรดาลูกศิษย์ของเขาเพื่อควานหาตัวหลิวหยาง แต่ก็ปราศจากข่าวคราว


ใครจะไปคิดว่าลูกศิษย์ของเขาจะลงเอยด้วยการเป็นผู้สืบทอดของหวู่เฉินและถูกนำตัวมาอยู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ?


“ท่านอาจารย์ ผมจะตอบเรื่องนี้กับคุณทีหลัง ตอนนี้อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของผม ผมต้องขอให้คุณเก็บมันเป็นความลับด้วย” หลิวหยางตอบผ่านโทรจิตพลังปราณ


“ได้” จางเซวียนรับคำพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย


เขาเองก็รู้สึกได้ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างหลิวหยางกับหวู่เฉิน จึงเลือกที่จะสื่อสารกับหลิวหยางผ่านทางโทรจิต


แม้ทั้งสองจะคุยกันเพียงครู่เดียว แต่สายตาเฉียบคมของหวู่เฉินก็ยังมองเห็นพฤติกรรมผิดปกติ เขาจับจ้องทั้งคู่และตั้งคำถาม “คุณทั้งสองรู้จักกันหรือ?”


“ไม่ใช่หรอก ผมแค่ประทับใจกับความปราดเปรื่องของลูกศิษย์ของคุณ จึงแอบสอบถามเขาบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องวรยุทธ” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


“สอบถามเกี่ยวกับเรื่องวรยุทธ?” หวู่เฉินทวนคำด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่เต็มใจจะพูดอะไร เขาก็ส่ายหัวก่อนจะหันไปถามหลิวหยาง “สถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


นั่นคือเรื่องที่เขากังวลใจมากที่สุด


“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงกลับมาเมื่อเดือนก่อน พวกเขาประกาศว่าคุณถูกนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สังหาร ซึ่งขณะที่กำลังพยายามปกป้องคุณ พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองอ้างว่าคุณได้ส่งมอบตำแหน่งให้พวกเขาแล้ว และเข้าควบคุมกองทัพ นำคนของตัวเองเข้าแทนที่ในตำแหน่งแม่ทัพระดับสูง ผมเกรงว่าต่อให้คุณกลับถึงเมืองหลวง คุณก็ไม่สามารถบงการให้กองทัพทำตามคำสั่งของคุณได้!” หลิวหยางตอบอย่างเคร่งขรึม


อำมาตย์เฉินหย่งหน้าดำคร่ำเครียดเมื่อได้ยินคำนั้น เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ไอ้สารเลวสองตัวนั่นพยายามกลืนกินอิทธิพลของเขา


“แล้วพวกที่ถูกแย่งตำแหน่งล่ะ ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน?”


เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่จงรักภักดีต่อเขา หากเขาหาตัวคนเหล่านั้นเจอ ก็น่าจะยึดอำนาจกลับคืนได้


“หลังจากถูกถอดออกจากตำแหน่ง พวกเขาก็ถูกลอบสังหารภายในเวลาเพียง 1 เดือน ผมเกรงว่าตอนนี้จะไม่เหลือใครอยู่แล้ว” หลิวหยางตอบ


“พวกนั้นถูกลอบสังหาร?” หวู่เฉินซวนเซไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น


เขารู้อยู่ว่าอำมาตย์เฉินหลิงโหดเหี้ยม แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเกินเลยขนาดนี้


หมอนั่นจัดการทุกอย่างที่อาจเป็นปัญหากับตัวเองในอนาคต ไม่เหลือช่องทางไว้ให้เขาตอบโต้เลย


หวู่เฉินตั้งคำถามต่อขณะพยายามระงับความเดือดพล่านในอก “แล้วตอนนี้สภาพร่างกายของทั้งคู่เป็นอย่างไร?”


เขาโจมตีทั้งอำมาตย์เฉินชิงและอำมาตย์เฉินหลิงอย่างหนักตอนที่พวกนั้นพยายามสังหารเขา ทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้อาการบาดเจ็บของพวกนั้นจะไม่รุนแรงเท่าของเขา แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ารากฐานวรยุทธน่าจะถูกสั่นคลอน การฟื้นคืนพละกำลังคงไม่ใช่เรื่องง่าย


ตราบใดที่พวกนั้นยังไม่ได้พละกำลังสูงสุดกลับคืนมา เขาก็ยังมีโอกาสพลิกผันสถานการณ์


ถ้าจะพูดกันตรงๆ สำหรับนักรบที่มีวรยุทธระดับพวกเขา สิ่งที่สำคัญกว่าคือพละกำลังของแต่ละคน สำคัญกว่าการใช้อำนาจและการรวบรวมกองทัพ ขอแค่สังหารเจ้าสองคนทรยศนั้นได้และประกาศการหวนกลับคืนสู่อำนาจของเขา เหล่าบริวารก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมทำตามคำสั่งของเขา ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่!


“ผมเองก็ระบุอะไรไม่ได้ชัดเจน ดูเหมือนตอนนี้สภาวะร่างกายของทั้งคู่จะเป็นข้อมูลที่เป็นความลับ…” หลิวหยางส่ายหน้า


หวู่เฉินไม่ประหลาดใจที่ได้ยินคำนั้น


ทั้งอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงวางแผนมาอย่างดี และการปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับความอ่อนแอของพวกเขาก็ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องทำ หากไม่มีความสามารถ ที่วิหารแห่งขงจื๊อ ทั้งสองก็คงไม่อาจเข้าใกล้เขาจนถึงขนาดสังหารเขาได้


“แล้วตอนนี้มีนักปราชญ์โบราณกี่คนที่ไปเข้าข้างพวกนั้น อย่างน้อยคุณก็น่าจะพอรู้บ้าง ใช่ไหม?”


เพราะหวั่นเกรงว่าเขาจะหวนคืนมา ทั้งคู่คงพยายามสุดตัวที่จะรวบรวมเหล่านักปราชญ์โบราณให้มาเป็นพรรคพวกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาจะทำหากเขาอยู่ในสถานภาพเดียวกับสองอำมาตย์นั้น


“เท่าที่ผมรู้ ขุนนางจี้ ขุนนางฮว๋าย ขุนนางหมัง และขุนนางอีก 5 คนได้เข้าร่วมกลุ่มและอยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขาแล้ว” หลิวหยางตอบ


“ขุนนางจี้ ขุนนางฮว๋าย และขุนนางหมัง? ฮึ่มมม!” หวู่เฉินสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว


ขุนนางที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของ 3 อำมาตย์ใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจมีอยู่ 14 คน ซึ่งขุนนางจี้ ขุนนางฮว๋าย และขุนนางหมังคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ขุนนางเหล่านั้น ทุกคนล้วนเป็นนักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังที่สำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด!


ในฐานะขุนนาง พวกเขาประจำการอยู่ในดินแดนของตัวเองและแทบไม่ได้ทำตามคำสั่งของสามอำมาตย์ใหญ่เลย ใครจะไปคิดว่าคนเหล่านั้นจะเข้าร่วมกับอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิง?


“8 ขุนนางเข้าร่วมกับ 2 อำมาตย์ นั่นหมายความว่าฝ่ายนั้นมีนักปราชญ์โบราณ 10 คน ฝ่าบาท…คุณจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นจะต้องตกอยู่ในอันตราย” หลิวหยางพูดอย่างร้อนรน


ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งอยู่ในภาวะแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิม ต่อให้ 10 นักปราชญ์โบราณก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามต่อเขา แต่ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งเข้าท้าทายคนเหล่านั้นในสภาพนี้ ผู้ที่ยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้ายย่อมไม่ใช่เขาแน่


“ผมรู้” หวู่เฉินพูดขณะขมวดคิ้ว


เขากลับมาแก้แค้น แต่รู้ดีเกินกว่าจะปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ในเมื่อศัตรูรวบรวมนักปราชญ์โบราณไว้ได้มากมาย การบุกเข้าไปด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย


หวู่เฉินเงียบงันไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นอย่างปุบปับ “ผมจะเดินทางไปภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์!”


“ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์?” หลิวหยางงุนงง


ในเมื่อพวกเขาลงทุนมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทำไมถึงจะจากไปอย่างปุบปับโดยยังไม่ได้ทวงคืนอำนาจจาก 2 อำมาตย์?


ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์คือหนึ่งในดินแดนอันตรายในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แม้ในสภาวะที่ร่างกายแข็งแกร่งสูงสุด อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังลังเลที่จะเข้าสู่ดินแดนนั้น ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจอย่างกะทันหันของเขาที่จะเข้าไปยังภูเขาสินแร่เหล็กดึกดำบรรพ์จึงเป็นเรื่องที่หลิวหยางไม่เข้าใจ


“มีอันตรายใหญ่หลวงอยู่ในภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ก็จริง แต่ก็เป็นที่ที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินฝึกฝนวรยุทธอยู่ ในเวลานี้ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะยอมช่วยผม พละกำลังของเขาอ่อนด้อยกว่าผมเล็กน้อยหากผมอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด จึงมีแต่เขาเท่านั้นที่จะทำให้เรามีโอกาสชนะ!” หวู่เฉินตอบอย่างลังเล


ไม่มีทางที่เขาจะปราบ 10 นักปราชญ์โบราณได้ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ จึงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น


“นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน? ผมเคยได้ยินชื่อเขามาก่อน แต่คิดว่าเขาตายไปตั้งแต่สามพันปีที่แล้ว” หลิวหยางตาโตด้วยความประหลาดใจ


“เขาไม่ได้ตาย เพียงแค่เลือกที่จะปลีกวิเวกอยู่ในส่วนลึกของภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์และไม่ยอมออกจากพื้นที่ ในครั้งนั้น พละกำลังของเขาใกล้เคียงกับผม แต่ในเมื่อเวลาผ่านไปก็เนิ่นนาน เขาก็น่าจะฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จแล้ว” หวู่เฉินพูด


“แต่ถ้าเขาไม่ยอมออกมา ผมเกรงว่าการจะได้ความช่วยเหลือจากเขาก็คงไม่ง่าย ถูกไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ในเมื่อนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินปลีกวิเวกตั้งแต่สามพันปีก่อน ก็เป็นไปได้ว่าเขาเลือกที่จะละทิ้งภารกิจทางโลกแล้ว ดังนั้น ต่อให้อีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาน่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ


“เราต้องทำ ต่อให้ยากเย็นแค่ไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นพวกเราตายแน่!” หวู่เฉินส่ายหน้า


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนที่สืบสายเลือดหรืออยู่ในตระกูลของเขาจะต้องถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมหากเขาตาย ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่มีอยู่เอาไว้ให้ได้


“หวู่เฉินพูดถูก ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์อยู่ที่ไหน? แล้วคุณมีแผนการอย่างไรที่จะหว่านล้อมให้เขายอมช่วยเรา?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ความตายของอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงเป็นเรื่องจำเป็นหากเขาต้องการนำความสงบสุขระยะยาวมาให้เผ่าพันธุ์มนุษย์และหาตัวหลัวลั่วชิง ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเลือกจบชีวิตของตัวเองที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อจะได้ลักลอบเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เกินพอที่จะบ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเขาในเรื่องนี้แล้ว


“ภูเขาสินแร่เหล็กดึกดำบรรพ์อยู่ไม่ไกลนัก ห่างจากที่นี่ไปราวแสนลี้ ดังนั้น การเดินทางไปกลับคงไม่ใช้เวลานานเท่าไหร่ เพียงแต่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินมีนิสัยประหลาด การจะหว่านล้อมให้เขามาอยู่ข้างเราคงไม่ใช่เรื่องง่าย” หวู่เฉินนวดหว่างคิ้ว


เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนกับหวู่เฉินกล่าวอำลาหลิวหยาง ก่อนจะบินออกไป


ตอนที่ 1793 นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน

“นี่คือภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์!”


เพราะเกรงว่าพวกเขาจะดึงดูดความสนใจของสองอำมาตย์ จางเซวียนกับหวู่เฉินจึงไม่กล้าเปิดรอยแยกของมิติและทะลุมิติไป แต่โชคดีที่ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์อยู่ใกล้เมืองหลวง ทั้งคู่จึงใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย


แม้จะได้ชื่อว่าเป็นภูเขา แต่คำที่ถูกต้องกว่าน่าจะเรียกว่า ‘หลุมดำ’ หลุมดำนั้นถูกอาบด้วยสีดำสนิทของความมืดมิด มันครอบคลุมทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของพวกเขา บรรยากาศเย็นเยือกและน่าขยะแขยงกรุ่นออกมาจากภายใน


“ขอผมลองดูหน่อย!” หวู่เฉินลอยตัวอยู่เหนือหลุมดำนั้น เขาสูดหายใจลึกและตะโกน “พี่เฮ่าฉวิน, เฉินหย่งมาเยี่ยมคุณ!”


เสียงของเขาอยู่ในรูปของเส้นด้ายพลังปราณ ซึ่งถูกส่งตรงลึกเข้าไปในหลุมดำ ก้องลึกลงไปในนั้นหลายล้านลี้


หวู่เฉินตะโกนอยู่ถึง 3 ครั้งกว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น หมู่เมฆดำดูจะส่งเสียงก้องขึ้นมาจากส่วนลึกของหลุมดำ รังสีถูกปล่อยออกจากหลุมดำนั้นอย่างช้าๆ เกิดเป็นแสงสว่างกลางอากาศ


ทันทีที่เผชิญหน้ากับรังสีนั้น จางเซวียนกับหวู่เฉินรู้สึกทันทีว่าพวกเขาสูญเสียการทรงตัว ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับมีอำนาจบางอย่างเข้าขวางการไหลเวียนกระแสพลังปราณของพวกเขาไว้ ทั้งคู่เกือบร่วงลงมาจากกลางอากาศ


จางเซวียนเลิกคิ้ว นี่มันอำนาจของแม่เหล็ก!


เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่เหมือนกับสนามแม่เหล็กถูกติดตั้งไว้ในพื้นที่ แต่สนามแม่เหล็กแห่งนี้ถูกออกแบบมาให้มีอำนาจทำลายล้างพลังปราณ ทำให้นักรบสูญเสียการควบคุมพละกำลังของตัวเอง


“ฮึ่มมม!”


หวู่เฉินทนปลอมตัวไม่ไหวอีกต่อไป เขากลับคืนสู่รูปลักษณ์ดุร้ายดังเดิมและแผ่ปราณสังหารอันเข้มข้นและทรงพลังออกมา ทำให้เรียกความสมดุลของร่างกายกลับคืนมาได้อีกครั้ง แต่เพราะอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี การเรียกคืนพละกำลังจึงทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดเหมือนคนป่วย


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็สะบัดข้อมือและชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา เมื่อมีกระบี่เปลวเพลิงสีดำเข้าช่วย การทรงตัวของเขาก็มั่นคงขึ้น


สนามแม่เหล็กนี้ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีพลังปราณของนักรบให้ปั่นป่วน แต่ด้วยความที่เป็นอาวุธ กระบี่เปลวเพลิงสีดำไม่มีพลังปราณ มันจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากสนามแม่เหล็ก


รังสีทรงพลังพุ่งขึ้นจากหลุมดำอีกครั้ง ไม่ช้าร่างหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับรังสีนั้น


“พี่เฮ่าฉวิน!” อำมาตย์เฉินหย่งประสานมือและทักทายอีกฝ่าย


จางเซวียนหันมาประเมินนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน


เขาสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท สิ่งเดียวที่มองเห็นได้จากร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินคือนัยน์ตาสีเลือดคู่นั้น รังสีที่เขาแผ่ออกมาเข้มข้นและทรงพลังมาก ทำให้ยากที่จะประเมินประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา ในแง่ของพละกำลัง เขาน่าจะเหนือกว่าแม้แต่ตาเฒ่าหยูกับจางหงเทียน


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่หวู่เฉินจงใจมาขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย


“อำมาตย์เฉินหย่ง คุณควรจะรู้นะว่าผมเลือกปลีกตัวจากโลกภายนอกแล้ว ต่อให้คุณมาเยี่ยมเยียนผมก็ไม่มีประโยชน์หรอก!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขณะซ่อนสองมือไว้ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ


“ผมเชื่อว่าคุณคงรู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงแล้ว พี่เฮ่าฉวิน ครั้งนี้ผมต้องการความช่วยเหลือของคุณจริงๆ!” อำมาตย์เฉินหย่งพูดขณะโค้งคำนับ


นักรบคนไหนก็ดูออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและพร้อมจะจบชีวิตได้ทุกขณะ ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องอธิบายอะไรให้มากความ


“อำมาตย์เฉินหย่ง ความตายน่ะเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ต่อให้ชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณก็ต้องลงเอยด้วยความตาย ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่คุณเต็มใจมาเยี่ยมผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนคุณจะจบชีวิต แต่ถ้าไม่มีอะไรอื่นล่ะก็ ผมขอตัว!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินตอบอย่างเย็นชา


เขากระทืบเท้า แล้วลำแสงที่อยู่รอบตัวก็สลายไป ดูเหมือนเขากำลังจะกลับเข้าสู่หลุมดำอันมืดมิด


เห็นนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินกำลังจะกลับหลุมดำ อำมาตย์เฉินหย่งละล่ำละลัก “พี่เฮ่าฉวิน ผมถูกคนอื่นทรยศ และชีวิตของผมก็กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ความปรารถนาเดียวของผมในตอนนี้คือกำจัดศัตรูก่อนที่ผมจะต้องจบชีวิต…”


ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ใครกันจะว่างถึงขนาดมาเยี่ยมคุณก่อนที่จะตาย?


ผมดูสนิทสนมกับคุณมากหรือไง?


นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินส่ายหน้า “เนิ่นนานหลายปีมาแล้วที่ผมอยู่ในตำแหน่งอันทรงอำนาจ ซึ่งผมไม่ปรารถนาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้นอีก…”


เขาโบกมือ แล้วลำแสงก็พุ่งกลับลงไปในหลุมดำ ร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินค่อยๆร่อนลงสู่ความมืดมิด


“ช้าก่อน!”


ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะหายลับไป จางเซวียนส่งเสียงเรียก ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยกมือขึ้นและกระดิกนิ้วเบาๆ


ลำแสงที่อยู่ใต้ร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินปั่นป่วนขึ้นมาทันที สนามแม่เหล็กที่อยู่ในพื้นที่ ปรับเปลี่ยนเป้าหมายของมันและพุ่งเข้าโจมตีร่างสีดำนั้น


ฟึ่บ!


เมื่อถูกสนามแม่เหล็กเล่นงาน ก็ดูเหมือนว่าหลุมดำจะปฏิเสธการปรากฏตัวของเขา ด้วยเหตุนี้ ร่างของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจึงถูกผลักออกจากหลุมดำนั้น


“นี่มันบ้าบออะไร…คุณเป็นใครกัน? ทำไมถึงควบคุมอำนาจของแม่เหล็กได้?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


อำนาจของแม่เหล็กไม่เคยเป็นสิ่งที่นักรบคนไหนจะควบคุมมันได้ เพื่อจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ เขาใช้เวลากว่าสามพันปีอยู่ในหลุมดำนี้กว่าจะเข้าถึงการควบคุมระดับพื้นฐานต่อ พละกำลังอันน่าสะพรึงที่แม้แต่บรรดานักรบรุ่นเดียวกันกับเขาก็ยังหวาดผวา


แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับควบคุมรังสีที่เชื่อมโยงกับอำนาจของแม่เหล็กและทำให้มันต่อต้านเขาได้… เป็นไปได้อย่างไรกัน?


“ผมไม่ได้ควบคุมอำนาจแม่เหล็กนะ แต่เพราะข้อบกพร่องในร่างกายของคุณ ผมจึงถ่ายทอดอำนาจของแม่เหล็กในพื้นที่เข้าสู่พลังปราณของคุณและจัดการให้มันสอดคล้องกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม!” จางเซวียนอธิบายอย่างสุขุม


ในเวลาเดียวกัน เขากระดิกนิ้ว จากนั้นก็เก็บกระบี่เปลวเพลิงสีดำเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ซึ่งก็น่าแปลกใจที่แม้จะไม่มีกระบี่เปลวเพลิงสีดำคอยช่วยพยุงแล้ว จางเซวียนก็ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากอำนาจของสนามแม่เหล็กในพื้นที่เลย


ในเมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขาสามารถเลียนแบบได้แม้แต่ปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจ การที่จางเซวียนจะปรับเปลี่ยนมันให้กลมกลืนกับสนามแม่เหล็กที่อยู่รอบตัวเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


ก่อนหน้านี้ ตอนที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเปิดการโจมตีครั้งแรก จางเซวียนได้ใช้หอสมุดเทียบฟ้าวิเคราะห์ความสามารถของอีกฝ่าย และได้วิธีตอบโต้มา


“ข้อบกพร่องในร่างกายของผม? พลังปราณที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินขมวดคิ้ว


“ใช่แล้ว” จางเซวียนตอบ


เขาสูดหายใจลึกและยกมือขึ้นช้าๆ


ฟิ้วววว!


ลำแสงที่อยู่ในหลุมดำพุ่งออกมาและโอบล้อมร่างของเขาไว้ ทำให้จางเซวียนดูเหมือนยักษ์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ


คุณสมบัติของพลังปราณเทียบฟ้าสามารถเปลี่ยนไปได้ตามเจตจำนง จึงเป็นธรรมดาที่จางเซวียนจะปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของมันจนทำให้เขาสามารถควบคุมอำนาจของแม่เหล็กในพื้นที่ได้ ด้วยสภาวะของจางเซวียนตอนนี้ ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์เปรียบเสมือนแหล่งพลังงานอบอุ่นสำหรับเขา ทำให้เขามีประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้นกว่าเดิม


“คุณควบคุมอำนาจของแม่เหล็กได้จริงๆ!” เมื่อเห็นว่าความสามารถในการควบคุมสนามแม่เหล็กโดยรอบของตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับชายหนุ่ม นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหน้าถอดสีด้วยความประหลาดใจ


ไม่นึกเลยว่าทั้งๆที่ลงทุนลงแรงมากว่าสามพันปีเพื่อทำความเข้าใจอำนาจของแม่เหล็ก เขาก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึง!


รู้ดีว่าตัวเองทำให้นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเกิดความสนใจได้แล้ว จางเซวียนรุกคืบ “ถ้าคุณเต็มใจช่วยอำมาตย์เฉินหย่งล่ะก็ ผมจะถ่ายทอดความสามารถในการควบคุมแม่เหล็กให้”


“เอ่อ…”


เป็นไปตามคาด นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินลังเลกับข้อเสนอที่ได้รับ


สำหรับใครคนหนึ่งที่ใช้เวลากว่าสามพันปีปลีกวิเวกอยู่ในภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์เพื่อทำความเข้าใจอำนาจของแม่เหล็ก ข้อเสนอที่จางเซวียนหยิบยื่นให้ถือว่าเย้ายวนใจมาก


การตัดสินใจปลีกวิเวกของนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินในดินแดนรกร้างเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างหุนหันพลันแล่น แต่เป็นเพราะความปรารถนาที่จะแผ้วทางหนทางไปสู่วรยุทธในระดับที่สูงขึ้นที่ทำให้เขาพยายามทำความเข้าใจอำนาจของแม่เหล็ก หากเขาได้ความสามารถในการควบคุมสนามแม่เหล็กมาจริงๆ ก็มั่นใจว่าวรยุทธจะต้องพุ่งพรวด การจะผลักดันวรยุทธให้สูงไปกว่าขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดน่าจะมีความเป็นไปได้สูง!


ถึงนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินจะหวั่นไหวกับข้อเสนอ แต่ก็ไม่รีบร้อนตัดสินใจ เขาหันไปตั้งคำถามกับอำมาตย์เฉินหย่ง “ใครทำให้คุณได้รับบาดเจ็บ?”


ในเมื่อศัตรูคือใครคนหนึ่งที่สามารถเล่นงานได้แม้แต่กับฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 จนอยู่ในสภาพนี้ เขาก็ต้องคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนจะยอมรับข้อเสนอ แม้จะมั่นใจในพละกำลังของตัวเอง แต่ก็จะไม่ปล่อยให้ความมั่นใจเข้าครอบงำการตัดสินใจโดยใช้เหตุผล


หากไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้ชัยชนะ เขาจะไม่เอาตัวเข้าสู่เส้นทางของอันตราย ต่อให้มีโอกาสจะได้เรียนรู้กรรมวิธีการควบคุมอำนาจของแม่เหล็กก็ตาม


“เขาคืออำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิง พวกนั้นร่วมมือกับมนุษย์เพื่อลอบสังหารผม” อำมาตย์เฉินหย่งตอบ


“พวกเขาคือคนที่ทำร้ายคุณหรือ?”


เมื่อได้ยินว่าตัวการคือสองอำมาตย์ นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหน้าเสีย “เกรงว่าผมจะช่วยอะไรคุณในเรื่องนี้ไม่ได้ ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)