คัมภีร์วิถีเซียน 1789-1792

 ตอนที่ 1789 สุราเซียนและราชาวิมานหนู

 

ปีนั้นเซียนฮัวของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์มีชื่อเสียงโดดเด่นมากในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ เคยดูดซับไออาทิตย์เที่ยงแท้จาก ‘บุรุษวัยเยาว์’ เผ่าปีศาจไปนับไม่ถ้วนในรวดเดียว แม้กระทั่งถูกราชาจิ้งจอกสวรรค์ไล่สังหารระยะหนึ่ง และยังคงหนีเอาชีวิตรอดมาได้


ไหนเลยที่นักพรตชราจะกล้าให้ผู้อื่นรู้ความสัมพันธ์ของเขากับหญิงสาวผู้นี้ง่ายๆ


“เอาละ ในเมื่อเพิ่งได้สัมผัสกับสหายหานเป็นครั้งแรก สองสามวันนี้อาตมาจะกักตนก่อน ช่วงนี้เพิ่งได้ประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรมาก จึงอยากจะเรียนรู้สึกหน่อย ข้าจึงไม่สะดวกที่จะให้เซียนพักอยู่ที่นี่ ขอส่งแขกก่อนแล้วกัน” นักพรตชราเอ่ยกับหญิงสาวอย่างส่งๆ สองสามประโยค แล้วก็เอ่ยส่งแขก


“นักพรตชราอย่างเจ้าช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก! รู้อยู่ว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะลงมือกับลูกศิษย์ของเจ้า ยังจะมาพูดว่าไม่สะดวกให้เข้าพัก สถานที่กว้างใหญ่เช่นนี้ หรือว่าเซียนพักอยู่คนเดียวก็เต็มไปแล้ว ทว่าจะว่าไปแล้วศิษย์ในสำนักที่เจ้าพามาด้วยมีคุณสมบัติไม่เลว ได้ยินว่ามีลูกๆ หลานๆ ที่สหายว่านกู่ชอบที่สุดอยู่ด้วย สหายว่านกู่ต้องดูให้ดีล่ะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักออกมา ร่างกายพลิ้วไหว แล้วสลายหายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมาเขตอาคมส่งตัวก็เปล่งแสงสว่างวาบ หญิงสาวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นตรงนั้น


ทว่ายามนี้ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นใบหน้าของสนมคนโปรดของอรหันต์ว่านกู่


นักพรตชราได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย สีหน้าก็อดที่จะซีดขาวขึ้นหลายส่วนมิได้ รีบยกมือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นป้ายสีเงินปรากฏขึ้นในมือ และสะบัดไปทางเขตอาคม


เขตอาคมส่งตัวเปล่งเป็นเสียงอึกทึกขึ้น ชั่วพริบตาก็ส่งตัวหญิงสาวออกไปอย่างไร้ร่องรอย


อรหันต์ว่านกู่พลันสั่นศีรษะด้วยรอยยิ้มขมขื่น แล้วหันกายกลับไป


ในเวลาเดียวกัน หานลี่ที่กลับมายังที่พักของตัวเอง ก็นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักในตำหนักใหญ่อยู่เพียงลำพัง กำลังขบคิดอันใดอยู่


อรหันต์ว่านกู่ผู้นี้มีเจตนาอันใดกันแน่


หากจะบอกว่าถูกชะตาเขาตั้งแต่แรกเห็น ถึงได้มีเจตนาจะคบค้าสมาคมด้วย เขาย่อมไม่เชื่อเลยสักนิด


และยิ่งไปกว่านั้นสนมคนโปรดที่อยู่ในอ้อมอกของนักพรตชราก็สำแดงเคล็ดวิชาลวงตาขั้นสูงมาปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตนเอาไว้ นั้นยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่


ทว่าเขากลับสัมผัสเจตนาร้ายจากอีกฝ่ายไม่ได้ นี่ถึงได้พูดคุยกับนักพรตชราอย่างวางใจเป็นเวลานานแล้วถึงได้จากมา


แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีแผนการอันใดกับเขา จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในยามนี้ ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายก็สู้ไหว แน่นอนว่าจึงไม่ได้หวาดกลัวอันใด


กลับเป็นงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬนั้น หากลึกลับอย่างที่อีกฝ่ายบอก ก็ต้องเข้าร่วมสักหน่อย


ถึงอย่างไรเสียเดิมเขาก็ไม่หวังว่าจะได้ประโยชน์อันใดจากงานหมื่นสมบัติอยู่แล้ว


ที่เขามาที่นี่ในครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งเพราะว่านัดกับหญิงสาวเผ่าปีศาจนิรนามของเมืองเทวะสวรรค์เอาไว้ อีกครึ่งหนึ่งก็อยากถือโอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันสักหน่อย ได้เปิดประสบการณ์เกี่ยวกับสามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับไหน!


แข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รู้จักของชนต่างเผ่า


แต่หากซื้อวัตถุดิบอสูรปีศาจจำนวนมากได้จากหญิงสาวเผ่าปีศาจ งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬก็คงได้ประโยชน์อีก วัตถุดิบเสริมในการหลอมภูเขาลูกที่สอง ก็น่าจะมีหวังว่าจะรวบรวมได้ครบแล้ว


เช่นนั้นหลังจากที่หานลี่หลอมไปรอบหนึ่ง ก็จะมีสมบัติประจำกายเพิ่มขึ้นอีกชิ้นทันที


ส่วนหากมีภูเขาลูกที่สองอยู่กับตัว การต่อกรกับเคราะห์สวรรค์สองสามครา ก็เป็นเรื่องที่ผ่อนคลายสบายๆ แล้ว


และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าการหาภูเขาลูกที่สามพบก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความหวัง ทว่าต้องใช้ความอดทนรอดูอีกหลายปี ว่าศิษย์ในนามที่รับมาใหม่จะฝึกฝนวิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกสำเร็จหรือไม่


วัตถุดิบของภูเขาผสมปราณทั้งห้า นั่นก็คือภูเขาวิญญาณจันทรายะเยือก


ศิลาจันทราที่ใช้สร้างภูเขานี้ไม่เหมือนกับหยกทมิฬ แม้ว่ามันจะอยู่ในแดนเย็นเยียบ แต่กลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจะมีความพิเศษ หลังจากที่ถูกคนกระตุ้นถึงจะสำแดงไอวิญญาณยะเยือกที่เย็นเยียบอย่างหาที่เปรียบออกมาได้


ปกติแล้วสิ่งนี้จะอยู่ใต้ธารน้ำแข็งลึกลงไปสองสามหมื่นจั้ง เป็นเพราะรอบด้านมีไอเย็นเยียบหมื่นจั้งปกคลุมอยู่ กวาดจิตสัมผัสไปจึงไม่อาจพบร่องรอยอันใดได้


วิธีเดียวที่จะค้นหาก็คือผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์วิญญาณยะเยือกเช่นเดียวกัน ถึงจะอาศัยวิญญาณยะเยือกในร่างสัมผัสศิลาจันทราได้


ส่วนระยะและขอบเขตของการสัมผัส ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของศิลาจันทรา รวมทั้งอานุภาพของวิญญาณยะเยือกของผู้ฝึกฝน


ภูเขาวิญญาณจันทรายะเยือกที่เขาตามหาย่อมมีขนาดใหญ่มหึมา ขอแค่ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์วิญญาณยะเยือกสำเร็จ การสัมผัสได้ในรัศมีสองสามหมื่นจั้งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


แน่นอนว่าจะหาภูเขาลูกนี้พบอย่างราบรื่นหรือไม่ หานลี่ก็ไม่แน่ใจ โชคดีที่เขารู้ว่าแดนยะเยือกนี้ แค่ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็มีอยู่ไม่น้อยแล้ว


เทียบกับภูเขาชนิดอื่นๆ กลับเป็นวัตถุดิบภูเขาที่หาง่ายมากที่สุด


แต่จะหาภูเขาวิญญาณจันทรายะเยือกได้จริงๆ หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของสวรรค์แล้ว


ทว่าหลังจากคิดถึงเคราะห์สวรรค์หลังจากนี้ หานลี่ก็ไม่อาจปล่อยความหวังใดๆ ไปได้


นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาพบว่าไป๋กั่วเอ๋อร์มีร่างวิญญาณแก่นน้ำแข็ง จึงลงมือช่วยอย่างไม่ลังเล


มิเช่นนั้นแม้ว่าเขาจะมียาลูกกลอนจำนวนมากขนาดไหน การช่วยแม่หนูผู้นี้ก็ไม่ได้เสียเวลาฝึกฝนยาวนานอย่างผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น แต่ต้องเสียเวลาการฝึกฝนอย่างหนักไปร้อยกว่าปีเท่านั้น


ส่วนถ้าหากเขาหลอมภูเขาวิญญาณยะเยือกอีกครั้ง หลังจากที่พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น ก็จะหาวิธีทลายเขตแดนให้ร่างแยกกดพลังปราณ แล้วกลับไปที่แดนมนุษย์ ยามที่เขาบรรลุขึ้นมาจากแดนมนุษย์ ก็มีอยู่สองที่ ที่มีร่องรอยของลำแสงปราณทิศเหนือสุด ที่จะมีโอกาสหาภูเขาปราณทิศเหนือสุดพบมากที่สุด


เช่นนั้นนอกจากภูเขาลูกสุดท้ายแล้ว ก็หวังว่าจะรวบรวมภูเขาทั้งสี่ลูกได้ครบ


หากโชคดีหาวัตถุดิบของภูเขาลูกสุดท้ายพบ แล้วหลอมภูเขาผสมปราณทั้งห้าได้ เดาว่าเคราะห์สวรรค์ก็ไม่อาจทำอันใดกับเขาได้ระยะยาวแล้ว


ส่วนหากมีเวลาเพียงพอ เขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าทะลวงระดับมหาย่าน หรือว่าเดินไปให้ถึงขั้นสุดท้าย ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


ใบหน้าของหานลี่ราบเรียบ แต่ในหัวกลับมีความคิดหมุนวนไปมา


หลังจากที่ผ่านไปอีกชั่วครู่ เขาก็ลุกขึ้นยืนจากตำแหน่งที่นั่งหลัก แล้วเดินไปที่ประตูด้านข้าง


สองวันนี้เขาคิดจะไปฝึกฝนต่อ หลังจากนั้นค่อยวิ่งไปหาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน เพื่อขอวัตถุดิบเสริมในการหมักสุราเซียนตาข่ายแดง


ในเมื่อคิดจะเข้าร่วมงานแดนสีดำ หากหมักสุราเซียนตาข่ายแดงให้ได้สักสองไห การไปพบกับผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นผีสุราจะมีมูลค่าขนาดไหนแค่คิดก็รู้แล้ว


มิเช่นนั้นแม้ว่าเขาจะมีสมบัติสมุนไพรติดตัวอยู่จำนวนมาก แต่ก็มีอยู่ไม่มากที่เอาออกมาได้ แม้ว่าสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีจะล้ำค่า แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้วก็ไม่ได้ล้ำค่าอันใดมากนัก แต่สมบัติวิเศษอื่นๆ กลับมีประโยชน์มากกว่า จึงไม่ควรนำออกมาแลกเปลี่ยน


เช่นนั้นจนถึงยามเย็น ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อถึงได้กลับมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ


หานลี่สัมผัสได้ว่าทั้งสองคนมาปรากฏตัวที่เขตอาคมส่งตัวตรงชั้นหนึ่ง จึงสะบัดแผ่นป้ายควบคุมเขตอาคมเล็กน้อย แล้วปล่อยให้ทั้งสองคนเข้ามา พลางออกคำสั่งอย่างราบเรียบสองสามคำ


แม้ว่าทั้งสองมีเรื่องจะเล่าอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ทำได้เพียงกลับไปยังที่พักตนเองก่อนอย่างเชื่อฟัง


สองวันต่อมาหานลี่ก็ไปเยี่ยมจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนที่วังต้อนรับเซียนอีกแห่งหนึ่งเพียงลำพัง และเอาวัตถุดิบในการหมักสุราเซียนจากเขามาเป็นจำนวนมาก


แต่น่าเสียดายเล็กน้อย ได้ยินว่าสองราชาปีศาจ ‘ราชาพายุทมิฬ’ ‘มังกรวารีลี้เพลิง’ ที่มาถึงก่อนมีธุระด่วน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้อยู่ในภูเขาเก้าเซียน


แต่เดาว่าวันที่งานหมื่นสมบัติเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พวกเขาจะกลับมา


หานลี่ย่อมรู้สึกเสียดายเล็กๆ แต่เพราะว่าต้องรีบหมักสุราเซียน จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก


เขาไม่ได้รั้งรออยู่ที่พำนักของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนนานนัก บอกล่าอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปยังที่พักของตัวเอง


หานลี่เตรียมห้องลับไว้ในตำหนักเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาผลตาข่ายแดงจำนวนมากออกมาหมักสุราเซียนตาข่ายแดงตามบันทึกในตำราโบราณ


การเข้าไปของเขาครั้งนี้ใช้เวลาอยู่ครึ่งเดือนโดยไม่ออกจากห้องลับเลยแม้แต่ก้าวเดียว


ผลตาข่ายแดงจำนวนมากเพียงนี้ เขาย่อมไม่อาจหมักทีเดียวได้


นอกจากสองไหที่ตกลงกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนแล้ว หานลี่ก็หมักเพิ่มอีกเจ็ดแปดไหเท่านั้น


หานลี่ย่อมรู้ดี


แม้ว่าสุราเซียนตาข่ายแดงจะไม่เคยปรากฏตัวขึ้นในแดนวิญญาณมาก่อน แต่สุราวิญญาณของแดนเซียน หากทำออกมาทีเดียวจำนวนมาก ราคากลับจะยิ่งถูกลดทอนลง


และเป็นเพราะสุราเซียนตาข่ายแดงมีผลในการบำรุงร่างกาย อายุขัยให้เพิ่มมากขึ้น หานลี่เองก็คิดจะค่อยๆ ดื่มไปทีละนิดๆ


หลังจากที่หมักสุราเซียนเสร็จแล้ว ในที่สุดหานลี่ก็กำจัดเรื่องกังวลใจไปได้ เวลาต่อมาแม้ว่าจะยังคงนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในตำหนัก บางครั้งก็ออกไปทำความรู้จักกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันที่มาถึงก่อนเวลาเช่นกัน


ในบรรดาคนที่เขาทำความรู้จักมีอยู่สองสามคนที่คุยกันถูกคอ จนเกิดเป็นมิตรภาพขึ้น


ส่วนอรหันต์ว่านกู่นั้นก็มีท่าทางเป็นมิตรกับหานลี่มาโดยตลอด แม้กระทั่งเชิญให้หานลี่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนส่วนตัวเล็กๆ ที่ระดับหลอมสุญตาขึ้นไปถึงจะเข้าร่วมได้ ทำให้หานลี่ได้แลกเปลี่ยนวัตถุดิบที่ต้องการมาอีกสองสามชนิด


นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกอรหันต์ว่านกู่เป็นผู้ที่มีนิสัยไม่เลวเลยคนหนึ่ง


แต่เมื่อเวลาผ่านไป แน่นอนว่าตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ที่มาเข้าในวังต้อนรับเซียนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น


รอจนถึงวันที่งานชุมนุมหมื่นสมบัติจะจัดขึ้นในอีกสองสามเดือน คาดไม่ถึงว่าวังต้อนรับเซียนสองสามแห่งจะเต็มไปแล้วกว่าครึ่ง


หนึ่งในนั้นมีอาวุโสของขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และมีสิ่งมีชีวิตระดับราชาอยู่ด้วย ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษที่เหมือนกับหานลี่ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน


แต่แค่ในบรรดาสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจ นอกจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนแล้ว กลับมีแค่ราชาวิมานหนูหนึ่งในเจ็ดราชาปีศาจที่มา


แต่แค่ราชาวิมารหนูเข้ามาในภูเขาเก้าเซียน ก็กักตนบำเพ็ญเพียรทันที ผู้ใดก็ไม่ได้พบหน้า ดูลึกลับมาก


ทว่าจะว่าไปแล้วเดิมราชาวิมานหนูผู้นี้ก็เป็นผู้ที่ลึกลับที่สุดในเจ็ดราชาปีศาจแล้ว ว่ากันว่าใช้วิชาลับอำพรางตัวเป็นเวลานาน เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน


สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือราชาหนูผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ใดกันแน่ คาดไม่ถึงว่ามีอยู่แค่ไม่กี่คนที่พอจะพูดถึงได้


ดูเหมือนว่าราชาปีศาจผู้นี้จะไม่เคยประมือกับคนอื่นๆ ที่ภายนอก แต่ก่อนหน้านี้ได้ไปล่วงเกินสิ่งมีชีวิตระดับสูง แต่กลับค่อยๆ หายสาบสูญไปจากทั้งสองเผ่า


ทำให้ผู้คนไม่อาจยืนยันได้ว่าราชาวิมานหนูผู้นี้ลงมือในที่มืดจริงหรือไม่


ดังนั้นแม้ว่าราชาวิมานหนูผู้นี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงมากที่สุดในเจ็ดราชาปีศาจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินง่ายๆ

 

 

 


ตอนที่ 1790 อาชาวิญญาณ

 

ส่วนราชาวิมานหนูผู้นี้ก็เป็นคนของเผ่าหนูหยก เดิมก็เป็นตัวแปรสำคัญของเผ่าที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นราชาหนูผู้นี้ก็ไม่อาจครองบัลลังก์ราชาปีศาจแล้ว


ถึงอย่างไรเสียเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ก็ไม่เหมือนกัน


พวกเขาย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่าปีศาจ ในเวลาเดียวกันย่อมต้องมีขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่คอยสนับสนุนถึงจะได้


ไม่เหมือนกับอำนาจของสามจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุมอำนาจที่ได้รับการสืบทอดกันมา


แม้ว่าหานลี่จะอยากพบหน้าราชาหนู แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีไม่อยากพบหน้าผู้ใด ก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้


ดังนั้นเวลาที่เหลือหานลี่จึงออกไปทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ แต่ทุกๆ สองสามวันจะต้องเสียเวลาศึกษาเรื่องรากวิญญาณที่หายไปของไห่ต้าเซ่า


ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงต้องอ่านตำราจำนวนมาก แม้กระทั่งต้องเสียโลหิตบริสุทธิ์ให้ไห่ต้าเซ่าเพื่อศึกษาคุณสมบัติของเขา


ไม่ต้องพูดถึงการพลิกไปพลิกมา ก็ทำให้เขาหาความเป็นไปได้สองสามชนิดเจอ


แต่หากจะยืนยันเป้าหมายที่แท้จริงของรากวิญญาณเรื่องเล็กๆ แค่นี้กลับต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกสองสามวัน


และในช่วงเวลานี้หานลี่ก็ปฏิบัติกับทั้งสองคนไม่เลว


ไม่เพียงจะปล่อยให้ให่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อเข้าออกตำหนักได้อย่างอิสระ บางครั้งก็ยังชี้แนะการฝึกฝนจนทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ไม่น้อย!


วันนี้หานลี่อธิบายปัญหาของเคล็ดวิชาให้กับไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ ยามที่เขากำลังชงชาหมายจะลิ้มรสสักอึก ก็หน้าเปลี่ยนสีเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


“ท่านอาวุโส เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” ชี่หลิงจื่อกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเอ่ยถามตามจิตสำนึก


“อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้เอง” หานลี่เอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อกลับรู้สึกว่าทุกอย่างปกติ ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอันใด มองสบตากันแวบหนึ่งก็อดที่จะตกตะลึงระคนสงสัยไม่ได้


ทั้งสองคนไม่กล้าซักถามหานลี่ให้ละเอียด จึงทำได้เพียงรออย่างเงียบๆ


เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา เสียงอึกทึกก็ดังแว่วมาจากด้านนอกตำหนัก จากนั้นทั้งตำหนักก็สั่นคลอน กำแพงทั้งสี่ด้านสั่นสะเทือน


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อตกใจจนสะดุ้งโหยง หันไปมองนอกตำหนักด้วยความตกตะลึง


แต่หานลี่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


เสียงอึกทึกดังขึ้นตามแรงสั่นของตำหนักไม่หยุด ราวกับว่ามีสัตว์ตัวมหึมากำลังเดินมาที่วังเซียน


“ท่านอาวุโสหาน นี่คือ…” ไห่ต้าเซ่าทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยถามหานลี่ด้วยความสงสัย


“ที่นี่ข้าสัมผัสอันใดไม่ได้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปเปิดโลกก็แล้วกัน” หานลี่กลับถอนหายใจขณะเอ่ย จากนั้นพลันยืนขึ้น แล้วสะบัดแขนเสื้อไปทางทั้งสองคน


ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวพลันบินออกมาห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ


ครู่ต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามก็มาปรากฏตัวในเขตอาคม และเปล่งแสงสว่างวาบส่งตัวออกไป


เมื่อออกมาจากเขตอาคมส่งตัว ลำแสงสีเขียวพลันม้วนวน หานลี่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวกะพริบวาบๆ แล้วมาปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่งของวังต้อนรับเซียน จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ


หลังจากกะพริบวาบๆ ลำแสงหลีกหนีที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้งก็หม่นแสงลง ทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา พอมองลงมาด้านล่างก็จะเห็นทุกอย่างในรัศมีสองสามพันลี้


เมื่อไม่มีเขตอาคมวังต้อนรับเซียนมาขัดขวาง ไกลออกไปพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ราวกับว่าฟ้ากำลังถล่มดินกำลังทลาย


เทือกเขาของภูเขาเก้าเซียนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตามสัตว์มหึมาที่เข้ามาใกล้


“นั่นคืออันใด ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นแผ่นดินขยับ มันกำลังเดินเข้ามา!” เมื่อมองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน นักพรตน้อยชี่หลิงจื่อก็อ้าปากค้าง


ไห่ต้าเซ่ากะพริบตาปริบๆ อย่างตกตะลึง แทบจะคิดว่าตนตาพร่ามัวไปชั่วขณะ


มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้ตกตะลึงเพียงนี้!


เห็นเพียงระหว่างเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป แผ่นดินสีดำความกว้างตั้งไม่รู้เท่าไหร่กำลังปูดนูนขึ้น กำลังขยับเข้ามาใกล้เทือกเขาของพวกเขาทีละก้าวๆ


เสียงดังสนั่นจนทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน กำลังส่งมาจากใต้ดินสีดำ


แผ่นดินที่ปูดโปนออกมาดูเหมือนจะแห้งแล้งเป็นอย่างมาก ผิวของมันปริแตกออกเป็นหลุมหลายบ่อ กลายเป็นร่องลึกเป็นสายๆ ตัดสลับกันไปมา


สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมก็คือใจกลางของผืนดินนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีกำแพงเมืองสีดำขนาดใหญ่อยู่ด้วย รอบด้านของกำแพงเมืองมีนักรบชุดเกราะสีดำยืนอยู่เต็มไปหมด


พวกเขาไม่ขยับเขยื้อน มือถือขวานยาว ขวานยักษ์ ต่างๆ นานาด้วยสีหน้าเย็นชา


ส่วนด้านบนของกำแพงเมืองก็มีนักรบชุดเกราะกระดูกที่ขี่อยู่บนหมาป่ายักษ์สีฟ้านับพันคน กำลังบินไปมาอยู่กลางอากาศ


นั่นก็คือผู้พิทักษ์อัสนีที่หานลี่เคยพบ!


สถานการณ์ของผู้พิทักษ์สองชนิดกลับมีท่าทางที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกแผ่ออกมา!


หานลี่มองจนมาถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงมา รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด


ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“สหายผู้ใดอยู่ที่นี่ เหตุใดถึงไม่ออกมาพบ!”


“สหายหานช่างมีอิทธิฤทธิ์จริงๆ วิธีของข้าปิดบังพี่หานไม่ได้จริงๆ จุ๊ๆ อสูรวิญญาณที่จักรพรรดิป้าขี่อยู่ตัวใหญ่เสียจริง แปดเก้าส่วนคงเป็นเกี่ยวข้องกับ ‘อาชาวิญญาณ’ ในตำนาน” เสียงไม่คุ้นหูของสตรีพลันดังขึ้นจากด้านหลัง มันไพเราะเป็นอย่างยิ่ง


ใบหน้าของหานลี่ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่ในใจกลับรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย!


จากความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสของเขา เข้ามาประชิดขนาดนี้เพิ่งจะรู้สึก ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ


เขาพ่นลมหายใจออกมา หันกายมาอย่างช้าๆ แล้วมองไปยังคนพูด


เห็นเพียงหญิงงามสวมชุดชาววังห้าสีกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ เธออยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ


แต่เมื่อหานลี่กวาดจิตสัมผัสผ่านไป ก็อดที่จะร้อง ‘เอ๋’ ออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้


“หลิวชิงคารวะสหาย คิดดูแล้วสหายคงมองออกแล้ว ร่างนี้ไม่ใช่ร่างเดิมของข้า ทว่าเป็นแค่หุ่นเชิดร่างแยกเท่านั้น” หญิงสาวคารวะกับหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างใจกว้างเป็นอย่างมากออกมา


“หลิวชิง! ข้าน้อยเพิ่งเคยได้ยิน ก่อนหน้านี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวมีอยู่สองคนที่มีฝีมือ หนึ่งในนั้นคือผู้ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิด อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลวงตา ผู้ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิดได้สมญานามว่าเซียนเชียนหลิง มีนามว่าหลิวชิง หรือว่าจะเป็นสหาย” หานลี่คารวะกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเอ่ยถามอย่างมีความคิด


“คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของข้าแม้แต่สหายหานก็รู้จัก ช่างทำให้ข้าปลื้มใจจริงๆ ที่แท้งานชุมนุมที่พันปีมีครั้ง ข้าก็ควรจะมาด้วยตนเอง แต่ช่วงนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับจนถึงจุดสำคัญ จึงไม่อาจออกจากห้องลับได้ จึงทำได้เพียงให้หุ่นเชิดร่างแยกมาเท่านั้น โชคดีที่ร่างแยกของข้าค่อนข้างมีชื่อเสียง จึงมั่นใจว่าสหายที่นี่จะรู้จัก ถึงได้เข้ามาที่นี่ได้” หญิงสาวพ่นคำพูดสบายๆ ออกมา ให้ความรู้สึกสง่างามไม่ธรรมดา


หลังจากที่หานลี่ได้ยินฐานะของอีกฝ่าย ใบหน้ากลับเผยสีหน้าเปลี่ยนสีออกมา


อย่ามองว่าเซียนเชียนหลิงผู้นี้เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยว แต่ได้ยินว่าเดิมก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิด หลังจากที่เป็นลูกน้องของจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยว เคล็ดวิชานี้ก็ยิ่งพัฒนามากขึ้น เลื่องชื่อว่าเป็นอันดับสองในเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของเผ่ามนุษย์ ส่วนอันดับหนึ่งนั้นย่อมเป็นจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิดและเคล็ดวิชาลวงตาไปพร้อมๆ กัน ปีนั้นเซียนเชียนหลิงผู้นี้และอีกคนหนึ่งถูกจักรพรรดิเทียนเมี่ยวทำให้อ่อนแอลง ถึงได้ยอมติดตามด้วยฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์


แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่หุ่นเชิด แต่ในสายตาของหานลี่กลับมองพลังของหุ่นเชิดตัวนั้นออก เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย


ดังนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนรู้จักตน แต่ก็ไม่กล้าดูแคลน ประสานมือคารวะขณะเอ่ย


“ที่แท้ก็เป็นเซียนเชียนหลิง ผู้แซ่หานเสียมารยาทแล้วจริงๆ ทว่า ‘อาชาวิญญาณ’ ที่ท่านเซียนพูดถึงเมื่อครู่ หรือว่าจะหมายถึงเต่าเทวะโบราณที่รองรับเมืองเสวียนอู่ไว้ได้ตัวนั้น?”


“ไม่ผิด ข้าหมายถึงอสูรยักษ์ที่ถ่ายทอดโลหิตมาจากจิตวิญญาณเที่ยงแท้เสวียนอู่ ปีนั้นข้าโชคดีมีโอกาสได้เห็นเต่าตัวนั้นด้วยตัวเอง ขนาดของมันทำให้ผู้คนไม่กล้าลุกขึ้นสู้กับมัน และยิ่งไปกว่านั้นอสูรยักษ์ตัวนั้นก็เชี่ยวชาญอิทธิฤทธิ์ธาตุน้ำแข็งและธรณี การป้องกันตัวแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นสมบัติสะท้านฟ้าก็ทำอันตรายมันได้ยาก ส่วนตัวที่จักรพรรดิป้าแห่งเสวียนอู่พามา เดาว่าน่าจะเป็นชนรุ่นหลังของเต่าตัวนั้นเท่านั้น” หลิวชิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ชนรุ่นหลัง?” หานลี่หันกลับไปมองแผ่นดินใหญ่ที่ยังคงติดกันในจุดที่ไกลออกไป กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้


“ไม่เลว ความใหญ่ที่แท้จริงของอาชาวิญญาณ ตรงหน้าก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากแล้ว” หญิงสาวพยักหน้าอย่างจริงจัง


“เมื่อได้ยินเซียนหลิวเอ่ยเช่นนี้ ผู้แซ่หานกลับอยากเปิดประสบการณ์เกี่ยวกับอาชาวิญญาณเต่ายักษ์ตัวนี้สักหน่อย” หานลี่มองไปยังจุดที่ไกลออกไป อดที่จะเอ่ยพึมพำกับตัวเองไม่ได้


“หากอยากพบกับอสูรยักษ์จริงๆ นั้นไม่ง่าย ปีนั้นข้าติดตามจักรพรรดิวิญญาณเสวียนอู่ไปเป็นแขก แล้วบังเอิญได้พบกับอสูรตัวนี้ที่สามพันปีจะมีวันที่ออกมากลืนแสงตะวันจันทราครั้งหนึ่ง ถึงได้มีโอกาสเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเต่าตัวนั้นแวบหนึ่ง”


มิเช่นนั้นยามปกติเต่ายักษ์ตัวนี้คงมุดร่างกว่าครึ่งเอาไว้ใต้ดิน แขนขาทั้งสี่และหัวหดอยู่ในกระดองพลางหลับสนิท


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ผู้แซ่หานได้รับการสั่งสอนแล้ว!” หานลี่เผยสีหน้าเสียดายออกมา แล้วประสานมือคารวะหญิงสาว


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินหานลี่และพวกทั้งสองคุยกัน กลับฟังจนเหม่อลอย สีหน้าเพ้อฝัน


อสูรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปกลายเป็นแผ่นดินสีดำ ยามที่อยู่ห่างจากยอดเขาไปยี่สิบสามสิบลี้ ในที่สุดก็หยุดเคลื่อนไหว พื้นที่สั่นสะเทือนพลันหยุดลง


แต่ในยามนี้แผ่นดินผืนนั้นกลับค่อยๆ ยกสูงขึ้นจากพื้นดิน ชั่วครู่ก็กลายเป็นภูเขายักษ์สีดำสูงพันจั้งเศษ ส่วนยอดเขาและตีนเขาของยอดเขาสีดำก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ส่วนหัวขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากพื้นดิน ลำแสงสีเขียวสองสายกวาดมองความคึกคักของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บริเวณรอบทั้งหมด


หานลี่และหญิงสาวย่อมตกอยู่ในนั้น


แต่แววตาของหานลี่พลันเคร่งขรึม แล้วมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


เห็นเพียงอสูรยักษ์มีหน้าตาโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง บนหัวมีเขาประหลาดหงิกงออยู่สิบกว่าเขา ตรงคอมีเกล็ดสีดำหนาๆ ปกคลุมจุดอันตรายเอาไว้อย่างแน่นหนา


ในเวลาเดียวกันอสูรตัวนั้นพลันอ้าปากยาวๆ ออก พายุเหม็นคละคลุ้งโชยมา แต่ก็มองเห็นฟันยักษ์ที่แหลมคมเต็มปาก


หานลี่มองฟันที่แหลมคมของอสูรน้อย แล้วอดที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้


เมื่อครู่เขาเปรียบเทียบเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าร่างกายของคนธรรมดาๆ ของตน อย่างน้อยก็ต้องรวมตัวกันร้อยกว่าคน ถึงจะพอให้อสูรยักษ์ตัวนั้นกลืนลงไปในคำเดียว


ชี่หลิงจื่อเห็นท่าทางน่ากลัวของอสูรยักษ์ แม้ว่าจะอาจหาญไม่น้อย แต่ก็หน้าซีดเผือดไปสองสามส่วน


ส่วนไห่ต้าเซ่ากลับใช้นิ้ววาดไปยังจุดที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็วัดกับขนาดของตน


ชี่หลิงจื่อเห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้


“ต้าเซ่า เจ้าทำอันใด!”


“ไม่ได้ทำอันใด ข้าแค่กำลังวัด ว่าข้าตัวใหญ่กว่าหรือว่าฟันของสัตว์ประหลาดนั้นใหญ่กว่า”


ไห่ต้าเซ่าเองก็เอ่ยโดยไม่หันกลับมา ทำให้ชี่หลิงจื่อหมดคำพูด

 

 

 


ตอนที่ 1791 ตักเตือน

 

หานลี่ย่อมได้ยินคำพูดของไห่ต้าเซ่า กล้ามเนื้อบริเวณบนใบหน้าเลยอดที่จะกระตุกไม่ได้


ผู้นี้คือสมบัติที่มีชีวิตจริงๆ!


เต่ายักษ์ที่อยู่ไกลออกไปส่งเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา แขนขาทั้งสี่และหัวหดลงไปใต้ดินอีกครั้ง


ร่างอสูรยักษ์กลายเป็นยอดเขาสีดำ ชั่วขณะนั้นพลันนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม


ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บนกำแพงเมืองสีดำบนยอดเขาถึงได้เริ่มเคลื่อนไหว


ผู้คุ้มกันอัสนีจำนวนมาก เหาะเหินอยู่กลางอากาศเป็นวงกลม ทยอยกันร่อนลงมาบนกำแพงเมือง นักรบชุดเกราะสีดำตั้งแถวพวยพุ่งขึ้นไปจากยอดเขา และทยอยกันควักอุปกรณ์วางเขตอาคมออกมา จากนั้นก็วนล้อมรอบยอดเขาสีดำกันอย่างยุ่งวุ่นวาย


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขตอาคมชั้นหนึ่งก็วางบน ‘ยอดเขาสีดำ’ เสร็จสิ้น ในเวลาเดียวกันไอหมอกสีดำก็แผ่ออกมาปกคลุมกำแพงเมืองบนยอดเขาเอาไว้


หลังจากที่นักรบชุดเกราะสีดำเหล่านั้นกระทำทุกอย่างเสร็จก็พุ่งเข้าไปในหมอกสีดำจนเกลี้ยงแล้วทยอยกันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ในหมอกสีดำเงียบสงัด แตกต่างกับเสียงอึกทึกรุนแรงเมื่อครู่เป็นอย่างยิ่ง


ในยามนั้นบนยอดเขาอีกลูกพลันมีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เหนือหมอกสีดำ


ลำแสงเจิดจ้าหม่นแสงลง เผยมังกรวารีสีทองเรืองรองตัวหนึ่งออกมา หัวมีเขาสีเงินเขาหนึ่ง ความยาวประมาณสิบจั้งเศษ


บนแผ่นหลังของมังกรวารีกลับมีบุรุษสวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


นั่นก็คือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนผู้นั้น


“สหายเสวียนอู่ ไม่ได้พบกันหลายปี มาพบหน้าเทียนหยวนสักครั้งได้หรือไม่”


“หึ ที่แท้ก็ตาเฒ่าอย่างเจ้านี่เอง หากอยากพบหน้าก็เข้ามาสิ แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่เทียนเมี่ยว แต่เขตอาคมลวงตาจิ๊บจ๊อยแค่นี้คงขวางใต้เท้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าไม่ได้สินะ?” เสียงเย็นชาอีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากหมอกสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีไม่เกรงใจจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเลยสักนิด


“หึๆ เช่นนั้นข้าก็เสียมารยาทแล้ว!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนหัวเราะน้อยๆ ออกมาไม่สนใจคำพูดที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายเลยสักนิด เท้าย่ำไปบนมังกรวารีสีทอง ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นดวงแสงสีทองจมหายเข้าไปในม่านหมอกสีดำอย่างไร้ร่องรอย


ม่านหมอกเงียบเสียงไปอีกครั้ง


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ที่ถูกการมาของจักรพรรดิป้าเสวียนอู่ทำให้ตกใจ ย่อมรู้ว่าหลังจากนี้ก็ไม่มีอันใดให้ดูแล้วจึงพากันบินกลับไปในที่พักของตนเอง


แน่นอนว่าหานลี่เองก็มีความคิดเช่นนั้น จึงประสานมือคารวะหลิวชิงยามที่กำลังจะเอ่ยคำกล่าวลานั้น ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีผปู้นี้กลับฉีกยิ้มเบิกบาน


“หากสหายหานไม่รังเกียจก็เชิญไปนั่งพักที่พักของข้าเป็นอย่างไร ข้ามีสหายเก่าที่รู้จักอยู่คนหนึ่งอยากพบสหาย”


“สหายเก่า!” ใบหน้าของหานลี่ฉายแววตกตะลึง


“ไม่ใช่แล้ว ความจริงแล้วนางเป็นบุตรของสหายเก่า ครั้งนี้บังเอิญพบกันพอดีจึงเข้ามาในวังต้อนรับเซียนด้วยกัน ส่วนคือผู้ใดนั้น เพียงสหายหานไปก็รู้แล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเปิดเผย


“ในเมื่อเซียนหลิวกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็สนใจแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนสหายด้วย” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


“สหายหานตกลงช่างดีเยี่ยมเลยจริงๆ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญมาก ข้าพักอยู่ด้านบนสหายหานชั้นหนึ่งที่นี่ไม่มีอะไรน่าดู พวกเรากลับกันเถอะ” หลิวชิงเม้มปากขณะเอ่ย ท่าทางไม่เหมือนกับหุ่นเชิดเลยสักนิด


มิน่าล่ะถึงได้เลื่องชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิดเป็นอันดับสองของเผ่ามนุษย์ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่วิธีการหลอมหุ่นเชิดที่มหัศจรรย์ก็ไม่ธรรมดาแล้ว


ยามนี้จักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวก็เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ชื่อเสียงอันดับหนึ่งด้านเคล็ดวิชาหุ่นเชิดย่อมตกเป็นของเซียนหลิว


“เยี่ยม! เจ้าสองคนถือแผ่นป้ายต้องห้ามไว้แล้วกลับไปที่พักก่อน” หานลี่พยักหน้าแล้วโยนแผ่นป้ายสีเงินให้พวกของไห่ต้าเส่า พลางออกคำสั่ง


ไห่ต้าเส่าและชี่หลิงจื่อรับแผ่นป้ายแล้วพลันตอบรับอย่างนอบน้อม


หานลี่ไม่สนใจการเคลื่อนไหวของทั้งสองคน พลันพุ่งตามหญิงสาวไปยังวังต้อนรับเซียนด้านล่าง


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็อยู่ในตำหนักสีเขียวมรกตชั้นที่หกของวังต้อนรับเซียน และพบหญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง


หญิงสาวมีใบหน้างดงาม แววตาสดใส


“สหายเยี่ย!” เมื่อหานลี่เห็นหญิงสาวก็ร้องอุทานชื่อของอีกฝ่ายออกมาด้วยความประหลาดใจ


“เยี่ยอิ่งคารวะท่านอาวุโสหาน คิดไม่ถึงว่าการจากกันที่เผ่าพฤกษาในปีนั้นท่านอาวุโสจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้ว” หญิงสาวชุดขาวพบหานลี่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าสลับซับซ้อนออกมา พลางทำความเคารพอย่างนุ่มนวล


“ผู้แซ่หานเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับเซียนเยี่ยอิ่งที่นี่” หานลี่เผยรอยยิ้มออกมา สะบัดแขนเสื้อชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันแผ่ออกมาขัดขวางการคารวะของอีกฝ่ายเอาไว้


ในเวลาเดียวกัน เขาก็พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดและกวาดจิตสัมผัสออกไป


หญิงสาวจากตระกูลเยี่ยในปีนั้นคู่ควรกับผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากหงส์สวรรค์จริงๆ ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเพียรเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป คาดไม่ถึงว่ายามนี้จะทะลวงคอขวดระดับหลอมสุญตามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้นแล้ว


ทว่าปีนั้นหานลี่ได้โลหิตหงส์สวรรค์มาจากหญิงสาวผู้นี้ แน่นอนว่าจึงรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


“ปีนั้นท่านแม่เป็นสหายสนิทกับน้าหลิวถึงได้ขอให้พาข้าเข้ามาที่นี่ได้” เยี่ยอิ่งหัวเราะอย่างนุ่มนวล ขณะอธิบายเล็กน้อย


“อิ่งเอ๋อร์ไม่ต้องเกรงใจ ตอนนั้นข้ากับแม่ของเจ้าเปรียบดังพี่น้องกัน ครั้งนี้ได้พบกับบุตรสาวของสหายเก่าย่อมดีใจเป็นอย่างมาก เรื่องแค่นี้ไม่นับว่ามีค่าอันใด” หลิวชิงที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


เยี่ยอิ่งได้ยินย่อมเอ่ยปากขอบคุณเป็นพัลวัน


“ทว่าเซียนเยี่ยให้สหายหลิวเชิญข้ามา คงไม่ใช่แค่อยากพบหน้าผู้แซ่หานกระมัง!” หลังจากที่หานลี่ขบคิดเล็กน้อยก็หุบยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น


“ในเมื่อท่านอาวุโสถามเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็จะไม่ปิดบังอีก” เยี่ยอิ่งพลันตกตะลึงมีท่าทางขัดเขินเล็กน้อย


“ในเมื่ออิ่งเอ๋อร์อยากปรึกษากับสหายหานข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้าสองคนไปคุยกันตามลำพังเถิด” หลิวชิงที่อยู่ด้านข้างก็รู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยพร้อมกับยิ้มจนตาหยี


“ช้าก่อน! น้าหลิว ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับท่าน จึงไม่ต้องปิดบังอันใด” คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะร้องตะโกนไปทางหลิวชิงอย่างรีบร้อน


“อ๋อ ยังมีเรื่องนี้ด้วยเช่นนั้นข้าก็จะฟังอิ่งเอ๋อร์สักหน่อย” หลิวชิงรู้สึกประหลาดใจและหยุดอยู่จริงๆ แล้วกัน


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันลูบใต้คาง ใบหน้าเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา


“ความจริงแล้วที่มาหาท่านอาวุโสทั้งสองในครั้งนี้ก็มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกไม่ค่อยเกี่ยวกับสหายหานนักแต่กลับเกี่ยวข้องกับน้าหลิว” หลังจากที่หญิงสาวครุ่นคิดก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


“เกี่ยวข้องกับข้า?” หลิวชิงขมวดคิ้วดำขลับ แววตาเปล่งประกาย


“ใช่แล้ว ได้ยินว่าหลังจากที่ท่านอาวุโสจักรพรรดิวิญญาณเพลี่ยงพล้ำน้าหลิวก็กักตนทันทีจนถึงวันนี้ ร่างที่แท้จริงก็ยังไม่ยอมออกมา หากกล่าวเช่นนี้น้าหลิวคิดจะแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณแล้วสินะ” เยี่ยอิ่งมองหลิวชิงแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า


เมื่อหลิวชิงได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยหลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพยักหน้า


“ไม่ผิด ข้ามั่นใจว่าได้สืบทอดเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของใต้เท้าจักรพรรดิวิญญาณรุ่นก่อนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และหลอมหุ่นเชิดระดับสุดยอดเสร็จไปแล้วหลายตัวหากการกักตัวครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แม้จะเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายก็ย่อมสู้ได้ แน่นอนว่าก็มีความคิดระวังอยู่เช่นกัน!”


แม้ว่าเสียงของนางจะไม่ดังนักแต่ก็มีท่าทีมั่นใจ


“น้าหลิวมีความคิดนี้จริงๆ แต่ท่านแม้ให้อิ่งเอ๋อร์มาบอกกับน้าหลิวว่าห้ามแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณภายในร้อยปีนี้เด็ดขาด หากได้มาจริงๆ กลับจะทุกข์ยิ่งกว่าสุข” หญิงสาวเอ่ยอย่างจริงจัง


“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย แม้ว่าข้าจะรู้ว่ามารดาของเจ้าเชี่ยวชาญการทำนายและยิ่งไปกว่านั้นยังฉลาดล้ำเลิศเหนือคนอื่น แต่นี่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจะคาดเดาได้อย่างไร หรือว่ามารดาของเจ้าได้ข่าวอันใดมา” คาดไม่ถึงว่าหลิวอิงจะเดาออกภายในคำพูดไม่กี่คำของหญิงสาว


“น้าหลิวไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ เยี่ยเอ๋อร์ยังไม่ได้พูดต่อท่านก็เดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ท่านอาวุโสหานจากนี้สิ่งที่ชนรุ่นหลังจะพูดหวังว่าท่านจะช่วยเก็บความลับเอาไว้ชั่วคราวอย่าไปแพร่งพรายความลับให้กับผู้อื่น” หลังจากหญิงสาวลังเลเล็กน้อยกลับหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่


เมื่อเห็นหญิงสาวมีท่าทีจริงจังหานลี่ก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงพยักหน้าตกลงอย่างไม่ต้องขบคิด


“ผู้แซ่หานตกลง จะไม่แพร่งพรายเรื่องที่สหายพูดให้กับบุคคลที่สามง่ายๆ เป็นอันขาด”


แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้ละเว้นคำพูดโดยสมบูรณ์ แต่เยี่ยอิ่งก็พอใจแล้ว และเริ่มเล่าถึงสาเหตุของเรื่องนี้


“ความจริงแล้วเรื่องที่สองกลับเกี่ยวข้องกับเรื่องแรกบางทีท่านอาวุโสหานอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่น้าหลิวจะต้องเคยได้ยินมาแน่ ภายในพันปีนี้เคราะห์มารจะมาถึงแดนวิญญาณของพวกเรา” ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววหวาดกลัวขณะเอ่ย


“เคราะห์มาร!”


หลิวชิงยังพอว่า แค่มีสีหน้าเคร่งขรึมดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว หานลี่กลับตกใจจนสะดุ้งโหยงอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้


นั่นก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ผู้ใดบ้างที่มิได้บรรลุระดับผสานอินทรีย์มามากกว่าพันปีแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีช่องทางให้รู้ข่าวมากมาย แต่เขาเพิ่งจะกลับมาเผ่ามนุษย์ได้ไม่ถึงสองสามปีและยังไม่ได้คบค้ากับสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันย่อมไม่รู้เรื่องเคราะห์มาร


ถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารในยามนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือในผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ยังคงเป็นความลับสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาเพื่อไม่ให้ทั้งสองเผ่าเกิดความวุ่นวายขึ้นก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึง


ส่วนหานลี่ย่อมรู้เรื่องเคราะห์มารมาจากตำราของเผ่ามนุษย์


แต่แค่คิดไม่ถึงว่าหายนะที่นานๆ จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งจะมาปะทุในพันปีนี้


หรือว่าเขาโชคร้ายมาก ยามแรกก็พบกับการที่ชนต่างเผ่ามาล้อมโจมตีเมืองที่จะเกิดขึ้นสองสามหมื่นปีครั้ง จากนั้นก็มาพบกับเคราะห์สวรรค์ของทั้งสองเผ่า


ทว่าเขาในยามนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดยามที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ถึงมีขุมอำนาจมากมายยื่นมือมาชักจูงเขาและยิ่งไปกว่านั้นเงื่อนไขที่เสนอมาก็เย้ายวนใจมากขึ้นเรื่อยๆ


หากไม่ใช่ว่าเขาเกลียดการถูกควบคุมความจริงใจของสองสามตระกูลที่ผ่านมาก็ทำให้เขาใจเต้นแล้ว


“ในเมื่อเซียนเยี่ยเอ่ยถึงเคราะห์มารหรือว่าตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณเกี่ยวข้องกับการปะทุของเคราะห์มาร?” หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม

 

 

 


ตอนที่ 1792 ยาลูกกลอนหญ้าวิญญาณและเคล...

 

“ท่านอาวุโสหานพูดถูกแล้ว ครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดรับตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณ เกรงว่าคงต้องตายเก้าส่วนรอดหนึ่งส่วน เสี่ยงจะเพลี่ยงพล้ำในเคราะห์มาร น้าหลิวน่าจะรู้ว่าท่านย่าเคยเป็นศิษย์ในนามของท่านอาวุโสม่อเจี่ยนหลี แม้ว่าต่อมาจะเป็นผู้นำตระกูล ก็ยังคงปฏิบัติต่อท่านอาวุโสม่อดังอาจารย์กับลูกศิษย์และเมื่อสองสามปีก่อนท่านอาจารย์ม่อก็ได้รับบาดเจ็บมาที่ตระกูลเยี่ย และพูดคุยกับท่านย่าหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงได้จากไป” เยี่ยอิงเอ่ยสิ่งนี้ออกมาทำให้หลิวชิงสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง


“เจ้าพูดอันใด ท่านอาวุโสม่อได้หรือบาดเจ็บหนัก? เป็นไปไม่ได้ จากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสม่อจะได้รับบาดเจ็บในแดนนี้ได้อย่างไร? หรือว่า…” หลิวชิงคิดอันใดออกในทันที


หานลี่ย่อมเคยได้ยินเรื่องของสิ่งมีชีวิตระดับมหายานผู้นี้มาบ้าง ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีไปเช่นกัน


“ดูแล้วน้าหลิวคงเดาออกสองสามส่วน เมื่อสองสามปีก่อนท่านอาวุโสม่อยืมพลังของจานดาราไปเปิดแดนขึ้นไปสู่แดนมาร เพราะอยากจะตรวจสอบสถานการณ์ของเผ่ามารก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึง คิดไม่ถึงว่าเขากลับถูกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณสองคนของแดนมารจับตาดูอยู่ จึงทำได้เพียงต้องลงมือกัน โชคดีที่ท่านอาวุโสเป็นผู้ที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ก่อนออกเดินทางท่านอาวุโสได้ยืมสมบัติป้องกันตัวจากท่านบรรพชนเอาไว้ จึงได้สูญเสียปราณแท้ไปเล็กน้อย แล้วรีบหนีกลับมาที่แดนวิญญาณ นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีในโชคร้ายมาก!” หญิงสาวเอ่ยอธิบาย


“ท่านอาวุโสม่อไปแดนมาร?  สองสามปีที่ผ่านมาข้าเอาแต่กักตนจึงไม่รู้เรื่องนี้ เหตุใดท่านอาวุโสม่อต้องทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วย หากจำไม่ผิดยามที่เคราะห์มารมาถึงครั้งที่แล้ว เขาก็ไม่ได้กระทำเรื่องที่เสี่ยงเช่นนี้” หลิวชิงขมวดคิ้วดำขลับ


“เรื่องนี้ท่านอาวุโสม่อก็ไม่ได้พูดอันใดกับตระกูลเยี่ยของพวกเรา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการเตือนจากผู้ยิ่งใหญ่จากแดนอื่น บอกว่าอันตรายของเคราะห์มารในครั้งนี้มากกว่าในอดีตกาลมาก หากไม่ระวังเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็อาจจะถูกล้างเผ่าพันธุ์ในเคราะห์มารครั้งนี้ ท่านอาวุโสม่อถึงได้ยอมเสี่ยงอันตราย และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่แดนมารโบราณนานนัก แต่ก็พบว่าสัญญาณอันตรายมันมีมากจริงๆ ดังนั้นหลังจากที่กลับมาที่แดนมนุษย์จึงมาหาตระกูลเยี่ยของพวกเราทันที และยืมโลหิตเที่ยงแท้หงส์สวรรค์ไป เตรียมใช้มันหลอมสมบัติที่ร้ายกาจชิ้นหนึ่ง เพื่อมาต่อกรกับเคราะห์สวรรค์ครั้งนี้ มิเช่นนั้นตระกูลเยี่ยของพวกเราก็ไม่มีทางรู้ถึงอันตรายของเคราะห์มารครั้งนี้เช่นกัน แม้แต่ท่านอาวุโสม่อที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานก็ยังรู้สึกกังวล” เยี่ยอิ่งเผยสีหน้าจนปัญญาออกมาขณะเอ่ย


หานลี่และหลิวชิงได้ยินพลันตกใจจนใจเต้นระรัว


“ท่านอาวุโสม่อพบอันใดที่แดนมารกันแน่ เขาไม่ได้เอ่ยถึงหรือ?” หานลี่เอ่ยถามขึ้น


“เรื่องนี้ชนรุ่นหลังก็ไม่ทราบ ท่านแม่บอกกับคนในเผ่าแค่เล็กน้อย บางทีท่านแม่อาจจะรู้มากกว่า แต่ไม่ได้บอกชนรุ่นหลัง! ครั้งนี้ท่านแม่ส่งชนรุ่นหลังมา กลับเป็นการเตือนน้าหลิวและท่านอาวุโสที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเยี่ยโดยเฉพาะว่าห้ามรับตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณภายในหนึ่งร้อยปีนี้ ดูเหมือนว่าทางเชื่อมระหว่างแดนมารและแดนวิญญาณสองสามแห่งในครั้งนี้จะถูกเชื่อมโยงกันก่อน ดูเหมือนว่าจะอยู่ใกล้กับต้นไม้วิญญาณค้ำฟ้าของแดนวิญญาณ ครั้งนี้เมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของเผ่ามาร และหากเคราะห์มารปะทุขึ้น สามจักรพรรดิไม่มีทางได้รับอนุญาตให้ทิ้งเมืองสามจักรพรรดิแน่ และยิ่งไปกว่านั้นนอกจากนี้ท่านอาวุโสม่อเจี่ยนหลีและคนของเกาะศักดิ์สิทธิ์ยังจงใจปล่อยให้เมืองวิญญาณสวรรค์กลายเป็นเหยื่อล่อของเผ่ามาร ใช้ประโยชน์จากพลังมหัศจรรย์ของต้นไม้วิญญาณค้ำฟ้าและเขตต้องห้ามจำนวนมากของเมืองวิญญาณสวรรค์มาทำลายกองทัพเผ่ามาร ลดความกดดันของขุมอำนาจอื่นๆ ในเผ่ามนุษย์ ดังนั้นครั้งนี้ผู้รับตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณคนใหม่จึงต้องยืนอยู่ในด่านหน้าในการต้านทานกับเผ่ามารโบราณ ต้องปกป้องเมืองวิญญาณสวรรค์สวรรค์ด้วยชีวิตไม่อาจล่าถอยได้ อันตรายจากสิ่งไม่ต้องให้ชนรุ่นหลังต้องพูดมากแล้วสินะเจ้าคะ” สุดท้ายหญิงสาวก็หัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย


หลิวชิงและหานลี่ได้ยิน ก็อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้


“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย ดูแล้วนี่คงเป็นหนึ่งในข่าวลับของแดนมารที่รู้มาจากท่านอาวุโสม่อ ในที่สุดเผ่าของมนุษย์ของพวกเราก็ต้องเตรียมการอย่างจริงจังแล้ว ไม่ถือว่าทำเกิดเหตุ ข้าจะรับเรื่องนี้เอาไว้ การที่เขาแอบเข้าไปในแดนมารในครั้งนี้เป็นบุญคุณที่ไร้ขอบเขตจริงๆ อิ่งเอ๋อร์ต้องขอบคุณท่านแม่ของเจ้าที่มาเตือน มิเช่นนั้นหากข้าได้ตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องตายอยู่ในเมืองวิญญาณสวรรค์เช่นกัน” หญิงสาวมีใบหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แล้วถึงได้พ่นลมหายใจออกมาขณะเอ่ย


หานลี่ที่อยู่ด้านข้างก็ลอบร้องว่าโชคดีแล้วอยู่ในใจ


ถึงอย่างไรเสียเขาก็สนใจตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณอยู่หลายส่วน


เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลเยี่ยไม่คิดว่าเขาผู้ซึ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์จะสนใจตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณ ดังนั้นคำพูดเมื่อครู่จึงถ่ายทอดมาให้กับเซียนเชียนหลิงผู้นี้


หญิงสาวไม่ได้หลีกเลี่ยงเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะว่าบุญคุณการช่วยเหลือในเผ่าพฤกษาในปีนั้น จึงถือโอกาสตอบแทนเขาด้วย


แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจอันใดมากนัก แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเคราะห์มารในครั้งนี้อันตรายมาก


นี่เพียงพอที่จะทำให้เขาใจหายวาบแล้ว


แผนเดิมที่คิดจะฝึกฝนอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว


“สิ่งที่ควรรู้ชนรุ่นหลังก็พูดไปแล้ว เรื่องต่อจากนี้อิ่งเอ๋อร์ขอเป็นตัวแทนท่านแม่มาเรียนเชิญน้าหลิวและท่านอาวุโสหาน อยากให้ทั้งสองท่านเป็นอาวุโสแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเยี่ยของพวกเรา” ในยามที่หานลี่และพวกยังไม่ทันได้กำจัดความตกตะลึงจากข่าวสารที่ได้รับไปนั้น หญิงสาวกลับส่งยิ้มเบิกบานให้ทั้งสอง


“อาวุโสแขกผู้มีเกียรติ! อิ่งเอ๋อร์ หรือว่าท่านแม่ของเจ้าไม่ได้บอก ปีนั้นข้าต้องเข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวิญญาณก็เพราะว่าเขามีบุญคุณต่อข้าเป็นอย่างมาก ไม่มีอันใดตอบแทนถึงได้ลงแรงเพื่อเขา ยามนี้เพิ่งได้เป็นอิสระ ข้าไม่อยากถูกผู้ใดมาบังคับกะเกณฑ์อีก มิเช่นนั้นข้าคงไม่อยากแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณโดยใช้พลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางหรอก” หลิวชิงแทบจะสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างไม่ต้องขบคิด


“แน่นอนว่าท่านแม่ย่อมทราบเรื่องนี้ แต่นางให้ข้ามาบอกกับน้าหลิวสองสามคำ หากไม่ยินยอมท่านแม่ก็จะไม่บังคับ” เยี่ยอิ่งกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“สองสามคำ! หึๆ ไม่ได้พบกันหลายปี ท่านแม่ของเจ้ายังนิสัยแปลกๆ เหมือนเดิม เอาละ ข้าจะลองฟังดูก่อน” หลิวชิงพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เม้มปากฉีกยิ้ม


เยี่ยอิงเห็นเช่นนั้นก็ผ่อนคลายลง จากนั้นริมฝีปากก็ขยับ ถ่ายทอดเสียงไป


หานลี่ที่อยู่ด้านข้างมองเห็นฉากนี้ก็จับจ้องปฏิกิริยาตอบสนองของหญิงสาวอย่างประหลาดใจ


ผลคือเห็นใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของหญิงสาวมีสีแดงก่ำขึ้นมาทันที


“จริงหรือ ท่านแม่ของเจ้าไม่โกหกข้า?” เซียนเชียนหลิงร้องอุทานด้วยเสียงถอดเสียงออกมาอย่างหาได้ยาก น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย


“ไม่ผิดแน่ ท่านแม่ทราบเรื่องของน้าหลิวในตอนนั้นก็เสียใจจนมาถึงทุกวันนี้ และยามนี้แม้ว่าโอกาสนี้จะอันตราย แต่ก็ต้องมาพูดว่ายังมีโอกาสอยู่เล็กๆ ขอแค่น้าหลิวยอมเข้าร่วม ตระกูลเยี่ยของพวกเราจะช่วยเหลือสุดกำลัง” เยี่ยอิ่งเอ่ยอย่างมั่นใจ


“เยี่ยม ข้าจะเข้าร่วมตระกูลเยี่ยของพวกเจ้า! อย่าพูดว่าโอกาสเล็กๆ เลย ต่อให้มีแค่เล็กน้อย ข้าก็ไม่มีทางปล่อยไป” หญิงสาวเอ่ยอย่างเด็ดขาด สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว


“เยี่ยมจริงๆ เช่นนั้นน้าหลิวก็ไปอยู่กับท่านแม่ได้แล้ว อิ่งเอ๋อร์จะได้เรียนรู้เคล็ดวิชาหุ่นเชิดกับน้าหลิว” หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบาน


เป็นเพราะหญิงสาวได้ยินคำพูดก่อนหน้า จึงยังคงใจเต้น จึงแค่ส่งยิ้มฝืนๆ ให้หญิงสาวเท่านั้น


“ท่านอาวุโสหาน แล้วเจตนาของท่านล่ะ!”


เยี่ยอิ่งหันหน้ามาใช้สายตารอคคอยมองมายังหานลี่อีกครั้ง


“ข้าน้อยปฏิเสธการเรียนเชิญไปในยามแรก แน่นอนว่าย่อมไม่มีเจตนาจะเข้าร่วมกับตระกูลเยี่ย จึงทำได้เพียงปล่อยให้เซียนเยี่ยวิ่งมาอย่างเสียเปล่าแล้ว” หานลี่ปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด


“เดิมข้าคิดว่าท่านอาวุโสรู้เรื่องอันตรายจากเคราะห์สวรรค์แล้วน่าจะเปลี่ยนความตั้งใจ หากเป็นเช่นนั้นท่านแม่ก็มีเรื่องจะบอกท่านอาวุโสเช่นกัน หากท่านอาวุโสได้ฟังแล้วยังไม่เปลี่ยนใจ ก็ให้คิดว่าข้าไม่เคยพูดเจ้าค่ะ” เยี่ยอิ่งแววตาเปล่งประกาย สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อยขณะเอ่ย


“อ๋อ เซียนเยี่ยลองพูดมาสิ!” หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา


เขาอยู่คนเดียวในแดนวิญญาณ จึงไม่เชื่อว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้จริงๆ


“ท่านอาวุโสหานเคยได้ยิน ‘ยาลูกกลอนหญ้าวิญญาณ’ ของตระกูลเยี่ยของพวกเราและเคล็ดวิชานิพพานของพวกเราบ้างหรือไม่!” เยี่ยอิ่งเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา


“ชื่อเสียงของยาลูกกลอนหญ้าวิญญาณ ข้าน้อยย่อมรู้ดี ยาลูกกลอนชนิดนี้เป็นยาลูกกลอนไม่กี่ชนิดที่ช่วยเพิ่มพลังปราณของระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราได้ ทว่าตระกูลเยี่ยอย่างพวกเจ้าก็ไม่ค่อยเอาออกมาขายสินะ อย่างน้อยผู้แซ่หานก็ไม่เคยพบว่าถูกนำออกมาประมูลในย่านร้านค้าใด กลับเป็นเคล็ดวิชานิพพาน ที่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า


“ประสิทธิภาพของยาลูกกลอนหญ้าวิญญาณ ชนรุ่นหลังคงไม่ต้องพูดแล้ว ขอแค่ท่านอาวุโสยอมเข้าร่วมตระกูลเยี่ยของพวกเรา ท่านแม่จะยอมมอบให้สามสิบเม็ด เชื่อว่ามียาลูกกลอนเพิ่มพลังยุทธ์มากมายเพียงนี้ คงมีส่วนช่วยในการทะลวงจุดคอขวดระดับขั้นกลางของท่านอาวุโสแน่ ส่วนเคล็ดวิชานิพพานกลับต้องให้สตรีและบุรุษที่มีโลหิตวิญญาณหงส์สวรรค์ของตระกูลเยี่ยอย่างพวกเราอย่างละคนสำแดงพร้อมกันถึงจะมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นเคล็ดวิชานี้จะกระตุ้นพลังในร่างของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปให้มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งขึ้น แม้กระทั่งเมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสุดท้ายก็มีประสิทธิภาพราวกับเป็นอมตะที่ไม่มีวันตาย ราวกับหงส์เพลิงที่เป็นอมตะก็ไม่ปาน สามารถฟื้นคืนชีพจากนิพพานได้” เยี่ยอิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงมีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา


เมื่อได้ยินอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่ออย่างการเป็นอมตะ หานลี่ก็อดที่จะใจเต้นระรัวไม่ได้


วันข้างหน้าหากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้สำเร็จ ลดการช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแกร่งจากเคล็ดวิชานี้ พอต่อสู้กับผู้อื่นหากเคล็ดวิชานิพพานคุ้มครอง จะไม่เป็นดังพยัคฆ์ติดปีกหรือ


ทว่าเหตุใดสีหน้าของหญิงสาวผู้นี้ถึงไม่ค่อยปกติ!


หานลี่มองหญิงสาวอดที่จะเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมาไม่ได้


หลิวชิงได้ยินคำพูดของเยี่ยอิงพลันตะลึงงัน จากนั้นก็มองหานลี่ แล้วมองหญิงสาว คาดไม่ถึงว่าส่งเสียง “พรืด” หลุดขำออกมาไม่ได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)